เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: เบิ้ม ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:11:37 AM



หัวข้อ: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:11:37 AM
วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 10:58:37 น.

นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้ยาพาราเซตามอลของคนไทยพบว่าส่วนใหญ่มักใช้ยาพาราเซตามอลเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เนื่องจากมองว่าเป็นยาพื้นฐาน มีความปลอดภัย และเข้าใจว่าสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด แต่ในความเป็นจริง ยาพาราเซตามอลมีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้เท่านั้น และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ เพราะอาจนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด

 

โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคในการใช้ยาพาราเซตามอล จึงได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาที่ต้องแจ้งคำเตือนการใช้ยาไว้ในฉลากและเอกสารกำกับยา กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนประกอบของพาราเซตามอล ทั้งที่เป็นยาสามัญ และยาสามัญประจำบ้าน ต้องมีข้อความคำเตือนบนฉลาก ได้แก่

 

1) ถ้าใช้ยานี้เกินขนาดที่ระบุไว้บนฉลากหรือเอกสารกำกับยา จะทำให้เป็นพิษต่อตับได้ และไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน และ 2)ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา รวมทั้ง อย.มีมาตรการกำหนดให้ฉลากยาระบุวิธีใช้ยาอย่างเคร่งครัด คือ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง และต้องมีขนาดบรรจุเป็นแผงละ 4 และ 10 เม็ดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคใช้ยาเกินขนาดที่ระบุไว้ข้างต้น

 

เลขาธิการ อย.กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม จากการที่องค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ในกลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด ซึ่งเป็นยาที่ใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิก ปรับลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาดยา 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด เป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด รวมทั้งกำหนดให้ระบุข้อความบนฉลากยาถึงผลข้างเคียงว่า “ยามีผลทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้” นั้น เป็นการลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิดพิษต่อตับลง

 

ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ขอให้ผู้บริโภคใช้ยาอย่างระมัดระวัง ควรอ่านฉลากและเอกสารกำกับยาอย่างถ้วนถี่ และปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่ระบุไว้โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (เม็ดละ 500 มิลลิกรัม) และหากมีความผิดปกติหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บวมบริเวณท้อง กดเจ็บบริเวณตับ ขอให้พบแพทย์โดยด่วน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา



หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: คนตัวอ้วน+ผมรักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:36:56 AM
อย.ก็รู้นี่ครับว่ายาพาราฯ.กินมากๆมันเป็นอันตรายต่อไต...แล้วทำไมไม่ประสานไปยัง รพ.ต่างๆทั่วประเทศ...ผมไม่จำเป็นต้องไปซื้อยาพาราฯ.ที่ร้านขายยาเลย...เป็นอะไรปวดอะไรก็ไป รพ.ประจำอำเภอ...ได้ยาพาราฯ.มาเป็นสิบๆเม็ต...วันหลังไปอีกด้วยอาการที่ไม่ใช่อาการเดิม...คุณพี่ท่านเดิมก็ให้ยาพาราฯ.มากินอีก...แถมย้ำว่าต้องกินยาให้หมดนะครับจะได้หายขาด...ยาพาราฯ.ที่ได้มาเมื่อวันก่อนยังกินไม่หมดเลย...ได้ยาพาราฯ.มาเพิ่มอีกแล๊ะ...แล้วจะให้ผมทำยังไงหล่ะครับท่าน อย.(อาหย่อย)...


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:39:33 AM
  ต้องโทษรพ.  เป็นอะไรก็ช่างไปหาหมอสิ่งที่ได้มาตลอดคือ"พาราเซตามอล"นี่แหล่ะ
แป๋งคิ้วแตกเย็บสิบเอ็ดเข็มพวกยังให้มาเลย  แต่ไม่กิน ::007:: ::007:: ::007::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: อนัตตา ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:53:21 AM
  ต้องโทษรพ.  เป็นอะไรก็ช่างไปหาหมอสิ่งที่ได้มาตลอดคือ"พาราเซตามอล"นี่แหล่ะ
แป๋งคิ้วแตกเย็บสิบเอ็ดเข็มพวกยังให้มาเลย  แต่ไม่กิน ::007:: ::007:: ::007::

เมาล้มชัวร์    ::005::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:53:41 AM
ตับน่ากลัวนะครับ เคยเห็นบางคนตับเดี้ยง ตัวเหลืองๆ แป๊บเดียวไปซะละ  :OO


