เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: noomrider ที่ ตุลาคม 08, 2006, 08:26:14 AM



หัวข้อ: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: noomrider ที่ ตุลาคม 08, 2006, 08:26:14 AM
ก๊อปมาให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูล  และขอเเสดงความเสียใจด้วยครับ



       น้องเฟย ลูกปาป๊า และ มาม๊า นักเรียนชั้น ป 1 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ผู้จากไปด้วย
โรคไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปาก แน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์ Coxsaki
หรือ Enterovirus71ไหนเท่านั้นเอง และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียา
รักษาได้ อาการของโรคลูกชายผมจะไม่มีแผลที่มือ ปาก หรือ เท้า แต่ลักษณะการโจมตีของไวรัส
เหมือนกับโรคมือ ปาก เท้า ทุกประการ เป็นคำยืนยันจากอาจารณ์หมอหลายท่านที่ผมปรึกษามาทั้งที่
บำรุงราษฏ์ และ จุฬา ฯ

ข้อความต่อไปนี้เป็นอาการป่วยของน้องเฟยตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิตในเวลา 10 วันเท่านั้นเอง


วันอังคาร์ที่ 5/9/49 ตอนเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน ป๊าจำได้ น้องเฟยเดินมาบอกป๊าว่าปวด
หัว แต่เราก็คิดว่าคงนอนไม่พอเลยปวดหัว จึงพาเฟยขึ้นนอนแต่หัวค่ำ พอช่วงดึกน้องเฟยตัวร้อนมาก
จึงให้ยาแก้ไข ไทลินอลแบบน้ำ และนอนต่อ จนเช้าไข้ก็ยังไม่ลด เลยให้หยุดเรียนพักอยู่บ้าน และ
ทานยาลดไข้เป็นระยะ ๆ

วันพุทธ ที่ 6/9/49 น้องเฟยนั่งเล่นอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน ดูน้องเฟยช่างมีความสุขจัง แต่ไข้ก็ยังไม่ลด
ต้องกินยาลดไข้ไปทุก 4 ชั่วโมง หลังทานยาน้องเฟยแข็งแรงมาก วิ่งเล่นไปมา ส่งเสียงดังลั่นบ้าน
จนนึกว่า นี่ต้องเป็นป่วยการเมือง แหง ๆ แต่แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 7/9/49 น้องเฟยยังมีอาการไข้อยู่ 38.5 C คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาล
กรุงเทพคริสเตียน หาคุณหมอประจำชื่อ คุณหมอ วรรณณี คุณหมอก็ตรวจไข้ตามปกติ และให้ยาแก้ไข้
แก้อักเสบ แก้ไอ แล้วก็กลับบ้านมาพักผ่อน

วันศุกร์ที่ 8/9/49 น้องเฟยเริ่มแข็งแรงเป็นปกติ จึงเอายาไปทานที่โรงเรียน และเรียนหนังสือตาม
ปกติ

วันเสาร์ที่ 9/9/49 โรงเรียนหยุด อยู่บ้าน ทานยาตามปกติ แต่ไข้ก็ยังไม่ลดเท่าไรนัก ต้องทาน
ยาลดไข้เป็นระยะ พอทานยาเสร็จ ก็วิ่งเล่น ส่งเสียงดังลั่นบ้านตามปกติ ดูทีวี คุยกับอาม่า ทาน
อาหารได้

วันอาทิตย์ 10/9/49 ตอนบ่าย 2.30 มาม๊าไม่สบาย ป๊าเลยพาน้องเฟยกับพี่ชายแกไปที่ TK
Park อุทยานการเรียนรู้ที่ เซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า พอไปถึงน้องเฟยก็วิ่ง เล่นนำหน้าป๊าไปก่อน
กดลิฟท์เอง ไม่ยอมให้พี่เขากดลิฟท์ เพราะปกติคนพี่มักจะแย่งกับน้องกดลิฟท์เป็นประจำ พอไปถึงก็
เข้าไปเล่นเกม= ส์อินนเตอร์เนท จนกระทั่งเวลา 5.00 เย็น เราก็ออกมา น้องเฟยบอกว่าหิว
ข้าว จึงพาไปกินอาหารญี่ปุ่น Zen แต่น้องเฟยบอกหนาว หนาวมาก ๆ ป๊าจับตัวดูก็รู้ว่าไข้ขึ้นจึงรีบ
วิ่งไปซื้อยาลดไข้ คาลปอล มาป้อนน้องเฟยก่อน จนแกเริ่มดีขึ้น ก็ทานข้าวกับกุ้งเทมปุระ ได้จนหมด
จาน นับเป็นครั้งแรกที่น้องเฟยทานจนหมด เพราะปกติแกจะเป็นคนที่เลือกทานอาหารมาก ๆ ไม่ชอบ
กินผัก จากนั้นก็รีบกลับบ้านทันที

