|
หัวข้อ: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 21, 2007, 12:02:14 AM ในหัวข้อกระทู้ " อนาคตทักษิณ " มีการกล่าวเปรียบเทียบระหว่างทักษิณกับฮิตเลอร์ คุณอามะขิ่นเข้ามาแจมด้วย แต่ไม่อยากให้ปนกัน อาโหน่งเลยบอกว่าให้ขึ้นหัวข้อใหม่ครับ
ผมขอเริ่มก่อนเลยนะครับ สาเหตุที่เยอรมันแพ้สงคราม นายพลเยอรมันเล่าให้ฟังอย่างน่าคิด ใน หนังสือคนไทยในกองทัพนาซี ของ พ.อ. วิชา ว่า เป็นเพราะเยอรมันขาดศูนย์น้ำหนักในการรบ ทำอะไรเปะปะไปหมด ไล่ตั้งแต่ สร้างเครื่องบินขับไล่หลายแบบมากเกินไป เครื่องไอพ่น(mb262 สองเครื่องยนต์ )ก็หลายแบบ เครื่องใบพัดก็หลายแบบ(bf109,fw190,bf110 ในขณะที่อังกฤษเน้นไปที่spitfire เพียงแบบเดียว ส่วน bf110 นี่หนักมากครับ เป็นเครื่องขับไล่ที่ต้องมีเครื่องขับไล่ bf109 คุ้มกัน) ใช้เชื้อเพลิงหลายแบบ ซ่อมบำรุงหลายโรง หลายเครื่องจักร ต้องสำรองอะไหล่เยอะ(นอกเรื่องนิดทอ.ไทยแบบใหม่ถ้าจะซื้อ jas39 ไม่ถึงโหล แต่ต้องสร้างโรงซ่อม สำรองอะไหล่ สร้างช่างสร้างนักบินอีกหลายโหล เพื่อเครื่องบินโหลเดียว ก่อนจะเปลี่ยนยุคไปใช้เทคโนโลยีสเตลท์ ก็จะเข้าอีหรอบเดียวกันครับ) ทำให้ไม่มีเครื่องบินพอที่จะต่อต้านเครื่องทิ้งระเบิดสัมพันธมิตรได้ รวมทั้งการเปิดแนวรบสะเปะสะปะ เยอรมันส่อแววแพ้ตั้งแต่ 1.บุกแอฟริกาเหนืออย่างไร้สาระ จะว่าเพื่อน้ำมัน เยอรมันก็ไม่มีกองเรือที่ใหญ่พอจะลำเลียงน้ำมันฝ่ากองเรืออังกฤษกลับยุโรป(รถถังรอมเมลยังต้องส่งบำรุงด้วยเรือดำน้ำเลยครับ) จะว่าตัดเส้นทางลำเลียง อังกฤษก็แล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปได้ การบุกแอฟริกาเหนือทำให้กองทัพเยอรมัน ต้องกระจายกำลังโดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อเยอรมัน แต่กลับผลาญทรัพยากรที่มีจำกัดของเยอรมันให้หมดไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่นายพลมอนโกเมอรี่ยึด ที่มั่นสุดท้ายเยอรมันได้นั้น พบรถถังสภาพดีมากมายแต่ไม่มีน้ำมันวิ่ง ซึ่ง รถถังอังกฤษไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรถถังแพนเซอร์ของเยอรมันแต่อย่างใด 2.การจมของเรือบิสมาร์คและการล่มสลายของกองทัพเรือเยอรมัน ก็มีสาเหตุมาจากเพื่ออำพรางการบุกเกาะครีต(เกาะครีตอยู่ครึ่งทางระหว่างกรีซและอียิปต์ ปาเลสไตน์)ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คำสั่งออกทะเลของบิสมาร์คเกิดขึ้นเพื่อบีบบังคับให้กองเรืออังกฤษละความสนใจจากเกาะครีต ในขณะนั้นเรือบิสมาร์ค(เรือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น โดนยิงด้วยปืนใหญ่พันกว่านัดถึงจะจม ในขณะที่เรือฮูด ซึ่งเป็นเรือธงของอังกฤษโดน บิสมาร์คยิงเพียงไม่กี่ชุดก็จมในเวลาไม่กี่ชั่วโมงครับ)ต้องออกทะเลอย่างโดดเดียวโดยที่เรือคู่แฝด คือเทอร์ปิต ยังฝึกในทะเลบอลติค ซึ่งหากบิสมาร์ค ออกทะเลเหนือพร้อมเรือเทอร์ปิต ไกเซอร์เนาว์ ชาร์นฮอส ไม่แน่ว่า ฝ่ายพ่ายแพ้อาจเป็นกองเรืออังกฤษก็ได้ 3.เยอรมันไม่เร่งเผด็จศึกอังกฤษในขณะที่ อเมริกายังไม่สามารถตั้งตัวได้ หากเยอรมันทุ่มเทกำลังทั้งหมดถล่มจนอังกฤษถูกยึดหรือหมดสภาพทางการรบ (ตอนที่เยอรมันละความสนใจจากอังกฤษไปบุกรัสเซียนั้น อังกฤษเหลือเครื่องบินspitfire ไม่กี่ร้อยลำแล้วถ้าเยอรมันยืดสงครามที่เกาะบริเตนใหญ่ออกไปอีกไม่กี่เดือน ผลสงครามคงจะเปลี่ยนไป)อเมริกาจะไม่สามารถอาศัยอังกฤษเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่ไม่มีวันจมในยุโรปครับ 4. การบุกรัสเซียโดยไม่เร่งเผด็จศึกแตกหักในแต่ละจุด ในขณะที่แนวต้านรัสเซียด้านโปแลนด์แตก และต้องถอยร่นจนถึงเซนต์ปีเตอร์เบิร์กนั้น เยอรมันไม่รวบรวมกำลังตีเซนต์ปีเตอร์เบิร์กและมอสโคว์(ทำลายแนวป้องกันมอสโคว์ได้2ชั้นแล้ว เหลือแนวชั้นในเท่านั้นแต่กองทัพเยอรมันประมาทแบ่งกำลังบุกลงใต้เสียก่อน)ให้แตก แต่กลับทำสงครามสะเปะสะปะอีกครั้งโดยการมุ่งลงใต้ยึดเมือง สตาลินกราดจนกองทัพที่6 ต้องถูกล้อมตายและถูกจับประมาณ 3-6 แสนคน(ตัวเลขไม่แน่นอน) แต่การสูญเสียกองทัพที่6 นั้นเยอรมันไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดแต่อย่างใด เพราะหากกองทัพที่6 ถอนจากสตาลินกราด ทหารเยอรมันอีกล้านคนในคอเคซัสจะไม่สามารถถอนกำลังได้ทัน การบุกรัสเซียผิดพลาดที่ไม่ทุ่มกำลังยึดมอสโคว์ให้ได้เท่านั้นเหตุเพราะประมาทคู่ต่อสู้คิดว่าอย่างไรเสียรัสเซียก็ต้องแพ้ สรุปเยอรมันแพ้เพราะประมาทศัตรู หลงลำพองใจในตนเองเกินไป คนเก่งๆสู้กับศัตรู สามคนก็พอไหว แต่นี่ อเมริกา อังกฤษ รัสเซีย มีกำลังพลและทรัพยากรมากกว่าเยอรมันหลายสิบเท่าครับ ในตอนต้นสงครามเยอรมันมีทหารที่มีประสิทธิภาพ ประมาณ2 ล้านคน สูญเสียไปในแอฟริกาเหนือ และรัสเซีย เหลือประมาณ7 แสนคนตอนท้ายสงคราม และต้องรับศึก2 ด้านจาก กองทัพรัสเซียที่มีประมาณ3 ล้านคน และ พันธมิตรอังกฤษ อเมริกา อีก ล้านกว่าคน ซึ่งหาก เยอรมันไม่สูญเสียกำลังพลในแอฟริกาเหนือและรัสเซีย จะไม่มีพวกอีวานที่ไหนกล้าเหยียบแผ่นดินเยอรมันอย่างแน่นอน ตัวอย่างของการรวมศูนย์กำลังการรบที่ดีก็คือ ในตอนต้นรัตนโกสินทร์ที่กองทัพไทยซึ่งมีกำลังน้อยกว่าแต่เป็นกองทัพที่มีประสิทธิภาพ ใช้หลักการยุทธสมัยใหม่ เคลื่อนที่เร็ว กระทัดรัด ประสิทธิภาพสูง มาตั้งแต่สมัยกองทัพพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นกองทัพที่เล็กแต่มีประสิทธิภาพเอาชนะศัตรูที่กระจัดกระจายจนได้ชัยชนะก็คือ สงคราม 9 ทัพ ในตอนต้นรัตนโกสินท์ ในสงครามครั้งนั้น เอาแม่ทัพคนไหนมารบก็ชนะไทยได้ไม่ยาก ยกเว้น พระเจ้าปดุงคนเดียวเท่านั้นที่แบ่งกำลัง 2-3 แสนเป็นกองทัพ 9 กองทัพมาให้ รัชกาลที่1 ใช้กำลังที่รวบรวมได้ไม่กี่หมื่น ไล่ตีแตกทีละกองทัพครับ หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 12:28:35 AM ขอบคุณครับที่มาเล่าสู่กันฟัง
ความเห็นส่วนตัว เรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่เรียนอยู่ก็โดนสอนมาว่า เยอรมัน เป็นผู้ร้าย อังกฤษ กับ อเมริกา เป็น Hero ของชาวโลก ก่อนหน้านั้นผมเชียร์ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ มาโดยตลอด วันหนึ่งไปค้นเจอหนังสือเก่าของคุณพ่อ เรื่อง "ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง" เล่มหนามาก มีสองเล่า ใช้เวลาอ่านหลายเดือนครับ อ่านจบแล้ว เลิกเชียร์อังกฤษ มาตั้งแต่บัดนั้น อ่านประวัติการรบทางเรือสมัยสงครามโลก ในการรบแบบ ตัว ต่อ ตัว อังกฤษ แทบไม่เคยเอาชนะเยอรมันได้ เรือบิสมาร์ค (Bismarck) เป็นเรือในดวงใจผมเลยครับ เรือมีความได้เปรียบเรืออังกฤษใน สอง เรื่อง 1. ระบบควบคุมความเสียหาย 2. ระบบควมคุมการยิงด้วยเรดาร์ Bismarck ยิงได้แม่นยำมาก เรื่อฮูด โดนยิงเข้าที่คลังกระสุน ทำให้จมอย่างรวดเร็ว อังกฤษสร้างเรือที่ยิ่งใหญ่มาสองลำ ให้ชื่อว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" Unsinkable แต่ทั้งสองลำ ก็จม ในเวลาอันสั้น หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 21, 2007, 01:17:20 AM อังกฤษสร้างเรือที่ยิ่งใหญ่มาสองลำ ให้ชื่อว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" Unsinkable แต่ทั้งสองลำ ก็จม ในเวลาอันสั้น hood กับ prince of wale ใช่มั้ยครับ หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nine รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 07:16:02 AM มีให้อ่านอีกมั้ยครับ ชอบมาก ขอบคุณมากครับ ....
หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ กันยายน 21, 2007, 08:49:29 AM จมเพราะโดนรุมครับทั้งเครื่องบินทั้งเรือแถมยังไม่ยอมช้วยลูกเรือที่ลอยคอด้วยครับ :)
หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 08:54:27 AM อาโหน่ง ใครอ่ะ ไม่รู้จักเลย...คริ คริ
จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น... หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 08:56:09 AM ขอบคุณครับ นำเรื่องดีๆ มาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ กันยายน 21, 2007, 09:37:18 AM ขอบคุณครับ สงครามโลกครั้งที่ 2 นับเป็นสงครามที่มีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่ก็มีอะไรๆให้ศึกษา เืพื่อที่จะได้หยั่งรู้ปัจจุบันได้ ผมแทบไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่รับรู้ไ้ด้บ้างก็มาจากภาพยนตร์ฮอลีวูดกับสารคดีของเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคเท่านั้น ขออนุญาตเป็นผู้เก็บเกี่ยวความรู้จากกระทู้นี้ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 09:38:44 AM อาโหน่ง ใครอ่ะ ไม่รู้จักเลย...คริ คริ จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น... คอยเสริมเรื่องเกร็ดความรู้ดีกว่ากระมัง ท่าน 51.......... ผมมิบังอาจ post วาจาซึ่งจาบจ้วง เช่นนั้น ครับ พี่มะขิ่น ผมทราบถึงบุคคลที่เป็น...แต่ พี่ พี่ แล้วก็พี่....ที่แสนดีของน้อง ๆ ฮับ... คริ คริ ผมขอประท้วงครับ ท่านประธานฯ ที่เคารพ ตามข้อบังคับที่ สองล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันหกร้อยยี่สิบเอ็ดจุดสองเจ็ดห้าสี่สาม วงเล็บที่สามร้อยห้าสิบ ข้อ ฮ.ฮูก จัตวา วรรคที่สามหมื่นสามพันสามสิบสาม ตัวอักษรที่สองร้อยสามสิบหก ถึงตัวอักษรที่ห้าร้อยหกสิบ พอดิบพอดี ครับ ซึ่งได้ประกาศไว้ในปีรัตนโกสินทร์ที่สองร้อย กับอีกหกวัน และมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ ขึ้นหกค่ำ เดือนยี่ จนถึงปัจจุบัน คริ คริ จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น... กรณี ว.0 ที่เกษียนไว้ ว.2 ว.0 ว.35 พร้อม ว.4 ฮับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กันยายน 21, 2007, 09:46:31 AM กระทู้น่าสนใจมากครับ.....รอสดับรับฟังเช่นกัน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 10:24:29 AM ผมกลับมองย้อนไปช่วงต้นสงครามครับ...
เยอรมันจะยึดยุโรปก็ไม่น่าจะเกินความสามารถครับ... ยิ่งมีแนวร่วมอักษะอย่างอิตาลี่และญี่ปุ่นยิ่งช่วยถ่วงดุลให้ประเทศอื่นๆคิดหนักก่อนจะเข้าร่วมสงคราม... ที่ผมว่าพลาดคือการเปิดแนวรบกับรัสเซียครับเร็วเกินไป ถ้าหากไม่เปิดแนวรบหลายด้านพร้อมๆกัน ช่วงต้นสงครามเยอรมันมีศักยะภาพเพียงพอที่จะยึดยุโรปร่วมไปถึงอังกฤษครับ... ในขณะที่สมรภูมิแอฟริกาเหนือก็จะสามารถใช้สนธิกำลังกับอิตาลี่เข้าครอบครอง ถ้าหากอักษะสามารถมีอิทธิพลเหนือเมดิเตอรเรเนี่ยนได้อย่างเด็ดขาด ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสงคราม การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรหลักในอ่าวเปอร์เซียก็สะดวกโยธิน(ในกรณีนี้ผมหมายรวมว่าอังกฤษเสร็จไปแล้ว ดังนั้นอำนาจเหนือคลองสุเอจย่อมเป็นของเยอรมัน)... ถ้าหากประกาศสงครามกับรัสเซียช่วงที่มีแหล่งทรัพยากรในครอบครอง มีกำลังเสริมจากประเทศที่เข้ายึดครองมา ไม่ต้องเสียกองกำลังมากมายไปกับปราการยุโรป อย่างนี้สงครามจะเร้าใจมากขึ้นครับ เพราะขนาดลุยพร้อมๆกันทั้งยุโรปทั้งรัสเซีย ถ้าหากไม่ติดฤดูหนาว มอสโคว์แตกไปแล้วครับ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 10:29:02 AM ขณะที่เวป ลื่น..แต่ ยังเย็นเฉียบ.. ขอตามติดกระทู้นี้ ชอบครับ. :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ กันยายน 21, 2007, 10:47:39 AM ผมสงสัยมานานแล้วครับ ว่าฝ่ายเสธ.ของเยอรมันน่าจะประเมินได้ว่าการบุกรัสเซียจะเป็นการก่อศึกหลายด้าน และเป็นเรื่องลำเค็ญ
ทำไมกองทัพที่มีหัวกระทิชั้นยอดของโลกถึงทำพลาดทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเช่นนั้น ? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 11:21:15 AM เรียนท่าน E_mail ครับ...
อำนาจการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ทหารอาชีพครับ... อยู่ที่สิบโทชาวโบฮิเมี่ยนครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 12:13:26 PM ผมไม่แน่ใจว่า....ประเด็นสำคัญของกรอบนี้ "มาเล่าเรื่องสงครามโลก ครั้งที่ 2 กันครับ"
อยู่ที่ส่วนใดหรือมุมใด ของสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ขออนุญาตเกริ่นคร่าว ๆ ถึงต้นกำเนิด...อภิมหาสงครามครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ของมวลมนุษยชาติ นะครับ เรามาเริ่มกันที่ สงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งบนฐานการล่าอาณานิคม ระหว่างมหาอำนาจยุโรปสองค่าย คือ - ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple Alliance) ซึ่งประกอบไปด้วยเยอรมนี ออสเตรีย -ฮังการี - ฝ่ายไตรภาคี (Triple Entente) ประกอบไปด้วยอังกฤษ (บริเตนใหญ่) ฝรั่งเศสและรัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ที่ได้เข้าร่วมรบและประกาศศักดาในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจโลกเสรีบนเวทีโลก เคียงคู่กับอังกฤษและฝรั่งเศส ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดสนธิสัญญาขึ้นมาฉบับหนึ่ง.... เรียกกันว่า สนธิสัญญาแวร์ซายส์ อันถือเป็น...สัญญาที่ได้กระทำขึ้นโดยปราศจากคู่สัญญา สัญญาเพื่อสันติภาพ...สัญยาแห่งการกดขี่ และสัญญา ที่รอการลงนามจากผู้แพ้ (เยอรมัน) สนธิสัญญาแวร์ซายส์ นี้ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ปฎิเสธไม่ยอมรับร่างสัญญานี้แม้แต่ข้อเดียว แต่ในที่สุด ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี และเบลเยี่ยม ก็ยื่นคำขาดต่อเยอรมันให้ยินยอมตามเงื่อนไขแห่งสัญญานี้จนได้ ขณะที่เยอรมันตอนนั้น เหมือนผีถึงป่าช้าเสียแล้ว หมดสมรรถภาพแล้ว ในทุก ๆ ด้าน ทั้งการทหารและเศรษฐกิจ ถ้าไม่ยอมลงนามก็ต้องรบต่อไปอีก โดยไร้ประสิทธิภาพ และเพื่อรักษาความเป็นเอกราชไว้ เยอรมันจึงต้องกล้ำกลืนฝืนลงนาม...ในสัญญาสันติภาพ ฉบับนั้น ณ ห้องโถงกรุงแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1919 หรือ พ.ศ.2462 เวลา 17.20 นาฬิกา (ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 6 ของไทย) ผู้แทนจากประเทศเยอรมัน ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ... ที่มีจุดประสงค์ให้ประชาชน พลเมืองชาวเยอรมัน อยู่อย่าง ไร้ศักศรี...เยี่ยงทาสต่อไป (มีต่อครับ) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 12:29:28 PM เนื้อหาในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ นั้น
นอกจากจะระบุให้ฝ่ายไตรพันธมิตร (ผู้แพ้สงคราม) จะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม (ค่าเสียหายต่าง ๆ) ที่เกิดขึ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว ยังระบุไปถึงการคืนดินแดน การจำกัดทางเศรษฐกิจ และยุติบทบาททางทหารในประเทศอีกด้วย เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว ระบุไว้ว่า เยอรมันจะต้องยกเลิกกรมเสนาธิการทหารอย่างเด็ดขาด กองทัพบก ถูกจำกัดให้มีกำลังพลเพียง 100,000 คน เท่านั้น และรวมนายทหาร 4,000 คนไว้ด้วย ซึ่งกำลังเหล่านี้ มีไว้เพียงเพื่อรักษาความสงบในอาณาเขตและรักษาพรมแดนเท่านั้น รวมถึงเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง จึงได้กำหนดไว้อีกด้วยว่า จำนวนข้าราชการ เช่น พนักงานภาษีอากร เจ้าพนักงานกรมป่าไม้ และเจ้าหน้าที่รักษาการชายทะเล จะต้องมีไม่เกินจำนวนที่ได้จ้างไว้ในปี ค.ศ. 1913 กำลังตำรวจและเทศบาล จะเพิ่มขึ้นได้ตามอัตราส่วนของพลเมืองที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ ค.ศ. 1913 เป็นต้นไป โรงงานสร้างอาวุธกระสุนดินดำและยุทโธปกรณ์ จะต้องอยู่ในวงจำกัด เท่าที่สัมพันธมิตรจะยินยอม และเยอรมันจะสั่งอาวุธและยุทโธปกรณ์เข้าประเทศ หรือส่งออกไม่ได้เป็นอันขาด ห้ามเยอรมันนำเข้าก๊าซพิษ รถเกราะ รถถัง และให้เลิกใช้วิธีเกณฑ์ทหาร ให้ใช้ได้เฉพาะทหารอาสาเท่านั้น พลทหารให้อยู่ในหน้าที่ 12 ปี เพื่อป้องกันการหมุนเวียนกำลังทหาร องค์การด้านการศึกษาต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัย สมาคมทหารกองหนุน สมาคมท่องเที่ยวล่าสัตว์ และไม่ว่าจะเป็นสมาคมใด ไม่ว่าสมาชิกจะมีอายุเท่าใด จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทหารโดยเด็ดขาด กำลังทหารเรือ เยอรมันถูกจำกัดให้มีเรือรบได้เพียง 6 ลำ ครุยเซอร์ 6 ลำ เรือพิฆาต 1 ลำ เรือตอร์ปิโด 12 ลำ ส่วนเรือดำน้ำห้ามมีเด็ดขาด เรือรบจะสร้างขึ้นใหม่ได้ก็เพื่อชดเชยของเก่าที่ชำรุดเท่านั้น กำลังพลทหารเรือมีได้ ไม่เกิน 15,000 คน นายทหารไม่เกิน 1,500 คน ระยะเวลาที่จะให้อยู่ในประจำการให้เท่ากับทหารบก เรือค้าขายจะได้รับการฝึกหัดอย่างทหารเรือมิได้โดยเด็ดขาด และถ้าหากว่ามีเกินจำนวนที่กำหนดไว้ จะต้องโอนให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรไป กำลังทางอากาศนั้น ห้ามมิให้มีโดยเด็ดขาด และที่มีอยู่เดิมนั้นให้ขึ้นกับฝ่ายพันธมิตรโดยตรง ทำลายป้อมปราการและท่าเรือ ที่ใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางทหารให้หมดสิ้น เยอรมันภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แม้จะไม่ถึงกับสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินก็ตาม บางแห่งประชาชนถึงกับพากันบุกพังร้านค้าเพื่อแย่งอาหาร ความอดยากยากแค้นมีให้เห็นอยู่ทั่วไป เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นภายในประเทศ เศรษฐกิจทรุดหนักที่สุด ประชาชนอยู่อย่างสิ้นหวัง... เนื้อหาในสนธิสัญญาฉบับนี้ นี่แหละครับ.... คือจุดเริ่มต้น....เสี้ยวความคิด...เล็ก ๆ ของฮิตเลอร์ (ผู้นำเยอรมันเข้าสู่ในสงครามโลกครั้งที่ 2) จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น... จากเรา...ซึมเศร้าฯ ทีม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 12:51:33 PM ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่า...
ฮิตเลอร์ ผู้จุดประกายแห่งสงคราม และผู้นำพรรคนาซี นั้น มิได้ลืมตาดูโลกและหรือถือว่า เป็นชนชาติเยอรมัน โดยกำเนิด นะครับ หากแต่เขา...เกิดในประเทศออสเตรีย (ซึ่งติดกับชายแดนเยอรมัน) ต่างหาก ครับ และที่สำคัญ ฮิตเลอร์ มิเคยภาคภูมิใจในประเทศที่ให้กำเนิดตน...เลย แม้แต่น้อย... ด้วยสาเหตุหลาย ๆ ประการ ทำให้เขาถูกกีดกันจากประเทศที่เขาถือกำเนิดขึ้นมา ผมกำลังจะเรียนให้ทราบว่า การกดขี่...การถูกกดขี่ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า ไม่ว่าจะมาจากด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม คือ ประเด็นสำคัญ...ถึงการลุกขึ้นมาต่อสู้ ต่อต้าน... และการปลูกฝังความคิดต่อต้านอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นตามมา หาก...มีโอกาส.... จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น.... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 01:00:52 PM หากมิเป็นการรบกวนจนเกินไปนัก..
เพื่อความเข้าใจในการลำดับเรื่องของผู้อ่าน และการดำเนินเรื่องอย่างสนุกสนานเพิ่มขึ้น กระผมใคร่ขอความอนุเคราะห์ ท่านลุงโอ... ช่วยกรุณาเรียบเรียงเหตุการณ์ของสงคราม เป็นไปตามลำดับก่อนหลังด้วย ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ... ข้อความนี้จะทำลายตัวเอง หลังจากที่ปรากฎบนหน้า board ภายใน 2 วินาที ตุ๊ดดดดด....คริ คริ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ กันยายน 21, 2007, 01:02:38 PM ผมว่าฮิตเลอร์ก็เก่งนะครับสามารถชักจูงคนทั้งประเทศให้เชื่อได้ขนาดไม่มีกองทุนหมู่บ้าน
จากสิบโทคนหนึ่งก้าวมาเป็นผู้นำของนายพลได้ แต่เรื่องอื่นผมไม่รู้ครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 01:03:52 PM เยอรมันแพ้สงคราม เพราะ สิบโทคนนึงมันหัวดื้อ ไม่ฟังนายพล ;D
หัวข้อ: Re: มาฟังอาโหน่งเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Tiger wut ที่ กันยายน 21, 2007, 01:06:01 PM อังกฤษสร้างเรือที่ยิ่งใหญ่มาสองลำ ให้ชื่อว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" Unsinkable แต่ทั้งสองลำ ก็จม ในเวลาอันสั้น hood กับ prince of wale ใช่มั้ยครับ ;D เรือไม่มีวันจมผมรู้จักแต่ "ไทนานิค"ครับ...........เอิ๊กๆ อ๊บ อ๊บ ;D ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 01:06:25 PM ท่าน 51 แก้ไขด้วยครับ .......... ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.......... อิตาลี อยู่ฝ่ายอังกฤษครับ............แต่พอสิ้นสงคราม อิตาลีกลับไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสงครามแถมถูกอังกฤษกับฝรั่งเศสเอาเปรียบ ......... จนประเทศย่ำแย่............. เมื่อ เบนิโต มุสโสลินี่ เข้ามานำประเทศ ก็เลยไปอยู่กับเยอรมัน............. ฝรั่งเศสตอนที่ชนะ WW I ใหม่ๆ ยิ่งใหญ่มาก............เป็นประเทศที่มีกองทัพบกใหญ่ที่สุด...............ความหยิ่งผยองของฝรั่งเศส ทำให้ประมาทเยอรมัน และดื้อดึงยึดถือยุทธวิธีการรบแบบเป็นแนวสนามเพลาะแบบเก่า............ถึงขนาดทุ่มเงินและทรัพยากรสร้างแนวป้องกัน"มายิโน"ขึ้น................หวังที่จะใช้การรบแบบเดิมต้านเยอรมัน หากเกิดสงคราม.............. พอเจอยุทธการสายฟ้าฟาดของเยอรมันเข้า.................มายิโนแตกในไม่กี่วัน รับทราบครับ...พี่มะขิ่น ผมเห็นว่า อิตาลีเข้าร่วมกับจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิออสเตรีย - ฮังการี ด้วยสนธิสัญญาไตรภาคี แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อิตาลีกลับวางตัวเป็นกลาง ซึ่งก็เป็นกลางได้ไม่นาน เพราะในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย แอบกล่อมให้อิตาลีมาอยู่ในฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างลับ ๆ เพราะผลประโยชน์ชวนเข้าร่วมสงคราม สุดท้ายอิตาลีก็ทิ้งเพื่อน ในราวปี ค.ศ.1914 ก็ประกาศสงครามกับเพื่อนเก่าอย่างออสเตรีย - ฮังการี และอีกหนึ่งปีต่อมา ก็ประกาศกับเยอรมัน และก็เข้ารบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเนื้อหาในสนธิสัญญาแวร์ซายเอง ก็ระบุให้ เยอรมัน ชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้ อิตาลี ด้วยเช่นกันครับ จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น..... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: watchrapong(รักในหลวง) ที่ กันยายน 21, 2007, 01:33:44 PM ขออนุญาตครับ แล้วตอนที่ไทยเรารบกับฝรั่งเศสทั้งทางบกและทางทะเล ใช่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองหรือเปล่าครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: สุกรจากโลกันต์ ที่ กันยายน 21, 2007, 01:53:38 PM อ่านแต่สามก็กมากไปหน่อย เลยไม่ค่อยรู้เรื่องใน ww เลยครับเลยวิจารณ์ไม่ถูก
ต้องหาปรวัติศาสรต์สงครามโลกมาอ่านบ้านซะแล้วจะได้วิจารณ์ด้วย อยากถามคุณมะขิ่นนิดนึงว่า นายพลตีโต้ แห่งยูโกสวาเวียอยู่ในยุคนี้หรือเปล่าครับ ถ้าอยู่ ๆ ฝ่ายใคร หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 01:54:42 PM อังกฤษสร้างเรือที่ยิ่งใหญ่มาสองลำ ให้ชื่อว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" Unsinkable แต่ทั้งสองลำ ก็จม ในเวลาอันสั้น hood กับ prince of wale ใช่มั้ยครับ ;D เรือไม่มีวันจมผมรู้จักแต่ "ไทนานิค"ครับ...........เอิ๊กๆ อ๊บ อ๊บ ;D ;D Hood เป็นเรือที่ทรงอานุภาพที่สุดในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเป็นเรือที่มีระวางขับน้ำ (น้ำหนักเรือมากที่สุด ประมาณ 46,000 ตัน) (เรือช่วงสงครามโลก ความยิ่งใหญ่เขาวัดกันที่น้ำหนักเรือ) เมื่อ Bismarck ออกปฏิบัติการครั้งแรก Bismarck ประมาณ 45,000 ตัน มีปืนใหญ่ 15 นิ้ว 8 กระบอก เท่ากับ Hood อังกฤษ ส่งเรือหลักสองลำ Hood และ Prince of Wales และเรือเล็กอื่นๆ เกือบ 100 ลำ เพื่อทำปิดล้อม Bismarck ไม่ให้ หลุดออกมาอาละวาดในมหาสมุทรแอตแลนติกได้ การเผชิญหน้าครั้งแรกในช่องแคบเดนมาร์ค (ระหว่าง Greenland กับ Iceland) เยอรมันมีแค่สองลำ เรือลาดตะเวณหนัก Prince Eugen (ปริน ออย เก้น) แล่นนำหน้า Bismarck Hood คิดว่า Prince Eugen เป็น Bismarck (Prince Eugen ลักษณะคล้ายกับ Bismarck มาก แต่ลำเล็กกว่า) Hood จึงจับเป้าไปที่ Prince Eugen, แต่ Hood และ Prince of Wales ยิงพลาดไปหมด ทำให้ Bismarck ตั้งตัวได้ และเริ่มยิงไปที่ Hood ด้วย Bismarck มีเรดาร์ควมคุมการยิงที่ทันสมัย ทำให้ยิงได้แม่นยำ กระสุนชุดที่สี่ (หรือที่ห้า ผมจำไม่ได้) ก็โดนเข้าที่ Hood เรือ Hood ออกแบบ ตัวเรือ (กราบเรือ) หนา, และ มีเกราะคาดเพื่อป้องกัน Torpido (อังกฤษ บอกว่า ไม่มี Torpodo ชนิดไหนในโลก ที่เจาะเกราะเรือ Hood ได้) แต่กระสุนของ Bismarck ตกเข้าไปที่ดาดฟ้า (จุดที่อ่อนทีสุด) แล้วทะลุไประเบิดที่คลังกระสุน Hood จมลงด้วยเวลาประมาณ สาม นาที ส่วน Prince of Wales ซึ่งเป็น Unsinkable อีกลำ หลังจาก Hood จมไปแล้ว ก็โดนกระสุนจาก Bismarck และ Price Eugen จนเสียหายอย่างหนัก ต้องผละจากการรบไป ส่วน Bismarck ก็เกือบจะหนีรอดไปได้ ยังมีต่อครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 02:05:36 PM อ่านแต่สามก็กมากไปหน่อย เลยไม่ค่อยรู้เรื่องใน ww เลยครับเลยวิจารณ์ไม่ถูก ต้องหาปรวัติศาสรต์สงครามโลกมาอ่านบ้านซะแล้วจะได้วิจารณ์ด้วย อยากถามคุณมะขิ่นนิดนึงว่า นายพลตีโต้ แห่งยูโกสวาเวียอยู่ในยุคนี้หรือเปล่าครับ ถ้าอยู่ ๆ ฝ่ายใคร (http://www.bmlv.gv.at/pool/img/a01_587.jpg) ในระหว่างสงครามโลกครั้ง 2 ยูโกสลาเวียถูกยึดครองโดยฝ่ายอักษะ ครับ ติโต เป็นชีวประวัติของโยซิป โบรซ (Josip Broz) ผู้นิยมพรรคคอมมิวนิสต์ต่อต้านเยอรมันและอิตาลี กับระบอบฟาสซิสม์ในโครเอเชีย ผู้ต่อสู้เพื่อชาติยูโกสลาเวีย ในหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ติโตเป็นนามรหัส นามนี้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ติโตต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคทุกวิถีทาง เพื่อสร้างเป็นไทให้แก่ยูโกสลาเวีย และที่น่าสนใจคือ เขาเป็นคอมมิวนิสต์ นอกแบบ แตกต่างจากคอมมิวนิสต์อื่น เขามีใจกว้างขวาง เห็นใจผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกันก็มีใจเด็ดเดี่ยวและพร้อมที่จะปฏิบัติการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สมกับที่เป็นผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์นั้น เขาเป็นนักการเมืองที่สามารถสร้างความปึกแผ่นของประเทศ รวมชนชาติต่าง ๆ ในยูโกสลาเวียให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ติโตได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีของยูโกสลาเวีย ด้วยความเห็นชอบของชนทุกชาติในยูโกสลาเวีย เขาสิ้นชีวิตไปตามอายุขัยเมื่ออายุได้ 88 ปี (พ.ศ.2523) จากนั้น ประเทศยูโกสลาเวียก็ค่อย ๆ สลายลง จนกระทั่งมีสภาพแตกแยกอันยากที่จะแก้ไขได้ จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 02:14:13 PM (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/e/ef/Hmmo.jpg)
เบนิโต มุสโสลินี (ซ้าย) และอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ขวา) 2 ผู้นำเผด็จการชื่อดัง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการล้างชาติพันธุ์ของนาซี ขบวนการล้างชาติพันธุ์ของพรรคนาซี มีสาเหตุมาจากการแบ่งแยกเชื้อชาติระหว่างพวกชนชาติเชื้อสายอารยันและพวกที่ไม่มีเชื่อสายอารยันโดยมุ่งเป้าหมายหลักไปยังชาวยิวที่อยู่อาศัยในทวีปยุโรป การทำลายล้างชนชาติยิวเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อพรรคนาซีได้ขึ้นนำประเทศเยอรมันเมื่อฮิตเลอร์ขึ้นปกครองประเทศโดยชอบธรรมตามกฎหมายในปีค.ศ.1933 ฮิตเลอร์โยนความผิดและปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในเยอรมันในเวลานั้นว่าเป็นความผิดของพวกชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ เหตุการณ์ไฟไหม้ การที่เยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และปัญหาต่างๆอีกร้อยพันประการ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: สุกรจากโลกันต์ ที่ กันยายน 21, 2007, 02:18:37 PM ขอบคุณครับ แล้วตอนนั้นญี่ปุ่นสร้าง ยามาโตะ ขึ้นมาจัดว่าเป็นเรือประจันบาญที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประวัติการรบอย่างไรบ้างครับ :VOV: ทราบแต่ว่าถูก เครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินไล่ถล่มด้วยตอปิโด :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: TOSSAPORN-รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 02:26:49 PM เรือดำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงนั้น ญี่ปุ่นก็ทำด้วยครับ แต่ไม่ทราบประวัฒิ เลยครับ :) :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 02:32:00 PM รถยนต์ทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
(http://www.thaiflight.com/images/forum/jesada_museum/jesada_museum_06.jpg) (http://www.thaiflight.com/images/forum/jesada_museum/jesada_museum_07.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ กันยายน 21, 2007, 02:50:15 PM ผมได้อ่านข้อมูลของสงครามต่างๆ จากหนังสือชื่อ "เหตุการณ์สำคัญในศตวรรตที่ ๒๐ ศตวรรตแห่งสงคราม" เล่มหนาราวๆ ๒ นิ้ว... ราคาปก ๘๐๐ บาท... ซื้อมาแล้วคุ้มค่ามากครับ... มีข้อมูลต่างๆ ของสงครามตั้งแต่สงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย... ไล่มาจนถึงสงครามโคโซโว... พร้อมทั้งมีภาพต่างๆ เกี่ยวกับสงครามที่หาดูได้ยากมาให้ดูด้วย... วันหลังจะเอาภาพมาให้ชมครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 02:55:01 PM (http://www.marinerthai.com/sara/yama001.jpg)
คนที่สนใจประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 คงเคยได้ยินชื่อเรือยามาโต้ เรือประจัญบานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่มนุษย์เคยสร้างมาจนถึงปัจจุบัน มีระวางขับน้ำถึง 69,100 ตัน เปรียบเทียบกับเรือรบชื่อดังในขณะนั้น อาทิ เรือรบมิสซูรีของสหรัฐอเมริกา ที่มีระวางขับน้ำ 45,000 ตัน หรือเรือรบบิสมาร์คของเยอรมนี ที่มีระวางขับน้ำ 42,000 ตัน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Army - รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 02:57:47 PM ขออนุญาตครับ แล้วตอนที่ไทยเรารบกับฝรั่งเศสทั้งทางบกและทางทะเล ใช่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองหรือเปล่าครับ ไม่ใช่ครับ.............. สมัยไทยรบฝรั่งเศส(ค.ศ.1893)พ.ศ.2436 หรือ เหตุการณ์ ร .ศ. 112 ก่อน WW IIครับ .......... คุณ watchrapong น่าจะหมายถึงสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสปลายปี 2483 ถึง ต้นปี 2484 สมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกฯนะครับ รู้สึกว่าช่วงนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝั่งยุโรปเริ่มแล้วและฝรั่งเศสน่าจะแพ้เยอรมันไปแล้ว :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ กันยายน 21, 2007, 03:06:30 PM นี่ครับ ภาพเรือ ยามาโต เรือที่เกรียงไกรที่สุดของญี่ปุ่น... ตอนที่ถูกจม เพราะออกปฏิบัติการแบบฆ่าตัวตาย... เพราะเติมน้ำมันพอที่จะเดินทางถึงสมรภูมิเท่านั้น... ไม่เผื่อขากลับ...
(http://www.bismarck-class.dk/miscellaneous/illustrations_and_drawings/steve_nuttall/pictures/yamato/illustr_yamato_04.jpg) ส่วนประวัติศาสตร์ตอนที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์โดนญี่ปุ่นถล่ม... หาดูได้จากภาพยนตร์ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ กันยายน 21, 2007, 03:23:58 PM รบกับฝรั่งเศษเมื่อ2483จบลงที่ไทยถูกจับทำสัญญาที่เสียเปรียบ แต่ขอถามว่าในคราวนั้นหากนับเฉพาะการรบจะนับว่าเราป็นฝ่ายชนะได้ไหมครับ ?
พอดีคุณตาผมเป็นทหารได้ไปรบกับเค้าด้วย :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 21, 2007, 03:31:42 PM รบกับฝรั่งเศษเมื่อ2483จบลงที่ไทยถูกจับทำสัญญาที่เสียเปรียบ แต่ขอถามว่าในคราวนั้นหากนับเฉพาะการรบจะนับว่าเราป็นฝ่ายชนะได้ไหมครับ ? พอดีคุณตาผมเป็นทหารได้ไปรบกับเค้าด้วย :D ตอนที่ทำสัญญาเสียเปรียบฝรั่งเศสเป็นช่วง ร.ศ.112 ครับ .......... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ กันยายน 21, 2007, 03:42:19 PM งั้นผมสับสนเรื่องช่วงเวลาไปครับพี่ คุณตาเป็นทหารแน่ใจว่าในสมัยจอมพลป.เพราะจำได้แม่นที่คุณยายเล่าเรื่องที่คุณตาเป็นทหารแล้วถูกส่งไปรบกับฝรั่งเศษ ..... แต่คุณตาผมได้กลับบ้านนะครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ กันยายน 21, 2007, 03:43:27 PM ไทยรบกับฝรั่งเศษครั้งนั้น... ไทยชนะครับ... ได้เขาพระวิหารคืนมาจากกัมพูชา... ตอนหลังฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงคราม... ไทยในฐานะที่ลงนามเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายอักษะ... ซึ่งจะเข้าร่วมด้วยสาเหตุใดนั้นรอพี่ๆ มาเฉลยครับ... ไทยจึงตกเป็นผู้แพ้สงครามไปด้วย... ต้องคืนเขาพระวิหารให้กัมพูชาซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส... รวมทั้งต้องจ่ายค่าปฏิกรณ์สงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศสด้วย... แต่กับอเมริกา... บทบาทของขบวนการเสรีไทย... ทำให้รัฐบาลอเมริกาเข้าใจถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ... เลยไม่ถือว่าไทยเป็นผู้แพ้สงคราม... (หนังสือว่าอย่างนี้ครับ)
...หลักฐานที่แสดงถึงบทบาทของขบวนการเสรีไทย... แถวบ้านผมยังคงหลงเหลืออยู่ครับ... คือสนามบินลับ... ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรใช้สำหรับส่งอาวุธให้กับสมาชิกเสรีไทยที่ปฏิบัติการใยประเทศไทย... อยู่ห่างจากบ้านผมราวๆ ๑.๕ กิโลเมตร... เป็นรันเวย์ยาวราว ๒ กิโลเมตร... โรยหน้าด้วยหินลูกรังสีแดง... มีเนินดินสูงๆ ต่ำๆ และบางแห่งกลายเป็นแบ็คสต๊อปอย่างดี... ที่ผมไปซ้อมยิงปืนบ่อยๆ ครับ... ปัจจุบันกลายเป็นที่ดินของกองทัพอากาศครับ ...ว่างๆ จะไปถ่ายภาพมาให้ชมครับ... แต่มีหน่วยงานราชการหนึ่งพยายามจะผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์ในรูปบ้านเอื้ออาทร... ผมเลยค้านเต็มที่ครับ... ค้านแบบตามลำพังด้วยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 04:08:00 PM "ปฏิกรณ์" พจนานุกรม ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้
"เครื่องที่ใช้สำหรับก่อให้เกิดปฏิกิริยาแตกสลายทางนิวเคลียร์อย่างสม่ำเสมอ และควบคุมได้ เพื่อผลิตพลังงาน สารกัมมันตรังสี เครื่องชนิดนี้มีหลายแบบและใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ซึ่งมักเป็นแท่งยูเรเนียม มักเรียกว่า เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู ส่วนคำว่า "ปฏิมา" หรือ "ปฏิมากร" พจนานุกรมได้ให้บทนิยามไว้ว่า รูปเปรียบหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า คือ พระพุทธรูป เรียกย่อมาจาก พุทธปฏิมา หรือ พุทธปฏิมากร การชดใช้ค่าเสียหายจากสงคราม มาจากคำว่า reparation มาถึง คำว่า "ปฏิกรรมสงคราม" พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 ได้ให้บทนิยามไว้ดังนี้ "การชดใช้ค่าเสียหายที่ฝ่ายชนะสงครามเรียกร้องเอาจากฝ่ายพ่ายแพ้" จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ กันยายน 21, 2007, 04:12:04 PM เมื่อก่อนผมเข้าไปหาเรื่องทำนองนี้อ่านที่ www.wing 21 เดี๋ยวนี้ที่บอร์ดแห่งนั้นยังมีสาระแบบนี้หรือเปล่าคับ ?
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nine รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 04:20:42 PM ชอบกระทู้นี้มาก ขอบคุณทุกๆความรู้ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กันยายน 21, 2007, 04:58:30 PM ขออนุญาตครับ แล้วตอนที่ไทยเรารบกับฝรั่งเศสทั้งทางบกและทางทะเล ใช่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองหรือเปล่าครับ รบกับฝรั่งเศษเมื่อ2483จบลงที่ไทยถูกจับทำสัญญาที่เสียเปรียบ แต่ขอถามว่าในคราวนั้นหากนับเฉพาะการรบจะนับว่าเราป็นฝ่ายชนะได้ไหมครับ ? พอดีคุณตาผมเป็นทหารได้ไปรบกับเค้าด้วย :D คลิกข้างล่างเลยครับ ยุทธนาวี เกาะช้าง (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Army - รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 05:14:32 PM งั้นผมสับสนเรื่องช่วงเวลาไปครับพี่ คุณตาเป็นทหารแน่ใจว่าในสมัยจอมพลป.เพราะจำได้แม่นที่คุณยายเล่าเรื่องที่คุณตาเป็นทหารแล้วถูกส่งไปรบกับฝรั่งเศษ ..... แต่คุณตาผมได้กลับบ้านนะครับ :D อย่างนี้ก็ได้เหรียญชัยสมรภูมิด้วยสิครับ ถ้ามีโอกาสถ่ายรูปมาให้ชมบ้างนะครับ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 05:57:01 PM อ่านเพลินได้ความรู้ดีครับ....ขอบคุณพี่ขวัญ พี่มะขิ่น พี่51 และอีกหลาย ๆ ท่านที่เข้ามาแวะเวียนให้ความรู้กบในกะลาอย่างผมครับ ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 21, 2007, 07:29:15 PM ต่อเรื่อง Bismarck ครับ
หลังจากการรบครั้งแรก Bismarck ก็เดินหน้าต่อไป เพื่อออกไปปฏิบัติการในแอตแลนติก Bismarck เสียหายเล็กน้อย เพราะโดนจากกระสุนจาก Prince of Wales ประมาณ 2-3 นัด โดยมีเรือที่วิ่งตาม Bismarck อยู่ สองสามลำ แต่เรือ Bismarck วิ่งเร็วกว่าเรืออังกฤษ ทำให้ Bismarck หลุดพ้นจากการติดตามของอังกฤษไปได้ ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของ Bismarck ก็คือ กรณีแรก ผบ.เรือ ดันส่งสัญญาณวิทยุออกไป ทำให้อังกฤษจับตำแหน่งของเรือได้อีกครั้ง เรื่องที่สอง ผบ.เรือ ให้เรือ Price Eugen แยกตัวออกไปแอตแลนติก แล้ว Bismarck มุ่งสู่ฝรั่งเศส ฝ่ายอังกฤษก็ระดมกำลังทางเรือทั้งหมด (Home Fleet) เพื่อปิดล้อม Bismarck แต่ Bismarck ก็ใกล้ถึงฝรั่งเศส แล้ว อังกฤษก็ส่งเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ไปโจมตี Bismarck โชคร้ายของ Bismarck เพราะมี Torpedo ลูกหนึ่ง ทำลายหางเสือ Bismarck เรือเสียการบังคับ แล่นวนเป็นวงกลมจนกองเรืออังกฤษมาถึง (หากเรือ Price Engen อยู่ ก็ยังสามารถช่วย ลากเรือ Bismarck ได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะเล็กกว่าก็ตาม เพราะเหลือระยะทางอีกไม่กี่ร้อยกิโลเมตร Bismarck ก็ถึงเขตปลอดภัย ตอนนั้นกองเรืออังกฤษ ยังอยู่ห่างจาก Bismarck มาก) เรือหลักของอังกฤษ King George V และ Rodney และอื่นๆ อีกหลายสิบ รุมยิง Bismarck Bismarck บังคับเรือไม่ได้ ทำให้การยิงของเรือ ขาดความแม่นยำไปมาก Bismarck สู้กับอังกฤษนานเกือบ สอง ชั่วโมง ถูกกระสุนเกือบ 1,000 นัด และ Torpedo อีกหลายสิบ และ Bismarck ก็คว่ำ แล้วก็จมลง จากการสำรวจซากเรือ Bismarck พบว่าตัวเรือมีความสมบูรณ์มาก เพราะได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี (ทีมที่ทำการสำรวจ เป็นทีมเดียวกับการสำรวจเรือ Titanic) นักวิเคราะห์สรุปว่า Bismarck จมเพราะลูกเรือเปิดห้องให้เรือจมเอง ไม่ได้จมเพราะอาวุธจากเรืออังกฤษ Bismarck ผู้แพ้ ยังเหลือให้ชนรุ่นหลังได้เห็นอีกนาน ว่ากันว่าซากเรือ Bismarck นี้ ยังอยู่ได้อีกนานหลายร้อยปี ส่วนผู้ชนะ King George V และ Rodney หลังสงคราม อังกฤษ ขายเป็นเศษเหล็ก ตอนนี้ไม่มีเหลือแม้แต่ซาก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: watchrapong(รักในหลวง) ที่ กันยายน 21, 2007, 07:49:54 PM ขออนุญาตครับ เห็นภาพเครื่องบินและเรือรบเยอรมันแล้ว อยากเห็นภาพเรือดำน้ำที่โด่งดังในชื่อเรือตระกูล ยู ครับเห็นแต่ในหนังพี่ๆท่านใดมีภาพจริง ช่วยลงให้ดูเป็นวิทยาทานหน่อยครับ :) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ กันยายน 21, 2007, 08:15:19 PM เรื่องเรือBismarck นี้ผมมีอยู่ในเล่มหนังสือ สงครามนะครับ ;D
พึ่งอ่านผ่านตาเมื่อไม่นานมานี้ แบบว่าพ่อผมสะสมหนังสือแบบนี้นะครับ เดียวผมไปค้นหามาให้อ่านครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nick ที่ กันยายน 21, 2007, 08:44:58 PM นอกประเด็นครับ
อยากทราบว่าชุดลายพราง ชาติใดออกแบบเป็ฯชาติแรกครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 21, 2007, 08:57:37 PM ขออนุญาตครับ เห็นภาพเครื่องบินและเรือรบเยอรมันแล้ว อยากเห็นภาพเรือดำน้ำที่โด่งดังในชื่อเรือตระกูล ยู ครับเห็นแต่ในหนังพี่ๆท่านใดมีภาพจริง ช่วยลงให้ดูเป็นวิทยาทานหน่อยครับ :) U-boat มาจากคำว่า Yoo boot ในภาษาเยอรมัน ย่อมาจาก Untersee boot คำว่า Unter แปลว่า ใต้ ส่วนคำว่า see แปลว่า ทะเล boot หรือ boote แปลว่า เรือ (boat) จากนิ้ว...ที่จิ้มแป้น.. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ กันยายน 21, 2007, 09:02:07 PM ชุดพรางเริ่มใช้ในยุค 18th Century โดยทหารหน่วยย่อยๆ
ในปี 1875 ทหารอังกฤษที่ทำการรบใน อินเดีย ต้องทำเริ่มเอาสีมาย้อมเครื่องแบบที่เดิมเป็นสีแดง ให้เป็นสีกากี นี่คือจุดเริ่มต้นของการพรางเครื่องแบบ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 10:00:57 PM (http://www.geocities.com/saniroj/425px-LSSAH_-_Holland_1940x.JPG)
กำลังพลของหน่วย เอส เอส ลีปสตานดาร์ด อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขณะกำลังรุกเข้าสู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ ในปี 1940 จะเห็นชุดพรางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหน่วย เอส เอส หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 21, 2007, 10:07:49 PM สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 (ขณะนั้นเสด็จประทับอยู่ในประเทศสวิส) หลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อเริ่มสงครามนั้นไทยประกาศตนเป็นกลาง แต่ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นนำเรือรบบุกขึ้นชายทะเลภาคใต้ของไทยโดยไม่ทันรู้ตัว รัฐบาลต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน ทำพิธีเคารพเอกราชกันและกัน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ กันยายน 21, 2007, 11:16:51 PM ;D 1935
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 12:24:02 AM สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2482 ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 (ขณะนั้นเสด็จประทับอยู่ในประเทศสวิส) หลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเริ่มสงครามนั้นไทยประกาศตนเป็นกลาง แต่ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นนำเรือรบบุกขึ้นชายทะเลภาคใต้ของไทยโดยไม่ทันรู้ตัว รัฐบาลต้องยอมให้ญี่ปุ่นผ่าน ทำพิธีเคารพเอกราชกันและกัน ส่วนตัวผมเองไม่เชื่อว่าฝ่ายปกครองจะไม่ทราบเรื่องที่ญี่ปุ่นจะใช้ไทยเป็นทางผ่าน เพื่อเข้าโจมตีอังกฤษที่สิงคโปร์และเข้าพม่าครับ... ผมเชื่อว่าการปะทะกันตอนที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกนั้นเกิดจากความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่ระดับล่างมากกว่าครับ... เหตุผลของผมคือ... ๑.จอมพลป.พิบูลสงครามสนิทกับญี่ปุ่นมาก ดูได้จากเรื่องง่ายๆ อาวุธในประเทศไทยช่วงนั้นอาวุธส่วนหนึ่งรวมถึงเครื่องบินขับไล่ก็เป็นของญี่ปุ่น ญี่ป่นเข้ามามีบทบาทอย่างสูงในเอเชียอาคเนย์ดูจากการที่เข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระวังไทยกับฝรั่งเศสโดยที่การไกล่เกลี่ยนั้นทำได้โดยไทยไม่เสียเปรียบ ข้อสุดท้ายหลังจากจอมพลแปลกถูกปฏิวัติประเทศที่ลี้ภัยอยู่จนวาระสุดท้ายก็คือญี่ปุ่นครับ... ๒.หากไทยต้องการต่อต้านญี่ปุ่นจริงๆความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายต้องมากกว่านี้แน่นอน ผมไม่ได้เชียร์ไทยเกินเหตุนะครับ ช่วงหลังสงครามอินโดจีนใหม่ๆกองทัพไทยถือว่ามีแสนยานุภาพพอควร ไม่อย่างนั้นคงไม่รบจนเกือบชนะฝรั่งเศสในเขมรหรอกครับอีกข้อคือ ถึงแม้ว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไทยจะประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่การขยายอำนาจของเจ้าอาณานิคมไม่ว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน ฮอลันดารวมถึงเสือร้ายตัวใหม่อย่างอเมริกายังคงทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทำให้เราต้องดิ้นรนหาอาวุธและฝึกคนเพื่อความพร้อม ในฐานะที่ประคองตัวอยู่กลางปากเหยี่ยวปากกาครับ... ๓.การตัดสินยอมให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านนั้น ตัดสินใจได้เร็วและการยุติการปะทะกันเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับระบบการสื่อสารที่ใช้ในสมัยนั้น... แต่ที่อยากจะบอกคือ สมรภูมิที่น่าสนใจในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นมีมากครับ... เราคุยกันถึงสมรภูมิในยุโรปก่อนดีไหมครับ จะได้ตามกระแสที่ตอนแรกท่าน nars ตั้งกระทู้เพราะฮิตเลอร์...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 12:33:34 AM แถมพี่มะขิ่นครับ Luger หรือ Palabellum P-08 นี่ทหารอเมริกันตอนช่วงท้ายสงครามตามหากันให้ควั่กเป็นของที่ระลึกชิ้นเยี่ยมเลยครับ เหมือนที่เราเห็นในเรื่อง Band Of Brothers ไงครับ...
ส่วน Browning M 1935 นั้นได้เข้ารบกับทั้งสองฝ่ายครับ คือเยอรมันยึดโรงงานไป แต่วิศวกรแอบหยิบแบบแปลนหนีข้ามไปอังกฤษ และถ้าจำไม่ผิดไปตั้งโรงงานผลิตอยู่ที่แคนาดาครับ จัดเป็นปืนดีที่ได้เข้าร่วมในหลายสมรภูมิครับ...;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: FUFUFUFU ที่ กันยายน 22, 2007, 12:49:33 AM ชอบกระทู้นี้จัง เข้ามาอ่านทุกวันเลยครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ กันยายน 22, 2007, 01:07:43 AM ต้นปี 1937 ญี่ปุ่นทำทารุณกับชาวจีนในเมืองนานกิง ข่มขืน ฆ่า.... คอยดูหนัง The Rape of Nanking นะครับ .... อ่านหนังสือก็ได้ ..... ปลายปี 1941 บุกไทย เวลาห่างกัน 5 ปี นักการทหารเขารู้ดีว่าถ้าสู้ก็แหลก จอมพล ป. เคยปลุกใจให้สู้ แม้กระทั่งด้วยมีดพร้ากระท้าขวาน "จะเผาให้พื้นปฐพีไม่มีคน" ยอมเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างที่นานกิง เช่นโยนทารกขึ้นไปแล้วรับด้วยดาบปลายปืน แข่งกันตัดหัวคนว่าใครจะทำได้มากกว่าใคร
Repulse กับ Prince of Wales ถูกญี่ปุ่นจมในเวลาไม่กี่ชั่วโมง พร้อมๆกัน รัสเซียเป็นประเทศที่ไม่เคยมีใครตีได้ Napoleon ก็ต้องถอยออกมา หน้าหนาวทารุณมาก ยิ่งเข้าลึก การส่งกำลังบำรุงยิ่งแย่ ฮิตเลอร์คงไม่ได้เรียนแม้แต่ประวัติศาสตร์ เขาไม่ใช่แม้แต่ทหาร Bismarck ถูกเรืออังกฤษ 3 ลำกินโต๊ะ หนีเข้า Argentina ซึ่งเป็นกลาง ออกมาไม่ได้ เลยจมตัวเองที่ปากแม่น้ำ Rio de la Platta (ผมเขียนผิดแน่ๆ) เรือ USS Indiana จม ลูกเรือลงไปลอยคอในทะเล โดนฉลามรุมกินโต๊ะ เหลือรอดมาได้ไม่กี่คน Indiana มีส่วนในการทิ้งระเบิดปรมาณูโดยเครื่องบินชื่อ Enola Gay หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 01:10:27 AM เรือผิวน้ำของเยอรมัน เมื่อเทียบกับอังกฤษ แล้ว จำนวนเรือของเยอรมัน น้อยกว่ามาก
เยอรมันมีแค่ เรือประจัญบานหลัก ขนาด 45,000 ตันสองลำ Bismarck และ Tirpitz ติดปืน 15 นิ้ว 8 กระบอก เรือประจัญบาน Scharnhorst และ Gneisenau ขนาด 33,000 ตัน ติดปืน 11 นิ้ว 9 กระบอก เรือประจัญบานกระเป๋า ขนาด 15,000 ตัว ปืน 11 นิ้ว 6 กระบอก มี สามลำ Deutschland/Lutzow, Admiral Scheer และ Admiral Graf Spee เรือลาดตะเวนหนัก ขนาด 16,000 ตัน มีปืน 8 นิ้ว 8 กระบอก มี สามลำ Admiral Hipper, Prinz Eugen และ (จำไม่ได้แล้วครับ Butcher ประมาณนั้น) ทั้งหมดนี้ มี Prinz Eugen ลำเดียวที่เหลือรอดจากสงคราม เรือลำนี้อยู่ในเหตุการณ์สำคัญ สอง เหตุการณ์ คือ ร่วมรบกับเรือ Bismarck การฝ่าช่องแคบอังกฤษ หลังสงคราม Prinz Eugen ถูกอเมริกายึดไป แล้วนำเป็นเป้าทดลองระเบิดปรมณู หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 01:17:01 AM ที่แน่ๆ .......... ฮิตเลอร์ มาจากการเลือกตั้งครับ ...... มาแบบโกง ๆ ไงครับ อาศัยใบบุญของฮินเดนเบิร์ก แล้วก็ถือโอกาสควบตำแหน่งมาให้ตัวเองเป็นผู้นำ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 01:17:28 AM Bismarck ถูกเรืออังกฤษ 3 ลำกินโต๊ะ หนีเข้า Argentina ซึ่งเป็นกลาง ออกมาไม่ได้ เลยจมตัวเองที่ปากแม่น้ำ Rio de la Platta (ผมเขียนผิดแน่ๆ) The battle of river Plateเป็นเรือ Admiral Graf Spee ครับ ที่หลบเข้าไปที่ปากแม่น้ำแพลต (Rever Plat) เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 01:39:53 AM Tirpitz น้องสาว Bismarck มีชื่อว่า lonely queen of the north
เพราะหลังจากการจมของ Bismarck ในช่วงต้นสงคราม เยอรมันก็ไม่กล้าส่ง Tirpitz ออกปฏิบัติการตามลำพัง Tirpitz ก็คอยโจมตีเรือสินค้า แถวๆขั้วโลกเหนือ ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะอากาศแถวนั้นเป็นอุปสรรคต่อการค้นหา แต่อังกฤษก็ต้องส่งเรือหลายลำมาคอยเฝ้า Tirpitz Tirpitz ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของการป้องกันภัยทางอากาศ จุดอ่อนของ Bismarck คือ มีปืนต่อสู้อากาศยานไม่กี่กระบอก อังกฤษ ส่งเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ไปโจมตี Tirpitz หลายครั้ง แต่ Tirpitz ที่ได้รับการติดตั้ง ปตอ. รวมแล้วเกือบ ร้อย กระบอก ทำให้เครื่องอังกฤษไม่สามารถโจมตี Tirpitz ได้ และ สูญเสียเครื่องบินไปมาก รวมทั้งนักบินที่ปล่อย Torpedo โดนหางเสือของ Bismarck ก็มาสิ้นชื่อเมื่อมาโจมตี Tirpitz แต่ Tirpitz ก็จมเพราะอังกฤษใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ เพดานบินสูง (Lancaster) โจมตี Tirpitz ตอนที่จอดอยู่ในอ่าว ระเบิดแรงสูงขนาด 5 ตัน โดนเข้าที่ตัวเรือ 2-3 ลูกทำให้เรือพลิกคว่ำแล้วจมลง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 01:41:04 AM ส่วน Scharnhorst และ Gneisenau สองพี่น้องคู่นี้ไปไหนมาไหนด้วยกับตลอด
ช่วงต้นสงคราม เรือสองลำนี้ออกไปสร้างความปั่นป่วนให้กับเรือสินค้าอังกฤษ รวมถึงกองเรือรบที่ต้องตามล่า หลังจากอาละอาดได้หลายเดือน เรือสองลำก็ต้องจอดซ่อมอยู่ที่อ่าวในฝรั่งเศส ระหว่างนั้นอังกฤษ ก็ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ทำให้การซ่อมเรือต้องล่าช้าออกไป (ตรงนี้ทำให้เยอรมันต้องเสี่ยงที่จะส่ง Bismarck ออกมาปฎิบัติการแทนสองพี่น้องคู่นี้) หลังจากเรือซ่อมเสร็จ เยอรมันต้องการสองพี่น้อง กลับมาที่เยอรมัน โดยการฝ่าช่องแคบอังกฤษ การฝ่าช่องแคบอังกฤษที่มีการป้องกันแน่นหนา แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เรือศัตรูของอังกฤษ จะเข้าไปได้ แต่กองเรือเยอรมันที่มีเรือหลัก Scharnhorst, Gneisenau และ Prinz Eugen ก็ฝ่าได้สำเร็จทำให้อังกฤษ เสียหน้าอย่างมาก หลังจากนั้นสองพี่น้องคู่นี้ก็ต้องแยกจากกัน Gneisenau เข้าอู่เพื่อเปลี่ยนปืนหลักจาก 11 นิ้ว เป็น 15 นิ้ว แต่ก็ไม่ปรับปรุงไม่เสร็จ จนเกือบเลิกสงครามแล้วถูกเครื่องบินทิ้งระเบิด จนเสียหายอย่างหนัก ส่วนพี่สาว Scharnhorst ไปรังควาญเรือสินค้าแถวๆ ขั้วโลกเหนือ แต่ก็โดนเรืออังกฤษรุมยิงจนจมบริเวณ North Cape หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nick ที่ กันยายน 22, 2007, 01:50:49 AM ขอบคุณครับ
หู ตา สว่าง อีกเยอะครับ พร้อมกับกิเลสอีกด้วยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ กันยายน 22, 2007, 02:15:07 AM :oตามติดครับ..เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ....เคยอ่านในหนังสือ แต่ไม่ปะติดปะต่อ ข้ามไปข้ามมา...สงสัย ก็ถามหนังสือไม่ได้...กระทู้นี้ ผมประทับใจเป็น อันดับหนึ่งของปีนี้ครับ...ขอบคุณ จขกท.และท่านผู้ให้ความรู้ทุกท่าน...สงสัย จะขออนุญาตยกมือถามครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ กันยายน 22, 2007, 03:35:55 AM Bismarck ถูกเรืออังกฤษ 3 ลำกินโต๊ะ หนีเข้า Argentina ซึ่งเป็นกลาง ออกมาไม่ได้ เลยจมตัวเองที่ปากแม่น้ำ Rio de la Platta (ผมเขียนผิดแน่ๆ) The battle of river Plateเป็นเรือ Admiral Graf Spee ครับ ที่หลบเข้าไปที่ปากแม่น้ำแพลต (Rever Plat) เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย ขอบคุณมากครับ ไก่ออกไปหมดเล้า พรุ่งนี้ไม่มีไข่กินแล้ว ผิดหมดทุกอย่างเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 22, 2007, 08:19:15 AM :oตามติดครับ..เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ....เคยอ่านในหนังสือ แต่ไม่ปะติดปะต่อ ข้ามไปข้ามมา...สงสัย ก็ถามหนังสือไม่ได้...กระทู้นี้ ผมประทับใจเป็น อันดับหนึ่งของปีนี้ครับ...ขอบคุณ จขกท.และท่านผู้ให้ความรู้ทุกท่าน...สงสัย จะขออนุญาตยกมือถามครับ (http://www.geozigzag.com/images/war2.jpg) สงครามโลกครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลก เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) และดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ได้ชื่อว่าเป็นสงครามที่มีขนาดใหญ่และทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ กันยายน 22, 2007, 08:53:01 AM ด้วยความเคารพครับขอต่อจากท่านผู้การซักกระบอกนะครับ
STG 44 พ่อของ AK47 ครับ (http://www.siampic.net/ts/stg44.jpg) (http://www.siampic.net/SiamPIC.php?picid=5bbb022f0ddb78f04fea49512c718806) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:58:37 AM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Jakkapat ที่ กันยายน 22, 2007, 11:56:34 AM คนไทยในกองทัพนาซี และคนเอเชียในกองทัพนาซีเยอรมัน
(http://images.temppic.com/26-08-2007/images_vertis/1188064067_0.83309700.jpg) มีรูปอีกเยอะมากเลยครับ ต้องยกเครดิตให้คุณ KzS.Dominik เว็บ BkkAirsoft ครับ ตาม Link ครับ http://www.bkkairsoft.com/board/index.php?topic=21447.0 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 22, 2007, 12:15:24 PM (http://www.geozigzag.com/images/hos%202.jpg)
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เสร็จสิ้นในปี ๑๙๔๕ ที่น่าสังเกตก็คือประเทศใหญ่ ๆ ที่ร่วมสงครามมีผู้นำประเทศที่เป็นพลเรือนเพียง ๒ ท่าน เท่านั้น คือ ประธานาธิบดีโรสเวลล์ของสหรัฐอเมริกาและนายเชอร์ชิล นายกรัฐมนตรี ของอังกฤษ ส่วนผู้นำประเทศอื่นได้แก่ ฮิตเลอร์ มุสโสลินี สตาลินและพลเอก โตโจ นั้นเป็นทหารและนักปฏิวัติมาทั้งสิ้น สงครามคราวนี้ได้ให้บทเรียนด้านการเมืองและการทหาร ไว้หลายแง่หลายมุม ซึ่งคิดว่าคงจะมีประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 22, 2007, 03:00:01 PM (http://www.geozigzag.com/images/d-day_soldier.jpg)
ดีเดย์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 เมื่อกองทัพอเมริกันและสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งนอร์มังดีของฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญมากของสงครามตอนนั้น หัวข้อ: hidden เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ กันยายน 22, 2007, 04:58:41 PM สนุกและมีสาระมากครับ....
เหมือนดูหนังสงครามพร้อมๆกับนึกย้อนไปตอนยังนั่งเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยครับ... ตอนเรียน ผมชอบเรียนประวัติศาสตร์ยุโรป เหมือนมีคําสาบ ทวีปนี้มีแต่เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคโบราณ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ninja1991. ที่ กันยายน 22, 2007, 05:37:00 PM สนับสนุนรูปครับ King George V
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 05:43:21 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 05:55:22 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 06:10:05 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 06:16:58 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 06:20:04 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 06:27:14 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 06:41:03 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 07:00:39 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 07:06:54 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 22, 2007, 07:34:36 PM (http://www.geozigzag.com/images/nueclear.jpg)
ทาง ด้าน เอเชีย ญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับ สัมพันธมิตร เมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อ มา วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กอง ทหาร ญี่ปุ่น ก็ เข้าเมืองไทย ทาง สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และ สมุทรปราการ ขณะ เดียวกัน ญี่ปุ่น ก็ เข้า โจม ตี เกาะ ฮาวาย, ฟิลิปปินส์ และ ส่ง ทหาร ขึ้น บก ที่ มลายู และ โจม ตี สิงคโปร์ ทาง เครื่องบิน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ กันยายน 22, 2007, 08:00:48 PM ขอบคุณพี่วัฒน์ สำหรับประวัติ Hitler ครับ เซปไว้แล้วครับ ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:14:54 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:19:29 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:22:33 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:33:33 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:42:53 PM ;)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:47:22 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:52:08 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 22, 2007, 10:57:01 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 22, 2007, 11:13:47 PM ขอเสริมนิดครับ
พอเจอยุทธการสายฟ้าฟาดของเยอรมันเข้า.................มายิโนแตกในไม่กี่วัน เหตุที่ฝรั่งเศสแตกในเวลาไม่กี่อาทิตย์ สืบเนื่องมากจากผลการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ยอดเยี่ยมทีสุด ส่งกำลังโดยเครื่องร่อนบุกยึดป้อมอีเบน อีเมล ในเบลเยี่ยมและยึดสะพานข้ามคลองอัลเบิร์ตทั้ง 3 สะพาน ทำให้ กองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษเคลื่อนกำลังพล จากที่ราบสูงอาร์เดน ลงมาที่แนวรบด้านเบลเยี่ยม จากนั้นกองทัพรถถังแพนเซอร์ ก็บุกผ่านป่าอาร์เดน(นักประวัติศาสตร์เรียกว่าแผนลวง แต่ถ้าฝรั่งเศส และอังกฤษไม่เคลื่อนกำลังจากที่ราบสูงอาร์เดนลงมา เยอรมันก็จะส่งกองทัพหลักเข้าตีฝรั่งเศสด้านเบลเยี่ยมแทนได้) ส่วนหนึ่งมุ่งเข้าสู่ปารีส อีกส่วนวกเข้าล้อมและตีป้อมมายิโน ไล่ต้อนกองทัพพันธมิตรไปสู่การจนมุมที่ดันเคิร์กหลายแสนคนครับ ในขณะที่สมรภูมิแอฟริกาเหนือก็จะสามารถใช้สนธิกำลังกับอิตาลี่เข้าครอบครอง ถ้าหากอักษะสามารถมีอิทธิพลเหนือเมดิเตอรเรเนี่ยนได้อย่างเด็ดขาด ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสงคราม การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรหลักในอ่าวเปอร์เซียก็สะดวกโยธิน(ในกรณีนี้ผมหมายรวมว่าอังกฤษเสร็จไปแล้ว ดังนั้นอำนาจเหนือคลองสุเอจย่อมเป็นของเยอรมัน)... กำลังทางเรือ เยอรมันรวมกับอิตาลี เป็นรอง อังกฤษอยู่มาก การบุกแอฟริกาเหนือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด รวมทั้งการที่เยอรมันปล่อยให้สเปนวางตัวเป็นกลางในสงครามครั้งนี้ ทั้งๆที่เยอรมันสนับสนุนจนนายพลฟรังโก เรืองอำนาจปราบกบฏในสงครามกลางเมืองสเปนได้อย่างราบคาบ ไม่ใช้กำลังทางบกบุกยึดยิบรอลต้าที่อังกฤษครอบครองอยู่ หากเยอรมันยึดยิบรอลต้า(ช่องแคบยิบรอลต้ากว้างไม่กี่สิบกิโลเมตร หากเยอรมันยึดได้ เรืออังกฤษจะเข้าออกทะเลเมดีเตอร์เรเนียนจากแอตแลนติกไม่ได้ต้องอ้อมไปเข้าทางคลองสุเอซ)ได้แล้วเยอรมันจะส่งกำลังบำรุงผ่านทางมอร็อคโคได้สะดวกจะไม่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันและยุธภัณฑ์จนต้องแพ้ มอนโกเมอรี่ครับ ที่นักประวัติศาสตร์บอกว่าความผิดพลาดของกองทัพนาซี อยู่ที่การบุกรัสเซีย ในความเป็นจริงแล้ว น่าจะเป็นการบุกแอฟริกาเหนือไปสู่สงครามที่เสียเปรียบจนต้องสูญเสียกำลังทางบกมากมาย โดยไม่ได้สร้างประโยชน์แต่อย่างใด้แก่เยอรมันมากกว่าครับ เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์ ทำให้หน่วยเอส.เอส.ไม่มีโอกาสได้เข้าทำการรบอย่างจริงจัง ...............และเมื่อต้องเข้าทำการรบ ภารกิจที่หน่วยเอส.เอส.ได้รับมอบหมาย ก็จะเป็นภารกิจที่ยากต่อการปฏิบัติ ..............ทำให้สูญเสียกำลังไปเป็นจำนวนมาก................ พูดถึงการปฏิบัติการพิเศษของ ssแล้ว ผลงานชิ้นโดดเด่นที่สุดของ ss คือปฏิบัติการช่วยเหลือมุสโสลินีจากที่คุมขัง(เป็นรีสอร์ทสำหรับเล่นสกี)บนเทือกเขาแอลป์(ปฏิบัติการนี้แม้แต่ เชอชิลยังต้องออกปากว่า เป็นปฏิบัติการที่กล้าหาญมาก) โดยใช้เครื่องร่อนและเครื่องบินในการ เข้าและออกจากพื้นที่ ซึ่ง ยากมากๆ บนเทือกเขาที่สูงจากพื้น6000 ฟุต นำทีมโดย คอมมานโด หน้าบาก ออตโต้ สกอรเซนี(แกมีแผลเป็นที่หน้า ทหารพันธมิตรกลัวกันมากเพราะแกเก่ง) รวมทั้งปลอมตัวเป็น mpอเมริกัน(สารวัติทหาร) ปฏิบัติการตัดเส้นทางลำเลียง สับป้ายบอกทาง หลังแนวข้าศึก ในปฏิบัติการ bulge(ปฏิบัติการตีโต้หลังวันดีเดย์) จนกองพลอเมริกันหลงทางทั้งกองพล ตอนหลังสงคราม ออตโต้ สกอรเซนี่ โดนควบคุมตัวในค่ายกักกันอาชญากรสงคราม แกก็หนีรอดโดย มีทหารหน่วย ss 3 คน(แกเป็นทีสุดของหน่วยปฏิบัติการพิเศษจริงๆ ปลอมตัว หลอก พันธมิตร ครั้งใหญ่ๆ ถึง 2 รอบ)ปลอมตัวมารับตัวไปขึ้นศาล แล้วก็หนีไปอยู่อาร์เจนตินา สนับสนุน ฮวน เปรอง(ต้นตำรับประชานิยมเป็นต้นเหตุของการล้มละลายของประเทศ) อดีตปธน.อาร์เจนตินา ปกครองประเทศ หลังจากการรบครั้งแรก Bismarck ก็เดินหน้าต่อไป เพื่อออกไปปฏิบัติการในแอตแลนติก Bismarck เสียหายเล็กน้อย เพราะโดนจากกระสุนจาก Prince of Wales ประมาณ 2-3 นัด โดยมีเรือที่วิ่งตาม Bismarck อยู่ สองสามลำ แต่เรือ Bismarck วิ่งเร็วกว่าเรืออังกฤษ ทำให้ Bismarck หลุดพ้นจากการติดตามของอังกฤษไปได้ ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของ Bismarck ก็คือ กรณีแรก ผบ.เรือ ดันส่งสัญญาณวิทยุออกไป ทำให้อังกฤษจับตำแหน่งของเรือได้อีกครั้ง เรือที่แล่นตามบิสมาร์ค ชื่อ นอร์ฟอล์ค กับ ซับฟอล์ค เหตุที่บิสมาร์ค ส่งข่าวทางวิทยุเนื่องจาก เรดาห์บิสมาร์ค จับตำแหน่งเรือนอร์ฟอล์ค กับ ซับฟอล์ค ได้ นายพลลึทเย็น(อดีตผบ.โรงเรียนการปืน)จึงเข้าใจผิดว่า เรือบิสมาร์คอยู่ในรัศมีเรดาห์เรืออังกฤษ (ซึ่งความจริงเรืออังกฤษมีรัศมีเรดาห์สั้นกว่าบิสมาร์ค) จึงคิดว่าไหนๆก็สลัดไม่หลุดแล้วส่งข่าวการจมเรือฮูดออกไปดีกว่า การปฏิบัติการที่ช่องแคบเดนมาร์กนั้นกินเวลา24 นาทีเท่านั้นโดยสามารถจมเรือฮูด(ติดปืน15 นิ้ว 8 กระบอก)ได้ และ เรือปรินซ์ออฟเวล(ติดปืน14 นิ้ว 10 กระบอก)เสียหายหนัก หลังจากนั้นก่อนจมนอกชายฝั่งฝรั่งเศส(เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การรบที่ใช้เรดาห์ควบคุมการยิงในเวลากลางคืน) ก็สร้างความเสียหายอย่างหนักจนต้องไปซ่อมที่อเมริกาหลายเดือนแก่เรือ รอดนี่ย์(เนลสัน คลาส ติดปืน16 นิ้ว 9 กระบอก)และเรือ คิงจอร์ชที่5(ปรินซ์ออฟเวล คลาส) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ กันยายน 22, 2007, 11:26:43 PM ผมเพิ่งเข้ามาดูครับ....เป็นมหากาพย์ WW II เลยครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 12:27:48 AM เรือเยอรมันชื่อดังอีกลำก็คือ Admiral Graf Spee
เป็นเรือประจัญบานขนาดเล็ก ซึ่งเยอรมันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการนำปืนขนาดใหญ่ ไปติดบนเรือขนาดเล็ก เรือลำนี้ถูกส่งออกไปแอตแลนติก ก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น เมื่อสงครามเริ่มก็โจมตีเรือสินค้าของอังกฤษ แถวๆ อเมริกาใต้ แต่ก่อนการโจมตี Graf Spee จะส่งสัญญาณให้ยอมแพ้ ก่อนที่จะทำลายเรือสินค้า โดยให้โอกาสลูกเรือที่กำลังจะถูกจม หนี หรือ มาเป็นเชลย Graf Spee อาละวาดอยู่หลายเดือนก็โดนเรืออังกฤษล้อมกรอบ แต่ Graf Spee ลำเดียวก็สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเรืออังกฤษ ผู้ล่า Graf Spee เสียหายเล็กน้อยแต่ต้องได้รับการซ่อมบำรุง เพราะสภาพเรือตอนนั้นไม่สามารถเดินทางกลับบ้านในระยะทาง 10,000 กว่า กิโลเมตรได้ เรือก็เลยต้องหนีเข้าไปที่ชาติเป็นกลาง เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย (ที่จริง Graf Spee อยากไป Argentina มากกว่า เพราะเป็นมิตรกับเยอรมัน แต่ระยะทางไกลกว่า และ ต้องฝ่ากองเรืออังกฤษอีก) Graf Spee อยู่ที่มอนเตวิเดโอ ได้เพียงแค่ สาม วัน ตามกฎหมายของประเทศเป็นกลาง ครบกำหนด Graf Spee ก็แล่นออกไปในทะเลหลวงที่มีกองเรืออังกฤษรออยู่ แต่ Graf Spee ก็เลือกที่จะระเบิดตัวเอง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 23, 2007, 12:33:45 AM สตูก้า รุ่นปราบรถถัง จะติดปืน 37 มม. 2 กระบอก(ดัดแปลงจาก ปตอ. 37 มม.มีกระสุนกระบอกละ6 นัด) อัตรายิงกระบอกละ ประมาณ 80 นัดต่อนาที น้ำหนักหัวกระสุน ประมาณ 2 ปอนด์ ความเร็ว1000 m/sec รถถัง t34 โดนมักจะไม่ค่อยรอดครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Junkers_Ju_87 http://www.kbismarck.com/armament.html หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 03:25:08 AM เรือเยอรมันชื่อดังอีกลำก็คือ Admiral Graf Spee เป็นเรือประจัญบานขนาดเล็ก ซึ่งเยอรมันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการนำปืนขนาดใหญ่ ไปติดบนเรือขนาดเล็ก เรือลำนี้ถูกส่งออกไปแอตแลนติก ก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น เมื่อสงครามเริ่มก็โจมตีเรือสินค้าของอังกฤษ แถวๆ อเมริกาใต้ แต่ก่อนการโจมตี Graf Spee จะส่งสัญญาณให้ยอมแพ้ ก่อนที่จะทำลายเรือสินค้า โดยให้โอกาสลูกเรือที่กำลังจะถูกจม หนี หรือ มาเป็นเชลย Graf Spee อาละวาดอยู่หลายเดือนก็โดนเรืออังกฤษล้อมกรอบ แต่ Graf Spee ลำเดียวก็สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเรืออังกฤษ ผู้ล่า Graf Spee เสียหายเล็กน้อยแต่ต้องได้รับการซ่อมบำรุง เพราะสภาพเรือตอนนั้นไม่สามารถเดินทางกลับบ้านในระยะทาง 10,000 กว่า กิโลเมตรได้ เรือก็เลยต้องหนีเข้าไปที่ชาติเป็นกลาง เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย (ที่จริง Graf Spee อยากไป Argentina มากกว่า เพราะเป็นมิตรกับเยอรมัน แต่ระยะทางไกลกว่า และ ต้องฝ่ากองเรืออังกฤษอีก) Graf Spee อยู่ที่มอนเตวิเดโอ ได้เพียงแค่ สาม วัน ตามกฎหมายของประเทศเป็นกลาง ครบกำหนด Graf Spee ก็แล่นออกไปในทะเลหลวงที่มีกองเรืออังกฤษรออยู่ แต่ Graf Spee ก็เลือกที่จะระเบิดตัวเอง บางท่านเรียกว่าเรือประจัญบานขนาดกระเป๋าครับ... ลักษณะการปฏิบัติการของ Admiral Graf Spee นั้นสร้างความเสียหายอย่างสูงให้กับสัมพันธมิตรครับ... แค่เรือระวางขับน้ำหมื่นกว่าตันอาละวาดไปทั้งสองฝั่งแอตแลนติค ต้องใช้กองเรือหลายกองไล่ล่า สุดยอดจริงๆครับ ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องการส่งกำลังบำรุง สมรภูมิแอตแลนติกจะดุเดือดกว่านี้อีกมากครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 06:42:06 AM (http://www.geozigzag.com/images/marshall.jpg)
จอมพลจอร์จ แคทเลทท์ มาร์แชล (George Catlett Marshall 31 ธันวาคม พ.ศ. 2423 16 ธันวาคม 2502) จอมพลแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ผู้นำกองทัพและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเป็นผู้นำชัยชนะมาสู่กองทัพพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 11:09:09 AM (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg)
สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 11:24:42 AM (http://www.brown.edu/Courses/Bio_160/Projects2000/Anthrax/images/troop.gif)
ขณะเดียวกัน กองทัพญี่ปุ่นยังได้เข้าไปตั้งสถานีวิจัยอาวุธชีวะในสิงคโปร์ เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับกาฬโรค และส่งให้หน่วยทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยด้วย กองทัพญี่ปุ่นใช้อาวุธชีวะ ในการทำสงครามกับจีนและโซเวียต ระหว่างปี ค.ศ.19401944 ทั้งนี้ เชื้อโรคที่ญี่ปุ่นเคยศึกษาวิจัย ได้แก่ โรคแอนแทรกซ์ โรคแท้งติดต่อ อหิวาตกโรค บาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ กาฬโรค ไข้รากสาด ไข้รากสาดน้อย ไข้ทรพิษ และวัณโรค ไม่เพียงการใช้อาวุธชีวะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น แต่ใน ค.ศ. 1941 1942 อังกฤษได้ทำการทดลองปล่อยกระจายสารชีวะเพื่อเตรียมไว้ใช้โต้ตอบเยอรมัน หากพบว่าเยอรมันหันมาใช้อาวุธชีวะกับทหารอังกฤษ ในครั้งนั้น อังกฤษได้พ่นละอองเชื้อแอนแทรกซ์ใส่เกาะกรินาร์ด ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของแคว้นสก็อตแลนด์ ในกว่า 40 ปี ต่อมา การสำรวจยังพบว่า เชื้อดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ได้ ทกให้รัฐบาลอังกฤษ ต้องใช้เงินหลายล้านปอนด์ ฆ่าเชื้อที่ฝังอยู่ในดิน ด้วยวิธีการตัดหน้าดินทั้งเกาะไปทิ้งและราดน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ยุคสงครามเกาหลี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 23, 2007, 11:25:39 AM ในประวัติศาสตร์รัสเซีย แพ้แต่คนเอเชียตัวเล็ก เพียง 2 ชาติ คือ มองโกล กับเติร์ก ครับ
ยุทธวิธีที่มองโกลใช้คล้ายๆกับยุทธวิธี สายฟ้าแลบของเยอรมัน (การเอาชนะรัสเซียต้องใช้ความรวดเร็วมิฉะนั้นจะแพ้ความกว้างใหญ่และความหนาวเย็นของรัสเซีย กองทัพนโปเลียนใช้กองทัพปืนใหญ่เป็นแกนหลักเชื่องช้าเกินไป แต่เยอรมันที่ใช้ทัพรถถังเคลื่อนที่เร็วแต่แพ้เพราะไม่รวมศูนย์กำลังรบตีรัสเซียเป็นจุดๆไป)แต่มองโกลจะกระหน่ำศัตรูเป็นจุดๆไป ไม่ย่อยยับไม่เลิก แต่เยอรมันกลับสะเปะสะปะตีมั่วไปหมดครับ กระทั่งว่าในช่วง ค.ศ. 1206 ถึง 1226 นั้น จอมจักรพรรดิเจงกิสข่านสามารถแผ่ขยายอาณาจักรมองโกลครอบคลุม ได้ถึงสองในสามของแผ่นดินเอเชียและยุโรป ซึ่งรวมทั้ง รัสเซีย จีน โปแลนด์ อิหร่าน ฯลฯ เข้าไว้ด้วย นักรบมองโกลทำศึกดุจเดียวกับพวกเขาล่าสัตว์ โดยจะช่วยกันไล่ล่าให้สัตว์ตกอยู่ในวงล้อม จากนั้นก็รุมสังหารอย่างรวดเร็ว กลศึกอีกอย่างหนึ่งก็คือในขณะตั้งค่าย พักแรม ทหารแต่ละคนจะจุดไฟขึ้น 5 กอง ทำให้ ข้าศึกเห็นประหนึ่งมีรี้พลมหาศาล เพราะสว่างไสวไปทั้งค่ายในยามกลางคืน นี่เป็นจิตวิทยาที่ทำให้ข้าศึกหวั่นไหว และหมดกำลังใจที่จะสู้ แต่ไม่ทันที่จะครองได้ทั้งโลกดังใจ ท่านข่านก็เผอิญสิ้นชีพเสียก่อนใน ค.ศ.1227 เล่ห์สงครามสุดท้ายที่จะนำมาเล่า ออกจะเป็นกลยุทธ์อันน่าขยะแขยงที่เกิดขึ้นใน ปี ค.ศ.1346 แคฟฟา (Kaffa) เป็นเมืองท่าริมทะเลดำของอิตาลี เป็นจุดสุดท้ายของเส้นทางสายไหมจากเมืองจีนและตั้งอยู่ติดกับชายแดนของอาณาจักรมองโกล โดยทัพมองโกลก็ได้มารายล้อมอยู่นอกกำแพงเมืองแต่ยังไม่อาจโจมตี แคฟฟาให้แตกได้ และแล้วก็ได้เกิดระบาดของกาฬโรคในหมู่ทหารมองโกลที่ติดเชื้อมาจากดินแดนตะวันออก ตามผิวหนังของผู้ป่วยจะบวมและเกิดจุดดำๆ อันเนื่องมาจากการตกเลือดภายในร่างกาย สุดท้ายทหารมองโกลก็ล้มตายเกลื่อนกลาด ซากทหารที่ตายทำให้แม่ทัพมองโกลเกิดไอเดียกระฉูด แทนที่จะต้องเสียเวลากำจัดหรือฝังศพ เขาได้ บัญชาให้นำศพทหารเหล่านั้นวางลงในเครื่องยิงก้อนหิน แล้วดีดศพให้ลอยละลิ่วข้ามกำแพงเมืองแคฟฟาเข้าไป http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=62004 สงครามที่เมืองแคฟฟา(น่าจะเป็นเมืองเคียฟ)มีการใช้สงครามชีวะภาพเป็นครั้งแรกในโลก ยุทธวิธีหลักๆที่เยอรมันใช้แบบกองทัพมองโกลคือ ยุทธวิธีสายฟ้าแลบ การติดไซเรนข่มขวัญ(ใช้ปฏิบัติการจิตวิทยา) ต่างกันแค่ กองทัพโบราณกำจัดศัตรูแบบสิ้นซากเป็นรายๆไป กองทัพเยอรมันสะเปะสะปะเปิดแนวรบไปทั่วครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 12:20:56 PM (http://www.navalcadet.org/82/webboard/data/imagefiles/R433-1.jpg)
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2485 เป็นวันที่ประเทศไทยถูกรุกรานโดยเรือดำน้ำเป็นครั้งแรก โดยเรือดำน้ำอเมริกัน ชื่อ USS Thresher (เทรชเชอร์ หมายเลขเรือ SS-200) นำทุ่นระเบิดแม่เหล็ก MK.12 จำนวน 32 ลูก มาวางบริเวณเกาะล้าน นับเป็นสนามทุ่นระเบิดที่วางโดยเรือดำน้ำครั้งแรกในมหาสงครามเอเชียบูรพา เรือบรรทุกข้าวสารของญี่ปุ่นชื่อ ซิดนีย์มารู โดนทุ่นระเบิดสนามนี้เป็นลำแรก ในวันที่ 16 ตุลาคม (วันรุ่งขึ้น) โดยโดนระเบิดเข้าที่บริเวณท้ายเรือและกลางลำ ต้องจูงไปเกยตื้นที่เกาะไผ่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 23, 2007, 01:38:28 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ กันยายน 23, 2007, 02:06:09 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กันยายน 23, 2007, 08:11:49 PM (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 08:37:21 PM (http://www.campthai.com/images/sf_02.jpg)
สงครามโลกครั้งที่ 2 มีหน่วยรบพิเศษถือกำเนิดขึ้นหลายหน่วย และสร้างผลงานอันมีชื่อเสียงไว้อีกหลายครั้งโดยอเมริกามีหน่วยพลร่ม( Airborn ) เข้าก่อวินาศกรรมทำลายแนวหลังข้าศึกที่หาดนอร์มังดี ในวันดีเดย์( 6 มิถุนายน 2487 ) ซึ่งต่อมาเราก็รู้จักในนามพลร่มที่ 101 และ พลร่มที่ 82 และยังมีมนุษย์กบ( Frogman )เข้าสำรวจและทำลายทุ่นระเบิดหน้าหาดเพื่อเปิดทางให้เรือยกพลขึ้นบก โดยภายหลังได้พัฒนาเป็นหน่วย UDT หรือ SEAL รวมทั้งส่งหน่วยแรนเจอร์( Ranger )เข้าตีบริเวณชายหาดอีกด้วย ส่วนอังกฤษก็ส่งทหารหน่วยคอมมานโด( British Royal Marine Commandos )เข้ามาร่วมรบในครั้งนี้ ซึ่งทางฝ่ายเยอรมันเองก็มีหน่วยทหารรบพิเศษที่เรียกสั้น ๆ ว่า SS ที่ทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 09:18:44 PM (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) ขอตอบแบบไม่ค่อยมั่นใจครับ ที่ อเมริกาไม่ทิ้งที่ โตเกียว กับ โอซาก้า เพราะสองเมืองนี้ ได้ถูกโจมตีมาหลายครั้งแล้ว เมืองถูกทำลายไปมาก ส่วนที่ นางาซากิ คุ้นๆว่าเป็นเป้าหมายรองจากที่ไหนซักแห่ง เพราะเป้าหมายนั้นอากาศไม่ดี ผิดถูกอย่างไร รอผู้รู้ท่านอื่นครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 09:44:07 PM (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/236254722161.jpg)
ลูกระเบิดที่ทิ้งลงที่เมืองนางาซากิ..ได้ลดขนาดมวลวิกฤตลงได้....โดยนำสารกัมมันตรังสีจะป็นพลูโตเนียม.มาอัดให้หนาแน่นขึ้นอีกแล้วใช้หัวจุดระเบิดธรรดาล้อมเอาไว้..ครั้นกดชนวนระเบิด แรงระเบิดจะอัดมวลรวมของพลูโตเนียมจนเป็นมวล ..มหาวิกฤต..ขึ้น และให้แรงระเบิดเท่ากับทีเอ็นที 22000 ตัน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: E_mail ที่ กันยายน 23, 2007, 09:45:03 PM ขอถาม....
เหตุใดตอนกลางของสงครามชาติที่ยิ่งใหญ่ ประชากรและกำลังรบมหาศาลอย่างรัสเซีย ถึงถูกเยอรมันตีแตกถึงเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วนักครับ? ต่อให้มีสนธิสัญญาสงบศึก(?)กับเยอรมัน แต่เห็นๆอยู่แล้วว่ากำลังมีสงครามใหญ่ก็น่าจะมีการเตรียมการเอาไว้บ้าง จะว่าเจตนาเป็นแผนจะให้ฝ่ายเยอรมันล่วงลึกเข้ามาก็นับว่าเป็นการลงทุนที่อเน็จอนาจเกินไป เพราะถูกเผาดะฆ่าดะมาจนถึงเมืองหลวง.... แพ้ที่ยุทธศาสตร์ ? เยอรมันเก่งเกินไป? หรือฝ่ายเสธ.ของรัสเซียไม่เอาไหนจริงๆ? รบกวนขอเป็นคำวิจารณ์ที่เคี้ยวมาแล้วได้ไหมครับ แปะมาเยอะๆผมมึน :~) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 09:51:21 PM เพราะเยอรมันขาดศูนย์น้ำหนักในการรบ ทำอะไรเปะปะไปหมด ไล่ตั้งแต่ สร้างเครื่องบินขับไล่หลายแบบมากเกินไป เครื่องไอพ่น(mb262 สองเครื่องยนต์ )ก็หลายแบบ เครื่องใบพัดก็หลายแบบ(bf109,fw190,bf110 ในขณะที่อังกฤษเน้นไปที่spitfire เพียงแบบเดียว ส่วน bf110 นี่หนักมากครับ เป็นเครื่องขับไล่ที่ต้องมีเครื่องขับไล่ bf109 คุ้มกัน) ใช้เชื้อเพลิงหลายแบบ ซ่อมบำรุงหลายโรง หลายเครื่องจักร ต้องสำรองอะไหล่เยอะ(นอกเรื่องนิดทอ.ไทยแบบใหม่ถ้าจะซื้อ jas39 ไม่ถึงโหล แต่ต้องสร้างโรงซ่อม สำรองอะไหล่ สร้างช่างสร้างนักบินอีกหลายโหล เพื่อเครื่องบินโหลเดียว ก่อนจะเปลี่ยนยุคไปใช้เทคโนโลยีสเตลท์ ก็จะเข้าอีหรอบเดียวกันครับ) ทำให้ไม่มีเครื่องบินพอที่จะต่อต้านเครื่องทิ้งระเบิดสัมพันธมิตรได้ ประเด็นนี้ผมเห็นตรงกันข้ามครับเพราะเยอรมัน ออกแบบเครื่องบินหลายแบบ เพื่อหลายภารกิจครับ ช่วงต้นสงคราม เช่น Me-109 เป็นเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็ก พิสัยบินสั้น ติดอาวุธเบา เหมาะสมต่อการป้องกันตนเอง หรือ เชิงรับ Me-110 เป็นเครื่องบินขับไล่สองเครื่องยนต์ พิสัยไกล เยอรมันใช้ในการคุ้มครองเครื่องบินทิ้งระเบิดไปยังเกาะอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ มีอัตราการสูญเสียมาก เพราะความคล่องตัวน้อยกว่า Spitfire หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 23, 2007, 09:52:50 PM (http://www.rmutphysics.com/charud/specialnews/6/nuclear/7.JPG)
เดือนมิถุนายน 1945 นักวิทยาศาสตร์โครงการแมนฮัตตัน จำนวน 155 คนลงนามเรียกร้องให้นายพลโกบ ทดลองระเบิดบนดินแดนที่ไร้ผู้คนก่อน แสดงแสนยานุภาพให้ญี่ปุ่นเห็น เพื่อยุติสงครามโดยไม่ทำลายพลเรือน แต่ท่านนายพลไม่พอใจ ปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เสนอการทดลองที่ประสพความสำเร็จให้ท่านประธานาธิบดี ซึ่งท่านถูกกระแสกดดันจากประชาชนและรัฐบาลให้รีบยุติสงครามโดยเร็ว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดๆทั้งสิ้น เขาจึงฟังนายพลโกบตัดสินใจครั้งสำคัญ อนุมัติให้ใช้ระเบิดได้ ดังนั้น เวลาตี 2 ของวันที่ 6 สิงหาคม 1945 นักบินที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี นำเครื่องบิน บี 29 มุ่งเข้าสู่เมืองฮิโรชิมา ในเวลา 8.45 น. เมื่อเครื่องบินอยู่เหนือเมือง ระเบิดลูกแรกชื่อว่าเจ้าหนูน้อย จึงถูกปล่อยออกจากใต้ท้องของเครื่องบิน ใช้เวลาตกลงมา 43 วินาทีจึงระเบิด นักบินรายงานว่า เขาเห็นแต่กลุ่มไอน้ำที่กระจายพวยพุ่งขึ้นมา โดยไม่เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นด้านล่าง ส่วนเมืองด้านล่างนั้น พื้นที่เกือบ 90 เปอร์เซนต์ถูกทำลายเรียบ พลเรือนกว่าแสนคนสูญเสียชีวิตในทันที อีก 3 วันต่อมา ลูกระเบิดอีกลูกหนึ่ง เรียกว่า เจ้าหมูอ้วน ถูกหย่อนเหนือเมืองนางาซากิ ความเสียหายไม่น้อยกว่าฮิโรชิมา ทำให้ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข สงครามโลกครั้งที่สองจึงจบลง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 09:53:58 PM ช่วงกลางสงคราม
เยอรมันเริ่มถูกโจมจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร พวก 4 เครื่องยนต์ เช่น B-17, B-24 ของอเมริกา มาทิ้งตอนกลางวัน ส่วนของอังกฤษ พวก Lancaster, Halifax, Short Sterling มาทิ้งตอนกลางคืน Me-109 ไม่เหมาะกับการต่อกรเครื่องบินพวกนี้ เพราะอาวุธขนาดเล็ก ขนาด 12.7 ม.ม. เครื่องบินทิ้งระเบิดพวกนี้โดนยิงก็ไม่สะเทือนเท่าไร Me-109 ปรับปรุงให้ติดปืนขนาด 20 ม.ม. ได้ แต่ก็บรรทุกกระสุนได้น้อย ยิงไปไม่กี่ชุดก็หมดแล้ว เยอรมันก็พัฒนา FW-190 ซึ่งใหญ่กว่า ติดปืน 20 ม.ม. 4 กระบอก บรรทุกกระสุนได้มาก ช่วงนั้นเครื่องบินของอเมริกา ถูก Fw-190 ยิงตกมาก ส่วนเครื่องบินอังกฤษที่บินตอนกลางคืน เรดาร์ขนาดใหญ่เกินกว่าที่เครื่องบินขนาดเล็กจะติดตั้งได้ เยอรมันก็เอา Me-110 มาติดเรดาร์เพื่อเป็นเครื่องบินขับไล่กลางคืน ก็ประสบความสำเร็จมากพอสมควร เครื่องบินทิ้งระเบิดอังกฤษ มีอัตราการสูญเสีย แบบน่าตกใจ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 09:56:31 PM ก่อนปลายสงคราม
อเมริกาพัฒนาเครื่องบินขับไล่คุ้มกับพิสัยไกลได้ (ก่อนหน้านั้น ฝูงบินทั้งระเบิด มีเครื่องบินขับไล่คุ้มกัน แค่ครึ่งทาง) P-38 Lightning สองเครื่องยนต์, P-51 Mustang, P-40 เครื่องยนต์เดียวแต่ติดถึงน้ำมันภายนอก พวกนี้สามารถคุ้มกับเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ตลอดทาง เยอรมันแทบไม่ได้พัฒนา Me-109 และ Me-110 ต่อ แต่ไปปรับปรุง FW-190 ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น และ พัฒนาเรดาร์ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อติด FW-190 ได้ ส่วน Me-110 แทบเลิกใช้ เพราะเยอรมันพัฒนา He-219 เครื่องบินขับไล่กลางคืนสมบูรณ์แบบ ปลายสงคราม เยอรมันพัฒนา Me-262 เครื่องบินขับไล่ใช้เครื่องยนต์เจต ซึ่งเครื่องบินไอพ่นแบบแรกของโลก Me-262 สมรรถนะสูงกว่าเครื่องบินแบบใดในสมัยนั้น แต่ Me-262 ผลิตได้ไม่กี่ร้อยลำ สงครามก็สงบ ความสูญเสียของ Me-262 เกือบทั้งหมดมาจากอุบัติเหตุ เครื่องบินไอพ่นที่เราเห็นอยู่วันนี้ ก็มาพื้นฐานมาจาก Me-262 ทั้งนั้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 23, 2007, 10:52:24 PM ขอถาม.... เหตุใดตอนกลางของสงครามชาติที่ยิ่งใหญ่ ประชากรและกำลังรบมหาศาลอย่างรัสเซีย ถึงถูกเยอรมันตีแตกถึงเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วนักครับ? ต่อให้มีสนธิสัญญาสงบศึก(?)กับเยอรมัน แต่เห็นๆอยู่แล้วว่ากำลังมีสงครามใหญ่ก็น่าจะมีการเตรียมการเอาไว้บ้าง จะว่าเจตนาเป็นแผนจะให้ฝ่ายเยอรมันล่วงลึกเข้ามาก็นับว่าเป็นการลงทุนที่อเน็จอนาจเกินไป เพราะถูกเผาดะฆ่าดะมาจนถึงเมืองหลวง.... แพ้ที่ยุทธศาสตร์ ? เยอรมันเก่งเกินไป? หรือฝ่ายเสธ.ของรัสเซียไม่เอาไหนจริงๆ? รบกวนขอเป็นคำวิจารณ์ที่เคี้ยวมาแล้วได้ไหมครับ แปะมาเยอะๆผมมึน :~) แพ้ที่ยุทธศาสตร์ ? เยอรมันเก่งเกินไป? หรือฝ่ายเสธ.ของรัสเซียไม่เอาไหนจริงๆ? สาเหตุที่เยอรมันบุกถึงชานกรุงมอสโคว์ได้นั้นเนื่องจาก เยอรมันเก่งจริงๆ เหนือกว่าทุกอย่างทั้งคน ยุทธโธปกรณ์ ยุทธศาสตร์ เรียกว่า ปัจจัยสำคัญในการรบ 4 อย่างเยอรมันเหนือกว่าถึง3 อย่างได้แก่ คน อาวุธ ยุทธศาสตร์ ก่อนเข้าหน้าหนาว ปัจจัยด้านธรรมชาติ(ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ)เยอรมันก็ไม่เป็นรองเท่าไหร่ " เหตุที่กองทัพเยอรมันย่อยยังเพราะประมาทดูถูกศัตรู " ไม่เร่งตีมอสโคว์ให้ก่อนหน้าหนาวมาเยือน เพราะมอสโคว์เป็นศูนย์บัญชาการเป็นหัวใจและศูนย์รวมจิตใจของประเทศรัสเซีย หาก มอสโคว์แตก สายการบังคับบัญชาการสื่อสารส่วนใหญ่ก็จะถูกทำลาย ขวัญกำลังใจ ทหารและประชาชนรัสเซียก็จะไม่เหลือไม่มีแก่ใจสู้รบ แต่พอเยอรมันแบ่งกำลังเป็นหลายส่วน ทำให้กำลังที่ตีมอสโคว์ไม่เพียงพอที่จะตีมอสโคว์(ระหว่างทางมามอสโคว์ก็มีเซนต์ปีเตอร์เบิร์กก็ตีไม่แตกอีกเหมือนกัน)ให้แตกได้ ทหารรัสเซียก็เลยยิ่งมีกำลังใจป้องกันบ้านเมืองครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 11:35:33 PM ขอถาม.... เหตุใดตอนกลางของสงครามชาติที่ยิ่งใหญ่ ประชากรและกำลังรบมหาศาลอย่างรัสเซีย ถึงถูกเยอรมันตีแตกถึงเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วนักครับ? ต่อให้มีสนธิสัญญาสงบศึก(?)กับเยอรมัน แต่เห็นๆอยู่แล้วว่ากำลังมีสงครามใหญ่ก็น่าจะมีการเตรียมการเอาไว้บ้าง จะว่าเจตนาเป็นแผนจะให้ฝ่ายเยอรมันล่วงลึกเข้ามาก็นับว่าเป็นการลงทุนที่อเน็จอนาจเกินไป เพราะถูกเผาดะฆ่าดะมาจนถึงเมืองหลวง.... แพ้ที่ยุทธศาสตร์ ? เยอรมันเก่งเกินไป? หรือฝ่ายเสธ.ของรัสเซียไม่เอาไหนจริงๆ? รบกวนขอเป็นคำวิจารณ์ที่เคี้ยวมาแล้วได้ไหมครับ แปะมาเยอะๆผมมึน :~) แพ้ที่ยุทธศาสตร์ ? เยอรมันเก่งเกินไป? หรือฝ่ายเสธ.ของรัสเซียไม่เอาไหนจริงๆ? สาเหตุที่เยอรมันบุกถึงชานกรุงมอสโคว์ได้นั้นเนื่องจาก เยอรมันเก่งจริงๆ เหนือกว่าทุกอย่างทั้งคน ยุทธโธปกรณ์ ยุทธศาสตร์ เรียกว่า ปัจจัยสำคัญในการรบ 4 อย่างเยอรมันเหนือกว่าถึง3 อย่างได้แก่ คน อาวุธ ยุทธศาสตร์ ก่อนเข้าหน้าหนาว ปัจจัยด้านธรรมชาติ(ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ)เยอรมันก็ไม่เป็นรองเท่าไหร่ " เหตุที่กองทัพเยอรมันย่อยยังเพราะประมาทดูถูกศัตรู " ไม่เร่งตีมอสโคว์ให้ก่อนหน้าหนาวมาเยือน เพราะมอสโคว์เป็นศูนย์บัญชาการเป็นหัวใจของประเทศรัสเซีย หาก มอสโคว์แตก สายการบังคับบัญชาการสื่อสารส่วนใหญ่ก็จะถูกทำลาย ขวัญกำลังใจ ทหารและประชาชนรัสเซียก็จะไม่เหลือไม่มีแก่ใจสู้รบ แต่พอเยอรมันแบ่งกำลังเป็นหลายส่วน ทำให้กำลังที่ตีมอสโคว์ไม่เพียงพอที่จะตีมอสโคว์(ระหว่างทางมามอสโคว์ก็มีเซนต์ปีเตอร์เบิร์กก็ตีไม่แตกอีกเหมือนกัน)ให้แตกได้ ทหารรัสเซียก็เลยยิ่งมีกำลังใจป้องกันบ้านเมืองครับ เสริมท่าน nars ครับ... ปัญหาของเยอรมันนั้นเป็นปัญหาด้านภูมิศาสตร์และการส่งกำลังบำรุงครับ... ยิ่งบุกลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียเท่าไรแนวรบยิ่งกว้างออก ระยะทางการส่งบำรุงยิ่งไกล ทางรถไฟก็ไม่ต่อเนื่อง รัสเซียเมื่อแต่ละเมืองแตกก็ไม่ทิ้งอะไรไว้เลยนอกจากซากปรักหักพัง ขนาดเผาเมืองทิ้งไว้ก่อนถอยทัพครับ... ทั้งกำลังกองหนุน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง เสบียงอาหาร รวมถึงอาวุธต้องส่งจากแนวหลังตลอด พอเจอหน้าหนาวเข้าอีก ด้วยอุณหภูมิติดลบ ทั้งสมรภูมิมีแต่ทุ่งหิมะกับน้ำแข็ง การส่งกำลังบำรุงย่อมเกิดปัญหาขนาดหนักแน่นอนครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 23, 2007, 11:45:06 PM (http://www.geocities.com/saniroj/signal4ere.JPG) ทหารเยอรมันและ Panzer III ติดปืนใหญ่ 50 มม. ซึ่งไม่สามารถหยุดรถถัง T 34 ได้ อย่างไรก็ตามรถถังรุ่นนี้ ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ ในทุกแนวรบของเยอรมัน ดังที่นายพลกูเดเรียนยกย่องรถถัง Panzer III นี้ว่า กระดูกสันหลังของหน่วยยานเกราะเยอรมัน แพนเซอร์ ทรี (PANZERKAMPFWAGEN III) (http://www.geocities.com/saniroj/pz3af.jpg) รถถังรุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นรถถังหลักของหน่วยยานเกราะเยอรมัน หรือที่เรียกกันว่า PANZER (เป็นภาษาอังกฤษว่า ARMOUR หรือยานเกราะ) ปรากฏโฉมครั้งแรกในปี 1936 โดยอยู่ในกองพล PANZER ต่อมาเดมเลอร์ เบนซ์ (Daimler-Benz) ได้พัฒนา PzKpfw III แบบ E เพื่อให้สามารถผลิตได้ทีละมากๆ มีล้อ 6 ล้อ ปรับปืนใหญ่ประจำรถจาก 37 มิลลิเมตร เป็น 50 มิลลิเมตร ซึ่งในขณะนั้นถือว่ามีอานุภาพ เหนือกว่าปืนใหญ่ประจำรถถังของฝ่ายพันธมิตรทุกชนิด จนกระทั่ง ยุทธการบาร์บารอสซ่า (Barbarossa) ได้เปิดฉากขึ้น คราวนี้ PzKpfw III ได้พบกับรถถัง T 34 ของรัสเซีย ที่มีปืนประจำรถขนาด 76 มิลลิเมตร เหนือกว่า PzKpfw III ทำให้เยอรมันต้องหันมาปรับปรุงรถถังของตนอย่างขนานใหญ่ อย่างไรก็ตาม PzKpfw III ก็ยังคงใช้งานอยู่ในกองทัพนาซีเยอรมันจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะในปี 1943 รถถัง PzKpfw III ได้มีส่วนร่วมในยุทธการที่สำคัญๆทุกยุทธการ สมรรถนะ น้ำหนักพร้อมรบ 19,800 กก. ความเร็วสูงสุด 40 กม.ต่อ ชม. ยาว 5.38 ม. กว้าง 2.91 ม. สูง 2.44 ม. อาวุธ ปืนใหญ่ขนาด 37 มม. ต่อมาเปลี่ยนเป็น 50 มม. เกราะหนา 12 มม. ถึง 30 มม. พลประจำรถ 5 คน ผมขอถามท่านผู้รู้ทั้งหลายเพิ่มนะครับ... เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนผมดู discovery channel จัดสิบอันดับรถถังที่ดีที่สุดในยุคสมัยของมัน... อันดับ 1 คือ T 34 ขณะที่ Tiger (รถถังยอดนิยมของผมติดอันดับ 4 หรือ 5 :~) )และ Panther ติดอันดับ 7 หรือ 8 นี่แหละครับ... ส่วนตัวผมยังข้องใจไม่หาย เพราะผมเข้าใจว่ารถถังที่เยี่ยมที่สุดใน WW II น่าจะเป็น Tiger...อิ..อิ... รบกวนถามถึงข้อดี/ข้อเสียของรถถังทั้งสองตระกูล... และหากได้ทราบถึงพัฒนาการของ Panzer ตั้งแต่ต้นสงครามไปถึงปลายสงครามจะขอบคุณมากครับ... อนึง...ข้อมูลที่ท่านวัฒน์กรุณาเล่ามานั้นก็ดีมากอยู่ครับ แต่ผมอยากทราบในด้านลึกลงไปอีกน่ะครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 23, 2007, 11:48:52 PM ช่วงกลางสงคราม เยอรมันเริ่มถูกโจมจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร พวก 4 เครื่องยนต์ เช่น B-17, B-24 ของอเมริกา มาทิ้งตอนกลางวัน ส่วนของอังกฤษ พวก Lancaster, Halifax, Short Sterling มาทิ้งตอนกลางคืน Me-109 ไม่เหมาะกับการต่อกรเครื่องบินพวกนี้ เพราะอาวุธขนาดเล็ก ขนาด 12.7 ม.ม. เครื่องบินทิ้งระเบิดพวกนี้โดนยิงก็ไม่สะเทือนเท่าไร Me-109 ปรับปรุงให้ติดปืนขนาด 20 ม.ม. ได้ แต่ก็บรรทุกกระสุนได้น้อย ยิงไปไม่กี่ชุดก็หมดแล้ว เยอรมันก็พัฒนา FW-190 ซึ่งใหญ่กว่า ติดปืน 20 ม.ม. 4 กระบอก บรรทุกกระสุนได้มาก ช่วงนั้นเครื่องบินของอเมริกา ถูก Fw-190 ยิงตกมาก ส่วนเครื่องบินอังกฤษที่บินตอนกลางคืน เรดาร์ขนาดใหญ่เกินกว่าที่เครื่องบินขนาดเล็กจะติดตั้งได้ เยอรมันก็เอา Me-110 มาติดเรดาร์เพื่อเป็นเครื่องบินขับไล่กลางคืน ก็ประสบความสำเร็จมากพอสมควร เครื่องบินทิ้งระเบิดอังกฤษ มีอัตราการสูญเสีย แบบน่าตกใจ สงครามทางอากาศนั้น เยอรมันไม่มีเครื่องบินขับไล่เพียงพอ เครื่องบินทิ้งระเบิด อเมริกันมาขบวนละ หลายร้อยลำ บางครั้งถึง1000 ลำ ในคราวถล่มเบอร์ลินหรือ เดรสเดน ฮัมบูร์ก จนเดรสเดนกับฮัมบูร์กหายไปทั้งเมือง ส่วนเรื่องติดอาวุธได้น้อยนั้น ถ้ามีbf109(version ล่าสุดมีกำลังสูงสุด 2000แรงม้า ความเร็วสูงสุดบินระดับ 750 km/hในรุ่น k6-k14 มีสมรรถนะเหนือกว่า สปริตไฟร์ และเมื่อเทียบกับ p40,p51ที่มีเครื่องยนต์ประมาณ 2000-2500 แรงม้าก็ยังมีอัตราไต่อัตราเร่งที่ดีกว่าเนื่องจากมีขนาดเล็กกว่า)จำนวนที่เพียงพอ bf109รุ่น k6 ติดปืน13 มม.(กระบอกละ300 นัด) ได้ 2 กระบอก ปืน 30 มม. ได้ 3 กระบอก(กระบอกตรงกลางเครื่องยนต์100 นัด ที่ใต้ปีกกระบอกละ40-50 นัด) กระสุน เกือบ 200 นัด(น้ำหนักหัวกระสุนนัดละ330 กรัม ในรุ่นลำกล้องสั้น 530 กรัมในรุ่นลำกล้องยาว แต่เหมาะสมที่สุดน่าจะเป็น ติดปืน13 มม2 กระบอกและ 20 มม. 3 กระบอก(ตรงกลางเครื่องยนต์200 นัด ในปีกข้างละ100 นัดhttp://fr.wikipedia.org/wiki/Messerschmitt_Bf_109 ) กระสุน20 มม. 400 กว่านัดมากกว่า เพราะ รุนแรงพอที่จะสอยเครื่องบินทิ้งระเบิด มีจำนวนมากพอที่จะสู้กับเครื่องบินขับไล่http://www.adlertag.de/mainindex.htm ) พอที่จะสอย b17 ได้ 2 ลำสบายๆ (กระสุน 30 มม. mk108 มี nick name ว่า jackhammer เนื่องจากเสียงที่ยิง และอำนาจระเบิดที่รุนแรงพอๆกับระเบิดมือ1 ลูก แต่มีข้อเสียที่ความเร็วต่ำแค่ 520 m/sec ช้าไปสำหรับยิง ขับไล่แต่ก็ ยิงเป้าใหญ่อย่าง b17 ได้สบายๆ และกระสุน30 มม.mk103 หัวกระสุนหนักครึ่งกิโลกรัม ความเร็วต้น 860m/sec ใช้ยิงรถถังt34 จากด้านหลังได้สบายๆ)และยังต่อสู้กับเครื่องขับไล่ได้อย่างคล่องตัวเพียงพอด้วยครับ หารูปตำแหน่งติดตั้งปืนกลมาให้ดูครับ รูปแรกเป็นปืน mk108 ขนาด 30 มม.ลำกล้องสั้นติดใต้ปีก2 ข้าง รูปที่2 ตรงกลางแกนใบพันจะติดลำกล้องปืนผ่านตรงกลางเครื่องยนต์ ติดmk103(30 มม.ลำกล้องยาว) หรือ mk108 ขนาด30 มมได้ หรือจะติดmk151/20 ขนาด20 มม.ก็ได้ครับ ส่วนตรงเหนือเครื่องยนติดปืน กล mg131 ขนาด 13 มม.ได้ 2 กระบอกครับ เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนผมดู discovery channel จัดสิบอันดับรถถังที่ดีที่สุดในยุคสมัยของมัน... อันดับ 1 คือ T 34 ขณะที่ Tiger (รถถังยอดนิยมของผมติดอันดับ 4 หรือ 5 )และ Panther ติดอันดับ 7 หรือ 8 นี่แหละครับ... ส่วนตัวผมยังข้องใจไม่หาย เพราะผมเข้าใจว่ารถถังที่เยี่ยมที่สุดใน WW II น่าจะเป็น Tiger...อิ..อิ... รบกวนถามถึงข้อดี/ข้อเสียของรถถังทั้งสองตระกูล... รถถังไทเกอร์มี เกราะที่หนามากและคุณภาพการอบชุบเกราะของ grupp มีความแกร่ง 60 hrc (ปกติเหล็กที่ชุบแข็ง เกิน 60 hrc จะใช้ มีดกลึง carbine กัดแทบไม่เข้าจะสึกเร็วมาก ต้องใช้ diamond หรือเซรามิก) แต่รถถังไทเกอร์มีข้อเสียคือน้ำหนัก ถึง60 ตัน(เท่าๆกับรถถังสมัยใหม่ อย่าง m1 abram) แต่มีจุดอ่อนที่เครื่องยนต์มีกำลังไม่พอ และ เครื่องยนต์ไม่มีความน่าเชื่อถือได้ รวมทั้งระบบ suspension ก็ยังไม่แข็งแรงพอ ในยุทธการbulge รถถัง tiger ไล่กองทัพรถถังพันธมิตร ถอยไม่เป็นขบวน แต่ น้ำมันหมดเสียก่อน เพราะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงมากครับ ส่วน t34 มีเกราะหนาเฉพาะด้านหน้า เกราะด้านหลังบาง โดน ju87 สอยด้วยปืน 37 mm เสร็จทุกราย t34เครื่องยนต์ น้ำหนักรถ ช่วงล่าง ความหนาเกราะมีความสมดุล ลุยโคลนในแถบเมืองบาคู ถล่ม แพนเซอร์ที่หนักจนติดหล่มตลอดครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 12:16:57 AM ผมยังติดใจเรื่องยานเกราะของเยอรมันอยู่อีกมากครับ...
