|
หัวข้อ: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: คูณ 3 superแก๊งค์ ที่ พฤษภาคม 24, 2007, 09:07:31 PM ;) กลัวจะเสียดินแดนไปอีกเป็นครั้งที่ ๒.. หลังจากเคยเสียเขาพระวิหารไปแล้ว
นำคดีเขาพระวิหารมาให้ดูย่อๆ .. อ่านแล้วอาจไม่ค่อยเข้าใจ ต้องตีความหน่อย ไทยเราแพ้เพราะไม่โต้แย้ง . แผนที่ของฝรั่งเศส ที่ทำเขตแดนไว้ .. เรียกว่ากฎหมายปิดปาก .. ........................................................... ........................................................... ......... คดีเขาพระวิหาร ที่ตั้งและสภาพทั่วไปของปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงเล็กหรือดงรัก (ดองแร็กภาษาเขมรแปลว่าภูเขาไม้คา) กั้นพรมแดนไทย-กัมพูชา ตั้งอยู่บนงอยของเอื้อมผาที่สูงตระหง่าน ไม่อาจหาโบราณสถานในวัฒนธรรมเขมรแห่งอื่นใดจักมีความทัดเทียมได้ เดิมตั้งอยู่ที่บ้านภูมิชร็อล ระหว่างช่องโพย (ตะวันตก) กับช่องทะลาย ต.บึงมะลู อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ในราชอาณาจักรไทย ลำดับเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร แผนที่อินโดจีนของชาแบร็ต แอล กัลลัง ซึ่งพิมพ์ก่อนการดำเนินงานของ คณะกรรมการผสมอ้างที่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2444 แสดงว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในเขตสยาม แต่แผนที่ทางโบราณคดีของลูเนต์ เดอ ลาจองกิแยร์ ในปี พ.ศ. 2444 ตีพิมพ์เรื่องบัญชีทะเบียนโบราณสถาน ในปี พ.ศ. 2447 ได้ยืนยันว่า การปักปันเขตแดนครั้งสุดท้าย ทำให้เปรียะวิเชียรหรือเขาพระวิหารตกมาเป็นของฝรั่งเศส แต่ในช่วงเวลานี้ราชอาณาจักรสยามยังใช้อำนาจปกครองเขาพระวิหารต่อไป 11 ต.ค. 2483 กรมศิลปากรของราชอาณาจักรไทย (เปลี่ยนจากสยามในช่วงนี้) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ต่อมา 4 ธ.ค. 2502 ไทยประกาศขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานแห่งชาติอีกครั้งพร้อมทั้งมีแผนที่แสดงปราสาทเขาพระวิหารแนบท้าย ปี พ.ศ 2492 ฝรั่งเศส ริเริ่มและด้วยความเห็นชอบของกัมพูชาได้มีการคัดค้านอำนาจอธิปไตยของไทย เหนือเขาพระวิหารอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก ฝรั่งเศสประท้วงว่าไทยไม่ควรส่งคนไปรักษาปราสาทเขาพระวิหาร กัมพูชาเริ่มเรียกร้องให้เขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชา เริ่มเป็นทางการ พ.ศ. 2501 1 ธ.ค. 2501 กัมพูชาตัดความสัมพันธ์ทางการฑูตกับไทย ** - 6 ต.ค. 2502 รัฐบาลกัมพูชายื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกขอให้ศาลวินิจฉัยให้ราชอาณาจักรไทยถอนกำลังหรืออาวุธออกจากบริเวณเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ปัญหาที่เกี่ยวกับการปักปันเส้นเขตแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศอาจถูกระงับไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพราะ รัฐที่เกี่ยวข้องยังไม่มีเทคนิคของการสำรวจพื้นที่ที่ดีพอหรือไม่สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้เพื่อตรวจว่าเส้นเขตแดนปัจจุบันถูกต้องตรงตามที่ตนได้ทำความตกลงไว้หรือไม่ รัฐที่เกี่ยวข้องเล็งเห็นว่าผลประโยชน์ของงานในด้านอื่นมีความสำคัญกว่า รัฐที่มีดินแดนติดต่อกันยังไม่สามารถคำนวณผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองออกได้อย่างชัดเจน - คดีปราสาทเขาพระวิหาร มาจากผลสืบเนื่องของอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ตามข้อกำหนดในอนุสัญญา ค.