เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

ผมเคยแปลกใจนะครับ   ว่าหลายๆครั้งทีเกิดเหตุการณ์  การก่อความไม่สงบในพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทำไม  ถึงจับคนร้ายไม่ได้สักครั้ง   ทั้งที่บางครั้งยิงทหาร ในตลาดนัด ห่างจากโรงพัก ไม่ถึง 500 เมตร ก็ยังจับไม่ได้  มารู้ก็เมื่อคืนนี้เองครับ  ว่าที่ อ.หนองจิก มีตำรวจเหลืออยู่เพียงคนเดียว   คือพนักงานรับ วิทยุ   ถ้าไม่เกิดเหตุขึ้น    เวลาประมาณ  23.15 นาที   เกิดเหตุ คนร้ายประมาณ  8-10 คน ใช้อาวุธปืน  ยิงเข้าไปใน หมู่บ้านไทยพุทธ  ที่ตำบลโคกดีปี ประมาณ 15 นัด  แล้วขับรถกระบะหลบหนี เข้ามาทาง หน้าสถานีตำรวจอ.หนองจิก  ซึ้งห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตรกว่า  ทางศูนย์วิทยุลังกา (ศูนย์ของ ชรบ. ) ได้วิทยุเข้ามาให้ ตร.ที่หนองจิกสกัดจับ  ขณะนั้นผู้ก่อเหตุ อยู่ห่างจากโรงพัก ประมาณ 2 กิโลเมตร  แต่ทางตร.  ก็ไม่ได้ออกมาสกัดจับแต่อย่างใด  จนกระทั้งผู้ก่อเหตุได้ขับผ่าน  โรงพักหนองจิกไป  แต่ขณะนั้นได้มี  พนักงานวิทยุฝ่ายปกครอง ซึ้งเป็นอส.  ได้ขับรถติดตามรถของคนร้ายไป  ทางตร.หนองจิกจึงได้วิทยุให้ทาง อ.เมืองปัตตานี  สกัดจับ แต่ก็ไม่สามารถที่จะจับคนร้ายได้   
     ผมแปลกใจนะครับ ว่าตำรวจหนองจิก หายไปไหนกันหมด  ในขณะที่ รถคนร้าย ขับผ่านหน้าโรงพักหนองจิก แต่ทำไมไม่มีตร.  ออกมาสกัดจับเลย  ชุดเคลื่อนที่เร็ว   ชุดกำลังสำรองที่โรงพักหายไปไหน  ผมจะไม่พูดถึง ร้อยเวรปราบปราม (ร้อยเวร 20 )  เพราะอาจจะอยู่ในพื้นที่อื่น  แล้วกำลังที่โรงพักละครับ  ไปไหนกันหมด   หลายครั้งที่เกิดเหตุ  เจ้าหน้าทีตร. ไม่เคยไปถึงที่เกิดเหตุโดยเร็วเลย  แม้กระทั้งคืนวันที่  18  ที่ผ่านมา  ผู้ก่อเหตุประมาณ 25 คน  หลังก่อเหตุเผาบ้านเรือนประชาชน  แล้วได้ไปรวมกลุ่มกันห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ  100 เมตร   ประชาชนที่ผ่านไปมาแถวนั้น  เห็นกันทั้งนั้น  แต่เจ้าหน้าที่กับมอง ไม่เห็นคนร้าย  ทั้งทีที่เกิดเหตุห่างจากโรงพัก  ประมาณ 4 กิโลเมตร  เจ้าหน้าที่ก็ยังใช้เวลาเดินทางเกือบ 30นาที  แล้วอย่างนี้  จะไปทันอะไรละครับ   บางครั้ง ผมยังนึกว่า  น่าจะหาตร. ที่เต็มใจที่จะทำงาน เข้ามาทำงานในพื้นที่  โดยให้เงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้ที่ทำงาน แล้วส่งคนที่ไม่ตั้งใจที่จะทำงานอย่างจริงจัง  ออกไปจากพื้นที่  เพราะอยู่ไป  ก็ไม่กล้าที่จะออกไปทำงาน  เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ ต่อให้รัฐ พยายามแก้ปัญหาเท่ารัย  แต่เมื่อผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่กล้าที่จะทำงาน   ปัญหา 3จว.ภาคใต้ ก็ไม่สามารถที่จะสงบลงได้เลย.

ตอนนี้ใครสามารถชี้เบาะแสผู้ต้องสงสัยวางระเบิดแถวๆสะพานควาย จนสามารถจับคนร้ายได้
ทางการจะให้เงินประมาณ 1,000,000 บาท  แล้วที่วางระเบิดทางใต้ละ ทำใมไม่ดำเนินการบ้าง?

