หัวข้อ: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 10, 2006, 06:16:30 AM สำหรับผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่นและเทคนิคการตี
เนื่องจากมีผู้สนใจในดาบญี่ปุ่นพอสมควร ทั้งมือเก่า และมือใหม่จำนวนหนึ่งสนใจ จึงเชิญ อ.เด็กอยากเล่นมีด ใน www.thaiblades.com ซึ่งเป็นผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่น เป็นนักสะสม มีความรู้ด้านโลหะวิทยา และศึกษากระบวนการตีดาบญี่ปุ่นมาอย่างดี ให้ช่วยเผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจ ผู้ร่วมเสวนา อ.เด็กอยากเล่นมีด นั่งคุยร่วมกับผมเอง และแขกรับเชิญ (ถ้ามี) วัน เวลา วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2549 สถานที่ อาคาร 25 ปี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เทคนิคกรุงเทพ ทุงมหาเมฆ (ซอยสวนพลู ถนนสาทร ) ค่าใช้จ่าย ค่าเตรียมอุปกรณ์และค่าอำนวยความสะดวกของสถานที่ 100 บาท/คน เด็กและเยาชน ฟรี ครับ ลงชื่อจองในที่นี้ครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 10, 2006, 06:17:39 AM สำหรับผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่นและเทคนิคการตี น่าสนใจมากครับ เนื่องจากมีผู้สนใจในดาบญี่ปุ่นพอสมควร ทั้งมือเก่า และมือใหม่จำนวนหนึ่งสนใจ จึงเชิญ อ.เด็กอยากเล่นมีด ใน www.thaiblades.com ซึ่งเป็นผู้สนใจในศิลปะของดาบญี่ปุ่น เป็นนักสะสม มีความรู้ด้านโลหะวิทยา และศึกษากระบวนการตีดาบญี่ปุ่นมาอย่างดี ให้ช่วยเผยแพร่ให้แก่ผู้สนใจ ผู้ร่วมเสวนา อ.เด็กอยากเล่นมีด นั่งคุยร่วมกับผมเอง และแขกรับเชิญ (ถ้ามี) วัน เวลา วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม 2549 สถานที่ ระหว่างตรวจสอบ จำนวนผู้สนใจ ค่าใช้จ่าย ค่าเตรียมอุปกรณ์และค่าอำนวยความสะดวกของสถานที่ 100 บาท/คน เด็กและเยาชน ฟรี ครับ ลงชื่อจองในที่นี้ครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 07:01:47 AM ชอบครับ....ซามูไร....สมัยเป็นวัยรุ่น (ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง) เคยยกพวกตีกันใช้ซามูไรที่ขายตลาดแม่สายฟันกัน ทีเดียว เหล็กใบมีดเกือบขาดออกจากกัน.....ครับ...นึกได้สมัยนี้ แหม ... เรานี่ก็โง่ มาก ๆ เลย...ทำไปทำแบบนั้น.... :DD
ดาบซามูไร ตำนานของอาวุธสังหาร และงานศิลปะ โดย :: กมลศักดิ์ สรลักษณ์ลิขิต ภายใต้ความประณีตผสมผสานเนื้อเหล็กชั้นดี และวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณราวหนึ่งพันปีเศษ ทำให้ดาบญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดเหนือกว่าดาบของชนชาติอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ราวพันปีก่อนช่างตีดาบเขาผลิตดาบเนื้อดีแข็งแกร่งและคมอย่างมีดโกนได้อย่างไร ภายใต้อาวุธสังหารอันคมกริบ ดาบซามูไรก็เป็นงานศิลปะชั้นยอด เป็นของที่มีค่าและวิธีการตีดาบซามูไรยังเป็นศาสตร์ที่สูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ คนไทยเริ่มรู้จักดาบซามูไรเมื่อติดต่อค้าขายกับญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยอยุธยา สงครามโลกครั้งที่สอง...ดาบซามูไรเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทหารญี่ปุ่นใช้ตัดหัวเชลยศึกขาด...ได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวและทำให้ดาบซามูไรเริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา และแทบไม่น่าเชื่อว่า...ยุคทองของดาบซามูไรนั้นมีมานานกว่า ๗๐๐ ปี ถือเป็นยุคที่ดาบมีคุณภาพดีที่สุดเหนือกว่ายุคใดๆ ของดาบญี่ปุ่น (http://i2.tinypic.com/2450zgj.jpg) Samurai ... ซามูไร (Samurai) คือนักรบหรือมีความหมายว่าผู้รับใช้ ดาบคู่กายซามูไรเปรียบเหมือนจิตวิญญาณของซามูไรทุกคน หากซามูไรลืมดาบ...เท่ากับว่านำตนเองไปสู่ความตายได้ทุกเมื่อ ลัทธิ "บูชิโด" สอนให้เหล่าซามูไรยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่าความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปรัชญาแห่งบูชิโดกล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก" ชาวญี่ปุ่นโบราณยกย่องชาวนาและช่างฝีมือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ "ช่างตีดาบ" เดิมนักรบชาวญี่ปุ่นใช้ดาบจากจีนและเกาหลีในการสู้รบ ในสมัย "นาร่า" (Nara Period) ประมาณปี พ.ศ. ๑๑๙๓-๑๓๓๖ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ ปีเศษล่วงมาแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือเวลาสู้รบดาบมักหักออกเป็นสองท่อน จักรพรรดิจึงสั่งให้ช่างตีดาบปรับปรุงดาบให้ดีขึ้นกว่าเดิม Nara Period ช่างตีดาบยุคแรกมีชื่อว่า "อามากุนิ" เขาพัฒนาการตีดาบไม่ให้หักง่ายด้วยการใช้เหล็กที่ดี และมีการศึกษาวิธีทำให้เหล็กแข็งแกร่งกว่าเดิม เหล็กที่ดีของญี่ปุ่นได้จากการถลุง มีชื่อว่า "ทามาฮากาเน่" (Tamahagane) (http://i3.tinypic.com/24511jd.jpg) Tamahagane อามากุนิพบว่า...การที่จะให้ได้ดาบคุณภาพดีต้องควบคุมของสามสิ่ง คือ การควบคุมความเย็น, การควบคุมปริมาณคาร์บอน และการนำสิ่งปะปนที่อยู่ในเหล็กออก ปริมาณคาร์บอนคือหัวใจสำคัญในการตีดาบ หากใส่คาร์บอนในเหล็กมากไปเหล็กจะเปราะ, ใส่น้อยไปเหล็กจะอ่อน จึงต้องใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ เหล็กถูกนำมาหักแบ่งเป็นชิ้นเล็กวางซ้อนกันก่อนหลอม และนำไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นจึงพับเหล็กเป็นสองชั้นขณะยังร้อนๆ แล้วตีซ้ำอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เหล็กจะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหมื่นๆ ชั้น ทำให้คาร์บอนกระจายไปจนทั่วเนื้อเหล็ก แล้วจึงนำไปตีแผ่ออกให้เป็นใบดาบ จะได้ใบดาบที่ดีเนื้อเหล็กแกร่งและคมไม่หักอีกต่อไป แต่...นี่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นดาบที่สุดยอด สี่ร้อยปีผ่านมาเข้าสู่สมัยคามาคูระ (Kamakura Period) ราวปี พ.