หัวข้อ: ข้อมูลสำคัญการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ พฤษภาคม 24, 2015, 11:50:28 PM http://pantip.com/topic/33686093
::002:: ::014:: หัวข้อ: Re: ข้อมูลสำคัญการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เริ่มหัวข้อโดย: แสนสุข ที่ พฤษภาคม 25, 2015, 03:01:59 PM มีประโยชน์มากเลย ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ข้อมูลสำคัญการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ พฤษภาคม 26, 2015, 06:51:23 PM อุ๊ย...สารเคมีทั้งนั้น !!! สังคมอมโรค คนป่วยมะเร็งเต็มเมือง
Prev1 of 1Next คลิกภาพเพื่อขยาย updated: 26 พ.ค. 2558 เวลา 13:17:59 น. คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ โดยรัตนา จีนกลาง สะท้านใจไม่น้อยเลยสำหรับข้อมูลผู้จากไปด้วยโรคร้ายที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ล่าสุดมีตัวเลขชัดเจนจากกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาบอกว่า ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา "โรคมะเร็ง" เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี โดยสถิติล่าสุดในปี 2556 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดจำนวน 67,184 คน คิดเป็น 16% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดปีละ 426,065 คน เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3,000 คน ดูกันชัด ๆ ก็คือ เฉลี่ยตายชั่วโมงละ 8 คน จังหวัดที่มีอัตราการตายสูงที่สุดในประเทศ 5 อันดับแรกเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทุก 1 แสนคน อันดับ 1 คือ พะเยา แสนละ 157 คน อันดับ 2 แพร่ แสนละ 149 คน อันดับ 3 ลำปาง แสนละ 146 คน อันดับ 4 จันทบุรี แสนละ 144 คน และ อันดับ 5 ร้อยเอ็ด แสนละ 143 คน เห็นตัวเลขนี้แล้วก็ไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะสร้างความสูญเสียในด้านจิตใจอย่างใหญ่หลวงต่อคนในครอบครัวแล้ว ยังส่งผลกระทบในมุมเงิน ๆ ทอง ๆ มากทีเดียว โดยได้สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจไทยปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท เจ้าความสูญเสียที่ว่านั้น ก็ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลที่แพงหูฉี่ขั้นต่ำเป็นหลักล้าน คนที่มีรายได้น้อยก็หมดสิทธิ์รักษา ไม่ว่าจะเป็นค่าเอกซเรย์ ค่าเอ็มอาร์ไอ ผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายจิปาถะ รวมทั้งการขาดงานของผู้ป่วยและผู้ดูแล เป็นต้น คุณหมอยังย้ำเตือนว่า 5 กลุ่มเสี่ยงสูงของโรคนี้ ได้แก่ คนอ้วน คอทองแดง สิงห์อมควัน คนที่ไม่ออกกำลังกาย และ "ผู้ที่ไม่กินผักผลไม้สด" ใครอยู่ในเกณฑ์นี้บ้าง ? เรื่องนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง กับครอบครัว หรือญาติสนิทมิตรสหาย หรือถ้าไม่เจ็บ ไม่ไข้ เราก็ไม่ค่อยตระหนักกันเท่าที่ควรถึงภัยเงียบที่กำลังคุกคามเราอย่างหนักในเวลานี้ เพราะวันนี้ไปทางไหนก็ได้ยินแต่ข่าวว่า คนเป็นมะเร็งไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก ๆ คำถามคือว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนไทย การพัฒนาประเทศในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าคนไทยมีกิน อยู่ดี กินดีขึ้นมากทีเดียว แต่ผลลัพธ์ในวันนี้กลับกลายเป็นว่าคนไทยเป็นสังคมอมโรค มีคนป่วยเต็มบ้านเต็มเมือง เอาเข้าจริงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การกินข้าวปลาอาหาร พืชผักผลไม้ และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษนี่แหละที่เป็นตัวสะสมก่อโรคร้าย ในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังชื่นชอบการบริโภคผักผลไม้ที่สดใหม่ ไร้มด ไร้หนอน ไร้แมลง ผู้ผลิต/ผู้ขายก็ต้องสนองตอบความต้องการเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสดใหม่ ไม่ให้บูดเสียง่ายด้วยวิธีการที่ไม่ถูกสุขอนามัย อาทิ การใช้สารเคมี การแช่ฟอร์มาลีน สารเร่งเนื้อแดง ดินประสิว บอแรกซ์ การใช้ยาฆ่าแมลง สารกำจัดเชื้อรา เพลี้ย เป็นต้น และยิ่งระยะหลัง ๆ นี้ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน คนปลูกผักผลไม้เจอปัญหาโรคและแมลงมากขึ้น ก็จำเป็นต้องฉีดยาฆ่าแมลง หรือป้ายสารเคมีเร่งให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น เมื่อก่อนจะมีระยะห่างฉีดพ่นทิ้งไว้ 5-7 วันค่อยเก็บผลผลิตมาขาย แต่ตอนนี้ด้วยกระแสบริโภคนิยม ต้องเร่งผลิต เร่งขาย เร่งหาเงิน บางรายฉีดยาฆ่าแมลงในตอนหัวค่ำแล้วเก็บขายตอนเช้าเลย ไม่งั้นเอาไม่อยู่ทั้งเพลี้ยทั้งแมลง คนปลูกยังไม่กล้ากินเลย เขาจะแยกมาปลูกไว้กินเองหลังบ้าน แม้ว่าตอนนี้ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น โดยหลายฝ่ายกำลังปลุกกระแสให้มีการปลูกพืชออร์แกนิก หรือเกษตรอินทรีย์ แต่ก็ถือว่ายังจำกัดวงในกลุ่มแคบ ๆ เพราะทำยากพอสมควร และราคาค่อนข้างสูง ประชาชนส่วนใหญ่จึงยังเข้าไม่ถึงผักผลไม้อินทรีย์ ฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้คนไทยได้กินผักผลไม้ไร้สารพิษกันเสียที เพราะเรื่องปากท้อง "มีกิน นอนอุ่น ไร้โรคภัยไข้เจ็บ" สำคัญยิ่งกว่าการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในเวลานี้กระมัง ? การรณรงค์ให้คนไทยหันมากินผักผลไม้เพิ่มขึ้นในอาหารแต่ละมื้อนั้น จึงไม่พอที่จะหยุดยั้งโรคร้ายได้แน่ ไหน ๆ ก็คิดจะปฏิรูปประเทศไทยแล้ว ผู้นำประเทศและภาครัฐต้องเอาจริงเอาจังกับการนำสารเคมีมาใช้ในภาคเกษตร หน่วยงานใดที่มีองค์ความรู้ มีเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ให้เข้าไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยส่งเสริมสนับสนุนการปลูกพืชผักผลไม้ปลอดสารพิษ เพราะถึงที่สุดแล้วถ้าเรายังไม่เปลี่ยน ไม่ปรับเรื่องการกินอยู่ เราก็กำลังเดินไปหาโรคร้ายกันทุกวัน ประเทศที่เต็มไปด้วยคนป่วย คงไม่ใช่เรื่องดีต่อความมั่นคงของประเทศ "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" เป็นสัจธรรมจริงแท้ ลองมาเริ่มปรับเปลี่ยน เลือกเฟ้นอาหารการกิน หรือลงมือปลูกผักทานเองบ้างก็น่าจะดีนะ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1432615647 |