เข้าใจว่าสามวันก็ถามไม่หมด...ฮา... อย่างเช่น น้องหนู SturmTiger คันนี้... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/d/d6/SturmTiger_from_right.jpg) (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a1/Germany06_086.jpg/800px-Germany06_086.jpg) ที่ใช้อาวุธหลักเป็นปืนจรวดขนาด 380 ม.ม. ทั้งที่ตัวหนักแค่ 65 ตัน... หรือพี่อวบอย่าง Maus... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a4/Panzer_Maus_%28Modell%29.jpg/800px-Panzer_Maus_%28Modell%29.jpg) ที่หนักแค่ 188 ตัน... ใช้ปืนใหญ่หลักขนาด 128 ม.ม.และปืนร่วมแกนขนาด 75 ม.ม.เยี่ยมไหมครับ... พี่อวบนี่เป็น Panzer VIII น่ะครับ... ผมอยากรู้ที่มาที่ไปน่ะครับ เพราะผมคิดว่ายานเกราะเยอรมันมีการพัฒนาอย่างน่าทึ่งในช่วง WW II ครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 24, 2007, 01:02:39 AM ผมยังติดใจเรื่องยานเกราะของเยอรมันอยู่อีกมากครับ... เข้าใจว่าสามวันก็ถามไม่หมด...ฮา... อย่างเช่น น้องหนู SturmTiger คันนี้... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/d/d6/SturmTiger_from_right.jpg) (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a1/Germany06_086.jpg/800px-Germany06_086.jpg) ที่ใช้อาวุธหลักเป็นปืนจรวดขนาด 380 ม.ม. ทั้งที่ตัวหนักแค่ 65 ตัน... หรือพี่อวบอย่าง Maus... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a4/Panzer_Maus_%28Modell%29.jpg/800px-Panzer_Maus_%28Modell%29.jpg) ที่หนักแค่ 188 ตัน... ใช้ปืนใหญ่หลักขนาด 128 ม.ม.และปืนร่วมแกนขนาด 75 ม.ม.เยี่ยมไหมครับ... พี่อวบนี่เป็น Panzer VIII น่ะครับ... ผมอยากรู้ที่มาที่ไปน่ะครับ เพราะผมคิดว่ายานเกราะเยอรมันมีการพัฒนาอย่างน่าทึ่งในช่วง WW II ครับ... ;D น้องหนู SturmTiger คันนี้...ดูจากลักษณะการออกแบบน่าจะเอาไว้ทำลายบังเกอร์หรือกำแพงนะครับ pVIII มีนำหนัก มากเกินไปที่จะใช้ในสนามรบ หนักตั้ง188 ตัน ไปไหนคงยากแล้วเป็นเป้าใหญ่เกินไป (รถถังปัจจุบัน t 90ติดปืน125มม. ยังหนักแค่46 ตัวเองครับ) ความคล่องตัวไม่มี มีปืนหลัก128มม ไม่จำเป็นต้องมีปืนรอง 75มม(หรือเป็น7.5 มม.หว่า) อีกกระบอกแล้วครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 02:27:27 AM ปืนร่วมแกน ขนาด 75 ม.ม.จริงๆครับ...
แถม Maus ถึงผลิตออกมาแค่ 2 คัน ยังนำเข้าร่วมมรบกับรัสเซียจริงๆครับ... บังเอิญผมหาภาพจริงไม่ได้เลยนำภาพโมเดลมาลงไว้แทนครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 02:45:09 AM ผมยังสงสัยอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับยานเกราะเยอรมันครับ...
อย่างเช่น tank destroyer ตระกูล Panzerjager classification ทั้งชุดครับ... ว่ากำเนิดจากแนวคิดอย่างไร ผลิตออกแล้วงานดีแค่ไหน วีรกรรมเด่นๆในสมรภูมิใดบ้างครับ... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3e/PanzerjaegerI.jpg/733px-PanzerjaegerI.jpg) Panzerjaeger I :D (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/a/ad/Elefant_05.jpg) Elefant ไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ ชื่อนี้แหละ หนักกว่าเจ้าตัวบน 10 เท่าพอดี... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 03:01:44 AM แถมผมยังสงสัยบ้าหนักไปกว่านั้นอีกถึงตระกูล Super Heavy Tank ซึ่งเป็นแค่แบบแผน...
ใครจะเชื่อว่าเยอรมันออกแบบรถถังหนัก 1,000 ตัน ชื่อ Landkreuzer P. 1000 Ratte ซึ่งวางแผนจะติดปืนขนาด 280 mm สองกระบอก แถม 128 mm อีกหนึ่งกระบอก และปืนกล 20 mm แปดกระบอก พกด้วย 15 mm อีกสองกระบอก... ยังมีหนักกว่านั้นอีกครับ รถถังขนาด 2,500 ตัน ยาว 42 เมตร กว้าง 18 เมตร สูง 7 เมตร บรรทุกลูกเรือ 100+ นาย ชื่อ Landkreuzer P. 1500 Monster ซึ่งวางแผนจะติดปืนใหญ่(มาก)ขนาด 800 mm พร้อมปืน howitzer ขนาด 150 mm อีกสองกระบอก ปืนกลอีกนับไม่ถ้วน... ซึ่งผมหาภาพร่างไม่พบ ท่านใดทราบช่วยสงเคราะห์ด้วยเถิดครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 24, 2007, 09:32:05 AM (http://www.panzerschreck.de/panzer/pzkpfw/bilder/p1000.jpg)
Landkreuzer P. 1000 Ratte (http://www.panzerschreck.de/panzer/pzkpfw/bilder/p1500.jpg) Landkreuzer P-1500 "Monster" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ กันยายน 24, 2007, 09:33:08 AM ผมขอถามท่านผู้รู้ทั้งหลายเพิ่มนะครับ... เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนผมดู discovery channel จัดสิบอันดับรถถังที่ดีที่สุดในยุคสมัยของมัน... อันดับ 1 คือ T 34 ขณะที่ Tiger (รถถังยอดนิยมของผมติดอันดับ 4 หรือ 5 :~) )และ Panther ติดอันดับ 7 หรือ 8 นี่แหละครับ... ส่วนตัวผมยังข้องใจไม่หาย เพราะผมเข้าใจว่ารถถังที่เยี่ยมที่สุดใน WW II น่าจะเป็น Tiger...อิ..อิ... รบกวนถามถึงข้อดี/ข้อเสียของรถถังทั้งสองตระกูล... และหากได้ทราบถึงพัฒนาการของ Panzer ตั้งแต่ต้นสงครามไปถึงปลายสงครามจะขอบคุณมากครับ... อนึง...ข้อมูลที่ท่านวัฒน์กรุณาเล่ามานั้นก็ดีมากอยู่ครับ แต่ผมอยากทราบในด้านลึกลงไปอีกน่ะครับ...:D อันดับที่จัดใช้แฟ็คเตอร์หลายอย่างครับ...อันหนึ่งที่จําได้คือจํานวนผลิต... T-34ใช้การผลิตแบบง่ายๆ เทคโนโลยี่พื้นๆ เน้นทนทาน บํารุงรักษาง่าย... ขณะที่ไทเก้อร์ใช้เทคโนโลยี่ที่ทันสมัย(ในตอนนั้น)...ผลิตยาก ต้องการการบํารุงรักษาที่ดี.. รัสเซียใช้จํานวนเป็นหลัก...ประเภทดาหน้าเข้าไปเลย ที่โดนยิงก็โดนไป ยิงจนเหนื่อยก็ยังเหลืออีกเยอะ... ทหารรัสเซียเลยตายเยอะที่สุด... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 10:27:40 AM ขอถาม.... เหตุใดตอนกลางของสงครามชาติที่ยิ่งใหญ่ ประชากรและกำลังรบมหาศาลอย่างรัสเซีย ถึงถูกเยอรมันตีแตกถึงเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วนักครับ? ต่อให้มีสนธิสัญญาสงบศึก(?)กับเยอรมัน แต่เห็นๆอยู่แล้วว่ากำลังมีสงครามใหญ่ก็น่าจะมีการเตรียมการเอาไว้บ้าง จะว่าเจตนาเป็นแผนจะให้ฝ่ายเยอรมันล่วงลึกเข้ามาก็นับว่าเป็นการลงทุนที่อเน็จอนาจเกินไป เพราะถูกเผาดะฆ่าดะมาจนถึงเมืองหลวง.... แพ้ที่ยุทธศาสตร์ ? เยอรมันเก่งเกินไป? หรือฝ่ายเสธ.ของรัสเซียไม่เอาไหนจริงๆ? รบกวนขอเป็นคำวิจารณ์ที่เคี้ยวมาแล้วได้ไหมครับ แปะมาเยอะๆผมมึน :~) โอ้ กระทู้ถูกใจ ยาวจริงๆ ครับ ผมขอค่อยๆ อ่านก่อน ขอเสริมอีกเรื่องว่าฮิตเลอร์หลอกสตาลินได้สำเร็จจริงๆ นายเรนฮาร์ด เฮย์ดริช หัวหน้า RSHA ฝ่ายปฏิบัติการลับฝ่ายหนึ่งของ SS ทำเอกสารปลอมว่านายทหารโซเวียตกระด้างกระเดื่องวางแผนล้มสตาลิน ใช้ตรายางทำลายเซ็นต์นายทหารโซเวียตปลอม แล้วส่งรูปถ่ายเอกสารไปให้สตาลินๆ เลยจับทหารเก่งๆ ฆ่า (อีก) เพียบ ก่อนเยอรมันจะบุกมีเครื่องบินเยอรมันลำหนึ่งไปตกในเขตโซเวียต พบเอกสารเกี่ยวกับแผนการบุกแต่ผู้ใหญ่โซเวียตไม่เชื่อ หรือไม่กล้าคิดเชื่อเพราะขัดกับใจนาย (ระบบเผด็จการก็ยังงี้) ตอนเยอรมันบุกจริงๆ สตาลินสติแตกเก็บตัวในห้องตั้งนานกว่าจะทำอะไรได้ ที่น่าสนใจกว่าคือปัจจัยที่ทำให้เยอรมันเข้ามอสโคไม่ได้ ทั้งที่นโปเลียนยังเข้าได้ เช่น ความสเปสปะในการบุกของเยอรมันอย่างที่ท่านอื่นเคยโพสในกระทู้อื่นด้วย ถ้าดูยุคสมัยแล้ว นอกจากนี้คือสมัยนโปเลียนรัสเซียยกทัพมารบที่โบโรดิโน่ พอแพ้ก็ถอยและไม่สู้ตอนนโปเลียนจะเข้าเมือง แต่สตาลินไม่ยอมทิ้งเมือง ฯลฯ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 10:43:28 AM (http://www.geocities.com/clipart/pbi/pictures/Photos_Historical/stpaulsinlondonblitz.jpg) กรุงลอนดอนถูก Hitler ส่่งฝูงบิน Luffwaffe ถล่มอย่างหนัก ตามแผนสิงโตทะเล (Sealion) แต่ก็ไม่สามารถทำให้อังกฤษยอมจำนนได้ ในทางตรงกันข้าม กองทัพอากาศของเยอรมัน (Luftwaffe) กลับเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก ในที่สุดฮิตเลอร์ก็สั่งยกเลิกแผนบุกเกาะอังกฤษ และหันไปเปิดสงครามด้านรัสเซียแทน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า การที่ฮิตเลอร์ไม่สามารถพิชิตอังกฤษได้ และปล่อยให้อังกฤษเป็นสปริงบอร์ดของฝ่ายพันธมิตร ในการโจมตียุโรป มีผลอย่างมากต่อโฉมหน้าของสงคราม เพราะหากฮิตเลอร์ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดกับอังกฤษ โดยไม่เปิดแนวรบด้านรัสเซียเป็นแนวรบที่สอง โอกาสที่ฮิตเลอร์จะครองยุโรปอย่างถาวรมีสูงมาก เพราะพันธมิตรจะไม่มีฐานในอังกฤษ เพื่อการเตรียมการยกพลขึ้นบกในวันดี เดย์ ซึ่งวันดี เดย์นี้ ได้เปลี่ยนทิศทางของสงครามอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งพันธมิตรจะไม่มีฐานบินในอังกฤษ เพื่อโจมตีทางอากาศต่อเยอรมัน ซึ่งการโจมตีของพันธมิตรจากเกาะอังกฤษ สร้างความเสียหายทางอุตสาหกรรมให้แก่เยอรมันอย่างมาก อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการผลิตอาวุธเกือบทั้งหมดในเยอรมัน ต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ส่งผลให้เยอรมันไม่สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อนำไปใช้ในการรบได้อย่างเต็มที่ (http://www.geocities.com/clipart/pbi/pictures/Photos_Historical/cargoshipsinking.jpg) เรือสินค้าในแอตแลนติคเหนือ ถูก Hitler สั่งการให้เรือดำน้ำ U Boat โจมตี เพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลจากอเมริกาสู่อังกฤษ แต่ภายหลังจากที่ฝ่ายพันธมิตร มีการปรับยุทธวิธีในการล่าเรือดำน้ำของเยอรมัน โดยอาศัยเครื่องบินลาดตระเวณระยะไกลเป็นปัจจัยเสริม เรือดำน้ำของเยอรมันก็เริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเปลี่ยนสถานะจากผู้ล่า เป็นผู้ถูกล่าในที่สุด (http://www.geocities.com/clipart/pbi/pictures/Photos_Historical/britishplanegermanrocket.jpg) จรวด V 1 (ขวา) ของเยอรมัน ถูกตามประกบโดยเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษ จรวด V 1 นับเป็นอาวุธอีกชนิดหนึ่งที่นาซีเยอรมัน เป็นผู้บุกเบิกและนำมาใช้ ฮิตเลอร์เชื่อ ด้วยอานุภาพของอาวุธที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ จะทำให้โฉมหน้าของสงครามเปลี่ยนไป จรวด V1 ใช้เครื่อง Ramjet ไม่มีระบบบังคับการทรงตัวที่ดีและไม่มีระบบนำวิถี เยอรมันเพียงแค่ปล่อยให้บินไปตรงทิศ พอเชื้อเพลิงหมดกะให้ลงลอนดอน หรือบ้านเรือนใกล้เคียง ตรงไหนก็ได้ เนื่องจากบินช้ามากถ้าเรด้าร์อังกฤษจับไปก็ส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปรอแล้วยิงตกได้ หรือไม่ก็บินไปขนานเอาปลายปีกงัดให้คว่ำจรวดก็จะตกเองอย่างในรูปนี้ รวมๆแล้วเยอรมันส่งจรวด V1 ไปอังกฤษ 7 พันกว่าลูก ไม่มีผลกระทบต่อการรบในภาพรวม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Army - รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 24, 2007, 10:44:43 AM สนุกจังเลยครับ อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะจริงๆ ขอบคุณครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 10:50:51 AM เรนฮาร์ด เฮย์ดริช หัวหน้า RSHA ใช่คนเดียวกับ
ที่ถูกส่งไปปกครอง เช็คโกฯ.. หรือเปล่าครับ.. ถ้าเป็นคนเดียวกัน ประวัติ .. ถือเป็นแขนข้างหนึ่งของ อด๊อฟ ฮิตเลอร์ . และถูกลอบสังหาร ใน ปฎิบัติการ Operation day break . ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน.. ครับ. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 10:57:58 AM เรนฮาร์ด เฮย์ดริช หัวหน้า RSHA ใช่คนเดียวกับ ที่ถูกส่งไปปกครอง เช็คโกฯ.. หรือเปล่าครับ.. ถ้าเป็นคนเดียวกัน ประวัติ .. ถือเป็นแขนข้างหนึ่งของ อด๊อฟ ฮิตเลอร์ . และถูกลอบสังหาร ใน ปฎิบัติการ Operation day break . ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน.. ครับ. เรนฮาร์ด เฮย์ดริช หัวหน้า RSHA ใช่คนเดียวกับ ที่ถูกส่งไปปกครอง เช็คโกฯ.. หรือเปล่าครับ.. ถ้าเป็นคนเดียวกัน ประวัติ .. ถือเป็นแขนข้างหนึ่งของ อด๊อฟ ฮิตเลอร์ . และถูกลอบสังหาร ใน ปฎิบัติการ Operation day break . ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน.. ครับ. ใช่เลยครับพี่โรด.. คนๆ นี้มีความสามารถหลายอย่าง เป็นนักฟันดาบทีมโอลิมปิก เป็นนักไวโอลินฝีมือแสดงเวทีระดับโลกได้ แถมยังเป็นนักบินขับไล่อีก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ กันยายน 24, 2007, 10:59:16 AM จรวด V1 ใช้เครื่อง Ramjet ไม่มีระบบบังคับการทรงตัวที่ดีและไม่มีระบบนำวิถี เยอรมันเพียงแค่ปล่อยให้บินไปตรงทิศ พอเชื้อเพลิงหมดกะให้ลงลอนดอน หรือบ้านเรือนใกล้เคียง ตรงไหนก็ได้ เนื่องจากบินช้ามากถ้าเรด้าร์อังกฤษจับไปก็ส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปรอแล้วยิงตกได้ หรือไม่ก็บินไปขนานเอาปลายปีกงัดให้คว่ำจรวดก็จะตกเองอย่างในรูปนี้ รวมๆแล้วเยอรมันส่งจรวด V1 ไปอังกฤษ 7 พันกว่าลูก ไม่มีผลกระทบต่อการรบในภาพรวม เคยดูในทีวีครับน้องต๊อก... V1จะมีระบบกลไกใช้วัดระยะทาง....เมื่อถึงระยะที่ตั้งไว้จะมีตัวปรับFlapให้จรวดดิ่งปักหัวลงเลย.. เป็นกลไกแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน...ไม่แม่นยํามากนัก เอาว่าให้ตกในลอนดอนก็พอ มีผลทางจิตวิทยามากกว่า... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 11:00:38 AM ขอบคุณมากครับพี่ สงสัยที่ผมอ่านมาเป็นจรวดรุ่นเก่า หรือข้อมูลผิด :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 11:13:46 AM ชุดที่ลอบสังหาร.. และทหารคุ้มกัน ต่างใช้ PO ๐๘ ไล่ยิงกัน .. หมู่บ้าน LIDITZ อยู่ห่างจากปร๊ากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ๒๐ กม.. ผู้ชายทุกคนถูกสังหาร .. สิ่งปลูกสร้าง ถูกทำลายทิ้ง ด้วยเจตนาลบออกจากแผนที่โลก เพราะเชื่อว่า มีส่วนช่วยเหลือชุดลอบสังหาร เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ถูกกำหนดตัว ถ้า ฮิตเล่อร์ ถึงแก่ความตาย เขาจะขึ้นเป็นผู้นำ แห่งอาณาจักร ไรท์ ที่ ๓ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ กันยายน 24, 2007, 11:18:32 AM 8)ความเข้มข้นกลับมาแล้ว...อ่านต่อ ....ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: <<Z80>> ที่ กันยายน 24, 2007, 11:19:16 AM อยากดูสภาพของกรุงเทพฯ ที่โดนเครื่องบินพันธมิตรโจมตีโวยระเบิด ท่านใดมีขอด้วยนะครับจะเก็บไว้ดู
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 11:21:17 AM จรวด V1 ใช้เครื่อง Ramjet ไม่มีระบบบังคับการทรงตัวที่ดีและไม่มีระบบนำวิถี เยอรมันเพียงแค่ปล่อยให้บินไปตรงทิศ พอเชื้อเพลิงหมดกะให้ลงลอนดอน หรือบ้านเรือนใกล้เคียง ตรงไหนก็ได้ เนื่องจากบินช้ามากถ้าเรด้าร์อังกฤษจับไปก็ส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปรอแล้วยิงตกได้ หรือไม่ก็บินไปขนานเอาปลายปีกงัดให้คว่ำจรวดก็จะตกเองอย่างในรูปนี้ รวมๆแล้วเยอรมันส่งจรวด V1 ไปอังกฤษ 7 พันกว่าลูก ไม่มีผลกระทบต่อการรบในภาพรวม เคยดูในทีวีครับน้องต๊อก... V1จะมีระบบกลไกใช้วัดระยะทาง....เมื่อถึงระยะที่ตั้งไว้จะมีตัวปรับFlapให้จรวดดิ่งปักหัวลงเลย.. เป็นกลไกแบบง่ายๆไม่ซับซ้อน...ไม่แม่นยํามากนัก เอาว่าให้ตกในลอนดอนก็พอ มีผลทางจิตวิทยามากกว่า... ไม่ใช่ V1 ครับ ...........แต่เป็น V2 V1 Flying Bomb...................ใช้เครื่องยนต์ แรมเจ๊ต จุดตัวให้วิ่งไปก่อนด้วยจรวด แล้วเครื่องยนต์ค่อยทำงาน .............ปล่อยจากรางให้ตรงทิศทาง คำนวนการใช้เชื้อเพลิงเป็นระยะการบิน (http://img518.imageshack.us/img518/4316/usm1dstjt4.jpg) (http://imageshack.us) (http://img518.imageshack.us/img518/4316/usm1dstjt4.6bf858432e.jpg) (http://g.imageshack.us/g.php?h=518&i=usm1dstjt4.jpg) (http://img215.imageshack.us/img215/3937/v1duxfordwwwlk9.jpg) (http://imageshack.us) (http://img215.imageshack.us/img215/7218/ist2579675ww2flyingbombgz1.jpg) (http://imageshack.us) (http://img215.imageshack.us/img215/605/ist2579626flyingbombzr3.jpg) (http://imageshack.us) V2 Manster ......จรวดคำนวนวิถีโคจรขนานแท้ ........... (http://img217.imageshack.us/img217/1244/v2monsteruc0.jpg) (http://imageshack.us) (http://img217.imageshack.us/img217/3771/v2flightyb7.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 11:28:56 AM ชุดที่ลอบสังหาร.. และทหารคุ้มกัน ต่างใช้ PO ๐๘ ไล่ยิงกัน .. เมือง LIDIZ อยู่ห่างจากปร๊าก ๒๐ กม.. ผู้ชายถูกสังหาร สิ่งปลูกสร้าง ถูกทำลายทิ้ง ด้วยเจตนาลบออกจากแผนที่โลก เพราะเชื่อว่า มีส่วนช่วยเหลือชุดลอบสังหาร เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ถูกกำหนดตัว ถ้า ฮิตเล่อร์ ถึงแก่ความตาย เขาจะขึ้นเป็นผู้นำ แห่งอาณาจักร ไรท์ ที่ ๓ ครับ ผมว่าถ้ายังอยู่นานๆ คงเลื่อยเก้าอี้ฮิมเลอร์แน่ครับ หรือไม่ก็ข้างใดข้างหนึ่งโดนลอบฆ่า หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 11:46:11 AM Reinhard Heydrich
ในชุดนักดาบ เครื่องแบบ และรูปครอบครัว รักลูกตัวเองเหมือนตัวโกงอื่นๆ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 11:54:26 AM ชุดที่ลอบสังหาร.. และทหารคุ้มกัน ต่างใช้ PO ๐๘ ไล่ยิงกัน .. หมู่บ้าน LIDITZ อยู่ห่างจากปร๊ากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ๒๐ กม.. ผู้ชายทุกคนถูกสังหาร .. สิ่งปลูกสร้าง ถูกทำลายทิ้ง ด้วยเจตนาลบออกจากแผนที่โลก เพราะเชื่อว่า มีส่วนช่วยเหลือชุดลอบสังหาร เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ถูกกำหนดตัว ถ้า ฮิตเล่อร์ ถึงแก่ความตาย เขาจะขึ้นเป็นผู้นำ แห่งอาณาจักร ไรท์ ที่ ๓ ชุดปฏิบัติการสังหาร เป็นทหารอังกฤษ ที่มีเชื้อสายเช็คครับ ............มีสามคน คัดตัวมาจากหน่วยทั่วๆไป ............. 1หรือ 2 ใน 3 มีญาติอยู่ที่หมู่บ้าน LIDITZ เมื่อโดร่มลงมาที่เช็คฯแล้ว ขั้นต้นไปรวมตัวกันที่นี่...........เพื่อตั้งศูนย์ปฏิบัติการ.............. ครั้งแรก ทั้งสาม จะสังหารเรนฮาร์ด เฮย์ดริช ..........ในขณะที่เขานั่งอยู่บนรถไฟตู้ VIP แต่พอเช็คข่าวได้ว่า มีกระจกกันกระสุน...........เลยล้มเลิก และหาวิธีใหม่........... เรนฮาร์ด เฮย์ดริช จะเดินทางจากที่พักมาทำงานในเมือง..........โดยมีการคุ้มกันจากรถเกราะ รถยนต์ที่นั่งมาเป็นแบบเปิดประทุน........ทั้งสามจึงวางแผนสังหารด้วยการเข้าประชิดแล้วยิงด้วยปืนกลมือ..............แผนการสังหาร จึงถูกวางขึ้นเพื่อแยกรถเกราะออกไป แต่ยังหาทางทำไม่ได้...........ทั้งสามเลยคิดที่จะเสี่ยงโดยการทำอย่างไรให้รถหยุด ในขณะที่เข้าเมือง........โดยจะให้คนหนึ่งจูงจักรยานขวางรถ หลังจากที่รถเกราะวิ่งผ่านไป................คนหนึ่งซุ่มที่มุมตึก รอสังหารด้วยปืนกลมือ.............อีกคนหนึ่ง นั่งอ่าน นสพ. ที่ม้านั่งสาธารณะ มีระเบิดมือ กับปืนพก...........เอาไว้ซ้ำเป็นดาบสอง.............. วันที่ลงมือ...........เหมือนโชคช่วย เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ตื่นสาย และมีภารกิจด่วนที่ต้องทำ.............เลยสั่งให้พลขับๆรถยนต์เข้ามาในเมืองด้วยความเร็วสูง จนรถเกราะวิ่งตามไม่ทัน...............พอมาถึงจุดที่มือสังหารดักรอ..............คนที่หนึ่งก็จูงจักรยานขวาง.............คนที่สอง เข้ามายิงด้วยปืนกลมือ............แต่ปืนติดขัด..........เลยออกวิ่งหนี พลขับเลยวิ่งไล่กวด ปล่อย เรนฮาร์ด เฮย์ดริช อยู่บนรถคนเดียว...............คนที่สามจึงขว้างระเบิดมือ เข้าใส่ ...........ซึ่งระเบิดมือตกลงที่ด้านที่นั่งด้านหน้า(เรนฮาร์ด เฮย์ดริช อยู่เบาะหลัง)................แรงระเบิดทำให้ เบาะหน้าพัง เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากสะเก็ดระเบิดโดยเฉพาะ ขนม้าที่ใส่ไว้ในพนักพิงเบาะ ..............กระเด็นเป็นลักษณะเส้นลวด เข้าไปในร่างกายจำนวนมาก................ เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ...........เสียชีวิตที่ รพ. สาเหตุใหญ่จากพิษของขนม้าที่แทรกเข้าไปเต็มช่องท้อง............. กลับมาหาคนที่สอง ที่ปืนกลมือติดขัด..............คนที่สองถูกสังหารโดยนายสิบพลขับของ เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ................หนีรอดไปสองคน คือคนจูงจักรยานกับมือระเบิด.............. ภายหลังทั้งสองถูกล้อม โดยกองทหาร SS ..............ในตึกแห่งหนึ่ง ทั้งสองหลบลงห้องใต้ดินที่เตรียมการตั้งรับไว้.............กองทหาร SS ใช้แก๊สและรมควันเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะทั้งสองมีเครื่องป้องกัน..........ส่งทหารบุกเข้าไป ก็ถูกยิงคาช่องประตู ...........โยนระเบิดเข้าไป ก็ทำอันตรายไม่ได้ เพราะทั้งสอง ทำหลืบซ่อนดักไว้ซับซ้อน.................สุดท้ายใช้วิธีสูบน้ำปล่อยลงไปให้ท่วม...................จึงสังหารทั้งสองได้........(มีบันทึกจากฝ่ายอังกฤษว่า ทั้งสอง ยิงตัวตายก่อนจมน้ำตาย).................... ฮิตเลอร์โกรธแค้นมาก.............ที่ เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ถูกอังกฤษส่งชุดปฏิบัติการเข้ามาสังหารในเช็คฯ โดยความร่วมมือของคนเช็คฯ หมู่บ้าน LIDITZ ...จึงสั่งให้สังหารผู้ชายในหมู่บ้านทั้งหมด .........และให้ถล่มหมู่บ้านนี้ในราบ เพื่อลบออกจากแผนที่................. ปัจจุบันนี้ หมู่บ้าน LIDITZ ยังคงอยู่.............และเป็นเกียรติประวัติให้แก่ ทหารอังกฤษ เชื้อสายเช็ค ทั้งสามนาย............. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 24, 2007, 12:10:33 PM สภาพรถของ เรนฮาร์ด เฮย์ดริช ครับ คริ คริ
(http://www.deathcamps.org/reinhard/pic/bighey9.jpg) ส่วนปืนกลมือที่ใช้สังหาร สืบค้นได้ว่า เป็น STEN ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 12:23:42 PM เลขา 51 ทำงาน !! ฮิ ฮิ
เร็วๆ นี้ผมไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งครับ ยืนอ่านที่ร้าน เขาว่า ตอนนั้นนาย ฮ. เห็นแล้วว่ามีคนกระโดดออกมาจะยิง ด้วยความฉุนเลยสั่งคนขับหยุดรถแทนที่จะหนีตามหลักการ ตัวเองยืนขึ้นบนรถเปิดประทุนชัก 7.65 (คง PPK) ออกมาจะยิงทีมลอบฆ่า ถ้ารถรีบแล่นหนีไประเบิดมือคงไม่ตกมาระเบิดใกล้แบบนี้ นาย ฮ. เคยเป็นนายทหารเรือ ทำผู็หญิงท้องแต่ไม่ยอมแต่งเลยต้องออกจากราชการมาคบกับพวกนาซี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 12:35:47 PM คุณต๊อก เอาเรื่อง พันเอกสต๊อป เซ็นเบิร์ก วางแผนสังหารฮิตเลอร์ มากล่าวดีกว่าครับ.................
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 01:15:03 PM พันเอกสต๊อป เซนเบิร์ก... ตอนนี้ผมนึกไม่ออกเลยครับพี่มะขิ่น นึกออกแต่แผนวัลคารี เคาท์ชเตาเฟนเบิร์กวางระเบิด กับเรื่องที่นายคนนึงจะฆ่า แล้วโดนจับได้ที่ชายแดน ติดคุกอยู่เฉยๆ ตอนเยอรมันจะแพ้ SS เลยฆ่าทิ้ง ...ขอเวลาไปค้นดูตำราก่อนครับ :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 24, 2007, 01:16:43 PM Claus Schenk Graf von Stauffenberg and The July 20 Plot of 1944
(http://blogsimages.skynet.be/images_v2/000/002/394/20070611/dyn010_original_360_260_pjpeg_2394_55ddaa454dfbb8624397e32bfebcde70.jpg) พันเอกสต๊อป เซนเบิร์ก... ตอนนี้ผมนึกไม่ออกเลยครับพี่มะขิ่น นึกออกแต่แผนวัลคารี เคาท์ชเตาเฟนเบิร์กวางระเบิด กับเรื่องที่นายคนนึงจะฆ่า แล้วโดนจับได้ที่ชายแดน ติดคุกอยู่เฉยๆ ตอนเยอรมันจะแพ้ SS เลยฆ่าทิ้ง ...ขอเวลาไปค้นดูตำราก่อนครับ :) (http://www.welt.de/multimedia/archive/00305/Cruise_Stauffenberg_305380g.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 01:27:51 PM พันเอกสต๊อป เซนเบิร์ก... ตอนนี้ผมนึกไม่ออกเลยครับพี่มะขิ่น นึกออกแต่แผนวัลคารี เคาท์ชเตาเฟนเบิร์กวางระเบิด กับเรื่องที่นายคนนึงจะฆ่า แล้วโดนจับได้ที่ชายแดน ติดคุกอยู่เฉยๆ ตอนเยอรมันจะแพ้ SS เลยฆ่าทิ้ง ...ขอเวลาไปค้นดูตำราก่อนครับ :) น่าจะเป็นคนเดียวกันครับ. มีการทำเป็นภาพยนตร์มาครั้งหนึ่งแล้ว.. ท่านเสียตา และเสียแขนไปข้างหนึ่งการจากรบ.. ก่อนมาวางแผนในครั้งนี้ . กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เป็นครั้งที่สอง.. มีทอม ครูท แสดงเป็นผู้พัน . :) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: 51 ที่ กันยายน 24, 2007, 01:38:38 PM Operation Valkyrie
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 02:17:21 PM พันเอกสต๊อป เซนเบิร์ก... ตอนนี้ผมนึกไม่ออกเลยครับพี่มะขิ่น นึกออกแต่แผนวัลคารี เคาท์ชเตาเฟนเบิร์กวางระเบิด กับเรื่องที่นายคนนึงจะฆ่า แล้วโดนจับได้ที่ชายแดน ติดคุกอยู่เฉยๆ ตอนเยอรมันจะแพ้ SS เลยฆ่าทิ้ง ...ขอเวลาไปค้นดูตำราก่อนครับ :) น่าจะเป็นคนเดียวกันครับ. มีการทำเป็นภาพยนตร์มาครั้งหนึ่งแล้ว.. ท่านเสียตา และเสียแขนไปข้างหนึ่งการจากรบ.. ก่อนมาวางแผนในครั้งนี้ . กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เป็นครั้งที่สอง.. มีทอม ครูท แสดงเป็นผู้พัน . :) ใช่ครับ ............ผมจำชื่อผิดแน่ๆ ทราบว่า เป็นสาเหตุให้ นายพลรอมเมลถูกสังหาร ..............และภายหลังรู้สึกว่าจะมีการตั้งชื่อถนนสายหนึ่งในเยอรมัน เพื่อระลึกถึงนายทหารผู้นี้ด้วย............. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 03:28:50 PM กลับมาที่คุณหมอ rute ขอมาครับ ....................
ยานเกราะเยอรมัน....................ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ผมพิมพ์เอง ไม่ได้ตัดแปะ อ้างอิงจากหนังสือที่ผมมีอยู่ คือ Encyclopedia of German Tanks of World War Two ของ Peter Chamberlain and Hilary Doyle ........... ว่ากันเลย ...... เยอรมันมีวิวัฒนาการเรื่องยานเกราะ (Panzer) ที่น่าสนใจมาก..............ด้วยความที่เป็นประเทศที่มีเทคโนโลยี่อุตสาหกรรมยานยนต์สูงมาก............ทำให้การพัฒนายานเกราะ ทำได้อย่างรวดเร็ว ................. จุดนี้กลายเป็นดาบสองคม............คือการพัฒนาปรับปรุงยานเกราะเพื่อใช้ในสงคราม ที่ต้องพัฒนาให้ทันสมัยและมีอานุภาพมากขึ้น..................ผลคือ ยานเกราะของเยอรมันเป็นอาวุธสงครามที่น่าสะพรึงกลัวของฝ่ายสัมพันธมิตรไป.................ยานเกราะขนาดกลางถึงขนาดหนักของเยอรมัน กว่าที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะทำลายได้ ต้องรุมกินโต๊ะกัน 3-4 คัน เช่น รถถังกลาง Panther ( Panzer V) ต้องใช้ รถถัง M4 Sherman แลกกันถึง 1:4 ........... แต่อีกทางหนึ่ง ความหลากหลายแบบของยานเกราะเยอรมัน..............มีปัญหาในเรื่องการส่งกำลังและซ่อมบำรุง................ เยอรมันเริ่มเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยการบุกโปแลนด์............ใช้ยุทธวิธีการรบแบบสายฟ้าฟาด (Blitzkrieg)..............ผสมผสานการรบด้วย ทหารราบ+ยานเกราะ และสนับสนุนด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดอย่างใกล้ชิด............... ช่วงนั้นเยอรมัน ใช้รถถังเบา Panzer I Ausf A ( Sd.Kfz.101) ออกแบบโดย บ.Krupp ผลิตโดย บ. Henschel บ. Krupp Ggruson ใช้เครื่องยนต์ของ Krupp Maybach และ Daimler-Benz พลประจำรถ 2 นาย ...อาวุธหลัก ปืนกล MG 13 ขนาด 7.92 มม. (8 mm.mauser) จำนวน 2 กระบอก...........ในช่วงนี้ ผลิต Ausf A หนัก 3.5 ตัน และพัฒนาเป็น Ausf B หนัก 5.4 ตัน (http://img223.imageshack.us/img223/69/panzerimainwi4.jpg) (http://imageshack.us) (http://img166.imageshack.us/img166/6264/panzer12qx1.jpg) (http://imageshack.us) (http://img520.imageshack.us/img520/4735/p1agz2.jpg) (http://imageshack.us) (http://img520.imageshack.us/img520/4735/p1agz2.750599591d.jpg) (http://g.imageshack.us/g.php?h=520&i=p1agz2.jpg) แล้วพัฒนาต่อ เป็น Ausf C . ติดอาวุธ ปืนกล MG 34 และ EW141 MG อย่างละ 1 กระบอก หนัก 8 ตัน พลประจำรถ 2 นาย (http://img217.imageshack.us/img217/374/pz1c9ni0.jpg) (http://imageshack.us) และพัฒนาเป็น Ausf F ......... ติดอาวุธปืนกล MG 34 จำนวน 2 กระบอก หนัก 21 ตัน พลประจำรถยังคง 2 นาย (http://img223.imageshack.us/img223/9016/extra3so3.jpg) (http://imageshack.us) (http://img223.imageshack.us/img223/5816/a1f7rp0.jpg) (http://imageshack.us) Panzer I มีการปรับปรุงนอกเหนือจากแบบรถถังเบาให้เป็นรถต่างๆอีกหลายแบบ เช่น 1. เป็นรถบังคับบัญชา ( Light armoured tracked command vehicle) ติดปืนกล MG 13 หรือ 34 จำนวน 1 กระบอก หนัก 8.5 ตัน ............... (http://img520.imageshack.us/img520/5273/pz1befehlmiu1.jpg) (http://imageshack.us) (http://img520.imageshack.us/img520/5273/pz1befehlmiu1.7070fb7f29.jpg) (http://g.imageshack.us/g.php?h=520&i=pz1befehlmiu1.jpg) (http://img525.imageshack.us/img525/2394/sdkfz265tl4.jpg) (http://imageshack.us) (http://img525.imageshack.us/img525/2394/sdkfz265tl4.fd9083f353.jpg) (http://g.imageshack.us/g.php?h=525&i=sdkfz265tl4.jpg) 2. เป็นรถปืนใหญ่เบายิงสนับสนุนแบบ Self-propelled heavy infantry gun on tank chassis ในชื่อ 15 cm sIG33(Sf) auf Panzerkampwagen I Ausf B ฉายา BISON .. อาวุธ ปืนใหญ่เบาวิถีโค้ง ขนาด 15 cm รุ่น siG33 L/11 ..หนัก 8.5 ตัน พลประจำรถ 4 นาย (http://img227.imageshack.us/img227/1554/sig33aufpz1sizenf1.jpg) (http://imageshack.us) (http://img166.imageshack.us/img166/250/sig33aufpz1blueprintza7.jpg) (http://imageshack.us) (http://img227.imageshack.us/img227/9490/sig33gunpb9.jpg) (http://imageshack.us) (http://img166.imageshack.us/img166/2698/sig33aufpz12yf3.jpg) (http://imageshack.us) (http://img166.imageshack.us/img166/1602/sig33aufpz11zu4.jpg) (http://imageshack.us) 3. เป็นรถติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้รถถัง แบบ Self-propelled anti-tank gun on tank chassis ในรุ่นที่เรียกว่า 4.7 cm PaK(t) auf Panzerkampwagen I Ausf B .. อาวุธ ติดตั้ง ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 4.7 cm รุ่น PaK(t) L/43.4 หนัก 6.4 ตัน พลฟระจำรถ 3 นาย (http://img166.imageshack.us/img166/6522/47mmpaktkw0.jpg) (http://imageshack.us) (http://img227.imageshack.us/img227/9313/panzerjaeger1sizeyz6.jpg) (http://imageshack.us) (http://img166.imageshack.us/img166/3418/panzerjaeger1mjq0.jpg) (http://imageshack.us) (http://img520.imageshack.us/img520/4682/panzerjaeger1combatpx1.jpg) (http://imageshack.us) (http://img520.imageshack.us/img520/4682/panzerjaeger1combatpx1.a3e970714f.jpg) (http://g.imageshack.us/g.php?h=520&i=panzerjaeger1combatpx1.jpg) (http://img227.imageshack.us/img227/1462/panzerjaeger1mainnm5.jpg) (http://imageshack.us) 3. เป็นรถติดตั้งปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ขนาด 20 มม. (http://img225.imageshack.us/img225/7315/pz1flak1us3.jpg) (http://imageshack.us) (http://img225.imageshack.us/img225/6996/pz1flakmgx0.jpg) (http://imageshack.us) 4. เป็นรถลำเลียงกระสุน ปตอ. (http://img166.imageshack.us/img166/9884/pz1flakmunitionsfw0.jpg) (http://imageshack.us) 5. เป็นรถติดตั้งเครื่องฉีดไฟ Fiammenwerfer auf Panzerkampwagen I Ausf A (http://img166.imageshack.us/img166/8400/flammpz1oa5.jpg) (http://imageshack.us) ภาคต่อไป...........เป็นเรื่องของ Panzer II ........ที่พัฒนาให้ดีขึ้น หนักขึ้น อานุภาพมากขึ้น เพื่อการทำสงคราม.........ขอเวลาเรียบเรียงหน่อยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 03:36:00 PM Claus Schenk Graf von Stauffenberg
Graf = เคาท์ เรื่องนี้ผมว่าจะหาหนังสือเฉพาะเรื่องมาอ่านสักทีครับ เคาท์ ช. เป็นนายทหารตระกูลผู้ดีเก่า (ก็เป็นเคาท์นี่นา) ช่วงนั้นทหารหลายคนเห็นว่ารบไปมีแต่บ้านเมืองพังประชาชนลำบากมากขึ้นเลยวางแผนฆ่าฮิเลอร์ ซึ่งรวมๆ กันแล้วตั้งแต่ฮิตเลอร์เล่นการเมืองก่อนมีอำนาจ จนถึงปีสุดท้ายมีคนวางแผนฆ่าตั้ง 30-40 ครั้ง รมต. ชเปียร์ คนที่กล้าพูดในศาลอาชญากรสงครามว่า "ถ้าฮิตเลอร์มีเพื่อนสักคน ข้าพเจ้าคือคนๆ นั้นเอง" ก็ยังคิดฆ่าฮิตเลอร์ตอนเห็นฮิตเลอร์สั่งรบแบบทำลายบ้านเมืองและพูดว่า "ถ้าคนเยอรมันไม่เข้มแข็งพอที่จะชนะก็ควรตายกันให้หมด" โดยจะเอาแกสพิษใส่ในบังเกอร์ แต่ฮิตเลอร์สั่งทำฝาครอบใหม่ให้ทหารเฝ้าพอดี วัลคารีเป็นนางฟ้าของชนนอร์ดิกตามเหล่าเทพไวกิ้งซึ่งเยอรมันก็ยึดถือด้วย วัลคารีมีหน้าที่เก็บนักรบที่ตายในสงครามไปอยู่ที่วิหารสวรรค์วัลฮัลล่า ซึ่งในวัลฮัลล่านักรบก็สู้กันเป็นการสนุกทั้งวัน ตอนเย็นก็ปาร์ตี้กันนี้ แผนนี้ทำฮิตเลอร์เจ็บที่สุด เคาท์ ช. เอากระเป๋าระเบิดไปวางใต้โต๊ะประชุม บียหลอดเคมีให้แตกตั้งเวลาระเบิด แล้วให้คนโทรมาเรียกตัวออกไปจากห้อง ระเบิดตูมก็คิดว่าฮิตเลอร์ตายแน่ ห้องกระจุยอย่างในรูป มีบางคนตาย แต่ฮิตเลอร์ไม่ตาย และไม่เจ็บหนัก แต่ขากางเกงขาดรุ่งริ่ง ตอนบ่ายฮิตเลอร์ยังไปรับมุสโสลินีได้เพราะ 1. วันนั้นอากาศร้อนหน้าต่างห้องเปิด แรงระเบิดไม่อัดอยู่ในห้อง 2. ระเบิดไม่มีสะเก็ด 3. กระเป๋าไปเกะกะขาคนนึงพี่แกเลยจับเลื่อนไป ถูกขาโต๊ะบังพอดี 4. ตอนระเบิดมีนายทหารเอนไปชี้แผนที่ บังฮิตเลอร์ไว้ ตอนนั้นฮิลเลอร์สั่งกวาดล้างทหารและจับฆ่าไปประมาณ 2 พันกว่าคน เคาท์ ช. โดยยิงเป้า บางคนโดยแขวนคอด้วยลวดสายเปียโนกับตะขอแขวนเนื้อ ฮิตเลอร์สั่งให้ถ่ายหนังมาให้ดูด้วย รอมเมลก็โดนด้วยเพราะพวกนาซีสืบว่า ทส. คนนึงเกี่ยวข้อง ในหนังสือที่รวบรวมจากบันทึกที่รอมเมลเขียน ลูกชายเอามาพิมพ์หลังสงครามมีบทสุดท้ายที่ลูกเขียนว่า เกสตาโประดับนายพลมาที่บ้าน ตอนนั้นรอมเมลพักฟื้นอยู่เพราะบาดเจ็บจากที่รถโดนเครื่องบินอังกฤษยิงกราด ลูกชายเป็นนายร้อยอยู่บ้านพอดี เมียรอมเมลก็อยู่ เกสตาโปเข้าบ้านมา รอมเมลสั่งลูกมาให้เอาหมาดัชชุนไปเก็บ คุยกันเแล้วรอมเมลก็มาบอกลูกเมียว่าฮิตเลอร์ต้องการให้เขาตาย ให้ไปกับเกสตาโป ลูกพูดว่าเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ? รอมเมลบอกว่า "สู้ไม่ได้เดี๋ยวจะแย่ทั้งบ้าน" แล้วรอมเมลก็ไปเปลี่ยนชุดแต่งเครื่องแบบที่ชอบ คือกองทัพอัฟริกา เพราะเป็นชุดเปิดคอ แล้วก็ถือคทาจอมพลขึ้นนั่งเบาะหลังรถออกไปกับเกตตาโป... หลังสงครามเกสตาโกคนนั้นให้การว่าพารอมเมลนั่งรถไปแล้วถึงที่ๆ วางแผนไว้แล้วส่งแคปซูลยาพิษให้รอมเมล ตัวเองออกไปยืนรอนอกรถ หันกลับมาเห็นรอมเมลหัวพาดเบาะหน้า เปิดประตูมาดูคทาจอมพลตกออกมานอกรถตาเกสตาโปก็เก็บเข้าไปใหม่แล้วก็ไปโทรศัพท์บอกพวกว่าเป็นไปตามแผน ให้หมอที่ รพ. ที่ดูอาการบาดเจ็บของรอมเมลออกมรณะบัตรว่าเสียชีวิตเพราะแผลกำเริบ จากนั้นทางการนาซีก็ออกข่าวว่าจอมพลชื่อดังเสียชีวิตในการต่อสู้ จัดงานศพสมเกียรติ ที่ว่าถึงที่ๆ วางแผนไว้เพราะเกสตาโปกลัวรอมเมลไม่ยอม เกสตาโปเลยเอากำลังมาแอบล้อมบ้าน และจุดที่รถจะหยุด ถ้ารอมเมลสู้ก็จะบุกเข้าไปยิงทั้งบ้าน หรือล้อมยิงรถแล้วบอกว่ารอมเมลกบฎต่อฮิตเลอร์ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 03:52:49 PM ...เรื่องการตายของรอมเมลมีอีกทฤษฎีหนึ่งครับ แต่ไม่ได้รับการยอมรับเพราะพยาน/หลักฐานว่าฮิตเลอร์สั่งฆ่ามีมากกว่า ทฤษฎีนี้บอกว่ารอมเมลตายจากการบาดเจ็บจริงๆ มีหนังสือเขียนโดยนาย ปิแอร์ คลอสเตอร์มาน นักบินฝรั่งเศสที่อยู่นอกประเทศเลยไปเป็นนักบินในกองทัพอากาศอังกฤษ บอกว่าเพื่อนในฝูงของเขาเป็นคนยิงรถรอมเมลเอง วันนั้นออกไปปฏิบัติการ ไล่ยิงกับเครื่องบินเยอรมัน แตกฝูงกันแล้วเพื่อนเห็นขบวนรถเยอรมันวิ่งมาตามถนน เลยลงไปกราดยิง 1 ชุด เห็นรถเสียหลักตกไปข้างถนนก็ไม่ได้วนกลับมาซ้ำ เรื่องข้างล่างคือรอมเมลนั่งรถเปิดประทุนไป เครื่องบินขับไล่อังกฤษโฉบลงมานายสิบพลขับก็ขับหนีเพราะไม่มีที่กำบังให้หลบ เครื่องบินกราดกระสุน 20 มม. (หัวระเบิด) ถูกนายทหารติดตามที่นั่งข้างหน้าตาย ถูกแขนพลขับขาด รถไถลลงข้างทาง และกระสุนนัดหนึ่งฝังเข้าไประเบิดในกองประทุนรถหลังเบาะหลังที่รอมเมลนั่ง รอมเมลเลยบาดเจ็บที่คอ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 24, 2007, 04:19:45 PM (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) กรุงโตเกียวโดนระเบิดเพลิงที่นายพล เล เมย์ (ชื่อภาษาฝรั่งเศส อ่านแบบเมกัน) สั่งฝูง B29 ไปบอร์มเผาเสีย เกลี้ยง แล้วครับ คนตายมากกว่าที่ฮิโรชิม่า เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่าหลายพื้นที่ตาย/เสียหาย หมด ขนาดว่าคนที่รอดจากสงครามไปจับจองที่ดินได้เลยเพราะไม่เหลือทั้งอำเภอที่เก็บโฉนด และชาวบ้านที่รู้เรื่อง ตอนนั้น เล เมย์ วิเคราะห์ว่าญี่ปุ่นไม่มีศักยภาพในการต่อต้านการโจมตีทางอากาศตอนกลางคืน และบ้านเมืองส่วนมากยังเป็นไม้ เลยเสี่ยงสั่งให้เครื่อง B29 ถอดปืนกลรอบตัวออกหมด เพื่อบรรทุกระเบิดเพลิงได้มากๆ และไม่เอาเครื่องบินขับไล่คุ้มกันไป บินไปบอร์มโตเกียวหลายร้อยลำ.. นายพลอากาศอังกฤษที่มีชื่อคนนึงคือแฮริส อังกฤษเรียก แฮริสบอร์มเบอร์ - แฮริสนักบอร์ม เยอรมันเรียกแฮริสบุชเชอร์ แฮริสนักฆ่า เทียบกัน เล เมย์ ก็เป็นแฮริสของเมกัน ส่วนการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ มีการเลือกเป้าหมายหลัก รอง ไว้หลายเป้า ตัดเกียวโตออกไปเพราะเมกันเห็นว่ามีโบราณสถานมาก ฮิโรชิม่าเป็นเป้าหลัก ทิ้งลูกแรกได้ตรง ส่วนลูกที่สองนางาซากิเป็นเป้ารองจริงๆ จะไปทิ้งนิกาตะ แต่ทัศนวิสัยไม่ดีเลยไปทิ้งนางาซากิ ตอนกลับน้ำมันเครื่อง B29 เกลี้ยงถังจริงๆ ลงได้เครื่องก็ดับคารันเวย์ อย่างไรก็ตามนางาซากิก็เป็นเป้ารองที่เลือกแล้วภูมิประเทศน่าสนใจว่าโดนระเบิดนิวเคลียร์จะเป็นยังไง เนื่องจากเป็นเมืองปากแม่น้ำชายทะเลและมีภูเขาสองข้าง มีการส่งเครื่องวัดลงไปวัดตามจุดต่างๆ ผมเคยไปญี่ปุ่นเงินญี่ปุ่นเขาพาไปนางาซากิเพื่อให้ไปดูพิพิธภัณฑ์ระเบิดนิวเคลียร์โดยเฉพาะ มีคุณยายที่บาดเจ็บจากระเบิดนิวเคลียร์มาเป็นอาสาสมัครคุยกับคนที่มาชมด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 04:55:13 PM ขอบคุณมากครับพี่มะขิ่น...