ศ. ๑๗๓๕-๑๘๗๙ จักรพรรดิบอกให้ช่างตีดาบศึกษาวิธีการตีเหล็กจากยุคโบราณ Kamakura Period ยุคนี้ถือเป็นจุดเริ่มยุคทองของดาบซามูไร มีการพัฒนาดาบให้ดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อกว่า ๔๐๐ ปีก่อน ถือเป็นเทคนิคที่สุดยอดของดาบ มีการเพิ่มวิธีการผสมเหล็กสองชนิดเข้าด้วยกัน เหล็กที่มีความแข็งจะมีปริมาณคาร์บอนสูงใช้ทำเป็นตัวดาบ และเหล็กอ่อนที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำใช้ทำเป็นไส้ดาบเพื่อให้ยืดหยุ่น จากเหล็กสองชนิดที่ถูกนำมาพับและตีมากกว่าสิบชั้น ทำให้เกิดชั้นเล็กๆ เป็นทวีคูณเป็นหมื่นชั้น ช่างตีดาบจะพับเหล็กแข็งให้เป็นรูปตัว ย และนำเหล็กอ่อนมาวางไว้ตรงกลางเพื่อทำเป็นไส้ใน แล้วนำไปหลอมและตีรวมกันใหแผ่ออกเป็นใบดาบ จากนั้นนำไปหลอมในอุณหภูมิที่เหมาะสมซึ่งมากกว่า ๗๐๐ องศาเซลเซียส แล้วจึงนำมาแช่น้ำเย็น การแช่น้ำต้องระมัดระวังมาก หากแช่ไม่ดีดาบจะโค้งเสียรูป เหล็กที่มีความแข็งต่างกันเมื่อทำให้เย็นทันทีจะหดตัวต่างกัน ถือเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ใบดาบโค้งได้รูปตามธรรมชาติ ดาบสามารถฟันคอขาดได้เพียงครั้งเดียว บาดแผลที่ได้รับจากดาบจะเจ็บปวดมาก ซามูไรยังต้องเรียนรู้การใช้ดาบอย่างช่ำชองว่องไวและคล่องแคล่ว ให้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จากความสามารถนี้เองทำให้ซามูไรเพียงคนเดียวสามารถสังหารศัตรูที่รายล้อมตนกว่าสิบคนได้ภายในชั่วพริบตาด้วยดาบเพียงเล่มเดียว แต่ประเพณีการต่อสู้ของชนชั้นซามูไรคือการต่อสู้ "ตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทด้วยดาบ" ผู้แพ้ที่ยังมีชีวิตอยู่คือผู้ที่ไร้เกียรติ ซามูไรจึงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ การฆ่าตัวตายอย่างสมเกียรติด้วยการทำ "เซปปุกุ" คือเกียรติยศของซามูไร เดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. ๑๘๑๗ ชาวมองโกลของกุบไลข่านบุกญี่ปุ่นที่อ่าวฮากาตะ ด้วยกองทัพเรือ ๘๐๐ ลำ และกองพลสามหมื่นนาย เหล่าซามูไรต้องการจะสู้กันตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทเยี่ยงสุภาพบุรุษกับนักรบระดับผู้นำ แต่ไม่ได้ผล พวกซามูไรต้องปะทะสู้ที่ชายหาดกับฝูงธนูอาบยาพิษและระเบิด เป็นสงครามที่ไม่มีระเบียบและตกเป็นรอง พายุไต้ฝุ่นช่วยทำลายกองเรือของชาวมองโกลจนหมดสิ้น การรบครั้งแรกเหมือนการหยั่งเชิงของชาวมองโกลเพื่อดูกำลังของศัตรู อีกเจ็ดปีต่อมาพวกมองโกลกลับมาอีกครั้งด้วยกองเรือ ๔,๐๐๐ ลำ กองทหารอีกสองแสน พวกซามูไรรบพุ่งกับลูกธนูอย่างกล้าหาญ พวกเขาตัดเรื่องมารยาททิ้งไป ตกกลางคืนเหล่าซามูไรพายเรือลอบเข้าโจมตีพวกมองโกลประชิดตัวด้วยการใช้ดาบที่ช่ำชอง ดาบทหารมองโกลไม่มีทางสู้ดาบซามูไรได้เลย ระหว่างสงครามพายุไต้ฝุ่นก็ทำลายกองเรือของมองโกลอีกครั้ง กองเรือสองในสามจมไปกับทะเลพายุ, ทหารมองโกลจมน้ำตายนับหมื่น พวกที่ว่ายน้ำเข้าฝั่งก็ตายด้วยคมดาบอย่างหมดทางสู้ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเมืองนี้ถูกปกป้องจากพระเจ้า และตั้งชื่อลมพายุนี้ว่า "กามิกาเซ่" (Kami-Kaze) หมายถึงลมศักดิ์สิทธิ์ หรือลมผู้หยั่งรู้ หลังจากนั้นพวกมองโกลก็ไม่ได้กลับมาตีญี่ปุ่นอีกเลย หลังจากสงครามสิ้นสุด บ้านเมืองอยู่ในความสงบ พบว่าหลังจากการรบที่ผ่านมาดาบมักจะบิ่น จักรพรรดิจึงบอกให้ช่างตีดาบหาวิธีแก้ไข ช่างตีดาบที่สร้างสมดุลของความแข็งและความอ่อนของเหล็กและพัฒนาโครงสร้างของดาบออกเป็นเหล็กสามชิ้น คือ "มาซามูเน่" (Masamune) (http://i2.tinypic.com/245125w.jpg) Masamune ราวปี พ.ศ. ๑๘๔๐ ดาบของมาซามูเน่ถือเป็นดาบที่พัฒนาถึงขั้นสูงสุด ในญี่ปุ่นไม่มีช่างตีดาบคนใดจะเทียบได้ เขาสร้างความสมดุลของความแข็งของคมดาบ เคล็ดลับการทำดาบคือการผสมเหล็กสามชนิดเข้าด้วยกัน เหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนสูงจะใช้เป็นใบดาบด้านข้างที่เรียกว่า Gawa-gane และด้านคมดาบ (Ha-gane) ใช้เหล็กที่แข็งมากโดยผ่านการพับและตีถึง ๑๕ ครั้ง ซึ่งสามารถสร้างชั้นของเหล็กที่ซ้อนกันถึง ๓๒,๗๖๘ ชั้น ทำให้เหล็กเหนียวและแกร่งมากกว่าส่วนอื่นๆ ส่วนเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำจะใช้เป็นส่วนไส้ใน (Core Steel) ทำให้มีความยืดหยุ่นเรียกว่า Shi-gane แล้วนำไปหลอมที่อุณหภูมิประมาณ ๘๐๐ องศาเซลเซียสให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงนำมาตีแผ่ออกเป็นใบดาบ ช่างตีดาบคนอื่นๆ เริ่มเลียนแบบในเวลาต่อๆ มา ช่างตีดาบในยุคเดียวกันที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงมาซามูเน่ คือ "มารามาซะ" กล่าวกันว่าใครที่มีดาบของ "มารามาซะ" ไว้ครอบครอง เลือดจะสูบฉีดให้อยากที่จะชักดาบออกมาสังหารคู่ต่อสู้เพราะความคมของมัน ในขณะเดียวกันซามูไรที่ครอบครองดาบของ "มาซามูเน่" กลับสงบนิ่งเยือกเย็น ดาบญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาช่วงสมัยเอโดะ (พ.ศ. ๒๑๔๖-๒๔๑๐) จากการติดต่อค้าขาย ญี่ปุ่นนำพัดและดาบเข้ามาในอยุธยา โดยเฉพาะดาบมีความสำคัญต่อพระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางในราชสำนักสยามแต่งตัวในชุดเต็มยศ ห้อยดาบเข้าพิธีสำคัญๆ ต่างๆ ในพระราชสำนัก อีกทั้งหนึ่งในห้าของ "เบญจราชกกุธภัณฑ์" คือ "พระแสงขรรค์ชัยศรี" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดแห่งอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน แม้แต่ดาบหรือกระบี่ของตำรวจและทหารในชุดเต็มยศของไทยในปัจจุบัน เรียกว่าดาบทหารม้า (Parade Saber) ซึ่งได้รับอิทธิพลพื้นฐานมาจากดาบญี่ปุ่นทั้งสิ้น (http://i1.tinypic.com/245a2ky.jpg) Ronin ซามูไรเหล่านี้ได้กลายเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ดาบทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีชื่อเรียกว่า "Gunto" เป็นดาบที่ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๑ และสิ้นสุดการผลิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นยุค Modern เป็นดาบที่ทำเพื่อการสงคราม ผลิตจำนวนมาก ยังคงความคมกริบ แต่ไม่ประณีต และไม่มีขั้นตอนการทำอย่างประเพณีโบราณ ดาบรุ่นนี้ตกค้างอยู่ในแถบอินโดจีนจำนวนมากหลังจากสงครามสิ้นสุด ซึ่งอาจจะพบได้ในประเทศพม่าและประเทศไทย ถูกฝังดินอยู่กลางป่าหรือในถ้ำตามเส้นทางเดินทัพของทหารญี่ปุ่น ดาบยุคสงครามจะเป็นดาบที่ใช้ฝักทำด้วยเหล็ก มีห่วงทองเหลืองหรือทองแดงเรียกว่า "โอบิ-โทริ" ใช้สำหรับห้อยกับเข็มขัด ตัวดาบและฝักเหล็กมีน้ำหนักมาก จึงไม่เหมาะที่จะใช้เหน็บเอวอย่างดาบฝักไม้แบบโบราณ ซึ่งมีห่วงผูกเงื่อนที่ทำจากผ้าไหมใช้เหน็บเอวของซามูไร ดาบทหารที่ไม่มีขั้นตอนการผลิตในแบบพิธีกรรมโบราณ จึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างดาบของพวกซามูไร (http://i6.tinypic.com/245a36a.jpg) Gunto ส่วนพิธีกรรมโบราณนั้นมีขั้นตอนมากมายและถือเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ช่างตีดาบต้องถือศีลกินเจในขณะที่หลอมเหล็ก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เพื่อผลิตดาบให้เป็นมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้นๆ ดาบคล้ายกับเครื่องลางของขลัง หรืออย่างพระเครื่องของคนไทยที่ปลุกเสกจากเกจิอาจารย์ดัง ช่างตีดาบและลูกมือจะร่วมมือกันทำดาบเพียงหนึ่งเล่มในระยะเวลามากกว่าเดือน ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าช่างตีดาบที่ดีจะทำดาบที่ดีออกมา หากช่างตีดาบมีจิตใจไม่ดีดาบที่ตีออกมาก็จะไม่ดีไปด้วย ดาบแต่ละเล่มจึงมีราคาไม่เท่ากัน กล่าวกันว่า...