ศ. 1904 ( พ.ศ. 2447) ข้อ 1 และข้อ 3 กำหนดไว้ดังนี้ "ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับกประเทศกัมพูชาเริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาปจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส .ฯลฯ จนถึงทิวเขาดงรัก จากที่นั้นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่งกับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง ." "ข้อ 3 ให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนที่ประกอบเป็นอินโดจีนฝรั่งเศส การปักปันนี้ให้กระทำโดยคณะกรรมการผสมประกอบด้วยพนักงานซึ่งประเทศภาคีทั้งสองแต่งตั้ง งานของคณะกรรมการจะเกี่ยวกับเขตแดนส่วนที่กำหนดไว้ในข้อ 1 และข้อ 2 ." คณะกรรมการผสมได้ดำเนินการปักปันเส้นเขตแดนจนเกือบจะแล้วเสร็จ แต่สยามกับฝรั่งเศสได้ชิงลงนามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1907 ไปก่อน จึงยังไม่ได้มีการทำแผนที่สมบูรณ์ให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายลงนามรับรองแต่อย่างใด ต่อมาฝรั่งเศสได้ดำเนินการตีพิมพ์แผนที่ซึ่งรัฐบาลสยามยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการนั้น โดยได้จัดพิมพ์แต่เพียงฝ่ายเดียวที่กรุงปารีส แล้วจึงส่งแผนที่จำนวน 11 ท่อน มาให้รัฐบาลสยามในจำนวนนี้มีแผนที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับดินแดนบริเวณเขาพระวิหารด้วยฉบับหนึ่ง รัฐบาลสยามมิได้รับรองแผนที่ดังกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แผนที่ดังกล่าวกำหนดเส้นเขตแดนบนภูเขาดงรักเรียกว่า "แผ่นดงรัก" (ไทยประท้วงว่าไม่ได้ผ่านความเห็นชอบและการพิจารณาของคณะกรรมการผสม) ดังนั้น หากยึดตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ก็จะต้องกำหนดตามเขตแดนธรรมชาติคือ สันปันน้ำ ซึ่งไทยยืนยันว่าสันปันน้ำปันเขาพระวิหารมาไว้ในอาณาเขตไทย แต่แผนที่ทำขึ้นกำหนดปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในกัมพูชา กัมพูชาอ้างว่าต้นฉบับแผนที่นี้พิมพ์โดยอาศัยอำนาจมอบหมายจากคณะกรรมการผสมมีไทยฝรั่งเศส ได้มีการส่งแผนที่ไปให้รัฐบาลสยามจำนวน 50 ฉบับ เสนาบดีมหาดไทยทรงตอบรับใน พ.ศ. 2451 กับขอเพิ่มเติมอีก 15 ชุด เพื่อไปแจกจ่ายแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่น คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหาร กัมพูชาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องไทยต่อศาลโลกหรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นเรื่องการอ้างอธิปไตยของคู่กรณีเหนือดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของซากปราสาทพระวิหาร ตั้งอยู่บนเทือกเขา ซึ่งเป็นผืนดินที่ต่อเนื่องออกไปจากแผ่นดินของประเทศไทยในบริเวณเทือกเขา ดงรักและหักลงสู่พื้นที่ราบลุ่มในกัมพูชา ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับเขาพระวิหารมาก ก่อนหน้าที่กัมพูชาจะเสนอข้อพิพาทนี้ สนธิสัญญา พ.