หัวข้อ: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:29:01 PM คือเห็นบ่นเรื่องน้ำมันแพงกันครับ เลยเอารถ Hybrid มาให้ดู ประหยัดชัวร์ครับ
ประมาณ 20 กม ต่อลิตร เมืองไทยน่าจะออกกฎหมายสนับสนุนนะครับ เห็นมีรถยอดนิยมหลายรุ่นก็ทำออกมาแล้ว Alpard, Harrier, etc. แต่น่าเสียดาย ตอนนี้เมืองไทยยังไม่มีที่ซ่อม :~) อันนี้เอารูป Hybrid car ของ Toyota มาให้ดูเล่นๆ ก่อนครับ Toyota Prius 4 door/5 seat sedan w/ liftback range per fillup: 566 miles (906 km.) Per 46 liter of Gas 2005 Base Retail Price: $20,875 (US) [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:30:00 PM ภายในเป็นแบบนี้ครับ ;D
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:41:33 PM อันนี้ RX400 ครับผม :D
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: โจ ™ ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:41:49 PM ครับ เห็นที่กรุงเทพฯก็มีขับกันเกลื่อนถนนแล้วครับ ยังไม่มีที่ซ่อมเหรอครับ ??? ???
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:42:22 PM ภายนอกไม่ต่างกันเลยครับ แต่ภายในเนี่ย :o
[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:43:21 PM ครับ เห็นที่กรุงเทพฯก็มีขับกันเกลื่อนถนนแล้วครับ ยังไม่มีที่ซ่อมเหรอครับ ??? ??? ก็ถ้าซ่อมพวก เบรค เกียร์ทั่วๆ ไปเนี่ย ทำได้ครับ แต่พวกระบบ Hybrid เนี่ย ก็ รอไปก่อนนะครับผม หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 10:55:38 PM โตโยต้า เอาผาด เพื่อนบอกถ้าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ไฮบริด ราคา 600000 หกแสนบาท ตกลงเสียค่าน้ำมันจะดีกว่าไหมเนี่ย ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 11:02:41 PM โตโยต้า เอาผาด เพื่อนบอกถ้าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ไฮบริด ราคา 600000 หกแสนบาท ตกลงเสียค่าน้ำมันจะดีกว่าไหมเนี่ย ;D ;D ;D ;D ถึงบอกไงครับ ถ้ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการประหยัดพลังงาน โดยให้ใช้รถแบบนี้กันเยอะๆ ก็ดีครับ ลดภาษี ราคารถถูกลง ชิ้นส่วนเข้ามาถูกลง ก็น่าใช้นะครับ หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ พฤษภาคม 07, 2005, 11:08:20 PM โตโยต้า เอาผาด เพื่อนบอกถ้าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ไฮบริด ราคา 600000 หกแสนบาท ตกลงเสียค่าน้ำมันจะดีกว่าไหมเนี่ย ;D ;D ;D ;D ถึงบอกไงครับ ถ้ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการประหยัดพลังงาน โดยให้ใช้รถแบบนี้กันเยอะๆ ก็ดีครับ ลดภาษี ราคารถถูกลง ชิ้นส่วนเข้ามาถูกลง ก็น่าใช้นะครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิดภาษี อยู่ที่ 5-10% อยู่แล้วนะครับ และจะลดลงอีก แต่ราคาตัวรถที่เมืองนอกแพงมากเลยนำเข้ามาก็ยังไม่ใช่ถูกมาก แต่น่าสนใจมากครับ ถ้าเกิดรถเสียต้องเปลี่ยนแบตทีคงทำให้หงายเอาง่ายๆเหมือนกัน ;D ;D หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Nakin ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 12:17:32 AM Tax = 5 - 10 % , really ? Umm ...... so I has seen so many Hybrid Alphard cars on the street .....
Does the car still work if its battery is out of order ? ( 600 , 000 - B . for that battery ) :OO หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: JarengkaBOW ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 12:54:33 AM Toyota Prius 4 door/5 seat sedan w/ liftback range per fillup: 566 miles (906 km.) Per 46 liter of Gas 2005 Base Retail Price: $20,875 (US) เข้าเมืองไทย ราคานี้คงต้องฝันเอาเจ้าคะ หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: JarengkaBOW ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 12:55:59 AM Does the car still work if its battery is out of order ? ( 600 , 000 - B . for that battery ) :OO I guess, in this case it can use fuel energy instead ka. หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 02:12:05 AM :).. เห็นหุ่นทรงแล้ว..ดูดีสวย.กับผู้ที่ชอบ. เป็นทางเลือกหนึ่งเท่านั้นเอง.. :OO
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 04:50:25 AM ของชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่คงต้องใช้เวลาพิสูตรเพราะในญี่ปุ่นเองยังขายแทบไม่ออก :~) :~)