บางเล่มราคามากกว่าที่ดินหนึ่งผืน หรือดาบที่ดีเพียงเล่มเดียวอาจจะมีราคาสูงกว่าหอกสามร้อยเล่ม ในสมัยโบราณดาบจึงไม่ใช่อาวุธที่สามารถจะซื้อมาใช้ในกองทัพได้ นอกจากเป็นสมบัติส่วนตัวของเหล่าซามูไรเท่านั้น ช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน "ซาดาอิจิ กัสสัน" Sadaeji Gassan ช่างตีดาบที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เราอาจจะเคยเห็นท่านถือดาบไว้ในมือกับโฆษณานาฬิกาโรเล็กซ์เมื่อหลายปีก่อน กัสสันเป็นตระกูลช่างตีดาบที่ตกทอดมากว่า ๗๐๐ ปี ปัจจุบันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมการตีดาบอย่างประณีตตามขั้นตอนและวิธีการแต่โบราณจากยุคทอง สมัยคามาคูระ โดยเป็นมรดกตกทอดมาถึง "ซาดาโตชิ กัสสัน" (Sadatoshi Gassan) ดาบซามูไรยังคงความประณีตงดงามถือเป็นงานศิลปะขั้นสูงสุดตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ปัจจุบันยังมีช่างตีดาบอีกจำนวนมากที่ตีดาบตามแนวทางดั้งเดิม (http://i5.tinypic.com/245a44x.jpg) Sadatoshi Gassan .......... ยุคสมัยของดาบซามูไร แบ่งออกได้ ๔ ยุค ๑. ยุคดาบโบราณ (Ancient Sword) ก่อนคริสต์ศักราช ๙๐๐ (ก่อน พ.ศ. ๑๔๔๓) ยุคที่ดาบของ "อามากุนิ" ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการถลุงเหล็กเนื้อดีในสมัยนาร่า (http://i6.tinypic.com/245a68p.jpg) ๒. ยุคดาบเก่า (Old Sword) ราวปี พ.ศ. ๑๔๔๓-๒๐๗๓ ถือเป็นยุคทองของดาบซามูไร แทบไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ศิลปะไทย จะอยู่ในช่วงเดียวกับศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘) จนถึงสมัยศิลปะสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐) ในขณะที่ปี พ.ศ. ๑๘๔๐ เป็นปีที่ดาบของ "มาซามูเน่" ถือกำเนิดขึ้นและภูมิปัญญาขั้นสูงสุดที่ตกทอดเป็นมรดกของดาบชั้นยอด (http://i4.tinypic.com/245a6o2.jpg) ๓. ยุคดาบใหม่ (New Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๑๓๙-๒๔๑๐ ซึ่งอยู่ช่วงเดียวกับศิลปะสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ คือช่วงสมัยเอโดะ และยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามคนเข้าออกอย่างเด็ดขาด (พ.ศ. ๒๑๘๒) ๔. ยุคดาบสมัยโมเดิร์น (Modern Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึงปัจจุบัน ยุคที่ดาบทหารถือกำเนิดขึ้น (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๘๘) การผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการสงครามไม่มีพิธีกรรมแบบโบราณ ดาบญี่ปุ่นมัวหมองเพราะถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ การตัดคอเชลยศึกไม่ใช่ประเพณีของชนชั้นซามูไร พอมาถึงสมัยปัจจุบันดาบกลายเป็นงานศิลปะชั้นสูงที่มีราคาแพง ชนิดของดาบซามูไร ดาบมีหลายแบบและหลายประเภท แต่สามารถแบ่งชนิดหลักๆ ออกได้ ๓ ชนิดดังนี้ ดาบยาว (Long Sword) ๑. "ตาชิ" (Tachi) ดาบยาวของทหารม้า มีความโค้งของใบดาบมาก ใช้ฟันจากหลังม้า มีความยาวของใบดาบมากกว่า ๗๐ เซนติเมตร (http://i2.tinypic.com/245a78h.jpg) Tachi ๒. "คาตานะ" (Katana) ดาบที่มาแทนที่ดาบตาชิของทหารม้า ตั้งแต่กลางสมัยมุโรมาชิ (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) สามารถใช้ต่อสู้บนพื้นดินได้คล่องตัวกว่า เพราะมีความโค้งน้อยควบคุมได้ง่าย ความยาวใบดาบโดยประมาณ ๖๐.๖ เซนติเมตรขึ้นไปถึง ๗๐ เซนติเมตร (http://i4.tinypic.com/245a8uo.jpg) (http://i1.tinypic.com/245a935.jpg) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 10, 2006, 07:04:52 AM อืม..นาย Spooner ใช้ได้ทีเดียวนี่ แบบนี้คุยกับคุณบัญชาได้นาน
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 07:06:20 AM Katana
.............. ดาบขนาดกลาง (Medium Sword) "วากิซาชิ" (Wakizashi) ดาบที่ใช้พกพาคู่กับดาบคาตานะของซามูไร ใบดาบมีความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วถึง ๒๔ นิ้ว ดาบที่ซามูไรใช้สำหรับทำ "เซปปุกุ" เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้ (http://i1.tinypic.com/245a9vl.jpg) wakizashi ตามปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และโดยธรรมเนียมห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น ...... ดาบขนาดสั้น (Short Sword) ๑. "ตันโตะ" (Tanto) มีลักษณะคล้ายมีดสั้น ความยาวน้อยกว่าดาบวากิซาชิ (http://i3.tinypic.com/245aadt.jpg) Tanto ๒. "ไอกุชิ" (Aikuchi) คล้ายมีดไม่มีที่กั้นมือ ใช้สำหรับพกในเสื้อ เหมาะกับสตรี (http://i4.tinypic.com/245ac5v.jpg) Aikuchi ความงามของดาบซามูไร ตลอดทั้งตัวดาบหากสังเกตจะเห็นว่าดาบนั้นมีความงดงามมาก งามตามธรรมชาติทั้งๆ ที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ จุดเด่นคงอยู่ที่ลักษณะใบดาบที่โค้งได้รูป ถือเป็นการออกแบบที่สุดยอด ลวดลายน้ำบนใบดาบเรียกว่า "ฮามอน" ถูกประดิษฐ์ขึ้นมากว่าพันปีโดย "อามากุนิ" ไม่เป็นเพียงลวดลายที่งดงามอย่างเดียว แต่เป็นความลับของคมดาบด้วย ในส่วนของที่กั้นมือเรียกว่า "Tsuba" (Handguard) มักทำจากเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง หรือเงิน เป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยม มีการทำลวดลายต่อเนื่องทั้งสองด้านมาตั้งแต่โบราณ มีมากมายหลายแบบจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (ยกเว้นของดาบทหารที่มีลวดลายเดียวเฉพาะเท่านั้น) ส่วนด้ามจับที่ทำด้วยไม้ หุ้มทับด้วยหนังปลากระเบนและผ้าไหม พับเว้นช่องเป็นรูปข้าวหลามตัด คือเอกลักษณ์ของดาบที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องราวของดาบยังมีอีกมากมาย ล้วนแต่เป็นรายละเอียดที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นลายของเนื้อเหล็กที่เกิดจากการตีเหล็กและหลอม, ชนิดของลวดลายฮามอนบนใบดาบ หรือดาบกับการทำ "เซปปุกุ" หรือการคว้านท้อง เป็นต้น จากประสบการณ์ของผู้เขียน...