ศ. 2410 ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ได้แบ่งเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนให้อยู่ต่ำกว่าบริเวณซากปราสาทพระวิหาร ต่อมาฝรั่งเศสเห็นว่าการปักปันเส้นเขตแดนยังไม่ดีพอ ประเด็นสำคัญ ศาลโลกจะต้องพิจารณาคือการจัดพิมพ์แผนที่ดังกล่าวโดยการกระทำฝ่ายเดียวของฝรั่งเศสมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อรัฐภาคีหรือไม่ เพียงใดและกัมพูชาจะมีอธิปไตยเหนือดินแดนที่เป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารหรือไม่ ศาลได้ลงนามเห็นว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระวิหาร โดยอาศัยเหตุผล 2 ประการ ดังต่อไปนี้ ผลผูกมัดของแผนที่ภาคผนวกที่ 1 ได้แก่ คุณค่าในตัวเองของแผนที่ ความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นในแผนที่และคุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี คุณค่าของแผนที่ในตัวเอง มีการตั้งคณะกรรมการปักปันเส้นเขตแดนผสม ชุดที่ 2 ซึ่งมีหน้าที่จะต้องปักปันเส้นเขตแดนในเทือกเขาดงรักด้านตะวันออกรวมทั้งเขา พระวิหารด้วย แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการชุดที่ 2 นี้ไม่เล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องเป็น เส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารอีก การกระทำนี้อาจจะตีความในทางกลับได้ว่า คณะกรรมการผสมชุที่ 2 เห็นว่าเส้นเขตแดนที่ถูกปักปันขึ้นตามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 นั้นมีความชัดเจนอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องปักปันซ้ำอีก ศาลเห็นว่าแผนที่ของภาคผนวกที่ 1 เป็นเพียงคณะกรรมการชุดที่ 1 มีการปักปันเช่นกันแต่ยังไม่เสร็จซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากคณะกรรมการชุดที่ 1 และไม่มีเอกสารทางราชการอื่นใดที่อาจพิสูจน์ได้ ว่าแผนที่ภาคผนวกที่ 1 นั้น เป็นผลงานโดยชอบของคณะกรรมการผสมชุดที่ 1 ศาลจึงสรุปว่าในระยะเริ่มแรกในขณะที่แผนที่ได้ทำขึ้น (ค.ศ. 1907) แผนที่นั้นไม่มีลักษณะที่จะผูกมัดรัฐภาคี ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแผนที่ ศาลโลกยอมรับว่า แผนที่ภาคผนวกที่ 1 คลาดเคลื่อนไปจากแนวเส้นสันปันน้ำที่อนุสัญญา ค.ศ. 1904 กำหนดเอาไว้ อย่างหรก็ดี ถึงแม้ว่าการปักปันเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวกที่ 1 จะมิได้เป็นผลงานของคณะกรรมการผสมชุดที่ 1 ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ "รัฐบาล มีอำนาจที่จะรับรองผลของการปักปันเส้นเขตแดนที่คลาดเคลื่อนจากแนวสันปันน้ำ (ซึ่งอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 บัญญัติไว้) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือการรับรองแผนที่ภาคผนวก 1 โดยรัฐบาลคู่พิพาทเป็นความตกลงระหว่างประเทศฉบับใหม่ ซึ่งมีผลลบล้างข้อความที่ภาคีคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้แต่เดิมในอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 นั่นเอง รัฐบาลสยามมิได้ทักท้วงข้อผิดพลาดดังกล่าว ขณะที่และภายหลังที่ฝรั่งเศสได้ส่งแผนที่ภาคผนวกที่ 1 มาให้สยามพิจารณา จึงไม่อาจอ้างเรื่องการทำแผนที่ผิดพลาด โดยนิ่งเฉย และไม่แสดงท่าทีคัดค้านเส้นเขตแดนทั้งที่ไทยสามารถหลีกเลี่ยงได้ การนิ่งเฉยของไทยนั้นเป็นการกระทำที่มีส่วนก่อให้เกิดความผิดพลาดนี้ขึ้นมา คุณค่าของแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐภาคี ไทยอ้างว่าไทยไม่เคยให้การรับรองเป็นลายลักษณ์อักษร แก่แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นข้ออ้างที่รับฟังไม่ได้ เพราะไทย รับแผนที่มา 50 