หัวข้อ: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ มกราคม 27, 2005, 05:36:05 PM > >>> >> >>บางที ชีวิตเรา ที่ว่าแย่ๆ ก็อาจจะมีคนอื่น ที่แย่กว่าเรา.....มันขึ้นอยู่กับสมการที่ว่า .... >>ความสำเร็จ = จุดสูงสุดของชีวิต-จุดเริ่มต้น >>เพราะฉะนั้น สู้ต่อ >>ไปนะ.... .. >> >>Subject: อ่านแล้วมีกำลังใจทำงานขึ้นเยอะเลย >>ขอโทษคนโพส คือว่าอ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยเซฟเก็บไว้ แต่ปรากฏว่าชื่อเค้าหายไป ขออภัย >> ไม่อยากเรียกว่าลำบากเพราะเรามีความสุขและเต็มใจทำ เราเป็นลูกคนเล็ก มีพี่ 2 คน >> แม่รับจ้างทอดหมึกอยู่หน้าเตาร้อนๆ ค่าแรง วันละ 50 บาท พ่อถีบสามล้อรายได้ไม่แน่นอน ที่บ้านมี >>หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 1 ใบ แล้วก็กระทะจานชามเท่านั้นเครื่องครัวอื่นๆไม่มี แม่เลิกงานตอน 3 ทุ่ม พ่อจะ >>แวะกลับมาตอน 6 โมงเย็นเพื่อดูว่าลูกกินข้าวเรียบร้อยหรือยังแล้วก็ออกไปถึบรถต่อแล้วก็เลยรับแม่กลับ >>มา พี่สาวที่อายุมากกว่าเรา 3 ปี เป็นคนทำกับข้าว ตอนนั้นเรา 6 ขวบ คอยเป็นลูกมือ ทำทุกอย่างที่พี่ >>สั่ง กินข้าวเสร็จ ก็เก็บล้างจาน แบ่งข้าวและ กับส่วนนึงไว้ให้พ่อกับแม่ โดยต้องรองน้ำใต้จานให้ดีๆ >>ไม่งั้นแม่กับพ่อต้องกินข้าวพร้อมมดง่ะ ซักเสื้อ กระโปรงเอง ไม่ต้องซักถุงเท้า ไม่ต้องรีดเสื้อเพราะไม่มี >>รองเท้า แล้วก็ไม่มีเตารีด เสื้อนักเรียนขอบริจาคมาตอนวันเด็ก หนังสือยืมโรงเรียน >>(โรงเรียนวัดแหลมสุวรรณาราม) ไม่เคยมีค่าขนมไปโรงเรียน กินข้าวฟรีที่เค้าให้เด็กยากจนกินน่ะ เรา >>เริ่มหาเงินก้อนแรกในชีวิต ด้วยวัย 6 ขวบนี่แหล่ะ ตอนนั้นพ่อขาหัก (ถูกคนที่นั่งมาใน 3 ล้อเอาไม้หน้า >>3 ตี ด้วยเหตุ เบี้ยวค่าโดยสาร ในราคา 5 บาท) พ่อไม่ได้นอนโรงพยาบาลแต่มารักษาที่บ้านเพราะ >>เงินเราไม่มี วันนั้นข้างบ้านเค้ารับจ้างแกะหอยแครงต้ม เรา 3คนพี่น้องก็ไปนั่งแกะ อยากได้เงิน น่ะ >>นั่งแกะกับพื้นแฉะๆ (มันเมื่อยน่ะ ไม่มีโต๊ะเหมือนคนอื่นเค้า) ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม เราง่วงมาก >>ยุงกัด ตัวก็แฉะๆ แต่มันไม่เท่ามือ มือมันเลือดออก แกะไม่เป็นแล้วเราก็รู้สึกว่ามันแกะยากแต่ก็พยายาม >>นะเพราะอยากได้เงิน รู้สึกว่า ถ้าได้เงิน แม่คงดีใจ แล้วพ่อก็จะมีเงินซื้อยากิน ตกลงคืนนั้น เราได้ค่า >>แกะหอยแครง เป็นเงิน 7 บาท วิ่งกลับบ้านพร้อมพี่ๆ ด้วยความดีใจ ลืมมือที่เจ็บไปเลย กลับบ้าน แม่ยืน >>รออยู่หน้าบ้าน ก็เอาเงิน 7 บาทยื่นให้แม่ ตอนนั้นร้องไห้ ไม่รู้หรอก..เห็นแม่ร้องก็ร้องตาม แม่เอามือ >>ไปจูบ..แล้วเช็ดเลือดที่มันซิบๆอยู่ในมือ..แม่บอก พรุ่งนี้ไม่ต้องไปรับจ้างแล้ว แค่นั้น.. หลังจากวันนั้น 3 >>คนพี่น้อง เริ่มคิดเราจะทำไงให้ได้เงิน เราก็ไม่รู้หรอก ตามพี่ไปเรื่อยๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ก็ไปรับ >>จ้างแกะกุ้งอันนี้สบายหน่อยเพราะไม่เจ็บมือ จนถึง 2 ทุ่ม เสาร์ อาทิตย์ ทำได้ทั้งวัน ไปตัดปลาปั๊กกัง >>ตัด 1 กิโลได้ 50 สตางค์ ถ้าปลาไม่มี ก็ไปเก็บขวดพลาสติก ตามถังขยะขาย ถ้าวันไหนแม่หยุด ขนม >>ข้าวเกรียบปากหม้อไปเดินขายตามบ้าน ถูกหมาไล่กัดบ้าง ถูกเจ้าของบ้านไล่บ้าง มีครั้งนึงที่ไปเก็บขยะ >>ถูกเจ้าของบ้านจับตัว หาว่าเป็นเด็กจรจัดไปขโมยของเค้า สรูปก็คือ วันนั้นขวดพลาสติกที่เก็บได้ถูกยึดไป >>หมดเลย 3 คนพี่น้อง เดินคอตกกลับบ้าน แล้วหลังจากนั้นแม่ก็ไม่ให้เก็บอีก..