ขอเรียนอย่างนี้นะครับคือว่าทางการต้องเตรียมพร้อมเสมอครับ

4กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางจิ๊บจ๊อยแค่ 5นาทีครับ...ที่เหลือปลุกพระอีก 25นาที ;D ;D

อ่านแล้วนึกถึงหนังไทย...ตำรวจมาตอนสุดท้ายทูกกกที.... :~) :~) :~)

เห็นใจคนบริสุทธิ์ในพื้นที่จังครับ 
แล้วยังงี้จะไปพึ่งใครได้ 

หน่วยไหนขี้ขลาด ทำตัวสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหาก็น่าจะถอนออกมาทั้งหน่วยเหลือเอาไว้แต่ทหารก็น่าจะดีนะครับ  ปกครองแบบจังหวัดทหารคล้ายๆระนอง หรือลพบุรีไปเลยครับ สำหรับ 3 จชต.

 >:( อ่านแล้วเหนื่อยใจแทน ขอเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปนะครับ

คงเพราะรัดกุมขึ่นมั๊งครับ โดนหลอกไปหลายหนแล้ว

ขอให้คนดีๆปลอดภัยครับ ผมทุกข์ใจแทนทุกท่านเหมือนกันครับ

วังเวงจริง ๆ ครับ

ในพื้นที่ถ้าว่ากันจริง ๆ แล้ว หน่วยงานทุกหน่วยงานกล้าทั้งนั้นไม่อย่างนั้นคงไม่ดำรงอยู่ เพียงแต่ชุดบางชุด หรือ คนบางคน เท่านั้นที่ไม่กล้า แต่ที่สำคัญจริง ๆ หลอดไฟเขียวติดสว่างจ้าส่องทางหรือเปล่า...

  ไม่ใช่ว่าตำรวจจะรัดกุมขี้นหรอกนะครับ   เพราะหลายครั้ง  ที่ผมมีส่วนรับรู้เหตุการณ์ (เฝ้าฟัง  ว.ตลอด) ตร.  มักจะไม่กล้าออกมาทำงาน  และผมมาทราบถายหลังว่า เหตุการณ์คืนนั้น  มีตร.เห็นรถคนร้าย ขับผ่านหน้าโรงพัก  เพราะหน้าโรงพักมีสะพานลอย  ทุกคืนจะมีตร.อยู่ข้างบน  คืนนั้นก็เช่นกัน มีตร.เห็น แต่ไม่ได้เข้าทำการสกัดจับกุม  มีหลายครั้งนะครับที่เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้  จนเป็นที่เอื่อมระอาของคนในพื้นที่ เกี่ยวกับการทำงานของตร.ที่หนองจิก   เพราะไม่เคยจับกุมคนร้ายได้เลยสักครั้งเดียว.. 

คงต้องพึ่งตัวเองเท่านั้นแล้วครับ  แต่ว่าก็ว่าเถอะ  ถ้าเจอคนร้ายกันง่ายๆจะๆขนาดนี้มันน่าจะจัดการได้ไม่ยากนี่นา  เฮ้อ...ถ้าเป็นเพื่อนผม  เขาคงเอาอะไรไปวางดักแล้ว  แต่ตัวผมบอกตรงๆไม่กล้าครับ  ยอมย้ายบ้านหนีนานแล้ว  เพราะเวลาเจอเรื่องกับตัว  ตอนแรกจะตัวแข็งขยับไม่ออกแป๊บนึง  จากนั้นมือมันจะสั่นรัวๆแบบในหนังเลย  แบบนี้เรียกว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้งก็ได้

โธ่คุณไม่รู้หรือตำรวจก็กลัวเหมือนกัน?????????

ไม่อยากจะพูดอะไรมากครับท่าน    ยิงผู้ช่วย  ผญบ. ตาชี  ไม่นานมานี้   ที่หน้าโรงเรียนประจำ อ. ยะหา  ยะลา  ห่าง สภอ. ยะหา

ไม่น่าจะถึง  1 กม.   ครูทั้งโรงเรียนกระเจิงทั้งที่กำลังประชุม    แจ้งไปก็ไม่มา    บอกกำลังไม่พอ    แต่โทรกลับมาถามเหตุการณ์

ที่เกิดว่ายังไง    แล้ววางสายทิ้งไม่มีแม้แต่คำว่าขอบคุณสักคำ

           ถ้าผมละเมิดขอบเขตท่าน  RO  ก็ลบทิ้งนะครับ      จริง ๆ อยากพูดมากกว่านี้     ด้วยความเคารพ 

อ้าวเลยอดฟังเลยว้า.................. ;D ;D ;D

:OO.... ;D ;D

คงต้องพึ่งตนเองไปก่อนครับ  หวังว่าพวกไทยพุทธมีการจัดกำลังป้องกันตนเองและ
น่าจะดักซุมยิงพวกมันบ้าง ขอให้ปลอดภัยทุกท่านครับ

เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ครับ ไปไล่จับมากอาจโดนเอาชื่อไปขึ้นบัญชีดำ ของพวกโจร บ้านพวกเขาก็อยู่ในพื้นที่คงห่วงครอบครัว  :~)