วันจันทร์ที่ 11/9/49 คุณ แม่พาน้องเฟยไปหาหมอรอบที่ 2 กับหมอ วรรณี คนเดิมที่ รพ. กรุงเทพ
คริสเตียน
วัดไข้ได้ 38.5 C แต่ก็ยังร่าเริง วิ่งเล่นอยู่หน้าห้องรอตรวจ ดูอาการดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่มา
ตรวจด้วยซ้ำไป คุณหมอจึงได้จัดยา ยา Zithromax เป็นยาแก้อักเสบ และ ยาลดไข้ 2
อย่าง พอกลับบ้านก็ทานยาตามปกติ ตามเวลา น้องเฟยก็ร่าเริงตามเดิม คุยเสียงดัง ลั่นบ้านตาม
เคย

วันอังคาร์ที่ 12/9/49 น้องเฟยไปโรงเรียนตามปกติ ตอนเย็นกลับบ้านทานยา Zithromax วัน
ละ 1 ครั้ง เป็นยาแก้อักเสบ

วันพุทธ ที่ 13/9/49 น้องเฟย ไปโรงเรียนตามปกติ ?
?

วันพฤหัสบดีที่ 14//9/49 น้องเฟยเริ่มมีอาการผิดปกติ ไม่มีไข้แม้แต่น้อย ตัวไม่ร้อน แต่น้องเฟยบ่น
ว่าเมื่อยทั้งตัว ไม่มีแรง เราก็นึกว่าเด็กตื่นเช้า 6.20 น อาจจะยังง่วงนอนอยู่ก็เลยเมื่อย ๆ
พอไปถึงโรงอาหาร แกก็กินข้าวไม่ลง ทานได้ 2-3 คำก็ไม่กินแล้ว มาม๊าเลยอุ้มน้องเฟยมากอดให้
แกงีบสักพัก พออ๊อดเข้าห้องดัง ป๊า และ ม๊าก็พาแกไปเข้าห้องแต่พอเดินมาถึงกลางสนามบาสแกก็บอก
ว่าเดินไม่ไหว ณ เวลานั้น ถ้าผมทราบว่าตอนนี้มีโรคระบาดในเด็กละก็ ผมคงไม่ชะล่าใจ นึก
ว่าแกแกล้งไม่ยอมเข้าห้องเรียน จนถึงเวลานี้ก็ยังเสียใจว่าทำไมวันนั้นเราไม่นึกเอะใจเลยนะว่าลูก
เราผิดปกติ แต่เราก็กลัวแกเรียนไม่ทันเพื่อน เพราะ หยุดเรียนไปหลายวันแล้ว อีกอย่างอาทิตย์
หน้าก็จะสอบแล้วด้วย เลยพาแกเข้าห้องเรียนด้วยมือของเราเอง (น้องเฟย ป๊าขอโทษ
ป๊าผิดเองที่วันนั้นพาน้องเฟยเข้าห้องทั้ง ๆ ที่น้องเฟยบอกเรียนไม่ไหว ป๊าเสียใจมาก ๆ มากจนไม่
อาจให้อภัยตัวเอง ถ้าหากมีข่าวเรื่องโรค มือ เท้า ปาก มาก่อน ป๊าจะไม่ยอมให้น้องเฟยไป
โรงเรียนเลย ทุกวันนี้มันก็ยังหลอนอยู่ในหัวป๊าตลอดเวลา )
ทำไมทางสาธารณสุขถึงปิดข่าวกัน ไม่เคยมีใครรู้จักโรคนี้มาก่อนเลยทั้งที่มันรุนแรงกับเด็ก มาก ๆ
และกำลังระบาดอยู่ ซึ่งความจริงมีเด็กเสียชีวิต ตั้งแต่ต้นปีแล้ว 5-6 คนด้วยกัน เพิ่งจะเป็นข่าวก็ใน
กรณีลูกของผมนี่แหละ )

เย็นวันนั้นหลังจากรับกลับบ้าน ปรากฏว่ามีรอยบวมใต้ตาทั้ง 2 ข้าง พอมีใครไปทักแกก็จะบอกว่าอย่า
ยุ่ง รู้สึกว่าวันนั้นแกจะนั่งดูทีวีอย่างเดียว ไม่พูด ไม่คุย ไม่ส่งเสียงดังตามปกติ

