หัวข้อ: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 10:38:29 AM พอดีผมพึ่งอ่านหนังสือเรื่องคนไทยในกองทัพนาซีจบ เขียนโดย พ.อ. วิชา ฐิตวัฒน์ แล้วเจอเนื้อหาตอนหนึ่งอ้างอิงถึง หนังสือประเทศในเครือวัฒธรรมอินเดีย ของ คาร์ล เดอริง ไว้น่าสนใจเป็นทรรศนะคติที่คนเยอรมันมองคนไทยเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้วลองอ่านกันครับว่าแตกต่างจากปัจจุบันไหมครับ
คนไทยเป็นชาติที่ร่าเริงอยู่เสมอ หัวเราะง่าย สุภาพอ่อนโยนน่าคบ แต่จับจดและขี้เกียจ ชอบแสวงหาแต่ความสุข เกรงกลัวความลำบาก คำว่า ลำบาก แทรกอยู่ในการสนนาประจำวันของคนไทย ฝนตกก็ลำบาก แดดออกก็ลำบาก ทุกสิ่งทุกอย่างลำบากไปหมด .......เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ทำให้คนไทยไม่ค่อยขวนขวาย อีกทั้งอากาศอันอบอุ่นทำให้คนไทยไม่ชอบทำงาน คนไทยส่วนมากขณะศึกษาอยู่ในยุโรปก็ขยันขันแข็งทำงานและมีอุดมคติสูง พอกลับมาเมืองไทยได้สักหน่อยดินฟ้าอากาศและความสะดวกสบายตลอดจนสิ่งแวดล้อมก็ทำให้เขาเหล่านั้นเปลี่ยนนิสัย คลายความกระปรี้กระเปร่าไม่ค่อยจะขวนขวายอะไรในชีวิต [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 10:43:36 AM ประเพณีเราไม่สนับสนุนให้หญิงชายไปไหนกันสองต่อสอง แม้จะเดินไปด้วยกันชั่วชายคาเดียวก็มีเสียงครหา ไม่นิยมการจูบกันอย่างชาวต่างประเทศ และไม่นิยมกระทั่งยื่นมือให้สัมผัส สตรีที่ปล่อยให้เขาถูกต้องเนื้อตัวถ้าเป็นพระก็แทบอาบัติแก้ไม่หาย แต่ขณะเดียวกันเธอก็ทอดร่างในวงแขนชายบนเวทีเต้นรำได้อย่างไม่ขวยเขินและสังคมก็ไม่ตำหนิในข้อนี้ เรากระโดดจากประเพณีอันแสนจะเคร่งไปหาระเพณีแห่งเสรีนิยมซึ่งสร้างขึ้นโดยความต้องการของมนุษยชาติอย่างก้าวใหญ่เกินไป
ปัญหาขัดแย้งอีกอย่างคือคนทำกับคนพูด ผู้ที่เป็นช่างเทคนิคกับวิศวกรในเมืองเราได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะจนป่านนี้แม้แต่ลวดเส้นเดียวเมืองไทยก็ทำไม่เป็น .........ทั้งนี้เพราะเรานิยมแต่คนพูดไม่อุดหนุนยกย่องคนทำ ใครเรียนทางเทคนิคมาก็ตั้งหน้าคอยรับใช้เขาไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ความเจริญทางการงานเทียบกับผู้ที่ใช้วาทศิลป์แล้วไกลกันลิบ ในเยอรมันนี หัวหน้า เอนจิเนียร์โรงงานใหญ่ๆ อาจได้เงินเดือนเท่ากับรัฐมนตรี เพราะเขาพิจารณาถึงงานที่ทำกัน เอนจิเนียร์รับผิดชอบชีวิตคนในโรงงาน หรือหากทำงานไม่ได้เขาก็หาว่าไม่มีภูมิ แต่รัฐมนตรียังมีทางแก้ตัวว่า ไม่มีงบประมาณ หรือมิฉะนั้นก็ลาออกไปนอนบ้านสบายเมื่อพลาดท่า [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 10:44:29 AM เราอยู่กันมาผ่านทั้งมรสุมและสันติสุขหลายชั่วคนแล้ว แต่คงไม่มีใครทราบถึงนโยบายประจำชาติของเรา รู้กันแต่เพียงนโยบายของรัฐบาลซึ่งเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน อังกฤษเคยมีนโยบายประจำชาติ จะสร้างจักรภพ หรือรักษาตราชูแห่งอำนาจ สำหรับฝรั่งเศสทุกรัฐบาลก็รักษาความปลอดภัยจากการรุกรานของเยอรมันนี เยอรมันนีก็พยายามขยายตัวไปทางตะวันออก รัสเซียก็พยายามเจาะหน้าต่างหาทางออกทะเล ส่วนเมืองเราหาไม่พบ ทั้งๆที่เอกภาพของชาติพันธ์และกำลังทางเศรษฐกิจของเราไม่สมบูรณ์ เราก็ยังไม่รู้ว่า อนาคตเราจะเป็นแบบ อเมริกา สวิสฯ หรือ มลายู เพื่อนบ้านรอบๆตัวเรากำลังตื่นตัวขยันขันแข็งฉลาดกว่าเราอยู่ แล้วกำลังได้รับอิสรภาพซึ่งช่วงชิงมาด้วยเลือดและการต่อสู้ ทำให้ประชากรแข็งแกร่งและรู้จักการเสียสละ ทำท่าจะรุดหน้าไปไกลกว่าประเทศเราทุกที แต่ชาวเรายังคงไว้ใจใน ปาฏิหาริย์ ไม่สิ้นสุด ........และ เมื่อปาฏิหาริย์ไม่ช่วยเราแล้วเราจะเป็นชาติที่ป่าเถื่อนที่สุดในแหลมสุวรรณภูมิ
เมื่อข้าพเจ้ากลับเมืองไทย คราวนี้ข้าพเจ้าเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนไทยเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมาย สิ่งนี้คือ แทบทุกคนสามารถรู้อนาคตของตนรู้ว่าเมื่อใดจะเคราะห์ดีมีลาภ รู้ว่าเมื่อใดจะเคราะห์ร้าย เมื่อใดจะเดินทางไกล และเมื่อใดจะได้คู่ ขณะใดถูกอะไรกุม น่าชมแท้ๆ บัตรประจำตัวแสดงสัญชาติ อายุ อาชีพ ในเมืองไทยไม่ต้องมีก็ได้ รู้กันแต่ว่านั่นผู้หญิงนี่ผู้ชายก็แล้วกัน แต่แทนบัตรประจำตัวซึ่งทั่วโลกเขาบังคับให้มีทั้งชาวพื้นเมืองและชาวต่างชาติ หญิงชายไทยสมัยนี้มักมีบัตรแข็งผูกดวงชะตาไว้เรียบร้อยแล้วติดประจำตัว ถ้าเป็นเช่นนี้แพร่หลายแล้ว งานของกระทรวงมหาดไทยจะสะดวกขึ้นมาก ถ้ากระทรวงมหาดไทยจะจัดแผนกดูดวงไว้แผนกหนึ่งรวบรวมดวงชะตาประชากรชาวไทยแทนการสะสมรูปถ่ายและชีวประวัติจะได้ประโยชน์กว่า สามารถรู้ว่าคนไหนเป็นคนดี คนไหนเป็นคนร้าย และกำลังเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายอีกด้วย หญิงชายไทยสมัยนี้มักมีบัตรแข็งผูกดวงชะตาไว้เรียบร้อยแล้วติดประจำตัว อันนี้คนไทยพศ2550 พัฒนาขึ้นกว่า 2485 ไปมาก ปัจจุบันใช้ สมาร์ทชิพ โอรีโอแขวนกันทั้งเมือง ไม่ต้องใช้บัตรผูกดวงแล้วครับ [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 10:47:19 AM เล่มนี้อ่านตอนจบที่เยอรมันแพ้สงคราม...
