|
หัวข้อ: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทุกปัญหาของชาติเริ่มต้นที่ "คอรัปชั่น" ที่ กรกฎาคม 15, 2007, 10:22:18 PM ดูค่าเงินทุกวันนี่เสียวครับ ไม่รู้ว่าผู้ส่งออกต้องปิดกิจการอีกกี่ราย ที่แน่ๆคือพวกสิ่งทอนี่ใกล้อวสานแล้ว ธุรกิจอื่นก็กำลังจะตามมา พวกนำเข้านี่สบายครับช่วงนี้ แต่ว่าซักพักก็คงจะกระเทือนเหมือนกันเพราะเศรษฐกิจตกต่ำนี่คนก็ชะลอการใช้เงิน ก็จะระมัดระวังในการซื้อของมากขึ้นพวกนำเข้านี่ก็จะขายของไม่ได้ครับ อีกไม่นานก็เจ๊งทั้งระบบเท่านั้นเองครับ ใครมีเงินตอนนี้รีบเก็บเอาไว้นะครับเตรียมไว้ซื้อของถูกในตลาดนัดคนเคยรวยกันอีกรอบ และจะได้ดูโฆษณาประเภทที่ว่า "ทุกครั้งที่เปิดขวด เจ็บปวดทั้งชาติ" อีกทีครับ แต่ไม่เป็นไรครับคนไทยนี่ลืมง่ายอยู่แล้ว ลืมไปว่าเราเข่าสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างไร ผ่านวิกฤตมาได้อย่างเจ็บปวดเพียงไร อย่ามัวแต่แย่งอำนาจกันอยู่เลยครับ วิกฤตอย่างนี้คนไทยต้องการมืออาชีพครับ แต่ผมก็มองไม่เห็นใครเลยครับในบ้านเมืองตอนนี้ที่เป็นมืออาชีพ งวดที่แล้วเศรษฐกิจพังก็เพราะค่าเงิน งวดนี้ก็อาจจะพังเพราะค่าเงินอีกครับ งวดที่แล้วท่านชวลิต บอกว่าไม่ทราบสถานะทางการเงินที่แท้จริงเพราะมีการปิดบังข้อมูลจากผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง(ในหนังสือที่เคยอ่านะครับเล่มแดงๆ) งวดนี้ถ้าเกิดขึ้นอีกที นี่ไม่รู้จะมีข้ออ้างอะไรอีกเพราะผู้นำประเทศก็ไม่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเหมือนกัน สงสัยเลือกตั้งคราวนี้เลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล พอดีจัดตั้งปรส. โครงการ2 พอดีอีก อะไรมันจะพอดีขนาดนี้ครับ โดยส่วนตัวผมคิดว่าใครจะเป็นนายกหรือรัฐบาลผม(ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง)ไม่สนหรอกครับ จะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตยผมก็ไม่สนหรอกครับ จะโกงบ้านโกงเมืองโกงภาษีของประชาชนบ้างผมก็ไม่สนหรอกครับ ผมสนแต่ว่าคนเป็นนายกทำให้เศรษฐกิจดีทำธุรกิจได้คล่อง ประชาชนส่วนใหญ่ที่ยังรายได้น้อย ไม่นับพวกนักธุรกิจที่รวยๆทั้งหลาย มีรายได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องส่งลูกเรียนได้ ไม่มีมาเฟียเกลื่อนเมือง ไม่มียาเสพติดระบาดหนักอย่างนี้ ไม่มีคดีการปล้นชิงทรัพย์ที่เกิดขึ้นถี่มากๆอย่างที่เป็นอยู่
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ หากผิดพลาดต้องขออภัย หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: Pandanus ที่ กรกฎาคม 15, 2007, 11:44:38 PM ขออนุญาตครับ
วันก่อนปล่อยลอยตัว มันเบากว่าอากาศ ลอยไปติดข้างตึกแถวให้เช่าของพระพิรุณโน่น... คราวนี้เขาจะแก้ยังไง ปล่อยลอยตัวอีกรอบมั๊ย เผื่อได้ขุด :~) ประเทศสารขัณฑ์นี่ มีเรื่องตื่นเต้นให้ลุ้นตลอดครับ แต่อย่าอินมากครับ พลาดท่าเดี๋ยวบ้า.... ด้วยความเคารพครับ แค่บ่นเพ้อไร้สาระ หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: andaman ที่ กรกฎาคม 15, 2007, 11:56:38 PM เงินบาทอ่อนตัว ใครกลุ่มไหนได้ประโยชน์ครับ
