หัวข้อ: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ ที่ มีนาคม 04, 2005, 12:50:06 AM ตะลึง! ข้อมูลคณะวิจัยศิริราชพบผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลทั่วประเทศสูงถึง 4 แสนราย ตาย 4 หมื่นต่อปี หมดค่ารักษาปีละ 2 หมื่นล้าน เผยเมื่อ 10 ปีก่อนตายเฉียดหมื่นติดเชื้อเกือบล้าน ระบุมีเชื้อดื้อยาอีกเพียบที่ไม่มียาวิเศษที่ไหนรักษาได้ วอนรัฐใส่ใจให้งบซื้ออุปกรณ์แพทย์ไม่ใช่รีไซเคิลเหมือนทุกวันนี้ ฟันธง ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพเอเชียไม่ได้แน่ ถ้าไม่แก้ปัญหา หมอสุชัย แนะประชุมเวิร์คช็อปโรงพยาบาลทั่วประเทศให้ความรู้บุคลากรสธ.ตั้งรับ หวั่นเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่รับมือไม่ทัน
ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล รมช.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลครั้งที่ 19 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม 2548 จัดโดยชมรมผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลแห่งประเทศไทย โรงพยาบาลศิริราช ร่วมกับโรงพยาบาลบบำราศนราดูร โดยมีการนำเสนองานวิจัยที่จัดทำโดยทีมวิจัยจากโรงพยาบาลศิริราชนำโดย ศ.เกียรติคุณ นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานศูนย์ควบคุมโรคติดเชื้อศิริราชพยาบาล และคณะได้นำเสนองานวิจัยการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล จากการวิจัยพบว่า โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลทำให้มีผู้ป่วยปีละ 4 แสนราย เสียชีวิตปีละ 4 หมื่นราย เสียค่าใช้จ่ายปีละ 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6.4% ของการควบคุมการแพร่ระบาดการติดเชื้อ ลดลงจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลสูงถึงปีละ 8 แสน ราย เสียชีวิต 8 หมื่นราย คิดเป็น 11.4% ศ.นพ.สมหวัง กล่าวว่า จากการเก็บข้อมูลมาถึง 19 ปีพบว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงเวลานี้ก็คือเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลเริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อผู้ป่วยไม่มียารักษาก็ต้องเสียชีวิต ที่เคยตกเป็นข่าวครึกโครมก่อนหน้านี้ต้องเรียนว่าเป็นเพียงเปอร์เซ็นต์ปัญหาเพียงน้อยนิดเท่านั้น เมื่อเทียบกับเชื้อดื้อยาที่มีทั้งหมด บริษัทที่ผลิตวัคซีนมาป้องกันก็ไม่อยากผลิตเพราะไม่คุ้มกับเชื้อที่ดื้อยาอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการลงทุนในเรื่องวัสดุอุปกรณ์และบุคลากรยังไม่เพียงพอ ทำให้ต้องใช้อุปกรณ์ที่ใช้แล้วซ้ำหลายครั้ง ซึ่งแตกต่างจากต่างประเทศที่เขาใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งการติดเชื้อในโรงพยาบาลจึงค่อนข้างต่ำเช่น เยอรมัน สหรัฐอเมริกา รวมถึง ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยในโรงพยาบาลเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากกระบวนการรักษา วัสดุอุปกรณ์ อาหารที่รับประทาน ขยะมูลฝอย น้ำเสียที่มีเชื้อโรคในโรงพยาบาล ฯลฯ อย่างไรก็ตามถ้าเทียบกับอัตราการติดเชื้อในโรงพยาบาลถือว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ต่ำเกือบที่สุดในโลกเพราะมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ประธานศูนย์ฯ กล่าวด้วยว่า การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาลบาลต้องการการสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ 5 ด้าน คือ 1.การพัฒนาคน แพทย์ พยาบาล ฯลฯ 2.