เอาอย่างนี้แล้วกัน พี่เล็กเอาป้ายไปปิดหน้าสถานีตำรวจ ประกาศเซ้งสถานีไปเลยพี่ ;D

มนุษย์ทุกคนย่อมกลัวตายครับ(รวมทั้งผมด้วย555) แต่เรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบ...สามัญสำนึก มันเป็นเรื่องพูดยากนะ

 ;D

พี่จอยทำเป็นเล่นไปพี่  ;D


เพื่อนผมเป็นตำหนวดใน 3 จชต. พี่เชื่อไหมมันเคยพูดขายป้อมที่มันอยู่จนชาวบ้านยอมซื้อมาแล้วนะพี่ :OO เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาแล้วไม่เกิน 2 ปี จนถึงบัดนี้ยังเล่าขานเป็นตำนานโรงพักเลย  :~)  :<< :<<   ส่วนตอนที่เหลือต่อจากนั้นไม่ขอเอ่ย  บอกพอแค่ให้รู้ว่าทีมนี้มันบ้า ๆ ทั้งทีมเลย ;D


ป.ล.ไม่เกี่ยวกับ ฉก. ไล่ล่าสวาท ของป๋มนะครับ  เพราะ ฉก. เราน่าเอ็นดูมากกว่า :D

ไม่ทำงานก็ขายไปเลย ;D

งั้น ขายโรงเรียนดีกว่า อิ อิ ไล่ครูที่ใส่เกียร์ว่างดึงเบรคมือออกให้หมด อิ อิ

แล้วครูเบิ้ลจะไปรับจ้างกรีดยางเหรอ ;D

ใส่เกียร์ว่างดึงเบรคมือ คอยไฟเขียวหรือเปล่าครับท่าน

เรื่องนี้ก็น่าเห็นใจ ขนาดขบวนของท่านผู้หญิง วิริยา ฯ  ที่เดินทางไปให้กำลังใจ จนท.
ที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ ยังถูกซุ่มยิงด้วยกองกำลังฝ่ายตรงข้าม กว่า 20 คน เหมือนที่เป็น
ข่าวปรากฎให้ท่านได้ทราบไปแล้ว อำนาจในการตัดสินใจยังไม่มีการแบ่งสรรปันส่วนให้เหมาะสม ไปกระจุกอยู่ที่ส่วนบน  กำลังพลระดับปฏิบัติในพื้นที่ทำงานแบบเอาชีวิตรอด ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ครบกำหนด แล้วคอยผลัดต่อไปมารับงานต่อ ผู้บังคับบัญชาเบื้องบนก็มากระจุกกันเพื่อคอยตำแหน่งว่างช่วงชิงผลงานเพื่อเอาความดีความชอบ  ปัญหาที่แท้จริงเกิดจากอะไร ก็ยังไม่รู้ เมื่อไม่รู้ว่าปัญหาเกิดจากอะไร แล้วจะแก้ไขย้อนกลับไปหาต้นเหตุได้อย่างไร ...

สถานการณ์
สถานการณ์ก่อนปี พ.ศ. 2538

      1. แนวคิดในการแบ่งแยกดินแดน เพื่อตั้งรัฐปัตตานีหรือรัฐปะตอนีนั้น เกิดขึ้นนานแล้ว โดยมีบุคคลผู้เสียอำนาจทางการเมือง ได้จัดตั้งขบวนการขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ เรียกว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดน (ขบต.) ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนทางราชการต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2334 และสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ. 2444 และต่อมาอีกหลายยุคหลายสมัย จนกระทั่งใน พ.ศ. 2515 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นขบวนการโจรก่อการร้าย (ขจก.) เพื่อผลทางจิตวิทยาและทางการเมืองในพื้นที่ต่อประชาชนรุ่นหลัง ซึ่งไม่มีส่วนรู้เห็นกับแนวคิดการแบ่งแยกดินแดนนี้
      2. ตามข้อเท็จจริงแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาทางสังคมจิตวิทยาและการปกครอง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนได้รับความไม่เป็นธรรมในการปกครองบ้านเมืองของทางราชการท้องถิ่นในสมัยนั้น ทั้งตำรวจ พลเรือน และทหาร ได้มีประชาชนบางส่วนจึงรวมตัวกันขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ ไม่ยอมรับการปกครองจากรัฐบาล ใช้เงื่อนไขสังคมปลุกระดมมวลชน โดยแอบอ้างความแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลาม ความแตกต่างทางภาษา ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และจารีตประเพณี แอบอ้างประวัติศาสตร์ อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน เพื่อสร้างความแตกแยก และหวังผลประโยชน์ทางการเมือง รวมทั้งผลประโยชน์อันเกิดจากความไม่สงบ เช่น การเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากประชาชน และการรับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เป็นต้น
      3. ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แนวความคิดในการแบ่งแยกดินแดนยังไม่หมดไป มีการจัดตั้งขบวนการหรือองค์กร เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายและอุดมการณ์    ขบวนการหรือองค์กรข้างต้นมีอยู่หลายกลุ่มหลายชื่อ เช่น บีเอ็นพีพี , บี.อาร์.เอ็น.BRN Coordinate, พูโล ,พูโลใหม่ มูจาฮีดินปัตตานี, เบอร์ซาตู เป็นต้น ในอนาคตหากมีเงื่อนไขสังคมเอื้ออำนวยก็อาจเกิดขบวนการอื่น ๆ ขึ้นมาอีก