ก็เป็นอย่างนี้ จนเราจบ >>ป.6 พอขึ้น ม.1 แม่ออกมาขายอาหาร เพราะคิดว่าเงิน 50 ส่งลูกเรียนไม่ได้แน่ๆ อ้อ เราเป็นคน >>เดียวที่ทางบ้านส่งเรียนหนังสือ พ่อเปลี่ยนมาเป็นออกเรือประมง...แล้วก็เปลี่ยนมาทำอวนเครื่องมือ >>จับปลา....... ลูกๆ 3 คนตื่น ตี 3 ครึ่งเพื่อมาเป็นลูกมือแม่ในการเตรียมของขาย ช่วงเวลา 3 ปี >>หลังจากนี้ชีวิตเปลี่ยน.... จากที่แม่ขายของวันแรกขาดทุน 119 บาทวันนี้แม่ได้กำไรวันละ 2500-3000 >>บาท พ่อที่เคยโดนโกงค่าถีบสามล้อ ในราคา 5 บาท ทุกวันนี้เป็นเจ้าของกิจการ(เครื่องมือจับปลา) ที่มี >>กำไร เดือนละ มากกว่า 7 หมื่น พี่ชายพี่สาว ที่ไม่ได้เรียนหนังสือกลับไปเรียนแบบศึกษาผู้ใหญ่ มีการมี >>งานเป็นหลักแหล่ง ทุกวันนี้ที่บ้าน มีรถ 4 คัน กะบะ 1 เก๋ง 2 และแวน อีก 1 มีข้าวของทุกอย่างครบ >>(ซึ่งบางทีอาจจะเกินความจำเป็น) แล้วเด็กจากโรงเรียนวัด ที่ไม่เคยมีเสื้อและหนังสือ รองเท้าเป็น >>ของตัวเอง ทุกวันนี้ จบปริญาตรี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ทำงานเป็นนักข่าว มา >>แล้ว 2 ปี ตอนนี้มีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเอง และกำลังจะเรียนต่อ ป.โท...แร้ว >>ปล. พ่อสอนเสมอว่าให้เป็น คนดี จนแค่ไหน อย่าอาย ถ้าจะอาย ก็อายที่เป็นคนไม่ดี พ่อบอก ทำดีสะสม >>ไว้ แล้วเราจะมีความสุข อย่างน้อย..ก็ที่หัวใจของเราเอง.. >> >> > หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ มกราคม 27, 2005, 06:02:27 PM ความสุขอยู่ที่ใจ
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: TABOO ที่ มกราคม 27, 2005, 06:03:20 PM :)ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย ไร้ความสามารถต่างหากที่น่าอาย ;)
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มกราคม 27, 2005, 06:24:45 PM คล้ายๆ ท่าน tabooครับ
ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย ถ้าอีตาLaw Enforcement เข้ามา คงบอก ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การโกงประเทศชาติ น่าอายยิ่งกว่า ซร้วบ..บ..บ.. แทนท่านLaw Enforcement (ทำไม ผมไม่ได้รับเมล์ดีๆ อย่างนี้มั่งเนาะ) :D~ :D~ :D~ หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: JarengkaBOW ที่ มกราคม 27, 2005, 06:32:46 PM แซวเขาเดี๋ยวก็โดนแซวกลับหรอกท่าน
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ มกราคม 27, 2005, 06:41:13 PM ใครทำใครได้ครับพี่ณัฐ