ที่ได้สัมผัสกับดาบซามูไรเก่า พบว่าตัวดาบมีคุณลักษณะพิเศษ คือสามารถทรงตัวให้วางตั้งอยู่บนฝ่ามือได้โดยตัวดาบไม่ล้มแม้จะขยับมือไปมา จากการทดลองดูด้วยดาบซามูไรจำนวน ๓ เล่ม ซึ่งสามารถตั้งได้ทั้งหมด คงไม่ใช่เพราะความบังเอิญ เพราะว่ายังทดลองเอาดาบของไทยมาวางดู แต่ไม่สามารถตั้งได้อย่างดาบญี่ปุ่น ปัจจุบันดาบญี่ปุ่นกลายเป็นงานศิลปะที่มีราคาสูงมาก ดาบที่ขายเป็นของที่ระลึกนั้นจะไม่คม และทำด้วยสเตนเลส เป็นของประดับบ้าน ดาบยังมีการผลิตในต่างประเทศด้วย เช่น ประเทศสเปนและไต้หวัน ส่วนดาบที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่นตามขั้นตอนแบบพิธีโบราณนั้น ก็ยังมีอยู่มากมาย ยังคงเป็นดาบแท้ตีใบดาบด้วยเหล็ก หลายๆ ตระกูลอย่าง "ตระกูลกัสสัน" ยังใช้เหล็กเนื้อดีมีความคมกริบเหมือนเกือบพันปีที่ผ่านมา ดาบถูกตกแต่งหลายๆ แบบมากมายด้วยเงิน, ทอง การประดับประดาและการแกะลวดลายลงบนใบดาบ รัฐบาลญี่ปุ่นดูแลการผลิตดาบอย่างเข้มงวดเพื่อให้ทรงคุณค่าต่อไปอย่างมีเอกลักษณ์ แม้ปัจจุบันดาบจะไม่ได้เป็นจิตวิญญาณของซามูไรอย่างแต่ก่อน แต่ก็คงเป็นตำนานแห่งอาวุธสังหาร และงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดสืบไป ข้อมูลประกอบการเขียน ๑. อิชิอิ โยเนะโอะ, โยชิกาวะ โทชิฮารุ. ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ๖๐๐ ปี. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๒. ๒. ภิรมย์ พุทธรัตน์ แปล. ซามูไร นักรบชนชั้นของญี่ปุ่น. อมรการพิมพ์, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๐. ๓. John M. Yumoto. Samurai Swords a Handbook. thirty-sixth printing, Charles E. Tuttle Publishing Company, Inc. Tokyo, 2000. ๔. David Miller. Samurai Warriors. Pegasus Publishing Ltd, New York, 1999. ๕. Soul of The Samurai Sword. Discovery Channel. ถ้างานนี้อยู่ใกล้ ๆ คงต้องไปแน่ครับ....เพื่อเป็นการอัพเดท ข้อมูลใหม่. ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ.....ครับ.. :) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: ช่าง...ตู่.... ที่ สิงหาคม 10, 2006, 08:56:25 AM (http://img158.imageshack.us/img158/3360/i211af6.gif) (http://img45.imageshack.us/img45/6797/i281wb4.gif)
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: รัตตรา ที่ สิงหาคม 10, 2006, 09:46:17 AM (http://i6.tinypic.com/245hhlc.gif) (http://i5.tinypic.com/245hmbq.gif) (http://i5.tinypic.com/245hmbq.gif)
(http://i5.tinypic.com/245hmbq.gif) (http://i5.tinypic.com/245hmbq.gif) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ สิงหาคม 10, 2006, 09:56:15 AM กิจกรรมน่าสนใจ เดี๋ยวนี้มีทำเลียนแบบออกขายเป็นชุดราคา 1.5 -2 พันบาท มี 2 เล่มพร้อมขาตั้งโชว์
เข้าใจว่าคงใช้เหล็กคุณภาพไม่ดีนัก แต่ก็สวยดี หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 10:43:10 AM ไหน ๆ ก็กล่าวถึงเรื่องของดาบแล้ว ก็ต่อซะเลยครับ...
(http://i5.tinypic.com/245k943.jpg) การตายที่มีเกียรติของซามูไรญี่ปุ่นคือ การทำฮาระคิริ (Harakiri) หรือเซ็ปปุกุ (Seppuku) หรือการคว้านท้อง การตายแบบนี้ต้องใช้พลังจิต และความอดทนอย่างสูงที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ซึ่งมาจากการใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา แล้วกรีดมาทางซ้ายจากนั้นดึงมีดขึ้นข้างบน การคว้านท้องเช่นนี้ เป็นการเปิดเยื่อบุช่องท้องแล้วตัดลำไส้ให้ขาด การตายด้วยวิธีนี้นอกจากเป็นการตายอย่างมีเกียรติแล้ว ยังเป็นการแสดงความกล้าหาญและพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับจิตใจของตนเอง... เกราะ พูดถึงซามูไรคนมักจะนึกถึงเสื้อเกราะและหมวก ซึ่งทำจากเหล็กกล้าขนาดบาง (ช่วงศตวรรษที่ 5 และ 6) และมีลักษณะเป็นชั้นบางๆ ซ้อนกันอย่างเกราะซามูไรที่เห็นกันในปัจจุบันนี้ เกราะแบบนี้ ทำจากแผ่นเหล็กบางๆ ร้อยซ้อนกันเป็นแผ่น แล้วเคลือบด้วยแลคเกอร์อีกชั้นเพื่อกันน้ำ จากนั้นนำมาประกอบกันเป็นชุดโดยใช้เชือกหนังร้อยให้เกยกัน เกราะดั้งเดิมจะมีสองรูปแบบด้วยกัน ดังนี้: โยโรอิ เกราะสำหรับซามูไรขี่ม้า ซึ่งมีหมวกเกราะน้ำหนักมากและแผงกำบังไหล่ด้วย โดมารุ เกราะสำหรับซามูไรเดินเท้า เป็นเกราะสวมพอดีตัวและมีน้ำหนักเบา (http://i1.tinypic.com/245ka2w.gif) (http://i4.tinypic.com/245kakg.gif) ต่อมาเมื่อการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมีบทบาทมากขึ้น เกราะแบบโดมารุจึงได้รับความนิยมในหมู่ซามูไรมากกว่า และมีการดัดแปลงรูปแบบให้มีหมวกน้ำหนักมาก แผงกำบังไหล่และคางน้ำหนักเบาด้วย หมวกซึ่งเรียกว่า คาบุโตะ ทำจากแผ่นเหล็กที่ยึดติดกันด้วยหมุดเหล็ก ซึ่งในบางแบบอาจมีหมุดเหล็กดังกล่าวเรียงเป็นแผงนอกหมวกเพื่อให้ดูมีเอกลักษณ์ ซามูไรชั้นที่สูงขึ้นไปจะมีตราประจำตระกูลและเครื่องประดับอื่นๆติดอยู่บนหมวกด้วย บ้างก็มีหน้ากากเหล็กเป็นภาพปีศาจติดอยู่ด้วย พร้อมหนวดเคราทำจากขนม้า ในยามสงบ การประดับตกแต่งหมวกยิ่งเป็นไปอย่างเอิกเกริกจนกลายเป็นงานศิลปะไปสำหรับสมัยปัจจุบัน หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 10:48:17 AM การสวมเกราะ
ในการออกศึก ซามูไรจะแต่งองค์ทรงเครื่องครบครัน เพื่อป้องกันอาวุธศัตรู ขั้นตอนการสวมใส่เสื้อเกราะจึงต้องพิถีพิถันมาก (http://i2.tinypic.com/245kfut.jpg) เริ่มแรกจะต้องใส่ชุดชั้นใน ซึ่งมีผ้าเตี่ยวแบบพิเศษ ตามด้วยชุดกิโมโนที่ทำด้วยผ้าลินินอย่างดี กางเกงทรงโปร่งขายาว รวมทั้งสวมหมวกผ้าบุนวมเพื่อรองรับน้ำหนักหมวกเล็กอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นจึงจะนำเสื้อเกราะเหล็กมาสวมทับ จุดตาย การต่อสู้นั้นไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือตั้งรับก็ตาม ย่อมไม่เกินจุดตาย 9 จุดนี้ กลางกระหม่อม ท่าฟันเฉียงซ้าย ท่าฟันเฉียงขวา ฟันระดับสะโพกซ้าย ฟันระดับสะโพกขวา ฟันเฉียงบนซ้าย ฟันเฉียงบนขวา ฟันทวนพายุ(ฟันจากล่างขึ้นบน) ท่าทะลวง(ใช้ในระยะประชิด) (http://i6.tinypic.com/245kgsj.gif) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 10:50:59 AM ถ้ากล่าวถึงซามูไรแล้ว...ไม่ได้กล่าวถึง..คำว่า "บูชิโด" ก็รู้สึกว่ากะไร ๆ อยู่ ก็เลยขอต่ออีกนิดนะครับ....