ทั้งๆมีรายการ ลดแหลกแจกแถมมากๆ ผมเคยถามทางโตโยต้าเรื่องแบต. นี่รับประกันกี่ปี... คนขายตอบแบบไม่เต็มเสียง ผมเลยเดินหนี ที่นี่แบต.ชุดหนึงราวๆแสนบาทครับ ผมคิดว่าคันต่อไปอาจได้ขี่ ;D ;D เห็นข้างบ้านใช้ เอสติม่า อยู่คัน หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 06:30:58 AM ของชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่คงต้องใช้เวลาพิสูตรเพราะในญี่ปุ่นเองยังขายแทบไม่ออก :~) :~) ทั้งๆมีรายการ ลดแหลกแจกแถมมากๆ ผมเคยถามทางโตโยต้าเรื่องแบต. นี่รับประกันกี่ปี... คนขายตอบแบบไม่เต็มเสียง ผมเลยเดินหนี ที่นี่แบต.ชุดหนึงราวๆแสนบาทครับ ผมคิดว่าคันต่อไปอาจได้ขี่ ;D ;D เห็นข้างบ้านใช้ เอสติม่า อยู่คัน ...ขออนุญาตครับ "พิสูจน์" ครับ :) 8) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Tonyman ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 07:52:01 AM Does the car still work if its battery is out of order ? ( 600 , 000 - B . for that battery ) :OO I guess, in this case it can use fuel energy instead ka. คือรถแบบนี้ใช้น้ำมันอย่างเดียวไม่ได้น่ะสิครับ ต้องมีทั้งสองอย่าง :~) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 10:28:09 AM Honda Civic Hybrid ขนาดเครื่องยนต์ 1300 ซีซี ราคาอยู่ที่ 1.3 ล้านบาทเศษ
ใช้ได้สองระบบ คือไฟฟ้า กะ น้ำมัน ดีครับ แต่ราคาไม่เป็นมิตร ถ้าซื้อมาเพื่อใช้อย่างหนึ่งอย่างได้ก็ไม่คุ้มค่า เพราะราคาของรถขนาด 1.3 ลิตรที่ใช้น้ำมันอย่างเดียวราคาไม่น่าเกิน 4.5 แสน (ซึ่งก็แพงแล้ว) เดี๋ยวนี้ Honda Jazz รุ่น Cool ใหม่ล่าสุด ขาด 2 พันก็ เจ็ดแสนแล้ว โหดน่าดู แต่ก็ยังขายได้ คนไทยรวยๆทั้งนั้น หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 02:39:56 PM อ๋อย ไม่เอาดีกว่า เห็นราคาจะเป็นลมแล้ว :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<< :<<
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 04:08:58 PM Honda Civic Hybrid ขนาดเครื่องยนต์ 1300 ซีซี ราคาอยู่ที่ 1.3 ล้านบาทเศษ :DD :DD :DD แจส...คันละเกือบเจ็ดแสน :~) :~) :~) :~) ที่นีราคานี้ซื้อได้2คัน :~) :~)ใช้ได้สองระบบ คือไฟฟ้า กะ น้ำมัน ดีครับ แต่ราคาไม่เป็นมิตร ถ้าซื้อมาเพื่อใช้อย่างหนึ่งอย่างได้ก็ไม่คุ้มค่า เพราะราคาของรถขนาด 1.3 ลิตรที่ใช้น้ำมันอย่างเดียวราคาไม่น่าเกิน 4.5 แสน (ซึ่งก็แพงแล้ว) เดี๋ยวนี้ Honda Jazz รุ่น Cool ใหม่ล่าสุด ขาด 2 พันก็ เจ็ดแสนแล้ว โหดน่าดู แต่ก็ยังขายได้ คนไทยรวยๆทั้งนั้น หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 04:10:14 PM ของชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่คงต้องใช้เวลาพิสูตรเพราะในญี่ปุ่นเองยังขายแทบไม่ออก :~) :~) ทั้งๆมีรายการ ลดแหลกแจกแถมมากๆ ผมเคยถามทางโตโยต้าเรื่องแบต. นี่รับประกันกี่ปี... คนขายตอบแบบไม่เต็มเสียง ผมเลยเดินหนี ที่นี่แบต.ชุดหนึงราวๆแสนบาทครับ ผมคิดว่าคันต่อไปอาจได้ขี่ ;D ;D เห็นข้างบ้านใช้ เอสติม่า อยู่คัน ...ขออนุญาตครับ "พิสูจน์" ครับ :) 8) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: JarengkaBOW ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 08:22:58 PM :DD :DD :DD แจส...คันละเกือบเจ็ดแสน :~) :~) :~) :~) ที่นีราคานี้ซื้อได้2คัน :~) :~) :~) :~) :~) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: plo-รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 08:33:18 PM Honda Civic Hybrid ขนาดเครื่องยนต์ 1300 ซีซี ราคาอยู่ที่ 1.3 ล้านบาทเศษ :DD :DD :DD แจส...คันละเกือบเจ็ดแสน :~) :~) :~) :~) ที่นีราคานี้ซื้อได้2คัน :~) :~)ใช้ได้สองระบบ คือไฟฟ้า กะ น้ำมัน ดีครับ แต่ราคาไม่เป็นมิตร ถ้าซื้อมาเพื่อใช้อย่างหนึ่งอย่างได้ก็ไม่คุ้มค่า เพราะราคาของรถขนาด 1.3 ลิตรที่ใช้น้ำมันอย่างเดียวราคาไม่น่าเกิน 4.5 แสน (ซึ่งก็แพงแล้ว) เดี๋ยวนี้ Honda Jazz รุ่น Cool ใหม่ล่าสุด ขาด 2 พันก็ เจ็ดแสนแล้ว โหดน่าดู แต่ก็ยังขายได้ คนไทยรวยๆทั้งนั้น หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 08:36:01 PM :)..รถยนต์ประกอบนอกนำเข้า..ภาษี มีอยู่ ๕ ประเภท.มีอะไรบ้าง จำไม่ได้แล้ว.. อย่างรถยนต์ราคาทุน ๑,๐๐๐,๐๐๐.- เมื่อรวมภาษี +กำไร ราคาตั้งขายอาจอยู่ราว ๔,๐๐๐,๐๐๐.- คนไทยใช้ของถูกคงชาติหน้า.. ;D ???