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ มกราคม 27, 2005, 06:46:15 PM คล้ายๆ ท่าน tabooครับ ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย ถ้าอีตาLaw Enforcement เข้ามา คงบอก ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การโกงประเทศชาติ น่าอายยิ่งกว่า ซร้วบ..บ..บ.. แทนท่านLaw Enforcement (ทำไม ผมไม่ได้รับเมล์ดีๆ อย่างนี้มั่งเนาะ) :D~ :D~ :D~ ......ท่าน Sub ฯ ได้แต่รูปแบบนี้ช่ายมั๊ย [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มกราคม 27, 2005, 06:58:57 PM รูปแบบที่ว่า..ท่านnattapol ส่งมาให้เองไม่ใช่เหรอ
(หลักฐาน พิสูจน์ที่ชื่อรูป ;D ;D ;D) [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Mr_Watt ที่ มกราคม 27, 2005, 07:52:07 PM ขอบคุณครับ ที่นำสิ่งดีๆมาให้อ่าน :D :D~ :D~ :D~
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ มกราคม 27, 2005, 10:35:06 PM :D ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ และภาพสวยๆ.... ;D
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มกราคม 28, 2005, 12:54:06 AM :D ชอบที่ภาพประกอบบทความนี่แหละคับ... ;D
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ มกราคม 28, 2005, 12:20:37 PM > >วันแรกที่เข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผมพบเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
> > > >เมื่อรุ่นพี่บางคนบอกว่าการอดนอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนในคณะนี้ > > > >วันสุดท้ายในคณะนี้ ผมพบว่าตั้งแต่เรียนมาห้าปี ไม่เคยต้องอดนอนเลย ยกเว้นเมื่อต้องทำงานกลุ่ม > > > >ทั้งนี้มิใช่เพราะผมทำงานเร็วกว่าคนอื่น แต่เพราะผมไม่เชื่อในทัศนคตินั้น > > > >จึงพยายามพิสูจน์ว่ามันไม่จริง และพบว่า การวางแผนที่ดีแก้ปัญหาได้ทั้งหมดแม้แต่การสร้างสรรค์งานศิลปะ > > > >ที่น่าขันก็คือ น้อยคนที่อดนอนได้คะแนนดี > > > >ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานานร่วมสามสิบปี ห้าปีในนั้นผมทำงานในต่างประเทศ > > > >เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง > > > >นั่นคือหลายคนมองการก้าวเท้าออกจากสำนักงานตรงเวลาเป็นเรื่องประหลาดที่สุดในโลก > > >ผมรู้ความจริงภายหลังว่า คนจำนวนมากไม่ยอมออกจากสำนักงานตรงเวลาเพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่า ตนเองขยันขันแข็ง ยิ่งอยู่ดึก ยิ่งเป็นพนักงานตัวอย่าง เสียสละเพื่อองค์กรน่ายกย่องชมเชยบ่อยครั้งมีผลถึงการได้รับโบนัสตอนท้ายปี > > > >เนื่องจากเจ้านายมักเห็นหน้าเห็นตาใครคนนั้นหลังเวลาเลิกงานแล้วเสมอ > > > >หากไม่เคยทำงานในต่างประเทศมาก่อน ผมอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์ มาสายกลับดึก ด้วย > >แต่หลายปีในชีวิตการทำงานในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการจัดการที่สุดทำให้เห็นค่าเวลาทุกนาทีในชีวิต > > > >ผมกลับมองว่าคนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือพวกไร้ประสิทธิภาพไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา จึงต้องอยู่ดึก > > > > ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน ไม่มองภาพรวม > > > >ลองคิดดู