ลัทธิบูชิโด....... :) คงต้องท้าวความก่อนว่าญี่ปุ่นในสมัยก่อน ลัทธิศาสนาได้ถูกริดรอนเสรีภาพและถูกห้ามแพร่หลาย ยกเว้นลัทธิขงจื๊อเพราะเป็นลัทธิที่เกื้อหนุนต่อการปกครองแบบทหาร ซึ่งเป็นยุคที่เกิดพวกนักรบหรือซามูไร (Samurai) และมีสำนักสำหรับฝึกซามูไรหลายแห่ง ประกอบกับได้มีผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งคือ ยามากะ โซโก (Yamaga Soko - ค.ศ. 1622 - 1685) ได้นำแนวคิดแบบชินโตกับขงจื๊อมาประสานกัน ซึ่งนำไปสู่การสร้างลัทธิบูชิโด (Bushido) ลัทธิบูชิโด คือ ลัทธิที่ยอมรับและยกย่องวิถีแห่งคนกล้า ซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกว่า"ซามูไร" (Samurai) คำว่า "บูชิโด" ได้แปลว่า "หนทางของอัศวินนักต่อสู้" (the way of the fighting knight) ซึ่งเราอาจแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า "มรรควิธีที่จะนำไปสู่ความเป็นซามูไร" ลัทธิ "บูชิโด" สอนให้เหล่าซามูไรยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่าความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปรัชญาแห่งบูชิโดกล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก" หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นถูกบังคับให้ปิดประเทศ จึงทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ทันกับความเจริญของโลกในขณะนั้น ทำให้ศาสนาทุกศาสนาที่มีอยู่ในญี่ปุ่นสามารถเผยแพร่ได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แม้แต่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นก็เปิดโอกาสให้ประชาชนนับถือศาสนาใดก็ได้ (http://i4.tinypic.com/245kj94.gif) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: Sig228-kolok ที่ สิงหาคม 10, 2006, 11:41:11 AM ด้วยความเคารพครับ........
คิดจะเก็บแบบดีๆไว้สักเล่มครับ แต่เห็นราคาแล้วคงเป็นลำดับท้ายๆ ของๆเล่นครับ... ;D ขอบคุณครับ.................. หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 10, 2006, 12:41:06 PM อ้างถึง บูชิโด Bushido code = Way of the Warrior. ;)หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 12:55:36 PM อ้างถึง บูชิโด Bushido code = Way of the Warrior. ;)Way of the Warrior.......วิถีแห่งนักสู้........พอใช้ได้มั้ยครับพี่... ;Dขออนุญาตครับ...โลโก้ของพี่เจษ แปลกดีครับ...เขาคือใครหรือครับ... :) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 10, 2006, 01:43:52 PM อ้างถึง บูชิโด Bushido code = Way of the Warrior. ;)Way of the Warrior.......วิถีแห่งนักสู้........พอใช้ได้มั้ยครับพี่... ;Dขออนุญาตครับ...โลโก้ของพี่เจษ แปลกดีครับ...เขาคือใครหรือครับ... :) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวอู๋ ที่ สิงหาคม 10, 2006, 02:09:29 PM สุดยอดเลยเลยครับ ขอคุณครับสำหรับบทความดีๆ สนใจมากครับเรื่องดาบซามูไร :VOV: หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: หรอย ที่ สิงหาคม 10, 2006, 04:15:29 PM ขอบคุณครับ คุณSPOONNER ดาบซามูไรก็เป็นอีกหนึ่งในความฝันของผมครับ
ตอนนี้ก็แค่ได้ TANTO ของ COLDSTEEL เท่านั้นครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 04:16:18 PM It's me ;D ;D (http://i1.tinypic.com/2463vnl.gif)โอ้....ไม่จริ้ง........พี่เจษหล่อกว่าตั้งเยอะ....นี่ครับ(http://i5.tinypic.com/2463x9s.gif) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 10, 2006, 04:39:31 PM บทความของคุณกมลศักดิ์ เป็นบทความที่เขียนลงหนังสือศิลปวัฒนธรรมเมื่อหลายปีมาแล้ว เป็นบทความที่สรุปเรื่องราวของดาบญี่ปุ่นได้ดีมากเรื่องหนึ่ง
แต่ข้อมูลบางเรื่องควรแก้ไข ควรแก้ไขก่อนที่จะทำให้คนเข้าใจผิดไปอีก โดยเฉพาะการกล่าวอ้างว่าการสร้าง พระแสงขรรค์ชัยศรี ได้อิทธิพลพื้นฐานจากดาบญี่ปุ่นนั้นควรได้รับการแก้ไข การอ้างถึงในปี 2004 ผมได้ให้ความเห็นว่าควรแก้ไขไว้แล้ว ที่นี่ครับ http://thaiblades.com/forums/showthread.php?t=1983&highlight=%B4%D2%BA%AB%D2%C1%D9%E4%C3 ใน คห.1 ระหว่าง ****......**** ที่จริงพบว่าอาจจะต้องทำความเข้าใจใหม่มีหลายเรื่องเช่น - การนำเหล็กต่างชนิดมา**หลอม** ที่จริงญี่ปุ่นเขาเอามาตีเชื่อมกันแล้วตียืดออกโดยมีเหล็กอ่อนเป็นแกน แต่ถ้าไม่เข้าใจจะคิดว่าเป็นการหลอม - น้ำที่ชุบแข็งดาบไม่ใช่**น้ำเย็น** แต่เป็นน้ำที่ค่อนข้างอุ่นกว่าอุณหภูมิห้อง - การตั้งดาบแล้วคมหงายขึ้น เกิดจากความโค้งของดาบ ดาบไทยที่โค้งมากหน่อยก็เป็น เป็นต้น แต่ไม่ได้ซีเรียสอะไรเลยไม่ได้แก้ ถือว่าให้เครดิตคนเขียน....ซึ่งถือว่าโดยรวมเขียนได้ดีมากแล้ว หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 10, 2006, 04:43:34 PM สถานที่ แจ้งใช้ที่สถานที่ ครับ
อาคาร 25 ปี สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล เทคนิคกรุงเทพ ทุงมหาเมฆ (ซอยสวนพลู ถนนสาทร ) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 04:46:14 PM นั่นสิครับ....หากมีความรู้อะไร ใหม่ ๆ ก็อยากรู้เหมือนกันครับ...เหมือนกับที่ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า ความรู้มักจะเกิดขึ้นใหม่ ๆ เสมอ ใช่ว่าคนที่เขียนหรือคิดคนแรก จะถูกเสมอไป มีอะไรก็เชิญเอามาแลกเปลี่ยนกันครับ.... ;)
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 10, 2006, 04:57:10 PM ต่างกันในรายละเอียดเท่านั้นครับ