แล้วเงินบาทแข็งตัวมีใครกลุ่มใดได้ประโยชน์บ้าง มีคนตีให้อ่อนตัว แล้วตอนนี้มันแข็งขึ้นมา เป็นไปตามกลไกของระบบ หรือว่ามีคนตั้งใจทำให้มันแข็ง ผมไม่ทราบจริงๆครับมีท่านใดพอบอกได้บ้าง หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 05:56:45 AM อาการหนักแน่นอนครับ :~) ก็บอกได้แต่ว่าจงเตรียมตัวเตรียมใจรับเหตุการณ์ มองการเมืองแล้วยิ่งอยากร้องให้...สงสารประเทศไทยครับ
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 06:40:34 AM สงสารแค่คนหาเช้ากินค่ำ รับผลกระทบกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยรายได้เท่าเดิม
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: นายกระจง ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 06:50:24 AM ขอให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบตั้งสติให้มั่นค่อยๆแก้ปัญหาครับ อย่าวู่วามคิดสั้นครับ
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: Hong ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 07:32:54 AM :D บาทแข็ง น้ำมันแพง เงินในกระเป๋ามี แต่ไม่จับจ่าย ผมยังไม่เห็น ทางสว่าง ที่ปลายอุโมงค์ รอต่อไป
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 11:16:28 AM ผมว่าธุรกิจสิ่งทอน่ะ ต่อให้ไม่มีปัญหาค่าเงิน ก็ใกล้หมดเวลาอยู่แล้ว ...
ผมอ่านในหนังสือพิมพ์ พอจับใจความได้ว่า ธ.แห่งประเทศไทย "ไม่ได้เรื่อง" ครับ .... ดูแลค่าเงินบาทแบบตามตำรา ไม่ได้ดูว่าเทคนิคในโลกใหม่เขาไปถึงไหนกันแล้ว ผมมองว่าปัญหาใหญ่คือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ได้มีแนวคิดที่ใช้ในการบริหาร ... ทำกันเป็นรายวัน รายเดือน ไม่ได้ลงทุนเพื่ออนาคตกันสักเท่าไร ... กฏหมายใดที่ขัดขวาง เป็นปัญหาต่อการส่งเสริมให้ประชาชนยืนได้ด้วยตนเอง ก็ไม่ค่อยสนใจ ... เพราะเสียเวลาตีความกฏหมายอื่นกันอยู่ ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 11:31:36 AM :) ลองอ่านดูครับ
สถิติมีไว้ให้ทำลาย แต่บางสถิติสำหรับบางอย่างหากถูกทำลายบ่อย ๆ อาจเกิดหายนะขึ้นมาได้ เหมือนอย่างที่เกิดกับภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น จุดตาย ที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยอาจต้องล่มสลายลง วิกฤตการณ์ค่าเงินบาทครั้งนี้ จะเป็นเช่นเดียวกับวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ นักธุรกิจทุกคนต้องรู้ เพื่อการเตรียมพร้อมขององค์กร สำหรับ จุดยืนของธุรกิจ ที่ต้องรู้ทั้งภาพด้านลึก และระดับกว้าง ระดับเศรษฐกิจมหาภาค ปัญหาค่าเงินบาทเริ่มชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2549 จนวันที่ 19 มีนาคม 2550 ที่ค่าเงินบาทเปิดตลาดแตะระดับ 34.82-34.84 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 9 ปีครึ่ง การทำนิวไฮยังไม่หยุดยั้งในวันถัดมา จนมีการคาดการณ์ว่าเงินบาทอาจแข็งค่าไปอยู่ที่ 32 บาท !!!! ในไม่ช้า สาเหตุที่ ค่าบาทแข็ง ต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เกิดขึ้นจากปัจจัยใด และมาตรการการเข้า สกัด ของแบงก์ชาติ มีมาตรการใดบ้าง แน่นอนมีมากกว่า 1 แต่เหตุใดจึงยังไม่ได้ผล สุดท้ายผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบจาก บาทแข็ง ควรช่วยเหลือตัวเองรับมืออย่างไร POSITIONING มีคำตอบ สาเหตุปั่น บาทแข็ง เงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ มีความหมายถึง เงินบาท เป็นที่ต้องการเหมือนสินค้าที่มีผู้ต้องการมาก ก็มักมีราคาสูงขึ้น ในที่นี้คือค่าเงินบาทมีราคาสูงขึ้น เปรียบเทียบได้ว่าจากเดิมที่ต่างชาติเคยใช้เงินเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแลกเงินบาทได้ถึง 40 บาท แต่ปัจจุบันต้องใช้มากกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ ถึงจะแลกได้ 40 บาท สาเหตุที่ทำให้ เงินบาท เป็นที่ต้องการมาก จนแข็งค่าขึ้นมี 5 ปัจจัยคือ 1. ความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจโลก (Global Imbalance) สาเหตุหลักของความไม่สมดุลในปัจจุบัน มาจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาชะลอตัว คาดจีดีพีในปี 2007 จะอยู่ในระดับ 2% เท่านั้น อันเนื่องมาจากการบริโภคชะลอตัว และในด้านเศรษฐกิจมหภาคที่ขาดดุลการคลัง ขาดดุลการค้า และส่งผลไปถึงดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลถึงเดือนละ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คนเริ่มไม่มั่นใจในการถือครองเงินดอลลาร์ แม้จะไม่ขาย แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะถือเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียขยายตัวดี โดยเฉพาะจีน และอินเดีย นำมาสู่สาเหตุที่ 2 คือการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ 2. การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงตามภาวะความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก หรือเพราะความจงใจของสหรัฐฯ เอง แต่ขณะนี้ค่าเงินดอลลาร์ได้อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ 3. การเพิ่มขึ้นของดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา จากยอดการส่งออก และดุลบริการที่เพิ่มขึ้น นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้นในตลาด เพราะเมื่อผู้ส่งออกรับรายได้มาเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ต้องแลกกลับเป็นเงินบาท 4. การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ปัจจัยนี้ ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้เหตุผลว่าเพราะโลกปัจจุบันมีการเชื่อมโยงทางการเงินสูง และประเทศไทยเอง ก็เปิดให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนได้สะดวก แต่เพราะเป็นประเทศเล็ก ระบบการเงินเริ่มพัฒนา โดยผู้ร่วมตลาดยังไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือทางการเงิน และป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน จึงเปราะบางต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่รวดเร็ว และมีจำนวนสูง แหล่งที่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า หากเป็นเงินทุนเพื่อลงทุนขยายธุรกิจ หรือตั้งโรงงาน เมื่อเข้ามาแล้ว แลกเป็นบาทมาลงทุน เกิดโรงงาน เกิดการจ้างงาน จ่ายผลตอบแทน หมุนเวียนกลับไปยังผู้ลงทุนเป็นดอลลาร์ จะไม่เป็นปัญหา แต่ภาวะความเป็นจริงคือ อัตราการลงทุนของภาคเอกชนไม่สูงนัก โดยเติบโตไม่ถึง 10% จากเดิมที่เคยเติบโตเกิน 20% ต่อปี ข้อมูลจากแบงก์ชาติที่เฝ้าจับตาการไหลข้าวของเงินทุนต่างชาติ ยังพบว่ามีการไหลเข้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 