เวลา 2 ทุ่ม ผมอุ้มแกเข้าห้องให้แกนอนที่เตียงประจำของแก แต่ปรากฏว่า ที่แขน และ ขา จับ
แล้วเย็นมาก แต่ที่ตัวยังอุ่น หัวเริ่มมีเหงื่อออกมาก ผมรู้แล้วว่าอาการโรคที่แท้จริงตอนนี้เริ่ม
ปรากฏตัวแน่ ๆ แล้ว ทั้งที่ตอนหัวค่ำยังไม่มีอาการมือเย็น เท้าเย็น เลยแม้แต่น้อย

ผมปรึกษากับคุณแม่ เห็นว่ามันดึกแล้ว ถ้าไปโรงพยาบาลเวลานี้คงเจอแต่หมอเวร อีกอย่างแกก็ไม่มีไข้
นอนอย่างเดียว ไม่ร้องเจ็บ หรือ ปวดตรงหัวเหมือนตอนก่อนเป็นไข้ครั้งแรก ก็เลยตั้งใจว่าเช้าวัน
ศุกร์จะพาไปหาหมออีกที คราวนี้น่าจะรักษาได้แน่เพราะอาการออกชัดมาก ๆ

วันศุกร์ ที่ 15/9/49 คุณแม่พาน้องเฟยไปโรงพยาบาลเวาลา 10.00 น ช่วงเช้า 7.00 น คุณ
พ่อได้นวดแขนนวดขาให้น้องเฟย เพราะมือและขา แกเย็นมาก ๆ ตลอดเวลา แต่ไม่มีแผลที่มือ หรือ
เท้าเลยแม้แต่น้อย สะอาดมาก พอไปถึงโรงพยาบาลคุณหมอได้พยายามเจาะหาเส้นเลือดเพื่อใส่
น้ำเกลือด่วน เพราะว่าเด็กเกิดอาการช๊อค แต่ก็ไม่สามารถเจาะได้ เพราะเส้นเลือดหาไม่เจอ
เลย ต้องเจาะอยู่ถึงกว่า 10 ครั้ง น้องเฟยร้องไห้ตลอดเลยเพราะว่าเจ็บมาก จนคุณแม่ที่นั่งรออยู่
ข้างนอกยังทนไม่ไหวถึงกับร้องไห้สงสารลูก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะการเจาะเลือดเป็นทางเดียวที่จะ
ให้อาหารแกด้วน้ำเกลือ เพื่อพยุงอาการให้เข้าที่

เวลา 21.00 น ผมมาถึงโรงพยาบาล ที่ห้อง ไอ ซี ยู เห็นน้องเฟยนอนตาลอยอยู่ ดูหน้าแล้ว
โทรมกว่าตอนเข้ามาก ๆ จากนั้นแกก็อาเจียน มีเสลดในคอต้องคอยดูดออกเป็นระยะ ๆ แต่ไม่
มีหมดในห้อง ICU เลย ผมถามแฟนว่าหมอไปไหนกับหมด แฟนก็บอกว่าหมอออกเวรไปแล้ว สักพัก
ก็มีหมอเวรเด็ก เข้ามาและตรวจอาการแกตามปกติ แต่รุ้สึกว่าอาการลูกผมจะแย่ลงเรื่อย ๆ เห็น คุณ
หมอวิ่งเข้า วิ่งออกอยู่หลายรอบ เรียกพยาบาบเข้าไปช่วยต้วย แกบอกว่าลูกผมอาการค่อนข้างหนัก
มาก ๆ แต่ยังหาสาเหตุของโรคไม่เจอ จากนั้นได้นำน้องเฟยไปเอ็กซ์เรย์ ปอด หัวใจ และ
ทำ CT Scan สมอง เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง ผลก็คือ ปอดปกติ ไม่มีอาการปอดบวม
(อาการปอดบวมมาพบทีหลังในเช้าวันเสาร์ที่เสียชีวิต ) แต่หัวใจทำงานผิดปกติ แรงดันชีพจรเต้น
เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา อาการน่าเป็นห่วง ส่วนที่สมองก็มองไม่เห็นความผิดปกติ แต่คุณหมอในคืนนั้นก็
แจ้งว่าเครื่อง CT Scan สามารถมองเห็นได้แค่ช่วง 1 CM. แล้วก็เว้น 1 CM คื่อมองเห็นช่วง
และ ไม่เห็นช่วงสลับกันไป จากภาพถ่าย ก้านสมองเด็กมองแล้วก็ยังไม่เห็นเลือดคั่ง หรือ อะไรที่ผิด
ปกติ

คุณหมอเวรช่วงดึก แกก็ได้โทรไปปรึกษา หมอประจำของน้องเฟย คือ คุณ หมอ วรรณณี ตลอด แล้ว
ก็วิ่งเข้าไปเจาะเลือดลูกเราอีกแล้ว ทุก ๆ ชั่วโมง แต่ลูกเราตอนนี้โดนยานอนหลับอยู่จึงยังไม่มีการ
ร้อง หรือตอบสนอง