ความรู้ที่นำเสนอไม่ใช่ความรู้ใหม่เลย เป็นความรู้เดิมที่ช่างญี่ปุ่นใช้กันมานาน บางท่านอาจจะทราบมาผิด แต่เห็นมีเด้กรุ่นใหม่หลายคนสนใจ + มีคนหลอกขายของมากมาย เลยคิดว่าหากคนที่สนใจ ได้พบปะเสวนากันบ้างน่าจะดี หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 05:02:44 PM ต่างกันในรายละเอียดเท่านั้นครับ ความรู้ที่นำเสนอไม่ใช่ความรู้ใหม่เลย เป็นความรู้เดิมที่ช่างญี่ปุ่นใช้กันมานาน บางท่านอาจจะทราบมาผิด แต่เห็นมีเด้กรุ่นใหม่หลายคนสนใจ + มีคนหลอกขายของมากมาย เลยคิดว่าหากคนที่สนใจ ได้พบปะเสวนากันบ้างน่าจะดี เสียดายถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะไปร่วมฟังด้วยครับ.. หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 10, 2006, 05:22:20 PM ยืนยันสถานที่ เป็นที่ เทคนิคกรุงเทพครับ
ในการนี้ ผมเชิญ อ.นวรัตน์ เลขะกุล อดีตนักเรียนทุนญี่ปุ่น ของธนาคารแห่งประเทศไทย อดีต ผอ.พิพิธภัณฑ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ไปเป็นแขกรับเชิญด้วย หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: A B A C U S รั ก ใ น ห ล ว ง ที่ สิงหาคม 10, 2006, 05:55:37 PM :VOV:
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 10, 2006, 06:29:29 PM อยู่นี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีวาสนาครอบครองดาบญี่ปุ่นดีๆสักเล่มเลย :~) :~) เพราะเราต้องขอใบอนุญาตด้วยครับ :~)
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 10, 2006, 06:31:05 PM อยู่นี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีวาสนาครอบครองดาบญี่ปุ่นดีๆสักเล่มเลย :~) :~) เพราะเราต้องขอใบอนุญาตด้วยครับ :~) เหมือนกับเราขออนุญาตซื้อปืนเลยหรือครับ.. :o หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ สิงหาคม 11, 2006, 08:30:27 AM อยู่นี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีวาสนาครอบครองดาบญี่ปุ่นดีๆสักเล่มเลย :~) :~) เพราะเราต้องขอใบอนุญาตด้วยครับ :~) ;Dแล้วไอ้ที่มี ๆ หรือเคยมีนี่ไม่ต้องขอใช้มั๊ยพี่ :Dหัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 11, 2006, 12:41:41 PM อยู่นี่สิบกว่าปีแล้วยังไม่มีวาสนาครอบครองดาบญี่ปุ่นดีๆสักเล่มเลย :~) :~) เพราะเราต้องขอใบอนุญาตด้วยครับ :~) ชาวต่างประเทศขอได้มั้ยครับ ราคาที่นั่นดุเดือดพอสมควร แต่มีของดีๆให้เลือกเยอะชดเชยกันไป ยังไงก็น่าอิจฉาครับ.....มีให้ชื่นชมฟรีเยอะไปตามพิพิธภัณฑ์ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 11, 2006, 02:05:22 PM ปี 1904-1905 ญี่ปุ่นรบกับรัสเซีย ช่วงนั้นญี่ปุ่นเปิดประเทศพัฒนาตามตะวันตกมาไม่นาน รับเทคโนโยลีตะวันตกสุดตัว ดาบของทหารยังเปลี่ยนไปเป็นดาบแบบฝรั่งตามภาพนี้ ต่อมาเมื่อการพัฒนาอยู่ตัวแล้วจึงกลับมาสู่ความเป็นตัวเองมากขึ้น กลับมาใช้ดาบทรงเดิมอย่างที่เห็นในยุคสงครามโลกครั้งที่สองครับ
ในภาพนี้ตั้งแนวแน่นมาก สนามเพลาะก็เป็นแนวตรง ระเบิดตกพอดีสักลูกท่าจะแย่ ภาพใหญ่ไปครับ เชิญที่ลิงค์ http://www.learner.org/channel/courses/worldhistory/archive.html?f_itemNumber=1577&return=22-1 หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 11, 2006, 05:00:30 PM ขอบคุณมากสำหรับภาพ
ของเขากลับมาฟื้นฟูเร็ว และคนรักดาบของเขาเข้มแข็ง ดาบญี่ปุ่นจึงไม่ตายจากไป หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 11, 2006, 07:14:59 PM ดาบญี่ปุ่น คนครอบครองต้องขออนุญาตครับ ต่างชาติถ้ามีที่พำนักแน่นอนก็ขอได้ แต่เขาจะให้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง...เพราะคนออกใบนี่คือตำรวจท้องที่
ต้องไปอบรมเรื่องข้อบังคับต่างๆด้วย...ใช้เวลาราวครึ่งวัน..และต้องนัดล่วงหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ใช้ใบเฉยครับ ;D ไม่ยุ่งยากด้วย แต่ถ้าโดน..จะโดน2เด้ง ถ้าเป็นผมคง3เด้ง...เด้งที่3นี่โดนเกิบของเมียแน่ :~)....ถ้าไม่มีใบอนุญาต บางร้านมีสิทธิ์ให้แค่ได้ชมเท่านั้น ไม่ยอมขายให้ ดาบญี่ปุ่นจะต้องทำทะเบียนหลักฐาน ของผู้ทำซึ่งจะทำไว้ที่ด้าม ดาบญี่ปุ่นจะสามารถถอดด้ามออกได้ง่ายจะมีสลักไม้ตอกไว้ แค่เอาสลักนี่ออกก็สามารถถอดดูได้ ต่างกับดาบไทย ถ้าท่านใดได้มีโอกาสได้สัมผัสดาบญี่ปุ่น สิ่งที่ระวังคือห้ามใช้มือหรือนิ้วจับถ้าจะสัมผัสดูต้องสวมถุงมือหรือใช้ผ้าเช็ดหน้ารอง การเก็บดาบญี่ปุ่นจะไม่ใช้น้ำมันเช็ด แต่จะใช้ผ้าฝ้ายเช็ดให้สอาดแล้วโรยด้วยแป้งฝุ่นบางๆ เรื่องดาบผมก้ชอบมาก แต่เมียชังมากๆ เลยต้องตามใจเธอ :~) เรามันแค่ลูกไก่ในกำมือเขาแล้ว จะหนีบก้ตายจะคลายก็เสียว(สันหลัง) ;D หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ สิงหาคม 11, 2006, 10:37:35 PM ดาบญี่ปุ่น คนครอบครองต้องขออนุญาตครับ ต่างชาติถ้ามีที่พำนักแน่นอนก็ขอได้ แต่เขาจะให้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง...เพราะคนออกใบนี่คือตำรวจท้องที่ ดาบดีๆเล่มหนึ่งกี่เยนครับพี่ aniki เห็นแล้วอยากลองตีดาบดูบ้างจังเลยครับ สุดยอดนวัตกรรมชิ้นหนึ่งของโลก ผสมผสานระหว่าง วิศวกรรมโลหะการ ศิลปะ และอาวุธสังหารที่ทรงประสิทธิภาพครับต้องไปอบรมเรื่องข้อบังคับต่างๆด้วย...ใช้เวลาราวครึ่งวัน..และต้องนัดล่วงหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ใช้ใบเฉยครับ ;D ไม่ยุ่งยากด้วย แต่ถ้าโดน..