การพัฒนาระบบงาน 3.การเฝ้าระวังโรคและพัฒนาเครือข่าย 4.การทำวิจัย และ 5.การควบคุมคุณภาพ พร้อมทั้งชี้ถึงผลเสียของการไม่ควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลด้วยว่า ผู้ป่วยและประชาชนที่เกิดจากการติดเชื้อโรคจะฟ้องร้องสถานพยาบาล โรคระบาดจะเกิดขึ้นในวงกว้าง สิ้นเปลืองงบประมาณในการรักษาอย่างมหาศาล และที่สำคัญต่างชาติจะไม่ยอมรับมาตรฐานของประเทศไทย โอกาสที่ประเทศไทยจะเป็น Medical Hub Of Asia หรือศูนย์กลางสุขภาพแห่งเอเซีย ตามที่รัฐประกาศนโยบายไว้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ในภูมิภาคนี้เขาดูแลดีกว่าเราไม่ใช่เขาเก่งกว่าแต่เพราะเขารวยและใส่ใจสุขภาพมากกว่า ศ.นพ.สมหวัง กล่าว และว่านอกจากนี้หากมีการควบคุมการติดเชื้อได้ดีจะทำให้ผู้ป่วยและประชาชนปลอดภัย ทั้งยังสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อชนิดอื่นได้เช่น ไข้หวัดนก ซาร์ส ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ รวมทั้งสามารถประหยัดงบประมาณในการรักษาต่อปีด้วย ประการสำคัญทำให้ประชาชนและนานาประเทศไว้วางใจในมาตรฐานการรักษาของประเทศไทยด้วย ศ.นพ.สุชัย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านและประเทศไทย มีความร่วมมือกันเฝ้าระวังปัญหาโรคอุบัติใหม่-อุบัติซ้ำ เช่น โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก อย่างเข้มข้น ซึ่งแม้ล่าสุดจะมีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดนกที่ประเทศเวียดนาม แต่ในส่วนของประเทศไทยจนถึงขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยรายใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้สถานพยาบาลทุกแห่งเข้มงวดการปฏิบัติ 3 มาตรการคือ 1.การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากโรคไข้หวัดนก 2.การเฝ้าระวังควบคุมโรค โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เมื่อพบผู้ต้องสงสัยให้มีการซักประวัติและส่งรักษาต่อตามคู่มือที่แจกไว้ทุกหมู่บ้าน และ 3.การให้การรักษาที่รวดเร็วเมื่อพบผู้ป่วย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 20 ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อใช้ดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา การควบคุมป้องกันโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ เช่น โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในกลุ่มประเทศอาเซียน บวก 3 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) ศ.น.พ.สุชัย กล่าวอีกว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลโรคซาร์สในฮ่องกง เมื่อปี 2546 พบว่าแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้อง เป็นบุคคลเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่จะได้รับเชื้อขณะดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล หากมีมาตรฐานการควบคุมโรคติดเชื้อที่ไม่ดีพอ และจะกลายเป็นพาหะนำโรคไปสู่ผู้ป่วยคนอื่นหรือบุคคลใกล้ชิดได้ การพัฒนาระบบงานด้านการควบคุมการ ติดเชื้อในโรงพยาบาล จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดปัญหาในเรื่องการติดเชื้อจากคนสู่คน ศ.น.พ.สุชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาการควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลส่วนใหญ่ เป็นการจัดการเฉพาะด้านตามความเสี่ยงในกลุ่มงานนั้นๆ แต่หลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับโรคติดต่อที่รุนแรง เช่น โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก หรือเหตุการณ์ธรณีพิบัติ(สึนามิ) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดต่างๆ การควบคุมโรคติดเชื้อจึงเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องให้ความสนใจและดำเนินการอย่างเข้มงวด ซึ่งนอกจากจะเกิดความปลอดภัยทั้งของตนเองและผู้ป่วย รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในด้านการรักษาพยาบาลแล้ว ยังจะช่วยให้มาตรฐานการควบคุมและป้องกันโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลของไทย เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศเหมือนกับการดำเนินงานสาธารณสุขหลายๆ ด้านที่ผ่านมา นอกจากนี้ ผลวิจัยระบุด้วยว่า การติดเชื้อโรคในโรงพยาบาลที่พบมากที่สุดคือ แผนกศัลยกรรม อายุรกรรม กุมารเวชกรรม และศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ (ร้อยละ 9.1,7.6,6.1 และ 5.8) ตามลำดับ ตำแหน่งที่มีการติดเชื้อมากได้แก่ ทางเดินหายใจส่วนล่าง ทางเดินปัสสาวะ แผลผ่าตัด และผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง (ร้อยละ 34.1,21.5,15.0 และ 10.5 ของจำนวนการติดเชื้อทั้งหมด)ตามลำดับ ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันนะคับค่ายาเดียวนี้แพงมากๆๆพี่สาวผมเป็นดีเทลยาวันนี้ผมกวนให้ซื้อยาให้เพื่อนเพราะคุณยายเค้าติดเชื้อที่ปอดเล่นเอากระเป๋าตังแห้งกันเลยคับขนาดได้ราคาพิเศษนะเนี้ย...........มีบางคนบอกว่าทำงานแทบตายเข้าโรงพยาบาลทีเดียวจนเลย พี่ๆๆที่มีอายุแล้วในเวปอย่าล้มนะคับแม่ผมล้มไปผ่าตัดกระดูกสันหลังมานี้ :~) :~)เล่นหมดไปหลายแสนขนาดรู้จักอาจาร์ยและเข้าโรงพยาบาลรัฐบาลยังเล่นเอาแย่เลยคับดูแลสุขภาพกันหน่อยนะคับผม หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: Nakin ที่ มีนาคม 04, 2005, 01:19:29 AM This is worrisome matter , so many times I saw some staffs , nurses and doctors in the hospitals ignored the hygienics . >:( หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มีนาคม 04, 2005, 01:25:14 AM 8) ความจริงบางครั้งก็โหดร้ายคับ...
แล้วลองคิดดูสิคับว่าใครที่ต้องเผชิญหน้ากับเชื้อโรคเหล่านี้อยู่ทุกวัน... คนไข้ ญาติผู้ป่วย หรือบุคลากรทางการแพทย์ ที่กินนอนทำงานอยู่ในโรงพยาบาลทุกวัน... เรื่องเหล่านี้ในวงการแพทย์ทราบกันดีอยู่แล้ว... มีแต่ผู้บริหารที่ทำเป็นไม่ทราบ แค่อยากออกทีวีอย่างเดียวคับ... 8) หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: Nakin ที่ มีนาคม 04, 2005, 01:41:52 AM Yes , the doctors , nurses and staffs in the hospitals are in the risk as well . All Thai politicians must focus on this matter seriously ! >:( หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 04, 2005, 10:50:59 AM มีวิดวะเขาบอกว่า ตึก รพ. ในเมืองไทยไม่ได้สร้างเพื่อการกักเชื้อ เชื้อจะแพร่ไปอยู่ในระบบอากาศของตึกได้ง่ายครับ...... :~)
หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: berm ที่ มีนาคม 04, 2005, 11:10:15 AM มีหลายข้อมูลที่พอทราบแล้วขนลุกครับ เช่นในกรุงเทพ จะพบศพลอยน้ำเฉลี่ยเดือนละ 5 ศพ (ถ้าไม่ผิด) ฯลฯ ผมว่าใครรู้ข้อมูลสถิติที่ว่าน่ากลัวมาเล่าสู่กันฝังบ้างก็ดีครับ
หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ มีนาคม 04, 2005, 11:44:52 AM มีข้อสังเกตนิดนึงครับ คือสมัยนี้ถ้าใครจะออกมาให้ข้อมูลหรือเสนอแนวใดๆก็ตามให้รัฐฯ จะต้อง"นำเสนอข้อมูลเชิงผลประโยชน์อยู่ด้วยเสมอ"เช่น