แล้วเห็นใจประชาชนมากๆครับ... หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 10:50:13 AM ...ตอนนึงที่ผู้แต่งติดอยู่ในค่ายเชลยศึก ทหารเยอรมันคุยด้วยว่า "บัดนี้ประเทศเยอรมันได้ล่มสลายแล้ว แต่ประเทศไทยยังมีโอกาศเจริญขึ้นต่อไปได้อีก"
*** ญาติผมเล่าว่าช่วงหลังสงคราม มีนักร้อง/นักดนตรีอิตาเลี่ยนตามไนท์คลับใน กทม. มาก เพราะในยุโรปไม่มีงานทำ ต้องมาหากินในเมืองไทยครับ หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 11:02:16 AM ...ตอนนึงที่ผู้แต่งติดอยู่ในค่ายเชลยศึก ทหารเยอรมันคุยด้วยว่า "บัดนี้ประเทศเยอรมันได้ล่มสลายแล้ว แต่ประเทศไทยยังมีโอกาศเจริญขึ้นต่อไปได้อีก" *** ญาติผมเล่าว่าช่วงหลังสงคราม มีนักร้อง/นักดนตรีอิตาเลี่ยนตามไนท์คลับใน กทม. มาก เพราะในยุโรปไม่มีงานทำ ต้องมาหากินในเมืองไทยครับ ผมเป็นคนไทยผมเชื่อใน ปาฏิหาริย์ครับ สักวันถ้าเราเชื่อกันในปาฏิหาริย์และห้อยเครื่องลางรุ่นล่ากันทุกคนทั้งประเทศ ผมเชื่อว่าประเทศเราจะเจริญกว่าสิงค์และเยอรมันครับ ว่าแต่ว่า ประเทศที่ล่มสลายเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้วอย่างเยอรมันทำไมตอนนี้เจริญกว่าไทยเยอะจังครับ ;D แต่เรื่องรักสนุกนี่เรื่องจริงครับ ผมอ่านคนไทยในกองทัพนาซีที่ไปค้นจากตู้หนังสือคุณตาแฟนผมมาเมื่อหลายเดือนที่แล้วและอ่านจบเมื่อเช้านี้ แต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วผมซื้ออาทิมิสฟาวล์ตอนล่าสุดผมอ่านจบเมื่อคืนที่ผ่านมาครับพี่ต๊อก ;D หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 11:25:42 AM อาจารย์พระมหาประยุทธ์ ปยุตฺโต ท่านว่า ถ้าจะห่วงเรื่องนี้กัน ก็อย่าเพิ่งมาห่วงเรื่องจตุคามรามเทพนี่เลย กระแสจตุคามฯ เป็นเพียงอาการหนึ่งของโรค ที่สังคมไทยเป็นมานานนอกจากจตุคามฯ พระพรหม พระพิฆเนศ คนไทยเราเอาทั้งนั้น เดี๋ยวก็ฮือๆ แต่ตอนนี้อาการมันแรงขึ้น ถ้าปล่อยกันอยู่ ก็คงแรงขึ้นไปเรื่อยๆ
จนไปถึงจุดหนึ่งก็อาจเป็นสังคมหลักลอย ผู้คนเลื่อนลอย หาอะไรเป็นหลักยึดไม่ได้ เทศนาของอาจารย์ เหมือนเสาหลักของพุทธศาสนา ใครที่เผลอเลื่อนไหลไปตามกระแส คงพอใช้เป็นที่เหนี่ยวรั้งได้บ้างความจริงก็เป็นเช่นที่ท่านอาจารย์ว่า เราป่วยด้วยโรคเก่า...มานาน... อาการของโรคแบบจตุคาม...คิดไป ก็ไม่ได้แตกต่างจากอาการโรค พระสมเด็จ พระทุ่งเศรษฐี พระขุนแผน ฯลฯ หรืออาการล่า...จาก โรคตะกรุดลูกปืนอาจารยอ๊อด วัดสายไหม ที่กำลังเป็นกระแสใหญ่ ผมเขียนเรื่องเสาร์ 5 เพื่อนก็ส่งแผ่นโฆษณา จตุคามรามเทพ รุ่นเสาร์ 5 มหาเศรษฐี ที่กำลังทำพิธีวาระที่ 5 วันที่ 26-27 พ.