จะโดน2เด้ง ถ้าเป็นผมคง3เด้ง...เด้งที่3นี่โดนเกิบของเมียแน่ :~)....ถ้าไม่มีใบอนุญาต บางร้านมีสิทธิ์ให้แค่ได้ชมเท่านั้น ไม่ยอมขายให้ ดาบญี่ปุ่นจะต้องทำทะเบียนหลักฐาน ของผู้ทำซึ่งจะทำไว้ที่ด้าม ดาบญี่ปุ่นจะสามารถถอดด้ามออกได้ง่ายจะมีสลักไม้ตอกไว้ แค่เอาสลักนี่ออกก็สามารถถอดดูได้ ต่างกับดาบไทย ถ้าท่านใดได้มีโอกาสได้สัมผัสดาบญี่ปุ่น สิ่งที่ระวังคือห้ามใช้มือหรือนิ้วจับถ้าจะสัมผัสดูต้องสวมถุงมือหรือใช้ผ้าเช็ดหน้ารอง การเก็บดาบญี่ปุ่นจะไม่ใช้น้ำมันเช็ด แต่จะใช้ผ้าฝ้ายเช็ดให้สอาดแล้วโรยด้วยแป้งฝุ่นบางๆ เรื่องดาบผมก้ชอบมาก แต่เมียชังมากๆ เลยต้องตามใจเธอ :~) เรามันแค่ลูกไก่ในกำมือเขาแล้ว จะหนีบก้ตายจะคลายก็เสียว(สันหลัง) ;D หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 11, 2006, 11:45:54 PM คุณบัญชา ในไทยใครตีดาบ Katana ได้เหมือนที่สุดครับ
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 12, 2006, 11:25:46 PM คุณบัญชา ในไทยใครตีดาบ Katana ได้เหมือนที่สุดครับ ถ้าเอารวมถึงเหล็กญี่ปุ่นมาตี นาทีนี้ความเห็นว่าช่างบุญตันใกล้เคียงที่สุดครับ ในสมาคมดาบเขา ถ้ามือใหม่ไปชมเขาให้คาบกระดาษ กลัวน้ำลายไปโดน :) ผงแป้งที่เห็น เป็นผงหิน Uchiko ครับ ทำให้ดาบแห้ง และลาย Hamon ชัดเจนสวยงามครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ สิงหาคม 13, 2006, 04:31:19 AM เพิ่งทราบว่าในญี่ปุ่นจะซื้อซามูไรต้องขออนุญาตด้วย เฉพาะดาบเก่าหรือเปล่าครับ ของตีขึ้นใหม่ๆต้องขอด้วยไม๊
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 04:36:39 AM คุณบัญชา ในไทยใครตีดาบ Katana ได้เหมือนที่สุดครับ ถ้าเอารวมถึงเหล็กญี่ปุ่นมาตี นาทีนี้ความเห็นว่าช่างบุญตันใกล้เคียงที่สุดครับ ในสมาคมดาบเขา ถ้ามือใหม่ไปชมเขาให้คาบกระดาษ กลัวน้ำลายไปโดน :) ผงแป้งที่เห็น เป็นผงหิน Uchiko ครับ ทำให้ดาบแห้ง และลาย Hamon ชัดเจนสวยงามครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 04:39:26 AM ดาบญี่ปุ่นนี่ผมก็ชอบมาก แต่ใจอยากสะสมดาบไทยก่อน
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 13, 2006, 04:49:39 AM 、リウコムュェメ 羯莵ツ网テオユエメコ Katana 莇鰲ヒチラヘケキユ靆リエ、テムコ อ้างจาก: USP40 ที่ สิงหาคม 11, 2006, 11:45:32 PMคุณบัญชา ในไทยใครตีดาบ Katana ได้เหมือนที่สุดครับ ถ้าเอารวมถึงเหล็กญี่ปุ่นมาตี นาทีนี้ความเห็นว่าช่างบุญตันใกล้เคียงที่สุดครับ ในสมาคมดาบเขา ถ้ามือใหม่ไปชมเขาให้คาบกระดาษ กลัวน้ำลายไปโดน ผงแป้งที่เห็น เป็นผงหิน Uchiko ครับ ทำให้ดาบแห้ง และลาย Hamon ชัดเจนสวยงามครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 13, 2006, 04:54:03 AM « ตอบ #37 เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:39:04 AM » -------------------------------------------------------------------------------- ดาบญี่ปุ่นนี่ผมก็ชอบมาก แต่ใจอยากสะสมดาบไทยก่อน หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 13, 2006, 05:01:07 AM Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น ...ดาบเก่าดาบใหม่คนครอบครองต้องขออนุญาตครับพี่ปู ในหนึงคือต้องการควบคุมการซื้อขาย ดาบญี่ปุ่นเขามีสมาคมอย่างที่คุณบัญชาบอก ดาบใหม่ๆฝีมือดี เมื่อทำออกมาแล้วจะมีทะเบียนหรือใบรับรองด้วย อีกอย่างการพกมีดถ้าใบยาวเกิน150มม.ถือว่าผิด ถ้าโดนจับแล้วจะโดนหลายเด้ง« ตอบ #35 เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:30:57 AM » -------------------------------------------------------------------------------- เพิ่งทราบว่าในญี่ปุ่นจะซื้อซามูไรต้องขออนุญาตด้วย เฉพาะดาบเก่าหรือเปล่าครับ ของตีขึ้นใหม่ๆต้องขอด้วยไม๊ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 05:16:39 AM Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น ...ดาบเก่าดาบใหม่คนครอบครองต้องขออนุญาตครับพี่ปู ในหนึงคือต้องการควบคุมการซื้อขาย ดาบญี่ปุ่นเขามีสมาคมอย่างที่คุณบัญชาบอก ดาบใหม่ๆฝีมือดี เมื่อทำออกมาแล้วจะมีทะเบียนหรือใบรับรองด้วย อีกอย่างการพกมีดถ้าใบยาวเกิน150มม.ถือว่าผิด ถ้าโดนจับแล้วจะโดนหลายเด้ง« ตอบ #35 เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:30:57 AM » -------------------------------------------------------------------------------- เพิ่งทราบว่าในญี่ปุ่นจะซื้อซามูไรต้องขออนุญาตด้วย เฉพาะดาบเก่าหรือเปล่าครับ ของตีขึ้นใหม่ๆต้องขอด้วยไม๊ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 05:21:13 AM « ตอบ #37 เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:39:04 AM » -------------------------------------------------------------------------------- ดาบญี่ปุ่นนี่ผมก็ชอบมาก แต่ใจอยากสะสมดาบไทยก่อน หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 05:23:39 AM Japanese swords are made by master smiths called Toshyo. Each smith must be licensed by the Japanese government and must use traditional methods in Japanese sword making. Each sword is registered by the Japanese government. The Japanese government also controls the number of katana length swords each smith can make to two a month. There are approximately 350 registered smiths in Japan ranging from once in awhile hobbyists to full time smiths.
