เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: FUFUFUFU ที่ กันยายน 26, 2006, 10:18:50 PM



หัวข้อ: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: FUFUFUFU ที่ กันยายน 26, 2006, 10:18:50 PM
               คือว่าอยากจะรู้ครับว่า "ผงชูรส"
         มันทำมาจากอะไรครับ ทำไมถึงกินมากๆไม่ดี กินมากๆแล้วหัวจะล้านจริงไหมครับ
     ถ้ามันทำมาจาก มันสำปะหลังจริง ( ฟังเค้าว่ามา ) ทำไมถึงกินมากๆไม่ได้ครับ กินมากๆก็ยิ่งดีสิครับ
   เพราะหัวมัน มีแต่สารอาหารที่เป็นประโยธต่อร่างกาย หรือว่ามันคือสารเคมีชนิดหนึ่งครับ เจ้าผงชูรส เนี้ย
   ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบกิน ผงชูรส มากๆ แต่ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร และ ทำไมกินมากๆไม่ได้
     ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ☆ *~PLOY~* ☆ ที่ กันยายน 26, 2006, 10:27:11 PM
              ลองอ่านดูครับเรื่องผงชูรส อะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีน้อยเกินไปก็ไม่ดีครับ เรื่องกินเเล้วหัวล้านเรื่องนี้ไม่ยืนยันครับเเต่ผมเองชอบกินอาหารใส่ผงชูรส ตอนนี้ปาไปห้าเเสนเเล้วอีกห้าเเสนครบล้าน.................... :~) :OO :D~
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%AA


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Sig228-kolok ที่ กันยายน 26, 2006, 10:32:31 PM
ด้วยความเคารพครับ...

ลองอ่านตามลิงค์ดูครับ...http://www.thaihealth.info/nutrition32.asp

ขอบคุณครับ..............


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2006, 10:47:33 PM
เคยได้ยินว่าผงชูรสใช้ห้ามเลือดได้ด้วย ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหนครับ


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นงิ้ว ที่ กันยายน 26, 2006, 10:56:42 PM
เคยได้ยินว่าผงชูรสใช้ห้ามเลือดได้ด้วย ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหนครับ
เป็นตราชฎานะครับถ้าจำไม่ผิด


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: AR15 ที่ กันยายน 26, 2006, 11:48:50 PM
เห็นว่าเมื่อก่อนเอาไปสกัดทำสารตั้งต้นยาเสพติดได้ด้วยนะครับ ไม่แน่ใจ :OO :OO :OO


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 27, 2006, 12:02:14 AM
 :) เอามาฝากคุณ.ฟูฟู และเพื่อนๆครับ

งานวิจัยชิ้นล่าสุดกินผงชูรสมากอาจทำให้ตาบอด?
วารสาร นิว ไซเอินทิสต์ ฉบับวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมตีพิมพ์ผลวิจัยของนักวิจัยญี่ปุ่นที่เตือนให้ระวังอย่าบริโภคโมโนโซเดียมกลูตาเมทหรือผงชูรสมากเกินไป เพราะอาจทำให้ตาบอดได้

เนื่องจากทีมนักวิจัยนำโดยนายฮิโรชิ โอกูโระ แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรซากิในญี่ปุ่นทดลองแบ่งหนูออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารที่ใส่ผงชูรสมาก ๆ ส่วนอีกกลุ่มกินอาหารใส่ผงชูรสปานกลาง และกลุ่มที่สามกินอาหารที่ไม่ใส่ผงชูรสเลย

ปรากฎว่าหนูกลุ่มแรกที่กินอาหารใส่ผงชูรสมากที่สุดมีปัญหาตามองไม่เห็น และเยื่อเรตินาหรือเยื่อชั้นในสุดของส่วนหลังลูกตาที่มีหน้าที่รับภาพจากแก้วตานั้นบางลงไปถึง 75% และผลทดสอบการทำปฏิกิริยากับแสงปรากฏว่าหนูมองไม่เห็นเลย

ส่วนหนูกลุ่มที่กินอาหารปนผงชูรสปานกลางก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่ไม่มากเท่ากลุ่มแรก


ทั้งนี้ผงชูรสคือกรดอะมิโนที่ทำหน้าที่เป็นสารเคมีที่ช่วยส่งสัญญานสื่อสารในหมู่เซลสมอง และคนเอเชียนิยมใช้ปรุงอาหารหรือใช้เป็นส่วนผสมของขนมขบเคี้ยว

ผลการศึกษาหลายรายการก่อนหน้านี้พบว่า เมื่อฉีดผงชูรสเข้าไปในตาโดยตรง มันจะไปทำลายประสาทเสียหาย แต่วารสารนิว ไซเอินทิสต์ ระบุว่า ผลวิจัยล่าสุดของนายโอกูโระนับเป็นงานวิจัยชิ้นแรกที่แสดงให้เห็นว่า อาหารที่ใส่ผงชูรสก็อาจทำให้ตาบอดได้เช่นกัน โดยนักวิจัยพบผงชูรสในปริมาณเข้มข้นสูงอยู่ในของเหลวใสที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงเยื่อเรตินา จึงสรุปว่าผงชูรสจะเกาะอยู่ที่เซลเยื่อเรตินาบางส่วน และจะทำลายมันในที่สุด อีกทั้งจะเข้าไปก่อกวนการทำงานของเซลที่ยังเหลืออยู่ในการส่งสัญญานไปยังสมอง

นักวิจัยกลุ่มนี้ระบุว่า อาหารที่มีผงชูรสเป็นส่วนประกอบในปริมาณ 20% ถือว่าเป็นสัดส่วนสูง แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ากินผงชูรสในปริมาณเท่าใดจึงจะไม่เป็นอันตราย แต่ถึงกินในปริมาณน้อย มันก็อาจจะสะสมไว้นานเป็นสิบ ๆ ปี ก่อนออกฤทธิ์ในภายหลัง นายโอกูโระกล่าวว่า ผลวิจัยชิ้นนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมคนในแถบเอเชียตะวันออกถึงเป็นโรคต้อหินในอัตราสูง โดยเฉพาะเมื่อวัยขึ้นต้นด้วยเลขสี่

การตอบโต้จากอย.
พลันที่มีข่าวจากนักวิจัยญี่ปุ่นดังกล่าวออกมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ของไทยก็ได้ออกมาตอบโต้ทันทีว่า การวิจัยของนักวิจัยญี่ปุ่นทีมดังกล่าวมีการใช้ผงชูรสในอาหาร 20 กรัมต่อน้ำหนักอาหาร 100 กรัม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงคิดเทียบได้กับอาหารที่เป็นก๋วยเตี๋ยว 1 ชามในปริมาณน้ำหนัก 300 กรัม ใช้ผงชูรสถึง 60 กรัม หรือเทียบเท่าผงชูรส 12 ช้อนชา ต่อการบริโภค 1 ครั้ง ซึ่งไม่ใช่วิธีของการปรุงอาหารตามปกติอยู่แล้ว