เนื้อหาลงลึกได้ใจความครับ... อ่านแล้วค่อย save เก็บไว้ ค่อยหายอยากหน่อย... รออ่าน Panzer II ต่อครับ... เสริมท่าน LE นิดเดียวครับ... เรื่องวัลฮัลลาสวรรค์ของไวกิ้ง (ที่หลายๆคนเชื่อว่าเป็นพวกที่พบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัส) ครับ... ไวกิ้งเป็นชนชาตินักรบอย่างยิ่งยวดครับ... เชื่อว่าถ้าอยู่ในวัลฮัลลาสู้กันตอนเช้า ใครแพ้ก็ตายไป ตกเย็นก็ฟื้นมาฟาดสุราฮาเฮ เช้าวันใหม่ก็สู้กันอีกครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: b@ll - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 05:55:17 PM อยากดูสภาพของกรุงเทพฯ ที่โดนเครื่องบินพันธมิตรโจมตีโวยระเบิด ท่านใดมีขอด้วยนะครับจะเก็บไว้ดู รูปภาพสะพานพระรามหก ตอนโดนทิ้งระเบิดครับ (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/8/84/WW2_Rama_VI_bridge_attack_Sarakadee_cover.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 06:14:23 PM ;D ;D เห็นพี่มะขิ่นเอาเรื่องรถถังเยอรมันมาลงเป็น serie ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยต่อโมเดลครับ :D ;D
ขอบคุณด้วยอีกคนครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 10:58:45 PM อันดับที่จัดใช้แฟ็คเตอร์หลายอย่างครับ...อันหนึ่งที่จําได้คือจํานวนผลิต... T-34ใช้การผลิตแบบง่ายๆ เทคโนโลยี่พื้นๆ เน้นทนทาน บํารุงรักษาง่าย... ขณะที่ไทเก้อร์ใช้เทคโนโลยี่ที่ทันสมัย(ในตอนนั้น)...ผลิตยาก ต้องการการบํารุงรักษาที่ดี.. รัสเซียใช้จํานวนเป็นหลัก...ประเภทดาหน้าเข้าไปเลย ที่โดนยิงก็โดนไป ยิงจนเหนื่อยก็ยังเหลืออีกเยอะ... ทหารรัสเซียเลยตายเยอะที่สุด... สตาลินเคยบอกไว้ว่า "ปริมาณบางครั้งก็บอกถึงคุณภาพ" ครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 11:17:23 PM คุณหมอครับ ............
ภาพรถถังหนัก เม้าท์ ครับ............ที่ พิพิธภัณฑ์ Kubinka รัสเซียครับ............ ;) (http://img168.imageshack.us/img168/478/kubinka71maus420byg0.jpg) (http://imageshack.us) (http://img169.imageshack.us/img169/6766/kubinka71maus421bum0.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: e.k.1911 ที่ กันยายน 24, 2007, 11:21:05 PM ขอบคุณมากๆครับ เป็นความรู้มากๆเลยครับ
ในหนังสือบางอย่างยังไม่มีให้ทราบเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 11:27:19 PM เริ่มแรกของการบุกรัสเซีย .....................เยอรมันรุกเข้าไปวันแรกประมาณ 140 ไมล์
ตอนนั้นรถถังของรัสเซีย เป็นรถถังที่ล้าสมัยอยู่ครับ...................จึงถูกทำลายได้ง่าย จากกองทัพยานเกราะอันเกรียงไกรของเยอรมัน.................... ต่อมาโซเวียตจึงตื่นขึ้นจากการหลับไหล....และพัฒนารถถังขึ้น จากโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กและยานยนต์ที่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดินทัพของเยอรมัน............ ระบบการสร้างรถถังของโซเวียต...........เริ่มต้นการสร้างแบบ"คู่ขนาน" ในช่วงนี้..............โดยจะผลิตรถถัง ออกมาสองแบบ..............แบบแรกคือ ผลิตง่าย เทคโนโลยี่ พอใช้ได้ ผลิตเป็นจำนวนมาก ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้......แบบคู่ขนานคือ ผลิตด้วยเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น เท่าที่ทำได้ และผลิตเต็มกำลังเช่นกัน แต่จำนวนจะน้อยกว่ามาก............... ระบบคู่ขนาน คู่แรก คือ T34 กับ JS/IS 1 , 2 และ 3 คู่ต่อมา คือ T 54/55 กับ T 62 คู่ต่อมาคือ T 72 กับ T 64 คู่ต่อมาคือ T 80 กับ T 90 (ปัจจุบัน) T-34 ผลิตออกมาหลาย version ตั้งแต่ปี 1940 ติดปืนใหญ่ขนาด 76.2 มม. และปรับปรุงเป็น T34/85 ติดปืน 85 มม. ...............จำนวนผลิต ประมาณ 35000 คัน JS I , II และ III ...............เป็นรถถังหนัก ติดปืน 122 มม. ผลิตออกมาประมาณ สามพันกว่าคัน... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rock ที่ กันยายน 24, 2007, 11:31:56 PM เริ่มแรกของการบุกรัสเซีย .....................เยอรมันรุกเข้าไปวันแรกประมาณ 140 ไมล์ ตอนนั้นรถถังของรัสเซีย เป็นรถถังที่ล้าสมัยอยู่ครับ...................จึงถูกทำลายได้ง่าย จากกองทัพยานเกราะอันเกรียงไกรของเยอรมัน.................... ต่อมาโซเวียตจึงตื่นขึ้นจากการหลับไหล....และพัฒนารถถังขึ้น จากโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กและยานยนต์ที่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดินทัพของเยอรมัน............ ระบบการสร้างรถถังของโซเวียต...........เริ่มต้นการสร้างแบบ"คู่ขนาน" ในช่วงนี้..............โดยจะผลิตรถถัง ออกมาสองแบบ..............แบบแรกคือ ผลิตง่าย เทคโนโลยี่ พอใช้ได้ ผลิตเป็นจำนวนมาก ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้......แบบคู่ขนานคือ ผลิตด้วยเทคโนโลยี่ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น เท่าที่ทำได้ และผลิตเต็มกำลังเช่นกัน แต่จำนวนจะน้อยกว่ามาก............... ระบบคู่ขนาน คู่แรก คือ T34 กับ JS/IS 1 , 2 และ 3 คู่ต่อมา คือ T 54/55 กับ T 62 คู่ต่อมาคือ T 72 กับ T 64 คู่ต่อมาคือ T 80 กับ T 90 (ปัจจุบัน) T-34 ผลิตออกมาหลาย version ตั้งแต่ปี 1940 ติดปืนใหญ่ขนาด 76.2 มม. และปรับปรุงเป็น T34/85 ติดปืน 85 มม. ...............จำนวนผลิต ประมาณ 35000 คัน JS I , II และ III ...............เป็นรถถังหนัก ติดปืน 122 มม. ผลิตออกมาประมาณ สามพันกว่าคัน... T80นี่ใช่ที่กองทัพพวกหม่องข้างบ้านเราซื้อมาเยอะๆไหมครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 24, 2007, 11:38:36 PM ไม่ทราบเลยครับคุณร็อค .......... เคยเห็นแต่ T55
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กันยายน 24, 2007, 11:49:47 PM อันดับที่จัดใช้แฟ็คเตอร์หลายอย่างครับ...อันหนึ่งที่จําได้คือจํานวนผลิต... T-34ใช้การผลิตแบบง่ายๆ เทคโนโลยี่พื้นๆ เน้นทนทาน บํารุงรักษาง่าย... ขณะที่ไทเก้อร์ใช้เทคโนโลยี่ที่ทันสมัย(ในตอนนั้น)...ผลิตยาก ต้องการการบํารุงรักษาที่ดี.. รัสเซียใช้จํานวนเป็นหลัก...ประเภทดาหน้าเข้าไปเลย ที่โดนยิงก็โดนไป ยิงจนเหนื่อยก็ยังเหลืออีกเยอะ... ทหารรัสเซียเลยตายเยอะที่สุด... สตาลินเคยบอกไว้ว่า "ปริมาณบางครั้งก็บอกถึงคุณภาพ" ครับ... ;D .. เป็นหลักคิดหนึ่งของทางสังคมนิยม ครับ "เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่ง มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นคุณภาพใหม่ " การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจอาศัยปัจจัยภายนอก จะเป็นตัวเร่ง ส่งเสริม เปรียบได้กับ ลม เมื่อมีความเร็วมากขึ้น จะกลายเป็นพายุ .. อัดลมในที่จำกัด .. มันจะระเบิดทำลายสิ่งที่จำกัดตัวมัน เมื่อน้ำได้รับความร้อนเพิ่มถึง ๑๐๐ องศา จะเปลี่ยนเป็นไอ .. หรือถ้าเพิ่มปริมาณมากขึ้นมันจะท่วมท้นทำลายที่ราบลุ่ม .. :) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 25, 2007, 12:29:02 AM ;D ;D เห็นพี่มะขิ่นเอาเรื่องรถถังเยอรมันมาลงเป็น serie ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยต่อโมเดลครับ :D ;D ขอบคุณด้วยอีกคนครับ ฝากให้น้องอู๋ครับ .............. http://www.panzer-reich.co.uk/wehrmacht-music.htm หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 25, 2007, 12:38:05 AM คู่ต่อมาคือ T 80 กับ T 90 (ปัจจุบัน)
ขออนุญาติเสริมอาโหน่งเรื่อง t80 กับ t90 นิดครับ t80 พัฒนาจาก t64 ,t90 พัฒนาจาก T90 t80 มีขนาดพอกัน(t80 48 tons ,t90 46.5 tons) ติดปืน125 mm 2a46 m(1-4) เหมือนกันใช้กระสุน ชาโบว์(apds) และจรวดต่อสู้รถถังแบบ at-11 ระยะ5-6000 เมตรได้เหมือนกัน บรรจุ กระสุนได้พอๆกัน เกราะก็หนาพอๆกัน ลองดูที่ link ข้างล่างนี้ http://64.26.50.215/armorsite/T-90S.htm http://64.26.50.215/armorsite/T-80U.htm แต่ที่แตกต่างกันคือ เครื่องยนต์ ในศรรษวรรตที่80 ที่สร้างรถถัง 2 แบบนี้ และ m1 นั้น เครื่อง gasturbine เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาก t80 ใช้เครื่องแกสเทอร์ไบน์(เช่นเดียวกับ m1 )มีกำลัง1200 แรงม้า t90 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล(เช่นเดียวกับ เลียวพาร์ด2 กับ เมอร์คาว่า mkV) 850 แรงม้า ซึ่งบอกไม่ได้ว่า แกสเทอร์ไบน์ที่ทันสมัยกว่าจะทำให้ t80 มีประสิทธิภาพสูงกว่าหรือไม่ เพราะ gasterbine มีขนาดเครื่องยนต์ที่เล็ก แต่ใช้น้ำมันgasoline(เบนซีน) ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิพลังงานต่ำขนาดและน้ำหนังของเครื่องเล็กลงแต่ต้องใช้พื้นที่และน้ำหนักในการบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น แถมยังเสียงดังมากๆในขณะที่เครื่องดีเซลมีขนาดใหญ่แต่ใช้พื้นที่และน้ำหนักในการบรรทุกเชื้อเพลิงน้อยครับ และเนื่องจากอัตราบริโภคน้ำมันที่สูงทำให้ t 80 มีรัศมีทำการรบ สั้นกว่า t90 ประมาณ100 กม. และต้องมีรถบรรทุกน้ำมันตามไปเป็นขบวนเหมือน m1 ในสงครามอิรักครับ ปัจจุบันเทคโนโลยี เครื่องยนต์ดีเซล(นอกเรื่องนิดนึง การแข่งเลอมังส์24 ขั่วโมง รถแข่งของค่อย audy ก็ใช้เครื่องยนดีเซลที่มีแรงม้าพอๆ กับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องเบนซินเลยครับ ) มีกำลังมากเท่าๆกับ เครื่อง gasturbine ที่เดียว เปรียบเทียบ เครื่อง gas turbine ใน M1 มีกำลัง1500 แรงม้า แต่เครื่องยนดีเซล ใน leopard2(MTU)และ merkava mkV(GE) ก็มีกำลัง1500 แรงม้า และประสิทธิภาพเกราะของ leopard2 และ merkava mkV ก็พอๆ กับ M1 ด้วยซ้ำ แต่M1ก็มีจุดอ่อนที่ระยะทำการสั้นกว่า leopard และเมอร์คาว่า V และต้องมีคาราวานบรรทุกน้ำมันตามหลังครับ ทำให้ในปัจจุบัน M1 abrams รุ่นล่าสุดจะใช้เครื่องยนดีเซลแล้วครับ http://64.26.50.215/armorsite/abrams.htm http://64.26.50.215/armorsite/leo2.htm http://64.26.50.215/armorsite/Mekava.htm หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ กันยายน 25, 2007, 12:50:48 AM ;D ;D เห็นพี่มะขิ่นเอาเรื่องรถถังเยอรมันมาลงเป็น serie ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยต่อโมเดลครับ :D ;D ขอบคุณด้วยอีกคนครับ ฝากให้น้องอู๋ครับ .............. http://www.panzer-reich.co.uk/wehrmacht-music.htm :D ขอบคุณพี่มะขิ่นมากๆ ครับ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 25, 2007, 12:56:29 AM ไม่ทราบเลยครับคุณร็อค .......... เคยเห็นแต่ T55 Tamadaw acquired 139+ T-72 Main Battle Tanks from Ukraine and signed a contract to build and equip a factory in Myanmar to produce and assemble 1,000 BTR armored personnel carriers (APCs) in 2004. In 2006, the Indian Government transferred an unspecified number of T-55 Main Battle Tanks that were being phased out from active service to Tatmadaw along with 105mm Light Field Guns http://en.wikipedia.org/wiki/Myanmar_Army สงสัยจังมันเตรียมเอาไว้รบกับใครนอกจากเราครับ ถ้าได้ t72(ปืนหลัก125 มม.) มานี่จะทันสมัยกว่า m60 (ปืนหลัก105มม.)ที่เรามีอยู่นะครับ? ปัจจุบันกำลังทางอากาศพม่าก็ใช่ย่อยมี mig29 18 เครื่อง รู้สึกกำลังจะออกเจดีย์สามองค์ในปัจจุบันไม่ไม่ใช่ww2 ในยุโรปแล้วครับแล้วครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ กันยายน 25, 2007, 01:38:32 AM 139 × T-72S MBTs (PRC/Ukraine/Russia)[10]
280+ × Type 59D MBTs (PRC) 190+ × Type 69 II MBTs (PRC) Unknown number of Type 80 MBTs (PRC) Unknown number of Type 85 MBTs (PRC) Unknown number of Type 55 MBTs (India) 150+ × Type 63 Light Tanks >:( ของพม่าเค้า ดู แค่จำนวน 3 รุ่นแรก ก็น่ากลัวอยู่ครับ >:( หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 25, 2007, 07:27:36 AM แสนยานุภาพกองทัพนาซีเยอรมัน
(http://www.geocities.com/saniroj/DR-Tiger.jpg) แสนยานุภาพของกองทัพนาซีเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับการยอมรับว่า เป็นแสนยานุภาพที่เข้มแข็งที่สุดแสนยานุภาพหนึ่งในโลกขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกำลังทหารที่มีระเบียบวินัย มีความเป็นผู้นำสูง หรือกำลังยานเกราะต่างๆ ที่ได้รับออกแบบ ให้เป็นเครื่องจักรสงครามที่ทรงประสิทธิภาพ ตลอดจนอาวุธต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นต้นแบบของอาวุธปืนในยุคปัจจุบัน ดังนั้น การศึกษาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง โดยปราศจากการศึกษาเกี่ยวกับแสนยานุภาพของกองทัพนาซี จะทำให้การค้นคว้าขาดส่วนประกอบที่สำคัญของสงครามไปอย่างน่าเสียดาย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 09:34:37 AM ขอบคุณมากครับพี่มะขิ่น... เนื้อหาลงลึกได้ใจความครับ... อ่านแล้วค่อย save เก็บไว้ ค่อยหายอยากหน่อย... รออ่าน Panzer II ต่อครับ... เสริมท่าน LE นิดเดียวครับ... เรื่องวัลฮัลลาสวรรค์ของไวกิ้ง (ที่หลายๆคนเชื่อว่าเป็นพวกที่พบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัส) ครับ... ไวกิ้งเป็นชนชาตินักรบอย่างยิ่งยวดครับ... เชื่อว่าถ้าอยู่ในวัลฮัลลาสู้กันตอนเช้า ใครแพ้ก็ตายไป ตกเย็นก็ฟื้นมาฟาดสุราฮาเฮ เช้าวันใหม่ก็สู้กันอีกครับ...:D ขอบคุณครับพี่รุต อือม์ คุ้นๆ นะครับ กิจกรรมในสวรรค์เนี่ย ยิงปืนกันตอนเช้า ตกเย็นก็ฟาดสุราฮาเฮ เช้าวันใหม่ซึมเศร้า ฮิ ฮิ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ กันยายน 25, 2007, 10:17:34 AM ขอบคุณมากครับพี่มะขิ่น... เนื้อหาลงลึกได้ใจความครับ... อ่านแล้วค่อย save เก็บไว้ ค่อยหายอยากหน่อย... รออ่าน Panzer II ต่อครับ... เสริมท่าน LE นิดเดียวครับ... เรื่องวัลฮัลลาสวรรค์ของไวกิ้ง (ที่หลายๆคนเชื่อว่าเป็นพวกที่พบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัส) ครับ... ไวกิ้งเป็นชนชาตินักรบอย่างยิ่งยวดครับ... เชื่อว่าถ้าอยู่ในวัลฮัลลาสู้กันตอนเช้า ใครแพ้ก็ตายไป ตกเย็นก็ฟื้นมาฟาดสุราฮาเฮ เช้าวันใหม่ก็สู้กันอีกครับ...:D ขอบคุณครับพี่รุต อือม์ คุ้นๆ นะครับ กิจกรรมในสวรรค์เนี่ย ยิงปืนกันตอนเช้า ตกเย็นก็ฟาดสุราฮาเฮ เช้าวันใหม่ซึมเศร้า ฮิ ฮิ :D 555 ที่แท้ ชาวซึมเศร้าทีม ก็สืบเชื้อสายมาจากไวกิ้งนี่เอง :D :D :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 11:00:10 AM ก่อนจะคุยเรื่องการพยายามลอบฆ่าฮิตเลอร์ ขอเกริ่นเรื่องสถานการณ์ก่อนการเริ่มสงครามในยุโรปก่อนบางประเด็นนิดนึงครับ คือสัญญาแวร์ซายกด/ห้ามเยอรมันหลายอย่าง พอฮิตเลอร์มีอำนาจก็เริ่มลองเชิงละเมิดสัญญา ซึ่งเส้นทางการลองเชิงก็คือการลองว่าฝ่ายอังกฤษ/ฝรั่งเศสจะทำยังไง ตอนนั้นเมกันก็ปลีกตัวออกไปจากยุโรป
1. ขยาย/สร้าง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ไม่มีใครว่าอะไร 2. 1935 ฮิตเลอร์ส่งทหารเข้าเขตปลอดทหารแคว้นไรน์ติดพรมแดนฝรั่งเศส ก็ไม่มีใครว่าอะไร ตอนหลังเพิ่งมารู้กันว่าฮิตเลอร์ สั่งว่าถ้าทหารฝรั่งเศสแค่ระดมพลวิ่งออกจากกอง ยังไม่ต้องยิงก็ให้ทหารเยอรมันวิ่งจู๊ดออกจากแคว้นทันที 3. 1938 ฮิตเลอร์ผนวกออสเตรียซึ่งเป็นอาณาจัตรอิสระยิ่งใหญ่มา 600 ปี เป็นการแสดงนโยบายขยายอำนาจทั้งทางพื้นที่และทางการเมืองการทการอย่างแรง ก็ไม่มีใครว่าอะไร 4. 1938 ฮิตเลอร์จะยึดแคว้นซูเดเตนของเชกโกฯ อ้างว่าเป้นแคว้นที่คนเชื้อชาติเยอรมันอยู่ นายเนวิล แชมเบอร์เลย นายกอังกฤษบินไปเยอรมัน ยอมตกลงว่าเยอรมันยึดแคว้นนี้ก็ได้ อังกฤษจะไม่โวยวาย 5. ต่อมาก็เหมือนเดิมครับ ฮิตเลอร์จะยึกทั้งประเทศเชกโกฯ ท่านผู้นำอังกฤษ/ฝรั่งเศส (ดาลาดิเยร์) บินไปมิวนิกยอมหงอให้ฮิตเลอร์ นายกอังกฤษบินกลับมาประกาศที่สนามบินอย่างเท่ สัญญาว่าจะมีสันติภาพในยุคของเรา Peace in our time! 6. 30 กันยา 1939 ฮิตเลอร์บุกโปแลนด์ อังกฤษบอกให้ถอนไม่งั้นจะรบ ฮิตเลอร์ไม่ถอนก็เลยประกาศสงครามกัน เห็นได้ว่า 1. ฮิตเลอร์ได้ใจเรื่อยๆ เพราะอังกฤษ/ฝรั่งเศสยอมหงอให้ 2. ถึงอังกฤษ/ฝรั่งเศสจะยอมหงอให้ทุกครั้งฮิเลอร์ก็จะเอาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีจุดสิ้นสุด จนอังกฤษ/ฝรั่งเศสบอกให้หยุด ไม่งั้นจะรบ ฮิตเลอร์ก็ถึงจุดที่เลือกจะรบแล้ว 3. คนที่มีประสบการณ์ตรงยุคนั้นเลยมักเชื่อว่าถ้าฝ่ายตรงกันข้ามรุกรานประเทศอื่นแล้วจะยอมไม่ได้เพราะจะได้ใจไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด ทั้งเยอรมันขยายอำนาจ และญี่ปุ่นขยายอำนาจใช้กำลังรุกรานจีน คนกลุ่มนี้ เช่น นายจอช บุช ซีเนี่ยร์ นักบินกองทัพเรือเมกันที่หนุ่มที่สุดอายุ 19 ปี ต่อไปจะขอนำเสนอข้อมูลจากหนังสือ Secret Germany โดย Michael Baigent และ Richard Leigh ซึ่งชี้ว่ารวมๆ กันแล้ว นักประวัติศาสตร์รวบรวมเรื่องความพยายามฆ่าฮิตเลอร์ได้ตั้ง 46 ครั้ง ระหว่างปี 1921 1945 โดยฝ่ายพลเรือน นักวิชาการ และทหาร ในส่วนของทหารเยอรมันผู้ก่อการมีตั้งแต่ระดับ ผบ. ทบ. หลายคน เหตุที่ต้องการฆ่า/ยึดอำนาจก็เพราะไม่อยากจะทำสงครามกับชาติมหาอำนาจยุโรปอื่น ท่านๆ อย่าเพิ่งลืมว่าในการสงครามนั้นลำดับการตายคือ ทหาร ประชาชน และนักการเมือง ซึ่งส่วนมากเลือกได้ด้วยซ้ำว่าจะยอมตายหรือไปตากอากาศต่างประเทศอย่างนโปเลียน หรือในคุกกิติมศักดิ์ วิธีการมีตั้งแต่ เสธ.ทบ. ชักปืนพกยิงเอง ช่วยกันยิง 2-3 คน การให้แถวทหารที่ตั้งแถวส่งยิง ยิง 24 คนในห้องอาหาร พลร่มคอมมานโดบุกเข้าทำเนียบ วางระเบิดเครื่องบิน จนถึงระเบิดพลีชีพ เหตุของปฏิบัติการจริงที่ไม่สำเร็จมีตั้งแต่ จุดชนวนระเบิดที่ลวงฝากขึ้นเครื่องบินไปแล้ว เชื้อประทุทำงานแต่ไม่ระเบิด จนถึง จุดชนวนตั้งเวลาระเบิดพลีชีพแล้วแต่ฮิตเลอร์เดินหนีไปก่อน หรือเลิกแผนไปเองเพราะรอบคอบเรื่องการเมืองหลังการฆ่าฮิตเลอร์มากเกินไป หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กันยายน 25, 2007, 11:04:57 AM รบกวนด้วยนะครับ อยากรู้เรื่องของ ฟิลแลนด์ ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่รบกะรัสเซีย และระหว่างสงครามโลกครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กันยายน 25, 2007, 11:21:32 AM รบกวนด้วยครับ.. ถ้าข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ตอนใด ถ้าทราบว่ามีการทำ เป็นภาพยนตร์.. . หรือสารคดี กรุณา ช่วยระบุ ชื่อภาพยนตร์ด้วย.. ขอบคุณมากครับ. :) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 11:21:45 AM เรื่องแรก
ปี 1938 ฮิตเลอร์จะยึดแคว้นซูเดเตน ทหารเห็นว่าเป็นการรุกรายชาติอื่นโดยมิชอบ และที่สำคัญคือรนหาเรื่องรบกับอังกฤษ/ฝรั่งเศส และพวก ท่านๆ อย่าเพิ่งลืมว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น คนยุโรปตายกันอย่างมหาศาลมากที่สุดในประวัติศาสตร์การสู้รบกันของฝรั่ง ทั้งที่ไม่มีการบอร์มเมืองกันมากอย่างสงครามโลกครั้งที่สอง การรบก็ยาวนานและโหดๆ อย่างที่สุด นายเอริก เรอมาร์ก เขียนเรื่อง แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไปได้รางวัลโนเบลสันติภาพแทนด้านวรรณกรรมเพราะทำให้คนเซ็งการฆ่าฟันกัน ดังนั้นฝ่ายทหารจึงวางแผนลักลอบนำคอมมานโดเข้าเบอร์ลิน ถ้าเกินเรื่องก็บุกเข้าที่พักฮิตเลอร์ รวมตัวไว้ แต่ก็มีแนวคิดว่าจะยั่วยุให้การ์ดของฮิตเลอร์ยิงเพื่อจะเริ่มการยิงสู้กันและจะยิงฮิตเลอร์ไปเลย สัญญาณคือถ้าเกิดเรื่องจะรบกับเชกโกฯ เยอรมันเคลื่อนกำลังพลจะได้เคลื่อนส่วนหนึ่งมายึดพื้นที่เบอร์ลินด้วย เพราะถ้ายังไม่เกิดเรื่องแต่เคลื่อนพลออกกองกรมกอง ฮิตเลอร์จะสงสัย แต่การณ์ก็คือนายกอังกฤษหงอ บิมายกซูเดเตยให้เยอรมัน ไม่เกิดการเผชิญหน้าที่ต้องเคลื่อนพล เลยไม่ได้โอกาส รวมทั้งทหารก็เห็นว่าความเสี่ยงต่อสงครามที่ไม่จำเป็นลดลงไปเลยยังไม่หักหาญออกมาล้มฮิตเลอร์ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ไม่ค่อยแม่น รักในหลวง ที่ กันยายน 25, 2007, 11:38:23 AM (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) กรุงโตเกียวโดนระเบิดเพลิงที่นายพล เล เมย์ (ชื่อภาษาฝรั่งเศส อ่านแบบเมกัน) สั่งฝูง B29 ไปบอร์มเผาเสีย เกลี้ยง แล้วครับ คนตายมากกว่าที่ฮิโรชิม่า เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่าหลายพื้นที่ตาย/เสียหาย หมด ขนาดว่าคนที่รอดจากสงครามไปจับจองที่ดินได้เลยเพราะไม่เหลือทั้งอำเภอที่เก็บโฉนด และชาวบ้านที่รู้เรื่อง ตอนนั้น เล เมย์ วิเคราะห์ว่าญี่ปุ่นไม่มีศักยภาพในการต่อต้านการโจมตีทางอากาศตอนกลางคืน และบ้านเมืองส่วนมากยังเป็นไม้ เลยเสี่ยงสั่งให้เครื่อง B29 ถอดปืนกลรอบตัวออกหมด เพื่อบรรทุกระเบิดเพลิงได้มากๆ และไม่เอาเครื่องบินขับไล่คุ้มกันไป บินไปบอร์มโตเกียวหลายร้อยลำ.. นายพลอากาศอังกฤษที่มีชื่อคนนึงคือแฮริส อังกฤษเรียก แฮริสบอร์มเบอร์ - แฮริสนักบอร์ม เยอรมันเรียกแฮริสบุชเชอร์ แฮริสนักฆ่า เทียบกัน เล เมย์ ก็เป็นแฮริสของเมกัน ส่วนการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ มีการเลือกเป้าหมายหลัก รอง ไว้หลายเป้า ตัดเกียวโตออกไปเพราะเมกันเห็นว่ามีโบราณสถานมาก ฮิโรชิม่าเป็นเป้าหลัก ทิ้งลูกแรกได้ตรง ส่วนลูกที่สองนางาซากิเป็นเป้ารองจริงๆ จะไปทิ้งนิกาตะ แต่ทัศนวิสัยไม่ดีเลยไปทิ้งนางาซากิ ตอนกลับน้ำมันเครื่อง B29 เกลี้ยงถังจริงๆ ลงได้เครื่องก็ดับคารันเวย์ อย่างไรก็ตามนางาซากิก็เป็นเป้ารองที่เลือกแล้วภูมิประเทศน่าสนใจว่าโดนระเบิดนิวเคลียร์จะเป็นยังไง เนื่องจากเป็นเมืองปากแม่น้ำชายทะเลและมีภูเขาสองข้าง มีการส่งเครื่องวัดลงไปวัดตามจุดต่างๆ ผมเคยไปญี่ปุ่นเงินญี่ปุ่นเขาพาไปนางาซากิเพื่อให้ไปดูพิพิธภัณฑ์ระเบิดนิวเคลียร์โดยเฉพาะ มีคุณยายที่บาดเจ็บจากระเบิดนิวเคลียร์มาเป็นอาสาสมัครคุยกับคนที่มาชมด้วย ผมก็ได้ไปครับ แต่ที่ฮิโรชิม่า เป็นการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ได้ถามเพื่อนญี่ปุ่นว่าทำไมไม่ใช่โตเกียว ได้คำตอบเพิ่มจากที่พี่ต๊อกบอกมาอีกอย่างนึงคือ ถ้าเป็นโตเกียว สงครามจะไม่จบง่ายๆ ทหารทุกคนจะสู้ตาย เพราะไม่มีคนที่สามารถประกาศยอมแพ้ได้ พระจักรพรรดิ์อยู่ที่โตเกียว หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 11:47:07 AM อังกฤษสร้างเรือที่ยิ่งใหญ่มาสองลำ ให้ชื่อว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" Unsinkable แต่ทั้งสองลำ ก็จม ในเวลาอันสั้น hood กับ prince of wale ใช่มั้ยครับ ;D เรือไม่มีวันจมผมรู้จักแต่ "ไทนานิค"ครับ...........เอิ๊กๆ อ๊บ อ๊บ ;D ;D Hood เป็นเรือที่ทรงอานุภาพที่สุดในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเป็นเรือที่มีระวางขับน้ำ (น้ำหนักเรือมากที่สุด ประมาณ 46,000 ตัน) (เรือช่วงสงครามโลก ความยิ่งใหญ่เขาวัดกันที่น้ำหนักเรือ) เมื่อ Bismarck ออกปฏิบัติการครั้งแรก Bismarck ประมาณ 45,000 ตัน มีปืนใหญ่ 15 นิ้ว 8 กระบอก เท่ากับ Hood อังกฤษ ส่งเรือหลักสองลำ Hood และ Prince of Wales และเรือเล็กอื่นๆ เกือบ 100 ลำ เพื่อทำปิดล้อม Bismarck ไม่ให้ หลุดออกมาอาละวาดในมหาสมุทรแอตแลนติกได้ การเผชิญหน้าครั้งแรกในช่องแคบเดนมาร์ค (ระหว่าง Greenland กับ Iceland) เยอรมันมีแค่สองลำ เรือลาดตะเวณหนัก Prince Eugen (ปริน ออย เก้น) แล่นนำหน้า Bismarck Hood คิดว่า Prince Eugen เป็น Bismarck (Prince Eugen ลักษณะคล้ายกับ Bismarck มาก แต่ลำเล็กกว่า) Hood จึงจับเป้าไปที่ Prince Eugen, แต่ Hood และ Prince of Wales ยิงพลาดไปหมด ทำให้ Bismarck ตั้งตัวได้ และเริ่มยิงไปที่ Hood ด้วย Bismarck มีเรดาร์ควมคุมการยิงที่ทันสมัย ทำให้ยิงได้แม่นยำ กระสุนชุดที่สี่ (หรือที่ห้า ผมจำไม่ได้) ก็โดนเข้าที่ Hood เรือ Hood ออกแบบ ตัวเรือ (กราบเรือ) หนา, และ มีเกราะคาดเพื่อป้องกัน Torpido (อังกฤษ บอกว่า ไม่มี Torpodo ชนิดไหนในโลก ที่เจาะเกราะเรือ Hood ได้) แต่กระสุนของ Bismarck ตกเข้าไปที่ดาดฟ้า (จุดที่อ่อนทีสุด) แล้วทะลุไประเบิดที่คลังกระสุน Hood จมลงด้วยเวลาประมาณ สาม นาที ส่วน Prince of Wales ซึ่งเป็น Unsinkable อีกลำ หลังจาก Hood จมไปแล้ว ก็โดนกระสุนจาก Bismarck และ Price Eugen จนเสียหายอย่างหนัก ต้องผละจากการรบไป ส่วน Bismarck ก็เกือบจะหนีรอดไปได้ ยังมีต่อครับ เอ้อ พี่สปริงฟิวด์ ลองฟังวิทยุ FM 102.25 สิครับ บางทีเขาเอาเพลงปลุกใจอังกฤษยุคนั้นมาเปิด เนื้อเรื่องเรือบิสมาร์กจมเรือฮูด แล้วอังกฤษจะต้องแก้แค้นคืน สถานีนี้เปิดเพลงหลากหลายดีครับ บางทีก็เอาเพลงโอเปร่า No one shall sleep มาเปิด บางทีก็เพลงประสานเสียงไทยๆ ฮิ ฮิ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: lp1921 ที่ กันยายน 25, 2007, 11:50:27 AM ขอบคุณพี่ๆน้าๆลุงๆทุกๆท่านด้วยนะครับ
ที่มาให้ความรู้กับผม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 25, 2007, 11:55:34 AM รบกวนด้วยนะครับ อยากรู้เรื่องของ ฟิลแลนด์ ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่รบกะรัสเซีย และระหว่างสงครามโลกครับ มีเพื่อนชาวฟินแลนด์เล่าให้ฟังว่า เฮลซิงกิ คือ hell sing "ki" ตอนสงครามโลกครั้งที่2 โดนทั้งรัสเซีย และ เยอรมันรุมสกรัม เมืองหลวงวอดวายทั้งเมือง คนฟินแลนด์เกลียดเยอรมัน แต่เกลียดรัสเซียยิ่งกว่าครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 25, 2007, 11:55:54 AM รบกวนด้วยครับ.. ถ้าข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ตอนใด ถ้าทราบว่ามีการทำ เป็นภาพยนตร์.. . หรือสารคดี กรุณา ช่วยระบุ ชื่อภาพยนตร์ด้วย.. ขอบคุณมากครับ. :) มีเยอะครับพี่โร้ด............ทั้งเอาประวัติศาสตร์จริงๆมาทำ กับแต่งเรื่องขึ้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง................ ประวัติศาสตร์จริงๆ มี 1. The GREAT RAID 121 ............เป็นเรื่องของกองทหารอเมริกัน บุกเข้าช่วยเชลยศึกในค่ายทหารญี่ปุ่น ที่คาบาน่าทวน ฟิลิบปินส์..............ตัวละครมีตัวตนจริงๆ และคัดคนแสดงเหมือนด้วย 2. TORA TORA TORA The Attack on Pearl Harbor ..............ดั้งเดิมเนื้อหาประวัติศาสตร์แท้ๆ ไม่ใช่ Pearl Harbor ที่สร้างใหม่เป็นทำนองนิยายรักระหว่างรบ 3. Schindler's List ................เรื่องราวของ ออสก้า ชิลเด้น นักธุรกิจ ที่ช่วยชีวิตชาวยิวไว้ส่วนหนึ่ง จนตัวเองต้องหมดตัว............. 4. PATTON ................อัตชีวประวัติของ นายพล จอร์จ แพตตัน แห่งกองทัพที่ 3 5. The Longest Day .............. วันดีเดย์ 6 มิ.ย. 1944 6. Memphis Bells ...................เรื่องราวของลูกเรือ บ.ทิ่งระเบิด B17 สังกัดกองทัพอากาศที่ 8 ที่ทำงานเที่ยวบินสุดท้าย เที่ยวที่ 25 ก่อนปลดประจำการ............. 7. The Big Red One ................เรื่องราวของหมู่ทหารราบที่ทำหน้าที่ Scout นำหน้าการเคลื่อนที่ของกองทหารใหญ่............พลปืนเล็กในหมู่นี้ ภายหลังเป็นผู้สร้างหนังฮอลลีวู้ด เลยนำเรื่องราวของตนเองและหมู่ที่ตนเองสังกัดมาทำหนัง.............. ที่เอาเหตุการณ์มาเสริมแต่งเป็นดราม่า..............ลักษณะเป็นชีวิตของตัวละคร 1. All Quiet on The Western Front แนวรบด้านตะวันออก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง .................ชีวิตขงพลทหารเยอรมัน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 2. Battle of Britain ...............การรบทางอากาศเหนือเกาะอังกฤษ ........ท้ายเรื่องมีมุกเหน็บเจ็บๆคันๆ เมื่อ เกอริ่ง ถามนายทหารอากาศเยอรมันคนหนึ่งว่า ถ้าเราจะจะชนะ เราต้องทำยังไง.........ลูกน้องตอบว่า ขอเครื่องบินขับไล่สปิตไฟท์ ให้ผมหน่อย ;D 3. DAYS of GLORY .............เรื่องของทหารอาณานิคมฝรั่งเศส ที่ร่วมรบกับกองทัพฝรั่งเศส ในแอฟริกาและยุโรป............เป็นดราม่าเต็มๆ 4. WINDTALKERS ...........เรื่องราวในสมรภูมิแปซิฟิค ของผู้กำกับจอมเว่อ สะเหร่อตลอดกาล จอห์น วู............... 5. U-571 .............เรื่องราวของการปฏิบัติการพิเศษของ ทหารเรือประจำเรือดำน้ำกับนาวิกโยธินสหรัฐ ในการชิงเครื่องถอดรหัส"อีนิกม่า" ในเรือ U-571 ของเยอรมัน................ 6. BRIDGE at REMAGEN ..................การยึดสะพานรีมาเกนของสหรัฐที่ถุกเยอรมันต่อต้านขนาดหนัก.............. 7. DARK BLUE WORLD ...............เรื่องราวของนักบินขับไล่เช็คฯ ที่หนีกองทัพเยอรมัน มาเป็นนักบินอาสาในกองทัพอากาศอังกฤษ .................หนังดีที่ทำเงินไม่ได้ในบ้านเราเลย 8. HART'S WAR .............เรื่องราวของทหารอเมริกัน ที่ตกเป็นเชลย จากยุทธการ บัจน์ เบลเยี่ยม............ถูกจับในป่าอาเดน แล้วเข้าไปวุ่นวายกับพวกตัวเองในค่ายเชลยศึกเยอรมัน..............หนังเรื่องนี้รายละเอียดดี เช่น เครื่องบิน P51 Mustang ฝูงที่มีนักบินนิโกรบินทาสีด้วยสีแดง..........ปืนพก Browning HP ในมือทหารเยอรมัน ที่ปลอมตัวเป็น MP อเมริกา................ นึกได้แค่นี้ครับ........... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 11:59:00 AM (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) (http://www.geozigzag.com/images/hirochima.jpg) สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูก เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทำไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทำไม? สองเมืองที่โดนระเบิดปรมาณู เป็นเมืองที่ผลิตอาวุธครับ (ถ้าจำไม่ผิด หากผิด จะไปขโมยไข่บ้านท่านจรูญรับทาน) กรุงโตเกียวโดนระเบิดเพลิงที่นายพล เล เมย์ (ชื่อภาษาฝรั่งเศส อ่านแบบเมกัน) สั่งฝูง B29 ไปบอร์มเผาเสีย เกลี้ยง แล้วครับ คนตายมากกว่าที่ฮิโรชิม่า เพื่อนญี่ปุ่นบอกว่าหลายพื้นที่ตาย/เสียหาย หมด ขนาดว่าคนที่รอดจากสงครามไปจับจองที่ดินได้เลยเพราะไม่เหลือทั้งอำเภอที่เก็บโฉนด และชาวบ้านที่รู้เรื่อง ตอนนั้น เล เมย์ วิเคราะห์ว่าญี่ปุ่นไม่มีศักยภาพในการต่อต้านการโจมตีทางอากาศตอนกลางคืน และบ้านเมืองส่วนมากยังเป็นไม้ เลยเสี่ยงสั่งให้เครื่อง B29 ถอดปืนกลรอบตัวออกหมด เพื่อบรรทุกระเบิดเพลิงได้มากๆ และไม่เอาเครื่องบินขับไล่คุ้มกันไป บินไปบอร์มโตเกียวหลายร้อยลำ.. นายพลอากาศอังกฤษที่มีชื่อคนนึงคือแฮริส อังกฤษเรียก แฮริสบอร์มเบอร์ - แฮริสนักบอร์ม เยอรมันเรียกแฮริสบุชเชอร์ แฮริสนักฆ่า เทียบกัน เล เมย์ ก็เป็นแฮริสของเมกัน ส่วนการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ มีการเลือกเป้าหมายหลัก รอง ไว้หลายเป้า ตัดเกียวโตออกไปเพราะเมกันเห็นว่ามีโบราณสถานมาก ฮิโรชิม่าเป็นเป้าหลัก ทิ้งลูกแรกได้ตรง ส่วนลูกที่สองนางาซากิเป็นเป้ารองจริงๆ จะไปทิ้งนิกาตะ แต่ทัศนวิสัยไม่ดีเลยไปทิ้งนางาซากิ ตอนกลับน้ำมันเครื่อง B29 เกลี้ยงถังจริงๆ ลงได้เครื่องก็ดับคารันเวย์ อย่างไรก็ตามนางาซากิก็เป็นเป้ารองที่เลือกแล้วภูมิประเทศน่าสนใจว่าโดนระเบิดนิวเคลียร์จะเป็นยังไง เนื่องจากเป็นเมืองปากแม่น้ำชายทะเลและมีภูเขาสองข้าง มีการส่งเครื่องวัดลงไปวัดตามจุดต่างๆ ผมเคยไปญี่ปุ่นเงินญี่ปุ่นเขาพาไปนางาซากิเพื่อให้ไปดูพิพิธภัณฑ์ระเบิดนิวเคลียร์โดยเฉพาะ มีคุณยายที่บาดเจ็บจากระเบิดนิวเคลียร์มาเป็นอาสาสมัครคุยกับคนที่มาชมด้วย ผมก็ได้ไปครับ แต่ที่ฮิโรชิม่า เป็นการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ได้ถามเพื่อนญี่ปุ่นว่าทำไมไม่ใช่โตเกียว ได้คำตอบเพิ่มจากที่พี่ต๊อกบอกมาอีกอย่างนึงคือ ถ้าเป็นโตเกียว สงครามจะไม่จบง่ายๆ ทหารทุกคนจะสู้ตาย เพราะไม่มีคนที่สามารถประกาศยอมแพ้ได้ พระจักรพรรดิ์อยู่ที่โตเกียว ครับผม ตอนญี่ปุ่นแพ้แล้วมีคนถามแมกอาเธอร์ว่าทำไมเมกันไม่จับพระจักรพรรดิ์ขึ้นศาลอาชญากรสงคราม ท่านแมกตอบว่า ถ้าจะทำยังงั้นขอทหารอีก 10 ล้านคน เอามาฆ่าพวกญี่ปุ่นให้หมดประเทศก่อนถึงจะได้ แต่ไม่ว่าฝรั่ง (จนถึงสมัยนี้) จะมองยังไง ความจริงคืออำนาจเบ็ดเสร็จในทางปฏิบัติจริงๆ ของญี่ปุ่นอยู่ที่รัฐบาลโตโจเท่านั้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 12:10:26 PM อือม์ หนังสงคราม ขอนึกๆ เพิ่มครับ
"A bridge too far" ปฏิบัติการ Market - Garden วันที่ 17 กันยา 1944 Market - ส่งกำลังทางอากาศไปยึกสะพานที่ Armhen และ Nijmegen ในฮอลแลนด์ และในส่วนของ Garden คือการที่แนวรบบุกเข้าไปช่วยยึดพื้นที่อย่างเร็ว แผนเสีย กำลังที่แนวรบเดิมบุกเข้าไปไม่ได้ พลร่มโดน Waffen SS และทหารบกเยอรมันล้อม ตายไป 7-9 พันคน บางทฤษฎีโดยเฉาพในหนังสือของ Oreste Pinto นักต่อต้านจารชนอังกฤษ บอกว่า นาย Christian Lindeman ฉายา King Kong ใต้ดินดัชท์ เป็นสายลับสองหน้าให้เยอรมัน ไปบอกเยอรมันเร่องการบุกเยอรมันจึงเคลื่อนยานเกราะ SS มาล้อม แต่ความจริงหลักที่ปฏิวเธไม่ได้คือเยอรมันก็ระแวงการบุกแบบนี้เหมือนกัน พยายามปล่อยน้ำให้ท่วมทุ่งกันเครื่องร่อน และที่สำคัญคือถึงพลร่มไม่โดนรุมกองกำลังหลักก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี ประวัติศาสตร์ชีวิตที่เกี่ยวกับปฏิบัติการมีอีก คือ ถ้าปฏิบัติการนี้สำเร็จ สัมพันธมิตรจะเข้าฮอลแลนด์ได้เร็วมากขึ้นหลายเดือน แอน แฟรงค์ จะไม่ถูกเกสตาโปจับไปจนเสียชีวิตในค่ายกักกันเบลเซน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ กันยายน 25, 2007, 12:29:08 PM จบมหากาพย์สงครามโลกแล้ว....ขอต่อด้วยสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้มั๊ยครับ...
เพราะไม่บ่อยครั้งที่เราได้รบกับมหาอํานาจแบบเต็มรูปแบบทั้งบก เรือ และอากาศ.... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 25, 2007, 01:03:59 PM ต่อเรื่องเครื่องบินครับ fw190 มีขนาดใหญ่กว่า mb109 พิสัยบินไกลกว่า ถ้าเยอรมันผลิต fw190 ได้ทันช่วงต้นสงคราม อังกฤษคงจมทะเลไปแล้วครับ(ปัญหาตอน Battle of Britain ของเยอรมันคือ เครื่อง bf109 มีขนาดเล็กพิสัยบินไม่ไกลมีเวลาบินเหนืออังกฤษแค่30 นาที) สามารถติดปืน 13 มม. 2 กระบอก(กระบอกละ 475 นัด) ปืน 20 มม. 4 กระบอก(กระสุนปืนคู่ในกระบอกละ 250 นัดคู่นอกกระบอกละ 140นัด) แต่ version ที่เครื่องบิน b 17 กลัวมาก จะติด ปืน 13 มม. 2กระบอก ปืน 30 มม. mk103 3กระบอก (2 กระบอกใต้ปีก อีก 1 กระบอก ติดกลางเครื่องยนต์ลำกล้องอยู่กลางแกนใบพัด น้ำหนักกระสุนนัดละ ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม อัตรายิงกระบอกละ 440 นัด/นาที)
http://en.wikipedia.org/wiki/Focke-Wulf_Fw_190 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กันยายน 25, 2007, 01:10:52 PM Panzer II ยังไม่ออกเลย ;D ;D ;D
คุณหมอ Rute ครับ ผมว่าผมมีสารคดีเกี่ยวกับรถถังเยอรมัน แต่ขออนุญาตไปรื้อกองซีดีก่อน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 01:28:43 PM เรื่องที่ 2
27 กันยา 1938 ฮิตเลอร์จะยึดเชกโกฯ ทั้งประเทศ ระดมกำลังที่ชายแดน ทหารก็เตรียมพร้อมจะบุกเข้าจับ และ/หรือยิง แต่วันต่อมาเกิดการระชุมฉาวที่มิวนิก นายกอังกฤษบินมาหงอฮิตเลอร์ดังกล่าว ทำให้ ทหารเลิกแผนไปอีก เสนาธิการทหารบก พลเอกฟรานซ์ ฮัลเดอร์ (Franz Halder) ให้การหลังสงครามว่าถ้านายกอังกฤษไม่บินมาหงอฮิตเลอร์ ทหารบกจะเข้ายึดอำนาจแน่ เรื่องที่ 3 ปี 1939 หลังจากการประกาศสงครามกับอังกฤษไม่นาย พลเอก เคิร์ท ฟอน ฮัมเมอร์ชไตน์ (Kurt Von Hammerstein) อดีต ผบ.ทบ. วางแผนฆ่าฮิตเลอร์ แต่ไม่สำเร็จ และไม่มีรายละเอียดอะไรนัก ฮีมเมอร์ชไตน์เสียชีวิตด้วยมะเร็งในปี 1943 ก่อนเสียชีวิตกล่าวด้วยความขมขื่นว่า ชนชาติ (เยอรมัน) ที่ไม่รู้เรื่องความถูก/ผิด ความดี/ชั่วอย่างนี้ ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกทำลาย เรื่องที่ 4 หลังการยึดโปแลนด์สำเร็จ พลเอกฮัลเดอร์ก็ลองอีก โดยรวมรวมพลพรรคเดิม และชักชวนนายพล ไฮซ์ กูเดเรียน (Heinz Guderian) ผบ. ยานเกราะมาร่วมด้วย คราวนี้จะไม่ฆ่าแค่ฮิตเลอร์แต่จะเก็บนาซีคนสำคัญอื่นๆ อีกด้วย โดยคณะผู้ก่อการได้ติดต่อเจ้าชาย Louis Ferdinand หลานของไกเซอร์วิลเฮลม์ที่ 2 ไว้ว่าเมื่อล้มฮิตเลอร์แล้วจะอัญเชิญมาเป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ก่อนจะปฏิบัติการดันมีการระเบิดในโรงเบียร์ในมิวนิกที่ฮิตเลอร์จะไปฉลองกิจกรรมพรรคนาซีสมัยก่อน ทำให้เกิดการเข้มงวดมากขึ้น นอกจากนี้พลเอก Brauchitsch ผบ.ทบ. ขณะนั้นไม่เข้าร่วมคณะด้วย ทำให้ต้องล้มแผน แต่หลังจากนั้นหลายอาทิตย์พลเอกฮัลเดอร์ เสธ. ทบ. ก็คิดจะยิงฮิตเลอร์ต่อหน้าด้วยตัวเองแต่จนแล้วจนรอดไม่ได้ทำ เรื่องที่ 4 ปี 1941 จอมพล Von Witzleben ผู้บัญชาการกองทัพภาคตะวันตก วางแผนฆ่าฮิตเลอร์ที่ปารีส โดยจะจัดสวนสนามให้ฮิตเลอร์เป็นประธานแล้วจะให้ทหาร 2 คนช่วยกันยิง และมีคนที่สามคอยขว้างระเบิดเสริม แต่ฮิตเลอร์ก็ไปปารีสเพียงครั้งเดียวตอนเพิ่งยึดได้ จอมพลเชิญไอีกหลายครั้งก็ไม่ยอมไป เลยไม่เข้าพื้นที่อิทธิพลและพื้นที่สังหารของแม่ทัพภาค เรื่องที่ 5 มกรา 1943 พลตรี Henning Von Treschkow นายทหารในแนวรบโซเวียตภาคกลางวางแผนให้ทหาร 24 คนชักปืนมายิงฮิตเลอร์ตอนไปตรวจเยี่ยมและไปกินข้าวกลางวัน โดยคิดว่าต้องช่วยกันรุมยิงเพราะเผื่อเสริฟลูกปืนให้พวก SS อารักขาที่แวดล้อมโต๊ะกินข้าวของฮิตเลอร์อยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ลงมือ เพราะจอมพล Kluge แม่ทัพกลุ่มกองทัพภาคไม่เห็นด้วย บอกว่า แหม ใจคอจะรุมยิงคนกำลังกินข้าวเลยเหรอ? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 25, 2007, 01:41:41 PM ต่อเรื่องเครื่องบินครับ fw190 มีขนาดใหญ่กว่า mb109 พิสัยบินไกลกว่า ถ้าเยอรมันผลิต fw190 ได้ทันช่วงต้นสงคราม อังกฤษคงจมทะเลไปแล้วครับ(ปัญหาตอน Battle of Britain ของเยอรมันคือ เครื่อง bf109 มีขนาดเล็กพิสัยบินไม่ไกลมีเวลาบินเหนืออังกฤษแค่30 นาที) สามารถติดปืน 13 มม. 2 กระบอก(กระบอกละ 475 นัด) ปืน 20 มม. 4 กระบอก(กระสุนปืนคู่ในกระบอกละ 250 นัดคู่นอกกระบอกละ 140นัด) แต่ version ที่เครื่องบิน b 17 กลัวมาก จะติด ปืน 13 มม. 2กระบอก ปืน 30 มม. mk103 3กระบอก (2 กระบอกใต้ปีก อีก 1 กระบอก ติดกลางเครื่องยนต์ลำกล้องอยู่กลางแกนใบพัด น้ำหนักกระสุนนัดละ ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม อัตรายิงกระบอกละ 440 นัด/นาที) http://en.wikipedia.org/wiki/Focke-Wulf_Fw_190 ครับ สมัย Battle of Britain เยอรมันบินไปแป๊ปเดียวก็ต้องกลับ ถ้ารบติดพันน้ำมันก็ไม่พอ กลับมาต้องลงฉุกเฉินเครื่องพัง หรือโดดลงน้ำ ถ้าโดหนีที่อังกฤษก็ถูกจับ เสียนักบินไปเลย FW 190 แรงดี บินทนกว่ามาก ช่วงหลังยังมีรุ่น D หรือเรียกกัยว่า Dora หัวยาว จมูกยาวพิเศษ แรงดี ศักยภาพสูงมากครับ เครื่อง ME 109 เล็กนิดเดียว ความกว้างขอบซ้าย-ขวาห้องนักบินแค่ประมาณ 60 ซม. ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่านักบินเยอรมันใส่ชุดบินจะยัดคัวลงไปได้ ท่านที่เล่นโมเดลคงเห็นชัดว่าขนาดย่อมเท่ากัน ME 109 เล็กนิดเดียว เล็กกว่าซีโร่อีก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 25, 2007, 02:23:10 PM ยานเกราะเยอรมัน ตระกูล Panzer II
คราวนี้เรามาว่ากันเรื่อง รถถังตระกูล Panzer II กัน ................ Panzerkampwagen II (Sd.Kfz 121) เป็นรถถังเบาที่ออกแบบใหม่เพื่อเพิ่มอำนาจการยิง และการป้องกันตนเองมากขึ้นจาก Panzer I โดย เริ่มที่รุ่น Ausf A/1 ,A/2 และ A/3 ............ผลิตโดย MAN , Daimler-Benz ผลิตออกมา 75 คัน ช่วง พ.ค. 1936- ก.พ. 1937.............โดยมีคุณลักษณะดังนี้ -อาวุธ ...................ปืนใหญ่ขนาด 2 ซม.(20 มม.) แบบ KwK30 L/55 จำนวน 1 กระบอก , ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL57TR 6 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 7.6 ตัน -ยาว 4.38 เมตร กว้าง 2.14 เมตร สูง 1.95 เมตร -ความเร็วสูงสุด 40 กม./ชม. ,ระยะปฏิบัติการ 200 กม. -พลประจำรถ 3 นาย (http://img231.imageshack.us/img231/3130/a001mb6.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Ausf B .ผลิต 25 คัน ช่วง ก.พ.-มี.ค. 1937 แค่เปลี่ยนเครื่องให้แรงขึ้นเป็นเครื่อง Maybach HL62TR (http://img166.imageshack.us/img166/5474/b002vh9.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Ausf C .ผลิต 1,113 คัน ช่วง เดือน มี.ค. 1937-เม.ย. 1940 โดยหลายๆบริษัท คือ Man , Daimler-Benz , Henschel , Wegmann , Alkett , MIAG และ FAMO -อาวุธ ...................ปืนใหญ่ขนาด 2 ซม.(20 มม.) แบบ KwK30 L/55 จำนวน 1 กระบอก , ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL62TR 6 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 8.9 ตัน -ยาว 4.38 เมตร กว้าง 2.14 เมตร สูง 1.95 เมตร -ความเร็วสูงสุด 40 กม./ชม. ,ระยะปฏิบัติการ 200 กม. -พลประจำรถ 3 นาย (http://img166.imageshack.us/img166/8322/056cre1.jpg) (http://imageshack.us) (http://img98.imageshack.us/img98/4831/059bfm4.jpg) (http://imageshack.us) (http://img169.imageshack.us/img169/8255/panzer2c1gy1.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Ausf D and E ..ผลิตโดย บ. MAN จำนวน 43 คัน ช่วง พ.ค.1938- ส.ค. 1939 -อาวุธ ...................ปืนใหญ่ขนาด 2 ซม.(20 มม.) แบบ KwK30 L/55 จำนวน 1 กระบอก , ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL62TR 7 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 10.0 ตัน -ยาว 4.65 เมตร กว้าง 2.3 เมตร สูง 2.06 เมตร -ความเร็วสูงสุด 55 กม./ชม. ,ระยะปฏิบัติการ 200 กม. -พลประจำรถ 3 นาย (http://img217.imageshack.us/img217/9824/panzeriiausfdax9.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Ausf F ..ผลิตโดย บ.Famo จำนวน 524 คัน ช่วง มี.ค.1941-ธ.ค. 1942 -อาวุธ ...................ปืนใหญ่ขนาด 2 ซม.(20 มม.) แบบ KwK30 L/55 จำนวน 1 กระบอก , ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL62TR 6 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 9.5 ตัน -ยาว 4.81 เมตร กว้าง 2.28 เมตร สูง 2.15 เมตร -ความเร็วสูงสุด 40 กม./ชม. ,ระยะปฏิบัติการ 200 กม. -พลประจำรถ 3 นาย (http://img228.imageshack.us/img228/2674/035fcx0.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Fiamm Ausf A /B ( Sd.Kfz.122) ..................ฉายา Flamingo .. ติดตั้งเครื่องฉีดไฟ จำนวน 2 เครื่อง ปืนกล MG 34 จำนวน 1 กระบอก ..................ผลิตจากโรงงาน จำนวน 112 คัน และ ดัดแปลงจาก Panzer II Ausf D และ E จำนวน 43 คัน ...........ในช่วง ม.ค. 1940-มี.ค. 1942 -อาวุธ ...................เครื่องฉีดไฟ จำนวน 2 เครื่อง ถังเชื้อเพลิง ขนาด320 ลิตร , ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL62TR 7 เกียร์เดินหน้า 3 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 12.0 ตัน -ยาว 4.9 เมตร กว้าง 2.4 เมตร สูง 1.85 เมตร -ความเร็วสูงสุด 55 กม./ชม. ,ระยะปฏิบัติการ 250 กม. -พลประจำรถ 3 นาย (http://img217.imageshack.us/img217/4957/g40be9.jpg) (http://imageshack.us) (http://img167.imageshack.us/img167/1713/flammpanzeriiflammingohu4.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Ausf G ..ผลิตโดย MAN จำนวน 12 คัน ช่วง เม.ย.1941-ก.พ.1942............เริ่มมีการปรับระบบพยุงตัวรถ จากแหนบเป็นคานบิด................... -อาวุธ ...................ปืนกล EW141 MG จำนวน 1 กระบอก , ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL66TR 5 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 10.5 ตัน -ยาว 4.24 เมตร กว้าง 2.38 เมตร สูง 2.05 เมตร -ความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม. ,ระยะปฏิบัติการ 200 กม. -พลประจำรถ 3 นาย (http://img215.imageshack.us/img215/6605/068hjv4.jpg) (http://imageshack.us) Panzer II Ausf J .ผลิตโดย MAN จำนวน 22 คัน ช่วง เม.ย.-ธ.ค. 1642 -อาวุธ ...................ปืนใหญ่ขนาด 2 ซม.(20 มม.) แบบ KwK38 L/55 จำนวน 1 กระบอก , ปืนกล MG 42 ขนาด 7.92 มม. จำนวน 1 กระบอก -เครื่องยนต์ ........... Maybach HL45TR 5 เกียร์เดินหน้า 1 เกียร์ถอยหลัง -น้ำหนัก 18.0 ตัน -ความเร็วสูงสุด 31 กม. - พลประจำรถ 3 นาย (http://img215.imageshack.us/img215/9201/079jel5.jpg) (http://imageshack.us) เยอะครับ..................รอต่ออีก ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กันยายน 25, 2007, 02:34:59 PM ขออภัย ขอต่อเรื่องภาพยนตร์เกี่ยวกะสงครามโลกครั้งที่สอง
Enemy at The Gate เรื่องของทหารปืนลอบสังหารผู้มีชื่อเสียงจากรัสเซีย วาซิลี เซทเซฟ (จูด ลอว์) ค่อยๆ สะกดรอยศัตรูของเขาทีละคนๆ ในไม่ช้า ชื่อเสียงของเขาก็ผลักดันให้เขาเข้าสู่การต่อสู้ส่วนตัวครั้งสำคัญ กับนักแม่นปืนที่เก่งที่สุดของเยอรมันคือ พันตรี โคนิจ (เอ็ด ฮาร์ริส) และทั้งสองก็พบว่า ตนเองกำลังต่อสู้อยู่ในสงครามส่วนตัว ขณะที่มีสงครามครั้งสำคัญ ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์อยู่รายรอบ Band of Brothers ทอม แฮงค์ กะ สตีเว่น สปีลเบิร์กเรื่องจริงของหน่วย AIR BORN ของ AMERICA หน่วยพลร่มในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหน่วยทดลองเป็นกองกำลังทหารอาสานำทหารและนายทหารฝึกร่วมกัน ทั้งหน่วย จะฝึกหน่วยรบทหารประชาชนให้รับมือกับกองทัพที่น่ากลัวที่สุดในโลกได้หรือไม่ ? ฮิตเลอร์เป็นคนแรกที่ตอบว่า ไม่มีทางกองร้อยอีซี กรมพลร่มที่ 506 กองพลร่มที่ 101 "อินทรีโกญจนาท" โดดร่มลงในนอร์มังดี เคลื่อนทัพผ่านห้าประเทศ...เป็นกองทัพแรกที่บุกเข้าไปยัง "รังนกอินทรี" ของฮิตเลอร์ ความผูกพันของเพื่อนตายสหายศึกสนิทแนบแน่นไปชั่วชีวิต แม้กองอาสาจะสลายตัวพลร่มใช้ชีวิตเป็นราษฏร เต็มขั้นเมื่อสงครามสงบ Saving Private Ryan ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ที่ต้องนำลูกน้องข้ามแดนศัตรูเพื่อตามหาพลทหารเจมส์ ไรอัน ผู้เสียพี่ชายทั้งสาม ไปแล้วในสงคราม หลังเผชิญกับความสูญเสีย นายทหารกลุ่มนี้ได้กังขาต่อภารกิจของตนว่า ทำไมชีวิตของคน ทั้งแปดจะต้องเสี่ยงเพื่อชีวิตของคนๆเดียว ท่ามกลางสงครามที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย แต่ละคนต่างค้นพบ คำตอบและร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ เพื่อชัยชนะเหนืออนาคตอันไม่เที่ยง ด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี และความห้าวหาญ The thin red line เรื่องราวระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ณ.คาบสมุทรแปซิฟิก (จำได้แค่นี้ครับ) Letters From Iwo jima เรื่องราวการต่อสู้บนเกาะอิโวจิม่า ระหว่างฝ่ายญี่ปุ่นเจ้าของแผ่นดิน และฝ่ายอเมริกาผู้รุกราน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยผ่านทางมุมมองของคนญี่ปุ่นที่ต้องรับมือในสงครามครั้งนี้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 25, 2007, 03:01:27 PM ME 262 เครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในสงครามโลกครั้งที่2 (แต่ระหว่างยิง b17 เพลิน โดนp51 มัสแตงแอบยิงตกไปหลายเครื่องเหมือนกัน)ติดเครื่องยนต์ turbo jet แรงขับเครื่องละ ประมาณ2000 ปอนด์ 2 เครื่อง ความเร็วสูงสุด 870 km/h พิสัยบิน 1000 km
อาวุธหลัก ปืน 30 mm. MK108 4 กระบอก (กระสุนรวม360 นัด) แต่น่าเสียดายออกมาช้าเกินไปเนื่องจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนโดนระเบิดไปหลายรอบ ทำให้การผลิตล่าช้า ช่วงท้ายสงครามหลังจาก ME262 อัตราสูญเสียของเครื่องบินทิ้งระเบิด พันธมิตร สูงถึง 1/3 ครับ http://es.wikipedia.org/wiki/Messerschmitt_Me_262 http://en.wikipedia.org/wiki/Messerschmitt_Me-262 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 25, 2007, 03:15:03 PM คุณ nars ....หาข้อมูลของ FW 190 D9 กับ TA 152 มาหน่อยสิครับ........
