เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: วัฒน์ ที่ เมษายน 25, 2007, 02:25:33 PM



หัวข้อ: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ เมษายน 25, 2007, 02:25:33 PM
 :) 10 สัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ

ร่างกายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากไม่หมั่นสังเกต คุณอาจไม่รู้ว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแข็งแรงขึ้นหรือย่ำแย่ลง10 สัญญาณเตือนต่อไปนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมา ทบทวนและปรับปรุงตัวเองขนานใหญ่ ก่อนที่ปัญหาเล็ก ๆ จะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่

1. ปวดหัวเป็นประจำ
อาการปวดหัวเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่ฟ้องว่าร่างกายคุณกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติ สาเหตุหลักมาจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอหรืออาจเกิดจากการดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์มากเกินไป การนวดศีรษะทุกวันก่อนเข้านอนจะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยใช้นิ้วชี้กดที่หัวคิ้ว นวดคลึงและกดไปตามคิ้วจนถึงขมับจากนั้นใช้นิ้วทั้งสิบนิ้วกดและนวดคลึงหนังศีรษะให้ทั่ว บางครั้งอาการปวดศีรษะอาจเกิดจากไมเกรนที่เส้นเลือดส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ คุณจึงควรบริหารร่างกายด้วยการก้มศีรษะให้คางจรดหน้าอก ค่อย ๆ หมุนเป็นวงกลมจนกลับมาที่เดิมแล้วเวียนกลับอีกทางหนึ่ง เพื่อให้เลือดไหลเวียนจากต้นคอ หนังศีรษะและสมองได้อย่างทั่วถึง แต่หากมีอาการปวดรุนแรงพร้อมกับ มีไข้ อาเจียน หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ควรรีบพบแพทย์เพราะอาจเป็นอาการทางสมอง

2. ปวดต้นคอ
มักเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากความเครียด หรืออาจเกิดจากการเคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง เช่น นั่งขับรถนาน ๆ โดยไม่มีหนอนรองต้นคอ นอนหลับบนที่นอนนุ่มเกินไป ยกของหนักเกินไป การนวดต้นคอและไหล่จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ดีขึ้น แต่ควรทำร่วมกับการปรับท่านั่งและนอนให้ถูกต้องด้วย ที่นอนที่ดีต้องแข็ง นอนแล้วไม่ยุบเป็นแอ่ง หรือหากที่นอนมีความนุ่ม ให้เลือกใช้หมอนใบเล็กหนุนหลังเอาไว้ และมีหมอนข้างสำหรับวางขาเพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังเอาไว้ให้ตรงเป็นแนวเดียวกัน ส่วนเก้าอี้ที่ดีจะต่างจากที่นอน คือยิ่งนุ่มมากเท่าไรจะยิ่งดีมากเท่านั้น เพราะความนุ่มจะช่วยให้น้ำหนักกระจายไปได้ทั่ว ไม่ตกอยู่เฉพาะบริเวณสะโพกที่เดียว หากเป็นไปได้ ควรเลือกเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่างของแต่ละคน และมีพนักพิงเพื่อใช้เอนหลังพักผ่อนสำหรับลดอาการปวดเกร็งที่ต้นคอ

3. ปวดหลัง
อาจเกิดได้จากการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เช่น นอนคว่ำ นั่งท่าเดียวนาน ๆ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเพราะความอ้วนหรือการตั้งครรภ์ การนั่ง ยืน นอนให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้มาก หากต้องทำงานในอิริยาบถเดิม ๆ ทั้งวัน ให้หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายทุก ๆ 30 นาที หากอาการปวดหลังของคุณเกิดจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็ต้องเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้น หรือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังด้วยการ ซิทอัพวันละประมาณ 15 นาที แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาตามแขนขา ให้รีบพบแพทย์

4. นอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความเครียด การดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์มากเกินไป การรับประทานอาหารรสจัดการออกกำลังกายก่อนเข้านอน หากมีอาการนอนไม่หลับ ให้นวดบริเวณต้นคอเรื่อยไปจนถึงปลายแขนทั้งสองข้าง เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย แช่น้ำอุ่นหรือดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน แต่ถ้าคุณนอน ไม่เต็มอิ่มจากปัญหาเรื่องสุขภาพ ให้งีบหลับตอนกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมง (หากนานกว่านั้นอาจทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน) แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับของคุณเกิดขึ้นเป็นเวลานานร่วมกับอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นแรง หรือลุกไปปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อย ๆ ให้รีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของไทรอยด์ผิดปกติ เบาหวาน ฯลฯ

5. น้ำหนักเพิ่มหรือลดผิดปกติ
การลดน้ำหนักที่ดีไม่ควรเกินกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หากมีการลดมากกว่านั้นในระยะเวลา 6 เดือน ควรต้องระวังเป็นพิเศษ การมีน้ำหนักลดลง อย่างต่อเนื่องอาจเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ สำไส้อักเสบหรือโรคมะเร็ง ส่วนการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้พิจารณาว่ามาจากความอ้วนหรือไม่ ถ้าใช่ ให้ควบคุมเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย แต่ถ้าน้ำหนักเพิ่มขึ้นร่วมกับอาการบวมน้ำ คือ ตัวบวม หายใจหอบถี่ต้องลุกไปปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน อาจต้องรีบพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ ไตวาย ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ

6. เหนื่อยง่าย
โดยปกติแล้วคนเราอาจจะเดินขึ้นบันได 3 ชั้น หรือออกแรงทำงานต่อเนื่องกัน 1 ชั่วโมงได้โดยไม่เหนื่อย แต่ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยหอบ นี่คือสัญญาณบอกว่าหัวใจไม่แข็งแรง หรือหลอดเลือดอุดตันด้วยไขมัน ดังนั้นคุณต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น เริ่มต้นจากชนิดกีฬาที่ออกแรงเบา ๆ ก็ได้ ทำให้ได้เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที

7. หน้ามืด
อาการหน้ามืดเกิดจากการที่สมองขาดเลือดและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงชั่วคราว อาจเกิดจากลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย กินยาหรือดื่มแอลกอฮอล์ที่มีฤทธิ์กดประสาท การแก้ไขที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานดีขึ้น แต่หากยังคงมีอาการต่อเนื่องกัน 2-3 วันให้รีบไปพบแพทย์ เพราะอาจมีปัญหาเรื่องความดันดลหิตต่ำหรือโลหิตจาง

8. ท้องผูก
อาการท้องผูก หมายถึง การถ่ายอุจจาระได้น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากมีปัจจัยบางอย่างขัดขวางการทำงานของลำไส้ ทำให้กากอาหารผ่านลำไส้ใหญ่ได้ช้าลง อาจเกิดจากความเครียด การดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารเหลวหรือไม่มีกากใย ไม่ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา และไม่ออกกำลังกาย เราสามารถหลีกเลี่ยงอาการท้องผูกได้ด้วยการกินอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และสร้างนิสัยการขับถ่ายให้ตนเอง ทำให้เป็นกิจวัตรในเวลานั้น ๆ อาการท้องผูกเรื้อรัง (นานกว่า 3 สัปดาห์) อาจสร้างความเสี่ยงโรคริดสีดวงทวารหนัก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรืออาการไตวายได้เช่นกัน

9. ตัวเหลืองตาเหลือง
อาจเกิดขึ้นได้จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเกิดจากปัญหาสุขภาพตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือมีนิ่วอุดตันในท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการดีซ่าน คือ ร่างกายมีสารสีเหลือง (ชื่อบิลิรูบินซึ่งเกิดจากการทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ) ตกค้างอยู่ในกระแสเลือด หากเริ่มต้นมีอาการ ตัวเหลือง-ตาเหลือง ควรปรับเปลี่ยนอาหารโดยงดอาหารกลางวัน รสจัด และแอลกอฮอล์ รวมทั้งรับประทานอาหารรสจืด คาร์โบไฮเดรต และธัญพืชให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ตับฟื้นตัวเร็วขึ้น เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน อาการตับอักเสบอาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งตับได้