ชุด และยังขอเพิ่มเติมอีก 15 ชุดจากฝรั่งเศส เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ข้าหลวงประจำจังหวัด ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1909 คณะกรรมการจัดทำแผนที่ประเทศสยามก็ยังได้ประชุมกันที่กรุงเทพฯ เพื่อจัดทำแผนที่ประเทศสยามฉบับย่อขึ้น โดยใช้แผนที่ภาคผนวกที่ 1 เป็นแม่แบบ ดังนั้น แม้ว่าฝ่ายจะไม่ได้ให้คำรับรองที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม แต่การประพฤติปฏิบัติของฝ่ายไทยก็ส่อเจตนาที่จะยอมรับโดยพฤตินัยต่อเส้นเขตแดนในบริเวณเขาพระวิหารที่ตีพิมพ์ลงในแผนที่ฉบับนี้มาโดยตลอด ฝ่ายไทยไม่เคยมีปฏิกริยา โต้ตอบเรื่องนี้ภายในระยะเวลาอันสมควรด้วยเหตุนี้ศาลจึงเล็งเห็นว่าฝ่ายไทย "ได้ให้ความยินยอมโดยการนิ่งเฉยแล้ว" ดังภาษิตลาตินที่ว่า "ผู้ที่เงียบเฉยอยู่ย่อมถือเสมือนได้ว่ายินยอม ถ้าเขามีหน้าที่ที่จะพูดและสามารถที่จะพูดได้" เหตุผลอันดับรอง ท่าทีที่ขัดแย้งกันเองในข้อต่อสู้ของฝ่ายไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของไทยได้ค้นพบว่ามีความผิดพลาดในการเขียนตำแหน่งของลำน้ำเสนลงในแผนที่ แต่มิได้ทำการประท้วงในระดับระหว่างประเทศ ต่อมามีความตกลงระหว่างสยามกับฝรั่งเศส จัดตั้งคณะกรรมการประนอม ทบทวนเส้นเขตแดนหลายจุด ยกเว้นในส่วนที่เป็นข้อพิพาทนี้ อีกประการหนึ่งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของฝ่ายไทยคือกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จไปสำรวจทางโบราณคดีในเขตของเขาพระวิหาร ฝรั่งเศสได้ตั้งกองทหารรับเสด็จแต่ฝ่ายไทย ก็มิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเพื่อคัดค้านอธิปไตยของฝรั่งเศสเหนือเขาพระวิหาร แม้ไทยจะอ้างว่ารัฐบาลของตนมิได้ทักท้วงแต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ครอบครองดินแดนส่วนนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ คือครอบครองด้วยความเชื่อมั่นว่าดินแดนนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของตนมาโดยตลอดแต่ ศาลโลกเห็นว่า "เป็นการยากที่ศาลจะยอมรับว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะสามารถ ลบล้างท่าทีของรัฐบาลไทยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง" ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคำพิพากษาของศาลโลกได้นำเอาหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความของกลุ่มประเทศแองโกล-แซกซอน มาปรับใช้กับคดีนี้หลักดังกล่าวได้แก่ "หลักทฤษฎีปิดปาก หรือเอสตอปเปิล (Estoppel)" ซึ่งเป็นวิธีพิจารณาความที่ตั้งอยู่บน พื้นฐานของหลักแห่งความบริสุทธิ์ใจ เปิดโอกาสให้คู่ความใช้วิธีนี้ปิดปากฝ่ายตรงข้าม เมื่อฝ่ายหลังให้ข้อขัดแย้งกันเอง ศาลโลกไม่ได้ใช้สำนวนเอสตอบเปิลนี้โดยตรง แต่กลับหลีกเลี่ยงไปใช้คำ "Preclusion" แทน แนวคำถาม-คำตอบคดีเขาพระวิหาร ถาม จงอธิบายเหตุผลที่ศาลโลกใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินคดีเขาพระวิหาร ตอบ เหตุผลหลัก คือการยอมรับโดยพฤตินัยของฝ่ายไทยต่อแผนที่ภาคผนวก 1 เหตุผลรอง คือท่าทีของฝ่ายไทยขัดต่อคำให้การของตนเองและเสริมฐานะให้กับการอ้างอธิปไตยของกัมพูชา ถาม ปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศสิ้นสุดลงหลังการทำสนธิสัญญาหรือไม่ เพราะเหตุใด ตอบ ปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศอาจถูกระงับลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อมีการทำสนธิสัญญาและกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างรัฐ แต่อาจเกิดขึ้นอีกได้โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นไม่เอื้ออำนวย เมื่อมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจฯ ระหว่างรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเส้นเขตแดนเป็นเครื่องกำหนดอธิปไตยโดยเด็ดขาดของรัฐ แต่การปักปันเส้นเขตแดนอาจไม่ละเอียดพอจึงเปิดโอกาสให้มีการอ้างอธิปไตยและตีความสนธิสัญญาหรือความตกลงจัดเส้นเขตแดนที่รัฐทำขึ้นภายหลังการทำสนธิสัญญาแม่บทนั้นแล้ว หมายเหตุ : ก่อนตอบคำถามควรตอบหลักการของการกำหนดเส้นเขตแดนที่ท่านอาจารย์ตามทฤษฎีก่อน อ้างอิง : ฝ่ายวิชาการ นิติศาสตรมหาบัณฑิต รุ่น 1 มหาวิทยาลัยรามคำแหง.2546. คดีเขาพระวิหาร.[Online]/available.URL : http://www.geocities.com/rachai_sut/ หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: คูณ 3 superแก๊งค์ ที่ พฤษภาคม 24, 2007, 09:10:24 PM ;) แต่ถ้าจะอ่านข้อมูลอย่างละเอียด ก็ต้องไปหาเล่มนี้ครับ ..
อ่านแล้ว ..เพลินดี .. ข้อมูลคดีเขาพระวิหาร อยู่ในนี้หมด .. (http://www.tarad.com/su-usedbook/img-lib/spd_20051109230021_b.jpg) หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤษภาคม 24, 2007, 09:12:39 PM ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดงอีก
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: คูณ 3 superแก๊งค์ ที่ พฤษภาคม 24, 2007, 09:17:41 PM จริงๆถ้าใครได้เคยไปเขาพระวิหาร ... บอกได้เต็มปากเลยว่า ..ดูแล้ว
น่าจะเป็นของไทยที่สุด .. ฝั่งทางขึ้น ก็อยู่ฝั่งแดนไทย / ฝั่งกัมพูชา เป็นชะง่อนผา ลึกลงไป .. :OO หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 24, 2007, 09:44:43 PM ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: adisak5 ที่ พฤษภาคม 24, 2007, 11:30:51 PM น่ายืมวิธีของยิวนะครับ
ใครจะว่าเป็นดินแดนของใครกูไม่สน มึงเข้ามาเจอดี หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 10:24:16 AM ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 10:30:00 AM ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย ชอบคำนี้จังครับพี่หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: krajong ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 12:47:38 PM ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย โดนใจครับหัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 01:33:06 PM ฝรั่งเศสคือเจ้าตำหรับโกงชาวบ้านโดยใช้วิธีทางกฎหมาย ยกให้อีก1เสียงครับพี่ขนาดโจรสลัดปล้นเขามาแล้วเอาของไปให้รัฐ ยังได้เป็นขุนนางเลย :-\ หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: สหายเล็กน้อย ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 02:44:50 PM "ข้อ 1 เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับกประเทศกัมพูชาเริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาปจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส
.ฯลฯ
จนถึงทิวเขาดงรัก จากที่นั้นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่งกับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง
."