พร้อมกันนั้นก็ได้รับรองว่าการบริโภคจะไม่เกิดอันตรายกับผู้บริโภค โดยอ้างการประเมินค่าความปลอดภัยของผงชูรสที่คณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารระดับนานาชาติ คือ JECFA (joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives) ทำอยู่แล้ว โดยมีการทดสอบทางด้านความเป็นพิษแบบพิษเฉียบพลัน พิษเรื้อรัง ผลระบุว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้บริโภค ด้วยข้อมูลดังกล่าวทำให้อย.ไม่ได้มีมาตรการกำหนดให้มีการแสดงคำเตือนใด ๆ บนฉลาก และออกมารับรองทุกครั้งว่าผงชูรสสามารถกินได้โดยปลอดภัย ตามวิธีการกินโดยปกติ

แต่ขณะเดียวกันอย.ก็ยอมรับเช่นกันว่า มีคนเคยต้องพิษจากการบริโภคผงชูรสไปหลายรายแล้ว แต่อย.จะใช้คำว่า คนกลุ่มนั้นบริโภคผงชูรสโดยวิธีการที่ไม่ปกติ เช่น กินขนมครกจิ้มผงชูรส หรือผงชูรสผสมพริกกับเกลือ เป็นต้น รวมไปถึงกลุ่มคนที่แพ้ผงชูรสโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่อันตรายที่เกิดขึ้นอย.มักเน้นเสมอมาว่าเป็นอันตรายเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงแล้วจะหายไปเอง เช่น อาการชาที่ปาก ลิ้น ปวดกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก หัวใจเต้นช้า ปวดท้อง คลื่นไส้ กระหายน้ำ วูบวาบ เป็นต้น แต่อย.ก็ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่ากลุ่มอาการเหล่านี้ใช่กลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” หรือ “Chinese Restaurant Syndrome” หรือไม่

ความกังขาของผู้บริโภคและนักวิชาการ
พลันที่ อย.ได้เสนอข่าวการันตีความปลอดภัยให้กับผงชูรสโดยไม่มีงานวิจัยของตัวเองอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง ทำให้เกิดความสับสนขึ้นในหมู่ผู้บริโภคและนักวิชาการบางส่วนที่เห็นว่าผงชูรสมีอันตราย

รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ หนึ่งในนักวิชาการที่ติดตามข้อมูลพิษภัยของผงชูรสมาอย่างยาวนานได้รายงานไว้ในเอกสารชิ้นหนึ่งว่า ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับพิษภัยของผงชูรสออกมามักจะมี “ข่าวแจก” ออกมาสู่สื่อมวลชนอย่างทันทีทันใด โดยมักจะอ้างว่าเป็นข่าวจาก อย. มีหัวจดหมายของ อย. อย่างดี เนื้อหาสาระใน “ข่าวแจก” มักจะซ้ำ ๆ ซาก ๆ ดังเช่นการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง ยกตัวอย่างเช่น

-- อ.ย.ระบุผู้บริโภคอย่าหวั่นวิตกอันตรายจากผงชูรส

- อ้าง “ผลงานนานาชาติมีการตรวจสอบแล้วว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมาก” โดยไม่วิเคราะห์ผลงานนานาชาติเหล่านั้นว่ามาจากนักวิชาการระหว่างประเทศที่รับเงินจากบริษัทผุ้ผลิตผงชูรสหรือไม่ และมีความไม่ถูกต้องในการวิจัยอย่างไร

- อ้าง “คณะผู้เชี่ยวชาญ JECFA ระบุว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้บริโภค และสามารถกินได้โดยปลอดภัยตามวิธีการกินโดยปกติ” ข้อนี้ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการซ่อนเร้นข้อมูลของ JECFA อย่างไรก็ตาม JECFA ก็ไม่เคยแนะนำให้ใช้ผงชูรสกับเด็กทารก และกลับแนะนำว่า ผงชูรสจะปลอดภัยได้เฉพาะตามวิธีการกินปกติ ซึ่งพฤติกรรมการกินผงชูรสของคนไทยในปัจจุบันไม่ปกติเหมือนประเทศอื่น ๆ เช่น มีการใส่ผงชูรสในอาหารประเภทปิ้ง ย่าง เผา ซึ่งผงชูรสจะแปรเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งได้ หรือการกินข้าวเหนียวจิ้มผงชูรส ส้มตำ น้ำจิ้ม ฯลฯ ล้วนแต่ใส่ผงชูรสกันอย่างมากมายเกินความจำเป็นทั้งนั้น

รศ.ดร.พิชัยระบุเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการที่ผู้ผลิตผงชูรสมีอิทธิพลต่อหน่วยงานของรัฐ และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับโภชนาการในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และรวมถึงประเทศไทย แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ผู้ผลิตผงชูรสถึงกับให้เงินสนับสนุนการจัดตั้ง คณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องกลูตาเมตหรือผงชูรสที่เรียกว่า International Glutamate Technical Committee หรือ IGTC จ้างนักวิชาการที่มีชื่อเสียงให้ทำการทดลอง เพื่อหักล้างผลการทดลองของนักวิชาการอิสระที่ได้พิสูจน์แล้วว่า ผงชูรสมีพิษภัย โดยใช้เล่ห์กลในการทดลองหรือซ่อนเร้นอำพรางข้อความจริง รวมทั้งใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าผงชูรส “ปลอดภัย”

สำหรับประเทศไทย รศ.ดร.พิชัยระบุว่า มีเอกสารชิ้นหนึ่งที่ยืนยันว่าอย.มีความเกี่ยวพันกับบริษัทผู้ผลิตผงชูรสในลักษณะของการรับจ้างทำงานวิจัย เอกสารชิ้นนี้พิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในช่วงปี 2526 และพิมพ์แจกต่อ ๆ มาอีกหลายปี เอกสารดังกล่าวเป็นผลงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดการตอบรับต่อกลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” กับการบริโภคโมโนโซเดียมกลูตาเมต”

โดยหลักฐานที่ชี้ชัดว่า โครงการนี้ได้รับเงินจากบริษัทผู้ผลิตผงชูรสก็ตรงที่กิติกรรมประกาศซึ่งผู้ทำวิจัยจะต้องประกาศขอบคุณผู้มีอุปการะคุณที่ทำให้ผู้วิจัยทำงานได้สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี และผู้ที่ให้อุดหนุนสำหรับการวิจัยในครั้งนี้ทั้งหมด ได้แก่ คณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องกลูตาเมตหรือผงชูรส หรือ IGTC นั่นเอง ซึ่งรศ.ดร.พิชัยระบุว่าผู้ผลิตผงชูรสเป็นผู้ให้การสนับสนุน