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: vichai01++รักในหลวง++ ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 08:44:03 PM :~) :~) :~)เห็นราคาก็จะเป็นลมแย้ว....... :~) :~) :~)
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: visith ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 11:04:15 PM :~) :~) :~)เห็นราคาก็จะเป็นลมแย้ว....... :~) :~) :~) ...นี่ขนาดลดภาษีไปเมื่อกลางปี 47 แล้วนะเนี่ย... :-\ หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: CT_Pro4 ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 11:49:39 PM ผมเองในฐานะที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรม..... เหมือนกัน เลยอยากให้ข้อมูลไว้ซักนิดนึงครับว่า รถยนต์ Hybrid นั้นไม่ว่าจะเป็นของค่ายไหนในโลกนี้ทั้งฝั่งตะวันตก (มีค่ายยุโรปและอเมริกาเป็นผู้นำ) และฝั่งตะวันออก (ซึ่งมีค่ายทางญี่ปุ่นเป็นผู้นำ) ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาก็เพื่อจะให้เป็นทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่งของการใช้พลังงาน เนื่องจากพลังงานที่ได้จากเชื้อเพลิงที่มาจากแหล่งน้ำมันดิบในธนนมชาตินับวันจะมีราคาสูงมากขึ้นและหายากขึ้น ทิศทางในการหาพลังงานทดแทนน้ำมันในวงการอุตฯ นั้นได้กระทำมาอย่างต่อเนื่องหลังจากยุคที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกิดวิกฤติการน้ำมันขึ้นในโลก ดังนั้นผมจึงอยากให้ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับทิศทาง (Strategic Direction) ของอุตสาหกรรม....ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและการพัฒนาพลังงานทดแทนดังนี้
1. การพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบสันดาปภายใน (Optimization of combustion engine) ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่จำกัดอยู่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline engine) หรือเครื่องยนต์ดีเซล (Diesel engine) โดยจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ถ้าพูดถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ Output หรือ Torque ที่ได้จากเครื่องยนต์นั้นจะมีค่าที่สูงขึ้น ในขณะที่ขนาดปริมาตรกระบอกสูบ (Displacement) เท่าเดิมหรือน้อยลง หรือแม้กระทั้งให้ประสิทธิภาพสูงสุดที่รอบต่ำลงอีกด้วย นอกจากนั้นในการพัฒนาดังกล่าว ยังจะต้องคำนึงถึงการลดลงของปริมาณมลพิษและไอเสียที่เกิดขึ้นด้วย โดยที่เป้าหมายหลักก็คือการสร้างเครื่องยนต์ที่ประหยัดมากขึ้นเมื่อเทียบกับประสิทธิผลที่ได้รับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกค่ายทำการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุดในบรรดาขั้นตอนในการพัฒนาและวิจัยในเรื่องนี้ 2. การพัฒนาคุณภาพหรือประเภทของเชื้อเพลิง (Optimization of natural fuel and energy) ในเรื่องนี้ ทางอุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงได้ทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถรองรับซึ่งกันและกันได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องนี้ก็คงเกี่ยวข้องกับแก็สโซฮออล์ หรือ ก๊าซธรรมชาติ (CNG-Compressed Natural Gas) ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีเรื่องราวมากกว่าที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันในปัจจุบันอยู่มากมายหลายชนิดครับ 3. การพัฒนาเชื้อเพลิงที่ได้จากธรรมชาติ (Bio energy) ขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนกว่าสองขั้นตอนแรก เนื่องจากจำเป็นต้องอาศัยการค้นคว้าและวิจัยเป็นอย่างมาก เพราะเชื้อเพลิงที่ว่านี้จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่จากสิ่งที่มี่อยู่ตามธรรมชาติ ตัวอย่างในปัจจุบันก็คือการสกัดน้ำมันเชื้อเพลิงจากพืช ซึ่งสามารถนำมาปรับปรุงใช้กับเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ ค่ายยุโรปค่ายนึง (ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ) เริ่มค้นคว้าการสกัดน้ำมันที่สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน โดยน้ำมันดังกล่าวได้ถูกสกัดมาจากพืชชนิดนึงซึ่งสามารถปลูกได้ในพื้นที่กันดารและแล้งได้ ไม่ต้องมาผสมกับน้ำมันดีเซลที่มาจากการซากฟอสซิลเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวอย่างที่ผมพูดถึงก็เป็นเพียงขั้นตอนที่กำลังอยู่ในการวิจัย ยังไม่สามารถทำเพื่อเชิงพาณิชย์ได้ 4. การพัฒนาเทคโนโลยี Hybrid โดยสรุปแล้วเป็นการนำเอา 3 ขั้นตอนแรกเข้ามาพัฒนาโดยมีพื้นฐานของพลังงานไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบ ถ้าจะพูดอย่างจริงใจเลยน่ะครับ...ในความเห็นส่วนตัว ผมว่าขั้นนี้การพัฒนายังไม่ถึงจุดที่จะนำมาใช้เพื่อการทดแทนหรือลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างจริงจังได้ เพราะทุกอย่างที่เรากำลังพูดถึงในเรื่องของ Hybrid นั้น (ผมขอเสนอความคิดเห็นเฉพาะในช่วงเวลาปัจจุบันนี้เท่านั้นครับ) ส่วนใหญ่เราพูดกันด้านเดียว ก็คือระยะทาง (ไม่ว่าจะวัดเป็น กม. หรือไมล์ก็ตาม) ต่อการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เราลืมไปหรือไม่ว่า เมื่อแปรรูปพลังงานเป็นพลังงานไฟฟ้า แหล่งกำเนิดของพลังงานไฟฟ้ามาจากไหน เทคโนโลยีของการเก็บกระแสไฟ (แบตเตอรี) ได้รับการพัฒนาไปถึงไหนแล้ว การกำจัดมลพิษที่เกิดขึ้นจากแบตเตอรีจะต้องใช้ค่าใช่จ่ายเท่าไหร่ มีต้นทุนในการดำเนินการมากน้อยขนาดไหน มีผลเสียทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร แต่ไม่ใช่ผมค้านเรื่องระบบ Hybrid นะครับ แต่ผมว่าเร็วเกินไปในการทำ Commercialize โดยเฉพาะกับประเทศที่ (กำลัง) พัฒนาอย่างประเทศไทยครับ 5. การพัฒนาในขั้นสุดท้ายก็คงจะเกี่ยวข้องกับการหาพลังงานที่ได้มาจากธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดไอเสียหรือมลพิษ (Emission Free) ซึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Fuel Cell ซึ่งการพัฒนาระบบที่ใช้ Fuel Cell นั้น ทุกค่ายยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในโลกต่างก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยในปัจจุบัน ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตัวของเทคโนโลยีก็ได้ถูกแก้ไขได้บ้างในบางส่วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดของแบตเตอรีในการเก็บกระแสไฟ การสตาร์ทในอุณหภูมิที่ต่ำ รวมถึงระยะทางที่วิ่งได้ของรถที่ใช้พลังงานจาก Fuel Cell ในการขับเคลื่อน การทดสอบเทคโนโลยีนี้ไม่ว่าจะเป็นที่อเมริกา ยุโรป หรือใน Asia ก็ตาม ก็ยังเป็นเพียงการหาทางออกให้กับข้อจำกัดของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Fuel Cell ทั้งสิ้น ยังไม่สามารถนำมาใช้เพื่อเชิงพาณิชย์ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นปัจจัยอื่นยังคงต้องการการแก้ปัญหา ซึ่งผมเชื่อว่าในระยะเวลาไกน 5-10 ปีข้างหน้าเราคงจะได้เห็นทั้ง Hybrid และ Fuel Cell ที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ เอาไว้ถ้าผมมีเวลา ผมจะขอให้ข้อมูลต่อในเรื่องราคาครับ...... :) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 11:52:20 PM :)..ขอบคุณมากครับ..คุณCT_Pro4.. :)
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤษภาคม 08, 2005, 11:57:15 PM ...ได้ความรู้ ขอบคุณครับ คุณCT_Pro4 ;)
หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 12:22:54 AM ;D เยี่ยมคับท่าน CT_Pro4 ข้อมูลแน่นปึ้กคับ...