การอยู่ดึกเพื่อทำงานพิเศษหนึ่งคืนหมายถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น > > > >เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ค่าทะนุบำรุงสูงขึ้น ผลกระทบต่อคนทำงานคือพักผ่อนน้อยกว่าที่ควรเป็น > > > >ยิ่งอยู่ดึก ประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง > > > >มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดินมองท่วงทีของศัตรูอย่างระวังตวัดกระบี่ในมือเพียงฉับเดียวก็เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม > >มือกระบี่ชั้นรองต้องประกระบี่ดังโคร้งเคร้งนานนับชั่วโมงราวกับอยากบอกโลกว่าข้าก็ใช้กระบี่นะโว้ย > > > >โลกรับรู้ แต่คมกระบี่ก็บิ่น ต้องเสียเวลาลับกระบี่อีกหลายวัน > > > >งานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรงเวลาด้วย งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรมหรืออารมณ์ขึ้นลง > > > >ไปจนถึงความหนาแน่นรัดกุมของกฎเกณฑ์ ตอกบัตร > > > >ปริมาณเวลาในการทำงานชิ้นหนึ่งไม่ได้เป็นสัดส่วนกับคุณภาพของผลงานเสมอไปบ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน > > > >หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก > > > >คนเก่งไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง > > > >ทำงานเสร็จแล้วก็เลิก ไม่ต้องรอเทวดาบนสวรรค์วิมานมารับรู้เพราะถึงเวลานั้นเทวดาก็กลับบ้านไปแล้ว > > > > > >วินทร์ เลียววาริณ หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Ninja 19 + รักในหลวง + ที่ มกราคม 28, 2005, 12:40:59 PM ............... :P แต่สมัยผมเรียน สถาปัตย์ ก็ทั้งอดนอน และนอนดึกประจำครับ เพราะวิชาเรียนเกือบทุกวิชา อาจารย์ท่านจะให้เขียนแบบ เกือบทั้งหมด ...ดังนั้นหน้าตา เด็กถาปัตย์ สมัยเรียน แต่ละคนจึงดูเบลอๆ แบบคนไม่ได้นอน..555555555555555 แต่ขนาดงานเขียนแบบเยอะขนาดนั้น ผมยังหาเวลาไปกินเหล้ากับเพื่อนได้เกือบทุกวัน.. :P :P :P :P :P....บางที่เมาๆ ก็ยังต้องนั้งเขียนแบบวัด เพื่อส่งครู ศิลปะวัดไทย เกือบกลายเป็นวัดเขมร..5555555555555.. :P :P :P :~) หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: ออด ที่ มกราคม 28, 2005, 12:58:38 PM ขอบคุณครับสำหรับบทความดี ๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: ออด ที่ มกราคม 28, 2005, 01:01:53 PM ............... :P แต่สมัยผมเรียน สถาปัตย์ ก็ทั้งอดนอน และนอนดึกประจำครับ เพราะวิชาเรียนเกือบทุกวิชา อาจารย์ท่านจะให้เขียนแบบ เกือบทั้งหมด ...ดังนั้นหน้าตา เด็กถาปัตย์ สมัยเรียน แต่ละคนจึงดูเบลอๆ แบบคนไม่ได้นอน..555555555555555 แต่ขนาดงานเขียนแบบเยอะขนาดนั้น ผมยังหาเวลาไปกินเหล้ากับเพื่อนได้เกือบทุกวัน.. :P :P :P :P :P....บางที่เมาๆ ก็ยังต้องนั้งเขียนแบบวัด เพื่อส่งครู ศิลปะวัดไทย เกือบกลายเป็นวัดเขมร..5555555555555.. :P :P :P :~) แต่ก่อนกินเหล้า เดี๋ยวนี้เลิกกินแล้วหรือครับ ;D หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Ninja 19 + รักในหลวง + ที่ มกราคม 28, 2005, 01:15:52 PM แต่ก่อนกินเหล้า เดี๋ยวนี้เลิกกินแล้วหรือครับ ;D ............... ;D..