ขณะเดียวกัน IGTC ยังเป็นที่ปรึกษาของโครงการนี้อีกด้วย รศ.ดร.พิชัยจึงเห็นว่า ไม่แปลกใจที่ผลงานวิจัยชิ้นนี้จะสรุปออกมาว่า “ผลการวิจัยครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ลักษณะการใช้และการบริโภคโมโนโซเดียมกลูตาเมต (หรือผงชูรส) ของคนไทยในปัจจุบันนี้ ไม่น่าเป็นที่ห่วงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มในการบริโภคในปริมาณที่มากจนเกินไป และไม่มีหลักฐานแสดงถึงความเชื่อมโยงกันในระหว่างการเกิดอาการผิดปกติบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการไวรับที่สูงมากผิดปกติต่อการใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมตแต่อย่างใด”

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ ไม่น่าห่วงใยในการใช้ผงชูรสในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป และกลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” หรือ “Chinese Restaurant Syndrome” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผงชูรสแต่อย่างใด

รศ.ดร.พิชัยเห็นว่าผลสรุปดังกล่าวไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งนี้เพราะทั่วโลกทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า กลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” ซึ่งจะมีอาการชาที่ลิ้น ริมฝีปาก แก้ม หรือต้นคอ บางคนหายใจไม่ปกติคล้ายหืดหอบ วิงเวียนศีรษะ และบางคนมีอาการคล้ายโรคหัวใจ หรือมีจ้ำสีดำขึ้นตามตัวอาการเหล่านี้เกิดมาจากผงชูรสอันเนื่องจากฝรั่งไปรับประทานอาหารจีนซึ่งมักจะใส่ผงชูรสแล้วเกิดอาการต่าง ๆ ขึ้น จึงได้ขนานนามของกลุ่มอาการนี้ว่า “Chinese Restaurant Syndrome” หรือกลุ่มอาการ “ภัตราคารจีน” นั่นเอง

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 27, 2006, 12:05:10 AM
เพิ่มเติม

ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผงชูรสกันมากและพบว่าสารเคมีตัวนี้มีพิษภัยต่อคนและสัตว์ทดลองมากมาย อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะถูกตอบโต้จากฝ่ายสนับสนุน(ผู้ผลิตและหน่วยงานรัฐ)ผงชูรสอยู่เสมอมา ในขณะที่ทุกวันนี้คาดกันว่ามีผงชูรสใช้อยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 60 ล้านกิโลกรัมต่อปี



 
17 ธันวาคม 2545


ผงชูรสแท้ไม่อันตราย ผงชูรสปลอมอันตราย
ประเด็นนี้ รศ.ดร.พิชัย เห็นว่าอย.แสดงการสนับสนุนธุรกิจของบริษัทผงชูรสอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับพิษภัยของผงชูรสออกมาครั้งใด อย.มักจะออกมาแก้ต่างแทนผู้ผลิตผงชูรสอยู่เสมอ ๆ และมักจะเน้นย้ำว่า “ผงชูรสแท้ไม่อันตราย แต่ให้ระวังผงชูรสปลอมจะเกิดอันตรายได้” ตบท้ายข่าวด้วยแนะนำวิธีทดสอบผงชูรสปลอมด้วยกระบวนการทดสอบบอแรกซ์และโซเดียมเมตาฟอสเฟต

ความจริงที่ผู้บริโภคควรทราบในประเด็นนี้คือ สมัยก่อนผงชูรสจะมีราคาแพง พ่อค้ามักจะปลอมปนด้วยสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายคลึงผงชูรส ได้แก่ บอแรกซ์ หรือเกลือโซเดียมเมตาฟอสเฟต ซึ่งมีราคาถูกกว่าแต่มีพิษภัยมากกว่าผงชูรส

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังเมื่อผงชูรสมีราคาถูกลงมาก และถูกกว่าราคาของบอแรกซ์และโซเดียมเมตาฟอสเฟต จึงไม่มีการปลอมปนด้วยสารเคมีทั้ง 2 ตัวนี้แล้ว หากจะมีสารอื่นปลอมปนอยู่ในผงชูรสก็มักใช้น้ำตาลทรายหรือเกลือแกงแทน ซึ่งกลายเป็นว่าผงชูรสมีอันตรายน้อยกว่าผงชูรสแท้เสียด้วยซ้ำ

พิษภัยของผงชูรส
ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผงชูรสกันมากและพบว่าสารเคมีตัวนี้มีพิษภัยต่อคนและสัตว์ทดลองมากมาย อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะถูกตอบโต้จากฝ่ายสนับสนุน(ผู้ผลิตและหน่วยงานรัฐ)ผงชูรสอยู่เสมอมา ในขณะที่ทุกวันนี้คาดกันว่ามีผงชูรสใช้อยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 60 ล้านกิโลกรัมต่อปี

ในที่นี้จะขอกล่าวพิษภัยของผงชูรสที่มีผลกระทบต่อคน 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มคนที่แพ้ผงชูรส กลุ่มคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต และกลุ่มทารกและหญิงมีครรภ์ ซึ่งมีการเรียกร้องมาโดยตลอดว่า ผงชูรสหรืออาหารที่ใช้ผงชูรสควรมีคำเตือนว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหรือหญิงมีครรภ์หรือคนป่วยและผู้ที่แพ้ผงชูรส”

การแพ้ผงชูรส
มีข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งยืนยันว่าการกินอาหารที่มีผงชูรสผสมอยู่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือ Chinese Restaurant Syndrome ได้ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคือ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้า อก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น

น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เลขาธิการชมรมอยู่ร้อยปี-ชีวีเป็นสุข ได้กล่าวว่า ความจริงแล้วไม่น่าจะเรียกว่าเป็นอาการแพ้ เพราะหลายคนที่มีข้อมูลว่าเคยแพ้ผงชูรสแต่เมื่อไปกินอาหารที่มีผงชูรสอยู่แต่ในปริมาณไม่มากก็ไม่เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด ดังนั้นจึงน่าจะเรียกว่าเป็น อาการการต้องพิษผงชูรส อันเนื่องจากการบริโภคในปริมาณที่สูงจะเหมาะสมกว่า เพราะจะมีอาการเมื่อได้รับผงชูรสในปริมาณสูง ซึ่งร่างกายของแต่ละคนจะมีจุดที่ต้องพิษจากผงชูรสในปริมาณที่แตกต่างกันไป