ขอบคุณคับ... ;D ปล. แจ๊ส ที่แพงนั่นรุ่นท้อปสุดคับ ราคาเริ่มต้นที่ห้าแสนต้นๆคับ สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา เครื่อง ไอดีเอสไอ คับ... :D หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 08:10:06 AM :~) :~) :~)เห็นราคาก็จะเป็นลมแย้ว....... :~) :~) :~) ...นี่ขนาดลดภาษีไปเมื่อกลางปี 47 แล้วนะเนี่ย... :-\ อยากรวยเป็นล้าน อยากได้บ้านสักหลัง เงินเดือนก็น้อย ไม่ค่อยเห็นทาง เราก็ยังยิ้มได้ อ่านข่าวเศรษฐีมีเงินหมื่นล้าน เขาทำงานอะไร เคยไปปรึกษา ได้คำตอบกลับมา ว่าคงต้องไปเกิดใหม่ หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: JarengkaBOW ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 08:55:10 AM หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 10:53:57 AM ตอนนี้ใช้ของเก่า ... แถมไม่ค่อยมีปัญญาซ่อมอีก :~) :~)
ผมว่าทางออกของปัญหาการเดินทางอู่ที่ "รถจักรยานไฟฟ้า" และ "ระบบขนส่งมวลชน" ครับ หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Iamshootinghere ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 11:13:55 AM ถ้าเป็นรถยนต์ของคนไทย จะมีใครใช้ไหมครับ ???
ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องน้ำมันจะหมดหรือแพงหรอกครับ ปัญหามันคือเราต้องจ่ายเงินออกนอก เพื่อซื้อพลังงานเข้ามา ถ้าเปลื่ยนไปใช้ พลังงานอย่างอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินออก แต่ต้องไปจ่ายค่ารถที่แพงขึ้น ยิ่งถ้าเป็น hybrid หรือ Fuelcell แม้แต่ dedicate CNG กับ hydrogen ก็ยิ่งแพงใหญ่ สรุปคือ ไม่ได้ช่วยประเทศซักเท่าไหร่ แค่เปลี่ยนช่องทางการไหลออกนอกประเทศของเงินเท่านั้นเอง :~) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: CT_Pro4 ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 01:52:33 PM ถ้าเป็นรถยนต์ของคนไทย จะมีใครใช้ไหมครับ ??? ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องน้ำมันจะหมดหรือแพงหรอกครับ ปัญหามันคือเราต้องจ่ายเงินออกนอก เพื่อซื้อพลังงานเข้ามา ถ้าเปลื่ยนไปใช้ พลังงานอย่างอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินออก แต่ต้องไปจ่ายค่ารถที่แพงขึ้น ยิ่งถ้าเป็น hybrid หรือ Fuelcell แม้แต่ dedicate CNG กับ hydrogen ก็ยิ่งแพงใหญ่ สรุปคือ ไม่ได้ช่วยประเทศซักเท่าไหร่ แค่เปลี่ยนช่องทางการไหลออกนอกประเทศของเงินเท่านั้นเอง :~) ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยเหมือนกันครับโดยเฉพาะเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซื้อพลังงานหรือเชื้อเพลิงที่ประเทศของเราไม่สามารถหาได้หรือได้ผลิตเอง เลยอยากจะขอเสนอความคิดเห็นส่วนนี้ดังต่อไปนี้ 1. ย้อนไปหลายร้อยปีก่อน วิวัฒนาการของการเดินทางหรือขนส่งได้เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดที่มนุษย์คิดได้ ก็คือการเดินทางด้วยเท้า จนกระทั่งพัฒนามาใช้สัตว์ที่มนุษย์สามารถควบคุมได้เป็นพาหนะ จนกระทั่งได้พัฒนาอุปกรณ์หรือพาหนะประเภทต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเดินทางได้ไม่ว่าจะเป็นการลาก การใช้ล้อและเพลาเข้ามาทุ่นแรง ฯลฯ (ยังไม่นับรวมถึงความพยายามของคนรุ่นก่อนที่พยายามหาพลังงาน และวิธีการต่างๆ มาใช้ ยกตัวอย่างเช่น การติดใบเข้ากับพาหนะ โดยหวังว่าจะใช้พลังงานลมในการเคลื่อนที่ เป็นต้น แต่ความพยายามทั้งหลายในขณะนั้น มักจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากยังพึ่งพาสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น แรงลมนั่นเอง) จนในที่สุดเริ่มมีการนำเอาเครื่องจักรที่มีการค้นคิดพัฒนาขึ้นมาใช้ในการให้พลังงานของการขับเคลื่อน เช่น พลังงานไอน้ำ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าก่อนปี 1885 ได้มีพาหนะหลายๆ รูปแบบ แม้กระทั่ง ยานพาหนะที่ใช้บนพื้นดิน หรือในน้ำก็ได้รับการติดตั้งเครื่องจักรไอน้ำเพื่อใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อน 2. ภายหลังจากปี 1885 ต่อปี 1886 นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันสองท่าน ได้พัฒนายานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นครั้งแรก (ซึ่งในยุคนั้น เชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องยนต์ดังกล่าว เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Benzene ) โดยการจดสิทธิบัตรในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปัจจุบัน 3. หลังจาก 1886 วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมรถยนต์ได้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันที่ได้จากการกลั่นของน้ำมันดิบที่เกิดจากฟอสซิล จนกระทั่งบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตน้ำมัน ได้เล็งเห็นว่าในอนาคตปริมาณน้ำมันดิบและแหล่งพลังงานจะลดน้อยลงไปจนถึงขั้นวิกฤต ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะการณ์ของสภาพแวดล้อมได้ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วอันสืบเนื่องจากมลพิษที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น จึงร่วมกันพัฒนาหาแหล่งพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) - ผมคงขอพูดเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้นครับ 4. สำหรับเรื่องของรถยนต์ คงจะหนีไม่พ้นกับการพูดถึงเรื่องการเดินทางขนส่งโดยภาพรวมด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ผมอยากให้มองถึงด้านอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ขอเรื่องนี้ - ในส่วนของอุปสงค์ (Demand) แน่นอนครับคงจะรวมถึงอุปสงค์ในทุกๆ ส่วนทั้งระบบมวลชน (Mass) และ ความต้องการของบุคคล (Individual) - แต่สำหรับเรื่องของอุปทาน (Supply) นั้น จะเกี่ยวของกับเรื่องของอุตสาหกรรมรถยนต์ ระบบการเดินทางขนส่ง รวมถึงพลังงานที่ใช้อีกด้วย ผมอยากให้เรามองภาพการคมนาคมขนส่งทั้งระบบมากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปเฉพาะรถยนต์กันอย่างเดียว ในตอนนี้ถ้ามองในภาพรวมแล้ว แนวคิดในการเคลื่อนที่ (Mobility Concept) หรือที่วงการอุตสาหกรรมรถยนต์รวมถึงภาครัฐกำลังหาแนวทางใหม่ๆ รวมถึงแนวทางในการปรับปรุงกันอยู่ ถ้าเราดูตัวอย่างในเรื่องนี้ผมว่าเราไปต้องไปดูที่ไหนอื่นไกลหรอกครับ ดูระบบของเพื่อนบ้านเราในประเทศสิงคโปร์ถึงแม้ว่าเงื่อนไขของประเทศไทยอาจจะต่างกับสิงคโปร์โดยสิ้นเชิง แต่ก็น่าจะใช้เป็นตัวอย่างได้ดีพอสมควรสำหรับเรื่องนี้ เมื่อมองระบบต่างๆ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานของสิงคโปร์แล้ว เราจะพบว่า ระบบของเขาจะเรียกได้ว่าเป็นระบบปิดก็ว่าได้ การควบคุมปริมาณของรถยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นผิวและพื้นที่ทางจราจรถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ การใช้นโยบายการควบคุมปริมาณรถยนต์โดยผ่านระบบการประมูล Certificate of Entitlement (COE) และระบบโควต้าการนำเข้า ซึ่งมาตรการดังกล่าวทำให้ราคาของรถที่ผู้บริโภคจ่ายนั้นสูงขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วราคารถนำเข้ามาเท่าไหร่ ก็จะต้องเสีย COE ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน สรุปแล้วราคารถเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเงินที่ผู้บริโภคจ่ายออกไป (ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆ นะครับ เพราะยังมีอีกหลายปัจัยที่เกี่ยวข้อง) แต่สิ่งที่ทางการ (ภาครัฐ) ของสิงคโปร์ได้จัดระบบโครงสร้างพื้นฐานไว้เพื่อรองรับสำหรับประชากรของเขาก็คือ การจัดผังเมืองที่มีระบบ รวมถึงการวางระบบขนส่ง (ทั้งเพื่อการพาณิชย์และการขนส่งมวลชน)ที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบรางและรถยนต์ที่ใช้ในการขนส่งมวลชน (หรือรถเมล์) นั่นเอง ทำให้อุปสงค์และอุปทานในเรื่องนี้สามารถหาจุดสมดุลได้ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ เมื่อเจาะลึกลงไปในส่วนของระบบจุลภาค ผู้บริโภคแต่ละคนสามารถตัดสินใจเองว่า ยานพาหนะที่เหมาะสมกับความต้องการส่วนบุคคลของเขานั้นจะเป็นอย่างไร (Personal Need and Want) ดูราคาว่าเค้าพอจะรับได้ไหม ซึ่งถ้ารู้จักคนในประเทศนี้บ้าง บางครอบครัวมี disposable income หรืออีกนัยหนึ่ง มีเงินในการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการอยู่มาก แต่อาจไม่มีรถยนต์ส่วนตัวเลย.... บางครั้งอาจใช้รถคันเล็กๆ แทนที่จะไปซื้อรถยนต์คันโตๆ จากยุโรปใช้ก็เป็นไปได้ เพราะสิ่งที่เค้าต้องการจริงๆ ในเรื่องของการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ถูกตอบสนองโดยโครงสร้างการคมนาคมขนส่งพื้นฐานที่ภาครัฐจัดไว้ให้แล้ว.... ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่ผมติดตามข่าวอยู่ ประเทศเล็กที่เป็นเกาะอย่างสิงคโปร์ในขณะนี้ ได้สร้างโครงการทดสอบพลังงานทางเลือกขึ้นแล้ว โดยร่วมกันระหว่าง 3 องค์กร คือกระทรวงที่รับผิดชอบเรื่องพลังงาน บริษัทเดมเลอร์ไครสเลอร์ และบริษัทน้ำมัน BP ในการทดสอบเทคโนโลยี Fuel Cell โดยที่ทางกระทรวงฯ เป็นผู้รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตในการนำเข้าและใช้งานรถทดสอบ บริษัทรถยนต์ก็ supply รถ Fuel Cell สำหรับทดสอบการใช้งาน ส่วน BP ก็เป็นผู้รับผิดชอบในการติดตั้งอุปกรณ์ในการจ่าย hydrogen ที่สถานีบริการเติมน้ำมันของ BP ซึ่งเป็นการติดตั้งหัวจ่าย hydrogen ร่วมกับน้ำมันเบนซินและดีเซลเป็นแห่งแรก เห็นมั้ยครับว่า ขนาดประเทศที่จัดอันดับว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วยังเตรียมความพร้อมเพื่อรับสถานการณ์น้ำมันที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าตั้งแต่ตอนนี้... แล้วประเทศไทยทำอะไรบ้างหละ..... สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีความพยายามอย่างมากจากหลายๆ องค์กรที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมรถยนต์ในภูมิภาคหรือที่เรียกกันบ่อยๆ ว่า Detroit of Asia แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามีอีกหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ไม่ได้พูดกันในสังคมว่าความหมายของเรื่องนี้ที่แท้จริงนั้นคืออะไร อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหนึ่งในหลายๆ อุตสาหกรรมที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น และมักจะถูกใช้เป็นมาตรวัดความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในทางอ้อมอีกด้วย แต่มีใครทราบบ้างครับว่าโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงของอุตสากรรมนี้ในประเทศเรา ยังคงพึ่งพิงกับการพัฒนาของอุตสาหกรรมฯ ที่มาจากบริษัทแม่ที่ต่างประเทศเกือบร้อยเปอร์เซนต์ พื้นฐานของเราเป็นเพียงผู้ประกอบ (Assembler) เท่านั้น เรายังต้องพึ่งพาการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีจากต่างประเทศเกือบร้อยเปอร์เซนต์เช่นเดียวกัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ประกาศกันของบริษัทรถยนต์หลายๆ บริษัทว่าได้ย้ายมาอยู่ในประเทศไทยแล้วนั้น ลอไปดูสาระและองค์ความรู้ของสถาบันดังกล่าวซิครับว่า เป็นการค้นคว้าและวิจัยที่เกิดขึ้นจากประเทศของเราคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของรถยนต์ที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทย อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ก็แทบจะไม่ต่างกับอุตสาหกรรมรถยนต์ซักเท่าไหร่ การผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ในประเทศนั้นก็ยังจำเป็นที่จะต้องอาศัยการถ่ายทอดทางเทคโนโลยีจากต่างประเทศเช่นเดียวกัน อะไหล่ที่ประกอบในประเทศต้องรับแบบจากต่างประเทศมา ให้บริษัทที่เป็นตัวแทนในประเทศร่วมตรวจสอบความสามารถและคุณภาพในการผลิต พอขึ้นตัวอย่างได้แล้วก็ต้องส่งชิ้นส่วนและอะไหล่ไปให้บริษัทแม่ตรวจสอบอีกก่อนที่จะผลิตเพื่อใช้ในขั้นตอนการประกอบหรือขายในประเทศ ที่ผมพูดมาซะยืดยาวไม่ได้หมายความว่าคนไทยหรือประเทศไทยไม่มีความสามารถนะครับ แต่สิ่งที่เราขาดก็คือการจัดการและการวางแผนที่ดี ทุกวันนี้เราพึ่งพาต่างชาติมากโดยลืมวางแผนพัฒนาที่สามารถปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้ คนที่อยู่ หรือมีอำนาจการตัดสินใจก็ influence โดยบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ (สวมหมวกสองใบ.... แล้วจะนึกออกมั้ยว่าจะต้องใช้ใบไหนทำอะไร) ก็กลายเป็นว่าอะไรที่ไม่ขัดผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน กลายเป็นทางออกสำหรับผู้มีอำนาจไป..... กลับมาพูดถึงเรื่องพลังงาน อย่างที่ผมบอกน่ะครับ เราไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยี เลยทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก แนวคิดที่ดีๆ บนกระดาษ อาจไม่ใช่สิ่งที่นำไปปฏิบัติได้ ส่วนตัวผม ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวทางการใช้ CNG เพราะอย่างน้อยเรายังมีทรัพยากรชนิดนี้อยู่บนพื้นแผ่นดินไทย ที่น่าจะสามารถใช้ได้อีกหลายสิบปี แต่สิ่งที่จะต้องทำควบคู่กันก็คือ การพัฒนาให้คนไทยสามารถปรับปรุงองค์ความรู้ที่มีอยู่ในเรื่องนี้ให้สามารถนำแหล่งพลังงานที่มีค่านี้มาใช้งานได้อย่างจริงจัง ภาครัฐอาจจะต้องกำหนดให้บริษัทรถยนต์ (กำหนดเป็นนโยบายหรือกฎหมาย) ให้ทุกค่ายต้องขายรถที่สามารถใช้ CNG ที่มีอยู่ในประเทศได้ (ย้ำครับว่า...