และเร่งตัวมากขึ้นในปี 2549 ส่วนหนึ่งเพื่อซื้อกิจการสื่อสารขนาดใหญ่ บางส่วนมาร่วมทุนกับเอกชนไทยและสถาบันการเงิน และที่แบงก์ชาติจับตามาตลอดคือไหลเข้าเพื่อการเก็งกำไร รวม 2 ปี ไหลเข้าถึง 16,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 5. การเก็งกำไร การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติยังพุ่งไปยังตลาดหุ้น แม้ไม่คึกคักนัก แต่ก็มีส่วนทำให้เกิดการเก็งกำไร เพราะตลาดหุ้นไทยที่ไร้ปัจจัยบวก ทำให้เป้าหมายที่ต่างชาติที่เข้าซื้อสุทธินั้นมี เหตุผลหลัก คือซื้อหุ้นเพื่อนำเงินมาพักไว้ก่อน เมื่อเงินบาทแข็งในระดับหนึ่งแล้ว ก็ขายหุ้น และนำเงินบาทไปแลกเงินดอลลาร์ที่ได้จำนวนมากขึ้น เป็นการกินกำไรส่วนต่างอย่างชัดเจน การเก็งกำไรจนทำให้บาทแข็งค่าขึ้นมีสัญญาณที่เห็นถึงความผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม 2549 ก่อนที่แบงก์ชาติประกาศมาตรการกันสำรอง 30% โดยค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นทิศทางเดียว (One-way Appreciation) เงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก และมีลักษณะเข้าออกเป็นรายวันในจำนวนที่ผิดปกติ จากมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อจำกัดการถือครองเงินบาทในประเทศ ให้สามารถเคลื่อนไหวในระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงหนึ่ง แต่กลับทำให้เกิดช่องทางการเก็งกำไรเพราะอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างตลาด On Shore และ Off Shore แตกต่างกัน โดยค่าเงินบาทในตลาด Off Shore แข็งกว่าตลาด On Shore ตลาด On Shore หมายถึงการซื้อขายเงินตราต่างประเทศแลกกับเงินบาท ระหว่างคนไทยด้วยกัน หรือระหว่างคนไทยกับต่างชาติ ตลาด Off Shore หมายถึงการซื้อขายเงินตราต่างประเทศระหว่างคนต่างชาติด้วยกันเอง แม้จะมีเกณฑ์กำหนดจำนวนเงินที่สามารถนำออกนอกประเทศได้ แต่ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าไม่มีการลักลอบขนเงินออกนอกประเทศไทย หากทำสำเร็จ ณ เดือนมีนาคม อัตราแลกเปลี่ยนในตลาด Off Shore 1 ดอลลาร์เท่ากับ 32-33 บาท ขณะที่อัตรา On Shore อยู่ที่ประมาณ 34-35 บาท ส่วนต่างกำไรอยู่ที่ 1-2 บาทต่อดอลลาร์ (อ่านล้อมกรอบ) ยิ่งสกัด บาท ยิ่งแข็ง จาก 5 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ เงินบาทแข็ง ในลักษณะผันผวนในทิศทางแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แบงก์ชาติต้องหันมาตื่นตัวในการหามาตรการทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะนักเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ หรือนักบริหารของทางการต่างตระหนักดีว่าค่าบาทที่มีราคามากขึ้นในขณะนี้ ไม่ได้มาจากพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตขึ้น สิ่งที่น่ากังวลคือ ไม่ว่าบาทจะอ่อนหรือแข็ง หากอยู่ในลักษณะผันผวนเกินไป ย่อมส่งสัญญาณร้ายต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤตเศรษฐกิจของไทยในปี 2540 ที่ไทยถูกโจมตีค่าเงินบาท จนอ่อนค่าไปแตะเกือบ 50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ บาทแข็งในรอบนี้ ธาริษา ระบุชัดเจนว่า การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วไม่สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย โดยเปรียบเทียบค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นถึง 16.5% ในวันที่ 15 ธันวาคม 2549 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2548 หรือหากเทียบกับเดือนมีนาคม 2550 แข็งค่าขึ้นกว่า 17% ขณะที่เงินสกุลอื่นแข็งค่าไม่สูงเท่าบาท เช่น เงินวอนเกาหลีใต้แข็งค่าขึ้น 9.5% โดยจีดีพีของไทยเติบโตเพียง 4.7% เท่านั้น และที่เห็นชัดเจนคือการเก็งกำไรจนทำให้บาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คำถามคือ ยิ่งแบงก์ชาติพยายามออกมาตรการ หรือใช้แผนปฏิบัติการอะไร ก็ดูเหมือน บาท จะยิ่งดื้อยา แข็งค่าให้เห็นมากขึ้น เกาไม่ถูกที่คัน มาตรการที่แบงก์ชาติงัดมาใช้ และเกิดปฏิกิริยารุนแรงคือมาตรการให้ผู้นำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทย ต้องกันสำรองไว้ 30% จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ยาแรง เกินไป เพราะผลทันตาคือดัชนีตลาดหุ้นร่วงจากนักลงทุนเทขายโดยเฉพาะต่างชาติ จนดัชนีดิ่ง และมาร์เก็ตแค็ปหายไป 8 แสนล้านบาท ที่สำคัญยังทำให้เกิดช่องการเก็งกำไรระหว่างตลาด Off Shore และ On Shore มากขึ้น จนกลายเป็นปมปัญหาที่ยิ่งรัดแน่นอยู่จนถึงทุกวันนี้ มาตรการกันสำรอง 30% ไม่ใช่ความพยายามแรกของแบงก์ชาติในการรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้บาทไม่ผันผวน แต่ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติได้ออกแรงเข้าแทรกแซง โดยลงทุนไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ทั้งการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบ และโดยเฉพาะการนำเงินเข้าไปซื้อดอลลาร์ในตลาด เพื่อให้ดอลลาร์ในประเทศลดลง เนื่องมาจากความต้องการคนไม่มั่นใจในการถือดอลลาร์ จนปรากฏให้เห็นในฐานะการเงินของแบงก์ชาติว่ามีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ที่มีระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงของโลก โดยเงินทุนสำรองของไทย ณ 30 ธันวาคม 2547 อยู่ที่ 49,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจนถึง 16 มีนาคม 2550 เพิ่มขึ้นเป็น 69,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การแทรกแซงเริ่มไม่ได้ผล โดย ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่าหากมองจากมาตรการแทรกแซงที่แบงก์ชาติทำมาตลอดนั้น ถือว่าทำมานานเกินไป ซึ่งความจริงเงินบาทต้องอ่อนค่าลงบ้าง แต่กลับมีสิ่งผิดปกติคือแข็งค่าขึ้นแบบผันผวนเกินไป ซึ่งตามหลักแล้วไม่ว่าค่าเงินอ่อนหรือแข็งจะต้องไม่เร็วหรือผันผวนจนเกินไป การแทรกแซงลักษณะนี้ทำให้นักเก็งกำไรสามารถคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่แบงก์ชาติต้องการได้ มาตรการลดดอกเบี้ย เพื่อหวังกระตุ้นการลงทุน และลดแรงจูงใจของเงินทุนไหลเข้าที่จะมาเก็งกำไรจากดอกเบี้ย โดยมีเสียงเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของแบงก์ชาติ ที่จะประชุมกันในเดือนเมษายนนี้ ลดแรงไปถึง 1% นั้น อาจได้ผลในระยะสั้นเท่านั้น แต่ กนง.