ค. นี้ ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน...มาให้ รุ่นนี้ล่ะ ในพิธีแรกๆเอาเบิร์ด-ธงไชย ไปกดพิมพ์ มีหลวงหนุ่ย ที่ร่ำลือกันว่าได้ประสิทธิ์ประสาทวิชามาจากมือโกผ่อง...เป็นเจ้าพิธี ถึงพิธีวาระที่ 5 โฆษณาว่า พิธีกดพิมพ์สมโภชเนื้อก้นครก ฝังตะกรุดพระอาจารย์อ๊อด แสดงว่า งานนี้ กระแสจตุคาม ผนวกเอากระแสตะกรุดลูกปืนอาจารย์อ๊อด เข้าไปด้วย เขียนให้เพื่อนแล้ว ก็ได้แต่ภาวนา ขออย่ามีคนเลื่อนไหลไปกับกระแสเหล่านี้มากเกินไป เห็นเขามีกัน อดใจไม่ไหว มีไว้สักองค์ พอให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็น่าจะพอ ทุกอย่างในโลกนี้ เป็นสิ่งสมมติ อยู่ที่ใจ สำเร็จด้วยใจ... ทั้งสิ้น คัมภีร์วิชาคงกระพันชาตรี...อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร สอนพระคาถาจังเหล็ก ...อรหังคารัง เพชชคงคารัง อรหังจังเหล็ก เพชชคงจังเหล็ก อรหังตรีเพชชคงคง... คาถาบทนี้ ท่านให้ใช้บริกรรมเรียกประกายเหล็กเข้า คือให้หาเอาแผ่นเหล็กมาลองตีกระทบกันดู ถ้าเห็นมีประกายไฟแลบออกมา จึงให้เอาเหล็กนั้นมารองนั่ง แล้วบริกรรมด้วยคาถานี้ เพื่อให้ประกายเหล็กนั้นเข้าตัว เมื่อเลิกบริกรรมแล้ว ให้เอาเหล็กนั้นไปลองตีดูใหม่ ถ้ายังมีประกายไฟแลบอยู่ ก็ให้นำมานั่งทับเรียกไปอีก ทำไปจนกว่าจะตีแล้วไม่มีประกายไฟ คือประกายนั้นเข้าไปอยู่ในตัวเรา จะอยู่คงทนสารพัดอาวุธทั้งปวงแล คาถาจังเหล็ก เป็นหนึ่งในคาถาคงกระพันครับ ส่วนคาถาชาตรีนั้น...ถ้าทำได้ขลังเต็มที่ ก็แคล้วคลาด...ไม่ต้องเจ็บตัว...เช่นคาถาเสกองค์พระกันภัย อะระหัง ปฏิมานะพุทโธ ธานุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะ-พุทโธ สุญญะพุทโธ เอกัคคะตานัง รูปะสุญญัง นิมิตตัง นิมิตตัง... ท่านว่า เมื่อจะเดินทางไปที่ใด ให้เขียนเป็นรูปองค์พระลงในฝ่ามือ แล้วเสกด้วยพระคาถานี้ ตบหน้าผากแล้วเดินทางไปเถิด คุ้มกันอันตรายได้ทั้งมวล...แล ผมชอบคาถาบทนี้มาก ชอบตรงที่ไม่ต้องไปดิ้นรนหาพระเครื่องของขลัง...ขอให้จิตแน่วแน่ ก็เสกพระคุ้มตัวเองได้ นี่ก็เป็นอีกอาการของโรคเก่า ที่อาจารย์พระมหาประยุทธ์ ท่านว่า...ดีกว่าตรงที่ต้องเสียเงิน ใครก็หลอกเราไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราหลอกตัวเอง...ก็เป็นแล้ว http://www.thairath.co.th/news.php?section=politics02&content=48320 หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 11:32:56 AM เจ้าลัทธิร่วมพุทธกาล มีอยู่ 6 คณะ เรียกว่าครูทั้งหกครับ
