เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

  ••ภาพที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ พล.อ.อู้ด เบื้องบน พา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ครั้งก่อนหน้านี้ก็คือเมื่อ วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2549 ผลการสนทนาในวันนั้น ดูดี แต่แล้วอีก 4 วันให้หลัง วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2549 สามีของเธอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตัดสินใจ ดับเครื่องชน ด้วยการพูดต่อหน้าที่ประชุมข้าราชการในประเด็น ผู้มากบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าหมายถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทันที “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่อยากพูดอะไรในประเด็นนี้ให้มากไปกว่าประโยคสั้นๆ ว่า “...ผัวเมียคู่นี้ไว้ใจไม่ได้ และวางใจไม่ได้.”  หากจะมีประโยคแถมให้สั้นๆ อีกประโยคก็คือ “...แต่ที่ไว้ใจไม่ได้และวางใจไม่ได้มากกว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน – ลูกป๋าบางคนนั่นเอง.”  พอแค่นี้ก่อนนะ

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000133019


“แม่ลูกจันทร์” ฟันธงว่าเกี่ยวกับปัญหาคลื่นใต้น้ำแน่นอน!!

เพราะหนึ่งวันก่อนที่ “พล.อ.สุรยุทธ์” จะเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองไปกินข้าวกลางวัน นายกรัฐมนตรีกับประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” ได้นัดประชุมเครียดที่ทำเนียบรัฐบาล
เป็นการหารือลับเฉพาะเพื่อประเมินสถานการณ์ “คลื่นใต้น้ำ” ทางการเมือง

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงมีข้อมูลของบางกลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหวสร้างกระแสต่อต้านรัฐบาล และ คมช. ในหลายจังหวัดพร้อมๆกัน
ใครอยู่เบื้องหลังไม่รู้...แต่มีความเคลื่อนไหวต่อต้านจริงๆ

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่าเหตุที่ พล.อ. สุรยุทธ์ เชิญหัวหน้าพรรคการเมืองไปกินข้าวกลางวัน เป้าหมายสำคัญเพื่อเคลียร์ข่าวลือต่างๆที่ยังอึมครึม

เคลียร์ว่าไม่มีวาระซ่อนเร้นในการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี

คอนเฟิร์มว่าไม่ปรารถนาจะขี่หลังเสือนาน

ช่วยยืนยันแทนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่าไม่ได้วางแผน “สืบทอดอำนาจการเมือง”  อย่างที่บางฝ่ายโจมตี

หลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้จะรีบ เลือกตั้งคืนประชาธิปไตยให้พรรคการเมืองกลับมาเป็นรัฐบาล

เคลียร์จุดยืนให้ชัดๆเพื่อลดแรงกดดันและสร้างความสมานฉันท์กับนักการเมือง


สถานการณ์การเมืองที่เรียกว่า “คลื่นใต้น้ำ” คงทำให้ รัฐบาลและ คมช.อยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและ มีผลต่อการตัดสินใจที่จะยกเลิกกฎอัยการศึกหรือไม่ซึ่งจะมีผลที่ต่างกัน

เพราะถ้าเลิกกฎอัยการศึกก็กลัว “คลื่นใต้น้ำ” ซึ่งมีทั้งบนดินและใต้ดิน หรือแม้กระทั่งการเลือกประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็เกิดแรงแกว่งตัว เพราะเชื่อกันว่ามีการ “บล็อกโหวต” ตามโผของ คมช.และมองกันไปไกลถึงการ “สืบทอดอำนาจ” ซึ่งตรงนี้จะยิ่งเกิดแรงต้านแรงขึ้นและมีความชอบธรรมมากขึ้น
ข้อสำคัญคือข่าวที่ออกมาว่าอดีตนายกฯทักษิณ จะเดินทางกลับประเทศไทยด้วยวิธีการต่างๆนานา หรือยังมีการจ่ายเงินเพื่อให้ นักการเมืองและเครือข่ายเพื่อให้เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลและ คมช.