น.พ.บรรจบได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีการเก็บข้อมูลจากองค์การนานาชาติที่ว่าด้วยการไม่บริโภคผงชูรสพบว่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีข้อมูลแสดงว่ามีคนต้องพิษผงชูรสประมาณ 15% แต่มา ณ ปัจจุบันพบว่ามีคนต้องพิษผงชูรสสูงขึ้นถึง 30% โดยอาการต้องพิษที่พบมีหลายลักษณะ เช่น หน้าชา มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นช้า ปวดหัวไมเกรน และขอยืนยันว่าอาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการแพ้ผงชูรส แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับผงชูรสในปริมาณที่มากเกินไปจนทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติ

กินผงชูรสมากอาจตายเพราะไตวาย
เป็นที่รู้กันว่าการกินเค็มสัมพันธ์กับโรคความดันเลือดสูง เรื่องนี้เป็นคำยืนยันจากการศึกษางานวิจัยใน 24 ประเทศทั่วโลกในผู้คนถึง 47,000 คน ว่าถ้าลดปริมาณการบริโภคโซเดียมได้จะลดระดับความดันเลือดได้ และแน่นอนว่าความดันเลือดสูงนาน ๆ ทำให้เกิดภาวะไตวายด้วย กินโซเดียมมากจึงเพิ่มไตวาย ถ้าลดโซเดียมได้ก็ลดไตวายด้วย

ผงชูรส เป็นสารที่มีโซเดียมสูงแต่ไม่เค็ม ดังนั้นผงชูรสจึงยิ่งมีอันตรายสูงเพราะถ้ามีความเค็มผู้บริโภคจะยับยั้งตัวเองได้ แต่โซเดียมในผงชูรสไม่มีรสเค็ม เพียงหวาน ๆ คาว ๆ ล่อลิ้นคนกิน ยิ่งเติมยิ่งติดใจ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนโซเดียมจากผงชูรสเข้าไปเยอะก็เมื่อกินอาหารมื้อนั้นอิ่มแล้ว เกิดอาการกระหายน้ำอย่างหนักนั่นแหละ

ปกติในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายของเราควรกินโซเดียมไม่เกินวันละ 2,300 –2400 มิลลิกรัม หรือเท่ากับเกลือราว ๆ 6 กรัม หรือ 1 ช้อนชากว่า ๆ ผงชูรส 1 ช้อนชา มีโซเดียม 492 มิลลิกรัม แล้วคุณตอบได้ไหมว่า วันหนึ่งคุณได้รับผงชูรสจากทางไหนบ้าง และรับไปมากน้อยแค่ไหน

อาหารที่คุณอาจเจอผงชูรส

ประเภทปิ้งย่างทอด หมูปิ้ง,ไก่ทอด,ไส้กรอกย่าง,ทอดมัน,ปาท่องโก๋,หนังปลาทอด,ลูกชิ้นปิ้ง,แคบหมู,หมูสะเต๊ะ


ประเภทอาหารเนื้อ หมูยอ,แหนม,ไส้อั่ว


ประเภทอาหารสำเร็จรูป บะหมี่ซอง,โจ๊กสำเร็จรูป,ขนมกรุบกรอบ,สาหร่ายสำเร็จรูป


ประเภทเครื่องปรุงรสอาหาร ซีอิ๊วหลายยี่ห้อ,น้ำปลาหลายยี่ห้อ,น้ำมันหอยหลายยี่ห้อ,ซุปก้อนหลายยี่ห้อ,ซอสมะเขือเทศหลายยี่ห้อ,ประเภทอาหารตามร้าน,น้ำแกงสุกี้,น้ำแกงก๋วยเตี๋ยว,น้ำแกงจุ่มแซป,อาหารจีนทุกชนิด,ส้มตำ,ซุปหน่อไม้และอาหารอีสานหลายชนิด


ประเภทพิศดาร พริกกับเกลือสำหรับจิ้มผลไม้วัยรุ่นใช้ใส่น้ำอัดลม เชื่อว่าเพิ่มความต้องการทางเพศ


เด็กและสตรีมีครรภ์ต้องห่างไกลผงชูรส
มีข้อมูลทางวิชาการมากมายที่สะท้อนให้เห็นว่ามีอันตรายมากมายที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคผงชูรสดังที่ล้อมกรอบเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลไหนที่ผงชูรสจะถูกยกเว้นให้ไม่ต้องแสดงข้อห้ามสำหรับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงอย่างเด็กและสตรีมีครรภ์

เมืองไทยได้เคยมีประกาศของกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 8(2515) ลงวันที่ 18 มีนาคม 2515 กำหนดให้ฉลากผงชูรสต้องแสดงข้อความว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหรือหญิงมีครรภ์”

แต่ต่อมากระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีประกาศฉบับที่ 62(2521) ยกเลิกข้อความดังกล่าวทิ้งไป ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ผงชูรสมีความปลอดภัยใช้ผสมอาหารสำหรับทารกได้หรือหญิงมีครรภ์ก็รับประทานได้โดยไม่มีข้อจำกัดแต่อย่างใด ทำให้ตลาดผงชูรสเติบโตในเมืองไทยได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งทุกวันนี้ประชาชนทั่วไปก็ไม่ได้สนใจว่าผงชูรสจะมีอันตรายต่อร่างกายของตนเองมากน้อยแค่ไหน ต่างใช้ผงชูรสในการประกอบอาหารกันแทบทุกร้านทุกครัวเรือน



พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากผงชูรส
- ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคือ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้า อก หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนานนามอาการแพ้ผงชูรสว่ากลุ่มอาการโรคภัตราคารจีน หรือ Chinese Restaurant Syndrome ประชากรทั่วโลกมีอาการแพ้ผงชูรสด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งถึง 25%

- ทำลายสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (HYPOTHALAMUS) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลงทั้งในเรื่องขนาดและน้ำหนัก ฯลฯ

- ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้ายมาก

- ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ นอกเหนือจากโรคทรัพย์จางเพราะต้องใช้เงินซื้อผงชูรสโดยไม่จำเป็น

- ทำให้ไวตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวตามินบี-6 ทำให้ร่างกายผิดปกติและเป็นโรคผิวหนังได้ง่าย (การค้นพบนี้ทำให้ไวตามินบี-6 แก้โรคภูมิแพ้ผงชูรสได้)

- เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผงชูรสที่ผ่านความร้อนสูงๆ ผงชูรสที่ถูกความร้อนสูงจัด เช่น การ ปิ้ง ย่าง เผา จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีเป็นสารก่อมะเร็ง กลูพี 1 และกลูพี 2 อาจเกิดอันตรายต่ออวัยวะภายในได้หลายแห่ง เช่น ลำไส้ใหญ่ ตับ และสมอง เป็นต้น

- ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคประสาทกันมากขึ้นเรื่อยๆ น่าศึกษาว่าเกิดจากผงชูรสหรือไม่

- เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายเกิดวิรูปหรือผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น

- ถ้ากินมากจะผ่านเยื่อกั้นระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรส

- ผู้บริโภคได้รับโซเดียมมากเกินความจำเป็น เพิ่มภาระแก่ไต อาจทำให้ไตวายตายได้

ข้ออ้างและข้อโต้แย้งที่ฉลากผงชูรสควรจะมีหรือไม่มีข้อห้ามในการบริโภค

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร อ้างองค์การอนามัยโลกยืนยันว่าผงชูรสปลอดภัยยอมให้ใช้รับประทานได้ทุกวัน โดยไม่ได้กำหนดปริมาณจำกัดของการใช้
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรส การอ้างองค์การอนามัยโลกในธุรกิจการค้าเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบข้อบังคับขององค์การอนามัยโลก ซึ่งองค์การอนามัยโลกเคยเตือนผู้ผลิตผงชูรสในเรื่องนี้ทั้งในมาเลเซียและประเทศไทยมาแล้ว

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร อ้างว่าผงชูรสไม่ซึมผ่านรกจึงไม่มีผลต่อทารกในครรภ์
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรสไม่จริงเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณผงชูรสที่ได้รับ ถ้าแม่ที่ตั้งครรภ์ได้รับผงชูรสมากก็สามารถซึมผ่านรกเข้าไปในกระแสเลือดของทารกในครรภ์ได้ อีกประการตัวอนุมูลโซเดียมที่มีอยู่ในผงชูรสย่อมซึมผ่านรกได้อย่างแน่นอน ซึ่งแพทย์มักจะเตือนหญิงมีครรภ์ไม่ควรรับประทานอาหารเค็ม อันหมายถึงเกลือโซเดียมนั่นเอง

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร คำอ้างอิงอื่น ๆ เกี่ยวกับทดลองว่าผงชูรสปลอดภัย
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรส มีข้อน่าสังเกตว่า ในบรรดาผลงานหรือนักวิชาการที่เสนอผลงานยืนยันความปลอดภัยของผงชูรสจะเป็นนักวิชาการที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากผู้ผลิตผงชูรสทั้งในระดับนานาชาติและในประเทศไทยหรือเป็นการทดลองครั้งเดียวไม่มีการทำซ้ำหรือยืนยันให้แน่นอนหรือเป็นผลการทดลองวิจัยจากบริษัทผู้ผลิตผงชูรสเองหรือเป็นผลงานที่มีการอำพรางข้อเท็จจริงและจงใจแปลผลการทดลองให้เป็นไปในทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย

ข้ออ้างในการยกเลิกข้อห้ามใช้ผงชูรสในอาหาร อ้างว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่มีคำแนะนำหรือข้อควรห้ามใช้บนฉลากผงชูรส
ข้อโต้แย้งที่เห็นว่าควรมีข้อห้ามใช้ในฉลากผงชูรส กฎหมายของแต่ละประเทศก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนกัน แต่ที่สำคัญควรพิจารณาในจุดที่ว่าการมีหรือไม่มีข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งจะทำให้สิทธิผู้บริโภคเสียไปหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
 


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 27, 2006, 12:07:11 AM
 :VOV: สุดท้ายครับ

ข้อเรียกร้องจากกลุ่มผู้บริโภคและนักวิชาการหลายท่านที่ต้องการให้ฉลากผงชูรสแสดงข้อความว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหือหญิงมีครรภ์หรือคนป่วยและผู้ที่แพ้ผงชูรส” ได้รับการปฏิเสธจากอ ย.มาโดยตลอด


 
17 ธันวาคม 2545


ข้อเรียกร้องจากกลุ่มผู้บริโภคและนักวิชาการหลายท่านที่ต้องการให้ฉลากผงชูรสแสดงข้อความว่า “ไม่ควรใช้ผสมอาหารสำหรับทารกหือหญิงมีครรภ์หรือคนป่วยและผู้ที่แพ้ผงชูรส” ได้รับการปฏิเสธจากอ ย.มาโดยตลอด เมื่อผู้บริหารระดับสูงของอย. ยืนยันที่จะเดินตามคณะผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารระดับนานาชาติ คือ JECFA (joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives)ที่ว่าผงชูรสมีความเป็นพิษต่ำมากจนไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายต่อผู้บริโภคอย.จึงไม่ได้กำหนดให้มีการแสดงคำเตือนใด ๆ บนฉลาก และสามารถกินได้โดยปลอดภัยตามวิธีการกินโดยปกติ

ข้อสำคัญ อย.เห็นว่าทุกวันนี้การแสดงฉลากของผงชูรสที่ยืนตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 194) พ.ศ.2543 ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารทุกชนิดที่มีผงชูรสเป็นส่วนผสม ต้องแสดงข้อความระบุในฉลากว่า "ใช้โมโนโซเดียม กลูตาเมต เป็นวัตถุปรุงแต่งอาหาร" (โดยไม่มีคำว่าผงชูรสไว้ในวงเล็บต่อท้าย)นั้นเพียงพอแล้วสำหรับการคุ้มครองผู้บริโภค

- อย.คาดหวังว่าคนไทยที่เป็นคนจนและส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงจะเข้าใจได้ดีว่าโมโนโซเดียม กลูตาเมตคือผงชูรส
- อย.คาดหวังว่าข้อความนี้ จะหมายถึงคนที่แพ้ผงชูรสไม่ควรบริโภค
- อย.คาดหวังว่าเด็กและสตรีมีครรภ์รวมไปถึงผู้ป่วยเมื่อเห็นข้อความนี้ จะลดละเลิกทำตัวให้ห่างไกลจากผงชูรส
- และอย.คาดหวังว่าข้อความเดียวกันนี้จะทำให้ผู้คนมีวิธีการบริโภคผงชูรสโดยวิธีการปกติ

คำแถลงของผู้บริหารระดับสูงจากคณะกรรมการอาหารและยา ที่ปรากฏในข่าวแจกจากกองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค ของอย. เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า “ขอให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้ที่มีความไวต่อสารโมโนโซเดียม กลูตาเมท หรือผงชูรส ได้พิจารณาฉลากของอาหารให้ถี่ถ้วนก่อนซื้ออาหารไปบริโภคทุกครั้ง…”

ยิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า อย. ท่านคาดหวังกับข้อความซึ่งปรากฏบนฉลากผงชูรสที่ว่า "ใช้โมโนโซเดียม กลูตาเมต เป็นวัตถุปรุงแต่งอาหาร"มันจะทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกประการ ความคาดหวังดังกล่าวดูเป็นเรื่องตลกแต่ก็เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วในการคุ้มครองผู้บริโภคของเมืองไทยเรา

พฤติกรรมของอย.ที่ออกมาดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการปกป้องธุรกิจผงชูรสมากจนเกินเหตุจนกลายเป็นชนวนเหตุให้ กลุ่มองค์กรผู้บริโภคนำโดยสหพันธ์ผู้บริโภค เข้าร้องเรียนต่อนางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ทบทวนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผงชูรสทั้งในด้านความปลอดภัย การโฆษณา และการติดฉลาก ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้บริโภค ซึ่งนางสุดารัตน์ ได้รับข้อเสนอจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาแก้ไขปัญหากรณีผงชูรสอย่างจริงจังไปแล้ว

ทุกวันนี้มีอาหารมากมายหลายชนิดที่มีผงชูรสผสมอยู่และก็ไม่ใช่ปริมาณน้อย ๆ เสียด้วย โดยเฉพาะอาหารนอกบ้าน การทำความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจในพิษภัยของผงชูรสจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งถ้าใครตีโจทย์การทำอาหารได้แตกว่าความอร่อยของอาหารนั้นไม่เกี่ยวกับผงชูรสเลย ความปลอดภัยของชีวิตก็คงจะใกล้ชิดขึ้นมากอีกเยอะ และก็ไม่ต้องกังวลสับสนกับข้อมูลของพ่อค้าคนขายผงชูรสกันอีกต่อไป.(จบ)

“ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ” แค่ความจริงเพียงครึ่ง
การที่ผงชูรสแสดงข้อความว่า “ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ” หรือ “ผลิตจากแป้งมันสำปะหลังและอ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบธรรมชาติ” นั้นถือว่าเป็นการบอกความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการจงใจที่จะปิดบังข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญของผงชูรสอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เพียงแป้งมันสำปะหลังและอ้อย ไม่สามารถผลิตผงชูรสได้อย่างแน่นอน แต่ต้องใช้สารเคมีหลายตัวนับตั้งแต่กรดกำมะถันในการย่อยสลายแป้งมันสำปะหลังและอ้อยให้เป็นน้ำเชื่อม และที่สำคัญจะต้องเติมยูเรียเพื่อให้เป็นที่มาของธาตุไนโตรเจนในผงชูรส ก่อนที่จะนำไปหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ เสร็จแล้วยังต้องใช้กรดเกลือและตามด้วยโซดาไฟ ซึ่งเป็นที่มาของธาตุโซเดียม จึงจะได้ผงชูรสในที่สุด ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต (Monosodium glutamate) หรือเรียกย่อว่า MSG.

จะเห็นได้ว่าวัตถุดิบในการผลิตผงชูรสนั้นไม่ได้มีเพียงแป้งมันสำปะหลังและอ้อยเท่านั้น หากแต่จะต้องใช้วัตถุดิบทางเคมีหลายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูเรียและโซดาไฟซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการผลิตผงชูรส ดังนั้นการใช้ข้อความโฆษณาที่ว่า “ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ” นักวิชาการบางท่านจึงเห็นว่าการแสดงข้อความในลักษณะดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาควรจะต้องเร่งพิจารณาโดยด่วน

ที่มา : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
 


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: werasak ที่ กันยายน 27, 2006, 12:50:52 AM
ทุกวันนี้เรากินยาพิษแบบผ่อนส่งกันอยู่แล้วครับ อาหารแทบทุกอย่างมีสารพิษ สารเคมีเจือปนกันอยู่แล้ว  :P


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: FUFUFUFU ที่ กันยายน 27, 2006, 02:52:17 AM
    โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย  ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้ครับ
  ไม่ใส่อีกแล้วเวลาทำอาหารกินเองแล้ว
 ขอบคุณครับ สำหรับทุก  คห
       แล้วพวก น้ำอัดลมละครับ พวกนี้ อันตรายมากน้อย ขนาดไหนครับ ผมละชอบจริงๆ พวกเครื่องดื่มน้ำดำ
   อยากจะรู้เรื่องพวก น้ำอัดลมด้วยครับ


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ กันยายน 27, 2006, 07:07:36 AM
ทุกวันนี้เรากินยาพิษแบบผ่อนส่งกันอยู่แล้วครับ อาหารแทบทุกอย่างมีสารพิษ สารเคมีเจือปนกันอยู่แล้ว :P
เห็นด้วยครับ :VOV:


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ กันยายน 27, 2006, 07:19:58 AM
แล้วพวก รสดี  คนอร์  กับสารพัดยี่ห้อที่โฆษณาว่าสกัดจากไก่มั่ง หมูมั่ง สินค้ากลุ่มนี้ถือเป็นผงชูรสด้วยหรือเปล่า


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 27, 2006, 07:27:05 AM
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย ทำไมมันน่ากลัวแบบนี้ครับ
 ไม่ใส่อีกแล้วเวลาทำอาหารกินเองแล้ว
 ขอบคุณครับ สำหรับทุก คห
 แล้วพวก น้ำอัดลมละครับ พวกนี้ อันตรายมากน้อย ขนาดไหนครับ ผมละชอบจริงๆ พวกเครื่องดื่มน้ำดำ
 อยากจะรู้เรื่องพวก น้ำอัดลมด้วยครับ

 :VOV: รู้ไว้ใช่ว่า: น้ำอัดลม : มิตรหรือศัตรู
 
- แม้ความฟู่ ซู่ซ่าของน้ำอัดลมจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้ แต่มันก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแหละ เพราะในระยะยาวกรดฟอสฟอริกที่มีอยู่ในน้ำอัดลมจะส่งผลต่อกระดูก ทำให้กระดูกเปราะและหักได้ง่ายเมื่อคุณอายุมากขึ้น หรืออย่างดีหน่อยก็กลายเป็นคนหลังโกง


 


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ลานดาว ที่ กันยายน 27, 2006, 07:56:27 AM
แล้วพวก รสดี คนอร์ กับสารพัดยี่ห้อที่โฆษณาว่าสกัดจากไก่มั่ง หมูมั่ง สินค้ากลุ่มนี้ถือเป็นผงชูรสด้วยหรือเปล่า