บูรณกัสสป...สอนว่า ไม่มีกรรม สิ่งไรทำไปแล้ว ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เท่ากับไม่ได้ทำ ไม่มีบุญหรือบาปเกิดขึ้น มักขลิโคศาล...สอนว่า ไม่มีการกระทำที่เป็นเหตุของความบริสุทธิ์หรือเศร้าหมอง ตนเองก็ทำให้ตนไม่ได้ ผู้อื่นก็ทำให้ไม่ได้ ชีวิตคนเหมือนกลุ่มด้าย ที่คนจับปลายไว้ข้างหนึ่งแล้วขว้างไป เมื่อหมดกลุ่มด้ายก็หยุดกลิ้ง อชิตเกสกัมพล สอนว่า ไม่มีอะไรเลย หลงเรียกกันไปเปล่าๆ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีบิดามารดาและสมณะพราหมณ์ ฯลฯ มีแต่การประชุมของดินน้ำลมไฟ และแล้วกลับแยกกัน แยกกันแล้วก็สิ้นสุดกัน แค่นั้นเอง ปกุธกัจจายนะ สอนว่า กายมี 7 อย่าง สุข ทุกข์ ดิน น้ำ ลม ไฟ และชีวะ มั่นคงอยู่ในตัวเอง ใครจะทำให้มันเจ็บหรือให้วิปริต อย่างไรมิได้ ใครจะตัดศีรษะใคร หรือจะแล่เนื้อใคร เหมือนมีดผ่าน้ำ เป็นเพียงธาตุ ชำแรกตัวไปตามระหว่างของกาย หรือธาตุเท่านั้น คำสอนลัทธินี้...โจรค่าไถ่เคยถ่ายทอดให้กามนิตฟัง จากเรื่องกามนิต-วาสิฏฐี นิคันธนาฏบุตร สอนว่า ผู้ใด...ห้ามบาปด้วยธรรมที่เป็นเครื่องห้ามกันบาป 1, ประกอบด้วยธรรม อันเป็นเครื่องประกอบเพื่อหมดบาป 1, กำจัดทำลายบาปนั้นๆ เสียด้วยธรรม อันเป็นเครื่องกำจัด 1, และเป็นผู้ลุถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยธรรมเครื่องกำจัดบาปนั้น 1 ผู้นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ลุถึงอาตมัน จบการบำเพ็ญ ตั้งอยู่ตลอดกาล ผู้นั้น...เป็นนิครนถ์ สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปฏิเสธทั้งหมด...เรื่องนั้นๆ จะบัญญัติว่าอย่างนั้นหรือ...ก็มิใช่ อย่างโน้น ก็มิใช่ และอย่างไหนก็มิใช่ ทั้งหมด สรุปว่าเป็นลัทธิส่าย ว่ามิใช่...ทั้งหมด หกเจ้าลัทธิในพุทธกาล...มีฐานะเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชา เป็นที่สักการบูชาของพระราชา และคนชั้นสูง มีคนเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านอาจารย์พุทธทาสเขียนไว้ในพุทธประวัติฉบับวิจารณ์ว่า ลัทธิเหล่านี้ เป็นเพียงหลักฝ่ายอุดมคติ ดิ่งลงไปในด้านใดด้านหนึ่ง คนที่ไม่ได้เป็นนักคิด ก็ไม่อาจได้รับประโยชน์เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศพุทธศาสนา สอนหลักมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) มีทั้งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และปรมัตถประโยชน์ คือ นิพพาน คนปัญญาอ่อน ปัญญาปานกลาง และคนฉลาด เห็นผลได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเชื่อตามใคร คำสอนจึงเป็นที่พอใจของมหาชน ยิ่งกว่าคำสอนของ เจ้าลัทธิใด พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทางสายกลาง...เป็นทางเดียว ที่จะไปสู่ความสุขสงบเย็น เมื่อกว่า 2,500 ปีที่แล้ว...ถึงวันนี้ หลักทางสายกลาง ก็ยังพิสูจน์ว่าใช้ได้ ไม่เคยล้าสมัยhttp://www.thairath.co.th/news.php?section=politics02&content=48648 เคยไปสนทนาธรรมกับพระอาจารย์แล้วมีญาติโยมผู้หนึ่ง กล่าวหัวข้อ เรื่อง การให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แกบอกว่าพวกเรานี่โชคดีที่เกิดในพระพุทธศาสนา แต่มีผู้หนึ่งกล่าวขึ้นว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยห้ามไม่ให้นับถือคำสอนและเทพองค์อื่นใด ฉะนั้นศาสนาพุทธไม่ปิดกั้นศาสนาอื่นใดทั้งนั้น เรามองของเราดี ของเขาไม่ดี เพราะเรารู้จักแต่เราไม่รู้จักเขา คนอื่นศาสนาอื่นเขาก็คิดเช่นนี้ ถ้าเราไม่อยากจะเป็นแบบเขาเราก็ต้องไม่คิดแบบเขาว่า เราดีเขาไม่ดี เคยเห็นวงกลมไหม มองตรงๆมันก็กลม มองเอียงๆ มันก็รี มองไกลๆมันก็เป็นจุด มองข้างๆก็เป็นเส้น หรือเห็นดวงไฟไกลๆ นั้นไหมล่ะ แยกออกไหม ว่าเป็นหลอดยาว หลอดผอม หลอดกลม หรือหลอดตะเกียบ หลังจบคำกล่าวนี้ทุกข้อถกปัญหาก็เป็นอันเข้าใจแจ่มแจ้งครับ หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 05:41:43 PM หนังสือ คนไทยฯ ฉบับพิมพ์เก่า ปกแข็งแดงใช่ไหมครับ :)
...แต่ถ้าดูจิตสำนึกการเอาตัวรอด ในระดับเห็นแก่ตัว และการบูชาทรัพย์มากกว่าคุณธรรม ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมประเทศไทยยังเป็นแบบนี้ทั้งที่ทีทรัพยากรและบุคคลมีความสามารถสูงตามที่ปรากฎเห็นในสมองไหล และสมองฝ่อในประเทศ :) หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 06:40:42 PM หนังสือ คนไทยฯ ฉบับพิมพ์เก่า ปกแข็งแดงใช่ไหมครับ :) หนังสือคนไทยในกองทัพนาซี ปกอ่อนสีน้ำเงินครับพี่ต๊อก...แต่ถ้าดูจิตสำนึกการเอาตัวรอด ในระดับเห็นแก่ตัว และการบูชาทรัพย์มากกว่าคุณธรรม ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมประเทศไทยยังเป็นแบบนี้ทั้งที่ทีทรัพยากรและบุคคลมีความสามารถสูงตามที่ปรากฎเห็นในสมองไหล และสมองฝ่อในประเทศ :) หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 09:27:34 PM :D
ขออนุญาตเลี้ยวเข้าซอยนิดนึงขอรับ คุณคาร์ล เดอริง ที่ท่านพันเอกวิชา ได้อ้างถึง ดังปรากฎในความเห็นที่ 1 ผมจำได้ว่าเธอเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบพระราชวังบ้านปืนที่จ.เพชรบุรี สวยงามมาก ทั้งรูปทรงภายนอก และรายละเอียดประดับตกแต่งภายใน น่าจะไปเยี่ยมชม ผมเอารูปที่เสิร์ชจากเวปมาฝาก (ขออภัยท่านเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มิได้ขออนุญาตครับ) (http://img259.imageshack.us/img259/2083/bp2eq1.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 09:29:37 PM :D