นี่คือปฏิกิริยากดดันที่ค่อนข้างแรง แม้ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เท่าที่ฟังเสียงแกนนำ คมช. ดูเหมือนจะเชื่อว่ามีความเคลื่อนไหวลักษณะนี้จริง โดยระบุว่าคลื่นใต้น้ำมีทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน

นั่นแสดงว่า คมช.กำลังอยู่ในฐานะตั้งรับ

เช่นกัน หากไม่เลิกกฎอัยการศึกก็เกิดปัญหาอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเพราะจะถูกโจมตีว่าปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ แม้กระทั่งประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ผู้นำของ 2 ประเทศก็พูดตรงกัน

ให้เลิกกฎอัยการศึกโดยเร็ว

แรงกดดันที่เกิดจากองค์กรต่างๆ พรรคการเมือง นักการเมือง พลังประชาธิปไตยต่างๆ แม้ว่าส่วนหนึ่งยังไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกเลิกเพราะหวั่นว่า “ทักษิณ” จะคืนเมือง แต่โดยรวมแล้วกฎอัยการศึกคือปัญหาสำคัญ

การที่ผู้นำ คมช.ได้เข้าพบนายกฯรวมถึงการที่นายกฯ ได้เชิญหัวหน้าพรรคมาหารือทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ทั้งการยกร่างรัฐธรรมนูญ การผ่อนคลายจะให้นักการเมืองสามารถชุมนุมกันได้

ต่างๆเหล่านี้คือความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาของนายกฯเพื่อถอนสลัก “คลื่นใต้น้ำ” ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เดินทางไปอีสานและเหนือมาแล้ว เพื่อเจรจากับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเก่าที่เคยร่วมเคลื่อนไหวในรัฐบาล “ทักษิณ”

นั่นเป็นความพยายามด้านหนึ่งในส่วนของรัฐบาลเองนั้นดูเหมือนว่ายังไม่ใช่เป้าโดยตรง แต่เป้าโดยตรงน่าจะอยู่ที่ คมช. มากกว่า เพราะแม้ว่าจะ “ยึดอำนาจ” มาได้ นับเวลาก็เดือนเต็มๆแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ให้ “นิ่ง” ได้
ความยอมรับ ความเชื่อมั่น ดูจะลดลงไปเรื่อยๆ นั่นเพราะอะไร...คมช.ต้องหาคำตอบให้ได้ เพราะจากนี้ไปหาก คมช. ยังไม่สามารถทำอะไรให้ชัดเจนได้ ยังไม่สามารถชี้ให้ประชาชนได้เห็นและเข้าใจถึงเหตุผลที่ได้ประกาศเอาไว้เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ได้ยึดอำนาจด้วยเงื่อนไข 4 ข้อ

ตรงนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญ แต่ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ยังไม่มีคำชี้แจงเพิ่มเติมหรือแสดง ให้เห็นถึงพฤติกรรมของอดีตนายกฯและรัฐบาลชุดเก่าตามข้อกล่าวหา

จะว่าคนไทยใจร้อนก็คงไม่ใช่

แต่ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้มันยังไม่ได้เห็นคำตอบว่ารัฐบาลเก่ามันระยำอย่างไร ตรงกันข้ามกลับจะได้เห็นแนวทางการสืบทอดอำนาจของ คมช. ซึ่งตรงนี้แหละที่จะทำให้เกิดปัญหาและการไม่ยอมรับ คมช. ขยายวงกว้างขึ้นคำถามก็คือว่า “ยึดอำนาจ” เพื่ออะไร?
 