คุณหมอได้ตะโกนเรียกน้องเฟย เอาที่เคาะกระดูกมาเคาะที่เท้า แต่ เท้าก็ไม่มีการตอบสนอง เอา
ไฟฉายมาส่องตา ตาก็ไม่ตอบสนอง แล้วคุณหมอก็พยายามตะโกนเรียกน้องเฟยอยู่นาน ผมก็เริ่มรู้
สึกใจไม่ดีแล้ว เอทำไมบรรยากาศเริ่มแย่ลง ๆ ลูกเราเป็นอะไรกันแน่ ถามคุณหมอ แกก็บอก
ว่าอาจจะช็อกอย่างแรงจากโรคบาวหวานเฉียบพลัน แต่หลังจากวิเคราะห์อีกที ก็ไม่น่าจะใช่
เพราะผลเลือดสรุปแล้วมีแต่น้ำตาลในเลือดที่สูงถึง 300 แต่ตัวอื่นปกติจึงไม่น่าจะใช่บาวหวานเฉียบพลัน
ตอนนั้นผมเริ่มถามตัวเองแล้วว่า หมอใหญ่ของที่นี่ไปไหนกันหมด ปล่อยให้หมอเวรหนุ่ม ๆ ทำอยู่คน
เดียว โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ไม่มีหมอดี ๆ เหลือเลยเหรอ

แต่ผมก็เห็นความตั้งใจของหมอเวรคนนี้มาก แกพยายามทำทุกวิธีทาง ใช้ทุกเครื่องมือของโรงพยาบาล
ที่มี รวมทั้งเครื่องตรวจหัวใจด้วยไฟฟ้า เครื่อง CT Scan ตรวจสมอง ผลก็คือ ไม่ทราบว่าเป็นโรค
อะไร คุณหมอเวรคืนนั้นเดินมาบอกเราว่า ทางโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียไม่มีเครื่องมือที่
ละเอียดเพียงพอที่จะหาเชื้อโรคตัวนี้ หรือ ไวรัสตัวนี้ได้ จำเป็นต้องส่งต่อโรงพยาบาล จุฬา หรือไม่
ก็ ศิริราช ในเวลานั้นผมเริ่มใจสั่นและคิดหนัก ว่าอาการลูกเราตอนนี้เป็นตายเท่ากัน จะไปไหน
ดี นี่ก็ตี 2.30 แล้ว ใครจะมีอาจารณ์หมอละ คืนวันศุกร์ ติดต่อไปที่จุฬาก็ไม่มีเตียงเหลือ
สุดท้ายผมเลือกโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ ทางหมอเวรได้ติดต่อประสานงานให้กับ รพ บำรุงราษฏร์
เรียบร้อย เป็นอาจารณ์หมอเด็กเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ เพราะลูกผมตอนนี้หายใจถี่มาก ๆ
เหมือนคนวิ่งมาเหนื่อย จะหายใจถี่ ๆ ตลอดเวลา ต้อง ใช้รถพยาบาลของกรุงเทพคริสเตียนส่งไปพร้อม
กับใช้เครื่องช่วยหายใจไปตลอดทาง

ระหว่างทางผมเห็นหยดน้ำตาบนหน้าน้องเฟย จิตใจเราก็เริ่มแย่ลง หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาแก
ภาวนาว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ ปาป๊า กำลังพาน้องเฟยไปหาหมอที่เก่งที่ดีที่สุดแล้ว อดทนหน่อยนะ
น้องเฟยชอบพูดว่าน้องเฟยอดทนเก่งนี่ คราวนี้ถ้าน้องเฟยหาย ปาป๊าจะพาไปดู MASK RIDER
SHOW ที่กำลังจะแสดงเร็ว ๆ นี้ น้องเฟยชอบพูดว่าอยากดูไม่ใช่เหรอ จะดูกี่รอบก็ได้นะ

พอไปถึง คุณหมอที่ บำรุงราษฏร์ ได้เตรียมห้อง ICU รอไว้เรียบร้อยแล้ว และทำการรักษาต่อทันที

มีการใส่เครื่องช่วยหายใจอัตโนมัติ เครื่องให้น้ำเกลือ เครื่องตรวจชีพจร เครื่องตรวจการ
เต้นของหัวใจ เครื่องตรวจอะไรอีกไม่รู้ รวม ๆ แล้วเกือบ 8 เครื่องด้วยกัน