>:( >:( >:(...ผิดตั้งแต่...ข้อที่ 1 นี้แล้วครับ...ลัดเลาะตามชายแดนไทยกัมพูชาไปจนจรดชายแดนไทยลาวที่ด่านช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี...ฝั่งเราอยู่บนที่ราบสูง...ฝั่งกัมพูชา/ลาวเป็นที่ราบต่ำ...พื้นที่ทั้งสองฝั่งต่างระดับกันอย่างชัดเจน...ถ้าดูตามแผนที่ที่ละเอียดเหมือนแผนที่ของทหาร...จะเห็นเป็นเทือกเขาและหน้าผา...แบ่งแยกประเทศไทยกับเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน...และต่อจากนั้นไปจะเป็นแม่น้ำโขงที่แยกประเทศไทยกับประเทศลาวออกจากกัน...โดยใช้ร่องน้ำลึก...ซึ่งนับวันจะขยับกินพื้นที่ลึกเข้ามาในดินแดนของประเทศไทย... ...และไม่ใช่เพียงที่ยอดเขาพระวิหารแห่งเดียว...ที่เป็นของกัมพูชา...ยังมียอดเขาหรือปลายหน้าผาอีกหลายแห่ง...ที่เป็นของประเทศเพื่อนบ้าน...ทั้งที่...เส้นทางที่สามารถขึ้นไปสู่แต่ละแห่งได้โดยสะดวกนั้น...ขึ้นได้จากฝั่งประเทศไทย.... ...มีหลายครั้งหลายหนที่ผมมีโอกาสได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งประเทศ...ด้วยก้าวสั้น ๆ เล็ก ๆ ...ซึ่งมองเห็นเป็นแค่เพียงร่องน้ำลำห้วยเล็ก ๆ ตื้น ๆ ...กระโดดทีเดียวก็ข้ามไปอยู่อีกประเทศ...ในใจก็นึกสะท้อน...แค่ยอดเขา/ปลายหน้าผาห่างเพียงแค่นี้...ก็กลายเป็นของประเทศอื่นไปเสียแล้ว...แถมเมื่อหันมองกลับมาทางประเทศไทย...ยังมีหลักเขตแดนให้เห็นเป็นที่ช้ำใจอีก... ...หากใครเคยไปเที่ยวเขาพระวิหาร...คงจะเคยสังเกตุเห็น...สะพานไม้...พาดข้ามร่องน้ำเล็ก ๆ ตรงทางขึ้นเขาพระวิหาร...(ด่านเก็บเงินสุดท้ายที่ทำเป็นรั้วเหล็กกั้นไว้)...นั้นแหละครับ...คือเส้นแบ่งเขตแดน...(แล้วท่านอาจจะคิดสะท้อนใจเหมือนกันกับผม)... ... ประเทศไทย...ได้สูญเสียดินแดนให้ต่างชาติไปหลายแห่งหลายครั้งแล้ว...ยังจะยอมสูญเสียกันเช่นนี้อีกต่อไปหรือ... >:( >:( >:( หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: สหายเล็กน้อย ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 02:49:21 PM ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดงอีก :D :D :D...ใครจะมายึด...ดินแดง...เหรอครับ..ใช้แนวแบ่งเขตแบบ...สันปันน้ำ...หรือ...อ่างอาบน้ำ...ครับ... ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: พญาจงอาง +รักในหลวง+ ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 03:04:33 PM ..สมัย10ที่แล้ว คนแถวบ้านไปเที่ยว ทหารพรานบอกว่าอย่าออกนอกเส้นทางที่ขึงลวดไว้เพราะกับระเบิดเพียบ แต่คนเมาไม่ยอมฟัง สุดท้ายขากลับ เพื่อนที่ไปด้วยได้แบกขาอีกข้างกลับมาให้ด้วย..
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 03:07:44 PM ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดนอีก .. รู้สึกเหมือนกัน. มันอาจเกี่ยวด้วย การเดินเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ ที่มีหลายปัจจัย.. ที่ไม่อาจเปิดเผยให้ได้รับรู้. เรื่องที่ควรพิจารณาว่า คู่กรณีของคุณคือใคร .. ไอ้ที่มันหนุนอยู่ข้างหลังมันนั้น. คือใคร. ในขณะที่ เราไม่มีมหาอำนาจใดจะหนุนช่วย .. แล้วยิ่งถูกให้เชื่อในความยุติธรรม ในการเมืองระหว่างประเทศด้วย.. แต่ต้องถือว่า บรรพบุรุษของเรา.. ท่านได้ต่อสู้ อย่าง สมศักดิ์ศรีแล้ว . แต่ถ้าจะให้เชื่อมโยงถึง กรณี ๓ จังหวัดภาคใต้ ขอบอกว่ามันไม่เกี่ยวกัน. . มันเป็นเรื่องภายในประเทศของเราเอง.. ต่างชาติ ไม่เกี่ยว :) หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: Narin CZ ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 06:18:30 PM ผมไม่เคยไปเลย ว่างๆว่าจะลองไปเที่ยวดูสักครั้งครับ...
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: MadFroG ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 09:17:05 PM ถ้าเรื่องมันบานปลายไปจนกลายเป็นแบบนั้น
ผมว่า มันคงต้องถึงกับ เป็นสงครามรบกันแบบเต็มรูปแบบ ให้มันตายกันไปข้างนึงแล้วละครับ ประเทศไหนหนุนหลัง ก็ส่งกำลังกันเข้ามาให้เห็นจะๆกันไป หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 09:41:43 PM ยกเขาพระวิหารให้ได้ แต่ขอเขมรครึ่งประเทศได้ไหม
ยกสาม จว ภาคใต้ให้ได้ แต่ขอดินแดนที่ อังกฤษยึดไปกลับมาทั้งหมด หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: andaman ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 10:27:14 PM กรณีพิพาทระหว่างไทยกับลาว ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ก็เพราะฝรั่งเศส แทนที่จะใช้แม่น้ำโขงแบ่งเขตแดนไทยลาวตลอดแนว ตรงนั้นเป็นของลาวได้ยังไง
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: แจ็ค ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 10:56:26 PM ....... ไม่อยากได้เพิ่มอีกแล้ว ..... และไม่อยากสูญเสียอีกแล้ว ..... เท่าที่มีอยู่ก็จะรักษากันไว้ไม่ได้อยู่แล้วครับ ก็ยังไม่เห็นทำอะไรกันสักที ........ ตายกันทุกวัน .... หดหู่จริง ๆ ....... หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ พฤษภาคม 25, 2007, 11:01:54 PM พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า... ตอนที่ฟ้องศาลโลก... ข้าราชการในประเทศทุกคนสละเงินคนละ 2 บาท... (ไม่แน่ใจครับ) เพื่อเป็นค่าทนายศาลโลก(จำไม่ผิดน่าจะเป็นคนพม่า) ปู่ของผมก็ร่วมด้วย... เงินบาทสมัยนั้นค่าสูงมากโขอยู่นะครับ... สมัยเดียวกันนั้นอ่านหนังสือพบว่ากระสุนลูกซองนัดละ 5 สตางค์เองครับ
หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: p23-504 รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 12:08:02 AM ...หากใครเคยไปเที่ยวเขาพระวิหาร...คงจะเคยสังเกตุเห็น...สะพานไม้..พาดข้ามร่องน้ำเล็ก ๆ ตรงทางขึ้นเขาพระวิหาร...(ด่านเก็บเงินสุดท้ายที่ทำเป็นรั้วเหล็กกั้นไว้)...นั้นแหละครับ...คือเส้นแบ่งเขตแดนที่เรียกว่า...สันปันน้ำ.(แล้วท่านอาจจะคิดสะท้อนใจเหมือนกันกับผม)...
ขออนุญาตครับ ขอความชัดเจนเรื่อง คำว่าสันปันน้ำ น่าจะเป็นสันเขาทีึ่่แนวแบ่งเขตแดน ไม่นา่จะเป็นร่องน้ำ สันเขา = ส่วนที่สูงที่สุดของเทือกเขา ปัน = แบ่ง สันปันน้ำ = สันเขาที่เป็นแนวเขตแดน (หมู่บ้าน ตำบล ที่ใช้แนวสันเขาเป็นเส้นแบ่งเขตก็ใช้หลักการนี้) โดยถือเอาว่าน้ำฝนที่ตกลงมาบนสันเขาซึ่งจะไหลลงจากสันเขาแบ่งเป็น 2 ทาง จุดแนวที่น้ำไหลแยกกันนั่นแหละคือเส้นแบ่งเขต คนสมัยก่อนใช้วิธีนี้เป็นวิธีแบ่งเขตการปกครองของหมู่บ้าน ตำบล (เป็นข้อมูลดิบตามประสบการนะครับ ไม่ได้ค้นคว้าจากเอกสารของทางการ) สันปันน้ำ ที่ว่านี้จะเป็นหลักการเดียวกันหรือไม่ กับกรณีเขาพระวิหาร หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: สหายเล็กน้อย ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 01:25:09 AM ...