http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews03&content=24388

     ตกลงกฏอัยการศึกมีไว้เพื่ออะไร รัฐประหารแล้วทำไมบ้านเมืองยังแตกแยกวุ่นวายอยู่อีก ก็เพราะสื่อทั้งหลายที่หากินกับน้ำหมึกสร้างข่าววุ่นวายมาขายกันไม่เลิก?  ตอนนี้บ้านเมืองก็สงบไปเยอะแล้ว แต่ที่มันยังวุ่นวายอยู่เหตุเพราะสื่อสร้างกระแสขายข่าว หรือบ้านเมืองมันวุ่นวายจริงๆในความเป็นจริงถ้าสื่อเลิกเสนอข่าวที่เป็นคาดการเดาว่าจะวุ่นวาย และเสนอแต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันน่าจะเรียกได้ว่าสงบแล้วครับ  สองผัวเมียชินวัตร ไว้ใจไม่ได้และพ้นจากวงจรไปแล้วแน่ๆ ยงยุทธ ติยะไพรัช ไปแคนาดา เนวิน ชิดชอบ โดนเพื่อนๆ พี่ๆ ล็อกล้ออยู่ แล้วมันจะมีคลื่นใต้น้ำแรงๆได้อย่างไรนอกจากคลื่นเล็กๆหลังพายุ19/9  บริวารที่เหลือของทักษิณก็ใจไม่ถึงพอที่จะสู้กับอำนาจปืน สื่อพวกที่ชอบปลุกปั่นให้บ้านเมืองแตกแยกปิดๆโรงพิมพ์ไปบ้างก็ดีครับ รัฐบาลและคมช.ต้องเด็ดขาดในกรณีนี้ ไหนๆก็ยกกำลังออกมายึดอำนาจแล้ว เก็บฆ้องปากแตกอีกซัก อัน สองอันคงไม่เปลืองตัวไปกว่านี้หรอกครับ มองในอีกมุมถ้าใน3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่มีสือในพื้นที่ เรื่องวุ่นก็คงจบไปนานแล้วครับ

ขอดูอยู่วงนอกแบบห่างๆครับ กลัวว่าเรือจะล่มเท่านั้นเอง

ความเห็นที่แตกต่างคือความวุ่นวายเหรอครับ ?

ด้วยความเคารพครับ

ขออนุญาตลอกครับ แต่ของผมมีแอบกลับไปลงเรือลำเดียวกันบางครั้งครับ

ขอบคุณครับ

...ผมเห็นด้วยครับกับสิทธิในการแสดงออกของบุคคล การที่มีความเห็นที่แตกต่างผมว่าไม่แปลกอะไร เป็นสิ่งที่ควรกระทำด้วยซ้ำ เพียงแต่ผู้แสดงความคิดเห็นจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการแสดงออกของตนเองด้วย...

...หลายๆ ครั้งที่พบว่า การปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องที่ตนเองพูดหรือแสดงออก เป็นสิ่งที่พบอยู่เสมอๆ ในสังคมปัจจุบัน ประเภท "ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด" ไงครับ...

บางครั้งการทำงานสื่อก็ต้องมีการละลาบละล้วงบ้าง เพื่อนำความจริงมาเปิดเผย...............

ผมมองสองมุมครับ...

สื่อต้องตีพิมพ์ข่าวทุกวัน  หลังจากมีการปฏิรูปฯ แล้ว ข่าวที่จะเล่นพาดหัวให้ฮือฮาลดลงอย่างฮวบฮาบ  การเสนอข่าวเกี่ยวกับคณะปฏิรูปฯ และรัฐบาลใหม่ จึงเป็นประเด็นที่น่าเล่น

สื่อทำหน้าที่ของสื่อ  ตอนที่ทักษิณยังเฟื่อง ก็มีทั้งสื่อที่ด่าและเชียร์  ตอนนี้มีรัฐบาลใหม่ มันก็คงจะเป็นอีหรอบเดิม

สำหรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆอยู่หลายอย่างเหมือนกันนะครับ  :(

สำหรับผมรู้สึกหวั่นใจอย่างไรพิกล......มันไม่ธรรมดาเลย คล้ายระเบิดเวลาที่เริ่มเดินแล้ว.......รอ......อึ๋ยยยย

ไทยรัฐนั่นแหละตัวดีนัก จัดอันดับสื่อสิ่งพิมพ์ต่ำช้าที่สุดในประเทศไทย ไทยรัฐอยู่อันดับต้นๆไม่1ก็2มานานแล้ว .... >:(
 