(http://img293.imageshack.us/img293/8171/bp3og3.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 09:31:07 PM :D
(http://img405.imageshack.us/img405/5198/bp1xx9.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 30, 2007, 09:32:49 PM :D
(http://img339.imageshack.us/img339/8420/bp4vi0.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 02:31:36 PM สวยครับ เหมือนปราสาทยุคเรอเนสซองค์ในยุโรปเลยครับไม่ทราบว่าพระราชวังบ้านปืนอยู่อำเภอไหนครับ เคยไปแต่เขาวังกับ มฤคทายวัน แต่บ้านปืนยังไม่เคยไปเลยครับถ้ามีโอกาสต้องไปแวะชมแล้วครับ
หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 03:44:01 PM ;D
อยู่ในเขตอำเภอเมืองเลยครับคุณ nars ในบริเวณที่ตั้งของที่ทำการจังหวัดทหารบกเพชรบุรี ไปที่ตัวจังหวัดเพชรบุรี แล้วถามคนเมืองเพชรดูรับรองไปถูกแน่ครับ (มือปืนเมืองเพชรอาจจะดุ แต่คนดีเมืองเพชรมีน้ำใจขอรับ) ตามถนนเขาก็จะมีป้ายแหล่งท่องเที่ยวบอกทิศเป็นระยะๆด้วย เปิดทุกวันในเวลาราชการ วังนี้เคยเป็นฉากถ่ายละครย้อนยุคมาหลายเรื่องแล้ว ถ้าคุณ nars วัยใกล้เคียงกับผมแล้วชอบดูหนังโฆษณา ถ้าจำโฆษณาฟิล์มสีโกดัก ยุคก่อนหน้าพี่เบิร์ดฟูจิ (จาไมก้า)เล็กน้อย ที่เป็นเรื่องยุคเก่าของเพือนสองคนที่โตมาด้วยกัน แล้วคนหนึ่งเป็นทหารในช่วงที่หหารยังแต่งกายเหมือนร้อยตรีพร้อมสุดที่รักของสาวเครือฟ้า เกิดการปฎิวัติต้องโดนจับตัว แล้วได้มาเจอกันอีกทีตอนแก่ เขาก็ถ่ายที่วังนี้แหละครับ (แหมผมเลี้ยวเข้าซอยเสียลึกเชียว ;D) แนะนำให้หาซื้อหนังสือนำเที่ยวเมืองเพชร ของสำนักพิมพ์สารดคี เล่มเล็กติดมือไปด้วยนะครับ จะเที่ยวเพลินขึ้นเยอะ เมืองเพชรมีวัดพุทธเก่าที่มีงานศิลปะชั้นยอดเยอะมาก อ่านหนังสือข้างต้นแล้วไปดูของจริง ดูไปพลิกหนังสือไป อาจจะตัดสินใจค้างคืนเพื่อเที่ยวต่ออีกวันเลยเชียวนา อิอิ หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤษภาคม 31, 2007, 07:34:37 PM เมืองเพชรมีวัดพุทธเก่าที่มีงานศิลปะชั้นยอดเยอะมาก อ่านหนังสือข้างต้นแล้วไปดูของจริง ดูไปพลิกหนังสือไป อาจจะตัดสินใจค้างคืนเพื่อเที่ยวต่ออีกวันเลยเชียวนา อิอิ