ต้องขาย เพราะทุกค่ายมีเทคโนโลยีประเภทนี้อยู่แล้ว ทั้งยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่น) ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมหาศาลในการนำเข้าน้ำมัน ยิ่งไปกว่านั้น มลมิษที่เกิดขึ้นก็จะลดลงอีกด้วยครับ..... Solution นี้ เป็น interim solution ก่อนที่โลกจพัฒนาเทคโนโลยี Fuel Cell หรือ Hydrogen ไปยังจุดที่สามารถใช้งานเพื่อการพาณิชย์ได้ 5. สำหรับเรื่องของราคา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคมักให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ในเรื่องนี้ เราคงต้องมองถึงประเภทของรถยนต์ก่อนว่าเป็นรถที่นำเข้าทั้งคัน หรือที่ในวงการเรียกว่า CBU (Complete-Built Up) หรือ รถที่ประกอบในประเทศ (Complete-Knock Down) ยกตัวอย่างเช่น รถนำเข้า ภาครัฐกำหนดไว้ว่า ภาษีนำข้าจะคิดเป็น 80% ของราคา Invoice ที่เป็น CIF (ที่ต้องได้รับการอนุมัติราคาหน้าตั๋วจากกรมศุลกากรก่อน) แล้วถึงนำมาคิดภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) ซึ่งจะใช้สูตรในการคิดคำนวนภาษีตามขนาด แรงม้าและประเภทของรถยนต์ (ที่ค่อนข้างซับซ้อนกับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับระบบนี้พอสมควร) ยกตัวอย่างเช่น คิดภาษีสรรพสามิต 30% สำหรับรถยนต์นั่งขนาด 2,000 c.c. หรือต่ำกว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า เอา 30% เข้าไปคูณ CIF + 80% (CIF) เท่านั้นนะครับ 30% ที่ว่าเป็นเพียงตัวแปร (Variable) ตัวหนึ่งที่ใช้ในการคิดคำนวนภาษีเท่านั้น แล้วบริษัทรถยนต์ต้องคำนวนภาษีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ แล้วบวกด้วยต้นทุนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าในเรื่องงาน Waranty ค่าการตลาด ฯลฯ รวมถึงคำนึงถึง VAT ด้วย แล้วจึงกลายมาเป็นราคาขายที่ประกาศต่อผู้บริโภค เป็นต้น (ในกรณี รถยนต์นั่งนำเข้าขนาด 2,000 c.c. หรือต่ำกว่า และมีแรงม้าไม่เกิน 220 แรงม้า ถ้าอยากทราบว่าเฉพาะภาษีที่เกี่ยวข้อง (ภาษีสรรพสามิต, ภาษีมหาดไทย (Municipal Tax), และ VAT จะเป็นกี่เปอร์เซนต์ของราคานำเข้า ให้เอา 169% เข้าไปคูณ) ตัวอย่าง ราคารถ (CIF ตาม Invoice ที่ได้รับการรับราคาจากกรมสศุลกากรแล้ว) = 100,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐ = 100,000 บาท x 169% = 169,000 บาท ต้นทุนเบื้องต้นก่อนที่จะรวมต้นทุนอื่นๆ = 100,000 บาท + 169,000 บาท = 269,000 บาท แน่นอนครับ....ผู้ซื้อต้องรับภาระในส่วนนี้ ลองคิดเล่นๆ ดูซิครับว่า ถ้ารถขายเสนอกรมศุลฯ อยู่ที่ราคา 400,000 บาท ต้นทุน (ที่จ่ายภาษีถูกต้องนะครับ) ก่อนที่ถึงมือผู้บริโภค จะเป็น 1,076,000 บาทแล้วครับ ถ้าบวกค่าโน่นค่านี่ ราคาจะเป็นเท่าไหร่..... :( :( :( วันนี้เรื่องนี้ผมขอทิ้งไว้เท่านี้ก่อน รู้สึกว่ายิ่งพิมพ์ ยิ่งเลิกไม่ได้ครับ......... หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: CT_Pro4 ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 04:22:45 PM ถ้าเป็นรถยนต์ของคนไทย จะมีใครใช้ไหมครับ ??? ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องน้ำมันจะหมดหรือแพงหรอกครับ ปัญหามันคือเราต้องจ่ายเงินออกนอก เพื่อซื้อพลังงานเข้ามา ถ้าเปลื่ยนไปใช้ พลังงานอย่างอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินออก แต่ต้องไปจ่ายค่ารถที่แพงขึ้น ยิ่งถ้าเป็น hybrid หรือ Fuelcell แม้แต่ dedicate CNG กับ hydrogen ก็ยิ่งแพงใหญ่ สรุปคือ ไม่ได้ช่วยประเทศซักเท่าไหร่ แค่เปลี่ยนช่องทางการไหลออกนอกประเทศของเงินเท่านั้นเอง :~) ............. ยกตัวอย่างเช่น รถนำเข้า ภาครัฐกำหนดไว้ว่า ภาษีนำข้าจะคิดเป็น 80% ของราคา Invoice ที่เป็น CIF (ที่ต้องได้รับการอนุมัติราคาหน้าตั๋วจากกรมศุลกากรก่อน) แล้วถึงนำมาคิดภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) ซึ่งจะใช้สูตรในการคิดคำนวนภาษีตามขนาด แรงม้าและประเภทของรถยนต์ (ที่ค่อนข้างซับซ้อนกับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับระบบนี้พอสมควร) ยกตัวอย่างเช่น คิดภาษีสรรพสามิต 30% สำหรับรถยนต์นั่งขนาด 