      4. สรุปรูปแบบการดำเนินการบ่อนทำลายของขบวนการโจรก่อการร้าย
   ลักษณะที่หนึ่ง  การลอบวางเพลิงเผาโรงเรียน
   ลักษณะที่สอง  การลอบวางระเบิด
   ลักษณะที่สาม  การปล้นอาวุธปืนของทางราชการ
   ลักษณะที่สี่  การลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ทั้งฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ  ทหาร  พลเรือน ผู้นำท้องถิ่น  และผู้นำศาสนา
   ลักษณะที่ห้า  การปฏิบัติการทางจิตวิทยา เช่น การสร้างกระแสปรากฏกลุ่มโจรนิจาจนนำไปสู่การทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดนเสียชีวิต 2 นาย
   ลักษณะที่หก  การแจกจ่ายเอกสารใบแผ่นปลิวหลากหลายรูปแบบ ปลุกระดมมวลชน
      5. พฤติกรรมการบ่อนทำลายทั้งหกลักษณะที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามหลักวิชาการเรียกว่า การก่อการร้าย ( Terrorism )ไม่ใช่ การก่ออาชญากรรม ( Criminal )

สถานการณ์หลัง พ.ศ. 2538 – ปัจจุบัน
   
   ขบวนการโจรก่อการร้ายยังคงเคลื่อนไหวดำเนินการก่อการร้ายโดยใช้ยุทธวิธีการก่อการร้าย ของประธานเหมาเจอตุง ไม่เปลี่ยนแปลง คือ “ เอ็งมา  ข้ามุด  เอ็งหยุด  ข้าแหย่  เอ็งแย่  ข้าตี  เอ็งหนี  ข้าตาม”

1.   เมื่อ พ.ศ. 2538 กอ.รมน.ภาค4 ได้ขออนุมัติ การเปลี่ยนชื่อขบวนการโจรก่อการร้าย
และลดระดับการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายของฝ่ายรัฐบาลลง จากปี 2538 ถึง 2546 การดำเนินการด้านการข่าว ได้พัฒนากลายเป็น ไม่มีขบวนการโจรก่อการร้ายหรือโจร ก่อการร้ายกลายเป็นโจรธรรมดาซึ่งเป็นการประมาณการข่าวกรองที่มีความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเพราะนำไปสู่การกำหนดนโยบายการรักษาความมั่นคงภาคใต้ของรัฐบาล  ผิดพลาดโดยเฉพาะการใช้หน่วยกำลังเข้าไปแก้ปัญหาคือใช้กำลังตำรวจแทนกำลังทหาร
2.   ฝ่ายก่อความไม่สงบหรือฝ่ายขบวนการโจรก่อการร้ายได้ฉกฉวยโอกาส ห้วงปี
2538 – 2546 ดำเนินการพัฒนา ยุทธวิธีและแนวทางการต่อสู้ที่แหลมคม อย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผล  โดยขบวนการได้กำหนดแผนงานการปฏิบัติที่เรียกว่าขั้นตอนไปสู่ความสำเร็จที่ชัดเจน  จากสถานการณ์ที่ผู้ก่อการไม่สงบหรือขบวนการโจรก่อการร้าย  ได้เผาโรงเรียน 20 แห่ง และเข้าโจมตี ค่ายทหาร ยึดปืนและฆ่าทหารตาย 4 คน      เมื่อ 4 ม.ค. 47 ที่ จ.นราธิวาส  นั้น เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย ที่มีการจัด  การฝึก  การวางแผนการปฏิบัติที่สมบูรณ์  มีทั้ง  ส่วนนำ   ส่วนกองกำลังติดอาวุธ และแนวร่วมขบวนการ  เป็นผู้ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างได้ผลสูงสุด
3.   ข้อมูลข่าวสารที่รวบรวมได้สรุปผลได้ว่า  การปฏิบัติการโจมตีต่อค่ายทหารและยึด
อาวุธปืน  เผาโรงเรียน  เป็นการปฏิบัติการทางทหารเพื่อหยั้งขีดความสามารถของรักษาความมั่นคงรัฐบาลเป็นการทดสอบแนวความคิดในการต่อสู้ หรือขั้นตอนการปฎิบัติ 7 ขั้น
สู่ความสำเร็จที่กำหนดไว้คือ 
ขั้นตอนที่ 1  สร้างจิตสำนึกมวลชน
ขั้นตอนที่ 2  จัดตั้งมวลชน
ขั้นตอนที่ 3  จัดตั้งองค์กร
ขั้นตอนที่ 4  จัดตั้งกองกำลัง
ขั้นตอนที่ 5 สร้างอุดมการณ์ชาติ
ขั้นตอนที่ 6 ขั้นเตรียมพร้อม 
ขั้นตอนที่ 7  ขั้นปฎิบัติการ
โดยมีขบวนการเบอร์ซาตู ร่วมกับขบวนการมูจาฮีดินปัตตานี เป็นศูนย์ประสานงานและการวางแผนการก่อความไม่สงบ หรือ   การก่อการร้าย  ขบวนการบี.อาร์.เอน โดออร์ดิเนท  เป็นผู้จัดรวบรวมกองกำลังติดอาวุธจากที่เตรียมไว้สำหรับ  ขบวนการพูโลเป็นผู้ประสนงานกับองค์กรนำภายนอกประเทศใช้กำลังในการปฏิบัติการครั้งนี้ไม่น้อยกว่า  200 นาย
      กองกำลังติดอาวุธประกอบจาก
-   ครูฝึกต่างชาติ (Hard core )
-   กองกำลังติดอาวุธ BRN coordinate
-   นักศึกษาเปาะเนาะและวัยรุ่น  ( เยาวชนรักชาติ  )
-   แนวร่วม
โดยใช้หลักการรวมกำลังปฏิบัติ ณ. ที่หมายที่ต้องการ  ตามเวลาที่ต้องการ เป็นไป ตามหลักวิชาทหาร  เรื่องการก่อการร้าย , การก่อความไม่สงบสำหรับและการปฏิบัติการครั้งนี้น่าจะมีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม K.MM  ของมาเลเซียและ JI ของอินโดเนเซีย ด้วย   