คงตัดสินไม่ง่ายนัก เพราะปัจจัยราคาน้ำมัน ที่อาจส่งผลถึงเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และพื้นฐานความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของไทยยังเป็นสิ่งที่แบงก์ชาติต้องคำนึงถึง กอบศักดิ์ ภูตระกูล เจ้าหน้าที่แบงก์ชาติยังได้เขียนบทความเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของแบงก์ชาติว่าประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศเล็ก พบว่าการขึ้นดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ย ในทางปฎิบัติอาจไม่ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐฯ หรือยุโรป เพราะส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยมีส่วนที่เป็น Risk Premium, แต่ละประเทศมีความเข้มข้นในการเข้าแทรกแซงค่าเงินต่างกัน และการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของแต่ละประเทศ แบงก์พาณิชย์ ต้องสงสัย ? ความพยายามของแบงก์ชาติเริ่มชัดเจน และมองหาต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริง เล็งไปที่ธนาคารพาณิชย์ ที่นิ่งเฉยมาโดยตลอดกับภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น แบงก์ชาติยอมรับว่า มีธนาคารพาณิชย์มีพฤติกรรมการหาประโยชน์จากค่าเงินบาท จึงได้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมธนาคารไทย ให้ธนาคารพาณิชย์ดูแลกันเอง รวมทั้งขอข้อมูลการรายงานการถือครองเงินตราต่างประเทศ คำให้สัมภาษณ์ของผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมชัดเจนของธนาคารพาณิชย์ที่ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับบาทที่แข็งค่าขึ้น หลังต้องสงสัยว่าทำกำไรจากค่าเงินไปแล้วจำนวนมาก นอกจากการให้ธนาคารพาณิชย์ดูแลกันเองแล้ว การเรียกนายธนาคารมาหารือที่แบงก์ชาติเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2550 ธนาคารพาณิชย์ยังได้รับการตอกย้ำว่าแบงก์ชาติขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในประเทศไทย ไม่ให้ร่วมมือในการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยการเทขายเงินดอลลาร์ด้วย โดยให้ธนาคารพาณิชย์รายงานสถานะการดำรงเงินตราต่างประเทศต่อแบงก์ชาติอย่างตรงเวลา และรายงานอย่างต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2550 ที่เลขาธิการ สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ส่งหนังสือลับเฉพาะถึงธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อขอความร่วมมือในการดูแลค่าเงินบาท ใจความว่า เนื่องด้วย ธปท.ให้ธนาคารพาณิชย์ ปรับการดำรงสถานะการดำรงเงินตราต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งให้เท่ากับวันที่ 1 มกราคม 2550 ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 27 มีนาคม 2550 และขอให้รายงานสถานะการดำรงเงินตราต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 22-27 มีนาคมนี้ ขึ้นตรงกับผู้ว่าการธนาคารธปท.