ห่วยแตกสันดานทรามกว่าหนังสือพิมพ์ดาราอีก แหวะ .... ขากกกกกก ***  >:(

 :).. พาดหัวกระทู้ แรงไปนะ คุณ nar.   :)

      สื่อแท้ สื่อเทียม  ที่สุด ต่างเลือกที่จะมีจรรยาบรรณ จากฝ่ายที่ตัวเองเชื่อ.
      ยังเชื่อ ไม่มีธรรมะ ในหมู่โจรชั่ว

      เหมือนเป็นการเปิดมุมมองของสื่อ ที่ ต่างมีจุดยืนที่เคยได้เลือกฝ่าย. 
      กับสื่อแบบอีแอบ. เลือกจับแต่ผลประโยชน์ตนที่ต้องอิงไว้เป็น ทางอ้อมลัด.

      ความเห็นหนังสือหัวสีเขียว..ล่างสุด.
      ด้วยความเคารพ แต่ เฉพาะความเห็นผม.
      ผู้ให้ทัศนะ อาจเรียกว่า เป็น e- aab อีกตัว  ที่แอบแฝงทัศนะ ให้อยู่ในความประมาท
      มองแต่ปรากฎการณ์. แบบฉาบฉวย  แล้วด่วนสรุป   เจตนา เลี่ยง ไม่มองที่แก่น เนื้อแท้..

      หวังแต่ผลที่ได้ .. ตกเป็นประโยชน์ แก่ซากเดนทรราช  โดยหวังเอา เสรีภาพมาอ้าง.  :)
     

       

บางครั้ง หรือหลายครั้งสื่อก็เป็นเหมือนวัคซีนครับ เหยาะเชื้อโรคบ้างเพื่อให้เกิดภูมิต้านทาน ลองฟังวิทยุ FM105 ตอนเช้ารายการสัมภาษณ์ ดร.เจิมศักดิ์ สิครับ พิธีกร ก๊วน กวน ฟังแค่เสียงก็เห็นหน้าเหลี่ยมเลย แต่ผลที่ได้คืออะไรแน่?

พวกสื่อผมว่าเป็นกลุ่มสาธารณะเหมือนนักการเมือง ผลทางสาธารณะสำคัญกว่าความต้องการที่แท้จริงของส่วนบุคคล กลุ่มคนสาธารณะเหล่านี้อยากจะแปลงตัวเป็นต้นกระบองเพชร หรือหัวไม่เท้าที่ไหน ตกทุกข์ได้ยากยังไงผมไม่สนใจ ดูแค่ผลงานสาธารณะที่เกิดขึ้นจริงครับ

--เห็นด้วยครับ.

พลโทประยูรบันทึกต่อ เวลา 08.00 น.วันนั้น พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม พล.ต.พระประสาทพิทยายุทธ ได้นำจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์มาในรถถัง ส่งให้ที่หน้าประตูพระที่นั่งอนันต์

ข้าพเจ้าได้ถวายคำนับ เชิญเสด็จให้ลงเดินเข้าไปประทับในพระที่นั่งอนันต์ ทรงจ้องข้าพเจ้าด้วยพระเนตรดุเดือด ตรัสว่า

“ตาประยูร แกเอากับเขาจริงๆ พระยาอธิกรณ์ประกาศบอกฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก โกรธฉันที่ไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม”

ข้าพเจ้าก้มกราบ ขอพระราชทานอภัย...ทรงรับสั่งถาม พวกแกที่ยึดอำนาจต้องการอะไร ต้องการมีปาลีเมนต์ (รัฐสภา) มีคอนสติติวชั่น (รัฐธรรมนูญ) ใช่ไหม ข้าพเจ้ากราบทูลว่าใช่...
ทรงนิ่งอยู่ครู่ แล้วรับสั่ง “แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร” ทรงทราบอายุ รับสั่งว่า “เด็กเมื่อวานซืนนี่เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน

พระราชวงศ์จักรีครองแผ่นดินมา 150 ปี รู้ว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร

อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ?”
เมื่อทรงรู้ว่าเรียนจบรัฐศาสตร์จากปารีส ทรงสำทับ “อ้อ มีความรู้มาก แกคงจะรู้จักโรเบสเปียมาราและกันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีนเฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม
ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นขบถ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว

แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้


สุดท้ายคณะกบฏ2475 ก็ฆ่าฟันแย่งชิงอำนาจกันตายเกือบหมด ไหนว่าต้องการให้อำนาจเป็นของประชาชนไทย สุดท้ายกบฏ 2475 ก็ก่อขึ้นเพื่ออำนาจตัวเอง ประเทศไทยก็วุ่นวายมาตลอดนับแต่พ.ศ.นั้นครับ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics02&content=23900

ประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน  ส่องดูยังไง ก็ยังเป็นแค่อุดมคติ
เรารู้ๆกันอยู่
การแย่งชิงอำนาจมีมาแต่โบราณ  มันเป็นเกมส์ของผู้นำที่เขาเล่นกัน สมัยนี้ก็เอาประชาชน ประชาธิปไตยมาอ้าง  พูดกันทู๊กวัน  น่าเบื่อ
แต่ช่างมันเหอะไม่ใช่เรื่องของเรา  (เท่าไหร่)
แต่ที่สำคัญคือ เราต้องการผู้นำที่ดี  จะมาจากกระบอกไม้ไผ่พระเจ้าก็เอานะ

ต่อไปเมื่อถึงทางตัน  พวกเราอาจจะต้องส่งสุนัข เข้าสมัคร สส.ก็ได้เพราะมันซื่อสัตย์

เห็นด้วยกับคุณชญานินมากเลย เราประชาชนเปรียบเสมือนพ่อแม่ นักการเมืองเปรียบเสมือนลูกๆ  เราทำให้เขาเกิดมา มีลูกหลายคนเมื่อได้ไม่เท่ากันก็ทะเลาะกัน วิวาทตีกัน คนพี่ก็ขี้ฟ้องคนน้องก็ขี้ฟ้อง คนพ่อเป็นแม่ก็ย่อมต้องหนักแน่นมีความยุติธรรม อย่าฟังความข้างเดียว รักลูกต้องเท่ากัน คนไหนผิดว่าไปตามผิดคนไหนถูกก็ว่ากันไป ที่สำคัญต้องสอนเขาให้รู้จัก สามัคคี เสียสละ ส่วนลูกๆก็ควรสำนึกถึงบุญคุณพ่อแม่บ้าง รู้จักกตัญญูรู้คุณ คิดตอบแทนพ่อแม่บ้าง เจ็บไข้ได้ป่วย ให้รู้จักดูแล อาหารการกินก็ให้บำรุงบิดามารดาอย่าให้อดให้ยาก   เมื่อทำเช่นนี้ได้ย่อมเจริญทั้งพ่อแม่ทั้งลูก ครอบครัวมีความสุข บ้านก็น่าอยู่ไปด้วย

ดร.มหฎิร มุฮัมมัด เป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในช่วงเวลาใกล้เคียงกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ของไทย คือเป็นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2524 กระทั่งวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2546 นายกฯ ดร.มหฎิร มุฮัมมัด ในฐานะหัวหน้าพรรคอัมโน กล่าวคำปราศรัยเปิดการประชุมพรรคและกล่าวปิดการประชุมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน

ในวันกล่าวปิดการประชุมพรรค ดร.มหฎิรร้องไห้ น้ำตาไหลเป็นทางยาวอาบแก้ม ท่านกล่าวว่า ขณะนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่ท่านจะก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค หลังจากที่ท่านผ่านอุปสรรคต่างๆมามากมาย ท่านเป็นคนพูดเองว่า ข้าพเจ้าไม่อยากจะอยู่เป็นหัวหน้าพรรคและเป็นนายกฯต่อไปจนกระทั่งถูกคนอื่นบีบให้ออก