บทสรุป
ประการที่ 1    ขบวนการโจรก่อการร้ายยังคงดำรงสภาพอยู่  ดำเนินการก่อการร้าย  บ่อน ทำลายและใช้กองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล โดยมีเป้าหมายการปฏิบัติแบ่งแยกดินแดนภาคใต้เป็นรัฐปัตตานี โดยการใช้อาวุธและความรุนแรงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต
ประการที่ 2    องค์กรก่อการร้ายต่างประเทศได้เข้ามา แทรกซึม  ชี้นำ ทางด้านอุดมการณ์ และแนวทางการต่อสู้  ให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน ในรูปแบบต่างๆ เช่น  ทุนการศึกษา  การพัฒนาปอเนาะ ฯลฯ  โดยเฉพาะ  KMM และ JI  มีความสัมพันธ์กับขบวนการมูจาฮีดินปัตตานี  เนื่องจากเมื่อประมาณ 1981 ขบวนการมูจาฮีดิน ได้เข้าไปร่วมรบกับชาวอัฟกานิ-สถานเพื่อขับไล่ทหารรัสเซียให้ออกจากประเทสอัฟกานิสถาน มีชาวมุสลิมหัวรุนแรงทั่วโลกได้ไปร่วมรบด้วย โดยเฉพาะ ชาวอินโดเนเซีย ชาวมาเลซีย  ชาวพิลิปปินส์  รวมทั้งชาวไทยมุสลิมภาคใต้  และเมื่อ 1989 รัสเซียถอนตัวจากอาฟกานิสถาน  บินลาดิน  ได้จัดตั้งขบวนการอัลไคดา ขึ้น  นักรบมุสลิมจากอินโดเนเซีย กลับมาจัดตั้งขบวนการ JI ขึ้น นักรบมุสลิมจาก  มาเลเซีย   จัดตั้ง KMM และนักรบมุสลิมจากไทย  จัดตั้งมูจาฮีดินปัตตานี น่าจะพิจารณาได้ว่า ขบวนการ JI และ ขบวนการKMM น่าจะมีความเชื่อมโยงกับขบวนการโจรก่อการร้ายมูจาฮีดินปัตตานีในประเทศไทย ทั้งตัวบุคคลและอุดมการณ์ และน่าจะเชื่อมโยงกับขบวนการก่อการร้ายสากลด้วย
ประการที่ 3    แนวความคิดในการจัดตั้งรัฐปัตตานีของขบวนการก่อการร้ายน่าจะพัฒนาไปสู่อุดมการณ์การจัดตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ ( Pan Islamic States ) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  คือ อินโดเนเชีย  มาเลเซีย  ภาคใต้ของหมู่เกาะฟิลิปปินส์  ภาคใต้ของประเทศไทยและบางส่วนของพม่าทางภาคตะวันตก   (กำลังตรวจสอบความเชื่อมโยง )
ประการที่ 4     ปัญหาการก่อความไม่สงบหรือ  การก่อการร้ายในภาคใต้ในสถานการณ์ปัจจุบันเป็นปัญหาใหญ่มาก  สลับซับซ้อนกว่าที่ทุกฝ่ายคาดคิด  อาจนำไปสู่ปัญหาดินแดน และโยงไปสู่ปัญหาการเมืองระดับโลกก็มีโอกาสเป็นไปได้ในอนาคต

แนวทางในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบ
    จากการปฏิบัติการก่อความไม่สงบของบุคคล ของขบวนการและของกลุ่มบุคคลในภาคใต้ในห้วงเวลาที่ผ่านมา  น่าจะสรุปได้ว่า ภาคใต้อยู่ในภาวะที่ไม่ปกติอย่างภาคอื่น คือมีการบ่อนทำลายรัฐบาล  มีกองกำลังติดอาวุธต่อสู้รัฐบาลซึ่ง  ตามหลักวิชาทหารหรือตามหลักวิชาการเรียกว่า สภาวะเช่นนี้ว่า การก่อความไม่สงบ  ซึ่งมีคำจำกัดความดังนี้
      การก่อความไม่สงบ  คือ การเคลื่อนไหวของขบวนการที่มุ่งประสงค์จะล้มล้างรัฐบาลด้วย   (1). การบ่อนทำลายและ  (2). การต่อสู้ด้วยอาวุธซึ่งมีความรุนแรงยังไม่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง
ดังนั้นหากรัฐบาลยอมรับสภาพว่าภาคใต้อยู่ในภาวะ การก่อความไม่สงบ  ซึ่งกลุ่มการก่อความไม่สงบ  ประกอบด้วย  ขบวนการโจรก่อการร้าย  โจรก่อการร้าย โจรผู้ร้าย โจรมิจฉาชีพ ผู้เสียผลประโยชน์ ในเรื่อง ยาเสพติด บ่อน โสเภณี การค้าของเถื่อน ผู้มีอิทธิพล อำนาจมืด  รัฐบาลมีความจำเป็นจะต้องปราบปรามบุคคลเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป  คือ        จะต้องทำให้ภาคใต้เกิดความสงบสุขและสันติสุขอย่างถาวร

หลักการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ  ( ปปส.)
   เมื่อประเทศเกิดความไม่สงบ  รัฐบาลจะต้องใช้มาตรการ  5  ประการ  โดยแบ่งเป็น หลัก  3 มาตรการและมาตรการเสริม  2  ประการในการแก้ปัญหาคือ
 1. การปรับปรุงสภาพแวดล้อมและการช่วยเหลือประชาชน คือ การพัฒนาทางด้าน
เศรษฐกิจ  สังคม และการเมือง  ด้วยการลด กำจัดเงื่อนไขของการก่อความไม่สงบ  วัตถุ-ประสงค์หลักก็เพื่อให้
1.1   ประชาชนสนับสนุนฝ่ายรัฐบาลในการต่อสู้กับขบวนการก่อการไม่สงบ
1.2   เพื่อพัฒนาประชาชนให้สมารถช่วยตนเองและร่วมมือกับรัฐบาลในการ
พัฒนาชุมชน
1.3     เพื่อส่งเสริมพัฒนาประเทศเป็นส่วนรวม  และ
1.4     เพื่อปรับปรุงสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน
2. การพิทักษ์ประชาชนและทรัพยากร  คือ กรดำเนินการทั้งปวงในการควบคุมประชา-ชนและทรัพยากร โดยรัฐบาล  เพื่อป้องกันหรือขัดขวางการใช้ประโยชน์โดยฝ่ายตรงกันข้าม  วัตถุประสงค์ คือ   
2.1.   เพื่อตัดความสัมพันธ์และการสนับสนุนระหว่างประชาชนกับผู้ก่อความ
ไม่สงบ
2.2  เพื่อค้นหาตัดรอนกลไกและดำเนินงานของผู้ก่อความไม่สงบ
2.3.   เพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมอันปลอดภัยให้กับประชาชน
3. การปราบปรามกองกำลังติดอาวุธ  หมายถึง การปฏิบัติการและกิจกรรมต่างๆโดย
หน่วยทหาร หน่วยแบบทหาร หรือองค์การที่ไม่ใช่หน่วยทหารของรัฐบาล  เพื่อทำลายกองกำลังติดอาวุธ  เพื่อ (1) ตัดรอนการปฏิบัติและทำลายกองกำลังติดอาวุธ (2) เพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมให้สามารถที่จะพัฒนาในด้าน การเมือง เศรษฐกิจและสังคมได้
4. การปฏิบัติการข่าวกรอง  จะต้องมีรายละเอียดมีความถูกต้องและทันเวลา  มูลฐานที่
สำคัญในการปฏิบัติการข่าวกรองคือ  ( 1 ) ความเข้าใจแนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต  ( 2 ) สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของผู้ก่อความไม่สงบทุกแง่ทุกมุม  ( 3 )กำลังที่เกี่ยวข้อง  ( 4 ) การสนับสนุนจากภายในและภายนอกประเทศ
5. การปฏิบัติการจิตวิทยา   คือ การปฏิบัติตามแผน เพื่อก่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลง
ทางด้านความคิดเห็น  ทัศนคติ  หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่มุ่งการกระทำต่อฝ่ายก่อความไม่สงบ  รวมทั้งผู้อุปถัมภ์ หรือผู้ให้ไทยการสนับสนุน  ฝ่ายเป็นกลาง และฝ่ายเดียวกัน ในอันที่จะสนับสนุนวัตถุประสงค์ของชาติ ( รัฐบาล ) และเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการป้องกันและปราบปรามความไม่สงบ