คุณหมอบอกว่าลูกเรามีอาการติดเชื้อเข้าขั้นรุนแรง เพราะหัวใจทำงานผิดปกติในการส่งเลือดไป
เลี้ยงสมอง ทำให้สมองสั่งการให้หายใจผิดปกติด้วย แต่ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นไวรัสตัวไหน จึงขอ
อนุญาตดูดเลือดไปตรวจ ผมก็ตกลง แต่คุณหมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วง ต้องดูตลอดเวลา ชั่วโมง
ต่อชั่วโมง ชั่วโมงนี้แย่ แต่ ก็ไม่แน่ว่าชั่วโมงต่อไปอาจดีก็ได้ ในสิ่งที่แย่ก็ยังมีความหวังเสมอ
ผมฟังไปน้ำตาก็เริ่มไหล ทำได้เพียงแค่สวดภาวนาขอให้ลูกเราปลอดภัยด้วยเถิด จะให้เราทำ
อะไรก็ยอมทั้งนั้น ยาแพงแค่ไหนก็ได้ ขอให้เขาหาย

ผลเลือดยังไม่รู้ต้องรอเพาะเชื้อ 3 วัน แต่คุณหมอที่บำรุงราษฏร์ บอกว่าเขาได้ฉีดย่าฆ่า
เชื้อแบคทีเลีย และ ไวรัสเท่าที่เขามีให้แล้วโดยไม่รอผลเชื้อของห้องแล๊ป ถ้าโชคดียาที่ส่งไปอาจ
ใช้กับเวรัสในตัวลูกเราก็ได้ ต้องรอดูอาการอีกที แต่คุณหมอบอกว่า ไวรัส 99% ไม่มียาฆ่าเชื้อ
ต้องใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเด็กเองเป็นตัวฆ่า ถ้าลูกเราแข็งแรง ก็จะผ่านช่วงเลวร้ายนี้ได้ ถ้า
แข็งแรงไม่พอก็จบ

คืนนั้นผมไม่นอนเลย นั่งเฝ้าหน้าห้องกระจก ICU ตลอดเวลา จนเวลา ตี 5 คุณหมอจึงขออนุญาต
กลับไปก่อนเพื่อให้หมอด้านหัวใจ และ สมองมาตรวจในตอนเช้าอีกที นั่งไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า
แฟนผมก็นั่งหลับอยู่หน้าห้องเหมือนกัน

เช้าวันเสาร์ ที่ 16/9/49 อาการน้องเฟยนิ่ง ๆ ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา คุณ
หมอเด็กด้านหัวใจอ่านรายงานของ รพ กรุงเทพคริสเตียน บอกว่ายังพอมีหวัง ถ้าไวรัสไม่เข้าไปที่
หัวใจ แต่หลังจากใช้เครื่องสแกนหัวใจมาตรวจ ก็พบว่ามีไวรัสในหัวใจจริง ๆ และเป็นตัวที่ร้ายที่
สุด ซึ่ง ไม่มียาฆ่าเชื้อโรคตัวนี้ โอกาสรอดมีน้อยมาก

แฟนผมพอได้ยินว่าเป็นไวรัสที่ร้ายแรงที่สุด ถึงกับร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก

จากนั้นคุณหมอด้านสมองเด็ก ก็ได้มาตรวจดูด้วยเครื่องอะไรก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้นสมองผมเองก็ เริ่ม
ไม่รับรู้แล้วเหมือนกัน คุณหมอสมองเด็กออกมารายงานว่า ที่สมองตรวจพบเชื้อไวรัส เช่นกันที่
ก้านสมอง ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสมอง และเริ่มตรวจพบเชื้อในปอด ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานยัง
ตรวจไม่พบเลย ทำไมวันนี้จึงเจอละ

คุณหมอบอกว่าความหวังสุดท้าย ของเรายังมี คือ ใช้เซรุ่มของคนอื่นที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง มาฉีดให้
น้องเฟย
เป็นความหวังสุดท้าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายของน้องเฟย ไม่ไหว ต้องส่งกองทัพของคนอื่นมา
ช่วย ถ้าช่วยได้ก็คงจะฆ่าไวรัสได้บ้าง ทางผมจึงตกลงให้ใช้เซรุ่มตัวนี้ ถึงแม้จะยังไม่การรับรอง
เซรุ่มตัวนี้อย่างเป็นเอกสารแต่ในเมืองนอกมีการใช้กัน และได้ผลบ้างในบางเคสเท่านั้น

คุณหมอได้แจ้งอีกว่าราคาเข็มละ 60,000 B. ซึ่งทางเราก็ยินดี

ทางคุณหมอได้ขอเจาะไขกระดูกสันหลังเพื่อขอส่งไปตรวจหาเชื้อด้วย ซึ่งทางเราก็คิดหนักในตอนแรก
กลัวแกจะทนไม่ไหว แต่ในที่สุดทางเราก็ได้อนุญาต เพราะเราไม่มีที่พี่งแล้วนอกจากหมอ