เลิกกินแน่นอนครับพี่ อ.ออด........ คือเลิกกินตั้งแต่ซื้อรถมาขับเอง (สมัยก่อนไม่นั้งแท็กซื่ก็รถเมล์เพราะไม่มีรถ ) คือผมไม่อยากทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเพราะเมาแล้วขับรถครับ.... :OO หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ มกราคม 29, 2005, 01:16:03 AM แต่ก่อนกินเหล้า เดี๋ยวนี้เลิกกินแล้วหรือครับ ;D ............... ;D..เลิกกินแน่นอนครับพี่ อ.ออด........ คือเลิกกินตั้งแต่ซื้อรถมาขับเอง (สมัยก่อนไม่นั้งแท็กซื่ก็รถเมล์เพราะไม่มีรถ ) คือผมไม่อยากทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเพราะเมาแล้วขับรถครับ.... :OO หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มกราคม 29, 2005, 01:54:27 AM ............... ;D..เลิกกินแน่นอนครับพี่ อ.ออด........ คือเลิกกินตั้งแต่ซื้อรถมาขับเอง (สมัยก่อนไม่นั้งแท็กซื่ก็รถเมล์เพราะไม่มีรถ ) คือผมไม่อยากทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนเพราะเมาแล้วขับรถครับ.... :OO ;) แล้วถ้าวันที่ไม่ขับรถล่ะคับ... ;) หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: boon ที่ มกราคม 29, 2005, 02:24:08 AM ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย
ถ้าเป็นท่านซับคงตอบว่า.... ความดำไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: นาจา™รักในหลวง ที่ มกราคม 29, 2005, 06:28:32 AM ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย ถ้าเป็นท่านซับคงตอบว่า.... ความดำไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย ;D ;D ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ มกราคม 29, 2005, 07:52:32 AM ความจนไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย ถ้าเป็นท่านซับคงตอบว่า.... ความดำไม่ใช่สิ่งน่าอาย การทำความชั่วต่างหากเป็นสิ่งน่าอาย ถ้าท่าน Sub ฯ ยืนคู่กับผมคนคงนึกว่า " ทางม้าลาย เนาะ......" ;D ;D ( แซวเล่นจ้า ) หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Ninja 19 + รักในหลวง + ที่ มกราคม 29, 2005, 03:30:35 PM ;) แล้วถ้าวันที่ไม่ขับรถล่ะคับ... ;) .............. ;D..เลิกกินตจริงๆเลยครับ ไม่ว่าจะขับ หรือไม่ขับรถ ...อยู่ในวงเหล้า ขอแค่โค๊ก เย็นๆ ก็พอ..นั้งได้ยันเช้าครับ..5555555555 ;D หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ มกราคม 31, 2005, 04:25:29 PM .............อันนี้ของเก่า แต่เอามาย้ำความทรงจำ................> >> ปี 2553 จุดจบประเทศไทย
