|
หัวข้อ: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: ก๊วยเจ๋ง ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 03:27:10 PM ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ คือผมเห็นเค้าประกาศกันตูมๆว่าค่าเงินบาทแข็งทำให้เศรษฐ์กิจแย่ลงส่งออกไม่ได้ผมก็เลยอยากรู้ว่าค่าเงินเราแข็งแล้วทำไมของถึงไม่ถูกลง ค่าน้ำมันลงพรุ่งนี้40สตางค์ แต่เงินเราแข็งมาหลายวันแล้วนะครับ :~) อย่างนี้ปืนก็ต้องถูกลง รถยนต์ก็หน้าจะถูกลง ที่สำคัญทำไมค่ารถเมล์ไม่ถูกลง
ผมไม่เข้าใจครับพี่ๆช่วยอธิบายให้ผมหน่อยครับ ขอบคุณครับ ที่สำคัญที่สุดทำไมคนธรรมดาอย่างผมซื้อปืนโครงการไม่ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ประโยคนี้ไม่เกียวครับแค่อิจฉาเล็กๆครับท่าน :D~ :VOV: :D~ :VOV: หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: เอก@ดอยฯ ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 03:48:45 PM ขายของ 1 ชิ้น วันนี้ 1 ดอลฯ เท่ากับ 30 บาท
ขายของ 1 ชิ้น พรุ่งนี้ 1 ดอลฯ เท่ากับ 40 บาท ได้กำไรต่างกัน 10 บาทครับ ในทางกลับกัน ซื้อของ 1 ชิ้น วันนี้ 1 ดอลฯ เท่ากับ 30 บาท ซื้อของ 1 ชิ้น พรุ่งนี้ 1 ดอลฯ เท่ากับ 40 บาท ขาดทุนต่างกัน 10 ครับ ;D ;D ;D ;D ส่วนค่าน้ำมันกับค่าปืน ขึ้นอยู่กับ กลไกตลาด ไม่ใช่ค่าเงิน ;D ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 03:58:50 PM :) ค่าเงินเราแข็ง ถ้าเราซื้อของจากเมืองนอกโดยตรงไม่ผ่านคนกลางก็จะถูกลง
- สาเหตุที่น้ำมันลงช้า เพราะ ปตท. ต้องการรักษาค่าการกลั่นเอาไว้ เพื่อเงินปันผลจะได้เยอะๆ อีกอย่างราคาน้ำมันดิบที่เราซื้อล่วงหน้าไว้ไม่ได้ลงราคาลงมา มีแต่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนกับกระแสค่าเงินครับ - รถยนต์ไม่ถูกลงแน่ๆ เพราะว่าเราใช้ส่วนประกอบที่ผลิตในนี้ 70% มีบางชิ้นเช่นเครื่องยนต์ เท่านั้นที่นำเข้า และรถยนต์ยังเป็นปัจจัยที่สำคัญของคนเมือง ความต้องการยังสูง - อวป. ไม่มีทางถูกลงได้เลย เพราะยังอิงกับโคต้าการนำเข้า และคนต้องการมีมาก - รถเมล์ตั้งแต่จำความได้ ค่าโดยสาร .50 สตางค์ ไม่เคยเห็นปรับราคาลงเลยไม่ว่าจะเป็นอย่างไรขึ้นอย่างเดียว หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: หนานปั๋น ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 04:43:23 PM น้ำมันดีเซลเมื่อก่อนตอนจำความได้ 6 บาท ตอนนี้ 26 บาท ครับ เฮ้อถ้ามีถังน้ำมันเก็บไว้สักล้านลิตรคงจะดีครับ กำไร 20 ล้านบาทเห็น ๆ ฮิ ฮิ
หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 04:50:24 PM น้ำมันดีเซลเมื่อก่อนตอนจำความได้ 6 บาท ตอนนี้ 26 บาท ครับ เฮ้อถ้ามีถังน้ำมันเก็บไว้สักล้านลิตรคงจะดีครับ กำไร 20 ล้านบาทเห็น ๆ ฮิ ฮิ สมัยผมขับรถใหม่ๆ เติมเบนซินลิตรละ 9 บาท 300 เต็มถัง เดี๋ยวนี้ 1500 มันยังไม่ค่อยจะยอมเต็มถังเลย เศร้า หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 05:34:34 PM เราซื้อน้ำมันดิบมากลั่นเองครับ พอได้น้ำมันสุกแล้ว เวลาขายก็อ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นของสิงคโปร์ครับ .... เพราะราคานิ่งดี (มังครับ) ;D ;D ;D