หลังจากได้รับการฉีดเซรุ่ม เข้าไป 2 ชั่วโมง หัวใจของน้องเฟยก็หยุดเต้น ขึ้นมา คุณหมอจึงรีบ
เข้ามาปั๊มหัวใจซึ่งก็ใช้เวลาในการปั๊ม 1.20 ชั่วโมง คุณหมอทั้ง 3 คนออกมาแจ้งว่าน้องเฟย ไม่ไหว
แล้ว ผมกับแฟน อากง อาม่า มีแต่น้ำตา พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว พอคุณหมอเห็นสภาพผม
ในตอนนั้น ท่านก็เดินกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้งช่วยกันปั๊มหัวใจอีกร่วม 30 นาที ด้วยกัน แต่ผลสุดท้าน
น้องเฟยก็จากพวกเราไป แล้ว


ผมเสียใจมาก โทษตัวเองว่า เราประมาทอะไรไปรึเปล่า ทำไมเราไม่ส่งเขาไปรพ บำรุง
ราษฏร์แต่แรก
เราเห็นว่าประวัติการรักษาทั้งหมดอยู่ที่ รพ กรุงเทพคริสเตีย เขาเกิดที่นี่ ประวัติการรักษาก็อยู่ที่นี่
แต่ที่นี่กลับไม่สนใจลูกผมเลย คุณหมอวรรณี ก็ได้แต่ส่งเสียงตามสายเท่านั้น ทั้งที่เราก็หาเขาตลอด
ทำไมเขาถึงปล่อยให้ลูกเรานอนรออยู่เฉย ๆ ตั้ง 3-4 ชั่วโมง จนกระทั่งหมอเวรมาตรวจในตอน 4
ทุ่ม พบว่าเป็นเคสอาการหนัก คุณหมอวรรณีก็ไม่ได้แวะมาช่วยดูเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้พูดกับเรา
เลย แม้สักคำ มีแต่หมอเวรหนุ่มที่มีความตั้งใจมาก แต่ยังขาดประสบการณ์ มาดูแลน้องเฟยคน
เดียว

นับจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ลูกผมนอนรอโดยหาคำตอบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เปลี่ยนหมอ หรือ เปลี่ยน
โรงพยาบาลเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจหมอ หรือ กลัวไม่ได้ประวัติการรักษา เพราะเขาอาจไม่
รอดรอให้เรารักษา
เหมือนผม

เฟย ป๊ากับม๊า รักเฟยมาก และ เสียใจมาก ๆ ขอให้เฟยเกิดมาเป็นลูกป๊าอีกนะ คราว
นี้ป๊ากับม๊า จะดูแลเฟยใหม่ จะไม่ให้ไปโรงเรียนถ้ามีไข้ และ จะไม่ฝืนถ้าลูกร้องไม่ไหวอีกต่อไป


สิ่งที่ผมเขียนมานี้เป็นความจริงทั้งหมด และขอให้ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์แก่ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ทุกคนใน
การดูแลลูก หลานของท่าน โรค Enterovirus 71 นี้ไม่จำเป็นต้องมีอาการแผลที่มือ ปาก เท้า
แต่ถ้ามันเข้าไปถึงหัวใจ หรือก้านสมอง โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ๆ ถ้ารอด สมองก็จะไม่เหมือนเดิม

สาธารณสุข หรือ แม้แต่โรงเรียน ก็ตาม แจ้งแต่ผมการตรวจในห้องแล๊ป แต่ไม่เคยเล่าอาการ
ล่วงหน้ามาให้ทราบ ทั้ง ๆ ที่ทางผมได้เล่าละเอียด ดังนั้น ผมจึงขอถือโอกาสนี้เล่าเรื่องราวต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนทราบ เพื่อเอาไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน ชีวิตน้องเฟย 1 คน ใน
โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จะมีค่าหากทุกคนช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร

ขอขอบคุณครับ

คุณพ่อ และ คุณ แม่ น้องเฟย

25/9/49


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: Tiger wut ที่ ตุลาคม 08, 2006, 08:53:53 AM
 8)  เรื่องเศร้าครับ  ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียด้วยครับ 8)


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ ตุลาคม 08, 2006, 08:55:09 AM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ....