เคยไปนอนบ้านเพื่อนที่เมืองเพชรมาหลายรอบแล้วครับ เพื่อนสนิทสมัยเรียนบ้านอยู่หลังวัดชีสระอินครับ กินหวานเย็นๆ เจ้าอร่อย ผัดไทยระดับแชมป์ประเทศ ข้าวแช่รถเข็นข้างวัดชีสระอิน อร่อยหมดทุกอย่างครับ ข้าวแกงอร่อยที่สุดถึงเครื่องแกงที่สุดก็ต้องเมืองเพชร เครื่องแกงเข้มข้นพอๆกับข้าวแกงสุพรรณ กินกันไม่ลงทีเดียวครับ พูดถึงวัดแล้วเคยอ่านหนังสือเจอว่าที่วัดจะมีแท่งเสายักษ์อยู่แท่งหนึ่งตามตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นกระบองขอพระยายักษ์ เดินเล่นแถววัดมาหลายรอบแล้วไม่เคยสังเกตุเลย คุณ alone wolf เคยเข้าไปดูกระบองยักษ์มาบ้างแล้วยังครับ หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ มิถุนายน 01, 2007, 05:38:37 PM เมืองเพชรมีวัดพุทธเก่าที่มีงานศิลปะชั้นยอดเยอะมาก อ่านหนังสือข้างต้นแล้วไปดูของจริง ดูไปพลิกหนังสือไป อาจจะตัดสินใจค้างคืนเพื่อเที่ยวต่ออีกวันเลยเชียวนา อิอิ เคยไปนอนบ้านเพื่อนที่เมืองเพชรมาหลายรอบแล้วครับ เพื่อนสนิทสมัยเรียนบ้านอยู่หลังวัดชีสระอินครับ กินหวานเย็นๆ เจ้าอร่อย ผัดไทยระดับแชมป์ประเทศ ข้าวแช่รถเข็นข้างวัดชีสระอิน อร่อยหมดทุกอย่างครับ ข้าวแกงอร่อยที่สุดถึงเครื่องแกงที่สุดก็ต้องเมืองเพชร เครื่องแกงเข้มข้นพอๆกับข้าวแกงสุพรรณ กินกันไม่ลงทีเดียวครับ พูดถึงวัดแล้วเคยอ่านหนังสือเจอว่าที่วัดจะมีแท่งเสายักษ์อยู่แท่งหนึ่งตามตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นกระบองขอพระยายักษ์ เดินเล่นแถววัดมาหลายรอบแล้วไม่เคยสังเกตุเลย คุณ alone wolf เคยเข้าไปดูกระบองยักษ์มาบ้างแล้วยังครับ หงิ ;D เจอตัวจริงเสียงจริงเข้าเสียแล้วสิผม วัดชีสระอินอยู่ตรงไหนผมยังไม่รู้เลยครับ เพราะฉะนั้นกระบองแท่งนั้นผมจึงยังไม่เคยเห็น จะต้องไปชมสักวันหนึ่งครับ เรื่องข้าวแกงนี่ เมืองพิดโลกเมืองแม่ผมก็ทำเก่งครับ ไม่แพ้เมืองเพชร เมืองสุพรรณ หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 01, 2007, 08:59:40 PM หนังสือที่ พ.อ.วิชา เขียนไว้อีกเล่ม ที่ดีมากคือเรื่องเกี่ยวกับเกราะ และกระสุนเจาะเกราะ
หัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ มิถุนายน 01, 2007, 09:02:04 PM หนังสือที่ พ.อ.วิชา เขียนไว้อีกเล่ม ที่ดีมากคือเรื่องเกี่ยวกับเกราะ และกระสุนเจาะเกราะ อยากอ่านจังเลยครับตอนนี้ยังมีที่ไหนขายอยู่หรือเปล่าครับคุณอาหัวข้อ: Re: เยอรมันมองไทยเมื่อ100ปีก่อน เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 02, 2007, 12:05:31 AM หนังสือที่ พ.อ.วิชา เขียนไว้อีกเล่ม ที่ดีมากคือเรื่องเกี่ยวกับเกราะ และกระสุนเจาะเกราะ อยากอ่านจังเลยครับตอนนี้ยังมีที่ไหนขายอยู่หรือเปล่าครับคุณอาพิมพ์ที่กรมยุทธศึกษาทหารบก จำได้ว่าเคยถ่ายเอกสารไว้ ต้องลองค้นดูก่อน |