หัวข้อ: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 16, 2011, 02:56:34 PM ขอรบกวนผู้รู้ทุกท่านครับ ::014::
ถ้าอยากทราบถึงความเป็นมาและข้อมูลของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ จะสามารถหาได้จากที่ใดบ้างครับ เนื่องจากกำลังหาข้อมูลเพื่อทำงานวิจัยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าในความคิดเห็นและคำแนะนำของทุกท่านครับ ::014:: ::014:: ::014:: หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 16, 2011, 03:36:23 PM ผมไม่แน่ใจว่ามีการบันทึกไว้แน่นอนหรือไม่นะครับ ..................
แต่เริ่มแรกที่กองทัพบกก่อน ตั้งแต่กองทัพบกผลิตปืนที่ซื้อแบบจากต่างประเทศมาผลิตเอง เช่น สตาร์ .38 ซุบเปอร์ของสเปน และปรับเป็น ปพ.95 ขนาด .45 รวมทั้งซื้อ โคลท์ .38 ซุบเปอร์เข้าประจำการ ........................ต่อมากองทัพบกก้็รับปืน1911A1เข้าประจำการเป็นปพ.86 ปืน.38 ซุบเปอร์เหล่านี้และรวมทั้ง ปพ.95 บางส่วนก็ทำเป็นปืนสวัสดิการขายให้กำลังในกองทัพในราคาถูก ...................คิดว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มแรกๆของการจัดปืนสวัสดิการให้กับกำลังพล ...................... ต่อมาในส่วนราชการต่างๆที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธนอกจากกองทัพ เช่น ตำรวจ ราชทัณฑ์ ฯลฯ แม้กระทั่งภาครัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็นในบางภารกิจที่จะต้องใช้อาวุธ .............. ก็จัดทำโครงการปืนสวัสดิการขึ้นมา ถ้าเริ่มแรกๆเลย หน่วยงานที่จัดทำโครงการปืนสวัสดิการก่อนใครๆจะเป็นทหารและตำรวจ ซึ่งมีมานานมากแล้ว .................... ส่วนสาเหคุที่ทำก็มีหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่จะอ้างว่าหน่วยงานจัดกาอาวุธให้กำลังพลได้ไม่เพียงพอ กำลังพลต้องจัดหาอาวุธส่วนตัวมาใช้ในราชการ(ซึ่งก้เป็นเช่นนั้นจริงๆ) ราคาปืนในท้องตลาดแพงเพราะนำเข้ามาได้จำกัดตามโควต้าประจำปี ...................เลยมีการจัดทำโครงการขึ้น...................และปืนที่นำมาจำหน่ายในสวัสดิการก็ถูกจริงๆ ขั้นตอนในช่วงนั้น เริ่มจาก 1. หน่วยงานเป็นผู้ริเริ่มเอง เช่นกองทัพบกต้องการจัดทำโครงการปืนสวัสดิการให้กำลังพลของ ทบ. ก็เริ่มจากการประสานงานและขออนุญาตต่อมหาดไทยก่อน เพราะมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตให้นำเข้าอาวุธปืนเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ..............เมื่อมหาดไทยอนุญาตก็ทำขั้นต่อไป 2. กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิและกำหนดแบบและราคาของปืนสวัสดิการ.....เรียกง่ายๆว่าตั้งโจทย์ก่อนว่า ใครซื้อได้ และมีปืนอะไรราคาเท่าไหร่? 3. ออกประกาสและระเบียบการดำเนินการทั้งหมด แจ้งให้ผู้มีสิทธิทราบและรับจอง .................. 4. เมื่อได้ยอดจำนวนปืนและแบบ ทั้งหมดแล้ว ......................ก็ขออนุญาตมหาดไทย สั่งปืนเข้ามาในราชอาณาจักร 5. เมื่อปืนเข้ามาแล้ว ก็แจกจ่ายให้ผู้ที่สั่งจองตามเงื่อนไขที่กำหนด ....................(ในขั้นตอนนี้เข้าใจว่าต้องขออนุญาตจำหน่ายให้แก่ผู้จองด้วย)......... ผมซื้อมาสอง-สามโครงการก่อนหน้านี้เป็นสิบปี .................... ลักษณะเป็นแบบนี้หมด(ในส่วนของกองทัพบก) จนในปัจจุบันก็ยังจัดทำกันอยู่แต่ต่างจากเดิมมาก..................เรียกว่า มหาดไทยทำเองขายเอง ;D หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 16, 2011, 04:31:18 PM ขอบพระคุณผู้การมะขิ่นมากครับ ::014::
หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: คนส่องกล้อง ที่ กันยายน 16, 2011, 06:57:45 PM ขอรบกวนผู้รู้ทุกท่านครับ ::014:: ถ้าอยากทราบถึงความเป็นมาและข้อมูลของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ จะสามารถหาได้จากที่ใดบ้างครับ เนื่องจากกำลังหาข้อมูลเพื่อทำงานวิจัยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าในความคิดเห็นและคำแนะนำของทุกท่านครับ ::014:: ::014:: ::014:: ทำวิจัยหัวข้อเรื่องอะไรหรือครับ หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 16, 2011, 08:34:14 PM ขอรบกวนผู้รู้ทุกท่านครับ ::014:: ถ้าอยากทราบถึงความเป็นมาและข้อมูลของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ จะสามารถหาได้จากที่ใดบ้างครับ เนื่องจากกำลังหาข้อมูลเพื่อทำงานวิจัยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าในความคิดเห็นและคำแนะนำของทุกท่านครับ ::014:: ::014:: ::014:: ทำวิจัยหัวข้อเรื่องอะไรหรือครับ เป็นการวิจัยเชิงสำรวจครับ คิดว่าหัวข้อคงประมาณนี้ครับ "อาวุธปืนและเครื่องกระสุน: ความคิดเห็นของประชาชนและการใช้งาน" ถามเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายของรัฐเกี่ยวกับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนและการใช้งานอาวุธปืนของประชาชนครับ ::014:: หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: คนส่องกล้อง ที่ กันยายน 16, 2011, 08:38:02 PM แสดงว่าเรียนรัฐศาสตร์ 8)
หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 16, 2011, 08:43:18 PM แสดงว่าเรียนรัฐศาสตร์ 8) อยู่ข้างๆ กันครับ เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ครับ หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: cadet38 -รักในหลวง- ที่ กันยายน 16, 2011, 11:01:19 PM ::002:: ::014::
หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: eazycompany ที่ กันยายน 17, 2011, 07:38:18 AM แสดงว่าเรียนรัฐศาสตร์ 8) อยู่ข้างๆ กันครับ เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ครับ สาขานี้ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยรามคำเเหง จัดเป็น1ในสาขาของรัฐศาสตร์ครับ เรียกว่าวิชารัฐศาสตร์ สาขาการบริหารรัฐกิจ มีให้เลือกเรียนอีก2สาขาคือการปกครอง กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บอกไว้เพื่อใครสนใจจะเรียนม.รามฯจะได้เลือกถูกครับ ::014:: หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: คนส่องกล้อง ที่ กันยายน 17, 2011, 08:42:00 AM ผมจบ สาขานี้ที่ มสธ. ครับ
หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 17, 2011, 05:58:03 PM แสดงว่าเรียนรัฐศาสตร์ 8) อยู่ข้างๆ กันครับ เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ครับ สาขานี้ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยรามคำเเหง จัดเป็น1ในสาขาของรัฐศาสตร์ครับ เรียกว่าวิชารัฐศาสตร์ สาขาการบริหารรัฐกิจ มีให้เลือกเรียนอีก2สาขาคือการปกครอง กับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บอกไว้เพื่อใครสนใจจะเรียนม.รามฯจะได้เลือกถูกครับ ::014:: เพื่อนผมก็จบจากรามคำแหงครับ ตอนนี้เป็นปลัดสังกัดอปท. ในแถบจังหวัดทางภาคกลางครับ ::002:: ::014:: หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 17, 2011, 05:59:11 PM ผมจบ สาขานี้ที่ มสธ. ครับ ผมกำลังจะสมัครเรียนในเทอม 2 นี้ครับ ::014:: หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: ธำรง ที่ กันยายน 18, 2011, 11:34:01 AM ผมไม่แน่ใจว่ามีการบันทึกไว้แน่นอนหรือไม่นะครับ .................. แต่เริ่มแรกที่กองทัพบกก่อน ตั้งแต่กองทัพบกผลิตปืนที่ซื้อแบบจากต่างประเทศมาผลิตเอง เช่น สตาร์ .38 ซุบเปอร์ของสเปน และปรับเป็น ปพ.95 ขนาด .45 รวมทั้งซื้อ โคลท์ .38 ซุบเปอร์เข้าประจำการ ........................ต่อมากองทัพบกก้็รับปืน1911A1เข้าประจำการเป็นปพ.86 ปืน.38 ซุบเปอร์เหล่านี้และรวมทั้ง ปพ.95 บางส่วนก็ทำเป็นปืนสวัสดิการขายให้กำลังในกองทัพในราคาถูก ...................คิดว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มแรกๆของการจัดปืนสวัสดิการให้กับกำลังพล ...................... ต่อมาในส่วนราชการต่างๆที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธนอกจากกองทัพ เช่น ตำรวจ ราชทัณฑ์ ฯลฯ แม้กระทั่งภาครัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็นในบางภารกิจที่จะต้องใช้อาวุธ .............. ก็จัดทำโครงการปืนสวัสดิการขึ้นมา ถ้าเริ่มแรกๆเลย หน่วยงานที่จัดทำโครงการปืนสวัสดิการก่อนใครๆจะเป็นทหารและตำรวจ ซึ่งมีมานานมากแล้ว .................... ส่วนสาเหคุที่ทำก็มีหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่จะอ้างว่าหน่วยงานจัดกาอาวุธให้กำลังพลได้ไม่เพียงพอ กำลังพลต้องจัดหาอาวุธส่วนตัวมาใช้ในราชการ(ซึ่งก้เป็นเช่นนั้นจริงๆ) ราคาปืนในท้องตลาดแพงเพราะนำเข้ามาได้จำกัดตามโควต้าประจำปี ...................เลยมีการจัดทำโครงการขึ้น...................และปืนที่นำมาจำหน่ายในสวัสดิการก็ถูกจริงๆ ขั้นตอนในช่วงนั้น เริ่มจาก 1. หน่วยงานเป็นผู้ริเริ่มเอง เช่นกองทัพบกต้องการจัดทำโครงการปืนสวัสดิการให้กำลังพลของ ทบ. ก็เริ่มจากการประสานงานและขออนุญาตต่อมหาดไทยก่อน เพราะมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตให้นำเข้าอาวุธปืนเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ..............เมื่อมหาดไทยอนุญาตก็ทำขั้นต่อไป 2. กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิและกำหนดแบบและราคาของปืนสวัสดิการ.....เรียกง่ายๆว่าตั้งโจทย์ก่อนว่า ใครซื้อได้ และมีปืนอะไรราคาเท่าไหร่? 3. ออกประกาสและระเบียบการดำเนินการทั้งหมด แจ้งให้ผู้มีสิทธิทราบและรับจอง .................. 4. เมื่อได้ยอดจำนวนปืนและแบบ ทั้งหมดแล้ว ......................ก็ขออนุญาตมหาดไทย สั่งปืนเข้ามาในราชอาณาจักร 5. เมื่อปืนเข้ามาแล้ว ก็แจกจ่ายให้ผู้ที่สั่งจองตามเงื่อนไขที่กำหนด ....................(ในขั้นตอนนี้เข้าใจว่าต้องขออนุญาตจำหน่ายให้แก่ผู้จองด้วย)......... ผมซื้อมาสอง-สามโครงการก่อนหน้านี้เป็นสิบปี .................... ลักษณะเป็นแบบนี้หมด(ในส่วนของกองทัพบก) จนในปัจจุบันก็ยังจัดทำกันอยู่แต่ต่างจากเดิมมาก..................