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 11:56:34 AM
  ต้องโทษรพ.  เป็นอะไรก็ช่างไปหาหมอสิ่งที่ได้มาตลอดคือ"พาราเซตามอล"นี่แหล่ะ
แป๋งคิ้วแตกเย็บสิบเอ็ดเข็มพวกยังให้มาเลย  แต่ไม่กิน ::007:: ::007:: ::007::

เมาล้มชัวร์    ::005::

     ::001:: ::001:: ::001::ตาบ่เห็นอย่าเว้านา ::001:: ::001:: ::001::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: อนัตตา ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 12:01:48 PM
อีกหน่อยก็จะได้รับมากขึ้น จากผลพวงของบัญชียาหลักแห่งชาติ     ::005::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 12:52:34 PM
อีกหน่อยก็จะได้รับมากขึ้น จากผลพวงของบัญชียาหลักแห่งชาติ     ::005::

   เก็บไว้แลกไข่เน๊าะ ::007::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 01:24:43 PM
30 บาทรักษาทุกโรค  เนี่ยละ โครงการแจกพาราเซตามอล 555



หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 01:29:52 PM

จริง  ......   เห็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานใช้กันเยอะแบบไม่มีสาเหตุหรือเหตุผล


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: อนัตตา ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 01:50:37 PM
ยังมีคนอีกหลายคนที่เข้าใจว่าพาราคือยาทำให้หายปวด  ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วคือยาที่ทำให้สมองสั่งให้ไม่รู้สึกว่าปวด


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: vboaw1 ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 03:32:43 PM
 
30 บาทรักษาทุกโรค  เนี่ยละ โครงการแจกพาราเซตามอล 555



ประกันสังคมก็จ่ายแต่ยาพาราเซตามอล  เหมือนกัน ไปทีไรได้มาทุกที เดียวนี้ไม่ไปแล้ว ::010:: ::010::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: rub:da ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 04:05:06 PM
ไปหาหมอทีไร แจกตัวนี้เป็นอันดับแรกใช่ไหมครับ อยู่บ้านเป็นอะไร ก็ตัวนี้เป็นอันดับแรก แล้วชาวบ้านอย่างเราจะมีทางเลือกอื่นไหมครับ


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: konklong ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 06:46:05 PM
พาราฯถูกสร้างภาพมาให้เป็นยาสารพัดนึก  ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ปวดฟัน  ถอนฟัน หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีอาการเจ็บปวด ไปหาหมอไม่ว่าโรงพยาบาล คลีนิค สถานีอนามัย ล้วนแล้วแต่ ต้องมีพาราเซตามอลติดมือกลับมาบ้านทุกครั้ง   ::004::


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: ต.แม่สาย ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 09:04:07 PM
ในกระเป๋าผมก็ยังพกพาราติดไว้ 1 แผงกับยาแก้ปวดกระเพาะอาหาร กะแอร์เอ๊กซ์กันไว้ครับ บางที ไปนู่นมานี่ กลางคืนปวดท้องปวดหัวลำบากครับ คราวก่อนไปเที่ยวลาวท้องเสีย ลำบากมากครับ


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Twitter 125 ที่ พฤศจิกายน 20, 2012, 09:46:13 PM
ต้องระวังไว้ให้มากกินจนเพลินเกิน5วันเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็น่าจะมี


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ พฤศจิกายน 21, 2012, 10:41:24 AM
ยังมีอีกตัว ที่น่ากลัวคือ ยาฆ่าเชื้อ แอนตี้ไบโอติก  คนไทยดื้อยาตัวนี้มากจนต้อง
เพิ่มหรือเปลียนใช้ยาแรงขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ   
 


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: Yut64 ที่ พฤศจิกายน 21, 2012, 11:26:20 AM
อีกมุมหนึ่งคือเราไม่ระวังสุขภาพกันคิดแต่ว่าไม่สบายก็กินยา บางทีแค่ครั่นเนื้อครั่นตัวก็กินยา แบบว่าขอดักไว้ก่อนทำนองนั้น มันไม่ใช่วัคซีนเสียหน่อย ลองทบทวนการกินอยู่กันเสียที


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ พฤศจิกายน 21, 2012, 11:29:52 AM
มันปวดหัวต้องกินยา ไม่มีใครกลัวตับวายตอนปวดหัวกันหรอก..........


หัวข้อ: Re: อย.เผยคนไทยใช้พาราเซตามอลเกินปริมาณกำหนด-เตือนตับวายตาย
เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ พฤศจิกายน 29, 2012, 06:46:52 PM
updated: 29 พ.ย. 2555 เวลา 16:21:24 น.