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ กันยายน 25, 2007, 03:31:28 PM เอ้อเหอ...
นายสมชายพูดไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมา อ่านเพลิน... ขอบพระคุณทุกท่านที่รังสรรค์ผลงานความรู้ครับ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 25, 2007, 04:17:22 PM คุณ nars ....หาข้อมูลของ FW 190 D9 กับ TA 152 มาหน่อยสิครับ........ TA 152 เป็นรุ่นที่พัฒนาจาก fw190 โดย kurt เลยใช้รหัสใหม่ว่า TA152 มีการผลิตเครื่องต้นแบบ ประมาณ150 เครื่องและสายการผลิตสร้างออกมาได้ประมาณ67 เครื่อง มีถังน้ำมันขนาดใหญ่พิสัยบินไกล 2000 kmครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Focke-Wulf_Ta_152 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 25, 2007, 05:24:32 PM Panzer II ยังไม่ออกเลย ;D ;D ;D คุณหมอ Rute ครับ ผมว่าผมมีสารคดีเกี่ยวกับรถถังเยอรมัน แต่ขออนุญาตไปรื้อกองซีดีก่อน ขอบคุณล่วงหน้าครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 25, 2007, 09:42:13 PM อังกฤษสร้างเรือที่ยิ่งใหญ่มาสองลำ ให้ชื่อว่า "เรือที่ไม่มีวันจม" Unsinkable แต่ทั้งสองลำ ก็จม ในเวลาอันสั้น hood กับ prince of wale ใช่มั้ยครับ ;D เรือไม่มีวันจมผมรู้จักแต่ "ไทนานิค"ครับ...........เอิ๊กๆ อ๊บ อ๊บ ;D ;D Hood เป็นเรือที่ทรงอานุภาพที่สุดในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเป็นเรือที่มีระวางขับน้ำ (น้ำหนักเรือมากที่สุด ประมาณ 46,000 ตัน) (เรือช่วงสงครามโลก ความยิ่งใหญ่เขาวัดกันที่น้ำหนักเรือ) เมื่อ Bismarck ออกปฏิบัติการครั้งแรก Bismarck ประมาณ 45,000 ตัน มีปืนใหญ่ 15 นิ้ว 8 กระบอก เท่ากับ Hood อังกฤษ ส่งเรือหลักสองลำ Hood และ Prince of Wales และเรือเล็กอื่นๆ เกือบ 100 ลำ เพื่อทำปิดล้อม Bismarck ไม่ให้ หลุดออกมาอาละวาดในมหาสมุทรแอตแลนติกได้ การเผชิญหน้าครั้งแรกในช่องแคบเดนมาร์ค (ระหว่าง Greenland กับ Iceland) เยอรมันมีแค่สองลำ เรือลาดตะเวณหนัก Prince Eugen (ปริน ออย เก้น) แล่นนำหน้า Bismarck Hood คิดว่า Prince Eugen เป็น Bismarck (Prince Eugen ลักษณะคล้ายกับ Bismarck มาก แต่ลำเล็กกว่า) Hood จึงจับเป้าไปที่ Prince Eugen, แต่ Hood และ Prince of Wales ยิงพลาดไปหมด ทำให้ Bismarck ตั้งตัวได้ และเริ่มยิงไปที่ Hood ด้วย Bismarck มีเรดาร์ควมคุมการยิงที่ทันสมัย ทำให้ยิงได้แม่นยำ กระสุนชุดที่สี่ (หรือที่ห้า ผมจำไม่ได้) ก็โดนเข้าที่ Hood เรือ Hood ออกแบบ ตัวเรือ (กราบเรือ) หนา, และ มีเกราะคาดเพื่อป้องกัน Torpido (อังกฤษ บอกว่า ไม่มี Torpodo ชนิดไหนในโลก ที่เจาะเกราะเรือ Hood ได้) แต่กระสุนของ Bismarck ตกเข้าไปที่ดาดฟ้า (จุดที่อ่อนทีสุด) แล้วทะลุไประเบิดที่คลังกระสุน Hood จมลงด้วยเวลาประมาณ สาม นาที ส่วน Prince of Wales ซึ่งเป็น Unsinkable อีกลำ หลังจาก Hood จมไปแล้ว ก็โดนกระสุนจาก Bismarck และ Price Eugen จนเสียหายอย่างหนัก ต้องผละจากการรบไป ส่วน Bismarck ก็เกือบจะหนีรอดไปได้ ยังมีต่อครับ เอ้อ พี่สปริงฟิวด์ ลองฟังวิทยุ FM 102.25 สิครับ บางทีเขาเอาเพลงปลุกใจอังกฤษยุคนั้นมาเปิด เนื้อเรื่องเรือบิสมาร์กจมเรือฮูด แล้วอังกฤษจะต้องแก้แค้นคืน สถานีนี้เปิดเพลงหลากหลายดีครับ บางทีก็เอาเพลงโอเปร่า No one shall sleep มาเปิด บางทีก็เพลงประสานเสียงไทยๆ ฮิ ฮิ ครับ จะลองเปิดฟังดูครับ สมัยนั้นอังกฤษเสีบขวัญมากจากการสูญเสียเรือ Hood นายก Churchill บอกว่า "จงจมบิสมาร์คลง" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: -จ่าตะพาบน้ำ- * รักในหลวง* ที่ กันยายน 26, 2007, 12:00:30 AM ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ ;D ;D
อ่านเพลิน (จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบ) เลยครับ :~) :~) จากข้อมูลแล้ว ถ้าผมคิดแบบง่ายๆ นี่ เหมือนว่าถ้ารบกันตัวๆ สงสัยไม่มีใครเอาเยอรมันลงได้เลย ใช่มั๊ยครับ :<< :<< หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 02:25:12 AM ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ ;D ;D อ่านเพลิน (จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบ) เลยครับ :~) :~) จากข้อมูลแล้ว ถ้าผมคิดแบบง่ายๆ นี่ เหมือนว่าถ้ารบกันตัวๆ สงสัยไม่มีใครเอาเยอรมันลงได้เลย ใช่มั๊ยครับ :<< :<< ต้องดูว่าสมรภูมิไหนครับ... ถ้าหากเป็นทางทะเลหรืออากาศ... อเมริกาน่าจะเหนือกว่าในด้านปริมาณครับ... แต่ถ้าหากภาคพื้นยุโรปยากที่ประเทศเดี่ยวๆประเทศเดียวจะเอาชนะเยอรมันได้ครับ... ผมถึงชอบยานเกราะของเยอรมันไงครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 03:02:36 AM ขอเสริมพี่มะขิ่นเรื่อง Panzer II นิดนึงครับ...
เครื่องยนตร์ที่ใช้ใน Panzer II นั้นเป็นเครื่อง Maybach รุ่น HL 62 TRM ซึ่งเป็นเครื่องเบนซินหกสูบขนาด 140 แรงม้าครับ... ประกบกับระบบส่งกำลังชั้นยอดของ ZF ครับ (แฟนๆรถเยอรมันต้องรู้จักเกียร์ยี่ห้อนี้ดีครับ)... ทำให้รุ่นแรกๆอย่าง A , B และ C ทำความเร็วได้ถึง 40 กม./ชม.ครับ... ขณะที่รุ่นหลังๆทำได้ถึง 55 กม./ชม.บนทางเรียบ ครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 03:55:01 AM ;D ผมมีหนังสืออยู่ 4 เล่ม เล่มแรกชื่อ Messerscmitt 109 เกี่ยวกับ BF-109 ล้วน ๆ เล่มสอง Duitslands geheime wapens เกี่ยวกับอาวุธแปลก ๆ หลาย ๆ แบบของเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง บางแบบไม่เคยเห็นหรือไม่เคยนำออกใช้ในสงคราม เล่มสาม Schweinfurt nederlaag van de B-17's เกี่ยวกับ B-17 และเล่มสี่ BOMMENWERPERS เรื่องเกี่ยวกับเครื่องบินทิ้งระเบิดทั้งหมดตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองถึงปัจจุบัน ทั้งสี่เล่มเนื้อหาและรูปภาพประกอบเพียบ แต่!...... เป็นภาษาดัชท์ครับ แปลไม่ออก :~) แค่ภาษาอังกฤษก็แย่แล้ว :~) แต่นี่ดัชท์ด้วน ๆ :~) เพื่อนชาวดัชท์ให้มาครับ คุยภาษาอังกฤษกันยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย แต่บังเอิญเขารู้ว่าผมชอบเครื่องบินเลยให้หนังสือทั้งสี่เล่มนี้มาครับ :~)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 26, 2007, 07:03:46 AM เกร็ดน่ารู้ ตอน สงครามโลกครั้งที่สอง
เรื่องของสงครามดูจะเป็นที่สนใจ ของผู้คนมากกว่าเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะสงครามที่เป็นที่จดจำของมนุษยชาติมากที่ สุด นั่นคือสงครามโลกครั้งที่สอง เราคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับพวกวันเดือนปีของเหตุกาณ์สำคัญๆในสงครามโลกจาก ตำราเรียนกันบ้างแล้ว ซึ่งหลายเรื่องก็ชวนง่วงและงงไม่น้อย ที่นี้ลองมาฟังเรื่องจริงประเภทที่ไม่อยู่ในตำรากันบ้าง แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่ใช่แกนหลักของเหตุการณ์ แต่ก็เป็นเรื่องจริงแลถือเป็นสีสันของสงครามโลกก็ว่าได้ ติดตามตอนต่อไป หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 07:20:29 AM กระทู้นี่ดีครับชอบ..ภาพหาดูยากด้วย... :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ กันยายน 26, 2007, 07:25:33 AM อันดับที่จัดใช้แฟ็คเตอร์หลายอย่างครับ...อันหนึ่งที่จําได้คือจํานวนผลิต... T-34ใช้การผลิตแบบง่ายๆ เทคโนโลยี่พื้นๆ เน้นทนทาน บํารุงรักษาง่าย... ขณะที่ไทเก้อร์ใช้เทคโนโลยี่ที่ทันสมัย(ในตอนนั้น)...ผลิตยาก ต้องการการบํารุงรักษาที่ดี.. รัสเซียใช้จํานวนเป็นหลัก...ประเภทดาหน้าเข้าไปเลย ที่โดนยิงก็โดนไป ยิงจนเหนื่อยก็ยังเหลืออีกเยอะ... ทหารรัสเซียเลยตายเยอะที่สุด... สตาลินเคยบอกไว้ว่า "ปริมาณบางครั้งก็บอกถึงคุณภาพ" ครับ... ;D ขอเสริมหน่อยนะครับ คือก่อนหน้านี้ผมก็เคยคิดว่า Tiger เป็นรถถังที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่จริงๆมีนักประวัติศาสตร์ทางการทหาร ส่วนไหญ่เค้ายกไห้ T34 ครับ เพราะเค้าไห้ความเห็นว่า จุดประสงค์หลักของรถถังคือไช้ ในสงคราม และ T34 เป็นรถถังที่ประสบความสำเร็จในสงครามมากที่สุด ผมเลยไปค้นหาข้อมูลเพิ่มจากวิกิ ตอนหลังก็เห็นด้วยกับนักประวัติศาสตร์ครับ สาเหตุที่เค้ายกไห้ T34 เป็นสุดยอดรถถังตลอดการ 1 ความเร็ว มันเป็นรถถังที่เร็วที่สุดรุ่นนึงในสงครามโลกครั้งที่ 2 (53 กม/ชม) ทำไห้มันโจมตีและโยกย้ายเข้าไปโจมตีจุดต่อไปอย่างรวดเร็ว และฝ่ายป้องกันยากจะตามทัน เวลาหนีมันก็หนีไวจนตามไม่ทัน ภายหลังเยอรมันสร้าง และพัฒนา Panther รุ่น G ที่มีความเร็วเทียบเท่า T34 แต่ก็มาช้าและมาน้อยเกินไป 2 ความสามารถในการเคลื่อนที่นอกถนน มันมีหน้าราง(ล้อรถถังเค้าเรียกรางรึเปล่าครับ) ที่กว้างกว่า ทำไห้รางรถถังจมในพื้นน้อยกว่าในกรณีที่ต้องเครื่อนที่ในพื้นที่ๆอ่อนนุ่ม เช่นดิน โคลน พื้นหิมะ พวกโซเวียตนิยมโจมตีหลังฝนตกหรือตอนที่พื้นปกคลุมด้วยหิมะ ทำไห้กองกำลังโซเวียตเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัวมากกว่า 3 ระยะทำการ 400 km ซึ่งไกลกว่าฝ่ายเยอรมันมาก (ระยะทำการ 400 km ไม่ได้หมายความว่าบุกได้ลึก 400 km นะครับ เพราะเวลาบุกมักไม่ได้บุกเป็นเส้นตรงแต่ต้องโยกกำลังไปโจมตีศัตรูตามจุดต่างๆ) พอที่จะบุกแบบสายฟ้าฟาดได้ไกล และยังมีน้ำมันเผื่อไว้ ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะถอยได้ทันที ส่วนฝ่ายเยอรมัน มีระยะทำการพอสำหรับการบุก แต่มักจะไม่พอสำหรับการถอย หลายครั้งที่พวกโซเวียตปล่อยไห้เยอรมันบุกลึกเข้ามาจนน้ำมันพร่องแล้วรวมกำลังตีโต้ พวกเยอรมันจะหนีได้ไม่ทันเพราะขาดน้ำมัน 4 การป้องกัน มันเป็นรถถังที่มีการป้องกันที่ดีมากเพราะมันมีเกราะลาดทำไห้กระสุนแฉลบออกไป นอกจากนั้นมันยังออกแบบเกราะไห้เหมาะกับการรบ โดยไห้ส่วนที่มักจะถูกโดนโจมตีมากที่สุดมีเกราะหนาที่สุด (ด้านหน้า) ส่วนด้านข้างกะด้านหลัง พอจะกันปืนต่อต้านรถถังบางประเภทได้ ภายหลัง เยอรมันทำเกราะ Panther โดยใช้หลักการเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีวิธีแก้ปัญหา แบบรัสเซียที่คนทั่วโลกเค้าไม่ทำกัน โดยออกแบบรถถังไห้เตี้ยมาก จนกระทั่งต้องคัดแต่พลขับตัวเล็กๆเท่านั้น ทำไห้รถพื้นที่ผิวหน้าลง ลด ปริมาตรรถถังลง และทำไห้ได้เกราะที่หนาขึ้นโดยไช้เนื้อเหล็กเท่าเดิม รวมกับเกราะลาดที่มีมุมลาดมากกว่า 5 ความเสถียร มันวิ่งได้ทั้งในฤดูหนาวที่หนาวเย็นที่สุดในรัสเซีย ขณะที่รถถังขงฝ่ายอื่นๆมีปัญหาจากน้ำแข็ง 6 สำคัญที่สุด คือการที่มันมีต้นทุนที่ถูก และผลิตได้ง่าย มันไช้เหล็กหล่อแบบง่ายๆ ขณะที่ฝ่ายเยอรมันและอเมริกันไช้เหล็กผสมแบบซ้อน ซึ่งไห้การป้องกันต่อน้ำหนักที่ดีกว่า แต่ต้องไช้กำลังคนและเวลาการผลิตนานกว่ามาก เครื่องจักรก็ออกแบบไห้ผลิตได้ง่าย ส่วนฝ่ายเยอรมันมีกำลังต่อน้ำหนักที่ดีกว่า แต่ผลิตได้ยากและไช้กำลังคนมากกว่าในการผลิต รวมๆแล้ว รัสเซียผลิตรถถังได้มากกว่าเยอรมันสองเท่าทั้งๆที่คนงานชาวรัสเซียมีน้อยกว่าเยอรมันถึงเท่าตัว(ดูจากวิกินะครับ จริงๆเยอรมันมีคนงานเยอะเพราะ การบังคับใช้แรงงานในค่ายกักกันทั่วยุโรป) มีทรัพยากรเหล็กและถ่านหินมากกว่า จีดีพี ของเยอรมันประเทศเดียวก็มากกว่ารัสเซีย และตอนที่เยอรมันบุกเยอรมันครองยุโรปได้ และได้รับทรัพยากรและเงินทุนจากประเทศใต้ปกครองเป็นจำนวนมหาศาล แต่ก็ยังมีการผลิตที่น้อยกว่า รถถังเยอรมันจริงๆ ตัวๆมีคุณภาพดีกว่า แต่ก็ไม่มาก ผมประมาณคร่าวๆว่ารถถังเยอรมัน 2 คันมีกำลังรบเท่ากับ รถถังโซเวียต 3 คัน (ดูจากเคิร์กที่ฝ่ายโซเวียตตีโต้ยึดคองยูเครนไปได้ครึ่งประเทศจากสัดส่วนรถถังที่ได้เปรียบ 3 ต่อ 2) สรุปก็คือมันมีกำลังรบต่อต้นทุนที่ดีที่สุด จุดอ่อน 1 มันแพ้ในการดวลรถถัง มันเป็นจ้าวในช่วงต้นๆที่มันออกมาเท่านั้น หลังจากนั้นเยอรมันมักจะพัฒนารถถังจนล้ำหน้ากว่าเสมอ 2 พิสัยการยิง รถถัง Tiger มีปืน 88 mm ที่ยิงได้ 2 กม ใสเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและมันทำลายได้ทุกอย่าง ส่วนของโซเวียตจะยิงได้แม่นประมาณ 1กม เท่านั้น ถ้ายิงไกลกว่านั้น จะเป็นการยิงเข้าไปในพื้นที่ ต้องยิงมากๆและหวังไห้ลูกนึงโดนเป้าหมาย T34/76 ยิง Tiger ได้จากด้านข้างในระยะ 500 ม ลงมา ส่วน T34/85 สามารถยิง Tiger จาด้านหน้าได้ในระยะ 500 ม แต่ยิงTiger จากข้างๆได้ในระยะ 1000 ม การไช้จริง จริงๆรถถังที่ชนะในการดวลไม่ไช่รถถังที่ดีที่สุด เพราะการดวลรถถังเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะฝ่ายโซเวียตจะไม่ยอมดวลด้วย รูปแบบการไช้รถถังและการต่อต้านรถถังก็คือ เวลาที่เยอรมันไช้กองพลรถถังบุกเข้ามาก กองกำลังโซเวียตจะสังไห้รถถังแยกออกไปซ้ายและขวาและใช้ทหารราบในหลุมเพาะ และปืนต่อสู้รถถังเข้าสกัด รวมกับ เครื่องบินโจมตีภาคพื้น IL2 ส่วนรถถังจะอ้อมนอกระยะสายตาเข้าโจมตีแนวหลังของข้าศึก เมื่อเสี่ยงต่อการถูกล้อมตัดกำลังบำรุง ฝ่ายเยอรมันก็จะจำเป็นต้องถอย (เช่นในปฎิบัติการพายุฤดูหนาว ที่อิริควอนแมนเสตนยกทัพฝ่าพายุหิมะเข้ามาช่วยกองกำลังแพนเซอร์ที่ 6 ที่ถูกล้อมในสตาลินกราด แทนที่จะส่งรถถังไปป้องกันตรงๆซูคอฟสั่งโจมตีกองกำลังอิตตาลีที่แนวหลัง ส่วนการป้องกันไช้ มารินอฟสกี้ยกทัพไปยันตรงแม่น้ำเมื่อเสี่ยงกับการถูกโอบล้อม แมนสเตนสั่งถอยทัพ) การโจมตี แบ่งออกเป็นสี่ขั้น ขั้นแรกโจมตีฉาบฉวยโดยนักรบจรยุทธ เข้าวางระเบิดทางรถไฟ ฝังกับระเบิดที่ถนน ตัดสายโทรศัพท์ ไส่แนวป้องกันส่วนหน้า รบกวนการเครื่อนที่และการส่งกำลังเสริม โดยจะจมตีเป็นวงกว้ามมาก ทำไห้ไม่รู้ว่าจะโจมตีจริงที่จุดไหน ขั้นที่สอง โดยไช้ปืนไหญ่เป้นหลัก เริ่มจากปืนไหญ่ระยะไกล แล้วตามด้วยปืนไหญ่ระยะกลาง ขั้นที่สาม ส่งกองพลรถถังเข้าโจมตี โดยจะรวมกำลังไห้เข้มแข็ง และโจมตีเป็นจุดๆโดยทะลวงเป็นแนวที่แคบมากมีการโจมตีหลอก และกองกำลังหลอก ด้วยการทำอย่างนี้ทำไห้มีรถถังเป็นจำนวนที่มากกว่า ณ จุดเข้าตี เพราะ ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่าจะถูกโจมตีตรงจุดไหน ก็จะกระจายกำลังป้องกัน ส่วนฝ่ายโจมตีจะรวมกองกำลังรถถังจำนวนมากเข้าจุดโจมตีหลักจุดเดียว (ปกติแนวป้องกันจะถูกเสริมอย่างแน่นหนาบริเวณส่วนหน้าในพื้นที่ที่ติดกับข้าศึกเท่านั้น ส่วนในๆ หลังจากทะลวงแนวป้องกันไปแล้วจะมีการป้องกันน้อยมาก )ขั้นนี้ การต่อสู้จึงมักเป็นการต่อสู้ระหว่างรถถังน้อยมาก บทบาทของรถถังเป็นการ ทำลายบังเกอร์ และช่วยทหารราบทำลายสนามเพาะเป็นหลัก ขั้นที่สี่ทะลวง หลังจากทำลายแนวป้องกันหลักได้แล้ว ก็เหลือแต่แนวป้องกันชั้นในๆที่ปกติจะได้รับการป้องกันแค่เล็กน้อยส่งกองพลรถถังเป็นหัวหอกในการโจมตี ไห้ทหารราบปีนไปบนรถถัง และไช้ความเร็วที่เหนือกว่าเข้าโจมตี และตามมาด้วยหน่วยปืนไหญ่และหน่วยทหารราบ โดยหน่วยหลังจะทำการขุดหลุมเพาะด้วยปืนไหญ่ แล้วเอาทหารราบเข้าไปสร้างแนวป้องกัน ส่วนรถถังจะเข้าไปโอบล้อมกองกำลังของฝ่ายตรงข้าม พอโอบล้อมเสร็จก็จะไช้ ทหารราบ กับปืนต่อสู้รถถังป้องกันการตีโต้ หลังจากนั้นก็ขยายวงล้อมชั้นนอก เป็นแนวป้องกันสองชั้น ถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบด้านระยะการ โจมตีโดยการโจมตีจะเลือกเวลาและเลือกสถานที่ๆเป็นประโยชน์กับตน ฝ่ายโซเวียตสามารถลดความเสียเปรียบได้ โดยเลือกเครื่อนที่ตอนกลางคืน โจมตีตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะซ่อนกองทัพทั้งทัพไว้ใต้หิมะ ในป่า หรือ หลังเนิน เลือกโจมตีเวลาหมอกลง ฝนตก หิมะตก บุกท่ามกลางพายุหิมะ ฝ่ายเยอรมันมักจะเห็นฝ่ายโซเวียตจากระยะที่ไกล้ การต่อสู้จึงมักเกิดในระยะไกล้กว่า 1km เครื่อนที่ทั้งนอกถนนและในถนน ตรวจจับได้ยากทำไห้เยอรมันมักจะต้องป้องกันการโจมตีอย่างฉุกละหุก และบทบาทหลักของรถถังก็คือสนับสนุนทหารราบในการทะลวงแนวป้องกันไม่ไช่การดวลรถถัง การทำอย่างนี้จะสามารถชนะการรบได้โดยไม่ต้องอาสัยการดวลรถถังที่เสียเปรียบ หรือถ้าเกิดการดวล โซเวียตจะเป็นต่อด้านจำนวนอย่างมาก จะเห็นได้ว่าถ้าเลือกเวลา เลือกสถานที่รบไห้ถูก T34 ก็จะเป็นสุดยอดรถถังทีเดียว มันถูกสร้างขึ้นมาไช้ป้องกันมอสโคว ตีโต้ที่มอสโคว โอบล้อมกองกำลังแพนเซอร์ที่ 6 สตาลินกราด ตีโต้ปฎิบัติการ little sattern ป้องกัน เคิร์ก ตีโต้ที่เคิร์ก บุกข้ามแพนเทอร์วอฟเฟนไลน์ โจมตีโอบล้อมกองกำลังภาคกลางของเยอรมันในปฎิบัติการบาเกรชั่น ล้อมกองกำลังผสมเยอรมันโรมาเนียในการบุกยึดโรมาเนีย โจมตีข้ามแม่น้ำออเดอร์ ยึดเบอร์ลิน นับตั้งแต่มันปรากฎตัวขึ้นมา มันชนะมากกว่าแพ้มาก เวลาที่มันชนะ มันมักจะโอบล้อมกองกำลังศัตรูไว้ได้ยึดพื้นที่ไว้ได้ ส่วนเวลาแพ้ มันมักจะไช้ความเร็ว และระยะทำการที่ไกลสามารถหนีได้ก่อนที่จะถูกโอบล้อม ถึงแม้ว่ามันมักจะถูกทำลายด้วยอัตราส่วนที่มากกว่า แต่การที่รถถังถูกทำลาย ส่วนไหญ่แล้วมักจะเป็นการถูกทำไห้หยุดการเครื่อนที่เฉยๆ ไม่ได้ถูกทำลายดยสิ้นเชิง เมื่อฝ่ายโซเวียตมักจะยึดสนามรบไว้ได้(หลังจาก T34 ปรากฎ) ก็จะยึดรถถังของเยอรมัน รวมกับรถถังของตน ที่เสียหายเล็กน้อยนำมาซ่อมไช้ไหม่ได้ และยึดได้ปืนไหญ่อุปกรณ์ และเครื่องกระสุนต่างๆที่เยอรมันมักจะขนหนีไม่ทัน ถ้าจะไห้สรุปสั้นๆก็คือ T34 เป็นสุดยอด ก็เพราะผู้ไช้มัน ไช้ปริมาณเอาชนะคุณภาพ ไช้ความเร็วเอาชนะกำลัง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ห ม า ย จั น ท ร์ ที่ กันยายน 26, 2007, 07:46:48 AM ;D กำลังอ่านเพลิน ๆขอแทรกนิดครับ พี่ ๆ
สงสัยที่ ว่าเอาถุงเท้ามาใส่ระเบิดหุ้มด้วยจารบี และเอาไปติด กับแทรคของยานเกราะนี่ทำได้จริง ๆ หรือครับ ที่มา Saving Private Ryan หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 26, 2007, 09:15:14 AM ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ ;D ;D อ่านเพลิน (จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบ) เลยครับ :~) :~) จากข้อมูลแล้ว ถ้าผมคิดแบบง่ายๆ นี่ เหมือนว่าถ้ารบกันตัวๆ สงสัยไม่มีใครเอาเยอรมันลงได้เลย ใช่มั๊ยครับ :<< :<< ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ ;D ;D อ่านเพลิน (จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบ) เลยครับ :~) :~) จากข้อมูลแล้ว ถ้าผมคิดแบบง่ายๆ นี่ เหมือนว่าถ้ารบกันตัวๆ สงสัยไม่มีใครเอาเยอรมันลงได้เลย ใช่มั๊ยครับ :<< :<< ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ ;D ;D อ่านเพลิน (จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบ) เลยครับ :~) :~) จากข้อมูลแล้ว ถ้าผมคิดแบบง่ายๆ นี่ เหมือนว่าถ้ารบกันตัวๆ สงสัยไม่มีใครเอาเยอรมันลงได้เลย ใช่มั๊ยครับ :<< :<< ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านมากครับ ;D ;D อ่านเพลิน (จนเกือบลืมอ่านหนังสือสอบ) เลยครับ :~) :~) จากข้อมูลแล้ว ถ้าผมคิดแบบง่ายๆ นี่ เหมือนว่าถ้ารบกันตัวๆ สงสัยไม่มีใครเอาเยอรมันลงได้เลย ใช่มั๊ยครับ :<< :<< นั่นสิครับ น่าคิด ตัวต่อตัว ทหารเท่ากัน อาวุธเท่ากันแบบแบ่งข้างเล่นยิงปืน BB ...แต่เผอิญ สงครามไม่ใช่เกมกีฬา ไม่มีการเปรียบน้ำหนัก กลอุบายคือรากฐานของการรบ ซุ่มได้ ล้อมได้ เอาเปรียบได้คือประสิทธิภาพ เพราะสงครามคือการต่อสู้ถึงตายเพื่อความอยู่รอด คำอังกฤษว่า "War is no game of Cricket." มีเกร็ดเรื่องหนึ่ง ทัก เบเดอร์ นักบินขับไล่อังกฤษชื่อดัง ขาด้วนทั้งสองข้างก่อนสงครามจากอุบัติเหตุการหมุนเครื่องบินใกล้พื้นมากไปเครื่องตก ต้องใส่ขาเทียมทั้งสองข้าง แต่ต่อมาไปหัดบินใหม่และต่อสู้กับระบบราชการจนกลับเป็นนักบินได้ ในสงคราม นายทัก โดนยิงตกในยุโรปเป็นเชลยศึก เยอรมันก็ให้เกียรติดูแลอย่างดีแม้เป็นศัตรูยิงเยอรมันตก/ตายมามาก นาย อดอฟ กัลแลนด์ นักบินขับไล่เยอรมันชื่อดังพาไปดูเครื่อง ME 109 นายทัก บอกว่า "ขอลองบินหน่อยสิ เคยแต่ไล่กัน อยากรู้ฟิลลิ่ง" นายกัล เห็นใจในฐานะคนรักการบิน บอกว่า "อยากให้ลองเหมือนกัน แต่กลัวว่าถ้ายูบินหนีไอจะต้องบินขึ้นไปตามน่ะซี" แล้วก็หัวเราะกันทั้งคู่ ตอนนายทักโดนยิงตกนั้นขาเทียมของแกพังทั้งสองข้าง เยอรมันก็อยากช่วยเต็มที่ ส่งวิทยุไปบอกอังกฤษว่าให้ส่งเครื่องบินเอาขาเทียมสำรองของนายทักมาหย่อนร่มชูชีพให้ที่ฐานนี้วัน/เวลานี้ ปตอ. และขับไล่จะไม่ยิง อังกฤษก็มาหน่อนให้จริงๆ นายทักสบายไป... แต่ต่อมาอีกเล็กน้อย ฐานนั้นโดนฝูงบินอังกฤษมาบอร์มแบบแม่นๆ ซะแย่ สรุปว่านักบินตัวดีที่เอาขาเทียมมาหย่อนนั้นตรวจการณ์แผนผังฐานทัพไปเรียบร้อยแล้ว ใช้ประโยชน์รับใช้ God, King and Country ได้เรียบร้อยโรงเรียนบริเตน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 10:56:05 AM ขอบคุณท่าน nosta3824382 มากครับ...
บทวิเคราะห์ดีมากครับ... ในวิกิผมก็อ่านๆอยู่ครับ... แต่มีคนแปลให้ยิ่งชอบครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ กันยายน 26, 2007, 11:08:01 AM ่โอ้โห เผลอแป๊บเดียว เนื้อหายิ่งเข้มข้นเรื่อยๆ ขอบคุณทุกๆท่านมากครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: m620- รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 11:09:47 AM อ่านเพลินเลยครับ
ขอบคุณครับ ไม่รู้เป็นผมคนเดียวหรือเปล่า เวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อดเอาใจช่วยเยอรมันไม่ได้ครับ ทั้งเรื่องของเรือ บิสค์มาร์ค หรือ กราฟสเป ในแอฟริกาเหนือผมก็เชียร์รอมเมลครับ ทำไมยิ่งอ่าน ยิ่งอยากให้เยอรมันชนะก็ไม่ทราบ ขอแทรกเรื่องหนังนิดครับ มีใครเคยดูหนังเกี่ยวกับเรือดำน้ำเยอรมันบ้างครับ ที่มีภารกิจตั้งแต่ออกทะเล จมเรือข้าศึก ผ่านอันตรายมามากต่อมากแล้วสุดท้ายโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดจมที่ท่าตัวเอง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วครับ แต่เป็นหนังที่สะท้อนถึงลูกเรือเยอรมันจริงๆ ไม่ใช่เป็นปีศาจนาซีอย่างที่หนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่ทำ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 26, 2007, 11:48:03 AM เป็นหนังเยอรมันที่สร้างจากหนังสือ Das Boot หรือ T้he Boat ครับ
เรื่องนี้อ่านก็ยิ่งสนุกเพราะผู้แต่งเป็นนายทหารเรือดำน้ำเยอรมันเอง อยู่ในกลุ่ม 20% กว่าๆ ที่รอดมาได้[ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 26, 2007, 11:56:42 AM อ่านเพลินเลยครับ
ขอบคุณครับ ไม่รู้เป็นผมคนเดียวหรือเปล่า เวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อดเอาใจช่วยเยอรมันไม่ได้ครับ ทั้งเรื่องของเรือ บิสค์มาร์ค หรือ กราฟสเป ในแอฟริกาเหนือผมก็เชียร์รอมเมลครับ ทำไมยิ่งอ่าน ยิ่งอยากให้เยอรมันชนะก็ไม่ทราบ ขอแทรกเรื่องหนังนิดครับ มีใครเคยดูหนังเกี่ยวกับเรือดำน้ำเยอรมันบ้างครับ ที่มีภารกิจตั้งแต่ออกทะเล จมเรือข้าศึก ผ่านอันตรายมามากต่อมากแล้วสุดท้ายโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดจมที่ท่าตัวเอง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วครับ แต่เป็นหนังที่สะท้อนถึงลูกเรือเยอรมันจริงๆ ไม่ใช่เป็นปีศาจนาซีอย่างที่หนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่ทำ *** ผมไม่เป็นครับ เพราะยังนึกไม่ออกว่าถ้าเยอรมันนาซีชนะจะดีกว่าแพ้ยังไง 1. ฮิตเลอร์จับคนต่างเชื้อชาติไปฆ่าได้ครบ 30 ล้านคน หรือกว่า ??? 2. ยุโรปปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการ มีเกตตาโปเข้าไปยิงคนตามบ้านได้โดยไม่ต้องไต่สวน ::) ฯลฯ ที่น่าสนใจคือความเป็นฝ่ายเทพ/มารในสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีการรุกรานโดยไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นจริง ทุกฝ่ายจ้องหาเหตุรบกันเอง และสภาพสังคม ความเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิตของพลเมือง เยอรมันมีมากกว่าอังกฤษถึงแม้ว่าระบบสภาจะไม่เข้มแข็งเท่าอังกฤษ.. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 26, 2007, 02:33:06 PM ในสงคราม นายทัก โดนยิงตกในยุโรปเป็นเชลยศึก เยอรมันก็ให้เกียรติดูแลอย่างดีแม้เป็นศัตรูยิงเยอรมันตก/ตายมามาก นาย อดอฟ กัลแลนด์ นักบินขับไล่เยอรมันชื่อดังพาไปดูเครื่อง ME 109 นายทัก บอกว่า "ขอลองบินหน่อยสิ เคยแต่ไล่กัน อยากรู้ฟิลลิ่ง" นายกัล เห็นใจในฐานะคนรักการบิน บอกว่า "อยากให้ลองเหมือนกัน แต่กลัวว่าถ้ายูบินหนีไอจะต้องบินขึ้นไปตามน่ะซี" แล้วก็หัวเราะกันทั้งคู่
ตอนนายทักโดนยิงตกนั้นขาเทียมของแกพังทั้งสองข้าง เยอรมันก็อยากช่วยเต็มที่ ส่งวิทยุไปบอกอังกฤษว่าให้ส่งเครื่องบินเอาขาเทียมสำรองของนายทักมาหย่อนร่มชูชีพให้ที่ฐานนี้วัน/เวลานี้ ปตอ. และขับไล่จะไม่ยิง อังกฤษก็มาหน่อนให้จริงๆ นายทักสบายไป... ในสงครามศัตรูก็ควรค่าแก่การยกย่องครับ มีอยู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์ เช่น กวนอู กับ โจโฉ อะแซหวุ่นกี้ ขอดูตัวพระยาจักรี(รัชการที่1) ถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบด้านระยะการ โจมตีโดยการโจมตีจะเลือกเวลาและเลือกสถานที่ๆเป็นประโยชน์กับตน ฝ่ายโซเวียตสามารถลดความเสียเปรียบได้ โดยเลือกเครื่อนที่ตอนกลางคืน โจมตีตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะซ่อนกองทัพทั้งทัพไว้ใต้หิมะ ในป่า หรือ หลังเนิน เลือกโจมตีเวลาหมอกลง ฝนตก หิมะตก บุกท่ามกลางพายุหิมะ ฝ่ายเยอรมันมักจะเห็นฝ่ายโซเวียตจากระยะที่ไกล้ การต่อสู้จึงมักเกิดในระยะไกล้กว่า 1km เครื่อนที่ทั้งนอกถนนและในถนน ตรวจจับได้ยากทำไห้เยอรมันมักจะต้องป้องกันการโจมตีอย่างฉุกละหุก และบทบาทหลักของรถถังก็คือสนับสนุนทหารราบในการทะลวงแนวป้องกันไม่ไช่การดวลรถถัง ถ้าจะไห้สรุปสั้นๆก็คือ T34 เป็นสุดยอด ก็เพราะผู้ไช้มัน ไช้ปริมาณเอาชนะคุณภาพ ไช้ความเร็วเอาชนะกำลัง สงครามพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ยุทธวิธี เหนือกว่าคุณภาพอาวุธ ใช้จุดอ่อนเอาชนะจุดแข็ง ตำราพิชัยสงครามซุนวู แต่งมาหลายพันปีปัจจุบันก็ยังใช้ได้เสมอครับ มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆเล่าให้ฟัง ปกติแล้วความได้เปรียบในสงคราม เกิดจากปัจจัยหลักๆ 4 อย่าง ได้แก่ 1 man (คน) 2 machine(อาวุธ ยุทธโธปกรณ์) 3 startergy(ยุทธวิธี) 4 land(ภูมิอากาศ,ภูมิประเทศ) ถ้าฝ่ายไหนสามารถควบคุมปัจจัยทั้ง4 นี้ของฝ่ายตนเองได้ย่อมเป็นผู้ชนะ รัสเซียเป็นประเทศที่ได้เปรียบเรื่อง land มากที่สุด ถ้าฝ่ายตรงข้าม มี คน ยุทธโธปกรณ์ และ ยุทธวิธีไม่ยอดเยี่ยมจริงๆ เอาชนะได้ยาก มีกองทัพมองโกล และ เติร์กเท่านั้นที่พิชิตรัสเซียได้ ถ้าพิจารณาจากปัจจัยนี้ สงครามที่อัปยศที่สุด ในประวัติศาสตร์ น่าจะได้แก่สงคราม เดียนเบียนฟู ฝรั่งเศสเป็นผู้กำหนดปัจจัยทั้ง4 ได้หมด ไล่ตั้งแต่ เลือกเดียนเบียนฟู พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ เหนือกว่า ส่งกองทัพชั้นยอดเข้าพื้นที่ กำหนดยุทธวิธี ไว้ว่าจะล่อเวียดกงมาให้กองทัพฝรั่งเศสบดขยี้ แต่ไปๆมาๆ เดียนเบียนฟูกลายเป็นอวนล้อมทหารฝรั่งเศสไปได้ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 26, 2007, 03:11:04 PM ชุดพรางเริ่มใช้ในยุค 18th Century โดยทหารหน่วยย่อยๆ ในปี 1875 ทหารอังกฤษที่ทำการรบใน อินเดีย ต้องทำเริ่มเอาสีมาย้อมเครื่องแบบที่เดิมเป็นสีแดง ให้เป็นสีกากี นี่คือจุดเริ่มต้นของการพรางเครื่องแบบ ครับผม คำวว่า กากี มาจาก "กัช" ภาษาฮินดีแปลว่าดิน คือสีดิน เมื่อก่อนที่ใช้สีแดงเพราะมีแนวคิดว่าถ้าทหารบาดเจ็บเลือดออกจะได้กลืนกับเครื่องแบบ ไม่เห็นเลือดตัวเองให้ใจเสีย ห้องชั้นปืนใหญ่สมัยเรือใบแล่นขนานยิงกันก็ทาสีแดงทั้งชั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน บางครั้งก็เอาขี้เลื่อยโรยไว้ด้วยช่วยซับเลือด พื้นจะได้ไม่ลื่น... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 26, 2007, 04:23:05 PM ขอต่อเรื่องการพยายามฆ่าฮิตเลอร์ครับ
คณะต่อต้านหลักนี้ประกอบด้วยนายทหารระดับจอมพล พลเอก ฯลฯ แต่ผู้ที่เป็นแกนสำคัญ เพราะกระตือรือร้นและมีความเป็นผู้นำสูงก็คือ เคาท์ ช. นั่นเอง ในรูปหล่อที่ท่าน 51 โพส ถ่ายในปี 1940 เคาท์ ช. เป็นร้อยเอก อายุ 33 ปี พอปี 1944 เคาท์ ช. ไปรบมา ตาบอดข้างหนึ่ง แขนด้วนข้างหนึ่ง และมือที่เหลือมีนิ้วแค่ 3 นิ้ว บัดนี้ได้ยศเป็นพันเอก เป็นเสธ. กองกำลังสำรอง ได้มีโอกาสเข้าประชุมกับฮิตเลอร์โดยตรง แต่บัดนี้เวลาล่วงเลยมาถึงปี 1944 เยอรมันรบทุกแนวรอบประเทศ ปัจจัยที่ฝ่ายต่อต้านนาซีต้องพิจารณาเพิ่มในการฆ่าฮิตเลอร์ก็คือ 1. แนวรบจะเป็นอย่างไร อาจเกิดการสับสนในการบังคับบัญชา การส่งกำลังบำรุง จะเสียท่าข้าศึกรอบด้านได้ง่ายๆ 2. พวก SS ขยายกำลังขึ้นมาก ทั้งยังมีกอง Waffen SS คือ SS ที่จัดเป็นกำลังรบหลายกองพล (ตอนปลายสงครามมี SS ทั้งหมด 4-5 แสนคน โดยเยอรมันมีกำลังรบทั้งหมดประมาณ 9.5 ล้านคน) ถ้าฆ่าฮิตเลอร์ ประเทศก็จะเสี่ยงต่อสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบระหว่าง ทหารที่ต่อต้านฮิตเลอร์ กับ SS และทหารที่ยังหนุนพวกนาซีสมุนฮิตเลอร์ 3. ฝ่ายสัมพันธมิตร อังกฤษ เมกันไม่ยอมเจรจาสันติภาพกับเยอรมันแยกจากโซเวียต และต้องการให้เยอรมันยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น ดังนั้นเมื่อล้มฮิตเลอร์ได้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องรบกับข้าศึกเดิมทุกชาติต่อไปอีก คณะต่อต้านจึงได้วางแผนขนาดใหญ่คือแผน วัลคารี ขึ้น ซึ่งไม่เป็นเพียงแค่การฆ่าฮิตเลอร์แต่รวมถึงการบริหารจัดการประเทศต่อจากนั้นด้วย ถึงขั้นมีการวางตัวผู้จะเข้าสวมตำแหน่งต่างๆ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 26, 2007, 10:48:34 PM มีเกร็ดเรื่องหนึ่ง ทัก เบเดอร์ นักบินขับไล่อังกฤษชื่อดัง ขาด้วนทั้งสองข้างก่อนสงครามจากอุบัติเหตุการหมุนเครื่องบินใกล้พื้นมากไปเครื่องตก ต้องใส่ขาเทียมทั้งสองข้าง แต่ต่อมาไปหัดบินใหม่และต่อสู้กับระบบราชการจนกลับเป็นนักบินได้ ในสงคราม นายทัก โดนยิงตกในยุโรปเป็นเชลยศึก เยอรมันก็ให้เกียรติดูแลอย่างดีแม้เป็นศัตรูยิงเยอรมันตก/ตายมามาก นาย อดอฟ กัลแลนด์ นักบินขับไล่เยอรมันชื่อดังพาไปดูเครื่อง ME 109 นายทัก บอกว่า "ขอลองบินหน่อยสิ เคยแต่ไล่กัน อยากรู้ฟิลลิ่ง" นายกัล เห็นใจในฐานะคนรักการบิน บอกว่า "อยากให้ลองเหมือนกัน แต่กลัวว่าถ้ายูบินหนีไอจะต้องบินขึ้นไปตามน่ะซี" แล้วก็หัวเราะกันทั้งคู่ ตอนนายทักโดนยิงตกนั้นขาเทียมของแกพังทั้งสองข้าง เยอรมันก็อยากช่วยเต็มที่ ส่งวิทยุไปบอกอังกฤษว่าให้ส่งเครื่องบินเอาขาเทียมสำรองของนายทักมาหย่อนร่มชูชีพให้ที่ฐานนี้วัน/เวลานี้ ปตอ. และขับไล่จะไม่ยิง อังกฤษก็มาหน่อนให้จริงๆ นายทักสบายไป... แต่ต่อมาอีกเล็กน้อย ฐานนั้นโดนฝูงบินอังกฤษมาบอร์มแบบแม่นๆ ซะแย่ สรุปว่านักบินตัวดีที่เอาขาเทียมมาหย่อนนั้นตรวจการณ์แผนผังฐานทัพไปเรียบร้อยแล้ว ใช้ประโยชน์รับใช้ God, King and Country ได้เรียบร้อยโรงเรียนบริเตน ;D เกร็ดนี้สงสัยเป็นที่มาของเรื่องตลกที่เหล่าบรรดาลูกเรือของ The Memphis belle ในชื่อหนังเรื่องเดียวกัน เล่าให้กันฟังขณะบินไปทิ้งระเบิดเมืองเบรเมน ในเรื่องพลปืนล่างเล่าว่า มีนักบินพันธมิตรคนหนึ่งถูกยิงตกเหนือแดนข้าศึกแล้วถูกจับได้ ได้รับบาดเจ็บมาก ทหารเยอรมันก็เอาตัวไปรักษา แต่ต้องตัดขาออกข้างหนึ่ง นักบินเดนตายก็ได้ขอร้องทหารเยอรมันว่า "ช่วยนำขาข้างที่ตัดออกไปนั้นไปทิ้งไว้ที่อังกฤษที" ทหารเยอรมันเห็นใจก็ทำตาม ต่อมาขาอีกข้างหนึ่งอาการไม่ดี จำเป็นต้องตัดทิ้งอีก นักบินเดนตายก็ขอทหารเยอรมันว่าให้เอาไปทิ้งที่อังกฤษอีก ทหารเยอรมันก็ใจดีเอาไปทิ้งให้อีก ต่อมา แขนอีกข้างของนักบินเดนตายเกิดอาการไม่ดีจำเป็นต้องตัดทิ้งด้วย นักบินเดนตายก็ขอทหารเยอรมันให้เอาแขนของเขาไปทิ้งที่อังกฤษอีก แต่คราวนี้ทหารเยอร์มันบอกว่าไม่ได้ นักบินก็ถามว่าทำไมถึงไม่ได้ ทหารเยอรมันบอกว่า "ฉันสงสัยว่าแกกำลังจะหนี" :DD ;D หนังเรื่อง The Memphis belle เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่สองที่ดีเรื่องหนึ่งครับ แต่ว่าไม่ค่อยดังเท่าไร สร้างจากเรื่องจริงของเหล่าบรรดาลูกเรือของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-17 ชื่อว่า The Memphis belle ที่บินในภาระกิจที่ 25 ซึ่งเป็นภาระกิจสุดท้ายก่อนจะปลดประจำการ ทุกคนรวมทั้งเครื่องบินมีตัวตนจริงครับ ;D ;D เวบไซท์ The Memphis belle (ของจริง) http://www.memphis-belle.com/crewlist.htm และ http://www.memphisbelle.com/ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ กันยายน 27, 2007, 01:44:20 AM มีหนังอยู่เรื่องนึง ผมจำชื่อไม่ได้แล้วครับ เกี่ยวกับ ฝูงบินขับไล่ คุ้มกันเครื่องทิ้งระเบิด B17 ซึ่งทั้งฝูง เป็นนักบินผิวดำหมด ใช่เครื่องมัสแตง ที่หางทาสีแดงๆ (ไม่ใช่ air asiaนะ) เป็นหนังที่ดีมากๆ เรื่องนึง ใครพอจะนึกชื่อเรื่องออกมั้ยครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 27, 2007, 03:54:55 AM ;D ทราบมาว่า Messerscmitt BF-109V-1 (รุ่นแรก) ใช้เครื่องยนต์ Rolls-Royce ของอังกฤษ ;D
(http://www.luzinde.com/meisaku/zero/bf109v1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กันยายน 27, 2007, 09:49:06 AM ;D หนังเรื่อง The Memphis belle เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่สองที่ดีเรื่องหนึ่งครับ แต่ว่าไม่ค่อยดังเท่าไร สร้างจากเรื่องจริงของเหล่าบรรดาลูกเรือของเครื่องบินทิ้งระเบิด B-17 ชื่อว่า The Memphis belle ที่บินในภาระกิจที่ 25 ซึ่งเป็นภาระกิจสุดท้ายก่อนจะปลดประจำการ ทุกคนรวมทั้งเครื่องบินมีตัวตนจริงครับ ;D ;D เวบไซท์ The Memphis belle (ของจริง) http://www.memphis-belle.com/crewlist.htm และ http://www.memphisbelle.com/ ;D ใช่ครับ .... กว่าจะหาโหลดได้ และกว่าจะโหลดเสร็จ ก็แทบแย่ ;D ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 27, 2007, 10:00:54 AM ฝูงบินนักบินผิวดำ ทัสคีกี เป็นฝูงที่มีสถิติคุ้มกัน 100% คือเครื่องทิ้งระเบิดไม่ถูกยิงตกด้วยเครื่องบินขับไล่ข้าศึกเลย ส่วนเรื่องโดน ปตอ. ช่วยไม่ได้ครับ เพิ่งมีการมาให้รางวัลเพิ่มเติมกันเร็วๆ นี้
ปลายศตวรรษที่ 19 - 20 กองทหารผิวดำที่มีชื่อเมื่อก่อนก็ที่เรียกว่ากองทหารบัฟฟาโล่ เป็นทหารม้าผิวดำรบกับอินเดียนยุคตะวันตก มีหนังด้วยเรื่อง Buffalo Soldiers ครับ กองนี้ยังไปรบในสงคราม สเปน-เมกัน ด้วย แต่ไม่ค่อยได้รับการจดจำ ถ้าพูดถึงสงครามกับสเปน มักคิดถึงแต่ Rough Riders ของ เทดดี้ รุสเวลส์ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 27, 2007, 08:29:51 PM เกร็ดน่ารู้ ๑
การสังหารหมู่ที่เกาะรามรี ฟังแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าการสังหารหมู่นี้กระทำโดย ทหารญี่ปุ่น หรือพวกนาซีเสียละ จริงอยู่ที่ในสงครามโลกครั้งนี้ สองชนชาตินี้แข่งกันทำสถิติสังหารหมู่กันตลอดสงคราม แต่สำหรับกรณีนี้แล้วฝ่ายที่เป็นเหยื่อคือญี่ปุ่น และผู้ที่ลงมือก็มิใช่ทหารของชนชาติใด แต่มันคือเหล่าจรเข้น้ำเค็มแห่งป่าชายเลนของเกาะรามรีในพม่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายของสงครามราวปี 1944 กองทัพอังกฤษปิดล้อมทหารญี่ปุ่น ราวหนึ่งพันคนบนเกาะรามรี ของพม่า ทางรอดของทหารญี่ปุ่นมีทางเดียวคือ ต้องบุกผ่านป่าชายเลนออกมายังชายหาดด้นหน้าของเกาะ ทหารญี่ปุ่นตัดสินใจตีฝ่าในตอนกลางคืน ทว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ในบึงก็คือฝูงจรเข้น้ำเค็มที่หิวโหย ทหารอังกฤษที่อยู่ในเหตุการณได้เล่าถึงคืนสยองขวัญ? พวกญี่ปุ่นตกเป็นเหยื่อของเหล่าจรเข้ " เสียงปืนและเสียงร้องคำรามของจรเข้ ดังก้องทั่วบริเวณสลับกับเสียงร้องโหยหวนของผู้เคราะห์ร้าย และเสียงกระดูกมนูษย์ที่ถูกขบเคี้ยวด้วยกรามของเจ้าสัตว์เลื้อยคลานพวกนั้น ครั้นพอรุ่งเช้านกแร้งจำนวนมาก ก็ลงมาเก็บกินชิ้นส่วนของมนุษย์ที่เหลืออยู่ น้ำในบึงกลายเป็นสีเลือด" มีทหารญี่ปุ่นเพียงไม่กี่สิบคนที่รอดจากการสังหมู่ครั้งนี้มาได้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 27, 2007, 09:38:53 PM ใช่ครับ .... กว่าจะหาโหลดได้ และกว่าจะโหลดเสร็จ ก็แทบแย่ ;D ;D ;D ;D ;D ไม่บอก ผมมี DVD อยู่ ได้รับอภินันทนาการจากเจ้โอตอนที่เจ้ไปอเมริกาครั้งโน้นน่ะ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ กันยายน 27, 2007, 10:53:09 PM ประวัติศาสตร์ส่วนไหญ่มันเป็นโฆษณาชวนเชื่อทั้งนั้นละครับ ดูอย่างกองทัพพันธมิตรตะวันตก อเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเรีย อินเดีย รวมกำลังข้าบุกเยอรมันในแนวตะวันตก ซึ่งแต่ละประเทศ ส่งทหารมามหาศาร ในทะเลก็ชนะกองเรืออูแล้ว สามารถส่งทหารและอาวุธได้สะดวก รวมๆ แคนาดาส่งทหารมา 1 ล้าน อินเดียกว่าล้าน ฝรั่งเศสตอนหลังเข้าร่วมส่งทหารมาประมาณล้าน อเมริกากับอังกฤษนะ หลายล้านครับ แต่เรากลับเห็นการต่อสู้ที่ไช้จำนวนทหารและรถถังสูสีกัน และอย่างสงครามเบาค์ ก็ว่าเยอรมันเหนือกว่าแบบ 1 ต่อ 10 ผมว่าเชื่อยาก
ส่วนอีกทางนึงการรบ เยอรมันโซเวียต เยอรมันโดนรุม ประมาณ 4 ต่อ 1 ตลอด ฆ่าได้มากกว่า 10 เท่า แต่แพ้ เสร็จแล้วก็โดนรุม 4 ต่อ 1 อีก แล้วก็วนแบบเดิม แต่ปรากฎ เยอรมันอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนต้อง เกณฑ์เด็กและคนแก่เข้ามาในกองทัพ โวคสรอม ส่วนโซเวียตไม่เคยถึงวิกฤติขนาดนั้น ผมว่าอันนี้ก็เชื่อยากเหมือนกัน ที่จริงประวัติศาสตร์ที่นักประวัติศาสตร์เขียนนะ เป็นโฆษณาชวนเชื่อทั้งนั้น และเป็นมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว ในกรีกยังมีสุภาษิตเลยว่า In the time of war truth alway first victim .ในยามสงครามความจริงเป็นเหยื่อรายแรกเสมอ ที่จริงสงครามโลกครั้งที่ 2 แนวรบ เยอรมัน กับพันธมิตรตะวันตก ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะ แต่กรณีแนวรบเยอรมัน โซเวียตนั้น ประวัติศาสร์ถูกเขียนโดยผู้แพ้ เพราะสงครามเย็น อเมริกาเลยเอา ประวัติศาสตร์ฉบับเยอรมันมาไช้ แล้วแต่งเติมบางส่วน เพื่อดีสเครดิตโซเวียต ปัจจุบันสงครามเย็นจบแล้ว มีนักประวัติศาสตร์หลายคนเริ่มค้นคว้าหาความจริง มีการสำรวจการตายของทหาร ดูหลุมศพ ทะเบียน วิเคราะห์ประชากร ศึกษาจากบทความประวัติศาสตร์หลายๆด้าน แล้วนักประวัติศาสตร์รุ่นไหม่ก็ค้นพบความจริงที่ไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดคือ ในสงคราม ประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยแต่ละประเทศไม่เคยตรงกัน แล้วทุกประเทศเขียนเข้าข้างตัวเองเสมอ ในหมู่นักประวัติศาสตร์รุ่นไหม่มากมายก็มีหลายๆคนวิจัยและวิเคราะห์ขัดแย้งกันเองบ้าง ตอนนี้จึงเป็นยุคที่เรามีประวัติศาสตร์ทางเลือกมากมาย ไม่จำเป็นต้องเชื่อประวัติศาสตร์ฉบับดั้งเดิมเสมอ เช่น บางคนเสนอว่า แนวรบพันธมิตรตะวันตก เยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรตะวันตก น่าจะเป็นต่อด้านจำนวนทหาร 4 ต่อ 1 ส่วนรถถังกับเครื่องบินนั้น ประมาณ 10 ต่อ 1 ส่วนในแนวรบเยอรมันโซเวียตนั้น เริ่มต้นเยอรมันมีทหารมากกว่า (เพราะมาพร้อมกับพันธมิตร โรมาเนีย อิตตาลี ฟินแลนด์ ฮังการี ซโรวาเกีย โครเอเชีย บัลกาเรีย สเปน) (สเปนมาอย่างไม่เปนทางการ) ทหารเยอรมันเองประมาณ 2 ล้านเศษ ชาติอื่นๆรวม 1.5 ล้านรวมเป็น 3.6 ล้าน บางคนก็ว่ามีถึง 5.6 ล้าน ฝ่ายโซเวียตแนวนี้มี 2.9ล้าน ช่วงมอสโควฝ่ายโซเวียตมีทหารน้อยกว่า ช่วงเคิร์ก โซเวียตมีคนมากกว่า สัดส่วนประมาณ 3ต่อ 2 ช่วงท้ายๆเป็นต่อถึง 2ต่อ 1 แพทตันไม่ไช่แม่ทัพที่เยอรมันกลัวที่สุด ทัพอเมริกันไม่ได้สู้แต่กับทหารอาชีพเยอรมัน แต่สู้กับกองกำลังผสม ยูเครน และทหารบ้านโวคสตรอมที่มีแต่เด็กักับคนแก่ และสู้กับยุวชนฮิตเลอร์ ที่ไช้กระทั่งเด็ก 12 ขวบ แต่คุณไม่มีวันได้เห็น แพทตันสั่งรถถังไล่ยิงเด็ก หรือทหารอเมริกันยิงคนแก่ในสารคดีอเมริกัน หรือหนังอเมริกันแน่นอน ในหมู่นักประวัติศาสตร์รุ่นไหม่ คนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือแกรนท์ชาวอเมริกา เค้าเข้าไปทำการวิเคราห์เจาะลึก ถึงในเยอรมัน ออสเตรีย และรัสเซีย ว่าเกิดอะไรขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบัน หนังสือของแกรน?ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และพวกตะวันตกเริ่มเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปมาก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 27, 2007, 11:03:15 PM รบกวนท่าน nosta3824382 เล่าเรื่องที่ แกรนท์ ได้เขียนมาให้เพื่อนๆละผมฟังหน่อยสิครับ...
