หัวข้อ: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ เมษายน 28, 2007, 07:44:38 PM วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
"คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้" นิยามความรวยกับความจน มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า ๑.ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่าเถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดด-กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว ๒.มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่าย คือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย...มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อนๆ ไม่เอา..ไม่เอา..อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผมเขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์ [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ เมษายน 28, 2007, 07:47:26 PM วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ ๑.ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ ๒.ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุดคืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด...ฯลฯ จุดอ่อน-จุดแข็งของคนไทย ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มากๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดินใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่ คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิตไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำ (ในหลวง) ที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธทำได้นะแต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมขาติ อยากบอกอะไรคนไทย คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: Nattapol ที่ เมษายน 28, 2007, 07:47:34 PM คนไทยส่วนใหญ่ ( ไม่ทั้งหมดนะ ) ใกล้เกลือกินด่าง
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ เมษายน 28, 2007, 08:01:52 PM จริงแบบคุณNattapol ว่าจริงๆครับ
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: neo1 ที่ เมษายน 29, 2007, 04:42:41 PM ขอขอบคุณท่าน จขกท ครับได้อ่านแล้วนึกถึงคนที่ยังไม่พอเพียง :D
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ เมษายน 29, 2007, 06:10:18 PM หลายคน ยังไม่เท่าทัน กิเลสครับ
ยังพ่ายแพ้กับการจับจ่าย และยุคนี้ เรามีเรื่องให้จับจ่ายเยอะเสียด้วย...... หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ เมษายน 29, 2007, 07:49:24 PM เยี่ยมมากครับ
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: jupiter ที่ เมษายน 30, 2007, 12:11:03 PM อยากแนะนำให้ดูเทปเก่าที่เคยออกอากาศแล้วของรายการ "คนค้นคน" ตอน อรหันต์ชาวนา 1-3 แล้วจะรู้ว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างไร? โดยคนที่ไม่ได้เป็น ดร. หรือนักวิชาการ และไม่ต้องมาตีความอะไรให้ยุ่งยากมากมาย .... ขอแนะนำให้ดูครับ
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ เมษายน 30, 2007, 12:20:21 PM เป็นเพราะผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชน ล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง ในที่สุดก็พบสัจจะธรรม
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ เมษายน 30, 2007, 12:43:12 PM โชคดีที่คนไทยมีของดี แต่โชคไม่ดีที่คนไทยหลายคนนั้นไม่รู้จักใช้ของดี
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: Narin CZ ที่ เมษายน 30, 2007, 01:01:58 PM คนเราถูกค่านิยม วัฒถุนิยมฝังหัวมาแบบผิดๆ น่ะครับ เลยต้องให้ฝรั่งมาแนะนำในสิ่งดีที่เรามองข้าม.....ลองให้คนไทยแนะนำซิครับว่าจะมีใครทำตามไหม...
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: e.k.1911 ที่ เมษายน 30, 2007, 03:45:36 PM ขอบคุณมากครับ
ความเป็นจริงบนสิ่งที่เรามีอยู่จริง หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: jdp ที่ เมษายน 30, 2007, 05:19:11 PM เหมือนชาวปืนที่มีหนึ่งอยากได้สอง มีขนาดนี้อยากได้ขนาดนั้นต่อไม่รู้จักจบสิ้น ท่านใดสละแล้วซึ่งกิเลสจะปล่อยวางทั้งหมดโปรดบอกจะอาสารับเลี้ยงดูต่อให้ :D
หัวข้อ: Re: บัณฑิตจากเคมบริจจ์ใช้ปรัขญาเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ เมษายน 30, 2007, 05:27:07 PM เจอกับตัวเองเต็มเลยครับ...ผมเกิดมากับท้องไร่ปลายนา ภาษาลุกทุ่งก็กลิ่นโคลนสาบควาย จำความได้ผมละเบื่อสุดๆชีวิตไร้แสงศรีวิไลศ์ :~) :~)
และแล้วผมก็ได้มาสู่เมืองใหม่ชีวิตใหม่เมืองที่เทคโน.สูงสุด และแล้วมันก็ถึงจุดอิ่มตัว ผมเริ่มนึกถึงสัจธรรมแห่งชีวิต .....ทุกวันนี้ผมโหยหาชีวิตแบบเดิมๆแต่หนทางกลับมืดมนคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี :~) เรื่องแบบนี้มันพูดบอกกันไม่ได้หรอกครับ ต้องเจอะเจอด้วยตัวเอง ....คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ประการนี้แล. |