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข



ท่านคิดอย่างไรกับคำว่า "เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องเล็ก"

ร่างกายประกอบด้วยระบบการทำงาน คือ ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบหัวใจการหมุนเวียน ของเลือด ระบบหายใจ ระบบการขับถ่ายหรือการกำจัดของเสีย ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบกระดูก ระบบภูมิคุ้มกัน

ทุกส่วนล้วนทำงานสอดประสานกันอย่างเป็นระบบ ถ้าระบบใดระบบหนึ่งผิดปกติ ร่างกายก็จะแสดงความผิดปกติออกมา เช่นเดียวกับระบบเครื่องยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า

"ปาก" ทำหน้าที่อะไร? สำคัญอย่างไร?

คำกล่าวที่ว่า "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดี เป็นตรา" แสดงให้เห็นว่า "ปาก"

ทำหน้าที่ในการ "พูด" คำว่า "ปาก" เป็นเอก...นั้นมีความหมายว่า "การพูด" ลมที่ออกจากปาก มีความสำคัญ เพราะ "วาจา" หรือ "คำพูด" แสดงออกถึงน้ำเสียง ความเข้มแข็ง ความนุ่มนวล อ่อนหวาน เข้าใจง่าย กินใจคน มี "พลัง" ยิ่งต่อผู้คน มวลชนได้ยินได้ฟัง ดังนั้น การใช้ปากจึงเป็นไปได้ทั้งการสร้างสรรค์และทำลาย

นอกจากการใช้พูดในคนแล้ว "ปาก" ยังเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยทั่วไปใช้กินอาหารและดื่มน้ำ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบย่อยอาหาร โดยในช่องปากมีอวัยวะที่สำคัญ คือ เหงือก ฟัน ลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดาน และลำคอส่วนต้น

"ปาก" ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Mouth เป็นทางเข้าออก ของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ (อากาศ) เช่น กินก๋วยเตี๋ยวกระดูกหมู กินน้ำ กินนม น้ำซุป น้ำแกง เวลาเหนื่อยๆ หายใจทางปากก็ช่วยได้ ในขณะเดียวกันของร้อนๆ อุ่นๆ เย็นๆ ก็ผ่านเข้าไปได้ แต่ เหล็ก หิน ปูน ทราย เข้าไม่ได้นะ (ฮา)

"ปาก" คือช่องทางหลักในการรับทุกอย่าง เข้าสู่ร่างกาย อยู่ที่เจ้าของ "ปาก" ว่าจะเลือกรับแบบไหน

จะเห็นได้ว่า "ปาก" มีความสำคัญยิ่ง มีคุณมหาศาล นอกจากที่กล่าวมาเบื้องต้น เราคงเคยเห็นอาการของ "คน" จะหมดลมหายใจ จะมีอาการอ้าปากหายใจ เพื่อช่วยหายใจทางปาก เป็น "เฮือกสุดท้ายของชีวิต" แต่ขณะเดียวกัน ก็มีมหันตภัยมากโขอยู่ ฉะนั้น การจะกินอะไร หรือพูดอะไร? ก็ตามต้องมีสติ ตั้งสติตลอดเวลา สรรหาสิ่งจะกิน พูดเพื่อให้ตัวเราดีขึ้น ผู้อื่นเปรมปรีดิ์ด้วย ถ้ากินขาดสติหรือพูดขาดสติ หรือประมาทหรือลุแก่ความโลภ โกรธ หลง ก็จะมีอันตรายกับตัวเอง หรือพูดแล้วฆ่าทำลายผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน

ผู้เขียนในฐานะของนักการแพทย์และการสาธารณสุข คงนำเสนอความรู้เรื่อง "ปาก" ในการทำหน้าที่ "กินอาหาร" เพราะไม่ถนัดเรื่องใช้ปากทำอย่างอื่น (ฮา)

สําหรับการใช้ปากใน "การกิน" นั้น มีทั้ง "คุณ" และ "โทษ" อย่างที่บอกไว้

รายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลกในปี 2548 พบว่ามีถึง 35 ล้านคนที่ตายด้วยสาเหตุจากโรคเรื้อรัง และคาดการณ์ว่าจะมีสถิติสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนไทยก็ไม่น้อยหน้าชาวโลก เพราะสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก โรคเรื้อรัง เมื่อปี 2550 สูงถึง 90,701 ราย โดยสาเหตุของโรคเหล่านี้ ล้วนมีที่มาจากการ "กิน" หรือ "บริโภค" อย่างขาดสติ...มีโรคอะไร ที่ต้องพึงระวังหากท่านตามใจ "ปาก" อย่างขาดสติบ้าง มาดูกัน

โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนทั่วโลก ปัจจัยหลักมาจากพฤติกรรมการกินไม่ถูกหลักโภชนาการ ได้แก่ กินไขมันที่เป็นโทษต่อร่างกายซ้ำๆ นานๆ เช่น หมูสามชั้น ข้าวขาหมู สเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ ชีส เนย กินของมันๆ กินของทอดประจำ ไม่กินผัก ไม่กินผลไม้

โรคทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอตั้งแต่เด็ก สะสมเรื่อยมาจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง เนื่องจากไม่ได้กินนมแม่ และกินอาหารช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค เช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ บางรายทางภาคเหนือโดยเฉพาะเด็กชาวเขาที่เลี้ยงลูกอยู่ในบ้านที่เตาผิง จะมีควันไฟฟุ้งอบภายในบ้าน ละอองเกสร ด้วยอากาศหนาวทำให้เด็กๆ หอบ เป็นโรคหืดหอบ หลอดลมอักเสบ ส่วนในผู้ใหญ่ ประเภท "กินควัน" หรือสูบบุหรี่ประจำๆ ก็จะทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพองและมะเร็งปอดได้

โรคกระดูกเปราะ ฟันผุ สาเหตุมาจากกินอาหารแป้ง น้ำตาลมากและนานเกินไปทุกๆ วัน ทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เกิดฟันผุสูงขึ้น และทำให้ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะน้ำตาลเป็นอาหารของเชื้อโรคทุกชนิด

โรคอ้วน แม้พันธุกรรมจะเป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งของโรคอ้วน แต่สาเหตุใกล้ตัวอย่างการกินมากเกินไป กินไม่ถูกหลักโภชนาการ ไม่ออกกำลังกาย ก็มีส่วนสำคัญให้เป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดโรคอ้วนได้มากสูงขึ้น เราคงได้ยินได้ฟังข่าวประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2555 ที่มี ด.ช.อายุ 8 ปี เป็นชาวนนทบุรี น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม นอนตายอยู่ที่บ้านขณะที่คุณแม่ไปซื้อของที่ตลาด กลับมาก็พบว่าลูกนอนตายคนเดียวที่บ้าน เป็นโศกนาฏกรรมที่เราหรือพ่อแม่ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพให้เป็นพิเศษ

โรคเบาหวาน ซึ่งเกิดจากการกินอาหารพวกแป้ง อาหารหวานๆ เป็นประจำ ซึ่งพบได้ในพวกทานข้าวเจ้า ข้าวเหนียว หรือขนมปัง หรือของหวานประจำๆ เช่น น้ำอัดลม ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ง่ายเช่นกัน นอกเหนือจากพันธุกรรม

โรคมะเร็ง ข้อมูลจากการศึกษาด้านระบาดวิทยาของโรคมะเร็ง พบมีมากถึง 70-90% ที่มีสาเหตุ มาจากปัจจัยภายนอก ที่เหลือเป็นปัจจัยภายในที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ พันธุกรรม ผู้เขียนประสงค์จะเน้นเรื่อง กิน...แล้วเป็นมะเร็ง เป็นประเด็นหลัก มีงานวิจัยโดย ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นเครือข่ายวิชาการเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งนำเสนอในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ครั้งที่ 3/2555 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2555 ซึ่งผู้เขียนเป็นประธาน มีท่าน ศ.นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เป็นที่ปรึกษารายงานจากเอกสารวิจัยระบุว่า สารเคมีเกษตรมีพิษต่อร่างกายมนุษย์ ทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของยีน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งถึง 13 ชนิด ทุกอวัยวะ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เช่น มะเร็งสมอง มะเร็งหัวใจ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งกระดูกกล้ามเนื้อ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลืองท่อน้ำเหลือง มะเร็งลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ มะเร็งลูกตา และโรคเรื้อรังต่างๆ ของมนุษย์

ในประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง 1.5 ล้านคน เสียชีวิตสูงถึงปีละ 562,000 คน ส่วนในประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2552 พบว่าคนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งปีละ 130,000-150,000 คน และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 50,000-56,000 คน