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 05:32:30 AM นี่ครับที่อยากได้มาก
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 13, 2006, 08:13:48 AM Uchiko เขาเอาหิน Uchigumori ซึ่งเป็นหินโคลนที่ละเอียดสุดๆ(มากกว่าหินลับมีดโกนบ้านเรามาก) มาบดครับ
เจ้าหินที่ว่าแพงหูฉี่เช่นกัน อยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วใกล้แหล่งข้อมูลมากกว่าแยะครับ น่าอิจฉากว่า ตัวของมีตังซื้อเมื่อไรก็ได้ ว่าแต่อยู่เมืองอะไรครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 13, 2006, 08:26:23 AM ขออนุญาตเรียนถาม............ท่านบัญชาครับ...ผมเคยเห็นหนังเรื่องหนึ่งสมัยตอนเด็ก เห็นซามูไรใช้ผ้าชุบแป้งUchikoแล้วปะ ๆ ลงบนใบมีด แล้วใช้ผ้าขาว เช็ด แล้วตอนลับคมดาบนี่ ผมไม่เคยเห็น อยากทราบวิธีลับคมครับ.และใช้หินลับแบบใดครับ.........ขอบคุณครับ... :)
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 13, 2006, 11:37:54 AM กระบวนการลับ และ Polish
เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ช่างจะใช้หินลับจากหยาบไปละเอียด หินก้อนหลังๆจะเป็นหินธรรมชาติที่ละเอียดมาก ชื่อ komanaura และ Uchigumori แล้วมีการขัดแต่ส่วนคม และส่วนใบ ห้วยหินต่างชนิดเพื่อให้เห็นรายละเอียดของใบ Hazuya กับ Jizuya แล้วขัดด้วย Nugui ส่วนผสมของออกไซด์เหล็ก ขัดส่วนคมด้วย หิน Hazuya ส่วนคมอีกที เรียกว่า Hadori ลับคมสุดท้ายตรงนี้ด้วยนะผมว่า แสบสดตรงที่ต้องเลือกความแข็งของหินให้เหมาะสมด้วย ค่าขัดตกราว 3-4000 yen/cm เล่มนึงก็ หกหมื่นถึงแปดหมื่นขึ้นไป ที่มีอยู่ซื้ออุปกรณ์มาขัดเองยอมรับว่ายากสุดครับ พอเข้าใจ แต่ยังไม่เข้าถึงแบบช่างญี่ปุ่นเขา ท่านที่สนใจเชิญส่งคำถามล่วงหน้าที่ bancha_ktb@yahoo.com หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 13, 2006, 12:40:27 PM Uchiko เขาเอาหิน Uchigumori ซึ่งเป็นหินโคลนที่ละเอียดสุดๆ(มากกว่าหินลับมีดโกนบ้านเรามาก) มาบดครับ เจ้าหินที่ว่าแพงหูฉี่เช่นกัน อยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วใกล้แหล่งข้อมูลมากกว่าแยะครับ น่าอิจฉากว่า ตัวของมีตังซื้อเมื่อไรก็ได้ ว่าแต่อยู่เมืองอะไรครับ เรื่องปืนก่อนแต่งงานก็เคยไปกับพวกพรานล่าสัตว์หลายครั้ง หลังจากแต่งงานแฟนผมไม่ชอบเรื่องนี้เลย..แล้วก็พอดีเพื่อนคนนั้นเกษียนงาน ทุกอย่างเลยลงตัวพอดี ผมอยู่เมือง saitama-ken อยู่ติดโตเกียว 1ใน4เมืองที่ห้ามใช้รถยนต์ดีเซล (ถ้าใช้ต้องเป็นรถที่ติดตั้งกรองไอเสียที่มีราคาแพงพอๆกับราคารถ) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 12:52:47 PM ปี 1904-1905 ญี่ปุ่นรบกับรัสเซีย ช่วงนั้นญี่ปุ่นเปิดประเทศพัฒนาตามตะวันตกมาไม่นาน รับเทคโนโยลีตะวันตกสุดตัว ดาบของทหารยังเปลี่ยนไปเป็นดาบแบบฝรั่งตามภาพนี้ ต่อมาเมื่อการพัฒนาอยู่ตัวแล้วจึงกลับมาสู่ความเป็นตัวเองมากขึ้น กลับมาใช้ดาบทรงเดิมอย่างที่เห็นในยุคสงครามโลกครั้งที่สองครับ ในภาพนี้ตั้งแนวแน่นมาก สนามเพลาะก็เป็นแนวตรง ระเบิดตกพอดีสักลูกท่าจะแย่ ภาพใหญ่ไปครับ เชิญที่ลิงค์ http://www.learner.org/channel/courses/worldhistory/archive.html?f_itemNumber=1577&return=22-1 จาดดดดด...ห้ายยย...... (http://i7.tinypic.com/24g7r6w.jpg) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ สิงหาคม 13, 2006, 12:56:02 PM อ้างถึง บูชิโด Bushido code = Way of the Warrior. ;)Way of the Warrior.......วิถีแห่งนักสู้........พอใช้ได้มั้ยครับพี่... ;Dขออนุญาตครับ...โลโก้ของพี่เจษ แปลกดีครับ...เขาคือใครหรือครับ... :) (http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg) (http://i8.tinypic.com/24g7taa.jpg) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 13, 2006, 02:23:55 PM ขอบคุณท่านบัญชามากครับ...
Way of the Warrior.......วิถีแห่งนักสู้........พอใช้ได้มั้ยครับพี่... ;Dขออนุญาตครับ...โลโก้ของพี่เจษ แปลกดีครับ...เขาคือใครหรือครับ... :) อ้างถึง (http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i7.tinypic.com/24g7tw7.jpg)(http://i8.tinypic.com/24g7taa.jpg) อ้างถึง เหมือนมากครับ.....ผมเคยโพสต์ในกระทู้หนึ่งว่า พี่เจษ เหมือนกับโจวเหวินฟะ แล้วครับ...หล่อและเหมือนมากครับ....... ;D หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 13, 2006, 05:22:29 PM Uchiko เขาเอาหิน Uchigumori ซึ่งเป็นหินโคลนที่ละเอียดสุดๆ(มากกว่าหินลับมีดโกนบ้านเรามาก) มาบดครับ เจ้าหินที่ว่าแพงหูฉี่เช่นกัน อยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วใกล้แหล่งข้อมูลมากกว่าแยะครับ น่าอิจฉากว่า ตัวของมีตังซื้อเมื่อไรก็ได้ ว่าแต่อยู่เมืองอะไรครับ เรื่องปืนก่อนแต่งงานก็เคยไปกับพวกพรานล่าสัตว์หลายครั้ง หลังจากแต่งงานแฟนผมไม่ชอบเรื่องนี้เลย..แล้วก็พอดีเพื่อนคนนั้นเกษียนงาน ทุกอย่างเลยลงตัวพอดี ผมอยู่เมือง saitama-ken อยู่ติดโตเกียว 1ใน4เมืองที่ห้ามใช้รถยนต์ดีเซล (ถ้าใช้ต้องเป็นรถที่ติดตั้งกรองไอเสียที่มีราคาแพงพอๆกับราคารถ) เรื่องยิงสัตว์ ผมก็ม่ายหวายครับ สงสารมัน เรื่องแพงคงเป็นธรรมชาติของเมืองค่าครองชีพสูง เมืองไทยยังพบได้บ้างครับ อยู่ที่นั่นอากาศคงดีมากๆครับ หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 15, 2006, 12:50:19 PM แผนที่เมืองตีดาบครับ เผื่อคนที่นั่นไปเที่ยวแทน :)
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 15, 2006, 04:15:21 PM เห็นโฆษณา tanto สวยๆแล้ว เฮ้อ
ได้แต่ฝัน :D หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 21, 2006, 06:00:10 PM ผ่านไปแบบพอไปได้
ขอบคุณทุกท่านที่สนใจและท่านที่ร่าวมเสวนาครับ ภาพในงานผมไม่ได้ถ่ายดาบไว้เลย ภาพนี้น้องที่ไปร่วมงานเอามาลงให้ (http://i83.photobucket.com/albums/j311/bancha_ktb/36483626362336093634.jpg) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ สิงหาคม 21, 2006, 06:16:25 PM สวยนะครับ...
หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ สิงหาคม 21, 2006, 07:43:14 PM シ靨ケ莉蘯コセヘ莉莇・ เรียนถามคุณบัญชาครับ ดาบเล่มบน ตรงด้ามไม่มีรูสลัก แบบนี้มีเยอะไหมครับ「ヘコ、リウキリ。キ靨ケキユ靆ケ罟眷ミキ靨ケキユ霤靨ヌチ猝ヌケメ、テムコ タメセ羯ァメケシチ菽鞴エ鮓靨ツエメコ萇鰲ナツ タメセケユ鮖鯱ァキユ鞴サテ霽チァメケ猩メチメナァ耆饅n (http://i83.photobucket.com/albums/j311/bancha_ktb/36483626362336093634.jpg) เสียดายดาบญี่ปุ่นดีๆสูญหายไปตอนสงครามหลายแสนเล่ม หลังที่ประกาศแพ้สงคราม อาวุธถูกยึดหมด แม้แต่มีดปลายปืน หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ สิงหาคม 22, 2006, 05:45:15 AM ผ่านไปแบบพอไปได้ ใครเป็นคนตีครับคุณบัญชาขอบคุณทุกท่านที่สนใจและท่านที่ร่าวมเสวนาครับ ภาพในงานผมไม่ได้ถ่ายดาบไว้เลย ภาพนี้น้องที่ไปร่วมงานเอามาลงให้ (http://i83.photobucket.com/albums/j311/bancha_ktb/36483626362336093634.jpg) หัวข้อ: Re: เสวนาเรื่อง ดาบญี่ปุ่น เริ่มหัวข้อโดย: bancha - รักในหลวง ที่ สิงหาคม 22, 2006, 05:45:35 AM รูที่กั่น มีครับ แต่ผ้าบัง
ยังไม่เคยเจอที่ไม่เจาะเลยครับ |