> >> > >>ถ้ายังเป็นคนไทยต้องอ่าน > >> > >>ถ้ายังเป็นคนไทยอยู่ช่วยอ่านด้วย > >>เรื่องนี้ คนไทยทุกคน ควรที่จะได้รู้ > >>ประเทศต่างๆในโลกนี้มีเกิด มีดับ ตลอดเวลา ประเทศไทยก็ไม่พ้นวิถีนี้เช่นกัน > >> > >> > >>สืบเนื่องจากการบรรยายของคุณนิติภูมิ ซึ่งเป็นสื่อมวลชน > >>จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอสโค > >>ซึ่งเป็นสถาบันที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อสร้างภูมิปัญญาหวังครองโลกในสมัยหนึ่ง > >>เมื่อหลายปีก่อนคุณนิติภูมิ ได้ทำนายไว้ว่า ประเทศอินโดนีเชียจะแตกเป็น > >>6-14ประเทศ > >>ซึ่งในตอนนั้น นักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ หัวเราะจนฟันกระเด็น > >>แต่ต่อมาพอปี 2542 เหตุการณ์ก็เริ่มเป็นจริง! ประเทศอินโดฯได้เริ่มแตกเป็น > >>ติมอร์ และตอนนี้ก็กำลังจะเกิดประเทศอาเจะ และอีกหลายประเทศที่จะเกิดตามมา > >>ในวันที่ 11 ธันวาคม 2543 ที่ผ่านมาที่งานคนดีศรีสังคม ณ หอประชุมวัฒนธรรมฯ > >>คุณนิติภูมิได้บรรยายว่า ประเทศไทยจะต้องแตกเป็นประเทศใหม่อีก 4 - 6 ประเทศ > >>แน่นอน! ทั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นอย่างมีกระบวนการ > >>โดยสถานการณ์จะเริ่มชัดขึ้นในปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่ข้อตกลง GATTs > >>จะเริ่มมีผลสมบูรณ์ การค้าเสรีจะมีผลสมบูรณ์ > >>สินค้าเกษตรต่างๆจากต่างประเทศจะทะลักเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมหาศาล > >>ในขณะที่เกษตรกรของไทยจะไม่กินสินค้าเกษตรของไทยด้วยกัน > >> > >>และสินค้าเกษตรของไทยก็จะขายไม่ออกเนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าสินค้าเกษตรจาก >ต่างประเทศ > >>ประกอบกับการที่การพัฒนาการเกษตรของไทยได้พัฒนาอย่างผิดทิศทาง > >>เป็นการพัฒนาแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้คนปลูกลำใยไทยก็จะปลูกแต่ลำใย > >>จะกินข้าวก็ต้องซื้อข้าวเวียดนามมากิน > >>คนปลูกข้าวไทยก็ต้องไปซื้อหอมกระเทียมจากจีนมากิน คนปลูกหอม > >>กระเทียมจะไม่ซื้อลำใยจากไทยแต่จะไปซื้อจากเกาหลีมากิน > >>เป็นวงจรอย่างนี้ทำให้สินค้าเกษตรของไทยขายไม่ได้ > >> > >>เพราะแม้แต่เกษตรกรไทยด้วยกันก็ยังไม่ซื้อของเกษตรไทยด้วยกันมากินเนื่องจาก >สินค้าของต่างประเทศมีต้นทุนถูกกว่าสินค้าเกษตรของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่า > >>เพราะใช้ปัจจัยการผลิตปุ๋ย ยาของต่างประเทศ > >>พันธุ์พืชก็ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากในอีก 10 > >>ปีข้างหน้าพันธุ์กรรมท้องถิ่นจะถูกทำลายจาก GMOs > >>และเมื่อเกษตรกรไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ร้อยละ 80 ของประเทศอยู่ไม่ได้ > >>วิกฤตที่มหาโหดสุดก็จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย > >> > >>รัฐบาลไทยจะไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาได้เพราะมาตรการทางการเงินก็จะใช้ไม่ได้ > >>เนื่องจากธนาคารไทยกลายเป็นของต่างประเทศหมดแล้ว ไฟฟ้าก็แพงขึ้น > >>น้ำมันก็แพงขึ้น โทรศัพท์ > >>แพงขึ้นเนื่องจากวิสาหกิจเหล่านี้กลายเป็นของต่างชาติหมดแล้วเขาสามารถตั้ง >ราคาได้ตามใจชอบถ้ารัฐบาลไปขอให้ลดราคาก็จะได้รับคำตอบว่าเขาจะไม่มีกำไรธุรกิจ >จะอยู่ได้ด้วยกำไรเท่านั้น > >>ถ้าเขาไม่มีกำไรเขาก็จะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ > >>คุณเลือกเอาว่าจะยอมจ่ายในราคาที่แพงหรือว่าจะยอมไม่มีใช้ > >> > >>ดังนั้น รัฐบาลในอนาคตจะได้แต่นั่งทำตาปริบๆๆ เมื่อเกษตรกรไทยอยู่ไม่ได้ > >>การขายที่ดินราคาถูกๆและจำนวนมหาศาลจะตามมาคนที่มีกำลังซื้อก็คือชาวต่างชาติ > >>ซึ่งปัจจุบันก็ปรากฏ > >>แล้วว่าที่ดินบริเวณภาคตะวันออกได้ถูกต่างชาติกว้านซื้อไปเป็นจำนวนมากแล้ว >เกษตรกรไทยที่ขายที่ดินได้ก็ไม่สามารถนำเงินที่ได้ไปลงทุนให้เกิดรายได้ได้ > >>เพราะธุรกิจอื่นๆ ได้ตกอยู่ในกำมือของต่างชาติแล้ว > >>ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีกก็ตกอยู่ในมือของ Big C, Lotus, > >>Carrefour,ธุรกิจอาหารก็ตกอยู่ในมือของ KFC, Pizzahat, > >>McDonal,สิ่งทอเสื้อผ้าก็ของพวกฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้น > >>เงินตราของไทยก็มีแต่จะถูกดูดออก > >>เหมือนกับคนที่เลือดไหลไม่หยุด...เมื่อคนจนอยู่ไม่ได้ รัฐจะอยู่ได้ ฤา ? > >> > >>4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นแห่งแรกที่จะขอแยกตัวออกจากประเทศไทย > >>เนื่องจากความแตกต่างที่เห็นชัดเจนและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในปี 2553 > >>คนไทยภาคใต้จะเห็นด้วยกับการแยกประเทศเพราะเห็นความล้มเหลวของรัฐบาลไทย > >>การเมืองไทย การคัดค้านจะน้อยลง > >>การสนับสนุนให้แยกจะทวีความรุนแรงขึ้นจนรัฐบาลไทยไม่สามารถควบคุมได้ถ้ารัฐบาล >ใช้กำลังทหาร > >>ก็จะถูกต่างชาติส่งทหารมาต่อต้านกองทัพไทย > >>ซึ่งแน่นอนกองทัพไทยไม่มีปัญญาไปต่อสู้อยู่แล้ว > >>การแยกตัวจะสำเร็จได้ในไม่นานจากนั้น ภาคตะวันออก บริเวณจันทบุรี ตราด ระยอง > >>ฉะเชิงเทรา จะขอแยกตัวตามมา > >>เนื่องจากที่ดินแถบนั้นกลายเป็นของต่างชาติหมดแล้ว > >>เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวถูกใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมของต่างชาติ > >>ทั้งสมุนไพร อาหารต่างๆ เมื่อรัฐบาลไทยเป็นอุปสรรคของต่างชาติ > >>การขอแยกตัวก็จะทำได้ไม่ยาก นั่นหมายถึง การซื้อประเทศไทย > >>คล้ายกับที่สหรัฐอเมริกาซื้อรัฐ Alaska จาก Russia ถ้าไทยต่อต้าน > >>เจอทหารต่างชาติแน่ > >> > >>เราจะเตรียมรับมือกับวิกฤติในอนาคตอย่างไร ? ผมติดตามงานเขียนคุณนิติภูมิ > >>มาหลายปีและสิ่งที่เขียนในไทยรัฐหน้า 2 เกือบทุกวันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า > >> > >>หนังสือพิมพ์ต่างประเทศจะเอาข้อมูลงานเขียนของนิติภูมิไปแปลลงหนังสือพิมพ์ >ต่างประเทศ > >>ในการวิเคราะห์บ่อยครั้ง ที่นิติภูมิ มองการค้า การเมือง สังคมไปพร้อมๆ > >>กันรวมทั้งประวัติศาสตร์ เขามอง อาเจนติน่า ก่อนล่มสลายทางเศรษฐกิจ > >>ก่อนล่มจริงๆ เขาทำนาย การเกิดสงคราม อเมริกากับอิรัค ข้อคิด รวมทั้ง > >>อนาคตชาวเชเชนไว้น่าสนใจ ผมว่า สิ่งที่เขาพูดเป็นไปได้ นิติภูมิ > >>ทำให้ผมต้องกลับมาซื้อของโชห่วยของคนไทย แทนที่ไปเดิน big-c lotus careflour > >>เพราะผมบอกแม่บ้านและลูกๆ ว่า เราซื้อของร้านโชห่วย ข้างบ้าน > >>ไม่ต้องไปห้างใหญ่อีกเพราะอะไร เพราะเราไป คาร์ฟู เงิน100 > >>บาทที่เราจ่ายไปจะไปสู่ฝรั่งเศส 86บาท เหลือให้คนไทย 14บาท > >>เพราะของต่างชาติเกือบ 100 