ในวันถัดไป ปรับตัวรับมือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับค่าเงินบาทที่มีผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงคือผู้ส่งออก และผู้รับรายได้ ค่าจ้างเป็นเงินดอลลาร์ แต่ก็มีผู้ที่ได้รับประโยชน์ คือผู้นำเข้าที่ซื้อในต้นทุนถูกลง สำหรับผู้ได้รับผลกระทบเพราะเงินดอลลาร์ที่ได้รับมาแล้ว เมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทได้รับเงินน้อยลง จึงเกิดคำถามในกลุ่มผู้ส่งออกว่าควรปรับตัว และหาทางป้องกันต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างไร นอกเหนือจากการเรียกร้องให้รัฐเข้าแทรกแซงค่าเงินเพียงอย่างเดียว เพราะแม้ว่าค่าเงินกลับมาอ่อนตัวลง แต่เมื่ออ่อนได้ก็แข็งค่าขึ้นได้อีก การรับมือเพื่อให้เกิดเสถียรภาพกับฐานะการเงินของตัวเองจึงน่าจะเป็นมาตรการที่ดีที่สุด มาตรการเฉพาะหน้า คือการทำป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ถือว่าคุ้มค่ากว่า, ตกลงกับคู่ค้าในการกำหนดราคาที่ชัดเจน และการกำหนดราคาสินค้าเป็นเงินสกุลอื่น ที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับมาตรการระยะยาวนั้น ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกควรเริ่มวางแผนการทำกำไรเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มยอดขายและลดต้นทุน การหาตลาดใหม่ การเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน มาตรการเหล่านี้ถูกเรียกร้องจากทางการให้ผู้ส่งออกปรับนำมาใช้มาโดยตลอด แต่ไม่บรรลุผล เพราะเห็นได้จากเมื่อค่าบาทแข็งอย่างรวดเร็ว ผู้ส่งออกก็เริ่มเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยเหลือ หรือหามาตรการแก้ไข จนมีการระบุกันว่าหากค่าบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่องหลุดไปอยู่ที่ 32-33 บาท จะมีบริษัทปิดกิจการมากมาย ส่งผลให้คนตกงานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน บทเรียนจากค่าเงินบาท ไม่ว่าจะค่าเงินบาทอ่อน หรือค่าเงินแข็งอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน น่าจะเป็นบทเรียนอีกบทหนึ่ง และนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัวในภาคธุรกิจไทยอีกครั้ง ก่อนที่จะสายเกินไปสำหรับเศรษฐกิจประเทศไทย ที่มา : สุกรี แมนชัยนิมิต Positioning Magazine หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: นายกระจง ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 11:43:17 AM สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับค่าเงินบาทที่มีผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงคือผู้ส่งออก และผู้รับรายได้ ค่าจ้างเป็นเงินดอลลาร์ ผมโดนด้วยครับ หายไปเดือนละหลายครับ ทำใจครับ รายได้ลดลง รายจ่ายคงที่กับเพิ่มขึ้น สงสัยต้องรัดเข็มขัดให้แน่นอีกนิดครับ จึงจะเหลือเงินเก็บเท่าเดิมครับ หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: เบิ้ม ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 03:54:05 PM จะลงเอ่ยยังไงหน่อ :OO
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: andaman ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 04:05:53 PM เราก็จะแลกดอลลาห์ได้เยอะขึ้น
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 04:45:42 PM เรื่องนี้ คนที่ด้รับผลกระทบมากคือพวกสินค้าฟุ่มเฟือย
ส่วนสินค้าจำเป็น ฝืดหน่อย คาดว่า คนตกงานเพิ่มจำนวนมากขึ้น (ตอนนี้ก็เรืชิ่มทะยอยตกงานกันบ้างแล้ว แถวละแวกที่ผมอยู่ แม่ค้าขายปาท่องโก๋ยังบ่นเลย คนน้อยกว่าเดิม) หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 06:21:47 PM ผลกระทบกับรากหญ้าก่อนเลย :~) หนุ่มสาวทำงานรง.เริ่มกลับบ้าน คนงานก่อสร้างก็ไม่มีงานเพราะงานใหม่ไม่เกิดและแรงงานต่างชาติราคาถูก คิดว่าอีกสักปีจะเห็นไฟท่วมเมืองอีกครั้ง :~)