2,000 c.c. หรือต่ำกว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า เอา 30% เข้าไปคูณ CIF + 80% (CIF) เท่านั้นนะครับ 30% ที่ว่าเป็นเพียงตัวแปร (Variable) ตัวหนึ่งที่ใช้ในการคิดคำนวนภาษีเท่านั้น แล้วบริษัทรถยนต์ต้องคำนวนภาษีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ แล้วบวกด้วยต้นทุนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าในเรื่องงาน Waranty ค่าการตลาด ฯลฯ รวมถึงคำนึงถึง VAT ด้วย แล้วจึงกลายมาเป็นราคาขายที่ประกาศต่อผู้บริโภค เป็นต้น (ในกรณี รถยนต์นั่งนำเข้าขนาด 2,000 c.c. หรือต่ำกว่า และมีแรงม้าไม่เกิน 220 แรงม้า ถ้าอยากทราบว่าเฉพาะภาษีที่เกี่ยวข้อง (ภาษีสรรพสามิต, ภาษีมหาดไทย (Municipal Tax), และ VAT จะเป็นกี่เปอร์เซนต์ของราคานำเข้า ให้เอา 169% เข้าไปคูณ) ตัวอย่าง ราคารถ (CIF ตาม Invoice ที่ได้รับการรับราคาจากกรมสศุลกากรแล้ว) = 100,000 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐ = 100,000 บาท x 169% = 169,000 บาท ต้นทุนเบื้องต้นก่อนที่จะรวมต้นทุนอื่นๆ = 100,000 บาท + 169,000 บาท = 269,000 บาท แน่นอนครับ....ผู้ซื้อต้องรับภาระในส่วนนี้ ลองคิดเล่นๆ ดูซิครับว่า ถ้ารถขายเสนอกรมศุลฯ อยู่ที่ราคา 400,000 บาท ต้นทุน (ที่จ่ายภาษีถูกต้องนะครับ) ก่อนที่ถึงมือผู้บริโภค จะเป็น 1,076,000 บาทแล้วครับ ถ้าบวกค่าโน่นค่านี่ ราคาจะเป็นเท่าไหร่..... :( :( :( วันนี้เรื่องนี้ผมขอทิ้งไว้เท่านี้ก่อน รู้สึกว่ายิ่งพิมพ์ ยิ่งเลิกไม่ได้ครับ......... ลืมบอกไปครับ...... สำหรับอัตราภาษีที่ Apply กับรถ Hybrid Electic ที่ขนาดเครื่องยนต์ 3,000 c.c. หรือต่ำกว่า (ที่เป็นรถ CBU) ที่เพิ่งประกาศอัตราใหม่จากสรรพสามิตเมื่อไม่นานนี้ คือ 10% Excise Tax ซึ่งเมื่อคำนวนเป็น Effective rate แล้ว จะคูณด้วย 102% ครับ...... หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 04:47:58 PM ถ้าเป็นรถยนต์ของคนไทย จะมีใครใช้ไหมครับ ??? ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องน้ำมันจะหมดหรือแพงหรอกครับ ปัญหามันคือเราต้องจ่ายเงินออกนอก เพื่อซื้อพลังงานเข้ามา ถ้าเปลื่ยนไปใช้ พลังงานอย่างอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินออก แต่ต้องไปจ่ายค่ารถที่แพงขึ้น ยิ่งถ้าเป็น hybrid หรือ Fuelcell แม้แต่ dedicate CNG กับ hydrogen ก็ยิ่งแพงใหญ่ สรุปคือ ไม่ได้ช่วยประเทศซักเท่าไหร่ แค่เปลี่ยนช่องทางการไหลออกนอกประเทศของเงินเท่านั้นเอง :~) ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจครับ .... และที่แน่ ๆ การชดเชยดีเซลกว่า ๔ บาทในปัจจุบัน ก็เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ครับ .... งานนี้ไม่มีคนจนตามนโยบายแน่นอน เพราะพอระเบิดปุ๊บ ทุกคนจนเท่ากันหมด :~) เลยต้องนิยามความจนกันใหม่ ;D ;D เดี๋ยว ก.ค. ราคาแกสหุงต้มก็จะขึ้นอีก ... งานนี้เตรียมรับแรงกระแทกให้ดีครับ :-\ หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: JarengkaBOW ที่ พฤษภาคม 09, 2005, 11:56:08 PM อ้างถึง ซึ่งเมื่อคำนวนเป็น Effective rate แล้ว จะคูณด้วย 102% ครับ...... :~) หัวข้อ: Re: Hybrid Car (กระทู้แตกจาก Gasohol) เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 10, 2005, 11:03:30 AM :)..ขอบคุณมากครับ คุณCT_Pro4 .. :) เป็นข้อเท็จจริงที่ตรงมากเลยครับ.. จะทราบเฉพาะกับผู้เกี่ยวข้อง เท่านั้น.. :VOV:
รถยนต์ประกอบนอกนำเข้า..ภาระภาษี เริ่มแต่ ๑.ค่าอากรนำเข้า ๒.ภาษีสรรพสามิต ๓.ภาษีเพื่อมหาดไทย และ ๔ ภาษีมูลค่าเพิ่ม.. ๕ ไม่มีครับผมจำผิด ...อัตราเท่าไร เป็นรายละเอียด ถ้าได้ผ่านตา.ก็ต้องลืมแน่นอน.. ;D ..ณ เดือนเมษายน ๒๕๔๗ ถ้านำเข้าในราคา ๗๖๐,๐๐๐.- ภาระภาษีที่ไม่รวมต้นทุน คือ ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท เศษ ราคาขาย วนเวียนอยู่แถว สามล้าน ถ้านำเข้า ในราคา ๑,๐๓๐,๐๐๐- ภาระภาษีที่ไม่รวมต้นทุน คือ ๒,๑๙๐,๐๐๐.- บาทเศษ ราคาตั้งขาย สี่ล้านกลาง.กลาง.. เป็นรถยนต์ยุโรป นะครับ.. ตัวเลขที่เห็นนี้ ทำให้ รถยนต์ที่ใช้อยู่ของแต่ละท่านอาจดูน่าใช้ น่าทะนุถนอมเพิ่มขึ้น. ความอยาก.ลด หายหิวเลยมั้งครับ .. ;D :DD :OO ราคารถยนต์ จึงอาจไม่ใช่ตัววัดคุณภาพ และฐานะของผู้ครอบครองเพียงอย่างเดียว.. แต่ท่านยังเป็นผู้มีอุปการะคุณแก่ กระทรวงการคลังอีกด้วยครับ.. :VOV: |