ข้อยุติ
1. สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้  เป็นสถานการณ์ การก่อความไม่สงบ  มีขบวนการโจรก่อการร้ายซึ่งเป็นแกนนำหลักเคลื่อนไหวบ่อนทำลายรัฐบาล
2. รัฐบาลอยู่ในสถานการณ์ กำลังทำสงครามพิเศษ เพื่อเอาชนะ ผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ  ยะลา ปัตตานี  และนราธิวาส
3. รัฐบาลต้องนำเอามาตรการการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ              5  ประการใช้เป็นมาตรการแก้ปัญหา  เพื่อดำรงไว้ซึ่งสถานะทางกฏหมายและความเรียบร้อยภายในประเทศที่จำเป็น ด้วยการขจัดความรุนแรง  การบ่อนทำลายและการละเมิดกฎหมาย  เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
4.   ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้  เป็นปัญหาด้านความมั่งคงของประเทศและเป็น
ปัญหาของชาติ ดังนั้นจึงเป็นความเร่งด่วนสูงสุดของรัฐบาลในการแก้ปัญหาโดยใช้พลังของชาติที่มีอยู่ทั้งหมดในการแก้ปัญหาด้วยโดยไม่ชักช้า

การแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบของรัฐบาล
1. รัฐบาลได้ใช้มาตราการการป้องกันการก่อการไม่สงบในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เกือบครบถ้วนทั้ง  5  ประการ  แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะการประมาณการข่าวกรองของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงผิดพลาด มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา โดยสรุปว่าขบวนการโจรก่อการร้ายหมดไปแล้ว  เหลือแต่โจรธรรมดา ซึ่งฝ่ายตำรวจสามารถป้องกันและปราบปรามได้นับ หมายถึง การใช้มาตรการตำรวจแทนมาตรการทางทหารในการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายซึ่งก่อให้เกิดความล้มเหลวในการแก้ปัญหาตามที่ทราบ
2. ผู้รับผิดชอบต่อการแก้ปัญหา ขาดองค์ความรู้  ขาดประสบการณ์ การประเมินสถานการณ์ฝ่ายตรงกันข้ามต่ำและผิดพลาดไปจากพื้นฐานความเป็นจริงและอยู่ในพื้นฐานของความประมาท
3. รัฐบาลไม่มีเอกภาพ ในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ทั้ง 5 เอกภาพ คือ  เอกภาพทางด้านความคิด  เอกภาพทางด้านการวางแผน  เอกภาพทางด้านการปฏิบัติ  เอกภาพทางด้านการกำกับดูแลและประเมินผล   ยืนยันได้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้รับผิดชอบและผู้เกี่ยวข้องมีลักษณะคลุมเครือ  แสดงว่านโยบายขาดความชัดเจน  ไม่สามารถอธิบายให้ผู้ปฏิบัติงานระดับล่างและประชาชนเข้าใจเพื่อให้ความร่วมมือได้
4. การใช้จ่ายงบประมาณแทบทุกประเภทไม่โปร่งใส  มีการคอรับชั่น  ไม่ถึงมือผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ระดับล่าง

ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
1.   พิจารณาทบทวนนโยบายการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอด
คล้องกับสถานะการณ์ที่เปลี่ยนไปตามสถานะการณ์ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศโดยเฉพาะการใช้องค์กรเพื่อ แก้ปัญหา ตรงกับภารกิจ   ขีดความสามารถ  ของหน่วยและองค์กร เช่น ให้กระทรวงการต่างประเทศ  สำนักข่าวกรองแห่งชาติ  องค์กรที่จัดตั้งเป็นพิเศษเป็นผู้แก้ปัญหาองค์กรนำของขบวนการที่อยู่ต่างประเทศโดยใช้แนวทางสันติ  การใช้กองทัพภาคที่ 4 ปราบปรามกองกำลังติดอาวุธด้วยมาตรการทหาร  การใช้จังหวัด ( มท. ) ดำเนินการปฏิบัติการจิตวิทยา  การช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาเพื่อความมั่นคง  การใช้ตำรวจ ดำเนินงานเรื่องการพิทักษ์ประชากรและประชาชน  เป็นต้น  ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการบางส่วนไปแล้ว
             2.   การให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2547
เรื่องที่รัฐบาลจะทบทวนการแก้ไขภาคใต้ในหลายมิติ ( 1 ) มิติความมั่นคง  ( 2 ) มิติความร่วมมือและประสานงานของหน่วยและองค์การในภาคใต้  ( 3 ) มิติความสัมพันธ์ระหว่างราชการกับประชาชน ( 4 )  มิติการสร้างชุมชนเข้มแข็งประกอบกับการตัดสินใช้ กองทัพภาคที่ 4 เข้าไปแก้ปัญหา และประกาศกฏอัยการศึกเพื่อให้ทหารมีอำนาจในการปฏิบัติเพื่อแก้ไขสถานะการณ์ให้ภาคใต้สงบลงโดยรวดเร็ว  ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่ารัฐบาลได้แก้ปัญหาถูกทางแล้ว และแต่ควรยกเลิกกฎอัยการศึกโดยเร็วที่สุดเมื่อสถาปนาความสงบกลับสู่สภาพปกติ 
3.    การเปิดเผยข้อมูลลับที่เป็นภัยต่อความมั่งคงของชาติ  เท่าที่จำเป็นให้ประชาชนทราบ  ซึ่งเป็นมาตรการ การต่อต้านข่าวกรองเพื่อยุติการแสดงความคิดเห็นในทางตรงข้ามหรือความคิดเห็นที่มีผลเสียหายต่อรัฐบาล  จากสื่อมวลชน นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปน่าจะดีกว่าการปกปิดข้อมูลทั้งหมด  เมื่อประชาชนทราบถึงภัยร้ายแรงต่อชาติ แผ่นดินเกิด  ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่จะหันมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาล เช่น เปิดเผย เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการโจรก่อการร้ายกับการก่อการร้ายสากล หรืออุดมการณ์ แบ่งแยกดินแดน เป็นเป้าหมายของขบวนการโจรก่อการร้าย เป็นต้น กระทำโดยให้กระทบกระเทือนการท่องเที่ยว  การลงทุนของต่างประเทศน้อยที่สุด เห็นควรจะต้องพิจารณาดำเนินการในสถานการณ์ปัจจุปัน
4.  จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างเอกภาพทางความคิด การวางแผน การ
ปฏิบัติ การกำกับดูแล และการประเมินผลให้ไปในทางเดียวกัน โดยมีสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพ
5.  พัฒนา ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงองค์กรหรือหน่วยงานที่ขาดประสิทธิภาพใน
การปฏิบัติงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยข่าวกรอง หน่วยกำลังติดอาวุธ และหน่วยงานที่ต้องใกล้ชิดสัมพันธ์กับมวลชน
6.   พัฒนาและสร้างองค์กรภาคประชาชนขึ้นทุกหมู่บ้านในชนบท และทุกชุม
ชนในเขตเมืองเพื่อสร้างระบบการปกครองพัฒนาและแก้ปัญหาร่วมกันกับผู้ใหญ่บ้าน อบต.และเทศบาล ตามลักษณะของแต่ละพื้นที่ตามโครงสร้างการจัดหมู่บ้าน อพป.ของกระทรวงมหาดไทย  เพื่อให้หมู่บ้านและชุมชนมีความเข้มแข็งสามารถป้องกันการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายได้และส่งเสริมการสนับสนุนทำงานร่วมกันระหว่างภาคราชการภาคการเมือง (ตัวแทนประชาชน) และภาคประชาชน อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
7.   ควบคุมพฤติกรรมแอบแฝงของขบวนการที่ใช้กิจกรรมทางศาสนา การ
ศึกษา ฯลฯ ในการปลูกฝังอุดมการณ์ทางลบและการฝึกอาวุธ ยุทธวิธี ให้แก่เยาวชน เช่น มัสยิด ปอเนาะ ร.ร.เอกชนสอนศาสนา
8.   จัดตั้งคณะทำงานเพื่อการเจรจายุติการก่อการร้ายกับผู้นำองค์กรของขบวน
การตามแนวทางสันติวิธี

ท่านน่าจะรู้ดีกว่าผมนะจ๊ะ ;)  แต่อย่าให้ไฟเขียวนานเกิน เดี๋ยวจะไม่มีคนมาขับรถบนถนน :)

ความหมายคืองานไม่ทำ แล้วก็ไม่ยอมขยับไปใหน อิอิ

รุนกันแข็ดเอวแล้วก่าม้ายเคลื่อน ลากกับรถสิบล้อแล้วก่าไม่เดิน

ท่านโจ มีหนังสือแจกอีกไหม เล่มใหม่นะ...

มีคับ เจอกันรอบหน้าค่อยให้แล้วกัน อิอิ

สงสารตำรวจเหมือนกันนะครับ

หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่ครับ ไม่นั้นก็ต้องอ้างไม่ขอแต่งเครื่องแบบอีก ที่น่าสงสารผมว่าเป็นคุณครูมากกว่าครับ

   ขวัญของครูนั้นไม่เหลือแล้วจริงๆครับ   แต่ที่ทนไปสอนอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะจิตสำนึกของความเป็นครูที่ต้องการเห็น เด็กมีความรู้  เมื่อวานได้คุยกับเพื่อนๆที่มีกิจการค้าขาย หลายคนถอดใจแล้ว  เริ่มหาทางไปจาก 3จว.แล้วครับ       

........ถ้างั้น ....ต้องระวังตัวมาก ... อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน ..อย่าประมาท ..... เพราะไม่รู้จะหวังพึ่งใคร...... :(

เหนื่อยใจเนอะ!

ท่านขุนพันธ์ฯ เป็นตัวอย่างที่ดีของตำรวจ