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทุกปัญหาของชาติเริ่มต้นที่ "คอรัปชั่น" ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 10:07:26 PM ตอนนี้ใครทำธุรกิจอยู่แล้วปล่อยเครดิต หรือกู้แบงค์มาจำนวนค่อนข้างมาก เตรียมแผนเอาไว้แต่เนิ่นๆนะครับ
ถ้าปล่อยเครดิตก็พยายามลดลงให้มากที่สุด ถ้าคิดว่าถูกเบี้ยวหนี้จำนวนนี้แล้วต้องผูกคอตายก็อย่าทำ อย่าปล่อยให้มากเกินความสามารถในการรับหนี้ครับ ตอนนี้ขายเงินสดได้เป็นดีที่สุดขายถูกหน่อยดีกว่าครับ ส่วนถ้าใครกู้เงินมาเยอะก็เตรียมตุนเงินสดเอาไว้ปรับโครงสร้างหนี้เวลาเศรษฐกิจเจ๊งครับ จะประหยัดได้เยอะทีเดียว หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 16, 2007, 11:14:52 PM ผมโชคดีหน่อยที่ขายกาแฟในตลาดนัด ถุงละ12บาท
ก็เลยไม่กระทบกับเงินดอลฯ เพราะไม่มีใครเอาเงินดอลฯมาซื้อสักที^^ กลับมากินของไทยใช้ของไทย ปิ๊ซงปิ๊ซ่า เลิกได้แล้วจ้า ด้วยความเคารพครับ หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: vuttichai ที่ กรกฎาคม 17, 2007, 05:44:47 AM อย่างอื่นไม่รู้ แต่สงสัยว่ามันไม่เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ เดี๋ยวนี้โจรทางเศรฐกิจมันเยอะโดยเฉพาะประเทศที่เรียกว่าเจริญแล้วนั่นแหละตัวแสบๆดีนัก. ยุให้คนตีกันแล้วขายอาวุธไม่ใด้ก็ล่อด้วยสงครามเศรฐกิจ. :)
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: พราน ที่ กรกฎาคม 17, 2007, 03:28:28 PM รัฐบาลแต่งตั้งกับรัฐบาลเลือกตั้งจะเห็นความต่างกันก็ตอนนี้แหละครับ ชาวบ้านจะเดือดร้อนรัฐบาลแต่งตั้งก็ไม่เดือดร้อนเพราะไม่ต้องคำนึงถึงคะแนนเสียง แต่ละท่านอยู่รอว่าจะหมดวาระเมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: andaman ที่ กรกฎาคม 17, 2007, 04:43:31 PM รัฐบาลแต่งตั้งกับรัฐบาลเลือกตั้งจะเห็นความต่างกันก็ตอนนี้แหละครับ ชาวบ้านจะเดือดร้อนรัฐบาลแต่งตั้งก็ไม่เดือดร้อนเพราะไม่ต้องคำนึงถึงคะแนนเสียง แต่ละท่านอยู่รอว่าจะหมดวาระเมื่อไหร่ แล้วใครเล่าจะรับกรรม หัวข้อ: Re: ค่าเงินบาท แข็งเอาๆ อย่างนี้ ไปเรียกโซรอสมาทำให้อ่อนหน่อยดีไหมครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กรกฎาคม 17, 2007, 06:27:26 PM รัฐบาลแต่งตั้งกับรัฐบาลเลือกตั้งจะเห็นความต่างกันก็ตอนนี้แหละครับ ชาวบ้านจะเดือดร้อนรัฐบาลแต่งตั้งก็ไม่เดือดร้อนเพราะไม่ต้องคำนึงถึงคะแนนเสียง แต่ละท่านอยู่รอว่าจะหมดวาระเมื่อไหร่ :) ผลงานของรัฐบาลที่กำหนดนโยบายจะเห็นผลอีกประมาณ 1 ปีหลังจากเข้ามาบริหารงาน ฉะนั้นการที่เป็นอย่างนี้ต้องดูย้อนหลังไป 1 ปี ว่าใครเป็นคนทำไว้ครับ เรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเค้าก็ทำกันอยู่ครับ ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ไม่ค่อยพูดออกมาเท่านั้น :) ส่วนเรื่องเรียกนายโซรอสมาทำให้ค่าเงินอ่อน ผมว่าเรียกคนไทยที่เคยขนเงินออกไปฝากเมืองนอกตอนยุคปี 40 กลับมาขนเงินไปอีกรอบดีกว่า จะได้เข็ดหลาบจำเสียที |