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: mimi ที่ ตุลาคม 08, 2006, 09:16:06 AM
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวนี้ด้วยนะคะ  เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนได้สัมภาษณ์คุณหมอได้ความว่า
     โรคมือเท้าปากเกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ เอนเทอโรไวรัส 71 สายพันธุ์คอกซากี่
     อาการของโรค จะมีไข้สูงประมาณ 2 วัน มีตุ่มขึ้นที่ปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม ฝ่ามือ ฝ่าเท้าส่วนใหญ่แล้วจะไม่รุนแรง แต่สำหรับเด็กทารกหรือเด็กก่อนวัยเรียนนั้นยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ทำให้เด็กวัยนี้มีอาการรุนแรงมาก  ทำให้เกิดภาวะสมองอักเสบ หัวใจอักเสบ และตาย
ได้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการซึมลง อาเาจียน หรือกินไม่ได้ ควรรีบนำมาพบแพทย์
     กลุ่มเสี่ยง ช่วงวัยทารกและเด็กก่อนวัยเรียน
     การติดต่อ  เกิดจากการสัมผัสจากสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพอง ที่มือ ที่ขา อุจจาระ จากผู้ป่วย
     การรักษา  ยังไม่มียารักษาเฉาพะโรค ทำได้โดยรักษาตามอาการ เนื่องจากเป็นเชื้อไวรัสทำให้ไม่มียารักษาเฉพาะ 
     การป้องกัน  ทางที่ดีที่สุดคือ ล้างมือให้สะอาด แยกผู้ป่วย หรือถ้าในโรงเรียนมีผู้ติดเชื้อ 2 คนขึ้นไปควรปิดโีรงเรียนและทำการฆ่าเชื้อ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: GLOCK 45 ที่ ตุลาคม 08, 2006, 09:18:56 AM
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้ที่สูญเสียด้วยครับ อ่านแล้วรู้สึกหดหู่นะครับกับตอนที่ว่า เลยพาแกเข้าห้องเรียนด้วยมือของเราเอง (น้องเฟย ป๊าขอโทษ
ป๊าผิดเองที่วันนั้นพาน้องเฟยเข้าห้องทั้ง ๆ ที่น้องเฟยบอกเรียนไม่ไหว ป๊าเสียใจมาก ๆ มากจนไม่
อาจให้อภัยตัวเอง ถ้าหากมีข่าวเรื่องโรค มือ เท้า ปาก มาก่อน ป๊าจะไม่ยอมให้น้องเฟยไป
โรงเรียนเลย ทุกวันนี้มันก็ยังหลอนอยู่ในหัวป๊าตลอดเวลา )  
ด้วยความเคารพครับ :)


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: PEA.2535 ที่ ตุลาคม 08, 2006, 09:44:28 AM
เศร้า ??? เสียใจ มากๆครับ...


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: หรอย ที่ ตุลาคม 08, 2006, 12:15:53 PM
ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวน้องเฟย  ผมอ่านไปน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลยครับ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: nick ที่ ตุลาคม 08, 2006, 12:58:32 PM
ขอให้น้องไปสู่สุขติภพ  น้องยังเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ต้องได้อยู่ ณ. สวรรค์ชั้นสูงแน่เลย

น้ำตาซึมไหล  เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อด้วยกัน

ลูกผมก็อยู่ช่วงวัยนี้เช่นกัน

และขออนุญาตนำไปเผยแพ่ต่อนะครับ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ ตุลาคม 08, 2006, 02:04:24 PM
ขอให้น้องเฟยไปสู่สุคติด้วยครับ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: JLB-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 08, 2006, 02:37:21 PM
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียด้วยครับ

เรื่องอาการเจ็บป่วยของลูกเรา อย่าวางใจนะครับควรพาไปหาหมอแต่เนิ่นๆ หากสายเกินไปจะแก้ไม่ทัน
ลูกชายผมก็มี อาการโรค ปาก มือ เท้าเปื่อย ตอนเขาอายุได้ควบครึ่ง
เด็กยังพูดไม่ได้ ผมสังเกตว่ามีตุ่มใสขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ก็รีบพาไปหาหมอทันที
หมอก็บอกว่า เป็นโรคนี้ ผมเองเมื่อได้ยินครั้งแรก ก็งงมาก ว่ามันเป็นโรคอะไร
แต่เด็กจะทรมานมาก กินอาหารไม่ได้แม้แต่นม
เนื่องจาก เวลาที่กินเข้าไป อาหารเหล่าจะผ่านเข้าไปถูกตุ่มใสที่พร้อมจะแตกได้
พอแตกแล้วเด็กก็จะเจ็บปวดมาก ช่วงนั้นผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยครับ กังวลไปหมด