ผู้ป่วยและประชาชนที่เกิดจากการติดเชื้อโรคจะฟ้องร้องสถานพยาบาล โรคระบาดจะเกิดขึ้นในวงกว้าง สิ้นเปลืองงบประมาณในการรักษาอย่างมหาศาล และที่สำคัญต่างชาติจะไม่ยอมรับมาตรฐานของประเทศไทย โอกาสที่ประเทศไทยจะเป็น Medical Hub Of Asia หรือศูนย์กลางสุขภาพแห่งเอเซีย ตามที่รัฐประกาศนโยบายไว้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หากไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลได้ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ได้รับความสนใจจากผู้กุมอำนาจเอาเสียเลย และที่สำคัญต่างชาติจะไม่ยอมรับมาตรฐานของประเทศไทย ท่านเล่นเกมส์บริหารประเทศด้วยระบบบริษัทหนักข้อไปหน่อยกระมังครับ ถ้าไม่ได้นำเสนอข้อมูล ว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าแล้วท่านจะไม่ต้องแยแสสนใจหรือครับ ? หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ ที่ มีนาคม 04, 2005, 12:10:57 PM ศูนย์ข่าวเชียงใหม่- ปิดฉากโรงแรมเมืองใหม่พร้อมโรงหนังฟ้าธานี ย่านถนนห้วยแก้วของ "เรืองวิทย์ ลิกค์" ส.ส.กำแพงเพชร ที่ทิ้งร้างและประกาศขายมานานกว่าทศวรรษ ลือสะพัด "ชินวัตร" ทุ่มทุนถึง 500 ล้านบาท ซื้อพร้อมสั่งทุบทิ้งทั้งหมด เพื่อสร้างโรงพยาบาลในเครือพญาไท
แหล่งข่าววงการพัฒนาที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในระยะที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวในวงการที่ดินของจ.เชียงใหม่ ว่า มีการกว้านซื้อที่ดินแปลงใหญ่ กลางเมืองเชียงใหม่เกิดขึ้น ของกลุ่มคนในตระกูล "ชินวัตร" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ที่ดินที่มีการติดต่อซื้อขายกัน คือ ที่ดินขนาด 9 ไร่ ที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงแรมเมืองใหม่ - โรงภาพยนตร์ฟ้าธานี อดีตโรงภาพยนตร์ชั้นแนวหน้าของเชียงใหม่ยุคกว่า 10 ปีก่อน บริเวณริมถนนห้วยแก้ว อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่เคยเป็นของกลุ่มนายเรืองวิทย์ ลิกค์ ส.ส.เขต 1 กำแพงเพชร พรรคไทยรักไทย แต่ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีการตกลงซื้อขายกันในราคาเท่าใด แหล่งข่าว ระบุอีกว่า ทั้งนี้หลังการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโรงแรมเมืองใหม่ - โรงภาพยนตร์ฟ้าธานีครั้งนี้ กลุ่มทุนเจ้าของที่คนใหม่ได้ว่าจ้างบริษัท นิ่มซี่เส็ง จำกัด ของตระกูลใหญ่ในจ.เชียงใหม่ คือ "สุวิทย์ศักดานนท์" เข้าดำเนินการทุบอาคารทั้งในส่วนของโรงแรม - โรงภาพยนตร์ทิ้ง เพื่อเคลียร์พื้นที่รองรับโครงการ ก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในเครือพญาไท ซึ่งมีนายวิชัย ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท ซึ่งเดิมเป็น ทนายความชื่อดัง ที่รับว่าความในคดีซุกหุ้นให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถือหุ้นใหญ่อยู่ แหล่งข่าวจากวงการที่ดินในเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า ที่ดินผืนดังกล่าว ถือว่าเป็นผืนที่งามที่สุดของเชียงใหม่ก็ว่าได้ เพราะมีถนนตัดผ่านหลายสายเดินทางเข้าออกได้หลายทาง สะดวกต่อการคมนาคมที่สุดประกอบกับมีแหล่งธุรกิจใหญ่ ๆ อยู่รอบ ๆ และถือว่าเป็นทำเลที่เหมาะจะสร้างเป็นแหล่งธุรกิจ หรือโรงพยาบาลก็ได้ สำหรับสนนราคาที่มีการซื้อกันนั้น ราคาทั้งหมดไม่น่าจะต่ำกว่า 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันดีลการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคราวนี้ นับว่า