10. ขี้ลืมมากกว่าทุก ๆ วัน
การเรียกใช้ข้อมูลในสมอง ร่างกายจะต้องทำงานผ่านเซลล์ประสาทนับหมื่นล้านตัว เซลล์เหล่านี้จะลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น แต่ถ้าอายุยังน้อย แต่มีอาการขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นได้จากความเครียด วิตกกังวล หรืออาจเกิดจากการขาดสารอาหารที่ใช้บำรุงสมองให้ทำงานฉับไวยิ่งขึ้น ได้แก่ โปรตีนจากปลาทะเล การทำสมาธิก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้สมองจัดระเบียบลิ้นชักความคิดเป็นระบบ ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงยิ่งขึ้น ดังนั้น ควรแบ่งเวลาทำสมาธิให้เป็นประจำ วันละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

อาการเหล่านี้แม้จะเป็นอาการเล็กน้อยที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ แต่คุณก็ต้องหมั่นสังเกตระดับความรุนแรง และความถี่ที่เกิดขึ้น หากมีความผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: ห ม า ย จั น ท ร์ ที่ เมษายน 25, 2007, 02:31:40 PM
ขอบคุณครับ ทำไมผมเข้าข่ายหลายข้อจัง :OO  สงสัยต้องถึงหมอแล้ว  :OO


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ เมษายน 25, 2007, 02:38:54 PM
ผมก็เข้าหลายข้อมาก ๆ ..โดยเฉพาะเกี่ยวกับหัวใจ...ขอบคุณครับ..พี่วัฒน์


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: glocklover ที่ เมษายน 25, 2007, 03:08:38 PM
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาแบ่งปันกันครับ  ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ เมษายน 25, 2007, 04:32:49 PM
ขอบคุณครับ..หลายข้อเหมือนกัน..สงสัยชักจะแก่... ;D


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ เมษายน 25, 2007, 04:33:04 PM
ขอบคุณคับคุณ watt...


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ เมษายน 25, 2007, 05:04:44 PM
อาการทั้งหมดแพทย์ให้สมมติฐานว่าเกิดจากความเครียดสะสมครับ


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: vana_Art ที่ เมษายน 25, 2007, 05:50:07 PM
ผมชอบเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพแข็งแรงดี ทำตนเองให้มีเวลาสำหรับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีวันที่เครียดบ้างก็จะหาย จิตใจหม่นหมองบ้างก็จะผ่อนคลายครับ


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: big single ที่ เมษายน 25, 2007, 11:05:01 PM
ข้อสุดท้ายนี่ผมเป็นมานานแล้วครับ....แต่อาการไม่รุนแรงเท่าไหร่.... :P


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: e.k.1911 ที่ เมษายน 25, 2007, 11:13:28 PM
ขอบคุณมากๆ อีกแล้ว ครับ พี่ watt


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: Narin CZ ที่ เมษายน 26, 2007, 01:07:25 AM
ขอบคุณครับคุณ Watt...


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: มะเอ็ม ที่ เมษายน 26, 2007, 08:15:59 AM
ขอบคุณครับ ....


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ เมษายน 26, 2007, 08:40:55 AM
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: yotinpen ที่ เมษายน 26, 2007, 09:11:29 AM
ขอบคุณที่เป็นห่วงกันครับ


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: Ramsjai ที่ พฤศจิกายน 10, 2007, 02:49:58 PM
บอกลาอาการปวดหลัง

ใครที่กำลังเผชิญอยู่กับเจ้าอาการปวดหลัง ย่อมรู้ดีว่ามันทั้งทรมาน และน่ารำคาญอย่างสาหัสเพียงใด.. ไม่ควรนิ่งเฉยอย่างเด็ดขาดค่ะ เพราะยิ่งเราปล่อยปละละเลย อาการปวดหลังนี้ก็จะยิ่งทวีคูณ และกำเริบหนักยิ่งขึ้น และกลายเป็นปัญหาใหญ่แก่สุขภาพคุณเอง.. มีวิธีป้องกันและบำบัดอาการปวดหลัง โดยยังไม่ต้องพึ่งคุณหมอค่ะ...