เท่าที่ตามถามประวัติ ผมว่านายอับดุลลอฮ์เป็นคนหนักแน่น อดทน เป็นนักการเมืองคุณภาพ มีความกล้าหาญชาญชัยในการเมือง เป็นผู้นำที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ตามใคร ดร.มหฎิรก็เป็นคนเก่ง แต่ดูท่านค่อนข้างจะขี้ใจน้อยและร้องไห้ง่าย วันนี้ซึ่งมีอายุมากถึง 82 ปี ยิ่งขี้น้อยใจเป็นหลายเท่าทวีคูณ

นักการเมืองทั้งหลายในมาเลเซีย หากต้องการมีอนาคตยาวไกล ต้องพาตัวเองไปให้ ดร.มหฎิรท่านเห็นหน้าบ่อยๆ

ไม่เห็นหน้าเพียงไม่กี่วัน ดร.มหฎิรก็จะงอนตามประสาคนแก่  
ความงอนทำลายชาติได้ครับ วันนี้มาเลเซียเป็นข่าวเหม็นไปทั่วโลก ว่าอดีตนายกฯและนายกฯคนปัจจุบันทะเลาะกันรุนแรง  นี่ถ้านายกฯ อับดุลลอฮ์เข้าหา ดร.มหฎิร เหตุการณ์ทั้งหลายก็คงไม่กลายเป็นเช่นนี้ ใครอยากเป็นนายกฯนานๆ โปรดจำไว้ว่าต้องไปคารวะท่านผู้ใหญ่บ่อยๆ โดยเฉพาะท่านผู้ใหญ่ที่มีคุณงามความดี ผู้ที่ได้สร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างมากมาก่อน จะเกิดผลดีไปไม่รู้จักสิ้นสุด.

จำได้ว่าคนนี้เคยขึ้นเวทีปราศํยไล่ทักฯ แต่วันนี้มากระแนะกระแหนป๋าเปรมได้สงสัยไหมครับสงสัยไหมครับ

http://www.thairath.co.th/news.php?section=international01&content=24723

ก่อนอื่นผมว่าอยากให้ทุกคนมีความเข้าใจว่า การรัฐประหารครั้งนี้ทำเพื่อความสมานฉันท์ เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้ วันที่ 20 ก.ย. น่าจะมีการนองเลือด ทางออกนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้จะดูถอยหลังลงคลอง สื่อเองก็รู้ว่า คปค. หรือ คมช. ปัจจุบัน ไม่ปิดกั้นความคิดเห็นของสื่อ เหมือนการรัฐประหารครั้งก่อน สื่อเองก็พยายามขายข่าวเอาใจตลาด อย่าไปคิดมากเลย คิดเรื่องคลื่นใต้น้ำดีกว่า กลัวว่าคนอย่างทักษิน ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกครับ ฐานเสียงเขาก็เยอะ เงินเขาก็เยอะ เดี๋ยวไม่นานก็อาจกลับมาเป็นรัฐบาลอีก ถ้า คมช. ไม่ทำอะไรที่รัดกุม อาจโดนเช็คบิลทีหลังได้ดังนั้นพูดง่ายๆว่าคงจะหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนเพราะการรัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้ทำคนเดียว ลูกน้องทหารเด็กๆที่ร่วมด้วยอาจดับได้ในอนาคตอันยาวไกล ดูแล้วไม่น่าจะเป็นการสืบทอดอำนาจ สื่อก็อยากขายได้ ถ้าไม่มีวิจารณ์เรื่องการเมืองขายไม่ออกแน่

manager เริ่มๆจะคล้ายหัวเขียวในบางเรื่อง

ตอนนี้การเมืองค่อนข้างนิ่ง ไม่มีข่าวหวือหวา ผู้ใหญ่ให้สัมภาษณ์นิ่มๆ ก็เอามาเขียนให้รุนแรง

อ่านหัวแล้วไปอ่านข่าว เหมือนคนละเรื่องเดียวกัน