เป็นราคาที่ไม่สูงมากนัก หากเปรียบเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน ในยุคที่ดินเมืองเชียงใหม่บูม เนื่องจากขณะนี้ราคาที่ดินในย่านดังกล่าวมีราคาประมาณตารางวาละ4-5 หมื่นบาทเท่านั้น จากเดิมตารางวาละ 1.2 แสนบาทขึ้นไป สำหรับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว นายเรืองวิทย์ เข้าเทกโอเวอร์ต่อจากบริษัท เมืองใหม่ธุรกิจ ของกลุ่มนางวาสนา โพธิ์พูนสวัสดิ์ เมื่อปี 2534 ที่ผ่านมาหลังจากที่โรงแรมดังกล่าวได้ปิดกิจการลงได้ประมาณ 6 เดือน ในราคากว่า 300 ล้านบาท โดยมีกลุ่มบ้านฉาง เข้าร่วมถือหุ้นด้วยในสัดส่วน 30% และมีโครงการที่จะลงทุนก่อสร้างคอนโดเทลขนาดใหญ่แทนโรงแรมเมืองใหม่ ที่เคยเป็นโรงแรมชั้นนำของเชียงใหม่ขนาด 205 ห้อง และมีอาบอบนวดอยู่ภายในอีก 60 ห้อง พร้อม ๆ กับความพยายามที่จะรื้อฟื้นโครงการลงทุนในที่ดินผืนนี้ในหลากหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น ในส่วนของโรงภาพยนตร์ฟ้าธานี ในช่วงแรกยังคงให้นาย วีรศักดิ์ จุลนิพิฏฐ์วงค์ หรือ กำนันนั้ม นครปฐม คนดังในแวดวงโรงหนังภูธร - ร้านเช่าวิดีโอ ที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เช่าดำเนินการแบบไม่มีสัญญา ซึ่งสัญญาเช่าดังกล่าว ก็ต้องสิ้นสุดลงในเวลาไม่นานนัก อย่างไรก็ตามตลอด 14 ปีเศษที่ผ่านมา กลุ่มนายเรืองวิทย์ ก็ไม่ได้เข้าไปดำเนินการปรับปรุง หรือฟื้นฟูกิจการโรงแรมเมืองใหม่ - โรงภาพยนตร์ฟ้าธานีขึ้นมา รวมถึงโครงการลงทุนใหม่ของพวกเขาก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ออกมาตลอดระยะเวลา หลังจากที่เข้าซื้อกิจการต่อจากเจ้าของเดิม จะมีเพียงความพยายามในการติดต่อหานักลงทุนรายอื่น เข้ามาซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยมีการกำหนดราคาขายไว้ตั้งแต่ 14 ปีก่อนที่ 400 ล้านบาท หรือตารางวาละ 1.2 แสนบาท แต่ก็ไม่มีนักลงทุนรายใดที่ตัดสินใจเข้าซื้อ จะเกี่ยวกะอันนี้ไหมเนี้ย อ่านของพี่อีเมลทำให้นึกขึ้นมาได้เลยเอามาให้อ่านคับ หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ มีนาคม 04, 2005, 04:01:46 PM ...เชื่อว่าจริงครับ เชื้อในโรงพยาบาลยิ่งดื้อยาแบบหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าที่ไหน หายามาปราบยาก นอนโรงพยาบาลนานๆ ถ้าไม่หายก็จะแย่เพราะเชื้อพวกนี้ :P :-[
หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: MedCadet ที่ มีนาคม 04, 2005, 09:29:32 PM เชื้อดื้อยามีให้เห็นเป็นปกติอยู่แล้วครับ ยิ่งในรพ.ของรัฐ ที่ได้ไปเห็นมา จะติดเชื้อมันก็ไม่แปลกหรอกครับ รพ.ศูนย์แห่งหนึ่ง ที่หอผู้ป่วยรับผู้ป่วยได้ สามสิบห้าคน แต่ว่ามีความจำเป็นต้องรับผู้ป่วยมากถึงห้าสิบคน เตียงก็เบียดๆกัน เสริมกันแทบจะทุกตารางนิ้ว
ห้องแยกสำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อได้ง่ายก็ไม่ค่อยมี ห้องแยกสำหรับผู้ป่วยที่มีเชื้อดื้อยาแล้วก็ไม่มี เวลาเดินตรวจคนไข้ตอนเช้า พอตรวจเสร็จหนึ่งเตียง ก็ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ แต่ว่ามันก็ช่วยได้ไม่เท่าไหร่ เห็นแล้วก็ได้แต่เศร้าใจกับคุณภาพชีวิตของคนไทย พอเชื้อเริ่มดื้อยาแล้ว สามสิบบาทก็เริ่มจะไม่รักษาทุกโรคแล้วสิ... :P :P :-\ หัวข้อ: Re: ศิริราชเผยผลวิจัยขนหัวลุก ติดเชื้อตายในรพ.4 หมื่นคนต่อปี เริ่มหัวข้อโดย: ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ ที่ มีนาคม 05, 2005, 10:52:01 AM เท่าที่ทราบโครงการ30บาทนี้ใช้ยาในประเทศนะคับและยาบางตัวนี้สู้ยาต่างประเทศไม่ได้
|