ฝากไว้กับทุกท่านที่มีลูกนะครับ
หากเด็กไม่สบายอย่าวางใจนะครับ รีบพาไปหาหมอ แต่เนิ่นๆ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: boon ที่ ตุลาคม 08, 2006, 02:48:48 PM
อ่านแล้วเศร้าครับ เวลาลูกผมป่วยใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกันกลัวเขาจะเป็นอะไรไป
แต่คนที่เสียลูกไปจริงๆคงทุกข์สุดๆ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 08, 2006, 03:56:29 PM

         เข้าใจหัวอกผู้ปกครองครับว่าร้อนรุ่มเพียงใด (http://i12.tinypic.com/4534aad.gif)



หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: birdsiam ที่ ตุลาคม 08, 2006, 04:23:04 PM
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: msirimas ที่ ตุลาคม 08, 2006, 09:35:25 PM
             ในช่วงปีที่ผ่านมา... จิตใจผมสงบและดีขึ้น บ่อยครั้งมักใช้เวลาว่างเข้ามาอ่าน ค้นหาข้อมูล บนเว็บนี้แห่งนี้ตลอด  ซึ่งหากหลายๆคนที่อ่านโพสท์ตอบคำถามของผม คงจะสังเกตุลายเซ็นต์ด้านซ้ายพูดถึงเรื่องคิดถึงลูก
              สูญเสียไม่ต่างกันครับ.. 
              ถ้าจะว่าไปแล้ว ผมมีสภาพ"หัวอก"เฉกเช่นคุณพ่อน้องเฟย เพียงแต่ต้นเหตุของผมมันเป็นอุบัติเหตุเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งไม่ได้โทษใคร ไม่เรียกร้องใดๆ นอกจากความเศร้าโศกและทุกข์สาหัส ยามนึกคิดหรือเห็นภาพในสิ่งที่เคยใกล้ตัวเค้า

              ต้องขอโทษครับที่มาระบายซ้ำเติม แต่ก็อปปี้กระทู้อันนี้อ่านแล้ว น้ำตาผมไหลเป็นทางจริงๆครับ ความสูญเสีย ความรู้สึก  ยามนี้... ไม่อาจพิมพ์เป็นตัวหนังสือได้
             


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: mayis ที่ ตุลาคม 08, 2006, 10:08:22 PM
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียด้วยครับ


หัวข้อ: Re: จากใจพ่อที่เสียลูกเพราะเชื้อไวรัสสายพันธ์เดียวกับโรคมือ เท้า ปากเปื่อย
เริ่มหัวข้อโดย: boon ที่ ตุลาคม 09, 2006, 01:25:02 AM
ในช่วงปีที่ผ่านมา... จิตใจผมสงบและดีขึ้น บ่อยครั้งมักใช้เวลาว่างเข้ามาอ่าน ค้นหาข้อมูล บนเว็บนี้แห่งนี้ตลอด ซึ่งหากหลายๆคนที่อ่านโพสท์ตอบคำถามของผม คงจะสังเกตุลายเซ็นต์ด้านซ้ายพูดถึงเรื่องคิดถึงลูก
 สูญเสียไม่ต่างกันครับ..
 ถ้าจะว่าไปแล้ว ผมมีสภาพ"หัวอก"เฉกเช่นคุณพ่อน้องเฟย เพียงแต่ต้นเหตุของผมมันเป็นอุบัติเหตุเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งไม่ได้โทษใคร ไม่เรียกร้องใดๆ นอกจากความเศร้าโศกและทุกข์สาหัส ยามนึกคิดหรือเห็นภาพในสิ่งที่เคยใกล้ตัวเค้า

 ต้องขอโทษครับที่มาระบายซ้ำเติม แต่ก็อปปี้กระทู้อันนี้อ่านแล้ว น้ำตาผมไหลเป็นทางจริงๆครับ ความสูญเสีย ความรู้สึก ยามนี้... ไม่อาจพิมพ์เป็นตัวหนังสือได้
 
ที่ทำงานผม มีน้องคนไทยท่านหนึ่งสวยและคุยเก่งมาก ทำงานเป็นพนักงานเสริฟ  เมื่อเดือนที่แล้ว
เธอกำลังทำงานอยู่หลังจากรับโทรศัพท์ก็ต้องรีบกลับบ้าน ลูกชายอายุ16ปีโดนยิงตาย ผมเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องใด เมื่อวานได้พบเธอเป็นครั้งแรกหลังจากลูกเสียชีวิต เธอเปลี่ยนไปมากๆ ไม่ใช่น้องคนเดิมที่ผมเคยรู้จัก ความสวย ความร่าเริงคุยเก่งหายไปหมด ลูกตายจิตรวิญญาณของแม่ก็ตายไปด้วย เห็นหน้าเธอแล้วผมก็พูดไม่ออก เศร้าจริงๆครับ