ผงชูรสผสมเนื้อไก่  เนื้อหมูค่ะ..
มีการประกาศว่าผงชูรสแท้ๆ ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง ถ้ารับประทานไม่มากเกินควร
ในประกาศนี้ ไม่ได้นึกถึงการสะสมของร่างกายและกรรมวิธีการผลิต
ผงชูรสไหม้ไฟ อันเกิดจากกระบวนการทำอาหาร เช่น หมูปิ้ง ไส้กรอกย่าง ทอดมัน หนังปลาทอด
ผงชูรสที่ถูกความร้อนจัดๆ จะกลายรูปเป็นสาร Glu-P-1 และ Glu-P-2 เป็นสารก่อมะเร็ง
คนซื้อคนขาย ต่างคนต่างไม่รู้..เพราะไม่มีใครมาชี้แจงขนาดนี้


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ กันยายน 27, 2006, 08:17:59 AM
เห็นทีต้องลดลงบ้างแล้วล่ะครับ...แบบนี้ระยะยาวคงแย่....อย่างน้อย ๆ  ในเครื่องปรุงรสอย่างอื่นก็มีตัวพวกนี้ผสมอยู่ด้วยเหมือนกัน ทั้ง กะปิ น้ำปลา ซีอิ้วขาว ซอส..ย่อมมีส่วนผสมของชูรส..อยู่อย่างแน่นอน... :<><>


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: KTB ที่ กันยายน 27, 2006, 08:45:53 AM
น้ำอัดลมครับ เพื่อนส่งมาให้ครับ

ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75% ของคนอเมริกันขาดน้ำ ถ้าคิดทั้งโลกจะมีประชากรโลกขาดน้ำถึงครึ่งหนึ่ง 73% ของคนอเมริกันมีกลไกที่ทำให้ความรู้สึกหิวน้ำทำงานช้าลง จึงทำให้ไม่รู้สึกหิวน้ำทั้งที่ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะเป็นผลทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายลดลงได้ประมาณ 3% และเป็นเหตุให้รู้สึกอ่อนเพลียในช่วงกลางวัน มีงานวิจัยพบว่า ในคน 100 คน ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้คน 80 คน ลดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ลงได้ ดื่มน้ำวันละ 5 แก้ว ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50% ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ “โค้ก” กันหน่อย แน่นอนโค้กรสชาดยอดเยี่ยม แต่ - ตำรวจทางหลวงจะบรรทุกโค้ก 2 แกลลอนในช่องท้ายรถ เพื่อเวลามีรถชนกัน สามารถเอาน้ำโค้กล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา - ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำโค้กเต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน2 วัน - ริน โค้ก 1 กระป๋องลงในโถส้วม ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วชักโครก กรดซิตริกในโค้กจะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด - ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบ โค้ก ขัดสนิมจะออกหมด - ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆ ให้เทน้ำโค้ก ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด
- ถ้าจุดขวดติดแน่น งัดไม่ออก เอาผ้าชุบน้ำโค้กหุ้มไว้หลายๆ นาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย
- ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เทโค้ก 1 กระป๋อง เทลงในกระทะ ห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก  แกะฟอล์ยออก ปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำโค้กในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
- การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้า ให้ใช้น้ำโค้ก 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซัก ปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ โค้กจะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด
- - ท่านสามารถผสมโค้ก ลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดในโค้ก จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี
- - น้ำโค้กมี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด
- - เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า “มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็นอันตราย”
 - บริษัทขายน้ำโค้ก ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว นอกจากจะใช้ล้างห้องน้ำ เช็ดกระจก ลบรอยเปื้อน และฆ่าเชื้ออสุจิได้แล้ว ล่าสุดยังมีคนบอกว่า สินค้าน้ำดำอย่าง "โค้ก" และ "เป๊ปซี่" ใช้เป็นยากำจัดแมลงศัตรูพืชได้ดีชั้นหนึ่งเลยทีเดียว บรรดาสาวกน้ำดำทั้งหลาย คงพอจะเคยได้ยินถึงสรรพคุณต่างๆ ทั้งที่พึงประสงค์และชวนให้กังวลของน้ำอัดลมยี่ห้อดัง ‘เป๊ปซี่’ และ ‘โค้ก’ กันอยู่เนืองๆ บางคนบอกว่าน้ำดำสองยี่ห้อนี้ใช้หมักเนื้อสัตว์สำหรับทำอาหารให้เปื่อยเคี้ยวง่ายดี บ้างก็ว่าน้ำอัดลมพวกนี้เป็นน้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาเช็ดกระจกรถ และน้ำยาลบคราบเปื้อนบนเสื้อผ้าชั้นเยี่ยม ที่เมืองจีนถึงกับลือกันว่าเครื่องดื่มโค้กรุ่น “นิวโค้ก” ที่เคยวางตลาดอยู่ระยะหนึ่ง ใช้เป็นสารฆ่าตัวอสุจิได้! ฟังดูแล้วเป็นสรรพคุณที่บริษัทผู้ผลิตไม่ค่อยจะปลาบปลื้มสักเท่าไร รวมไปถึงคำชื่นชมล่าสุดจากบรรดาชาวไร่ในอินเดีย ที่กล่าวชมกันอื้ออึงว่า ทั้งเป๊บซี่และโค้กนั้นเป็นยาปราบแมลงศัตรูพืชที่พวกเขายกให้เป็นเบอร์หนึ่งในตอนนี้ ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ชาวสวนชาวไร่หลายร้อยคนในรัฐอานธรประเทศและพื้นที่ใกล้เคียง เริ่มระงับการสั่งซื้อยาฆ่าแมลงจากบริษัทดังทั้งหลาย แต่หันมาใช้ภูมิปัญญาที่พวกเขาเพิ่งค้นพบ และกำลังเผยแพร่บอกต่อเพื่อนเกษตรกรด้วยกันแบบปากต่อปาก จนทำให้ยอดขายน้ำอัดลมทั้งเป๊ปซี่และโค้กพุ่งพรวด และคาดว่าจะมีเกษตรกรอีกนับพันหันมาใช้น้ำดำแทนสารกำจัดแมลงในไม่ช้า โกตู แล็กไมอาห์ เกษตรกรคนหนึ่งบอกว่าปีนี้เขาเลิกใช้ยาฆ่าแมลงแล้ว แต่หันมาผสมโค้กเพื่อพ่นไร่ฝ้ายหลายเฮกเตอร์ของเขาแทน แล็กไมอาห์บอกกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “พอเอาน้ำอัดลมฉีด พวกแมลงมันก็ค่อยๆ ตายน่ะครับ” นอกจากแล็กไมอาห์แล้ว เกษตรกรคนอื่นๆ ยังยกนิ้วชื่นชมว่า น้ำอัดลมเป็นตัวแทนยาฆ่าแมลงได้เป็นอย่างดี เพราะปลอดภัย ไม่ต้องผสมในสัดส่วนวุ่นวาย และที่สำคัญคือราคาสบายกระเป๋า ยาฆ่าแมลงยี่ห้อที่นิยมกันในอินเดีย มีราคาประมาณลิตรละ 1 หมื่นรูปี หรือประมาณ 9 พัน บาท แต่โค้กที่ผลิตในอินเดียนั้นราคาเพียง 30 รูปี (27 บาท) ต่อหนึ่งลิตรครึ่ง เทียบสัดส่วนที่ต้องใช้เมื่อนำมาผสมน้ำฉีดต้นไม้แล้ว ต้นทุนในการใช้น้ำอัดลมก็ยังถูกกว่ายาฆ่าแมลงเกือบสิบเท่า ทเวนตรา ชาร์มา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของอินเดียบอกว่า บรรดาเกษตรกรกำลังเข้าใจผิด ที่คิดว่าน้ำอัดลมนั้นปราบศัตรูพืชได้เหมือนยาฆ่าแมลง เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ได้ฆ่าแมลง เพียงแต่ป้องกันไม่ให้แมลงหันไปเล่นงานพืชต่างหาก และพระเอกตัวจริงของเรื่องนี้ก็คือ “น้ำตาล” ซึ่งมีปริมาณสูงมากในเครื่องดื่มทั้งสองยี่ห้อ ชาร์มาเล่าว่าการใช้น้ำตาลเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชไม่ใช่เรื่องใหม่ “สมัยก่อนเกษตรกรใช้น้ำตาลโตนดปราบศัตรูพืชกันมานานแล้ว ซึ่งเป๊ปซี่กับโค้กก็ให้ผลอย่างเดียวกัน” เพราะน้ำตาลในเครื่องดื่มจะกลายเป็นอาหารให้มดและแมลงเลี้ยงตัวอ่อนได้อิ่มหนำ จนไม่ต้องมาวอแวกับต้นพืช นอกจากนี้ สันเกต ธากูร์ นักวิทยาศาสตร์อีกคนยังระบุว่า การพ่นน้ำอัดลมใส่ต้นไม้ ทำให้พืชได้รับน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตโดยตรง จึงเหมือนเป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ได้ผลิตผลจากไร่มากขึ้น
ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง แปลโดย ศ.กิตติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู



หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ลานดาว ที่ กันยายน 27, 2006, 01:18:47 PM
ส่วนผสมของน้ำอัดลม                   
   ลองอ่านส่วนผสมของน้ำอัดลม จากข้างขวดดู แล้วคุณจะพบว่าหนึ่งในส่วนผสมนั้นคือ
   กรดฟอสฟอริก และ เอธีลีน ไกลคอล  อีกเล็กน้อย   
   ที่น่าตกใจก็คือเจ้าสาร เอธีลีนไกลคอล นี้เป็นที่รู้จักกันดีในวงการน้ำอัดลมว่า
   เป็นตัวทำให้น้ำอัดลมเย็นจัด และช่วยป้องกันการ แข็งตัวที่อุณหภูมิ 0 องศา
   โดยจะทำให้น้ำอัดลมแข็งตัวที่อุณหภูมิต่ำกว่านั้น คือ –4 หรือ –5 องศา
   สารเคมีตัวนี้เป็นสารพิษอย่างอ่อนๆ ที่จัดอยู่ใน กลุ่มของสารหนู

ลองทายกันดูสิว่า ค่า pH (ค่าความเป็นกรด-ด่าง) ประมาณ 3
ความเป็นกรดขนาดนี้สามารถทำให้กระดูกและฟันผุกร่อนได้  (น่าเสียดายที่ว่าร่างกายคนเรา
จะหยุด หมายถึงหยุดสร้างกระดูกที่อายุ 30 เท่านั้นเอง)
เอนไซม์ย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่ระดับอุณหภูมิ 37 องศา แต่อุณหภูมิน้ำอัดลมแช่เย็นจะต่ำกว่านี้มาก
บางครั้งอาจต่ำจนเกือบถึง 0 องศา ซึ่งความเย็นขนาดนี้ทำให้เอนไซม์เจือจาง และระบบย่อยอาหารผิดปกติ
อาหารที่เรากินเข้าไปจะไม่ย่อย ซ้ำยังหมักหมม จนเกิดแก๊สและของเสียที่จะกลายเป็นพิษ 
สารพิษนี้จะถูกดูดซึมไปทั่วร่างกาย  ก่อให้เกิดโรคต่างๆ นานาตามมา
แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกเมื่อเราดื่มน้ำ “อัดลม” ลมนั้นก็คือคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง
น้ำอัดลมไม่ได้ให้สารอาหารใดๆ ที่มีคุณค่าต่อร่างกายเลย  ซ้ำยังมีน้ำตาล กรดคาร์บอนิก  และ สารเคมีอื่น
เช่น สีผสมอาหาร เป็นต้น  บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมหลังอาหาร โดยที่ไม่รู้ว่าผลกระทบของมันเป็นอย่างไรบ้าง

มีคนเคยทดลองใส่ฟันลงไปในขวดน้ำอัดลม  เชื่อหรือไม่ว่า ภายในเวลาเพียง 10 วัน ฟันนั้น
ถูกกัดกร่อนจนละลายไปทั้งๆ ที่ฟันและกระดูกเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายมนุษย์  ถึงแม้ร่างกาย
จะเน่าเปื่อยผุพังไป ฟันและกระดูกก็ยังคงสภาพอยู่เป็นปีๆ แล้วคิดสิว่า ลำไส้และกระเพาะที่อ่อนนุ่ม
ของเราจะถูกกัดกร่อนมากเพียงใด
 


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: boon ที่ กันยายน 27, 2006, 02:30:15 PM
ขอบคุณเพื่อนๆที่นำความรู้ต่างๆมามอบให้ครับ อ่านแล้วได้ประโยชน์มากๆ
ผงชูรสเราคงจะหลีกหนีจากมันได้ยาก แต่ถ้าเราปรุงอาหารทานเองที่บ้านได้
เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ผงชูรสลงไปในอาหาร  แต่อาจจะมีชูรสที่อยู่ในเครื่องปรุงบ้าง
ก็คงไม่มากนัก  ส่วนน้ำอัดลม ผมไม่ชอบดื่มมานานแล้ว ดื่มแต่น้ำผลไม้หมัก ;D


หัวข้อ: Re: อยากรู้ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ กันยายน 27, 2006, 03:02:05 PM
รู้ไหมแปรงทาไก่ย่างขนแปรงสีดำทำจาก PVC. คุณภาพต่ำๆ      ทาไปย่างไปตายเป็นตายครับ