"สารเคมี ปุ๋ยเคมี" ที่มีไว้ปลูกพืชสวน พืชไร่ของเกษตรกร ชาวนา ชาวประมง ปศุสัตว์ ประชาชนบริโภคพืช ผัก ผลไม้ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ต่างๆ "สารเคมี" ดังกล่าว เป็นต้นเหตุสำคัญยิ่งที่ก่อให้เกิด "มะเร็ง" ทุกอวัยวะทุกระบบของร่างกาย ซึ่งผู้เขียนอยากจะบอกว่า สารปนเปื้อนต่างๆ ที่มีและใช้ในพืช สัตว์ นั่นคือ "ยาพิษ"

ผู้เขียน รวมทั้งอาจารย์ นักวิชาการ และผู้เกี่ยว ข้องหลายท่าน โดยเฉพาะท่านอาจารย์ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ได้รับทราบความห่วงใยใน "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" ที่มีต่อชาวบ้าน พระองค์ได้ทรงสืบสานปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการกระตุ้นปลูกฝังให้ใช้สาร "เกษตรอินทรีย์" ซึ่งปลอดภัยที่สุดเป็นต้นแบบในการพัฒนาด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์

ผู้เขียนยอมรับว่าตัวเองและคนไทยทั้งชาติ เป็นกลุ่มเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น จึงขอเชิญชวนให้พยายามหลีกเลี่ยงโดยการเลือกกินผัก ผลไม้ อาหาร ที่ปลอดจากสารเคมีให้มากที่สุด และพยายามปลูกกินเองเพราะมั่นใจว่าปลอดภัยแน่นอน

เราทุกคน รวมถึงผู้เขียน ก็คงอยากกินหรือบริโภคอาหารปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี หรือปลอด "ยาพิษ" ฝากไว้สำหรับผู้เกี่ยวข้อง ผู้รับผิดชอบ ต้องคำนึงถึงชีวิตของคนอื่นด้วยเมตตาธรรม ผมเชื่อว่า "ท่านเอง" หรือ "เรา" ก็ไม่อยากกิน "ยาพิษ" จนก่อให้เกิดโรค เพราะเป็นแล้วไม่หายขาด ตายผ่อนส่ง เป็นโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง ทรมานแสนสาหัส ผู้เขียนเชื่อว่าท่านและใครๆ ก็ไม่อยากเป็น ฉันใดก็ฉันนั้น ก็ขอให้คำนึงถึง "กฎแห่งกรรม"

คนไทยทุกๆ คนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา สำหรับส่วนราชการต่างๆ กอง กรม กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่มีหน้าที่ควบคุม ป้องกัน ตรวจสอบสารพิษ ตรวจสอบคุณภาพอาหาร จาก Farm to Table ก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ตั้งใจจริง ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ตรวจดูให้ละเอียด รอบคอบ เฉียบขาด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก ร่วมด้วยช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้ประชาชนคนไทย ผู้บริโภค

ด้วยจิตกุศล ผู้เขียนขอฝากผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ทั้งการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ จนถึงเกษตรกร ช่วยกันดูแล "สุขภาพคนไทย" ด้วยความรักและเมตตา ด้วยความกรุณาเพื่อให้ "ผู้บริโภค" ได้มีสุขภาพดี แข็งแรง อายุยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีถ้วนหน้า

เหนืออื่นใด นอกจากการป้องกันที่ต้นทางแล้ว "ตัวเรา" ในฐานะผู้บริโภค ต้อง "สร้างภูมิคุ้มกันทางความรู้" ให้กับตัวเอง ว่ากินอะไร กินอย่างไรจึงจะปลอดภัย ไร้โรค เพราะเรื่องกินเรื่องใหญ่...แต่กินอย่างไรไม่ให้เป็นภัย ยิ่งใหญ่กว่า

ท้ายสุด ผู้เขียนขอสรุปว่า ก่อนจะนำอะไรๆ เข้า หรือจะเอาอะไรๆ ออกจาก "ปาก" แม้ลมปาก ครั้งต่อไป โปรด "ตั้งใจ" และมี "สติ" เพื่อชีวิตที่ดี ปลอดโรค ปลอดภัย เนื่องจาก "อะไรๆ" ที่เข้า-ออกจาก "ปาก" นั้น มีผลโดยตรงกับเจ้าของ "กินหรือพูดอย่างไร...ชีวิตก็เป็นอย่างนั้น" ได้

แม้มะเร็ง...นะครับ