ขอบคุณล่วงหน้าครับ ชอบมากเลยครับกับประวัติศาสตร์นอกตำราเช่นนี้ครับ... :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: J ที่ กันยายน 27, 2007, 11:57:05 PM แต่ละท่านล้วนสุดยอดจริงๆ :o :oเป็นการรวบรวมความรู้ที่นอกตำราทั่วๆไปอ่านเองตั้งนานไม่ลึกซึ้งเท่านี้ผมเองความรู้เรื่องนี้ไม่มากแต่สงสัยมานานแล้วครับ ขออนุญาตถามไม่เกี่ยวกับเรื่องอาวุธ คือประเทศสวิสเซอร์แลนด์ครับทำไมเยอรมันถึงไม่ยึด เป็นเพราะไม่มีความสำคัญยุทธศาสตร์และยากต่อการเข้าตีหรือไม่ครับ แล้วสวิสฯสมัยนั้นไม่รวยเหมือนปัจจุบันหรือครับ ถ้ารวยยิ่งงงใหญ่แล้วทำไมฮิตเลอร์ปล่อยไป รบกวนด้วยครับ ???
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 28, 2007, 12:10:26 AM ผมไม่เชี่ยวชาญนะครับท่าน J แต่ผมขอถามแทนตอบนะครับ...
1.ยึดเพื่ออะไรครับ... 2.คุ้มค่าหรือไม่... 3.ปล่อยเอาไว้จะมีประโยชน์มากกว่าหรือไม่... ผมคิดได้แค่สามคำถามครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 28, 2007, 01:14:09 AM รวมๆ แคนาดาส่งทหารมา 1 ล้าน อินเดียกว่าล้าน ฝรั่งเศสตอนหลังเข้าร่วมส่งทหารมาประมาณล้าน อเมริกากับอังกฤษนะ หลายล้านครับ
ถูกของคุณ nosta ครับ เยอรมันไม่สามารถสร้างอุดมการณ์ของสงครามเพื่อรวบรวมพันธมิตร อุดมการณ์ของเยอรมันคือ เพื่อความเป็นหนึ่งของอารยัน จึงไม่สามารถรวบรวมพันธมิตรที่เข้มแข็งได้ แม้แต่อิตาลีที่ดูเหมือนดีแต่ก็เป็นชนชาติที่เละเทะไร้ระเบียบวินัยเอาชนะเอธิโอเปียยังหืดจับเลย(ตอนต้นสงครามบูชามุสโสลินี ท้ายสงครามเตะแม้แต่ศพมุสโสลินี คล้ายๆบางชนชาติแถวๆนี้ที่เริ่มต้นและจบลงแบบเดียวกัน) ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม มีทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา ที่น่าแปลกใจที่สุดคือเสปน ที่ฮิตเลอร์ช่วยนายพลฟรังโก ในสงครามกลางเมือง หากสเปนเอาด้วยกับเยอรมัน ยิบรอลต้าจะตกเป็นของเยอรมัน ทำให้เยอรมันควบคุมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ในขณะที่อุดมการณ์ร่วมกันของพันธมิตรคือร่วมกันต่อต้านเพื่อที่จะไม่ต้องตกเป็นทาสและถูกเยอรมันทารุณกรรม เยอรมันทำสงครามส่วนตัวกับยิวและ บอลเชวิก ยิ่งการทารุณกรรมต่อบอลเชวิกและยิว มากเท่าไหร่ชาวโลกก็ยิ่งต่อต้านเยอรมันเท่านั้น ฮิตเลอร์ทำผิดเช่นเดียวกับที่นโปเลียนพลาด โดยการทำให้ทั้งโลกหวาดกลัวและร่วมกันต่อต้านครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ กันยายน 28, 2007, 02:23:54 AM เห็นด้วยกับคุณ nars ครับ เพราะเยอรมันแกร่งขึ้นมาหลายประเทศเลยรวมตัวกันเพื่อรักษาดุลอำนาจไว้ เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง ส่วนที่ฆ่ายิวกับบอลเชวิก นี่ส่งผลเสียร้ายแรงกับการทูตและการปกครองของเยอรมันเลย คือหลายประเทศในยุโรปเค้าไม่แบ่งเชื้อชาติ เค้าถือว่ายิวเป็นประชาชนของเค้าเป็นหน้าที่ของเค้าที่จะต้องปกป้อง พอเยอรมันฆ่าหมู่ชาวยิวในโปแลนด์ ก็เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงมากชาวโปแลนด์ต่อสู้ด้วยนักรบจรยุทธ์ ส่งทหารไปประจำการประเทศต่างๆที่ต่อต้านนาซี ส่วนชาวยิวที่เป็นมันสมองก็อพยพออกจากเยอรมัน ไปเข้าด้วยกับฝ่ายพันธมิตร โดยเฉพาะไอสไตน์ การฆ่าหมู่คอมมิวนิสนี่ยิ่งแล้วไหญ่ ทำไห้เกิดกระแสชาตินิยมในโปแลนด์ ยูเครน รัสเซีย เกิดนักรบจรยุทธขึ้นเป็นจำนวนมาก แค่ที่ยูเครนมีทหารเข้าร่วมกับโซเวียตถึงสี่ล้านนาย และศัตรูของเยอรมันสู้โดยสมัครใจสู้เพื่อชาติ ไม่เหมือนมิตรของเยอรมันที่หลายๆส่วนถูกเกณฑ์มา
แต่ที่เทียบฮิตเลอร์กับนโปเลียนนี่ไม่เห็นด้วยเลยครับ คือตอนที่เค้ารบแรกๆเค้าต้องรบตามคำสั่งของสภานะครับ แต่พอเค้าขึ้นมามีอำนาจปกครองประเทศเค้าพยายามเจรจาสงบศึกแล้วนะครับ แต่ประเทศต่างๆไม่ยอมจะไห้พระเจ้าหลุยส์มาครองบัลลังค์ท่าเดียว เค้าไม่เคยทำเรื่องโหดร้ายกับประเทศใต้การปกครอง ที่นโปเลียนโดนต่อต้านมากน่าจะเป็นเรื่องดุลอำนาจมากกว่า ที่นโปเลียนทำพลาดก็มีเรื่องออกกฎห้ามค้าขายกับอังกฤษคู่สงครามกับบุกรัสเซียนะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ กันยายน 28, 2007, 02:30:18 AM แต่ละท่านล้วนสุดยอดจริงๆ :o :oเป็นการรวบรวมความรู้ที่นอกตำราทั่วๆไปอ่านเองตั้งนานไม่ลึกซึ้งเท่านี้ผมเองความรู้เรื่องนี้ไม่มากแต่สงสัยมานานแล้วครับ ขออนุญาตถามไม่เกี่ยวกับเรื่องอาวุธ คือประเทศสวิสเซอร์แลนด์ครับทำไมเยอรมันถึงไม่ยึด เป็นเพราะไม่มีความสำคัญยุทธศาสตร์และยากต่อการเข้าตีหรือไม่ครับ แล้วสวิสฯสมัยนั้นไม่รวยเหมือนปัจจุบันหรือครับ ถ้ารวยยิ่งงงใหญ่แล้วทำไมฮิตเลอร์ปล่อยไป รบกวนด้วยครับ ??? มีหลายเหตุผลนะครับ 1 ชัยภูมิสวิสเป็นภูเขาและป่าเยอะมาก ไม่เหมาะกับกองกำลังแพนเซอร์ หรือการโจมตีทางอากาศ 2 ทหารของสวิสเก่งมากโดยเฉพาะพลซุ่มยิง 3 สวิสวางตัวเป็นกลางแต่เอื้อประโยชน์ไห้เยอรมัน คือตอนนั้นเยอรมันมีโครงการนำชาวยิวมาเรียกค่าไถ่นะครับ โดยไห้ญาติๆจากต่างประเทศโอนเงินมาโดยไห้ธนาคารสวิสเป็นตัวกลาง(เพราะพวกยิวอาจไม่เชื่อใจเยอรมัน) และธนาคารจะรับเงินมาก่อน จะโอนเงินไห้เมื่อชาวยิวเดินทางมาถึงสวิสแล้ว สรุปก็คือยึดแล้วได้ไม่คุ้มเสียอย่างที่คุณ rute ว่านะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ กันยายน 28, 2007, 02:31:05 AM รบกวนท่าน nosta3824382 เล่าเรื่องที่ แกรนท์ ได้เขียนมาให้เพื่อนๆละผมฟังหน่อยสิครับ... ขอบคุณล่วงหน้าครับ ชอบมากเลยครับกับประวัติศาสตร์นอกตำราเช่นนี้ครับ... :D ได้ครับ ^_^ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Army - รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 28, 2007, 08:56:36 AM รบกวนท่าน nosta3824382 เล่าเรื่องที่ แกรนท์ ได้เขียนมาให้เพื่อนๆละผมฟังหน่อยสิครับ... ขอบคุณล่วงหน้าครับ ชอบมากเลยครับกับประวัติศาสตร์นอกตำราเช่นนี้ครับ... :D ได้ครับ ^_^ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ผมก็อยากทราบเหมือนกัน :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 28, 2007, 09:44:23 AM 10 ปีก่อน อาจารย์รัฐศาสตร์ท่านหนึ่งบอกผมว่า มีการเขียนหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ 10 ล้านเล่ม ตอนนี้มากขึ้นแล้วแน่ๆ เป็นที่ควรสนใจสำหรับผู้ต้องการค้นหาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและการตีความความจริง
*** ผมขอคุยเรื่องการพยายามฆ่าฮิตเลอร์ต่ออีกหน่อยในส่วนการบาดเจ็บของเคาท์ ช. ครับ เคาท์ ช. เป็นทหารในกองพลยานเกราะที่ 10 ไปรบในอัฟริกาเหนือ ถึงตอนที่เยอรมันถอยในตูนิเซีย เคาท์ ช. เป๋็นพันโท อยู่ในรถเปิดประทุนในขบวนถอย เคื่อง P40 เคอติส ของเมกันบินมากราดขบวน เคาท์ ช. ยืนกำกับการจราจรของรถบรรทุก ถูกปืนเคื่องบิน .50 ยิ่งเข้าแขนขวาล่างรุ่งริ่ง เฉียดตาซ้ายไปจนบอก นิ้วมือก้อย/นางมือซ้ายขาด และบาดเจ็บส่วนอื่นอีก ก็ถูกนำส่ง รพ. ย้ายกลับเยอรมัน.. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 28, 2007, 12:53:11 PM เกร็ดน่ารู้ ๒
สุนัขพิฆาต ในช่วงที่ทัพนาซีเข้าโจมตีสหภาพโซเวียต ทางกองทัพโซเวียตได้วางแผนทำลายรถถังของเยอรมัน โดยทำการฝึกสุนัขให้ติดระเบิดทำลายแรงสูง แล้วมุดเข้าไปใต้รถถังนาซี เพื่อให้ระเบิด ฟังดูน่าเศร้าและเวทนา (โดยเฉพาะกับคนรักสุนัขทั้งหลาย) ใช่ไหม แต่ยังมีข้อเท็จจริงที่น่าสมเพชยิ่งกว่าเมื่อแผนการนี้ถูกนำไปใช้ กล่าวคือเหล่าหมาน้อยติดระเบิดกลับมุดเข้าใต้รถถังโซเวียตและระเบิดตูมแทนที่จะเป็นรถถังนาซี สำหรับเหตุผลน่ะหรือ ก็เนื่องจากเจ้าหมาเหล่านี้ถูกฝึกมากับรถถังโซเวียต ไม่ใช่รถถังเยอรมันนะสิ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: J ที่ กันยายน 28, 2007, 01:41:25 PM ผมไม่เชี่ยวชาญนะครับท่าน J แต่ผมขอถามแทนตอบนะครับ... ;Dที่ผมสงสัยก็เพราะสวิสน่าจะมีทองคำและเงินสกุลต่างๆมากมายถ้าเยอรมันได้ก็จะเป็นทุนในการทำสงครามต่อ แล้วก็ยิ่งงงเพราะรอบบ้านรบกันแหลกรานพี่แกกลับอยู่เฉยๆได้ 1.ยึดเพื่ออะไรครับ... 2.คุ้มค่าหรือไม่... 3.ปล่อยเอาไว้จะมีประโยชน์มากกว่าหรือไม่... ผมคิดได้แค่สามคำถามครับ...:D แต่ละท่านล้วนสุดยอดจริงๆ :o :oเป็นการรวบรวมความรู้ที่นอกตำราทั่วๆไปอ่านเองตั้งนานไม่ลึกซึ้งเท่านี้ผมเองความรู้เรื่องนี้ไม่มากแต่สงสัยมานานแล้วครับ ขออนุญาตถามไม่เกี่ยวกับเรื่องอาวุธ คือประเทศสวิสเซอร์แลนด์ครับทำไมเยอรมันถึงไม่ยึด เป็นเพราะไม่มีความสำคัญยุทธศาสตร์และยากต่อการเข้าตีหรือไม่ครับ แล้วสวิสฯสมัยนั้นไม่รวยเหมือนปัจจุบันหรือครับ ถ้ารวยยิ่งงงใหญ่แล้วทำไมฮิตเลอร์ปล่อยไป รบกวนด้วยครับ ??? มีหลายเหตุผลนะครับ 1 ชัยภูมิสวิสเป็นภูเขาและป่าเยอะมาก ไม่เหมาะกับกองกำลังแพนเซอร์ หรือการโจมตีทางอากาศ 2 ทหารของสวิสเก่งมากโดยเฉพาะพลซุ่มยิง 3 สวิสวางตัวเป็นกลางแต่เอื้อประโยชน์ไห้เยอรมัน คือตอนนั้นเยอรมันมีโครงการนำชาวยิวมาเรียกค่าไถ่นะครับ โดยไห้ญาติๆจากต่างประเทศโอนเงินมาโดยไห้ธนาคารสวิสเป็นตัวกลาง(เพราะพวกยิวอาจไม่เชื่อใจเยอรมัน) และธนาคารจะรับเงินมาก่อน จะโอนเงินไห้เมื่อชาวยิวเดินทางมาถึงสวิสแล้ว สรุปก็คือยึดแล้วได้ไม่คุ้มเสียอย่างที่คุณ rute ว่านะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 28, 2007, 03:13:07 PM เกร็ดน่ารู้ ๓
สัปเหร่อน้อย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกนาซีได้จัดตั้งหน่วยยุวชนฮิตเลอร์ขึ้นมา (ถ้าจำไม่ผิดในยุคนั้นรัฐบาลไทยเองก็จัดตั้งหน่วยยุวชนทหารขึ้นมาเช่นกัน) โดยมาจากเด็กชายอายุ 15 - 18 ปี ในช่วงปลายสงคราม เด็กที่อายุน้อยกว่านี้ ก็ยังถูกต้อนเข้าขบวนการ พวกเขาต้องทำหน้าที่ไม่ต่างกับทหาร ทั้งๆที่บางคนอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น เด็กๆนับพันต้องตายหรือหรือบาดเจ็บจากสงคราม หลังจากสงครามสงบลงแล้ว เด็กๆเหล่านี้ถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับเชลยศึก ในวันที่ 30 เมษายน 1945 กลุ่มยุวชนฮิตเลอร์อายุ 10 - 14 ปี ถูกจับเป็นนักโทษที่มิวนิก ทหารสหรัฐบังคับให้เด็กเหล่านี้ขนย้าย ซากศพผู้เสียชีวิตในค่ายกักกันที่ดาเคา หลังจากนั้นก็ถูกนำตัวไปทำงานที่โรงงานเผาศพ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 28, 2007, 07:36:04 PM เกร็ดน่ารู้ ๔
ของที่ระลึกจากสงคราม สำหรับทหารอเมริกันที่ทำการรบในแปซิฟิก กิจกรรมโปรดอย่างหนึ่งก็คือการเก็บสะสมของที่ระลึก นั่นก็คือ ชิ้นส่วนศพของทหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะหัวกระโหลก ถึงกับในเดือนกันยายน 1942 ผู้บัญชาการกองเรือแปซิฟิกต้องออกคำสั่งห้ามเก็บชิ้นส่วนใดๆของทหารข้าศึกเอาไว้ แต่คำสั่งดังกล่าวก็ไม่มีใครสนใจ (กฏมีไว้ฝ่าฝืน) ที่ยุทธภูมิกัวดาคะแนลทหารอเมริกันเอาหัวของทหารญี่ปุ่นที่ถูกไฟไหม้มาวางประดับบนรถถัง นอกจากหัวกระโหลกแล้วการถอนฟันทองจากข้าศึกมาเก็บไว้ ก็เป็นกิจกรรมสุดฮิตอีกอย่าง และบางครั้งเจ้าของฟันก็ยังไม่ตายด้วยซ้ำไป หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 28, 2007, 10:17:20 PM เริ่มเล่าฝั่งแอตแลนติกแล้ว มาต่อด้วยฝั่งแปซิฟิกกันบ้างครับ สงครามฝั่งแปซิฟิก จุดเริ่มต้นไม่ใช่เพิร์ลฮาเบอร์อย่างที่คนส่วนใหญ๋เข้าใจ จุดเริ่มต้นของสงครามฝั่งแปซิฟิก อยู่ที่ การบุกเกาหลีและแมนจูเรีย และไซบีเรียครับ หลังจากนั้นอเมริกาจึงประกาศหยุดส่งน้ำมันให้ญี่ปุ่น(ญี่ปุ่นเหลือน้ำมันสำรองใช้ได้ไม่ถึง 1 ปี)เป็นการบีบบังคับให้ญี่ปุ่น ถอนทหาร แต่ญี่ปุ่นกับเลือกทำสงครามกับอเมริกา และอังกฤษ เพื่อยึดครองแหล่งน้ำมันในอินโดนีเซียแทนครับ
ความผิดพลาดใหญ่ๆของญี่ปุ่นมีอยู่3 ประการ คือ 1 ตอนแรกญี่ปุ่นยึดครองแคว้นแมนจูเรีย แล้วตัดสินใจบุกลงใต้ยึดแผ่นดินใหญ่จีน ซึ่งเจียงไคเช็กกับเหมาเจ๋าตุง กำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่ ทำให้ทั้งสองจับมือกันชั่วคราวต่อต้านญี่ปุ่น หากญี่ปุ่นยึดครองแค่แมนจูเรีย แล้วปล่อยให้เจียงไคเช็ค รบกับ เหมาเจ๋อตุงต่อไป ก็จะไม่ต้องสูญเสียกำลังโดยไม่จำเป็น สงครามในจีนเป็นสงครามที่เปล่าประโยชน์สำหรับญี่ปุ่นมาก (คล้ายๆกับการบุกแอฟริกาเหนือของเยอรมัน) เพราะจีนในขณะนั้นขาดแคลนอาหาร พื้นที่เพาะปลูกในจีนยังไม่พอเลี้ยงพลเมืองจีน อดตายกันหลายล้านคน น้ำมันก็ไม่มี 2 การโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ ในขณะที่ ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์นั้น ญี่ปุ่นสามารถทำลายเรือ battle ship ของ อเมริกาได้เพียงแค่2 ลำเท่านั้น อีก6 ลำเสียหายหนัก โดยที่ญี่ปุ่นเข้าใจว่าจทได้ทั้งหมดปีต่อมาอเมริกาสามารถซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก ทำให้อเมริกาฟื้นกำลังทางเรือได้อย่างรวดเร็ว หากญี่ปุ่น โจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก(เรื่องยึดฮาวายเป็นไปได้ยากในสมัยนั้น เนื่องจากการส่งบำรุงมีระยะทางไกลมาก)จนเรือ battle ship ทั้งหมดไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ สงครามในแปซิฟิกจะเปลี่ยนไป หลังจากนั้นกองเรือญี่ปุ่นก็รีบมุ่งลงใต้ยึด แหล่งน้ำมันในสุมาตราและบอร์เนียว(ในขณะนั้นอเมริกาไม่สามารถต่อสู้กองเรือญี่ปุ่นได้เลย เพราะไม่มีเครื่องบินและเรือเพียงพอ) เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้ก็พอๆกับที่เยอรมันบุกถึงชานกรุงมอสโคว์แล้วไม่ทำลายหรือยึดมอสโคว์แต่ ประมาทศํตรูรีบมุ่งลงใต้ยึดแหล่งน้ำมันในบาคู Casualties 2 battleships lost, 6 battleships damaged, 3 cruisers damaged, 2 destroyers lost, 1 damaged, 1 other ship lost, 3 damaged,[2] 188 aircraft destroyed, 155 aircraft damaged, 2,333 military and 55 civilians killed, 1,139 military and 35 civilians wounded[3] http://en.wikipedia.org/wiki/Attack_on_Pearl_Harbor 3. ขยายแนวรบทางทะเลออกไปที่ หมู่เกาะโซโลมอน และปาปัวนิวกินี โดยที่กองเรือมีไม่เพียงพอ โดยไม่จำเป็น หากญี่ปุ่นยึดแค่ฟิลิปปินส์ คาบสมุทรมาลายา อินโดนีเซียซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรก็น่าจะเพียงพอแล้ว หลังจากนั้นก็ มุ่งมหาสมุทรอินเดีย ตัดแหล่งทรัพยากรอังกฤษ (ตอนนั้นมหาตมะ คานธี เนรูห์ ก็อยากจะปลดแอกอังกฤษ แค่ตัดกองเรืออังกฤษ แล้วสนับสนุนขบวนการกู้ชาติอินเดีย อังกฤษก็หมดสภาพแล้วครับ) โดยรวมๆแล้ว ข้อ2 การที่ไม่ทำลายกองเรือของอเมริกา ให้ไม่สามารถซ่อมแซมได้ คือ สาเหตุหลักที่กองเรืออเมริกาฟื้นตัวมาสู้กับญีปุ่นได้เร็ว ทำให้ญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 28, 2007, 10:40:38 PM เครื่องซีโร่ misubishi A6M พระเอกของ สมรภูมิเพิร์ลฮาร์เบอร์ มีขนาดเล็ก ทำให้มีความคล่องตัวทางการบินสูงมาก ปืน7.7มม.2 กระบอกและปืน20 มม. 2กระบอก(กระบอกละ100นัด)
ข้อเสียของ ซีโร่คือขนาดที่เล็ก ทำให้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอสำหรับติดตั้งเกราะสำหรับถังเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์ทำให้ง่ายแก่การทำลายหากโดยยิงเพียงไม่กี่นัด(กระสุน.50 BMG แบบเจาะเกราะเพลิงส่องวิถีของ p38,40,51) ช่วงท้ายๆสงคราม เครื่องซีโร่ไม่สามารถพัฒนาด้านกำลังเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงได้(mb109 มีขนาดเล็กกว่า แต่ เยอรมันมีขีดความสามารถทางด้านวิศวกรรมสูง ทำให้พัฒนาเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงขนาดเล็กติดในmb109 ได้ทำให้มี take off load สูงกว่า ซีโร่ และสามารถต่อสู้กับ p51 p40 p38 ได้) ทำให้ไม่สามารถสู้กับเครื่องบินรุ่นใหม่ๆของอเมริกาซึ่ง มีทั้งขนาดที่ใหญ่กว่า ทนทานกว่า อำนาจการยิงสูงกว่า ได้ครับ http://en.wikipedia.org/wiki/A6M_Zero หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 28, 2007, 10:44:28 PM อีก1 ข้อที่ญี่ปุ่นเสียเปรียบ คือ กระสุน20 มม. มีเพียง200 นัด ทำให้ต้องยิงกะระยะด้วยปืน7.7 มม. ก่อน เมื่อเข้าแนวเล็งแล้วค่อยยิงด้วยปืน20 มม. ซึ่งมีวิถีไม่อยู่ในแนวเดียวกัน ผิดกับ เครื่องอเมริกัน ออกแบบปีกขนาดใหญ่ติดปืน .50 BMG ได้5 กระบอก กระสุนเกือบ 2 พันนัด ยิงกะระยะโดยปืนคู่ในก่อน พอเข้าแนวเล็งก็ยิงด้วยปืนทั้ง6 กระบอก ใช้กระสุนชนิดเดียวกันทำให้มีความแม่นยำในการยิงสูงกว่าครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 12:00:46 AM เรียนท่าน nars ครับ...
สงครามภาคพื้นเอเชียนี่เรื่องยาวมากเลยครับ... แค่เรื่องจีนกับญี่ปุ่นก็บานตะเกียงแล้วครับ... สงครามแปซิฟิกอีก(สุดยอดสมรภูมิใน WW II ในใจผม)... ผมว่าเรายังน่าจะวิเคราะห์เรื่องยุโรปกันได้อีกมากเลยครับ... ผมอยากถามถึงเรื่อง Operation Barbarossa น่ะครับ... ซึ่งเป็นต้นเรื่องของสงครามเยอรมัน-รัสเซียครับ... แผนที่การรุกของเยอรมันดังภาพประกอบครับ... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/36/Operation_Barbarossa_corrected_border.png) ท่านใดช่วยวิเคราะห์หน่อยเถิดครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กันยายน 29, 2007, 01:09:05 AM เรียนท่าน nars ครับ... สงครามภาคพื้นเอเชียนี่เรื่องยาวมากเลยครับ... แค่เรื่องจีนกับญี่ปุ่นก็บานตะเกียงแล้วครับ... สงครามแปซิฟิกอีก(สุดยอดสมรภูมิใน WW II ในใจผม)... ผมว่าเรายังน่าจะวิเคราะห์เรื่องยุโรปกันได้อีกมากเลยครับ... ผมอยากถามถึงเรื่อง Operation Barbarossa น่ะครับ... ซึ่งเป็นต้นเรื่องของสงครามเยอรมัน-รัสเซียครับ... แผนที่การรุกของเยอรมันดังภาพประกอบครับ... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/36/Operation_Barbarossa_corrected_border.png) ท่านใดช่วยวิเคราะห์หน่อยเถิดครับ...:D ครับพี่ รูท แผนที่นี้เห็นแล้วเซ็งในอารมณ์ครับ (ฮิตเลอร์คงแทบอาเจียนเป็นโลหิต)เนื่องจากว่า 1.กองทัพกลุ่มเหนือไม่สามารถบุกไปถึงเมืองมูร์มันส์ ซึ่งเป็นเมืองท่าชายฝั่งมหาสมุทรอาร์คติก ที่อังกฤษกับอเมริกาส่งยุทธปัจจัยทางเหนือ รวมทั้งตีเลนินกราดไม่แตก 2.กองทั้งกลุ่มกลางตีมอสโคว์ไม่แตกไปไม่ถึงโรงงานอุตสาหกรรมในเทือกเขาอูราลได้ 3.กองทัพกลุ่มใต้ก็ตีสตาลินกราดไม่แตกอีกเหมือนกัน จากแผนที่จะเห็นได้ชัดว่าการสละกองทัพที่6 เพื่อให้กองทหารที่บุกเข้าไปคอเคซัสถอยกลับทัน หากกองทัพที่6 ถอย กองทัพที่อยู่ในคอเคซัสจะถูกตัดทางหนีตายหยังเขียดเลยครับ สาเหตุหลักๆก็คือแนว รบกว้างจากอาร์คติกจรด คอเคซัส กว้างถึง 2500 km. ลึกจากเทือกเขาคาร์พาเทียนถึงมอสโคว์กว่า 1000 km. กินพื้นที่หลายล้านตารางกิโลเมตร ทำให้ไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้ครับ หากเยอรมัน รวมกำลัง บุกตีเป็นจุดๆไปเริ่มจาก มอสโคว์ เพื่อตัวศูนย์บัญชาการรบ แบ่งรัสเซียเป็น2 ส่วน หลังจากนั้นก็ บุกตีด้านเหนือให้ถึงมูร์มันส์ ด้านใต้ถึงคอเคซัส ก็ happy ending แล้วครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 29, 2007, 02:49:53 AM เกร็ดน่ารู้ ๕
เรือดำน้ำบรรทุกเครื่องบิน หลังการถูกทิ้งระเบิดที่กรุงโตเกียว กองทัพญี่ปุ่นได้วางแผนแก้แค้น ในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.1942 ญี่ปุ่นได้ส่งเรือดำน้ำ I125 โผล่ขึ้นในเขตน่านน้ำสหรัฐและส่งเครื่องบินซีโร่ ขับโดยนักบินชื่อ โนบุโอะ ฟูจิตะ ไปทิ้งระเบิดเพลิงใส่เขตป่าไม้ในรัฐโอรีกอน เพื่อสร้างความปั่นป่วนแต่เนื่องจากระเบิดสี่ลูกทำงานเพียงลูกเดียว จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ โนบุโอะ ฟูจิตะ ได้ชื่อว่าเป็นนักบินญี่ปุ่นเพียงคนเดียวที่ได้ทิ้งระเบิดสหรัฐอเมริกา หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 04:37:52 AM 2 การโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ ในขณะที่ ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์นั้น ญี่ปุ่นสามารถทำลายเรือ battle ship ของ อเมริกาได้เพียงแค่2 ลำเท่านั้น อีก6 ลำเสียหายหนัก โดยที่ญี่ปุ่นเข้าใจว่าจทได้ทั้งหมดปีต่อมาอเมริกาสามารถซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก ทำให้อเมริกาฟื้นกำลังทางเรือได้อย่างรวดเร็ว หากญี่ปุ่น โจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก(เรื่องยึดฮาวายเป็นไปได้ยากในสมัยนั้น เนื่องจากการส่งบำรุงมีระยะทางไกลมาก)จนเรือ battle ship ทั้งหมดไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ สงครามในแปซิฟิกจะเปลี่ยนไป หลังจากนั้นกองเรือญี่ปุ่นก็รีบมุ่งลงใต้ยึด แหล่งน้ำมันในสุมาตราและบอร์เนียว(ในขณะนั้นอเมริกาไม่สามารถต่อสู้กองเรือญี่ปุ่นได้เลย เพราะไม่มีเครื่องบินและเรือเพียงพอ) โดยรวมๆแล้ว ข้อ2 การที่ไม่ทำลายกองเรือของอเมริกา ให้ไม่สามารถซ่อมแซมได้ คือ สาเหตุหลักที่กองเรืออเมริกาฟื้นตัวมาสู้กับญีปุ่นได้เร็ว ทำให้ญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ครับ ;D ผมทราบมาอีกส่วนว่า ญี่ปุ่นพลาดที่ไม่ได้ไปแตะต้องคลังน้ำมันของอเมริกาในเพิลฮาร์เบอร์เลย อีกส่วนก็คือ อเมริกันโชคดีที่เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ (จำชื่อไม่ได้) ไม่ได้อยู่ที่นั่น ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 29, 2007, 06:06:55 AM (http://www.geocities.com/sthumayos/pk-62130.jpg)
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงเครื่องแบบของทหารเยอรมันในสนาม หรือในแนวหน้าได้อย่างชัดเจน หมวกเหล็ก ซึ่งออกแบบใหม่ในปี 1942 ต่างจากแบบในสงครามโลกครั้งหนึ่งเล็กน้อย แต่ก็ป้องกันส่วนหูได้เป็นอย่างดี ด้านข้างของหมวกเหล็ก จะเห็นสัญญลักษณ์ นกอินทรีกางปีกครึ่งเดียวเกาะบนตราสวัสดิกะ ส่วนที่หน้าอกเสื้อเครื่องแบบด้านซ้ายของทหาร มีตราสัญญลักษณ์ นกอินทรีกางปีกเหยียดตรง เกาะอยู่บนเครื่องหมายสวัสดิกะที่เห็นกลมๆด้านล่าง เสื้อเครื่องแบบมีกระดุมสีเงิน 5 เม็ด ทั้งหมดปลดกระดุมคอบน เนื่องมาจากอากาศที่อบอ้าว หรือเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ปืนกลหนักที่ทหารสองคนแบกบนไหล่คือ ปืนกลเอ็ม จี 42 (MG 42) หรือที่เรียกกันว่า ปืนกลสแปนเดา (Spandau) ที่มีชื่อของนาซีเยอรมัน พร้อมสายกระสุนขนาด 7.92 มม. สายละ 50 นัด ซึ่งเป็นกระสุนขนาดเดียวกับปืนเล็กยาวประจำตัวทหารราบแบบ Karabiner Mauser K98 K ปืนกลชนิดนี้มีอัตราการยิงที่สูงถึง 1,200 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลกว่า 1,000 เมตร หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ กันยายน 29, 2007, 07:42:02 AM ขอแจมเรื่อง Operation Barbarossa หน่อยครับ
ทำไมถึงบุก ฮิตเลอร์เขียนไว้ในหนังสือเรื่องการต่อสู้ของขาพเจ้าไว้แล้วว่าต้องการบุกรัสเซีย ชิงที่ดินทรัพยากร และจับชาวสลาฟไปเป็นทาส เพราะเชื่อว่าชาวสลาฟเป็นเชื้อชาติที่ต่ำกว่าอารยัน แต่เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นทรัพยากรน้ำมันที่คอเคซัส ซึ่งจะทำไห้บลิซคลีกสมบูรณ์แบบ การเตรียมพร้อม ฮิตเลอร์สั่งทหาร 75%ของเยอรมัน พร้อมพันธมิตร โรมาเนีย อิตตาลี ฟินแลนด์ ฮังการี ซโรวาเกีย โครเอเชีย บัลกาเรีย สเปน ส่งทหารและอาวุธมาเป็นจำนวนมาก บุกเข้าสู่โซเวียต รวมทั้งได้ร่วมมือกับประเทศในโซเวียตที่ต่อต้านสตาลิน โดยมีกำลังทหารเหนือกว่ากองทัพโซเวียตที่แนวรบนี้เล็กน้อย แต่เสียเปรียบด้านรถถังกับเครื่องบิน เป็นจำนวนมากส่วนกองทัพโซเวียต ส่งทหารและอาวุธประมาณ 60% เข้าสู่แนวรบด้านนี้ เพราะกลัวการโจมตีจากญี่ปุ่น ความผิดพลาดของโซเวียตในช่วงแรก ส่งกองกำลังไปป้องกันญี่ปุ่นมากเกินไป ที่จริงถ้าดูจากความสำเร็จทางการทหาร ญี่ปุ่นเทียบกับเยอรมันไม่ได้ บุคลากร ไม่มีทักษะเพียงพอ แม่ทัพจำนวนมากถูกสตาลินกวาดล้าง ทหารก็รับการฝึกไม่เพียงพอ ที่จริงโซเวียตมีแม่ทัพที่ดี แต่ว่ายังไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตัดสินใจใดๆได้ ช่วงแรกสตาลินมักจะตัดสินใจด้วยตัวเอง ทางอากาศ รูปแบบฝูงบินเป็นกลุ่มแน่นกลุ่มไหญ ซึ่งเป็นเป้าที่ง่าย ส่วนเยอรมัน บินเป็นกลุ่มหลวมซึ่งคล่องตัวและเป็นเป้ายากกว่า ประกอบกับเทคโนโลยีของโซเวียตต่ำกว่า และบินได้ช้ากว่า การป้องกันสนามบินจากการโจมตีทางอากาศไม่ดีพอ จึงถูกฝูงบินเยอรมันโจมตีสนามบินตั้งแต่ชั่วโมงแรกของสงคราม การพ่ายแพ้ทางอากาศส่งผลไหญ่หลวง นอกจากกองกำลังภาคพื้นเป็นเป้าการโจมตีทางอากาศแล้ว กองทัพโซเวียตที่ขาดการบินสอดแนมทางอากาศ ไม่รู้ข้อมูลฝ่ายเยอรมัน ส่วนทัพเยอรมันรู้ข้อมูลฝ่ายโซเวียต กองทัพบกโซเวียตไม่รู้ข้อมูลฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังขาดการพราง โจมตีตอนกลางวัน ทำไห้ฝ่ายเยอรมันซุ่มโจมตีได้ง่ายๆ ไม่มีการขุดหลุมเพลาะใดๆ มีการสั่งไม่ไห้ตอบโต้ยั่วยุใดๆ จึงทำไห้กองทัพเป็นเป้านิ่ง ขาดการติดต่อสื่อสาร ทำไห้กองทัพถูกล้อมไปทีละทัพอย่างง่ายดาย ขาดการส่งกำลังบำรุงที่ดีพอ เมื่อการรบเกิดขึ้นไประยะนึง กองทัพโซเวียตจะหมดกระสุนหรือหมดน้ำมันไปเอง แพ้ทางการเมือง ในประเทศโซเวียตนอกจากรัสเซีย ซึ่งเยอรมันสัญญาว่าจะมาปลอดปล่อย ชาวโซเวียตในโปแลนด์และยูเครนสนับสนุนทัพ เยอรมัน หน่วยข่าวกรองรู้ตำแหน่งสนามบิน การตัดสินใจโจมตีสนามบินตั้งแต่ช่วงแรกทำไห้ทัพอากาศได้เปรียบ รวมทั้งการจัดฝูงบิน ทำได้เหมาะสม นักบินและเครื่องบินดีกว่า การต่อสู้ในช่วงกลาง เยอรมันยังเป็นต่ออยู่มาก และล้อมทำลายทัพโซเวียตได้เรื่อยๆ แต่มีการชะงักงันเนื่องจาก การที่ฮิตเลอร์ออกนโยบายไห้ถือว่าชาวสลาฟต่ำกว่าชาวอารยัน ไห้ปล้นฆ่ายังไงก็ได้ ไม่มีการถูกดำเนินคดี ทำไห้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงใน โปแลนด์และยูเครน รวมทั้งเขตรัสเซียที่โดนยึดครอง และนี่เป็นความผิดพลาดที่สำคัญที่สุดของฮิตเล่อร์ครั้งนึงเลยทีเดียว เวลาฝนตก ทัพเยอรมันจะเกิดการชะงักงัน และรถถังของเยอรมันไม่มีความสามารถที่จะวิ่งในพื้นที่อ่อนนุ่มเนื่องจากฐานล้อที่แคบกว่า ในช่วงนี้ มีศึกที่สำคัญคือ เลนินกราด ซึ่งทัพเยอรมันพยายามตีหักแล้ว แต่ทำไม่ได้ เพราะโซเวียตป้องกันอย่างเข้มแข็งจึงทำหารล้อมไห้อดแทน ซึ่งก็ทำไม่ได้อีก เพราะโซเวียตส่งกำลังบำรุงผ่านทางทะเลสาบ และศึกที่เคียฟ ซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งไหญ่ที่สุดของเยอรมัน ซึ่งล้อมทำลายกองกำลัง 850000 คนซึ่งมีไม่ก๊แสนที่หลบไปได้ อันนี้เป็นที่ถกเถียงกันว่า ถูกต้องหรือไม่ บางคนก็บอกว่า ทำไห้การล้อมมอสโควล่าช้า แต่แกรนท์บอกว่า การล้อมที่เคียฟเป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะกองกำลัง 850000 คนเป็นอันตรายต่อกองกำลังเยอรมันมาก ช่วงที่สาม การรบแห่งมอสโคว ตอนแรก เยอรมันยังเป็นต่ออยู่เข้าโอบล้อมกองกำลังที่ป้องกันรอบกรุงมอสโควได้ ต่อมาเกิดฝนตกอีก ทัพเยอรมันเดินทางได้ช้าลง ต่อมา โซเวียตนำกำลังเสริมมาสมทบ ซึ่งประกอบด้วย ทหารไซบีเรีย รถถัง T34 และแม่ทัพ จีโอจี้ซูคอฟ โดยซูคอฟได้รับคำสั่งไห้มาคุมกองกำลังภาคกลางทั้งหมด และซูคอฟก็สั่งผ่าตัดกองกำลังโซเวียตโดยทันที โดยปลดผู้บัญชาการที่ไร้ความสามารถออก แล้วเลื่อนขั้นไห้คนที่มีความสามารถ โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ หรือเชื้อชาติ และโซเวียตจากนี้จะมีผู้บัญชาการระดับสูงหลายคนที่ไม่ไช่ชาวรัสเซีย เช่น โรคอฟสกี้ ชาวโปแลนด์ โคเนฟ ชาวยูเครน มารินอฟสกี้ ชาวยิว สั่งไห้ย้ายกองกำลังป้องกันที่กระจายเข้ามารวมไว้ที่รอบๆมอสโควโดยทำนายจุดที่จะถูกเข้าตีไว้ไม่กี่จุด แล้วเสริมการป้องกันไห้หนาแน่น มีการขุดสนามเพลาะขึ้นหลายชั้น ถ้าหน่วยป้องกันพลาด ก็จะถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู่ชั้นป้องกันถัดไป ซึ่งถ้าพลาดอาจหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จโซเวียตสามารถต้านทัพเยอรมันเอาไว้ได้จนถึงฤดูหนาว ตีโต้ฝ่ายโซเวียตซึ่งมีทหารราบมากกว่าเพียงเล็กน้อย แต่มีรถถังเครื่องบิน และปืนไหญ่น้อยกว่า อาสัยความได้เปรียบจากฤดูหนาว บุกโจมตีโดยเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี เปลี่ยนเป็นโจมตีกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ และการจู่โจมทางอากาศ และลดความเสียเปรียบด้านพิสัยการยิง บุกเป็นแนวที่แคบมากซึ่งการรวมศูนย์การบุกของโซเวียตแคบกว่าของเยอรมันมากทำไห้แข็งแกร่งกว่า ได้เปรียบจากอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าโดยมีสกี และรถถัง T34 สามารถเครื่อนที่ได้บนพื้นหิมะ ทำไห้คล่องตัวกว่า อาวุธก็มีปัญหาทั้งคู่ แต่ฝ่ายโซเวียตมีปัญหาน้อยกว่าเนื่องจากรู้วิธีดูแลมากกว่า การโจมตีในช่วงต้นประสบผลสำเร็จ กูเดอเรียนสั่งถอยโดยระเมิดคำสั่งของฮิตเล่อร์ซึ่งต้องการไห้ยืนหยัดต่อสู้ ผลปรากฎ กูเดอเรี่ยนโดนปลด และทัพเยอรมันยันโซเวียตได้ที่รีซ ซึ่งนักประวัติศาสตร์อเมริกันว่าเป็นความผิดพลาดของฮิตเล่อร์ที่ไห้ยัน แต่มีนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังจำนวนมากเชื่อว่า คำสั่งไห้ยืนหยัดต่อสู้ช่วยชีวิตทหารไว้ เพราะถ้าถอยนอกที่กำบัง ทหารต้องเจอกับความหนาว ต้องโดนไล่ล่าโดยทหารจรยุทธ และอาจจะต้องเจอชะตากรรมเดียวกับนโปเลียน อย่างไรก็ตาม จากเชลยที่จับได้โซเวียตพบว่า สาเหตุที่การต้านทานของเยอรมันแข็งแกร่งเกินคาด เนื่องมาจาก เยอรมันได้ปล้นอุปกรณ์ฤดูหนาวจำนวนมากมาจากยูเครนแล้ว และมีการรายงานหิมะกัดเพียงแสนราย บทบาทของฤดูหนาวจึงเป็นการรบกวนมากกว่าการฆ่า และฝ่ายโซเวียตก็พบกับการรบกวนเช่นกันแต่น้อยกว่าเนื่องจากมีอุปกรณ์และความเชี่ยวชาญพร้อมกว่า หลังจากพบว่าไม่สามารถยึดมอสโควกับเลนินกราดได้ก่อนฤดูหนาวแล้วปฏิบัติการบาบารอสซ่าเป็นอันสิ้นสุด หลังจากชัยชนะที่มีความสูญเสียน้อยเป้นจำนวนมาก คราวนี้เยอรมันต้องตายเจ็บเฉียดล้าน ส่วนโซเวียตเสียหายหนักกว่ามาก เป็น 3-4 เท่าของเยอรมัน เสียพื้นที่เป็นจำนวนมาก ประชากรโซเวียตในพื้นที่ที่ถูกเยอรมันยึดครอง มีถึง 70กว่าล้าน เป็น 40% ของประชากรโซเวียต และเป็นเขตอุตสาหกรรมเกินกว่าครึ่ง และเยอรมันประสบความสำเร็จในการสกัดความช่วยเหลือของอเมริกันด้วยกองเรืออู และ lend lease ที่ไห้กับโซเวียตตลอดสงครามคิดเป็นประมาณ 1 % ของ GDP ของรัสเซียเท่านั้น ถ้าเยอรมันยึดเขตอุตสาหกรรมของโซเวียต ทำลายกำลังผลิตของศัตรู จับศัตรูไปขังแล้วบังคับไช้แรงงานเพิ่มกำลังผลิตไห้ตน ปล้น ยึดอาหาร ทำไห้ศัตรูอ่อนแอลง กำลังผลิตของเยอรมันก็น่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนกำลังผลิตของโซเวียตก็น่าจะลดลง แค่รอไห้ฤดูนาวผ่าน เยอรมันก็น่าจะชนะ โซเวียตไม่น่าจะมีกำลังผลิตมากพอที่จะสู้กับเยอรมันแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปล สังเกตุดูดีๆ ทัพเยอรมันจะทำได้ดีในรูปแบบสงครามการเคลื่อนที่ โดยตีส่วนที่ป้องกันอ่อน ส่วนที่ป้องกันแข็งก็ไช้การโอบล้อม แต่จะทำได้ไม่ดีในการตีหักส่วนที่ป้องกันแข็ง เช่น เลนินกราด มอสโคว หรือ ที่จะต้องสู้กันในปีถัดไปคือ สตาลินกราด เยอรมันจึงไม่โจมตีเป็นเส้นตรงไห้ศัตรดักได้ แต่จะพยายามโอบล้อมหรือซุ่มโจมตี ทำลายกองกำลังศัตรูเป็นหลัก เข้าโจมตีเมืองที่ป้องกันอ่อน เป็นการทำลายศัตรูเป็นขั้นๆ มอสโควล่มแล้วโซเวียตจะล่มหรือไม่ มีการถกเถียงกันมาก แกรนท์คำนวนว่า ถึงต้องเสียมอสโควพวกโซเวียตก็สามารถสร้างโรงงานไหม่ได้และสุดท้ายก็จะสร้างกองกำลังมายึดมอสโควคืนได้อยู่ดี แต่ที่แน่ๆ ถ้าโซเวียตเสียคอเคซัส ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันสำคัญแหล่งเดียว และมีทุ่งข้าวสาลีกว้างไหญ่ โซเวียตต้องเดินไปสู่หายนะแน่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 11:57:09 AM 2 การโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ ในขณะที่ ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์นั้น ญี่ปุ่นสามารถทำลายเรือ battle ship ของ อเมริกาได้เพียงแค่2 ลำเท่านั้น อีก6 ลำเสียหายหนัก โดยที่ญี่ปุ่นเข้าใจว่าจทได้ทั้งหมดปีต่อมาอเมริกาสามารถซ่อมแซมแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก ทำให้อเมริกาฟื้นกำลังทางเรือได้อย่างรวดเร็ว หากญี่ปุ่น โจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก(เรื่องยึดฮาวายเป็นไปได้ยากในสมัยนั้น เนื่องจากการส่งบำรุงมีระยะทางไกลมาก)จนเรือ battle ship ทั้งหมดไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ สงครามในแปซิฟิกจะเปลี่ยนไป หลังจากนั้นกองเรือญี่ปุ่นก็รีบมุ่งลงใต้ยึด แหล่งน้ำมันในสุมาตราและบอร์เนียว(ในขณะนั้นอเมริกาไม่สามารถต่อสู้กองเรือญี่ปุ่นได้เลย เพราะไม่มีเครื่องบินและเรือเพียงพอ) โดยรวมๆแล้ว ข้อ2 การที่ไม่ทำลายกองเรือของอเมริกา ให้ไม่สามารถซ่อมแซมได้ คือ สาเหตุหลักที่กองเรืออเมริกาฟื้นตัวมาสู้กับญีปุ่นได้เร็ว ทำให้ญี่ปุ่นต้องพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ครับ ;D ผมทราบมาอีกส่วนว่า ญี่ปุ่นพลาดที่ไม่ได้ไปแตะต้องคลังน้ำมันของอเมริกาในเพิลฮาร์เบอร์เลย อีกส่วนก็คือ อเมริกันโชคดีที่เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ (จำชื่อไม่ได้) ไม่ได้อยู่ที่นั่น ;D ครับ เป็นโชคดีมหาศาลของอเมริกา ที่เรือบรรทุกเครื่องบินหลักไม่ได้จอมทอดที่อยู่ที่ Pearl Harbor ต้นสงคราม US มีเรือบรรทุกเครื่องบินหลักอยู่แค่ 5 ลำ (น้อยกว่าญี่ปุ่นหลายเท่า) เรื่อ Lexinton กับ Saratoga ขนาด 33,000 ตัน เรือ York Town, Hornet และ Enterprise ขนาด 20,000 ตัน ระหว่างญี่ปุ่นโจมตี Pearl Harbor Lexinton อยู่ในระหว่างการส่งกำลังบำรุงที่ Philiphines Saratoga กำลังเดินทางมา Pearl Harbor York Town และ Enterprise ลาดตะเวณอยู่แถวๆนั้น Hornet ยังอยู่ที่ อเมริกา หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 12:27:11 PM เรือประจัญบานอเมริกา จม และ เสียหายอย่างหนักที่ Pearl Harbor มี 8 ลำ
Arizona โดยระเบิดเข้าที่คลังกระสุน แล้วระเบิดอย่างรุนแรง ตอนนี้ ซากเรือทางอเมริกาอนุรักษ์ไว้ เช่นเดียe]วกับ Utah Oklahoma โดน Torpedo พลักคว่ำ หลักจากการโจมตี ก็กู้เรือขึ้นมา แต่ไม่ได้ซ่อม เพราะไม่คุ้มค่า อีก 5 ลำ ซ่อมแล้วกลับไปปฎิบัติการได้อีก มี Nevada, Tennessee, West Virginia, Maryland และ California ทั้งหมดเป็นเรือที่ออกแบบสร้างมาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 กว่าจะซ่อมเสร็จก็ประมาณปี 1943 ช่วงต้นสงครามเรือประจัญบานที่มีบทบาทมากเป็นเรือ North Carlorina กับ Washigton และ South Dakota, Indiana, Messachusett กับ Alabama ช่วงกลางก็มีเรือชั้น Iowa มี Iowa, New Jersy, Missauri, Wisconsin เรือประจัญบานส่วนมากอเมริกาใช้สำหรับระดมยิงชายฝั่งมากกว่า และเป็นเรือคุ้มกับกองเรือบรรทุกเครื่องบิน ยุทธนาวีระหว่างเรือประจัญบาน กับ เรือประจัญบาน ในแปซิฟิค มีแค่ครั้งเดียว ระหว่างเรือ Washinton และ Kirishima หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 12:49:52 PM ได้ความรู้อีกแล้วครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 12:54:31 PM เรือประจัญบาน ชุด NOrth Carlorina, South Sakota เกือบทั้งหมด อเมริกา เก็บไว้เป็น Musuem Ship
ชุด Iowa เพิ่งปลดประจำการ (Decommission) ไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ทั้งหมดเป็นพิพิธภัณฑ์ New Jersy แวะมาเมืองไทยหลายครั้ง รู้สึกว่าเคยมายิงปืน 16 นิ้วโชว์ ตอนมาฝึก Cobra Gold กับไทย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 03:47:31 PM ขอบคุณท่าน nosta3824382 มากครับ...