เรียกว่า มหาดไทยทำเองขายเอง ;D ขออนุญาตเติมประเด็น ต้นทุนราคาปืนและภาษี ของปืนสวัสดิการสักนิด ว่าเดิมเป็นการจัดสวัสดิการให้กับกำลังพลของแต่ละหน่วยงาน บางหน่วยได้ขอยกเว้นอากรตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากรฯ ต่อมาได้มีกรณีของทอ. ที่ศาลฎีกาตัดสินว่า การที่ทอ.นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายให้แก่ข้าราชการของตนเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับส่วนราชการ ถือไม่ได้ว่าเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในราชการอันอยู่ในข่ายที่จะได้รับการยกเว้นอากรตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 4 ประเภท 13 ทอ.ต้องรับผิดเสียภาษีอากร...... ดังนั้น....ปืนสวัสดิการจึงมีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับปืนร้านทั่วๆไป แถมภาษียังต้องอยู่บนฐานราคาที่ต้องสำแดงตัวจริงอีกด้วย ต่อมามท.ได้จัดโครงการร่วมกับร้านค้าปืน ขยายฐานลูกค้าออกไป ก็มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่สูงขึ้นบวกเพิ่มไปในปืนแต่ละกระบอก ปืนสวัสดิการจึงเป็นปืนที่มีต้นทุนตรงที่สูงกว่าปืนร้านค้า แต่การที่มท.มีอำนาจในการจำกัดการนำเข้า ทำให้เป็นช่องทางในการปั่นราคาปืนร้านค้าขึ้นไป เพื่อใช้ส่วนต่างราคาเป็นตัวกระตุ้นการขาย เมื่อโครงการที่มีเงื่อนไขห้ามโอนยกเว้นมรดกเริ่มขายฝืด ก็ออกโครงการโอนได้หลัง ๕ ปี ออกมา..... หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: ckanoon ที่ กันยายน 18, 2011, 11:52:34 AM ผมจบ สาขานี้ที่ มสธ. ครับ เรียนถามครับรับพระราชทานปริญญาบัตรปีไหนครับ ผมจบปี ๒๕๔๘ รับปริญญาปี ๒๕๕๐ รุ่นแรกที่รับใน มสธ.ครับ หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: คนส่องกล้อง ที่ กันยายน 18, 2011, 12:48:43 PM ปี 35 ครับ
ขออภัย 35 จบ วิทยาการจัดการ บริหารรัฐกิจ จบปี 42 ครับ นอกไมค์ดีกว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้สถาบันไป ครับ ;) หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของโครงการเกี่ยวกับปืนสวัสดิการ เริ่มหัวข้อโดย: Jedth ที่ กันยายน 18, 2011, 03:31:02 PM ผมไม่แน่ใจว่ามีการบันทึกไว้แน่นอนหรือไม่นะครับ .................. แต่เริ่มแรกที่กองทัพบกก่อน ตั้งแต่กองทัพบกผลิตปืนที่ซื้อแบบจากต่างประเทศมาผลิตเอง เช่น สตาร์ .38 ซุบเปอร์ของสเปน และปรับเป็น ปพ.95 ขนาด .45 รวมทั้งซื้อ โคลท์ .38 ซุบเปอร์เข้าประจำการ ........................ต่อมากองทัพบกก้็รับปืน1911A1เข้าประจำการเป็นปพ.86 ปืน.38 ซุบเปอร์เหล่านี้และรวมทั้ง ปพ.95 บางส่วนก็ทำเป็นปืนสวัสดิการขายให้กำลังในกองทัพในราคาถูก ...................คิดว่าตรงนี้เป็นจุดเริ่มแรกๆของการจัดปืนสวัสดิการให้กับกำลังพล ...................... ต่อมาในส่วนราชการต่างๆที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธนอกจากกองทัพ เช่น ตำรวจ ราชทัณฑ์ ฯลฯ แม้กระทั่งภาครัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็นในบางภารกิจที่จะต้องใช้อาวุธ .............. ก็จัดทำโครงการปืนสวัสดิการขึ้นมา ถ้าเริ่มแรกๆเลย หน่วยงานที่จัดทำโครงการปืนสวัสดิการก่อนใครๆจะเป็นทหารและตำรวจ ซึ่งมีมานานมากแล้ว .................... ส่วนสาเหคุที่ทำก็มีหลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่จะอ้างว่าหน่วยงานจัดกาอาวุธให้กำลังพลได้ไม่เพียงพอ กำลังพลต้องจัดหาอาวุธส่วนตัวมาใช้ในราชการ(ซึ่งก้เป็นเช่นนั้นจริงๆ) ราคาปืนในท้องตลาดแพงเพราะนำเข้ามาได้จำกัดตามโควต้าประจำปี ...................