1. ท่ากายบริหารขจัดอาการปวดหลัง
นอนราบกับพื้น เหยียดแขนออกทั้งสองข้าง ให้ทั้งแผ่นหลังและท่อนแขนราบไปกับพื้น แล้วยกขาขวาไขว้ข้ามมาซ้าย เหยียดให้ตึงและไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยท่อนบนของตัวคุณและแขนต้องราบติดกับพื้นอยู่เสมอ นับ 1 ถึง 10 แล้วสลับทำเช่นเดียวกันด้วยขาซ้ายข้ามขาขวา สลับเหยียด ๆ แบบนี้ข้างละ 5 ครั้ง ต่อจากนั้นเมื่อคุณจบลงที่นอนราบกับพื้น จึงงอเข่าขวาขึ้นมา ใช้มือทั้งสองข้างเหนี่ยวดึงหัวเข่าให้งอพับเข้าใกล้หน้าอกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่อนลมหายใจเข้าออก นับ 1 ถึง 5 แล้วปล่อยขาเหยียดตรง ทำซ้ำเช่นเดียวกันกับขาซ้าย ข้างละ 10 ครั้ง

2. ท่านอนและที่นอน
คุณควรเลือกใช้ที่นอนที่รองรับน้ำหนักตัวได้ราบเรียบเสมอกัน ไม่นุ่มจนเป็นหลุมหรือแข็งเป็นไม้กระดาน ท่านอนที่ดีที่สุดคือนอนหงายราบไปกับที่นอน หรือนอนตะแคงแล้วงอหัวเข่า และหลังเหยียดตรงเป็นเส้นขนานไม่งองุ้ม หมอนก็ต้องไม่สูงเกินไปจนรู้สึกเหมือนแขวนหัวไว้กับหมอน ควรเป็นระดับพอดีกับคอและไหล่

3. กีฬาต้องห้าม
กีฬาที่คนปวดหลังไม่ควรเล่นคือ โบว์ลิ่ง เทนนิส กอล์ฟ และยกน้ำหนัก และกีฬาที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีคือ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน พายเรือ และเดิน

4. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
หากเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ท่ายกของที่ถูกต้องและรักษาหลังคุณที่สุดคือ งอเข่าหยิบของแล้วยืดตัวยืนขึ้น ห้ามยกของด้วยการก้มหลังอย่างเด็ดขาด

5. นวดเท้า
ว่ากันว่าการนวดเท้า เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังและขาที่รื่นรมย์ที่สุด คุณควรให้รางวัลตัวเองด้วยการนวดกดจุดฝ่าเท้า reflexology อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง

6. เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม
ควรเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ โปรตีนสูง เลือกรับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น คุณสามารถรับประทานวิตามินและอาหารเสริมได้ เช่นพวก a multi - mineral supplement ที่มีวิตามิน A, B complex, C, D และ E

การรับประทานยาแก้ปวดเป็นวิธีที่ไม่ขอแนะนำและไม่ควรทำ หากคุณปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหมด 6 ข้อข้างต้นนี้แล้ว อาการปวดหลังยังไม่หายไปไหน นั่นอาจหมายถึงคุณอาจไม่สบายมีโรคอื่นซ้ำซ้อนอยู่ เช่น โรคไต ซึ่งควรรีบหาหมอดีกว่าค่ะ....  

ปล. สุขภาพเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ ::002::


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: แจ็ค ที่ พฤศจิกายน 11, 2007, 07:20:31 PM

.... ผมหนักใจอยู่ข้อเดียวครับ  คือน้ำหนักเพิ่มผิดปกติ  หลังจากหยุดบุหรี่เด็ดขาด ...... อึดอัดครับผม .....


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: nomember ที่ พฤศจิกายน 14, 2007, 01:48:10 PM
ขอบคุณ ครับ


หัวข้อ: Re: คำว่า "ไม่เป็นไร" ใช้ไม่ได้กับเรื่องสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: Min-Min ที่ พฤศจิกายน 14, 2007, 02:05:04 PM
ขอบคุณพี่วัฒน์ และ พี่แรมส์ด้วยค่ะ  ::002::