เปอร์เซนต์ บิกซี โลตัสเหมือนกัน > >>นิติภูมิเคยเอาเปอร์เซนต์ที่ต่างชาติถือหุ้นมาลงให้ดู ของ3ห้างดัง > >> > >>ผมตกใจมาก > >>และตัดสินใจซื้อน้ำปลาข้างบ้านตั้งแต่วันนั้นเพราะว่าต่างชาติถือหุ้นกว่า > >>90 เปอร์เซ็นต์แล้ว บางห้าง 86 เปอร์เซ็นต์ > >>สอนลูกว่ามันจะแพงกว่าห้าง 3 บาท ก็ซื้อที่นี่มันจะแพงกว่า 5 บาทก็ซื้อที่นี้ > >> > >>เพราะมันจะเป็นภาษีคนไทย กลับมาหาลูกเอง ผมคิดแบบนี้จริงๆๆ > >>ถ้าซื้อห้าง1,000บาท มันไหลไปต่างประเทศ 900บาท ที่เหลือ 100 บาท > >>ที่เห็นจ่ายค่ายามเฝ้าห้างไง มองอาเจนติน่าง่ายนิดเดียว > >>ห้างต่างชาติบุกไปตั้งมากกว่า 400 ห้าง ทั่วประเทศ > >>คนอาเจนติน่าจึงทำเงินส่ง คาร์ฟู ส่งห้างต่างชาติ เกือบ100 เปอร์เซ็นต์ > >>เงินคนทั้งชาติของชาวอาเจน จึงไหลไปหมด ในประเทศจึงไม่เหลืออะไร > >>ทางสุดท้ายที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าทำได้ ผมพาลูกผมหัดทานขนมกรอบๆ ห่อน้อยลง > >>เลิกกิน kfc และพยายามทานให้ลดลง และจำนวนหน ต่อปีน้อยสุด ผมอธิบาย > >> > >>วิธีสิ้นชาติแบบทางเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มจนจบให้เด็กๆ ที่บ้านลูกๆ ฟัง > >>หัดให้ลูกมาทานบัวลอย ขนมชั้น ข้าวเหนียวเปียกแทน ถั่วดำข้าวเหนียว ดีครับ > >>ได้ผลลูกเปลี่ยนวิธีกิน วิธีคิดไปเลย เปลี่ยนไปได้มาก พอเย็นๆ สั่งผม > >>ซื้อเต้าส่วนบ้าง ขนมชั้นบ้าง ลูกเดือยบ้าง ผมพูดนิดนึงที่เขาเข้าใจคือ > >>ผมไปตลาดซื้อไก่ทอดแม่ค้ามา3ขาไก่ทอดแบบไทยๆ แล้วผมไป kfc ซื้อมา 3 ชิ้น > >>เลือกน่อง ครับเหมือนกัน ราคาต่างกันลิบเลย ผมก็อธิบายคำว่า license > >>ค่าลิขสิทธิ์ ให้ลูกฟัง ผมบอกว่า X ไก่ 35บาท ค่าไก่ 15บาท > >>ที่เหลือเป็นลิขสิทธ์ > >>ไก่แม่ค้าที่ถูกเพราะไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ใบตองที่ห่อขนมไทย ไม่มีลิขสิทธิ์ > >>มันเป็น วัสดุธรรมชาติ ย่อยสลายได้ไม่ถึง 3 เดือน X ขนมต่างชาติ ห่อสวย > >>แพง > >>เพราะยี่ห้อมันมีลิขสิทธิ์ เวลามันหล่นที่พื้น > >>ไม่มีคนเก็บมันจะย่อยสลายภายใน200ปี ผมสอนแบบนี้ ลูกผมเปลี่ยนวัฒนธรรมไปเลย > >>ผมทำได้และทำแล้ว > >> > >> > >>ปล.ใคร่จะขอกรุณาช่วยนำบทความไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นพระคุณมากครับ > >> > >>ยาวไปหน่อย แต่อยากให้อ่าน เพื่อที่ไทยเราจะได้อยู่รวมเป็นชาติไทยต่อไป > >> > >>** เมื่อกี้ดูที่นี่ประเทศไทย เปิดเพลงชาติให้ฟัง > >>ไม่เคยฟังแล้วรู้สึกว่าอยากร้องไห้เท่าวันนี้เลย > >>ฟังแล้วเห็นภาพที่คนไทยทั้งประเทศช่วยกันช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้แต่อยากจะขอ >อีกอย่างหนึ่งคือรักชาติหน่อย > >>ช่วยกันหน่อยครับซื้อสินค้าไทย > >>เลิกได้แล้วกับการซื้อของแบรนเนม > >>มันจะทำให้ชาติล่มจม > >> > >> หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าจาก Fw : e-mail ( ขออนุญาตนอกเรื่อง ) เริ่มหัวข้อโดย: โจ ™ ที่ มกราคม 31, 2005, 05:23:51 PM ขอบคุณครับพี่ณัฐ อ่านแล้ว คิดได้ทุกที แต่สักพักก็ลืมอีกล่ะ สอนไม่จำจริงๆ เราเนี่ย :'(
|