วิเคราะห์เจาะลึกได้ยอดจริงๆครับ... ขอบคุณท่าน nars ด้วยครับ... ผมก็คิดคล้ายๆกันว่าแนวรบของเยอรมันยาวและขึ้นเหนือมากเกินไป...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 29, 2007, 05:52:57 PM ผมไม่เชี่ยวชาญนะครับท่าน J แต่ผมขอถามแทนตอบนะครับ... 1.ยึดเพื่ออะไรครับ... 2.คุ้มค่าหรือไม่... 3.ปล่อยเอาไว้จะมีประโยชน์มากกว่าหรือไม่... ผมคิดได้แค่สามคำถามครับ...:D หนังสือครับ THE SWISS AND THE NAZIS: How the Alpine Republic Survived in the Shadow of the Third Reich (Hardcover) by Stephen Halbrook (Author) เดี๋ยวส่งไปให้ครับพี่รุต เคยเห็นเขาโฆษณาในแมกกาซีนของ NRA ผมเลยลองสั่งมาดู ข้อมูลเขาก็เข้าท่าดีครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ กันยายน 29, 2007, 10:21:36 PM (http://www.geocities.com/saniroj1/bf-109-s.gif)
แมสเซอร์ชมิท บี เอฟ 109 (Messerschmitt Bf 109) เครื่องบินขับไล่ที่เป็นแกนหลักของเยอรมันในการโจมตีเกาะอังกฤษ มันถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างที่เล็ก คล่องตัว มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง มีอัตราความเร็วในการบินดำดิ่ง เร็วกว่าเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษทุกชนิด นอกจากนี้ยังติดปืนกลขนาด 7.9 มม. แบบ MG 17 ที่เหนือเครื่องยนต์สองกระบอก โดยทำการยิงลอดใบพัด ส่วนปืนใหญ่อากาศขนาด 20 มม.แบบ MG FF อีกสองกระบอก ติดที่ปีกทั้งสองข้าง ข้างละหนึ่งกระบอก ในช่วงต้นของการรบที่เกาะอังกฤษ เยอรมันมีเครื่องบินขับไล่แบบนี้และแบบ บี เอฟ 110 อยู่ 1,290 ลำ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กันยายน 29, 2007, 11:58:25 PM หนังสือครับ THE SWISS AND THE NAZIS: How the Alpine Republic Survived in the Shadow of the Third Reich (Hardcover) by Stephen Halbrook (Author) เดี๋ยวส่งไปให้ครับพี่รุต เคยเห็นเขาโฆษณาในแมกกาซีนของ NRA ผมเลยลองสั่งมาดู ข้อมูลเขาก็เข้าท่าดีครับ มีเวอร์ชั่นภาษาไทยไหมครับ... ไม่อย่างนั้นท่าน LE แปลลงกระทู้นี้เลยก็ได้ครับ... ขึ้นส่งมาผมคงอ่านข้ามปีแน่...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 01, 2007, 01:53:46 AM เรียนท่าน Springfield ครับ...
เรือประจัญบานของอเมริกามีบทบาทในสงครามภาคแอตแลนติกบ้างไหมครับ... ??? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 01, 2007, 04:08:51 AM เรียนท่าน Springfield ครับ... เรือประจัญบานของอเมริกามีบทบาทในสงครามภาคแอตแลนติกบ้างไหมครับ... ??? ;D กำลังจะถามเหมือนพี่หมอเลย เพราะผมไม่ค่อยได้ยินชื่อเรือประจัญบานของอเมริกาในแอตแลนติคเท่าไร รบกวนท่านสปริงฟิลด์ด้วยครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 01, 2007, 05:36:34 AM แทบจะไม่ค่อยมีบทบาทเลยครับ
มีแต่เรือ Alabama (South Dakota Class) ที่ไปร่วมกับกองเรืออังกฤษ ในการเฝ้าเรือเยอรมัน Tirpitz แต่ก็อยู่ได้ไม่นานก็ถอนกำลังกลับ Pacific ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 01, 2007, 07:02:50 AM (http://www.geocities.com/saniroj1/he-111-s.gif)
เครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมัน แบบ ไฮน์เกล 111 (Heinkel He III) ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดหลักที่เข้าโจมตีเกาะอังกฤษ มันประสบความสำเร็จอย่างมากในการรบที่สเปน และโปแลนด์ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมื่อต้องมาพบกับเครื่องบิน สปิตไฟร์ และ เฮอร์ริเคนของอังกฤษ ไฮน์เกล 111 ก็พบว่า ตัวมันมีอาวุธน้อยเกินไป ที่จะต่อต้านเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษ เครื่องบินรุ่นนี้ติดตั้งปืนกลขนาด 7.92 มม. จำนวน สามกระบอก บรรทุกระเบิดได้ 1,800 กก. มีความเร็ว 398 กม. ต่อ ชม. เครื่องยนต์สองเครื่องยนต์ของไฮน์เกล 111 เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ไว้ใจได้ อย่างไรก็ตาม นักบินอังกฤษพบว่า บริเวณส่วนหัวของเครื่องบิน เป็นกระจก และไม่มีเกราะป้องกันใดๆให้กับนักบิน ทั้งนี้มุ่งหมายเพื่อทัศนวิศัยที่ดีของนักบิน นักบินอังกฤษจะบินพุ่งสวนเข้าหาไฮน์เกล 111 จากด้านหน้า แล้วยิงเข้าใส่ฝูงบินทิ้งระเบิดของเยอรมันจากด้านหน้า ก่อนที่บินฉีกออกไปด้านข้าง ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับฝูงบิน และนักบินของไฮน์เกล 111 เป็นอย่างมาก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 01, 2007, 09:39:39 AM เรียนท่าน Springfield ครับ... เรือประจัญบานของอเมริกามีบทบาทในสงครามภาคแอตแลนติกบ้างไหมครับ... ??? ;D กำลังจะถามเหมือนพี่หมอเลย เพราะผมไม่ค่อยได้ยินชื่อเรือประจัญบานของอเมริกาในแอตแลนติคเท่าไร รบกวนท่านสปริงฟิลด์ด้วยครับ ;D เรียนท่าน Springfield ครับ... เรือประจัญบานของอเมริกามีบทบาทในสงครามภาคแอตแลนติกบ้างไหมครับ... ??? ;D กำลังจะถามเหมือนพี่หมอเลย เพราะผมไม่ค่อยได้ยินชื่อเรือประจัญบานของอเมริกาในแอตแลนติคเท่าไร รบกวนท่านสปริงฟิลด์ด้วยครับ ;D เรียนท่าน Springfield ครับ... เรือประจัญบานของอเมริกามีบทบาทในสงครามภาคแอตแลนติกบ้างไหมครับ... ??? ;D กำลังจะถามเหมือนพี่หมอเลย เพราะผมไม่ค่อยได้ยินชื่อเรือประจัญบานของอเมริกาในแอตแลนติคเท่าไร รบกวนท่านสปริงฟิลด์ด้วยครับ ;D เรียนท่าน Springfield ครับ... เรือประจัญบานของอเมริกามีบทบาทในสงครามภาคแอตแลนติกบ้างไหมครับ... ??? ;D กำลังจะถามเหมือนพี่หมอเลย เพราะผมไม่ค่อยได้ยินชื่อเรือประจัญบานของอเมริกาในแอตแลนติคเท่าไร รบกวนท่านสปริงฟิลด์ด้วยครับ ;D ไม่ค่อยมีครับ นิดหน่อยก็ในการสนับสนุนปฏิบัติการ Torch ยกพลขั้นที่ตูนิเซียตลบแนวเยอรมันของรอมเมล กับสนับสนุนปฏิบัติการ Overlord, 6 June 1944 ผมเคยไปดูเรือ Massachusette ที่เมือง Fall River รัฐแมสฯ ลำนี้เรือประจัญบาน 35,000 ตัน ปืน 16 นิ้ว 9 กระบอก ตอนสงครามไปป้วนเปี้ยนแถวอัฟริกาดังกล่าวครับ โดนข้าศึกยิงมานิดนึง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 01, 2007, 09:42:33 AM (http://www.geocities.com/saniroj1/he-111-s.gif) เครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมัน แบบ ไฮน์เกล 111 (Heinkel He III) ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดหลักที่เข้าโจมตีเกาะอังกฤษ มันประสบความสำเร็จอย่างมากในการรบที่สเปน และโปแลนด์ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมื่อต้องมาพบกับเครื่องบิน สปิตไฟร์ และ เฮอร์ริเคนของอังกฤษ ไฮน์เกล 111 ก็พบว่า ตัวมันมีอาวุธน้อยเกินไป ที่จะต่อต้านเครื่องบินขับไล่ของอังกฤษ เครื่องบินรุ่นนี้ติดตั้งปืนกลขนาด 7.92 มม. จำนวน สามกระบอก บรรทุกระเบิดได้ 1,800 กก. มีความเร็ว 398 กม. ต่อ ชม. เครื่องยนต์สองเครื่องยนต์ของไฮน์เกล 111 เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ไว้ใจได้ อย่างไรก็ตาม นักบินอังกฤษพบว่า บริเวณส่วนหัวของเครื่องบิน เป็นกระจก และไม่มีเกราะป้องกันใดๆให้กับนักบิน ทั้งนี้มุ่งหมายเพื่อทัศนวิศัยที่ดีของนักบิน นักบินอังกฤษจะบินพุ่งสวนเข้าหาไฮน์เกล 111 จากด้านหน้า แล้วยิงเข้าใส่ฝูงบินทิ้งระเบิดของเยอรมันจากด้านหน้า ก่อนที่บินฉีกออกไปด้านข้าง ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับฝูงบิน และนักบินของไฮน์เกล 111 เป็นอย่างมาก He111 ในนิยายและหนัง ในเรื่อง For whom the bell tolls ฉากสงครมกลางเมืองสเปน ของเฮมมิงเวย์ ก็มีฉากที่ฝ่ายฟาสซิสเอา He111 มาถล่ม ในเรื่องนาร์เนียตอนแรกก็เครื่องนี้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 01, 2007, 03:06:42 PM (ภาพวาด)ญี่ปุ่นเริ่มโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ทางอากาศ ขณะยักษ์ใหญ่ (สหรัฐอเมริกา) ยังหลับอยู่
(http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254818593.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 01, 2007, 03:12:38 PM ตอนนี้ผมนั่งรอพี่มะขิ่นว่างมาเล่าเรื่อง Panzer II ต่อครับ...
อยากอ่านอีกครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 01, 2007, 09:15:22 PM (http://www.geocities.com/saniroj1/spit-10ax.JPG)
แม้ว่าเครื่องบินฮอว์คเกอร์ เฮอริเคนจะมีการผลิตเป็นจำนวนมาก แต่สุดยอดของเครื่องบินขับไล่เหนือน่านฟ้าอังกฤษ ในปี 1940-1941 ก็คือ เครื่องบินซุปเปอร์มารีน สปิตไฟร์ (Supermarine Spitfire) มันมีความเร็ว 580 กม. ต่อ ชม. ติดปืนกลขนาด .303 นิ้ว ถึงแปดกระบอกที่ปีกทั้งสองข้าง นักบินอังกฤษที่ใช้เครื่องสปิตไฟร์ จะทำการปรับปืนทั้งแปดกระบอกให้มีระยะรวมศูนย์อยู่ที่ 594 เมตร คือกระสุนทั้งแปดกระบอกจะมารวมกันที่ระยะ 594 เมตรจากลำกล้อง แต่ก็มีนักบินบางคนพยายามปรับระยะรวมศูนย์ให้ลดมาอยู่ที่ 200 หลา หรือ 183 - 274 เมตร ระยะที่แตกต่างนี้มีผลในเรื่องของการต้องการเพียงสร้างความเสียหายให้กับเครื่องบินเยอรมัน หรือทำลายเครื่องบินเยอรมัน การสร้างความเสียหายนั้น อังกฤษเชื่อว่า จะทำให้เยอรมันต้องเสียเวลาในการซ่อมแซม และต้องใช้บุคคลากรจำนวนมาก เป็นการทำให้เยอรมันต้องพะว้าพะวัง ทำการรบได้ไม่เต็มที่ ในช่วงแรกของการรบ อังกฤษมีเครื่องบินสปิตไฟร์ และเฮอร์ริเคนอยู่ 591 ลำ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: <<Z80>> ที่ ตุลาคม 01, 2007, 11:03:07 PM ดูหนังสงครามโลกครั้งที่2หลายเรื่อง ไม่มีบทบาทของประเทศฝรั่งเศสเลย อยากรู้เรื่องราวของกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงนั้นครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 01, 2007, 11:56:40 PM ดูหนังสงครามโลกครั้งที่2หลายเรื่อง ไม่มีบทบาทของประเทศฝรั่งเศสเลย อยากรู้เรื่องราวของกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงนั้นครับ หลังจากฝรั่งเศษถูกเยอรมันยึดได้ตั้งแต่ต้นสงคราม ทหารฝรั่งเศษก็ถอยไปกับทหารอังกฤษ แล้วก็ข้ามช่องแคบที่ ดันเคิร์ก บางส่วนก็กลาบเป็นกองกำลังใต้ดิน คอยก่อกวนเยอรมัน และ ส่งข่าวให้กับสัมพันธมิตร นักบินฝรั่งเศษก็ไปบิน Spifire แทน เพราะเครื่อง โมราน ของตัวเอง ไม่มีอะไหล่เพราะโรงงานในฝรั่งเศษโดนเยอรมันยึดหมด กองทัพฝรั่งเศษกลับมาอีกครั้ง เมื่อการยกพลขึ้นบกที่ นอร์มังดี ส่วนที่หนังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ค่อยมีเรื่องเกี่ยวกับฝรั่งเศษ เพราะว่าผู้สร้างส่วนมากเป็นอเมริกามากกว่าครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:25:41 AM เรือประจัญบานอเมริกา จม และ เสียหายอย่างหนักที่ Pearl Harbor มี 8 ลำ ขอเพิ่มเติมครับArizona โดยระเบิดเข้าที่คลังกระสุน แล้วระเบิดอย่างรุนแรง ตอนนี้ ซากเรือทางอเมริกาอนุรักษ์ไว้ เช่นเดียe]วกับ Utah Oklahoma โดน Torpedo พลักคว่ำ หลักจากการโจมตี ก็กู้เรือขึ้นมา แต่ไม่ได้ซ่อม เพราะไม่คุ้มค่า อีก 5 ลำ ซ่อมแล้วกลับไปปฎิบัติการได้อีก มี Nevada, Tennessee, West Virginia, Maryland และ California ทั้งหมดเป็นเรือที่ออกแบบสร้างมาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 กว่าจะซ่อมเสร็จก็ประมาณปี 1943 ช่วงต้นสงครามเรือประจัญบานที่มีบทบาทมากเป็นเรือ North Carlorina กับ Washigton และ South Dakota, Indiana, Messachusett กับ Alabama ช่วงกลางก็มีเรือชั้น Iowa มี Iowa, New Jersy, Missauri, Wisconsin เรือประจัญบานส่วนมากอเมริกาใช้สำหรับระดมยิงชายฝั่งมากกว่า และเป็นเรือคุ้มกับกองเรือบรรทุกเครื่องบิน ยุทธนาวีระหว่างเรือประจัญบาน กับ เรือประจัญบาน ในแปซิฟิค มีแค่ครั้งเดียว ระหว่างเรือ Washinton และ Kirishima ญี่ปุ่น ได้โจมตี Pearl Harbor ไปสองระลอก ยามาโมโต ได้ระงับการโจมตีรอบที่สาม เท่าที่อ่านมามี 3 ประการ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:26:55 AM ประการแรก
ยามาโมโตเห็นว่าอเมริกา เริ่มตั้งตัวได้แล้ว ถ้าสั่งให้โจมตีอีก ญี่ปุ่น อาจจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำได้ เพราะว่าเครื่องบินจากฐานบินบนบก ยังไม่ถูกทำลายหมด สนามบินเสียหาย แต่เครื่องบินสามารถบินขึ้นจากสนามหญ้าได้ เครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบิน Enterprise บินมาถึง Pearl Harbor แล้ว กำลังตามหากองเรือญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน และได้จมเรือดำน้ำญี่ปุ่นด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:29:13 AM ประการที่สอง
ไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกา อยู่ที่ Pearl Harbor Lexington เพิ่งออกเดินทางไปส่งกำลังบำรุงที่ Philippine Saratoga กำลังเดินทางมา Pearl Harbor Enterprise เพิ่งออกทะเลไปลาดตะเวนอยู่แถวๆนั้น Hornet และ York Town ยังลาดตะเวนอยู่แถว แอตแลนติก เรือบรรทุกเครื่องบิน 5 ลำ เรือ Lexinton กับ Saratoga ขนาด 33,000 ตัน เครื่องบิน 100 ลำ เรือ York Town, Hornet และ Enterprise ขนาด 20,000 ตัน เครื่องบิน 80 ลำ หลัง Pearl Harbor ปี 1942 (๒๔๘๕) เรือทั้ง 5 ลำนี้ ได้รับใช้ชาติอย่างสมศักดิ์ศรี เป็นกำลังหลักในการตีโต้ญี่ปุ่น ทำลายกำลังทางเรือญี่ปุ่นเริ่มให้อ่อนแอ และญี่ปุ่นเป็นฝ่ายเริ่มถอย มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ Doolittle Raid (April 1942) เครื่องบิน B-25 บินขึ้นจากเรือ Hornet ไปทิ้งระเบิดที่ญี่ปุ่น ทำลายความเชื่อมั่นญี่ปุ่น และสร้างกำลังใจมหาศาลให้อเมริกา The Battle of Coral Sea (May 1942) ญี่ปุ่นต้องการยึด Port Moresby เมืองหลวงของ New Guinea (ปาปัวนิกินี) อยู่ตรงข้าม Australia หลังจากญี่ปุ่นยึด Philippine ได้แล้ว ต้องการยึด New Guinea เพื่อจะโจมตี Australia ต่อ การรบครั้งนี้ ญี่ปุ่น เสียเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเล็กไป 1 ลำ แต่อเมริกา เสียเรือ Lexington และ York Town เสียหายอย่างหนัก แม้ว่า อเมริกา จะสูญเสียมากกว่า แต่ญี่ปุ่น ก็ยึด Port Moresby ไม่ได้ เรือหลักญี่ปุ่น 2 ลำ Shokaku & Zuikaku (ที่ไปโจมตี Pearl Harbor) เสียหายหนัก ทำให้กำลังของญี่ปุ่นที่จะมาตี Midway อ่อนแอลง ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายถอย The Battle of Midway (June 1942) การรบที่สำคัญที่สุด เป็นครั้งแรกที่อเมริกาได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด เรือ York Town ที่เสียหายจากเมื่อเดือนที่แล้ว ฝ่ายช่างประมาณการว่าต้องซ่อมอย่างต่ำ 3 เดือน แต่เมื่ออเมริกามั่นใจว่าญี่ปุ่นจะมาตี Midway ฝ่ายช่างก็สามารถซ่อมให้ York Town ออกทะเลได้ โดยใช้เวลาเพียง 3 วัน แต่เรือ York Town ก็จม ญี่ปุ่น เสียหายหลัก เรือ Akagi, Kaga, Hiryu & Soryu (4 ใน 6 เรือที่ไปโจมตี Pearl Harbor) จมทั้ง 4 ลำ เครื่องบินอีกหลายร้อย และ นักบินชั้นยอดที่ถูกฝึกมาอย่างดี The Battle of Santa Cruz กำลังหลักที่เหลือของญี่ปุ่น ถูกทำลาย เรือ Shokaku จม และ Zuikaku เสียหายหนัก แต่อเมริกาต้องเสียเรือ Hornet ไป หลังจากนั้น อเมริกาเหลือเรือบรรทุกเครื่องบินหลักแค่ 2 ลำ Saratoga และ Enterprise ก็สามารถยันกองเรือญี่ปุ่นได้ จนกระทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินรุ่นใหม่ Essex class (ชั้น แอสเสค) ต่อเสร็จ แล้วรับช่วงไป หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:31:26 AM ประการที่สาม
เรือประจัญบานที่อยู่ที่ Pearl Harbor เป็นเรือรุ่นเก่าแล้ว ทำลายไปก็เท่านั้น และก็ไม่รู้ว่าจะทำลายได้หรือเปล่า เพราะเรือที่จอดอยู่ที่ท่า ถ้าไม่โดนแบบจั๋งหนับ (แบบ Arizona) ยังไงก็สามารถ ซ่อมได้ เรือประจัญบาน 9 ลำที่อยู่ Pearl Harbor Utah (สร้างปี 1910) ขนาด 22,000 ตัน ปืน 12 นิ้ว 10 กระบอก Nevada & Oklahoma (สร้างปี 1914) ขนาด 27,000 ตัน ปืน 14 นิ้ว 10 กระบอก Arizona & Pennsylvania (สร้างปี 1915) ขนาด 32,000 ตัน ปืน 14 นิ้ว 12 กระบอก California & Tennessee (สร้างปี 1915) ขนาด 32,000 ตัน ปืน 14 นิ้ว 12 กระบอก Maryland & West Virginia (สร้างปี 1920) ขนาด 33,000 ตัน ปืน 16 นิ้ว 9 กระบอก เรือทั้ง 9 ลำ Arizona โดนระเบิดเข้าที่คลังกระสุน จมทันที ไม่สามารถซ่อมได้ Utah & Oklahoma พลิกคว่ำ อเมริกา กู้ขึ้นมาได้ แต่ประเมินแล้วว่า ซ่อมไปก็ไม่คุ้ม ก็เลยไม่ซ่อม Pennsylvania จอดอยู่ในอู่แห้ง โดนระเบิดเสียหายทั้งเรือและอู่ แต่ก็สามารถซ่อมได้ทั้งอู่ และ เรือ West Virginia จอดอยู่ด้านนอก โดน Torpedo ไปหลายลูก จมนั่งแท่น เพราะอ่าวตื้น (ในเรื่อง Pearl Harbor ก็เรือลำที่ คิวบา กูดดิ้ง จูเนียร์ แสดงเป็นพ่อครัวอยู่) Nevada, California, Maryland & Tennessee เสียหายน้อยสุด เพราะจอดอยู่ข้างใน มีเรือลำอื่นช่วยขวางทาง Torpedo ไว้ Maryland ซ่อมเสร็จเร็วสุด สามารถกลับมาประจำการได้ช่วงปลายปี 1942 หรือ ช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มถอยแล้ว ช่วงปี 1942 เรือประจัญบานที่มีบทบาทมากก็คือ ชุด North Carolina และ South Dakota ขนาด 35,000 ตัน ปืน 16 นิ้ว 9 กระบอก เป็นเรือที่ทันสมัยมาก ออกแบบมาก่อนสงครามเริ่ม เสร็จก่อนที่ญี่ปุ่นจะโจมตี Pearl Harbor หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 02, 2007, 07:49:41 AM (http://www.geocities.com/saniroj1/hawker1.jpg)
เครื่องบินฮอว์คเกอร์ เฮอริเคน ของอังกฤษ แม้ว่าจะเก่าแก่กว่าสปิตไฟร์แต่ก็มีความเร็ว 523 กม.ต่อ ชม. และติดปืนกลขนาด .303 นิ้ว แปดกระบอก มีอำนาจการยิงสูง และสามารถสร้างความเสียหายให้กับเยอรมันได้ถึง 80 เปอร์เซนต์ในการรบเหนือเกาะอังกฤษ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 02, 2007, 07:57:57 AM ลุงรูญเก่งเรื่องประวัติศาสตร์จัง ผมไม่เอาอ่าวเลยพวกนี้
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 02, 2007, 07:59:29 AM (http://www.geocities.com/saniroj1/london13x.JPG)
เพลิงจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินเยอรมัน กำลังลุกไหม้อยู่ในกรุงลอนดอน โดยมีสะพานทาวเวอร์บริด (Tower Bridge) ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ปัจจัยที่ทำให้ยุทธการสิงโตทะเล ในการโจมตีเกาะอังกฤษ ไม่ประสบความสำเร็จนั้น มีผู้วิเคราะห์กันว่า มี 3 ประเด็นคือ ประการแรก จอมพลแฮร์มาน เกอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมัน ไม่มีประสบการณ์ในการควบคุมกำลังทางอากาศขนาดใหญ่ เขาเคยเป็นเสืออากาศในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็จริง แต่การเป็นนักบิน กับการเป็นผู้บัญชาการกองทัพนั้น ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การที่เขาเปลี่ยนเป้าหมายในการโจมตีทางอากาศไปเรื่อยๆ แทนที่จะโจมตีเมืองใดเมืองหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น โจมตีลิเวอร์พูลวันหนึ่ง แล้วไปโจมตีเมืองปอร์ตสมัธในวันต่อมา แล้วก็เปลี่ยนไปโคเวนตรี้อีกวันหนึ่ง วิธีนี้ เท่ากับให้เวลากับเมืองเหล่านั้นในการฟื้นตัว เท่าๆกับให้เวลาในการเรียกขวัญและกำลังใจ ของชาวเมืองกลับมา ประการที่สอง คือ นักบินอังกฤษสู้ในผืนดินตัวเอง เมื่อถูกยิงตก ก็จะได้รับการช่วยเหลือแล้วกลับขึ้นบินใหม่ ส่วนนักบินเยอรมัน รบไกลบ้าน มีขีดจำกัดทั้งด้านน้ำมันเชื้อเพลิง และความชำนาญในภูมิประเทศ เมื่อถูกยิงหากไม่เสียชีวิตหรือ บาดเจ็บก็จะถูกจับเป็นเชลย บางส่วนที่เครื่องบินตกในช่องแคบอังกฤษ ถ้าโชคดีก็จะได้รับการช่วยเหลือจากเรือของเยอรมัน แต่ก็มีเป็นส่วนน้อย ประการสุดท้ายคือ การใช้ระบบเรดาห์เตือนภัยของอังกฤษ ซึ่งสามารถทำให้อังกฤษรู้ว่า เครื่องบินของเยอรมันกำลังมุ่งไปทางทิศใด มีจำนวนมากน้อยเพียงใด ระบบเรดาห์นี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอังกฤษในการรบเป็นอย่างมาก (http://www.geocities.com/saniroj1/Hermann_goering2.jpg) จอมพลแฮร์มาน เกอริง (Reichsmarschall Hermann Goering) ผู้บัญชาการกองทัพอากาศเยอรมันหรือ Luftwaffe สร้างชื่อเสียงในการเป็นเสืออากาศในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เกิดในปี 1892 และเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ในปี 1946 ขณะถูกดำเนินคดีฐานเป็นอาชญากรสงคราม เมื่อเยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 02, 2007, 12:49:39 PM ขออนุญาตเสริมซักนิดครับ
The Battle of Midway (June 1942) ปัจจัยที่อเมริกาเชื่อมั่น(ผมอยากเรียกว่า"รู้" มากกว่าเชื่อมั่น)ว่าญี่ปุ่นจะโจมตีกลางทาง(Midway) เกิดจากการที่สามารถถอดรหัสวิทยุของญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่นถอดรหัสของอเมริกาได้ โดยอเมริกาส่งข้อมูลเพื่อเช็คว่าใช้หรือไม่โดยส่งวิทยุว่า ที่........(จำชื่อรหัสของเมกาทีเรียกMidway ไม่ได้ครับ)ขาดแขลนน้ำ และดักถอดรหัสของญี่ปุ่นได้ว่า ............(จำชื่อเรียกMidway ที่เป็นรหัสของญี่ปุ่นไม่ได้เหมื่อนกันครับ) ขาดแขลนน้ำ ก็โป๊ะแชะครับถ้าเป็นคอหวยก็ต้องบอกว่าล๊อกเลขได้กองสลากจ่ายอ่วมเอ๊ยญี่ปุ่นสูญเสียอย่างหนัก งานนี้กะจะไปสร้างความประหลาดใจให้อเมกาแต่อเมการรู้ตัวตั้งเตา ปูโต๊ะ ไว้รอ ความบรรลัยก็บังเกิดกับฝ่ายญี่ปุ่นแทนการรบที่สำคัญที่สุด เป็นครั้งแรกที่อเมริกาได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด เรือ York Town ที่เสียหายจากเมื่อเดือนที่แล้ว ฝ่ายช่างประมาณการว่าต้องซ่อมอย่างต่ำ 3 เดือน แต่เมื่ออเมริกามั่นใจว่าญี่ปุ่นจะมาตี Midway ฝ่ายช่างก็สามารถซ่อมให้ York Town ออกทะเลได้ โดยใช้เวลาเพียง 3 วัน แต่เรือ York Town ก็จม ญี่ปุ่น เสียหายหลัก เรือ Akagi, Kaga, Hiryu & Soryu (4 ใน 6 เรือที่ไปโจมตี Pearl Harbor) จมทั้ง 4 ลำ เครื่องบินอีกหลายร้อย และ นักบินชั้นยอดที่ถูกฝึกมาอย่างดี ปล.ผมดูจากสารคดีมานานมากแล้วผิดถูกประการใดก็เรียนเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้แนะครับ อีกเรื่องคือไม่แน่ใจว่า เครื่องบินของนายพลญี่ปุ่นที่โดนเมกายิงตกเพราะสามารถถอดรหัสได้นี่เกิดขึ้นหรือหลังเหตุการนี้ เพราะแค่ถอดรหัสของฝ่ายญี่ปุ่นได้และญี่ปุ่นไม่เชื่อว่า อเมกาถอดรหัสได้จึงต้องแลกกับความพ่ายแพ้ที่Midway และชีวิตนายพล ขอแจมเรื่อง Operation Barbarossa หน่อยครับ ขอให้พี่nosta3824382หรือท่านผู้รู้เรื่องยุทธศาสตร์ทหารขยายความในเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจด้วยครับสั่งไห้ย้ายกองกำลังป้องกันที่กระจายเข้ามารวมไว้ที่รอบๆมอสโควโดยทำนายจุดที่จะถูกเข้าตีไว้ไม่กี่จุด แล้วเสริมการป้องกันไห้หนาแน่น มีการขุดสนามเพลาะขึ้นหลายชั้น ถ้าหน่วยป้องกันพลาด ก็จะถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู่ชั้นป้องกันถัดไป ซึ่งถ้าพลาดอาจหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จโซเวียตสามารถต้านทัพเยอรมันเอาไว้ได้จนถึงฤดูหนาว 1.การขุดสนามเพลาะหลายชั้น แต่ละชั้นหรือแต่ละช่วงมีการเชื่อมต่อกันหรือไม่ 2.การถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู้ชั้นป้องกันถัดไป หมายความว่าเมื่อเห็นว่าต้านไม่อยู่ก็ถอย แต่ถ้าโดนตีแตกโอกาสที่จะถอยอย่างเป็นระบบจะสามรถทำได้หรือไม่ และหากเจอการป้องกันแบบนี้จะต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ ในขณะเดียวกันฝ่ายป้องกันจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุตามการป้องกันของตน 3.ที่ว่าถ้าพลาดหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จ ถามว่าแผนนี้มีความเสี่ยงด้วยเรื่องอะไรถึงจะพาไปสู่หายนะ และถามต่อว่าโซเวียดทำสำเร็จได้ด้วยปัจจัยใดถึงสามารถต้านทานได้จนถึงฤดูหนาว และเหตุใดเยอรมันถึงไม่สารมารถบุกทำลายกองทัพโซเวียดได้ ถามแยะ(เป็นเจ้าหนูจำมัย)ไปซักนิดนะครับ รบกวนด้วยครับ :-[ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:21:02 PM ต่อเรื่องพยายามฆ่าฮิตเลอร์ครับ
เรื่องที่ 6 วันที่ 13 มีนาคม 1943 ฮิตเลอร์จะไปตรวจกำลังที่ Smolensk ในดินแดนโซเวียต นายพล Treschow เตรียมทหารซุ่มอยู่คอยใช้ปืนกลมือรุมยิงตามทางที่ฮิลเตอร์จะเดินทางไปขึ้นเครื่องบินกลับ แต่นาทีสุดท้ายฮิตเลอร์เปลี่ยนเส้นทางใหม่ เรื่องที่ 7 นายพล Treschow และร้อยตรี Fabian von Schlabrendorff จัดทำระเบิดใส่ขวดเหล้า 2 ขวดให้ลูกน้องฮิตเลอร์หิ้วขึ้นเครื่องบินที่ฮิตเลอร์นั่งไปฝากคนอื่น ปรากฎว่าเครื่องบินถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ผู้ก่อการรีบไปบอกคนรับฝากว่าส่งขวดผิดไปให้จะเอาขวดใหม่ไปแลก เอาขวดระเบิดกลับคืนมาได้ ตรวจดูพบว่าเชื้อประทุทำงานแต่ไม่ระเบิด ยังมีต่อ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:34:44 PM รูปนี้เป็นธงของสหรัฐอเมริกาผืนที่เอาไปตอนดีเดย์
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-0.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 02, 2007, 01:36:14 PM ลุงรูญเก่งเรื่องประวัติศาสตร์จัง ผมไม่เอาอ่าวเลยพวกนี้ ผมชอบเรื่องประเภทนี้ครับน้าปู หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ ตุลาคม 02, 2007, 04:38:36 PM ประการสุดท้ายคือ การใช้ระบบเรดาห์เตือนภัยของอังกฤษ ซึ่งสามารถทำให้อังกฤษรู้ว่า เครื่องบินของเยอรมันกำลังมุ่งไปทางทิศใด มีจำนวนมากน้อยเพียงใด ระบบเรดาห์นี้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอังกฤษในการรบเป็นอย่างมาก เคยดูจากสารคดี ท่านว่า นอกจากเครือข่ายเรดาห์แล้ว อังกฤษยังมีทีเด็ดอีก คือเครือข่ายการแจ้งเตือนภัยทางอากาศ โดยใช้ชาวบ้านธรรมดา ช่วยกันเฝ้าท้องฟ้า ใครเห็นเครื่องบินเยอรมัน ก็ดูรุ่น ดูทิศทาง และวัดความสูงให้เสร็จ ก่อนโทรศัพท์ไปแจ้งศูนย์ ... ทำให้นักบินอังกฤษมีเวลามากพอในการรับมือ ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 02, 2007, 07:50:31 PM ทหารเยอรมันที่นอร์มังดีครับ
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 03, 2007, 12:37:57 AM ขอแจมเรื่อง Operation Barbarossa หน่อยครับ ขอให้พี่nosta3824382หรือท่านผู้รู้เรื่องยุทธศาสตร์ทหารขยายความในเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจด้วยครับสั่งไห้ย้ายกองกำลังป้องกันที่กระจายเข้ามารวมไว้ที่รอบๆมอสโควโดยทำนายจุดที่จะถูกเข้าตีไว้ไม่กี่จุด แล้วเสริมการป้องกันไห้หนาแน่น มีการขุดสนามเพลาะขึ้นหลายชั้น ถ้าหน่วยป้องกันพลาด ก็จะถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู่ชั้นป้องกันถัดไป ซึ่งถ้าพลาดอาจหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จโซเวียตสามารถต้านทัพเยอรมันเอาไว้ได้จนถึงฤดูหนาว 1.การขุดสนามเพลาะหลายชั้น แต่ละชั้นหรือแต่ละช่วงมีการเชื่อมต่อกันหรือไม่ 2.การถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู้ชั้นป้องกันถัดไป หมายความว่าเมื่อเห็นว่าต้านไม่อยู่ก็ถอย แต่ถ้าโดนตีแตกโอกาสที่จะถอยอย่างเป็นระบบจะสามรถทำได้หรือไม่ และหากเจอการป้องกันแบบนี้จะต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ ในขณะเดียวกันฝ่ายป้องกันจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุตามการป้องกันของตน 3.ที่ว่าถ้าพลาดหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จ ถามว่าแผนนี้มีความเสี่ยงด้วยเรื่องอะไรถึงจะพาไปสู่หายนะ และถามต่อว่าโซเวียดทำสำเร็จได้ด้วยปัจจัยใดถึงสามารถต้านทานได้จนถึงฤดูหนาว และเหตุใดเยอรมันถึงไม่สารมารถบุกทำลายกองทัพโซเวียดได้ ถามแยะ(เป็นเจ้าหนูจำมัย)ไปซักนิดนะครับ รบกวนด้วยครับ :-[ [/quote] ครับ ที่จริงผมเขียนไม่ละเอียดเองนะครับ 1สนามเพลาะหลายชั้นไม่ได้เชื่อมกันครับ ขุดไว้ห่างกันพอสมควร 2 ถอยอย่างเป็นระบบคือ การถอยที่มีการหน่วงเหนี่ยวการรุกด้วยวิธีต่างๆเช่น นำทหารบางหน่วยป้องกันและนำทหารส่วนไหญ่หนี ทหารส่วนป้องกันมักจะไช้หน่วยที่เก่งมาก เช่นอังกฤษไช้หน่วยสก๊อตที่ดันเคิร์ก กรีกใช้สปาตา ในการหน่วงการถอยในสปาตา 300 การถอนของโซเวียตก็ไช้การทิ้งทหารไว้เหมือนกัน วิธีนี้ทหารที่ไช้หน่วงส่วไหญ่จะไม่รอด นำทหารส่วนนึงซุ่ม ทำทหารส่วนนึงหนีแตกนำศัตรูเข้าไปสู่จุดซุ่ม ใช้กับระเบิดในการหน่วง ปกติศัตรูต้องส่งทหารช่างมาแก้ มักจะมีการวางพลซุ่มยิงไว้จัดการกับทหารช่าง ถ้าโดนตีแตกต้องส่งทหารหน่วยหนุนมาซุ่มดักทางหนีครับ แต่ถ้าไม่มีทหารหน่วยหนุนก็ทำไม่ได้ ส่วนไหญ่ถ้าถอยอย่างเป็นระบบฝ่ายบุกจะบุกไล่หน่วยหลักที่ถอยไม่ได้หรอกครับ ถ้าศัตรูส่งทหารส่วนน้อยมาสกัด ไช้ทหารส่วนไหญ่หนี เราก็เอากองรถถังวิ่งโอบล้อมทหารหน่วยที่สกัดนะครัย ส่วนทหารที่หนีเราตามไม่ค่อยทันหรอก กันการซุ่มต้องส่งทหารหน่วนลาดตระเวนเข้าไปดูก่อน แต่มักจะทำไห้ช้าตามตีไม่ทันอยู่ดี กับระเบิด ใน ww2 พันธมิตรตะวันตกไช้สายระเบิดทำลายกับระเบิดเป็นทางแล้วส่งทหารตาม โซเวียตจะรวมทัพเป็นแนวแคบๆแล้ววิ่งฝ่าไปเลย 3 หมายถึงถ้าเยอรมันโจมตีโอบล้อมจากจุดอื่นที่โซเวียตไม่ได้คาดการไว้นะครับ ก็น่าจะล้อมมอสโควได้ ที่ป้องกันไว้ได้เพราะ ฝนช่วยชะลอทัพเยอรมัน แนวป้องกันทำไว้หลายชั้น(เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยด้วย) รวมกำลังป้องกันไว้ในจุดที่น่าจะโดนโอยบล้อมไม่กี่จุด(ดูจากเทคนิคการโอบล้อมของเยอรมันที่มักจะล้อมห่างจากเมืองพอสมควร) ทำไห้มีทหารเพียงพอจะสกัด ในกรณีที่ทัพโซเวียตที่ป้องกันการล้อมเมืองจะโดนล้อมซะก่อน ก็จะถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู่แนวป้องกันชั้นถัดไป T34 รถถังที่ดีที่สุดของโซเวียต ไช้แม่ทัพดีที่สุดของโซเวียต ซูคอฟ โรคอฟสกี้ ได้ทหารที่ดีที่สุดของโซเวียตมาช่วย ทหารไซบีเรียน กันได้ซักพักฤดูหนาวกับกำลังเสริมก็มาช่วยอีก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 03, 2007, 12:53:14 AM สุดยอดเลยครับท่าน nosta3824382 ...