น้ำมันดิบต่างประเทศราคายังค่อนข้างสูงครับ เดี๋ยวจะเข้าฤดูแพงแล้ว มาลุ้นกันว่าจะถึงร้อยดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือเปล่า ;D ;D ;D ผมมองว่าเงินบาทจะแข็งจะอ่อนไม่สำคัญครับ เพราะผู้นำเข้า/ส่งออกมีวิธีตั้งมากมายที่สามารถลดความเสี่ยงในส่วนนี้ครับ ... ได้ยินมาว่าความสำคัญอยู่ที่ค่าเงินนิ่ง ๆ เท่านั้นเอง ช่วงนี้ ผมว่าควรนำเข้าสินค้าทุน เพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจมากที่สุดครับ หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: ก๊วยเจ๋ง ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 05:39:01 PM อีกนิดครับไอ้บาร์เลนมันกี่ลิตรครับแล้วเวลากลันแล้วมันน้อยลงไหมครับผมอยากรู้มาตั้งนานแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 05:42:13 PM เคยเติมมอเตอร์ไซด์ครั้งละ 5-10 บาท ข้าวแกง+ไข่เจียว 5 บาท ที่เหลือเป็นค่าเหล้ากับบุหรี่20บาท เมาจัง
หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 05:48:07 PM อีกนิดครับไอ้บาร์เลนมันกี่ลิตรครับแล้วเวลากลันแล้วมันน้อยลงไหมครับผมอยากรู้มาตั้งนานแล้วครับ 1 barrel (petroleum) =158.987294928 literหัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 07:18:43 PM :)
อีกนิดครับไอ้บาร์เลนมันกี่ลิตรครับแล้วเวลากลันแล้วมันน้อยลงไหมครับผมอยากรู้มาตั้งนานแล้วครับ :) การกลั่นน้ำมัน 1 กระบวนการกลั่นจะได้ผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ตามวิธีการดังนี้ครับ :) การกลั่นน้ำมัน เป็นการนำน้ำมันดิบ (Crude) มากลั่นแยกออกเป็นส่วนต่างๆ ตามช่วงจุดเดือด เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ และเหมาะสมต่อการใช้งาน กระบวนการกลั่นของแต่ละโรงกลั่นน้ำมัน อาจแตกต่างกันบ้าง ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของน้ำมันดิบ ชนิด ปริมาณ และคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ต้องการ - การกลั่นน้ำมันดิบ คือ การย่อยสลายสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นส่วนประกอบของปิโตรเลียมออกเป็นกลุ่ม (Groups) หรือออกเป็นส่วน (Fractions) ต่างๆ โดยกระบวนการกลั่น (Distillation) ที่ยุ่งยากและซับซ้อน น้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมันนั้น ไม่เพียงแต่จะถูกแยกออกเป็นส่วนต่างๆ เท่านั้น แต่มลทิน (Impurities) ชนิดต่างๆ เช่น กำมะถัน ก็จะถูกกำจัดออกไปอีก โรงกลั่นน้ำมันอาจผลิตน้ำมัน แก๊ส และเคมีภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกมาได้มากมายถึง ๘๐ ชนิด ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดคือ เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ จากน้ำมันส่วนที่เบากว่า (Lighter fractions) เช่น น้ำมันเบนซิน (Petrol หรือ Gasoline) พาราฟิน (Parafin หรือ Kerosene) เบนซีน (Benzene) แต่น้ำมันส่วนที่หนักกว่า Heavier fractions) เช่น น้ำมันดีเซล (Diesel) น้ำมันหล่อลื่น (Lubricants) และน้ำมันเตา (Fuel oils) ก็นับได้ว่ามีความสำคัญเช่นกัน นอกเหนือไปจากนี้ ก็มีสารเหลือค้าง (Residues) อีกหลายชนิดเกิดขึ้น เช่น ถ่านโค้ก (Coke) แอสฟัลต์ (Asphalt) และ บิทูเม็น (Bitumen) หรือน้ำมันดิน (Tar) และขี้ผึ้ง (Wax หรือ Vaseline) ก็อาจได้รับการสกัดออกมา รวมทั้งยังมีแก๊สชนิดต่างๆ เกิดขึ้นด้วย เช่น บิวเทน (Butane) และโพรเพน (Propane) น้ำมันส่วนที่หนักกว่าและแก๊สชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ยังสามารถนำไปแปรรูปทางเคมีต่อไป ทำให้เกิดเป็นแก๊สที่มีคุณค่าขึ้นอีกหลายชนิด รวมทั้งได้รับน้ำมันเตาในปริมาณที่มากขึ้นจากกระบวนการกลั่นลำดับส่วน (Fractionating process) ตามปกติอีกด้วย - วิธีการกลั่นน้ำมันที่สำคัญๆ ในโรงกลั่น มีดังนี้ (ก) การกลั่นลำดับส่วน (Fractional distillation) วิธีการนี้คือการกลั่นน้ำมันแบบพื้นฐาน ซึ่งสามารถแยกน้ำมันดิบออกเป็นส่วน (Fractions) ต่างๆ กระบวนการนี้ใช้หลักการจากลักษณะของส่วนต่างๆ ของน้ำมันดิบที่มีค่าอุณหภูมิจุดเดือด (Boiling point) ที่แตกต่างกันออกไป และเป็นผลให้ส่วนต่างๆของน้ำมันดิบนั้นมีจุดควบแน่น (Condensation point) ที่แตกต่างกันออกไปด้วย น้ำมันดิบจากถังจะได้รับการสูบผ่านเข้าไปในเตาเผา (Furnace) ที่มีอุณหภูมิสูงมากพอที่จะทำให้ทุกๆ ส่วนของน้ำมันดิบแปรสภาพไปเป็นไอได้ แล้วไอน้ำมันดังกล่าวก็จะถูกส่งผ่านเข้าไปในหอกลั่นลำดับส่วน (Fractionating tower) ที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอก มีขนาดความสูงประมาณ ๓๐ เมตร และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒.๕ - ๘ เมตร ภายในหอกลั่นดังกล่าวมีการแบ่งเป็นห้องต่างๆ หลายห้องตามแนวราบ โดยมีแผ่นกั้นห้องที่มีลักษณะคล้ายถาดกลม โดยแผ่นกั้นห้องทุกแผ่นจะมีการเจาะรูเอาไว้ เพื่อให้ไอน้ำมันที่ร้อนสามารถผ่านทะลุขึ้นสู่ส่วนบนของหอกลั่นได้ และมีท่อต่อเพื่อนำน้ำมันที่กลั่นตัวแล้วออกไปจากหอกลั่น เมื่อไอน้ำมันดิบที่ร้อนถูกส่งให้เข้าไปสู่หอกลั่น ทางท่อ ไอจะเคลื่อนตัวขึ้นไปสู่ส่วนบนสุดของหอกลั่น และขณะที่เคลื่อนตัวขึ้นไปนั้น ไอน้ำมันจะเย็นตัวลงและควบแน่นไปเรื่อยๆ แต่ละส่วนของไอน้ำมันจะกลั่นตัวเป็นของเหลวที่ระดับต่างๆ ในหอกลั่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของการควบแน่นที่แตกต่างกันออกไป น้ำมันส่วนที่เบากว่า (Lighter fractions) เช่น น้ำมันเบนซิน (Petrol) และพาราฟิน (Parafin) ซึ่งมีค่าอุณหภูมิของการควบแน่นต่ำ จะกลายเป็นของเหลวที่ห้องชั้นบนสุดของหอกลั่น และค้างตัวอยู่บนแผ่นกั้นห้องชั้นบนสุด น้ำมันส่วนกลาง (Medium fractions) เช่น ดีเซล (Diesel) น้ำมันแก๊ส (Gas oils) และน้ำมันเตา (Fuel oils) บางส่วนจะควบแน่นและกลั่นตัวที่ระดับต่างๆ ตอนกลางของหอกลั่น ส่วนน้ำมันหนัก (Heavy fractions) เช่น น้ำมันเตา และสารตกค้างพวกแอสฟัลต์ จะกลั่นตัวที่ส่วนล่างสุดของหอกลั่น ซึ่งมีอุณหภูมิสูง และจะถูกระบายออกไปจากส่วนฐานของหอกลั่น ข้อเสียของกระบวนการกลั่นลำดับส่วนคือ จะได้น้ำมันเบาประเภทต่างๆ ในสัดส่วนที่น้อยมาก ทั้งที่น้ำมันเบาเหล่านี้ล้วนมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง (ข) การกลั่นแบบเทอร์มอล แครกกิง (Thermal cracking) กระบวนการนี้จะได้น้ำมันที่กลั่นแล้ว คือ น้ำมันเบนซิน (Petrol) เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ ๕๐ ในปัจจุบัน กระบวนการกลั่นแบบนี้เกิดขึ้นโดยการเอาน้ำมันดิบมาทำให้เกิดการแตกตัวในถัง ที่อุณหภูมิสูงกว่า ๑,๐๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ ที่ความกดดันมากกว่า ๑,๐๐๐ ปอนด์ต่อตารางนิ้ว สภาวะอุณหภูมิที่สูงและความกดดันที่สูงทำให้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ เกิดการแยกตัวหรือแตกตัวเป็นน้ำมันส่วนเบา หรือเป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลง รวมทั้งมีจำนวนอะตอมของคาร์บอนน้อยลง และน้ำมันส่วนเบาซึ่งมีสภาพเป็นไอร้อนนี้ก็จะถูกปล่อยให้เข้าไปในหอกลั่น เพื่อควบแน่นและกลั่นตัวเป็นของเหลวต่อไป (ค) การกลั่นแบบคาตาลิติก แครกกิง (Catalytic cracking) กระบวนการกลั่นนี้ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องจากแบบดั้งเดิมที่กล่าวมาแล้วทั้งสองแบบ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันที่กลั่นแล้วตลอดจนคุณภาพของน้ำมันที่กลั่นก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยการเติมตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) เข้าไปในน้ำมันส่วนกลาง (Medium fractions) ซึ่งช่วยทำให้โมเลกุลน้ำมันแตกตัว หรือแยกตัวดีขึ้น โดยไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบทางเคมีของน้ำมัน ตัวเร่งปฏิกิริยาอยู่ในรูปของผงแพลทินัม (Platinum) หรือดินเหนียว (Clay) ที่มีขนาดอนุภาคละเอียดมากผงตัวเร่งปฏิกิริยาจะสัมผัสกับไอน้ำมันร้อนในเตาปฏิกรณ์ (Reactor) ทำให้ไอน้ำมันเกิดการแตกตัว หรือแยกตัวเป็นน้ำมันส่วนที่เบา เช่น น้ำมันเบนซิน (Petrol) แล้วก็ควบแน่นกลั่นตัวในที่สุด โดยทิ้งอะตอมของคาร์บอนและมลทินไว้กับอนุภาคของดินเหนียว ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีคาร์บอนเคลือบอยู่ก็จะถูกปล่อยให้ไหลออกจากเตาปฏิกรณ์เข้าสู่รีเจนเนอเรเตอร์ (Regenerator) ซึ่งคาร์บอนจะถูกเผาไหม้ไปในกระแสอากาศ กระบวนการกลั่นแบบนี้จึงเป็นการใช้ปฏิกิริยาทางเคมีกระทำต่อน้ำมันดิบ ซึ่งช่วยแยกโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอนชนิดต่างๆ ออกจากกัน รวมไปถึงการกำจัดมลทินต่างๆ เช่น สารประกอบของกำมะถัน สารเมอร์แคบแทนส์ (Mercaptans) ที่มีกลิ่นฉุน อโรเมติกส์ (Aromatics) และไฮโดรเจนซัลไฟด์ ออกไปอีกด้วย (ง) การกลั่นแบบโพลีเมอไรเซชั่น (Polymerization) กระบวนการกลั่นแบบแครกกิง (Cracking) ช่วยปรับปรุงน้ำมันเบนซินให้มีปริมาณมากขึ้น โดยการแยกน้ำมันส่วนที่หนักกว่าออกไป แต่การกลั่นแบบโพลีเมอไรเซชั่นเป็นการเพิ่มปริมาณน้ำมันเบนซินจากน้ำมันส่วนที่เบาที่สุด (Lightest fractions) ซึ่งก็คือ แก๊ส นั่นเอง โดยทั่วๆ ไปจะถูกเผาทิ้งไป แก๊สเหล่านี้ได้รับการนำมารวมกันเป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้น และทำให้สามารถเพิ่มปริมาณน้ำมันเบนซินที่กลั่นได้ รวมไปถึงการเพิ่มปริมาณออกเทน (Octane content) อีกด้วย การใช้ประโยชน์จากน้ำมันและแก๊สธรรมชาตินั้นได้เป็นไปอย่างกว้างขวางในกิจการอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม เกษตรกรรม และในด้านอื่นๆ อีกมากมาย และก็นับได้ว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา โดยใช้เป็นเชื้อเพลิง วัสดุหล่อลื่น ให้แสงสว่าง และใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตภัณฑ์หลายชนิด นอกจากนี้ ผลพลอยได้จากน้ำมันและแก๊สธรรมชาติก็สามารถนำไปใช้เป็นเคมีภัณฑ์ ยารักษาโรค เส้นใยสังเคราะห์ ฯลฯ อย่างไรก็ดี การนำปิโตรเลียมไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ นั้น อาจสรุปได้ดังนี้ - ใช้ในการขนส่ง ประมาณร้อยละ ๔๖ ของปิโตรเลียมได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ในระบบเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal combustion engine) ซึ่งได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเครื่องบินและไอพ่น น้ำมันเตาสำหรับรถไฟ และเรือ - ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากใช้น้ำมันเตา และแก๊สธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าพลังความร้อน แก๊สหุงต้ม และในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ซึ่งส่วนมากจะใช้น้ำมันเบา (Light oils) เป็นเชื้อเพลิง - ใช้ในเครื่องกำเนิดความร้อน และให้แสงสว่าง น้ำมันหนัก (Heavy oils) มักจะมีการนำมาใช้ในเครื่องกำเนิดความร้อนของประเทศในแถบหนาว สำหรับโรงงาน สำนักงาน และที่พักอาศัย น้ำมันเบาก็มีความสำคัญเช่นกัน อาทิ น้ำมันก๊าด (Kerosene) ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง และหุงต้มในท้องถิ่นที่ยังไม่เจริญหรืออยู่ห่างไกล แก๊สโพรเพน (Propane) และบิวเทน (Butane) ใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้มในครัวเรือน - ใช้เป็นวัสดุหล่อลื่น ประมาณร้อยละ ๑ - ๒ ของน้ำมันดิบที่ผ่านกระบวนการกลั่น จะได้รับการแปรสภาพไปเป็น น้ำมันหล่อลื่น (Lubricants) และจาระบี (Greases) สำหรับการขนส่งเครื่องยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม - ประโยชน์อื่นๆ อาทิเช่น แอสฟัลต์ (Asphalt) บิทูเม็น (Bitumen) น้ำมันดิน (Tar) ใช้ราดถนน ฉาบหลังคา และใช้เป็นสารกันน้ำ ขี้ผึ้ง (Wax) ใช้ทำเทียนไข วัสดุกันซึม วัสดุขัดมัน และเป็นเชื้อเพลิงให้แสงสว่าง - สารปิโตรเลียม ปิโตรเลียมใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตพลาสติกและสารสังเคราะห์มากมายหลายชนิด (Plastics) เส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic fibres) และสิ่งทอสังเคราะห์ (Synthetic textiles) ยางสังเคราะห์ (Synthetic rubber) สารคาร์บอนดำ (Carbon black) ฯลฯ หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: berm ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 09:13:47 PM บังเอิญช่วงนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ปรับราคาสูงขึ้นด้วยครับ
รถยนต์ก็ไม่น่าจะถูกลงเพราะส่วนใหญ่ผลิตในบ้านเราอยู่แล้ว แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์สินค้าที่ใช้คู่กันเมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งขึ้นราคา อีกตัวก็จะขายได้น้อยลง หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: PPM ที่ กรกฎาคม 18, 2007, 10:01:26 PM พี่ Watt ครับ แล้ว น้ำมัน ที่เรานำเข้า มันมาจากไหนครับ ทำไมมันแพงหนักหนา ถ้ามันแพงนักทำไมเราไม่สั่งจาก มาเลเซีย ล่ะครับ จะสั่งผ่านพวกพ่อค้าทำไม ที่มาเล เห็นว่ากลั่นแล้ว เอามาขาย ถูกกว่าบ้านเรามากโขอยู่ ไหนละเรื่องก๊าซธรรมชาติอีก ไม่เห็นสนับสนุน ให้ใช้ LPG ติดรถยนต์บ้างเลย ทั้งๆที่บ้านเราผลิดเองได้แท้ๆ จะว่ามีน้อยรึก็ไม่น่าจะใช่ ถึงขนาดขายให้เพื่อนบ้านได้ ก็คงมีมากอยู่ ผมว่า LPG ที่ใช้ในครัวเรือนมันน่าจะอันตรายกว่าที่ติดในรถยนต์ซะอีกเซฟตี้น้อยกว่าเยอะ เห็นสนับสนุนแต่ NGV ซึ่ง ปตท. ผูกขาดอยู่จ้าวเดียว..........งง ครับ ???
หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กรกฎาคม 19, 2007, 09:54:34 AM พี่ Watt ครับ แล้ว น้ำมัน ที่เรานำเข้า มันมาจากไหนครับ ทำไมมันแพงหนักหนา ถ้ามันแพงนักทำไมเราไม่สั่งจาก มาเลเซีย ล่ะครับ จะสั่งผ่านพวกพ่อค้าทำไม ที่มาเล เห็นว่ากลั่นแล้ว เอามาขาย ถูกกว่าบ้านเรามากโขอยู่ ไหนละเรื่องก๊าซธรรมชาติอีก ไม่เห็นสนับสนุน ให้ใช้ LPG ติดรถยนต์บ้างเลย ทั้งๆที่บ้านเราผลิดเองได้แท้ๆ จะว่ามีน้อยรึก็ไม่น่าจะใช่ ถึงขนาดขายให้เพื่อนบ้านได้ ก็คงมีมากอยู่ ผมว่า LPG ที่ใช้ในครัวเรือนมันน่าจะอันตรายกว่าที่ติดในรถยนต์ซะอีกเซฟตี้น้อยกว่าเยอะ เห็นสนับสนุนแต่ NGV ซึ่ง ปตท. ผูกขาดอยู่จ้าวเดียว..........งง ครับ ??? :) ปัจจุบันนี้ไทยนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากที่สุด ถึง 270,000 บาร์เรล/วัน รองลงมาคือ โอมาน 20,000 บาร์เรลต่อวัน และยังนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากโรงกลั่นในสิงคโปร์อีกบางส่วน เพระเรากลั่นไม่ทัน สาเหตุที่เราสั่งจากที่นี่ เพราะมาเลย์เองมีกำลังผลิตไม่เพียงพอต่อการขายให้เรา อีกทั้งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตทั้งสองเป็นน้ำมันดิบที่มีคุณภาพดี ตอนนี้เรามีการร่วมทุนกับมาเลย์เซียเรื่องก๊าซธรรมชาติอยู่ครับ ส่วนเรื่อง LPG กับ NGV ผมขออนุญาตไม่ออกความเห็นครับ หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: Army - รักในหลวงครับ ที่ กรกฎาคม 19, 2007, 10:14:09 AM ราคาสินค้าขึ้นง่ายแต่ลงยากครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน :D
หัวข้อ: Re: ขอถามเรื่องค่าเงินหน่อยครับ เริ่มหัวข้อโดย: Udomkd ที่ กรกฎาคม 19, 2007, 11:10:23 AM เราลองเป็นเจ้าของกิจการอะไรสักอย่างครับ แต่ต้องเอาขนาด เป็นเจ้าของ ผลิตเอง อะไรประมาณนี้ แล้วจะเข้าใจว่า ทำไม ขึ้นแล้วลงยาก ทำไมต้องขายแพง(ในความรู้สึกของ ผู้บริโภค)
มันมีเหตุผลของมันอยู่ แต่ก็อย่าเอาเป๋นบันทัดฐาน เพราะบางอย่าง มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับเหมือนกัน เช่นปืนพิเศษ อะไรประมาณนี้ 55+ ต้นทุน ? ตัวสำคัญมากๆเลยทีเดียวครับ เช่น สมมุติสั่ง ของ 1 อย่าง เป็นวัตถุดิบ มาจากอเมริกา ค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่าง 100 $ ใน100 ร้อยนั้น มันเป็นต้นทุน แค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง เมื่อเอาวัตถุนั้น มาแปรรูป หรือผลิตต่อ(อย่าคิดว่าสิ่งที่สั่งมาคือปืน น๊ะครับ) ตอนนี้สมมุติเป็นสินค้าอย่างอื่น เมื่อเรามาผลิตต่อ ค่าใช้จ่าย ในการผลิต ก็จะเป็นต้นทุนบวกเพิ่มเข้าไปอีก ในราคาสินค้านั้น เช่น ค่าแรง ค่าเครื่องจักร ค่าภาษี ค่าขนส่ง ฯลฯ (ผมก็พูดแบบ เมาๆ ต้องขออภัยด้วยละครับ ยิ่งยาว ตัวเองก็ยิ่งมึน ) ขอตัวครับ ไปหาสรรพากรก่อน มันเรียกพบอีกแล้ว วู้.......... |