เลยมีการจัดทำโครงการขึ้น...................และปืนที่นำมาจำหน่ายในสวัสดิการก็ถูกจริงๆ ขั้นตอนในช่วงนั้น เริ่มจาก 1. หน่วยงานเป็นผู้ริเริ่มเอง เช่นกองทัพบกต้องการจัดทำโครงการปืนสวัสดิการให้กำลังพลของ ทบ. ก็เริ่มจากการประสานงานและขออนุญาตต่อมหาดไทยก่อน เพราะมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตให้นำเข้าอาวุธปืนเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ..............เมื่อมหาดไทยอนุญาตก็ทำขั้นต่อไป 2. กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิและกำหนดแบบและราคาของปืนสวัสดิการ.....เรียกง่ายๆว่าตั้งโจทย์ก่อนว่า ใครซื้อได้ และมีปืนอะไรราคาเท่าไหร่? 3. ออกประกาสและระเบียบการดำเนินการทั้งหมด แจ้งให้ผู้มีสิทธิทราบและรับจอง .................. 4. เมื่อได้ยอดจำนวนปืนและแบบ ทั้งหมดแล้ว ......................ก็ขออนุญาตมหาดไทย สั่งปืนเข้ามาในราชอาณาจักร 5. เมื่อปืนเข้ามาแล้ว ก็แจกจ่ายให้ผู้ที่สั่งจองตามเงื่อนไขที่กำหนด ....................(ในขั้นตอนนี้เข้าใจว่าต้องขออนุญาตจำหน่ายให้แก่ผู้จองด้วย)......... ผมซื้อมาสอง-สามโครงการก่อนหน้านี้เป็นสิบปี .................... ลักษณะเป็นแบบนี้หมด(ในส่วนของกองทัพบก) จนในปัจจุบันก็ยังจัดทำกันอยู่แต่ต่างจากเดิมมาก..................เรียกว่า มหาดไทยทำเองขายเอง ;D ขออนุญาตเติมประเด็น ต้นทุนราคาปืนและภาษี ของปืนสวัสดิการสักนิด ว่าเดิมเป็นการจัดสวัสดิการให้กับกำลังพลของแต่ละหน่วยงาน บางหน่วยได้ขอยกเว้นอากรตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากรฯ ต่อมาได้มีกรณีของทอ. ที่ศาลฎีกาตัดสินว่า การที่ทอ.นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายให้แก่ข้าราชการของตนเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับส่วนราชการ ถือไม่ได้ว่าเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในราชการอันอยู่ในข่ายที่จะได้รับการยกเว้นอากรตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ภาค 4 ประเภท 13 ทอ.ต้องรับผิดเสียภาษีอากร...... ดังนั้น....ปืนสวัสดิการจึงมีค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับปืนร้านทั่วๆไป แถมภาษียังต้องอยู่บนฐานราคาที่ต้องสำแดงตัวจริงอีกด้วย ต่อมามท.ได้จัดโครงการร่วมกับร้านค้าปืน ขยายฐานลูกค้าออกไป ก็มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่สูงขึ้นบวกเพิ่มไปในปืนแต่ละกระบอก ปืนสวัสดิการจึงเป็นปืนที่มีต้นทุนตรงที่สูงกว่าปืนร้านค้า แต่การที่มท.มีอำนาจในการจำกัดการนำเข้า ทำให้เป็นช่องทางในการปั่นราคาปืนร้านค้าขึ้นไป เพื่อใช้ส่วนต่างราคาเป็นตัวกระตุ้นการขาย เมื่อโครงการที่มีเงื่อนไขห้ามโอนยกเว้นมรดกเริ่มขายฝืด ก็ออกโครงการโอนได้หลัง ๕ ปี ออกมา..... ขอบคุณพี่ธำรงมากครับ ::014:: |