หากใครเคยไปเที่ยวเขาพระวิหาร...คงจะเคยสังเกตุเห็น...สะพานไม้..พาดข้ามร่องน้ำเล็ก ๆ ตรงทางขึ้นเขาพระวิหาร...(ด่านเก็บเงินสุดท้ายที่ทำเป็นรั้วเหล็กกั้นไว้)...นั้นแหละครับ...คือเส้นแบ่งเขตแดนที่เรียกว่า...สันปันน้ำ.(แล้วท่านอาจจะคิดสะท้อนใจเหมือนกันกับผม)... ขออนุญาตครับ ขอความชัดเจนเรื่อง คำว่าสันปันน้ำ น่าจะเป็นสันเขาทีึ่่แนวแบ่งเขตแดน ไม่นา่จะเป็นร่องน้ำ สันเขา = ส่วนที่สูงที่สุดของเทือกเขา ปัน = แบ่ง สันปันน้ำ = สันเขาที่เป็นแนวเขตแดน (หมู่บ้าน ตำบล ที่ใช้แนวสันเขาเป็นเส้นแบ่งเขตก็ใช้หลักการนี้) โดยถือเอาว่าน้ำฝนที่ตกลงมาบนสันเขาซึ่งจะไหลลงจากสันเขาแบ่งเป็น 2 ทาง จุดแนวที่น้ำไหลแยกกันนั่นแหละคือเส้นแบ่งเขต คนสมัยก่อนใช้วิธีนี้เป็นวิธีแบ่งเขตการปกครองของหมู่บ้าน ตำบล (เป็นข้อมูลดิบตามประสบการนะครับ ไม่ได้ค้นคว้าจากเอกสารของทางการ) สันปันน้ำ ที่ว่านี้จะเป็นหลักการเดียวกันหรือไม่ กับกรณีเขาพระวิหาร :D :D :D...รับทราบครับ...ขอบพระคุณที่ทักท้วง...ผมก็ไม่แน่นเหมือนกันครับ...ข้อมูลดิบเหมือนกัน...อาศัยเวลาไปเที่ยวเขตป่าชายแดน...พรานชาวบ้านเขาชี้ให้ดูและบอกว่าข้ามร่องน้ำนี้ไปเป็นของอีกประเทศ...อีกทางหนึ่งก็ดูเอาจากแผนที่...ซึ่งมันก็ขัดกับความรู้สึกและความเป็นจริง...เพราะมันเป็นร่องน้ำไหล...ไม่ใช่สันปันน้ำอย่างที่ท่านว่าไว้...แต่ผมว่าก็น่าจะเป็นตามที่ท่านได้อธิบายไว้...ยังไงผมขออนุญาตแก้ไขข้อความก็แล้วกันครับ...เดี๋ยวจะเข้าใจกันผิด ๆ... ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: สหายเล็กน้อย ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 01:35:10 AM :D :D :D...เพื่อแสดงความรับผิดชอบ...และความเข้าใจที่ถูกต้อง...ผมขอแก้ตัวโดยการ...หาข้อมูลรายละเอียด...เรื่องความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างประเทศ (International Boundary)...มาประกอบกระทู้ให้ครับ... ;D ;D ;D
http://web.schq.mi.th/~ndc/thinktank/boundary.htm หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: polymed ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 07:55:08 AM ผมไม่กลัวครับเพราะผมเชื่อว่ายังไงเราจะไม่ยอมเสียดินแดงอีก คุณเตรียมทำใจไว้เลย ถ้ายังฅนไทยังสมานฉันท์กันแบบนี้ ไม่เกิน 10 ปี 3 จังหวัดภาคใต้ถูกตั้งเป็นรัฐปัตตานีแน่ หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: adisak5 ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 09:29:15 AM http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9500000059691
ระวังจะเหมือนเขาพระวิหารครับ หัวข้อ: Re: ย้อนรอย .. คดีเขาพระวิหาร .. เริ่มหัวข้อโดย: yotinpen ที่ พฤษภาคม 26, 2007, 09:55:54 AM น่าจะไม่เป็นแบบเขาพระวิหาร เพราะน่าจะไม่มีกรณีที่ต้องขึ้นศาลโลกครับ
|