ให้ความเห็นได้ชัดเจนลึกซึ๊งมากครับ... ::002:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 03, 2007, 06:47:01 AM ทหารอเมริกันเดินอยู่บนถนนในอังกฤษในเดือนมีนาคม ซึ่งสถานที่จะเป็นความลับมาก
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-3.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 03, 2007, 09:10:27 AM เคยดูจากสารคดี ท่านว่า นอกจากเครือข่ายเรดาห์แล้ว อังกฤษยังมีทีเด็ดอีก คือเครือข่ายการแจ้งเตือนภัยทางอากาศ โดยใช้ชาวบ้านธรรมดา ช่วยกันเฝ้าท้องฟ้า ใครเห็นเครื่องบินเยอรมัน ก็ดูรุ่น ดูทิศทาง และวัดความสูงให้เสร็จ ก่อนโทรศัพท์ไปแจ้งศูนย์ ... ทำให้นักบินอังกฤษมีเวลามากพอในการรับมือ ... [/quote] ครับผม ตอนนั้นเยอรมันเริ่มเครียด ก็รู้อยู่ว่าอังกฤษคงมีอุปกรณ์ดี เสียเปรียบในการรบตอนกลางคืนด้วยเพราะเรด้าห์พาเครื่องขับไล่หาเป้าสะดวก อังกฤษยังแถมปล่อยข่าวลือโจ๊กอีกว่าใช้นักบินกินแครอตมากๆ มีวิตามินบำรุงสายตาเลยเห็นตอนกลางคืนถนัด Battle of Britain เป็นศักดิ์ศรีความทรนงของอังกฤษอย่างมาก ราชวงศ์วินเซอร์ (ที่ตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 เปลี่ยนชื่อมาจากชื่อเยอรมัน ซักส์โคบวกโกธาร์ ของเจ้าชายอัลเบิร์ตพระสวามีควีนวิกตอเรีย ควีนวิกตอเรียก็วงศ์ ฮันโนเวอร์) ก็ไม่ออกจากลอนดอน เยอรมันมาบอร์มก็เข้าบังเกอร์ สมัยนี้บางตึกตามถนนเด่นๆ ก็ยังเก็บรอยระเบิดจากตอนนั้นไว้โชว์คนรุ่นหลัง เช่น ตึกตรงข้าม Imperial College ไปทางด้าน Knight Bidge หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 03, 2007, 10:47:37 AM ทหารอเมริกัน กับสาวอังกฤษ (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-10.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 03, 2007, 12:18:44 PM ขอแจมเรื่อง Operation Barbarossa หน่อยครับ ขอให้พี่nosta3824382หรือท่านผู้รู้เรื่องยุทธศาสตร์ทหารขยายความในเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจด้วยครับสั่งไห้ย้ายกองกำลังป้องกันที่กระจายเข้ามารวมไว้ที่รอบๆมอสโควโดยทำนายจุดที่จะถูกเข้าตีไว้ไม่กี่จุด แล้วเสริมการป้องกันไห้หนาแน่น มีการขุดสนามเพลาะขึ้นหลายชั้น ถ้าหน่วยป้องกันพลาด ก็จะถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู่ชั้นป้องกันถัดไป ซึ่งถ้าพลาดอาจหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จโซเวียตสามารถต้านทัพเยอรมันเอาไว้ได้จนถึงฤดูหนาว 1.การขุดสนามเพลาะหลายชั้น แต่ละชั้นหรือแต่ละช่วงมีการเชื่อมต่อกันหรือไม่ 2.การถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู้ชั้นป้องกันถัดไป หมายความว่าเมื่อเห็นว่าต้านไม่อยู่ก็ถอย แต่ถ้าโดนตีแตกโอกาสที่จะถอยอย่างเป็นระบบจะสามรถทำได้หรือไม่ และหากเจอการป้องกันแบบนี้จะต้องทำอย่างไรถึงจะชนะ ในขณะเดียวกันฝ่ายป้องกันจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุตามการป้องกันของตน 3.ที่ว่าถ้าพลาดหมายถึงหายนะ แต่การเดิมพันสำเร็จ ถามว่าแผนนี้มีความเสี่ยงด้วยเรื่องอะไรถึงจะพาไปสู่หายนะ และถามต่อว่าโซเวียดทำสำเร็จได้ด้วยปัจจัยใดถึงสามารถต้านทานได้จนถึงฤดูหนาว และเหตุใดเยอรมันถึงไม่สารมารถบุกทำลายกองทัพโซเวียดได้ ถามแยะ(เป็นเจ้าหนูจำมัย)ไปซักนิดนะครับ รบกวนด้วยครับ :-[ ครับ ที่จริงผมเขียนไม่ละเอียดเองนะครับ 1สนามเพลาะหลายชั้นไม่ได้เชื่อมกันครับ ขุดไว้ห่างกันพอสมควร 2 ถอยอย่างเป็นระบบคือ การถอยที่มีการหน่วงเหนี่ยวการรุกด้วยวิธีต่างๆเช่น นำทหารบางหน่วยป้องกันและนำทหารส่วนไหญ่หนี ทหารส่วนป้องกันมักจะไช้หน่วยที่เก่งมาก เช่นอังกฤษไช้หน่วยสก๊อตที่ดันเคิร์ก กรีกใช้สปาตา ในการหน่วงการถอยในสปาตา 300 การถอนของโซเวียตก็ไช้การทิ้งทหารไว้เหมือนกัน วิธีนี้ทหารที่ไช้หน่วงส่วไหญ่จะไม่รอด นำทหารส่วนนึงซุ่ม ทำทหารส่วนนึงหนีแตกนำศัตรูเข้าไปสู่จุดซุ่ม ใช้กับระเบิดในการหน่วง ปกติศัตรูต้องส่งทหารช่างมาแก้ มักจะมีการวางพลซุ่มยิงไว้จัดการกับทหารช่าง ถ้าโดนตีแตกต้องส่งทหารหน่วยหนุนมาซุ่มดักทางหนีครับ แต่ถ้าไม่มีทหารหน่วยหนุนก็ทำไม่ได้ ส่วนไหญ่ถ้าถอยอย่างเป็นระบบฝ่ายบุกจะบุกไล่หน่วยหลักที่ถอยไม่ได้หรอกครับ ถ้าศัตรูส่งทหารส่วนน้อยมาสกัด ไช้ทหารส่วนไหญ่หนี เราก็เอากองรถถังวิ่งโอบล้อมทหารหน่วยที่สกัดนะครัย ส่วนทหารที่หนีเราตามไม่ค่อยทันหรอก กันการซุ่มต้องส่งทหารหน่วนลาดตระเวนเข้าไปดูก่อน แต่มักจะทำไห้ช้าตามตีไม่ทันอยู่ดี กับระเบิด ใน ww2 พันธมิตรตะวันตกไช้สายระเบิดทำลายกับระเบิดเป็นทางแล้วส่งทหารตาม โซเวียตจะรวมทัพเป็นแนวแคบๆแล้ววิ่งฝ่าไปเลย 3 หมายถึงถ้าเยอรมันโจมตีโอบล้อมจากจุดอื่นที่โซเวียตไม่ได้คาดการไว้นะครับ ก็น่าจะล้อมมอสโควได้ ที่ป้องกันไว้ได้เพราะ ฝนช่วยชะลอทัพเยอรมัน แนวป้องกันทำไว้หลายชั้น(เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยด้วย) รวมกำลังป้องกันไว้ในจุดที่น่าจะโดนโอยบล้อมไม่กี่จุด(ดูจากเทคนิคการโอบล้อมของเยอรมันที่มักจะล้อมห่างจากเมืองพอสมควร) ทำไห้มีทหารเพียงพอจะสกัด ในกรณีที่ทัพโซเวียตที่ป้องกันการล้อมเมืองจะโดนล้อมซะก่อน ก็จะถอยอย่างเป็นระบบเข้าสู่แนวป้องกันชั้นถัดไป T34 รถถังที่ดีที่สุดของโซเวียต ไช้แม่ทัพดีที่สุดของโซเวียต ซูคอฟ โรคอฟสกี้ ได้ทหารที่ดีที่สุดของโซเวียตมาช่วย ทหารไซบีเรียน กันได้ซักพักฤดูหนาวกับกำลังเสริมก็มาช่วยอีก [/quote] ไม่ใช้พี่เขียนไม่ละเมียดหรือไม่ละเอียดครับ ผมนะพวกเจ้าหนูจำมัยและไม่ค่อยจะมีความรู้มากซักเท่าไหร่ในเรื่องพวกนี้ เลยส่งสัย แต่พออ่านแล้วก็หายส่งสัยและกระจ่างในเรื่องที่ไม่รู้ ขอบคุณพี่nosta3824382 ครับ ::002:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 03, 2007, 01:03:26 PM นำทหารบางหน่วยป้องกันและนำทหารส่วนไหญ่หนี ทหารส่วนป้องกันมักจะไช้หน่วยที่เก่งมาก เช่นอังกฤษไช้หน่วยสก๊อตที่ดันเคิร์ก กรีกใช้สปาตา ในการหน่วงการถอยในสปาตา 300 การถอนของโซเวียตก็ไช้การทิ้งทหารไว้เหมือนกัน วิธีนี้ทหารที่ไช้หน่วงส่วไหญ่จะไม่รอด
เยอรมันใช้กองทัพที่6 ด้วยใช่มั้ยครับพี่ nosta นำทหารส่วนนึงซุ่ม ทำทหารส่วนนึงหนีแตกนำศัตรูเข้าไปสู่จุดซุ่ม ใช้กับระเบิดในการหน่วง ปกติศัตรูต้องส่งทหารช่างมาแก้ มักจะมีการวางพลซุ่มยิงไว้จัดการกับทหารช่าง ถ้าโดนตีแตกต้องส่งทหารหน่วยหนุนมาซุ่มดักทางหนีครับ แต่ถ้าไม่มีทหารหน่วยหนุนก็ทำไม่ได้ วิธีนี้น่าจะเวิร์ค วิธีทิ้งหน่วยเก่งที่สุด แม้จะช่วยกำลังหลักได้แต่ ก็ต้องเสียหน่วยรบที่ดีที่สุดไป แต่สงครามก็คือสงครามบางครั้งก็ไม่มีทางเลือกให้มากนักขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 03, 2007, 01:34:49 PM นี่เค้าเรียกว่า The Crab เป็นรถถังกวาดทุ่นระเบิด สามารถกวาดทุ่นระเบิดได้ระยะทาง สองกิโลครึ่ง ได้ภายในแค่ชั่วโมงเดียวครับ
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-24.jpg) (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-34.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 03, 2007, 04:16:57 PM สุดยอดรถถัง ที-34
( T-34 the best of tanks ) สุดยอดรถถังในสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นยอดรถถังของรัสเซีย ที 34 เป็นรถถังขนาดกลางของสหภาพโซเวียต เริ่มทำการผลิตตั้งแต่ปี ค.ศ.1941 จนถึง 1958 และได้ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก เรียกได้่ว่าใช้งานในแทบทุกสมรภูมิ นับตั้งแต่สหภาพโซเวียตใช้ต่อกรกับแพนเซอร์ของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่2 จนชื่อเสียงโด่งดังกระฉ่อนก้องโลก ตามมาด้วย สงครามเกาหลีขับโดย ทหารรถถังเกาหลีเหนือและจีนแดง กับในสงครามเวียดนาม ซึ่งถูกใช้โดยพลรถถังเวียดนามเหนือ สงครามต่างๆที่ผ่านมาได้พิสูจน์เป็นอย่างดีแล้วว่า ที 34 เป็นรถถังที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประจำรถถังที่ทรงพลัง เกราะที่หนาและสะท้อนกระสุนได้ดี อัตราการอยู่รอดในสนามรบสูง ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่กินน้ำมันน้อย ใช้งานได้ทุกฤดูกาลไม่ว่าจะร้อนมากหรือหนาวจัด ผลิตง่ายและรวดเร็วใช้ต้นทุนต่ำแต่คุ้มค่ามาก ผลิตได้เป็นจำนวนมากในเวลาอันสั้น เหมาะสมในยามสงคราม เรียกได้ว่าดีไปเสียหมด แม้ว่าสงครามโลกครั้งที่สองจะสงบลงไปแล้ว แต่ช่วงหลังสงครามก็ยังมีใช้กันอยู่ในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสังคมนิยมทั้งหลาย เพราะเครดิตในสงครามโลกครั้งที่2 เป็นเครื่องการันตีคุณภาพให้( ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ดิสเครดิตกันด้วย ) ที-34ถูกผลิตเป็นครั้งแรก ที่โรงงาน เคเอชพีแซน( KhPZ ) ในคาร์คอฟ ( Kharkov ) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคาร์คีฟ ( Kharkiv) รัฐยูเครน( Ukraine ) ซึ่งรถถังที 34 ที่ถูกผลิตจากโรงงานนี้ ได้เป็นหัวหอกสำคัญของกองกำลังยานเกราะแห่งสหภาพโซเวียต ในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นรถถังอีกแบบหนึ่ง ของสหภาพโซเวียตที่ถูกผลิตออกมามากที่สุด หลังสงคราม โรงงานแห่งนี้ยังได้เปิดสายการผลิตครั้งที่2 โดยผลิตรถถังที-54/55 ป้ิอนให้กับกองทัพโซเวียตในสงครามเ้ย็น พอถึงปี ค.ศ.1996 ยังพบว่ามีรถถังแบบนี้ประจำการอยู่ในกองทัพ 27 ประเทศทั่วโลก ที-34 ถูกพัฒนามาจากรถถังในตระกูลบีที ( BT series ) ซึ่งเป็นรถถังความเร็วสูง ( fast tanks ) เพื่อที่จะนำมาทดแทนรถถังบีที-5และ7 รวมทั้งรถถังเบาที-26และรถถังทหารราบ ทำให้รถถังแบบใหม่ที่จะนำมาทดแทนนี้ ต้องมีสเป็กที่ดีกว่ารถถังแบบที่มีอยู่ เช่น ตัวรถทรงตัวได้ดี มีอำนาจการยิงสูง เคลื่อนที่ได้อย่างดีและเร็วไม่อืดอาดยืดยาดเหมือนรถถังยุคWWI และมีการป้องกันที่ดี เพื่อให้สามารถมีโอกาสอยู่รอดในสนามรบสูง เมื่อเริ่มสงครามครั้งแรก ที-34 ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง ( เมื่อกี้พูดแต่ข้อดีคราวนี้มาถึงข้อเสียกันบ้าง แต่ก็เป็นเฉพาะในรุ่นแรกนะ ) นั้นคือการออกแบบภายในรถถังนั้น ไม่ถูกหลักการยศาสตร์ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือสร้างมาไม่สะดวกสบายนั้นเอง นอกจากนี้ยังมีการขัดข้องของวิทยุสื่อสาร และยังมี ที-34 อยู่ในกองทัพเป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอ จะต่อกรกับแพนเซอร์ของเยอรมันที่มีเป็นโหลได้ แม้ว่าจะดีกว่าก็ตาม ที่แย่ที่สุดก็คือยุทธวิธีการใช้รถถังของโซเวียต ( เรียกว่ามีของดีแต่ใช้ไม่เป็น ) ป้อมปืนของที-34นั้น ยังเป็นแบบป้อมปืนสองคน( two-man turret )ซึ่งกำหนดให้ผู้บังคับการรถถัง( Tank Commander )ทำหน้าทีเป็นพลปืน ( Tank Gunner )ด้วย ทำให้ ที-34กลายเป็นรถถังที่ดีที่สุดในวันแรกของการรบ ( ส่วนรถถังแบบอื่นๆของโซเวียต กลายเป็นเหยื่อให้แพนเซอร์ของเยอรมันเสียเป็นส่วนใหญ่ ) แต่ถึงกระนั้นก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ที-34 ยังด้อยกว่าแพนเซอร์ของเยอรมัน ซึ่งมีพลประจำรถถัง3คน อันประกอบไปด้วย ผู้บังคับการรถถัง,พลปืน และพลบรรจุกระสุน (commander, gunner and loader) ที-34 ถูกผลิตออกมาป้อนเข้ากองทัพอย่างไม่ขาดสาย และได้ถูกปรับปรุงแก้ไขอยู่ตลอดเวลา จากประสบการณ์ที่ได้จากในสนามรบ ( ใช้ตัวจริงชัดเจนของทีไอทีวี ) ประสิทธิภาพของ ที-34 ในเวอร์ชั่นหลังๆจึงดีขี้นๆ และถูกผลิตออกมามากขึ้นๆเป็นเงาตามตัว ต้นปีค.ศ.1944เวอร์ชั่นที่ประสบความสำเร็จและดีที่สุดของ รถถังในตระกูล ที-34 ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นนั้นคือ ที-34/85 ใช้อาวุธปืนประจำป้อมขนาด 85 มม.ที่มีชื่อเสียงในการน็อคเอาท์แพนเซอร์ของเยอรมัน และใช้ป้อมปืนแบบสามคน ( three-man turret ) ตามแบบแพนเซอร์ของเยอรมัน เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปีค.ศ.1945 ด้วยความสามารถมากมายก่ายกองของที-34 กองทัพโซเวียตจึงได้นำเข้าทดแทนรถถังทั้งเบาและหนักที่มีอยู่ และใช้เป็นรถถังที่อยู่ในสายการผลิตหลักของโซเวียต ซึ่งต่อมาก็ได้บังเกิดรถถังที่วิวัฒนาการมา ( พูดหยั่งกับไดโนเสาร์ )เข้ามาแทนที่ นั้นคือรถถัง ที54/55 ได้ถูกปิดสายการผลิตในปีค.ศ.1981 แต่ก็ยังคงพบเห็นปฏิบัติการอยู่ในปัจจุบัน ประวัติการผลิต ( Production history ) ปฏิวัติการออกแบบ ( Revolutionary design ) ก่อนหน้าปี ค.ศ.1939 รถถังที่มีอยู่ในกองทัพโซเวียตเป็นจำนวนมากนั้นได้แก่ รถถังเบา ที-26 และรถถังเบาความเร็วสูงในตระกูลบีที ที-26เป็นรถถังทหารราบความเร็วต่ำ( slow-moving infantry tank ) ออกแบบมาเพื่อให้ทหารราบวิ่งตามได้ทันและรุกไปพร้อมๆกัน ส่วนรถถังในตระกูลบีทีนั้นเป็นรถถังทหารม้า( cavalry tanks ) เป็นรถถังเบาที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วมาก( very fast-moving light tanks ) ออกแบบมาเพื่อใช้ต่อสู้กับรถถังด้วยกัน หรือในการบุกที่ไม่ใช้ทหารราบ รถถังทั้ง2รุ่นมีเกราะที่สามารถป้องกัน อาวุธปืนของทหารราบได้ แต่ไม่สามารถป้องกันปืนไรเฟิลต่อสู้รถถัง หรือปืนใหญ่ต่อสู้รถถังที่มีขนาดตั้งแต่ 37 ม.ม. ขึ้นไปได้ และใช้เครื่องยนต์น้ำมันแก็สโซลีน ( gasoline-fueled engines )แต่ไม่ใช่แก็สโซฮอล์เน้อ ซึ่งเครื่องยนต์แบบนี้ รถถังส่วนใหญ่ทั่วโลกในยุคนั้นต่างก็ใช้เครื่องยนต์แบบนี้กันทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องยอมรับกันว่าพอรถถังโดนยิง เครื่องยนต์แบบนี้จะเกิดไฟไหม้ง่ายเอามากๆ รถถังทั้งสองแบบนี้ ออกแบบในช่วงต้นทศวรรษที่1930 และล้วนแต่ออกแบบด้วย ฝีมือของชาวต่างชาติทั้งนั้น ว่ากันง่ายๆก็คือ ไม่ใช่ฝีมือของคนรัสเซียหรือชาวโซเวียตเอง อย่างเจ้าที-26นี่ การออกแบบอาศัยพื้นฐานมาจาก รถถังวิกเกอร์6ตัน ของทางอังกฤษนู้น และที่หลายๆท่านไม่เคยทราบ ( ผมเองก็พึ่งทราบเหมือนกันครับ ) ก็คือรถถังตระกูลบีที มีพื้นฐานการออกแบบมาจาก วิศวกรชาวอเมริกันชื่อ วอร์เทอร์ คริสตี้( Walter Christie ) เรียกได้ว่าลอกแบบตั้งแต่กรุงลอนดอน ไปถึงกรุงวอชิงตัน แล้วค่อยกลับมาที่มอสโกเลยทีเดียว มิคาอิล อิลยิช โคซคิน ( Mikhail Ilyich Koshkin ) คลิกที่รูปเพื่อขยาย ในปีค.ศ.1937 วิศวกรชื่อ มิคาอิล โคซคิน ( Mikhail Koshkin ) ชื่อมาแนวๆเดียวกับ มิคาอิล คาลาชนิคอฟ ผู้ออกแบบปืนอาก้าเลยเนอะ ได้รับมอบหมายจากกองทัพแดง ให้เข้าร่วมในทีมออกแบบรถถังแบบใหม่ ที่จะนำมาแทนที่รถถังบีที ที่โรงงานผลิตหัวจักรรถไฟชื่อ คาร์คีฟ โคมินเทิรน์( Kharkiv Komintern Locomotive Plant ) หรือที่เรียกย่อๆว่า KhPZ ในตอนต้นของเรื่องนั้นเอง โรงงานนี้ตั้งอยู่ในเมืองคาร์คีฟ สมกับชื่อของโรงงาน รถถังต้นแบบ ( The Prototype Tank ) รถถังต้นแบบมีชื่อว่า เอ-20 ( A-20 ) ซึ่งตัวเลข 20 นี้ มาจากความหนาของเกราะด้านหน้าของรถถัง ที่ได้ออกแบบมาให้หนาเป็นพิเศษกว่า 20 มิลลิเมตร( 20 millimetres ) หรือ 0.8นิ้ว (0.8 in) ติดอาวุธหลักเป็นปืนใหญ่ขนาด 45มม. หรือ 1.8นิ้ว และใช้เครื่องยนต์แบบใหม่ คือแบบวีทู( V-2 engine ) ซึ่งใช้เชื้อเพลิงที่ไม่เกิดการลุกไหม้ง่าย จนไฟลุกท่วมรถถังแบบแต่ก่อน นั้นก็คือน้ำมันดีเซล( diesel fuel )แบบรถกระบะบ้านเรานี่เอง ระบบขับเคลื่อนแบบ 8*6 ล้อ แบบเดียวกับรถถังบีที ที่ใช้แบบ 8*2 ล้อ โดยล้อจะวิ่งไปบนตีนตะขาบ รูปมิตติ้งของรถถังในตระกูล ที-34 จากซ็ายไปขวา A-8 ( BT-7 M), A-20, T-34 รุ่นปี 1940 และ รุ่นปี 1941 รถต้นแบบนี้เป็นรถถังที่ง่ายต่อการซ่อมบำรุง ทำให้ประหยัดเงินค่าซ่อม ที่ในยามสงครามเงินทองนั้นหายาก ซึ่งตีนตะขาบของรถถังในช่วงต้นปี ค.ศ.1930นั้น จะเริ่มเชื่อถือไม่ได้ เมื่อวิ่งไปบนถนน ด้วยความเร็ว 85 กม./ชั่วโมง ( 53ไมล์/ชั่วโมง ) ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้จริงในสนามรบ นักออกแบบจึงคิดว่าตีนตะขาบ พวกนี้เป็นเหมือนของเสีย ที่สิ้นเปลืองเอามากๆ A-20 จึงเป็นเสมือนสิ่งที่ได้จากการวิจัย ในโครงการรถถัง บีที-ไอเอส และ บีที-เอสดับเบิ้ลยู-2 (BT-IS and BT-SW-2 projects) ด้วยเกราะแบบลาดเอียง หรือที่เรียกกันว่า สโลฟ อาร์เมอร์ ( sloped armour ) ซึ่งทำให้กระสุนแทบทุกชนิด แฉลบหรือกระเด็นออกไป ทำให้ป้องกันได้ดีกว่ารถถังที่ใช้เกราะแบบตั้งฉาก หรือฝรั่งเรียกว่า เพอร์เพนดิคูเลอร์ อาร์เมอร์ ( perpendicular armor ) ซึ่งนิยมใช้ในรถถังเยอรมัน แต่ในรุ่นหลังๆก็ก็อปรูปร่างลาดๆ ของที-34ไปใช้บ้างแล้วครับ มาดูต้นแบบหมายเลข 1กันให้ชัดๆครับ รูปถ่ายเดี่ยวๆของ เอ-20 ตะกี้เป็นรูปถ่ายครอบครัวครับ ป้อมปืนเหมือนกับนำป้อมรถถังที-26 มาผสมกับ ป้อมของบีที-7 โคซคินมั่นใจว่าท่านผู้นำสตาลิน จะต้องอนุญาตให้ทำการสร้างรถถังต้นแบบคันที่2 ( second prototype ) อย่างแน่นอน ด้วยรูปร่างที่ดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ( หนาเตอะกว่ารถถังรุ่นไลท์เวจในยุคนั้น ) และมีปืนใหญ่ที่หนักกว่าแต่ก่อน เป็นรถถังแบบแรกของรัสเซีย ที่เป็นสากลขึ้น ( "universal tank" ) ถ้าให้รถถังที-26 และ บีที-7เข้าประกวดชิงตำแหน่งชายงามโซเวียต กับ เซกคันส์ โปรโตไทป์ (อย่างงครับ แค่เรียกรถถังต้นแบบคันที่2 เป็นภาษาประกิดเท่านั้นเอง ) เซกคันส์ โปรโตไทป์คันนี้ ต้องได้ตำแหน่งผู้ชนะเลิศแห่งปีไปแน่นอนอย่างกินขาด ด้วยรูปร่างที่บึกบึนกว่า ( ก็จะนำมาแทนที่2คันแรกนี่ ของใหม่ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว) ต้นแบบหมายเลข2 เอ 32 สังเกตจะเห็นว่าหน้าตาคล้ายที-34ขึ้นมาหน่อยแล้วครับ เริ่มวิวัฒนาการแล้ว โคซคินได้ตั้งชื่อให้รถถังต้นแบบคันที่2นี้ว่า เอ-32 หรือ ที-32 เช่นเดียวกับ เอ-20 เลข 32 นั้นมาจากเกราะด้านหน้า ที่ได้ถูกเพิ่มให้หนาขึ้นเป็น 32 มม. หรือ 1.3 นิ้ว จุดเด่นที่สุดของรถถัง เอ-32 ก็คือ ปืนใหญ่ที่ได้ขยายคาลิเบอร์กว้างกว่าเดิม เป็น 76.2 มม. วัดเป็นนิ้วก็ได้ 3นิ้ว พอดิบพอดี ส่วนเครื่องยนต์ก็ยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซล วี2 เหมือนเดิม ในการทดสอบภาคสนาม ( field trials ) ที่คูบินก้า ในปีค.ศ.1939 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เอ-32 สามารถเคลื่อนที่ได้ดีกว่า เอ-20 แม้กระนั้นก็ยังมีการเสริมเกราะหน้าของ เอ-32 ให้หนากว่าเดิม เป็น 45 มม. หรือ 1.8 นิ้ว ซึ่งเอ-32 ในเวอร์ชั่นหน้าหนาขึ้นนี้ ( เรียกซะเสียเลย ) ได้ถูกนำไปผลิตเป็นรถถังที-34 เพราะได้รับประกันมาตรฐานแล้ว รับประกันโดยหม่อมโคซคิน( เรียกแบบเชลล์ชวนชิม ) ที-26 บีที-7 เอ-32 ที่มาของเลข 34 (The Origin Of Number 34 ) เซอร์โก อ็อดโชนิกไคซี่ เพื่อนคนสนิทของสตาลิน และเป็นผู้มีตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ ชื่อ ที-34 นี้ โคซคินเขาเป็นคนตั้งให้ครับ ( ไม่ได้ตั้งตามเลขหวยนะครับ )โดยตั้งขึ้นหลังจากปีค.ศ.1934 ซึ่งเป็นปีที่เขาปิ๊งไอเดีย และเริ่มร่างแผนแบบการสร้างรถถังแบบใหม่คันนี้ ได้มีการขยายกองพลยานเกราะของโซเวียต ให้มีรถถังจำนวนมากขึ้น โดยมี เซอร์โก อ็อดโชนิกไคซี่ ( Sergo Ordzhonikidze ) เป็นผู้ควบคุมการผลิตรถถัง ( ถ้าผลิตได้ไม่ตรงตามยอดที่ต้องการโดนยิงเป้าแน่ ) รถถังต้นแบบหมายเลข2 หรือก็คือที-34 รุ่นแรก สร้างขึ้นสำเร็จใน เดือนมกราคม ปีค.ศ. 1940 และได้ผ่านการทนสอบการเดินทางที่สุดแสนจะลำบาก เป็นระยะทางถึง 2,000 กิโลเมตร หรือกว่า 1,250 ไมล์ โดยขับออกจากโรงงานผลิตที่คาร์คีฟ วิ่งมาจนถึงนครหลวงมอสโคว์ เป็นการพิสูจน์ให้ท่านผู้นำสตาลินเห็นสมรรถนะ กับตาด้วยการมาจอดหยุด อยู่หน้าพระราชวังเครมลินเลยทีเดียว ( อันนี้โม้เอาเองหน่อยนะครับ เขาระบุไว้แค่มาถึงมอสโกเฉยๆ ) และยิ่งเซอร์ไพส์กว่าเดิม ด้วยการขับรถถังที-34 จากแนวแมนเนอร์ไฮม์ในฟินแลนด์ ( Mannerheim Line ) กลับสู่โรงงานบ้านเกิดในคาร์คีฟ ซึ่งต้องผ่านเมืองมินส์ ( Minsk ) และเคียฟ ( Kiev ) ใช้เวลาไปประมาณเดือนหนึ่ง คือตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคม ( การแสดงครั้งนี้คล้ายๆกับ โฆษณารถกระบะอิซูซุ ดีแม็ก ยอดรถปิคอัฟประหยัดน้ำมัน ที่วิ่งตั้งแต่ไทยไปถึงเวียดนามโน้น ยังไงชอบกล ไม่รู้ใช้น้ำมันแค่ถังเดียวเหมือนกันรึเปล่า อิอิ ) นับว่าวิ่งได้พอๆกับระยะทางที่เยอรมันบุกรัสเซียไม่มีผิด หากเป็นรถถังเยอรมันคงพังไปแล้วเรียบร้อย แถมยังเปลืองตังค์ค่าน้ำมันเยอะกว่าอีกต่างหาก ให้ท่านคิดไปถึงการเอา รถเก๋งที่ใช้น้ำมันเบนซิน 95 ( แน่ะไม่ยอมใช้แก็สโซฮอลล์อีก ) ไปวิ่งแบบอิซูซุดีแม็ก รับรองว่ารถเก๋งเสื่อมสภาพไปเยอะ และต้องแวะเติมน้ำมันบ่อย ดีไม่ดีเครื่องโอเวอร์ฮีทด้วย แถมอีกนิดถนนของรัสเซียในสมัยนั้นใครๆเค้าก็รู้กันว่า ทุรกันดารสุดๆ หรือเรียกง่ายๆว่าบ้านนอก ไม่เชื่อก็ไปถามพลขับแพนเซอร์ของเยอรมัน ที่เคยขับรถถังในดินแดนรัสเซียได้ครับ การวิ่งครั้งนี้จึงเป็นการแสดงความทนทานของรถถัง ที-34 ได้เป็นอย่างดี ( ที-34 นี่คล้ายอิซูซุเนอะ ต่างกันแค่ตรงที่ไม่มีแอร์ พลขับรถถังอาจจะมีแอร์ก็ได้นะครับ แต่คงไม่ค่อยเย็น เพราะว่าเป็นแอร์กี่ ) ได้มีการพบข้อบกพร่องของช่วงล่างของรถถัง ( drivetrain ) ทางทีมพัฒนาก็ได้แก้ไขให้ดีขึ้น แต่พอจะทำการผลิตก็ได้รับกระแสต่อต้านจากผู้บังคับบัญชาของกองทัพ เนื่องจากการแก้ไขในส่วนนี้ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น แต่ในที่สุดทีมพัฒนาก็สามารถโน้มน้าวให้กองทัพยอมรับได้ เพราะว่าในขณะนั้นสหภาพโซเวียตกำลังขาดแคลนรถถังเป็นอย่างมาก หลังจากที่ใช้บุกฟินแลนด์แล้วถูกหิมะฝังกลบเสียหมด และจากการที่เยอรมันได้แสดงให้เห็นคุณค่าในสนามรบของรถถังให้โลกได้ประจักษ์อีกครั้ง ในสงครามสายฟ้าแลบบุกฝรั่งเศส ( Germany 's Blitzkrieg in France ) ทำให้ฝรั่งเศสซึ่งเป็นศัตรูกันมาช้านาน และเคยรบกันในสงครามโลกครั้งแรกเป็นเวลากว่า4ปี ต้องยอมศิโรราบในเวลาเพียงแค่เดือนเดียว ! โซเวียตจึงต้องการรถถังที่มีความแข็งแกร่งพอจะต่อต้านแพนเซอร์ได้อย่างเร่งด่วนที่สุด รถถังที-34คันแรกถูกผลิตออกมาได้สำเร็จ ในเดือนกันยายน ปีค.ศ.1940 และโรงงาน KhPZ พร้อมที่จะเปิดสายการรถถังที-34 แทนที่ การผลิตรถถังแบบเดิมๆ คือ ที-26,รถถังในตระกูลบีที และรถถังขนาดกลางหลายป้อมปืนแบบ ที-28 ( multi-turreted T-28 medium tank ) อเล็กซานเดอร์ อเล็กซานโดรวิช โมโรซอฟ ( Alexander Alexandrovich Morozov ) นายโคซคินได้เสียชีวิตลง ในวันที่ 26 กันยายน ปีค.ศ.1940 หรือช่วงใกล้สิ้นเดือนของการผลิตรถถัง ที-34 คันแรกนั้นเอง ราวกับว่าหน้าที่ของเขาในโลกนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ( เกิดมาเพื่อออกแบบและสร้างรถถังที-34ให้สำเร็จ ) จึงได้มีการแต่งตั้งบุคคลขึ้นมาเป็น หัวหน้าทีมพัฒนารถถังที-34ต่อจากเขา เขาผู้นั้นคือ นาย อเล็กซานเดอร์ โมโรซอฟ ( Alexander Morozov ) ได้มีการพัฒนาระบบกันสะเทือนด้วยขดลวดสปริงขึ้น แบบเดียวกับที่ใช้ในรถถังบีที แต่มีน้ำหนักมากกว่าและไม่ส่งผมต่อการขับขี่แต่อย่างใด ต่อมาก็ได้เกิด ที-34รุ่นปรับปรุง เวอร์ชั่นแรก โดยในเวอร์ชั่น1.0นี้ ( เรียกหยั่งกะเกมส์ ) ได้ถูกติดตั้งอาวุธหลักใหม่เป็นปืนใหญ่ขนาด 76.2มม. หรือที่ถูกเรียกกันจนคุ้นหูว่า ที34/76 ( เป็นชื่อที่ทหารเยอรมันตั้งให้ ) เมื่อมีเวอร์ชั่นแรกแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีเวอร์ชั่น2.0 ตามมา นั้นคือ ที34-85 หรือ ที34/85 ถูกนำเข้าสายการผลิตในปีค.ศ.1944 ซึ่งมีป้อมที่ใหญ่ขึ้นและ มีปืนใหญ่ลำกล้องยาวขนาด 85 มม. ที่ใหญ่กว่าเดิม เป็นจุดขาย และเด่นเป็นสง่า การตั้งขึ้นและการบำรุงรักษา ( Establishing and maintaining production ) รถถังที-34 รุ่นปี1940 (คลิกที่รูปเพื่อขยาย) "ทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นของฉันทั้งหมด" "Quantity has a quality all its own" คำกล่าวของโจเซฟ สตาลิน http://www.cmgame.net/tanarmy/index/weapons/ww2wep/tank/t34.htm หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 03, 2007, 04:32:36 PM ขอบคุณท่าน nars ครับ...
แต่ผมว่า... "ทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นของฉันทั้งหมด" "Quantity has a quality all its own" น่าจะแปลผิดนะครับ... ให้ผมแปลแบบดุ่ยๆผมแปลว่า "ปริมาณมีคุณภาพในตัวมันเอง"...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 03, 2007, 05:14:12 PM อือม์ "Quantity has a quality all its own"
ผมว่าสตาลินพูดภาษาอังกฤษผิดครับ น่าจะเป็น "Quantity has all quality of its own" ยังงี้แปลว่า "ปริมาณนั้นมีคุณภาพทั้งปวงในตัวเอง" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 03, 2007, 08:19:13 PM อุปกรณ์ที่Hobart คิดค้นขึ้นครับ เขาเรียกกันว่า Hobart's Funnies.
อันนี้เป้นสะพานสนามยาว 30 ฟุตซึ่งรองรับได้ถึง 40 ตัน คิดว่ายานยนต์ที่ยึดสพานนี้เป็น รถถังเชอร์ชิล (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-29.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 03, 2007, 10:33:01 PM หลักการรบหน่วงเวลา.....มีอยู่สองแบบใหญ่ๆ ได้แก่
การรบหน่วงเวลาแบบลำดับขั้น ...........เป็นการรบแบบส่วนหลังตรึงพื้นที่ จนส่วนหน้าถอยมาสมทบ...............แล้วส่วนหน้าจะตรึง ให้ส่วนหลังถอยต่อไป..สลับกันไป การรบหน่วงเวลาแบบสลับขั้น.............เป็นการรบแบบส่วนหลังตรึงพื้นที่ จนส่วนหน้าถอยผ่านไปข้างหลัง ไปถึงที่ทีกำหนด แล้วตรึงพื้นที่...............ส่วนหลังก็ถอยผ่านไปตรึงข้างหลัง ...........สลับกันไป การวางกำลังในการรบหน่วงเวลา ...........สามารถวางระลอกกำลังได้หลายระลอก..........ตั้งแต่ 2 ระลอกขึ้นไป..............และยังสามารถดัดแปลงยุทธวิธี ได้ตามลักษณะภูมิประเทศ ตั้งแต่ ตั้งพื้นที่สังหาร จนถึงการตีเจาะ เพื่อทำลายการเข้าตีของข้าศึก......... ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัย............กำลัง เวลา ความเร็วในการเคลื่อนที่ อำนาจการยิง และ พื้นที่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 03, 2007, 11:08:39 PM การรบหน่วงเวลาแบบลำดับขั้น ...........เป็นการรบแบบส่วนหลังตรึงพื้นที่ จนส่วนหน้าถอยมาสมทบ...............แล้วส่วนหน้าจะตรึง ให้ส่วนหลังถอยต่อไป..สลับกันไป
การรบหน่วงเวลาแบบสลับขั้น.............เป็นการรบแบบส่วนหลังตรึงพื้นที่ จนส่วนหน้าถอยผ่านไปข้างหลัง ไปถึงที่ทีกำหนด แล้วตรึงพื้นที่...............ส่วนหลังก็ถอยผ่านไปตรึงข้างหลัง ...........สลับกันไป รบกวนถามอาโหน่งเป็นความรู้นิดครับ พอดีผมไม่เคยออกสงครามจริงๆ แต่ระหว่างที่แต่ละแนวถอยจะไม่โดนข้าศึกเกาะแนวตีจนแตกหรือครับ เพราะปกติการถอยนี่มันจะเกิดการสูญเสีย แล้วฝ่ายถอยจะเสียขวัญกำลังใจ ฝ่ายรุกเห็นฝ่ายตรงข้ามก็จะมีขวัญกำลังใจดีขึ้น มีโอกาสที่ตั้งแนวไม่ทันแล้วแตกหมดทุกแนวไหมครับ เท่าที่เคยอ่านประวัติศาสตร์การรบส่วนใหญ่มักจะโดนตีแตกจนแนวที่อยู่ข้างหน้าถอยไปชนกับแนวหลังจนตั้งแนวไม่ติดน่ะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 03, 2007, 11:14:22 PM ขึ้นชื่อว่าการถอย ..............ความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นมากครับ ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับ "อำนาจการยิง"และ อำนาจกำลังรบ ที่ไม่มีตัวตน(ขวัญ)..........ในการจัดกระบวนทัพ..........ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ที่สำคัญ กำลังข้าศึกที่ตามตีนั้น..........ขนาดไหน ถ้าอัตราส่วน 3 เท่าขึ้นไป มีสิทธิ์"ละลาย"...................ซึ่งตามหลักการเข้าตี ต้อง 1 ต่อ 3 เท่าขึ้นไป มิฉะนั้นเข้าตีไม่ได้............ รัสเซียมีหลักนิยม1 ต่อ 8-13 เท่าครับ ในการใช้กำลังเข้าตี ปกติ การถอยทัพ มี 3 ประเภท.......คือ 1. การถอย ............มีทั้งสภาวะข้าศึกกดดัน และไม่กดดัน หลักการง่ายคือ ถอยดื้อๆ ไปข้างหลัง โดยส่วนใหญ่กระทำในขณะที่ไม่ปะทะ 2. การร่นถอย............เป็นการถอยด้วยความเร็ว อย่างเป็นระเบียบ 3. การรบหน่วงเวลา ตามที่กล่าว คือ รบพลางถอยพลาง เพื่อสงวนกำลังส่วนใหญ่ไว้ ........... ปล. ในภาพยนต์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ......ตอนที่นำทัพข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นการรบหน่วงเวลาตามลำดับขั้นครับ ............ตั้งแต่ช่องสิงห์ ...........แนววางปืนใหญ่ 20 เส้น และ ฝั่งใกล้(ฝั่งที่กองทัพยึดที่มั่นอยู่ ฝั่งที่พม่าอยู่เรียก ฝั่งไกล) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 03, 2007, 11:38:01 PM ปล. ในภาพยนต์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ......ตอนที่นำทัพข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นการรบหน่วงเวลาตามลำดับขั้นครับ ............ตั้งแต่ช่องสิงห์ ...........แนววางปืนใหญ่ 20 เส้น และ ฝั่งใกล้(ฝั่งที่กองทัพยึดที่มั่นอยู่ ฝั่งที่พม่าอยู่เรียก ฝั่งไกล)
ขอบคุณครับอาโหน่ง แปลว่าแนวแรกมักจะแทบละลายเลยสิครับ อย่างในเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ถ้าเป็นการรบสมัยใหม่ค่อนข้างลำบาก อย่างในหนังนี่แนวหลังได้ชัยภูมิดีที่เป็นแม่น้ำ แต่ถ้าเป็นสงครามสมัยใหม่ แม่น้ำไม่ค่อยเป็นอุปสรรคเท่าไหร่ เจอ เครื่อง fighter เจอ ฮ.โจมตี ปืนใหญ่155 มม. ระยะยิง40 กม. รถสะเทินน้ำสะเทินบก รถวางสะพาน สงสัยกว่าจะถอยพ้นระยะยิงนี่ละลายหมดแหงเลยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 03, 2007, 11:41:09 PM http://www.youtube.com/watch?v=jlVZ-sMwUDw&mode=related&search=
ดูเล่นๆสนุกๆ vdo ซ้อมรบ ของ ลุฟวาฟเฟ่ ยุคปัจจุบันครับ ใช้ mig29 ซ้อมรบแบบ dogfight กับ f18 ของสวิสที่เทือกเขาแอลป์ครับ จะเห็นได้ว่านักบินสำคัญกว่าเทคโนโลยี ในเขตเทือกเขาสลับซับซ้อน เรดาห์ทันสมัยใช้งานแทบไม่ได้เลยครับเพราะภูเขาบังการตรวจจับหมดครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2007, 09:20:16 AM จ๊ากซ์ รัสเซียเข้าตีแบบ 8-13 เท่า หมายความว่าเรามี 10 คน รัสเซียจะส่งคนมาตี 80 -130 คนหรือครับพี่มะขิ่น?
แล้วก็เท่ากับว่าส่งลุยแบบตายแยะๆ ก็ได้ เหลือเข้าระยะแลกกระสุน 20-30 คน ก็ชนะแล้วหรือครับ? คิดๆ ดูผมว่าจีนแดงก็คงใช้ทหารเปลืองพอๆ กันนะครับ :P หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ ตุลาคม 04, 2007, 10:43:02 AM จ๊ากซ์ รัสเซียเข้าตีแบบ 8-13 เท่า หมายความว่าเรามี 10 คน รัสเซียจะส่งคนมาตี 80 -130 คนหรือครับพี่มะขิ่น? แล้วก็เท่ากับว่าส่งลุยแบบตายแยะๆ ก็ได้ เหลือเข้าระยะแลกกระสุน 20-30 คน ก็ชนะแล้วหรือครับ? คิดๆ ดูผมว่าจีนแดงก็คงใช้ทหารเปลืองพอๆ กันนะครับ :P ช่วงเดือนนี้ในช่องHistoryมีเรื่องสงครามเกาหลีอยู่ครับ... จีนคงใช้หลักนิยมแบบเดียวกับโซเวียต....ใช้กําลังพลเยอะในการเข้าตี... เมื่อวานเป็นตอนที่ทหารสหประชาชาติถอยหนี...แบบไม่เป็นกระบวน...แถมโดนทหารจีนตีตัดเป็นส่วนๆ... ส่วนหน่วงเวลาบางหน่วยละลายหมด... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 04, 2007, 11:06:22 AM หลักการรบหน่วงเวลา.....มีอยู่สองแบบใหญ่ๆ ได้แก่ การรบหน่วงเวลาแบบลำดับขั้น ...........เป็นการรบแบบส่วนหลังตรึงพื้นที่ จนส่วนหน้าถอยมาสมทบ...............แล้วส่วนหน้าจะตรึง ให้ส่วนหลังถอยต่อไป..สลับกันไป การรบหน่วงเวลาแบบสลับขั้น.............เป็นการรบแบบส่วนหลังตรึงพื้นที่ จนส่วนหน้าถอยผ่านไปข้างหลัง ไปถึงที่ทีกำหนด แล้วตรึงพื้นที่...............ส่วนหลังก็ถอยผ่านไปตรึงข้างหลัง ...........สลับกันไป การวางกำลังในการรบหน่วงเวลา ...........สามารถวางระลอกกำลังได้หลายระลอก..........ตั้งแต่ 2 ระลอกขึ้นไป..............และยังสามารถดัดแปลงยุทธวิธี ได้ตามลักษณะภูมิประเทศ ตั้งแต่ ตั้งพื้นที่สังหาร จนถึงการตีเจาะ เพื่อทำลายการเข้าตีของข้าศึก......... ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัย............กำลัง เวลา ความเร็วในการเคลื่อนที่ อำนาจการยิง และ พื้นที่ ขึ้นชื่อว่าการถอย ..............ความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นมากครับ ทั้งนี้ ขอบคุณครับพี่ที่อธิบายเรื่องยุทธวิธีการรบแบบหน่วงเวลาสำหรับเรื่อง 1 ต่อ 3 นี่ผมก็เคยได้ยินลูกพี่ลูกน้องที่เป็นทหารพูดถึงอยู่เหมื่อนกันว่า ฝั่งที่จะบุกเข้าตีต้องใช้กำลังที่มากกว่าฝั่งตั้งรับ 3 เท่าเป็นอย่างน้อยถึงจะมีสิทธิชนะ :)ขึ้นอยู่กับ "อำนาจการยิง"และ อำนาจกำลังรบ ที่ไม่มีตัวตน(ขวัญ)..........ในการจัดกระบวนทัพ..........ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ที่สำคัญ กำลังข้าศึกที่ตามตีนั้น..........ขนาดไหน ถ้าอัตราส่วน 3 เท่าขึ้นไป มีสิทธิ์"ละลาย"...................ซึ่งตามหลักการเข้าตี ต้อง 1 ต่อ 3 เท่าขึ้นไป มิฉะนั้นเข้าตีไม่ได้............ รัสเซียมีหลักนิยม1 ต่อ 8-13 เท่าครับ ในการใช้กำลังเข้าตี ปกติ การถอยทัพ มี 3 ประเภท.......คือ 1. การถอย ............มีทั้งสภาวะข้าศึกกดดัน และไม่กดดัน หลักการง่ายคือ ถอยดื้อๆ ไปข้างหลัง โดยส่วนใหญ่กระทำในขณะที่ไม่ปะทะ 2. การร่นถอย............เป็นการถอยด้วยความเร็ว อย่างเป็นระเบียบ 3. การรบหน่วงเวลา ตามที่กล่าว คือ รบพลางถอยพลาง เพื่อสงวนกำลังส่วนใหญ่ไว้ ........... ปล. ในภาพยนต์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ......ตอนที่นำทัพข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นการรบหน่วงเวลาตามลำดับขั้นครับ ............ตั้งแต่ช่องสิงห์ ...........แนววางปืนใหญ่ 20 เส้น และ ฝั่งใกล้(ฝั่งที่กองทัพยึดที่มั่นอยู่ ฝั่งที่พม่าอยู่เรียก ฝั่งไกล) จ๊ากซ์ รัสเซียเข้าตีแบบ 8-13 เท่า หมายความว่าเรามี 10 คน รัสเซียจะส่งคนมาตี 80 -130 คนหรือครับพี่มะขิ่น? คำพูดสตาลินไงพี่จะพูดภาษาอังกฤษถูกหรือไม่ถูก แต่ทฤษฎีถูกต้อง "ในปริมาณย่อมมีคุณภาพ" ดาหน้าเข้าไปไอ้ที่ตายก็ตายไปที่เหลือก็วิ่งต่อ ถ้าระลอกแล้วเหลว มีก๊อก 2 คนเขาแยะครับ.........ผมว่าคนตั้งรับประสาทกินเลยละครับเจอวิธีนี้แล้วก็เท่ากับว่าส่งลุยแบบตายแยะๆ ก็ได้ เหลือเข้าระยะแลกกระสุน 20-30 คน ก็ชนะแล้วหรือครับ? คิดๆ ดูผมว่าจีนแดงก็คงใช้ทหารเปลืองพอๆ กันนะครับ :P หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 04, 2007, 02:07:48 PM แพนเซอร์เหรอครับ เด็กๆ น่ะ ::008::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 04, 2007, 04:08:36 PM ขึ้นชื่อว่าการถอย ..............ความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นมากครับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ "อำนาจการยิง"และ อำนาจกำลังรบ ที่ไม่มีตัวตน(ขวัญ)..........ในการจัดกระบวนทัพ..........ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ที่สำคัญ กำลังข้าศึกที่ตามตีนั้น..........ขนาดไหน ถ้าอัตราส่วน 3 เท่าขึ้นไป มีสิทธิ์"ละลาย"...................ซึ่งตามหลักการเข้าตี ต้อง 1 ต่อ 3 เท่าขึ้นไป มิฉะนั้นเข้าตีไม่ได้............ รัสเซียมีหลักนิยม1 ต่อ 8-13 เท่าครับ ในการใช้กำลังเข้าตี ปกติ การถอยทัพ มี 3 ประเภท.......คือ 1. การถอย ............มีทั้งสภาวะข้าศึกกดดัน และไม่กดดัน หลักการง่ายคือ ถอยดื้อๆ ไปข้างหลัง โดยส่วนใหญ่กระทำในขณะที่ไม่ปะทะ 2. การร่นถอย............เป็นการถอยด้วยความเร็ว อย่างเป็นระเบียบ 3. การรบหน่วงเวลา ตามที่กล่าว คือ รบพลางถอยพลาง เพื่อสงวนกำลังส่วนใหญ่ไว้ ........... ปล. ในภาพยนต์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ......ตอนที่นำทัพข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นการรบหน่วงเวลาตามลำดับขั้นครับ ............ตั้งแต่ช่องสิงห์ ...........แนววางปืนใหญ่ 20 เส้น และ ฝั่งใกล้(ฝั่งที่กองทัพยึดที่มั่นอยู่ ฝั่งที่พม่าอยู่เรียก ฝั่งไกล) ;D ในฉากหนึ่งของหนังเรื่อง "เทียร์ออฟเดอะซัน" มีการใช้วิธีการถอยแบบข้อ 3 อยู่ใช่ไหมครับพี่ ในตอนที่ออกจากหมู่บ้านในตอนแรก ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 04, 2007, 06:31:59 PM ขึ้นชื่อว่าการถอย ..............ความสูญเสียย่อมเกิดขึ้นมากครับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ "อำนาจการยิง"และ อำนาจกำลังรบ ที่ไม่มีตัวตน(ขวัญ)..........ในการจัดกระบวนทัพ..........ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากๆ ที่สำคัญ กำลังข้าศึกที่ตามตีนั้น..........ขนาดไหน ถ้าอัตราส่วน 3 เท่าขึ้นไป มีสิทธิ์"ละลาย"...................ซึ่งตามหลักการเข้าตี ต้อง 1 ต่อ 3 เท่าขึ้นไป มิฉะนั้นเข้าตีไม่ได้............ รัสเซียมีหลักนิยม1 ต่อ 8-13 เท่าครับ ในการใช้กำลังเข้าตี ปกติ การถอยทัพ มี 3 ประเภท.......คือ 1. การถอย ............มีทั้งสภาวะข้าศึกกดดัน และไม่กดดัน หลักการง่ายคือ ถอยดื้อๆ ไปข้างหลัง โดยส่วนใหญ่กระทำในขณะที่ไม่ปะทะ 2. การร่นถอย............เป็นการถอยด้วยความเร็ว อย่างเป็นระเบียบ 3. การรบหน่วงเวลา ตามที่กล่าว คือ รบพลางถอยพลาง เพื่อสงวนกำลังส่วนใหญ่ไว้ ........... ปล. ในภาพยนต์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ......ตอนที่นำทัพข้ามแม่น้ำสะโตง เป็นการรบหน่วงเวลาตามลำดับขั้นครับ ............ตั้งแต่ช่องสิงห์ ...........แนววางปืนใหญ่ 20 เส้น และ ฝั่งใกล้(ฝั่งที่กองทัพยึดที่มั่นอยู่ ฝั่งที่พม่าอยู่เรียก ฝั่งไกล) ;D ในฉากหนึ่งของหนังเรื่อง "เทียร์ออฟเดอะซัน" มีการใช้วิธีการถอยแบบข้อ 3 อยู่ใช่ไหมครับพี่ ในตอนที่ออกจากหมู่บ้านในตอนแรก ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 04, 2007, 07:21:45 PM รถถังที่ติดตั้งอุปกรณ์ต่อต้านหลุมดักรถถังครับ
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-30.jpg) (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-31.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 04, 2007, 08:04:56 PM ลุงรูญครับ มีหนึ่งแล้ว สองแล้ว ........... เมื่อไหร่สามจะตามมาละครับ ไม่รู้จะสนุกแค่ไหนเน๊อะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 04, 2007, 08:32:26 PM ลุงรูญครับ มีหนึ่งแล้ว สองแล้ว ........... เมื่อไหร่สามจะตามมาละครับ ไม่รู้จะสนุกแค่ไหนเน๊อะ หากมีครั้งที่ 3 คงดีใจกันทั่ว โดนเฉพาะผม เพราะจะได้หลุดหนี้ ไง น้าปู ๕๕๕ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 04, 2007, 08:41:11 PM ลุงรูญครับ มีหนึ่งแล้ว สองแล้ว ........... เมื่อไหร่สามจะตามมาละครับ ไม่รู้จะสนุกแค่ไหนเน๊อะ หากมีครั้งที่ 3 คงดีใจกันทั่ว โดนเฉพาะผม เพราะจะได้หลุดหนี้ ไง น้าปู ๕๕๕ ไม่ละมั้ง ......... ทราบมาว่า ปรส. ตามกดหัวคนติดตังค์เขาไม่ให้ได้ผุดได้เกิดกันอยู่นี่ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 05, 2007, 12:33:04 AM สงครามอ่าวเปอร์เชีย ฝ่ายบุกใช้กำลังน้อยกว่าฝ่ายรับ แต่มีทหารและอาวุธยุทธโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงทันสมัยกว่ากอ่งทัพอิรักครับ ในอดีต ก็มี ตอนกองทัพมาซิโดเนียนำทัพโดยอเล็กซานเดอร์บุกกองทัพของบาบิโลน เจงกิสข่านบุกจีน ซึ่งทั้งกองทัพอเล็กซานเดอร์ และเจงกิสข่านก็เป็นกองทัพประสิทธิภาพสูง โดยกองทัพอเล็กซานเดอร์มีแกนหลักที่เรียกว่ากองโล่ห์ใช้หอกที่ยาวมากๆ และ ถือโล่ขนาดใหญ่เรียงกันเข้าไปเหมือนเป็นกำแพงสังหาร และใช้ทหารม้าโอบปีกครับ(คล้ายๆสายฟ้าแลบของเยอรมันใช้รถถังโอบปีก) กองทัพเจงกิสข่านก็ใช้ทหารม้าที่แข็งแกร่ง(ทหารคนหนึ่งพาม้าไปด้วยหลายๆตัวและผลัดกันขี่ทำให้วิ่งได้ตลอดเวลารวมทั้งมีรถกระโจมเคลื่อนที่ไปพร้อมฝูงปศุสัตว์เป็นหน่วยพลาธิการเคลื่อนที่)เคลื่อนที่ได้รวดเร็วมากๆ จำได้ว่า จีนก็โดน แยกตีและล้อมแต่ละเมืองทำให้จีนยกทัพช่วยเหลือกันไม่ได้(คล้ายๆสายฟ้าแลบอีกเหมือนกัน สงสัย เยอรมันจะก้อปปี้กองทัพกรีกและเจงกิสข่าน) รวมทั้งในตอนที่เจงกิสข่านรุกเข้าตะวันออกกลางครั้งแรก(แถวๆ อัฟกานิสถาน)สุลต่านคาดไม่ถึงว่ากองทัพมองโกลจะเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้ทำให้ตั้งรับไม่ทันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 05, 2007, 03:00:47 AM การบุกต้องเหนือกว่า 3 ต่อ 1 เป็นหลักกว้างๆทางการทหารนะครับ ว่าการบุกต้องไช้กำลังคนเข้าเพื่อชดเชยการเสียเปรียบทางชัยภูมิ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น ทหารคุณเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นทหารราบ ก็ไม่ควรบุกเพราะจะโดนปืนกลหรอยหมด
แต่ถ้าคุณมีทหาร 1 ต่อ 1 ต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ครองอากาศมีปืนไหญ่และรถถัง ก็บุกได้ โดยทิ้งระเบิดปูพรมกดดันไห้ถอย แล้วเราเอากองรถถังดาหน้าไปพร้อมทหารราบก็พอไหว ชัยภูมิฝ่ายตั้งรับก็สำคัญ เช่นแนวป้องกันถูกสร้างมานาน รวมทั้งมีการพรางที่ดี เช่นอิโรจิม่า อันนี้บุกยากมาก ขนาดอเมริกามี 5ต่อ1 เหนือกว่าทั้งกำลังทางอากาศ รถถัง และปืนไหญ่ยังยาก ที่ว่าเหนือกว่า 3 ต่อ 1 หมายถึงเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีนะครับ คือ ต่อไห้คุณมีทหารน้อยกว่า แต่คุณลวงฝ่ายตรงข้ามว่าจะตีจุด a แล้วตีจริงจุด b ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังป้องกันจุด b น้อยมากคุณก็เหนือกว่า ณ จุดเข้าตีได้ มองโกล เยอรมัน หรือโซเวียต อเมริกา ก็ไช้กลยุทธลวงเพื่อความเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีทั้งนั้น ส่วนอเล็กซานเดอร์เป้นการรบในที่โล่งครับ ไม่ได้เป็นการตีหักแนวตั้งรับ ที่ว่าจีนกับรัสเซียไช้ทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็นนะครับ มีจุดประสงค์เพื่อดีสเครดิต ที่จริง ตอนสงครามเกาหลี จีนเป็นต่อแค่ 2 ต่อ 1 แถมยังถูกหิมะกัดทั้งทัพเพราะอุปกกรณ์ฤดูหนาวไม่พอ แต่ไช้การพรางและการรบกลางคืน โจมตีหลายๆทางสร้างความประหลาดใจไห้ทหารอเมริกัน เปิดการรบไห้เกิดขึ้นระยะประชิดที่สุด มีการดักทางหนี พออเมริกาหนีพ้น จีนก็ไช้กลยุทธซ้ำเดิมอีกครั้ง ที่จริงกลยุทธจีนนะดีมาก เพราะถ้าจีนไช้แผนตั้งรับต้องแย่แน่ เพราะอเมริกา มีรถถัง ปืนไหญ่ และเครื่องบินจำนวนมาก ส่วนจีนมีแต่ปืนกล ปืนไรเฟิล และ ปืนครก และที่จีนโจมตี ไม่ไช่เพราะไครเป็นเพราะแมคอาเทอร์ครับ แมคอาเทอร์สั่งไห้ทิ้งระเบิดไส่จีน โทษฐานที่ส่งความช่วยเหลือไห้เกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐบาลจีนขอไห้หยุดแล้วก็ไม่ยอม คิดว่ากองทัพจีนเป็นกองทัพขยะ แถมตอนบุกก็ดันรักสบาย บุกไปทางถนนที่มีอยู่เส้นเดียว จีนมันก็ดักได้อะสิ พอสุ้แพ้ก็ขอไห้ทิ้งนิวเคลียร์อีก ไม่สนหัวอกประชาชนตาดำๆเลยแย่มาก ดีที่ไอเซนฮาวด์ไม่ยอม ส่วนรัสเซีย ไม่เคยมีทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 ทางยุทธศาสตร์ แต่อาจจะเหนือกว่า 10 ต่อ 1 จริง ณ จุดเข้าตี แต่ก็น่าจะน้อยครั้งมากที่จริงทหาร รัสเซีย 3 คน ก็เอาชนะทหารเยอรมัน 2 คนได้ในฤดูร้อน เช่นที่เคิร์ก การเหนือกว่าณ จุดเข้าตีไม่ได้หมายความว่าจะส่งทหารไปตายเท่าไรก็ได้ ตรงข้ามมันจะทำไห้สูญเสียทหารในการตีน้อยที่สุด เช่นเรามีปืนไหญ่ รถถัง และเครื่องบิน เหนือกว่า ณ จุดเข้าตี เราก็ทิ้งระเบิดกับยิงปืนไหญ่ปูพรม แล้วค่อยส่งกองรถถังไปยึด จะทำไห้เสียทหารน้อยกว่าที่เราส่งกำลังรบไปก้ำกึ่งกับฝ่ายตรงข้ามและต้องรบยืดเยื้อ นอกจากเราตีจุดที่มั่นไห้หักแล้ว ยังควรขยายผลการรบอีก คือ ต้องโอบล้อมกองกำลังศัตรู หรือทลวงไปไห้ลึกที่สุด ก่อนที่ศัตรูจะสร้างแนวตั้งรับขึ้นมาไหม่ บลิซครีก หรือ ดีพ แบทเทิ่ล ก็ไช้หลักการนี้ คุณมะขึ่นที่อ่านข้อความของคุณมา น่าจะศึกษาวิชาทหารมารึเปล่าครับ เพราะหลักการตั้งรับแบบหน่วงค่อนข้างละเอียดมาก ของผมจะอ่านๆจากประวัติศาสตร์และวิเคราะห์เอาเองนะครับ ไม่ได้เรียนมาเฉพาะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 05, 2007, 03:54:13 AM โรงงานผลิตยานยกพลขึ้นบกในนิวออลีนส์
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-12.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ninja1991. ที่ ตุลาคม 05, 2007, 05:29:38 AM การบุกต้องเหนือกว่า 3 ต่อ 1 เป็นหลักกว้างๆทางการทหารนะครับ ว่าการบุกต้องไช้กำลังคนเข้าเพื่อชดเชยการเสียเปรียบทางชัยภูมิ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น ทหารคุณเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นทหารราบ ก็ไม่ควรบุกเพราะจะโดนปืนกลหรอยหมด แต่ถ้าคุณมีทหาร 1 ต่อ 1 ต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ครองอากาศมีปืนไหญ่และรถถัง ก็บุกได้ โดยทิ้งระเบิดปูพรมกดดันไห้ถอย แล้วเราเอากองรถถังดาหน้าไปพร้อมทหารราบก็พอไหว ชัยภูมิฝ่ายตั้งรับก็สำคัญ เช่นแนวป้องกันถูกสร้างมานาน รวมทั้งมีการพรางที่ดี เช่นอิโรจิม่า อันนี้บุกยากมาก ขนาดอเมริกามี 5ต่อ1 เหนือกว่าทั้งกำลังทางอากาศ รถถัง และปืนไหญ่ยังยาก ที่ว่าเหนือกว่า 3 ต่อ 1 หมายถึงเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีนะครับ คือ ต่อไห้คุณมีทหารน้อยกว่า แต่คุณลวงฝ่ายตรงข้ามว่าจะตีจุด a แล้วตีจริงจุด b ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังป้องกันจุด b น้อยมากคุณก็เหนือกว่า ณ จุดเข้าตีได้ มองโกล เยอรมัน หรือโซเวียต อเมริกา ก็ไช้กลยุทธลวงเพื่อความเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีทั้งนั้น ส่วนอเล็กซานเดอร์เป้นการรบในที่โล่งครับ ไม่ได้เป็นการตีหักแนวตั้งรับ ที่ว่าจีนกับรัสเซียไช้ทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็นนะครับ มีจุดประสงค์เพื่อดีสเครดิต ที่จริง ตอนสงครามเกาหลี จีนเป็นต่อแค่ 2 ต่อ 1 แถมยังถูกหิมะกัดทั้งทัพเพราะอุปกกรณ์ฤดูหนาวไม่พอ แต่ไช้การพรางและการรบกลางคืน โจมตีหลายๆทางสร้างความประหลาดใจไห้ทหารอเมริกัน เปิดการรบไห้เกิดขึ้นระยะประชิดที่สุด มีการดักทางหนี พออเมริกาหนีพ้น จีนก็ไช้กลยุทธซ้ำเดิมอีกครั้ง ที่จริงกลยุทธจีนนะดีมาก เพราะถ้าจีนไช้แผนตั้งรับต้องแย่แน่ เพราะอเมริกา มีรถถัง ปืนไหญ่ และเครื่องบินจำนวนมาก ส่วนจีนมีแต่ปืนกล ปืนไรเฟิล และ ปืนครก และที่จีนโจมตี ไม่ไช่เพราะไครเป็นเพราะแมคอาเทอร์ครับ แมคอาเทอร์สั่งไห้ทิ้งระเบิดไส่จีน โทษฐานที่ส่งความช่วยเหลือไห้เกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐบาลจีนขอไห้หยุดแล้วก็ไม่ยอม คิดว่ากองทัพจีนเป็นกองทัพขยะ แถมตอนบุกก็ดันรักสบาย บุกไปทางถนนที่มีอยู่เส้นเดียว จีนมันก็ดักได้อะสิ พอสุ้แพ้ก็ขอไห้ทิ้งนิวเคลียร์อีก ไม่สนหัวอกประชาชนตาดำๆเลยแย่มาก ดีที่ไอเซนฮาวด์ไม่ยอม ส่วนรัสเซีย ไม่เคยมีทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 ทางยุทธศาสตร์ แต่อาจจะเหนือกว่า 10 ต่อ 1 จริง ณ จุดเข้าตี แต่ก็น่าจะน้อยครั้งมากที่จริงทหาร รัสเซีย 3 คน ก็เอาชนะทหารเยอรมัน 2 คนได้ในฤดูร้อน เช่นที่เคิร์ก การเหนือกว่าณ จุดเข้าตีไม่ได้หมายความว่าจะส่งทหารไปตายเท่าไรก็ได้ ตรงข้ามมันจะทำไห้สูญเสียทหารในการตีน้อยที่สุด เช่นเรามีปืนไหญ่ รถถัง และเครื่องบิน เหนือกว่า ณ จุดเข้าตี เราก็ทิ้งระเบิดกับยิงปืนไหญ่ปูพรม แล้วค่อยส่งกองรถถังไปยึด จะทำไห้เสียทหารน้อยกว่าที่เราส่งกำลังรบไปก้ำกึ่งกับฝ่ายตรงข้ามและต้องรบยืดเยื้อ นอกจากเราตีจุดที่มั่นไห้หักแล้ว ยังควรขยายผลการรบอีก คือ ต้องโอบล้อมกองกำลังศัตรู หรือทลวงไปไห้ลึกที่สุด ก่อนที่ศัตรูจะสร้างแนวตั้งรับขึ้นมาไหม่ บลิซครีก หรือ ดีพ แบทเทิ่ล ก็ไช้หลักการนี้ คุณมะขึ่นที่อ่านข้อความของคุณมา น่าจะศึกษาวิชาทหารมารึเปล่าครับ เพราะหลักการตั้งรับแบบหน่วงค่อนข้างละเอียดมาก ของผมจะอ่านๆจากประวัติศาสตร์และวิเคราะห์เอาเองนะครับ ไม่ได้เรียนมาเฉพาะ ผู้การมะขิ่นเป็นทหารนะครับ คุณ nosta3824382 ไม่ทราบหรือครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 05, 2007, 07:16:46 AM สะพานสนาม
(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2919140/K2919140-35.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: foxbat.....รักในหลวง ที่ ตุลาคม 05, 2007, 07:20:44 AM สงครามโลกจบแล้ว ขอต่อเป็นสงครามเวียตนามเลยได้มั้ยครับอยากทราบข้อมูลแบบนี้บ้างครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 05, 2007, 08:04:02 AM คุณมะขึ่นที่อ่านข้อความของคุณมา น่าจะศึกษาวิชาทหารมารึเปล่าครับ เพราะหลักการตั้งรับแบบหน่วงค่อนข้างละเอียดมาก ของผมจะอ่านๆจากประวัติศาสตร์และวิเคราะห์เอาเองนะครับ ไม่ได้เรียนมาเฉพาะ นักประวัติศาสตร์ คุยกับนายทหารที่เคยรบจริง ในเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 คนฟังคนอ่านมีแต่ได้กับได้ครับ ;Dหัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 05, 2007, 08:11:49 AM คุณมะขึ่นที่อ่านข้อความของคุณมา น่าจะศึกษาวิชาทหารมารึเปล่าครับ เพราะหลักการตั้งรับแบบหน่วงค่อนข้างละเอียดมาก ของผมจะอ่านๆจากประวัติศาสตร์และวิเคราะห์เอาเองนะครับ ไม่ได้เรียนมาเฉพาะ นักประวัติศาสตร์ คุยกับนายทหารที่เคยรบจริง ในเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 คนฟังคนอ่านมีแต่ได้กับได้ครับ ;D::008:: ::008:: ::008:: ::008:: ::008:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 05, 2007, 08:51:42 AM อิ อิ เท่าที่ผมทราบ เวลาพี่มะขิ่นศึกษาวิชาทหารมีเสียงประกอบทั้งเสียงหวีดหวีวจากพัดลมในห้องเรียนและจากหัวกระสุนตัดหญ้า เสียงกระหึ่มจากแอร์ในห้องประชุมและจากสายพานยานเกราะในการรบครับท่าน nostra3824382::008::
ปล. เลข 6 ตัวคล้ายๆ กับที่ผมเคยใช้เลยครับ แต่ผม 343.... :<><> หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 05, 2007, 09:09:48 AM การบุกต้องเหนือกว่า 3 ต่อ 1 เป็นหลักกว้างๆทางการทหารนะครับ ว่าการบุกต้องไช้กำลังคนเข้าเพื่อชดเชยการเสียเปรียบทางชัยภูมิ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น ทหารคุณเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นทหารราบ ก็ไม่ควรบุกเพราะจะโดนปืนกลหรอยหมด แต่ถ้าคุณมีทหาร 1 ต่อ 1 ต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ครองอากาศมีปืนไหญ่และรถถัง ก็บุกได้ โดยทิ้งระเบิดปูพรมกดดันไห้ถอย แล้วเราเอากองรถถังดาหน้าไปพร้อมทหารราบก็พอไหว ชัยภูมิฝ่ายตั้งรับก็สำคัญ เช่นแนวป้องกันถูกสร้างมานาน รวมทั้งมีการพรางที่ดี เช่นอิโรจิม่า อันนี้บุกยากมาก ขนาดอเมริกามี 5ต่อ1 เหนือกว่าทั้งกำลังทางอากาศ รถถัง และปืนไหญ่ยังยาก ที่ว่าเหนือกว่า 3 ต่อ 1 หมายถึงเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีนะครับ คือ ต่อไห้คุณมีทหารน้อยกว่า แต่คุณลวงฝ่ายตรงข้ามว่าจะตีจุด a แล้วตีจริงจุด b ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังป้องกันจุด b น้อยมากคุณก็เหนือกว่า ณ จุดเข้าตีได้ มองโกล เยอรมัน หรือโซเวียต อเมริกา ก็ไช้กลยุทธลวงเพื่อความเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีทั้งนั้น ส่วนอเล็กซานเดอร์เป้นการรบในที่โล่งครับ ไม่ได้เป็นการตีหักแนวตั้งรับ ที่ว่าจีนกับรัสเซียไช้ทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็นนะครับ มีจุดประสงค์เพื่อดีสเครดิต ที่จริง ตอนสงครามเกาหลี จีนเป็นต่อแค่ 2 ต่อ 1 แถมยังถูกหิมะกัดทั้งทัพเพราะอุปกกรณ์ฤดูหนาวไม่พอ แต่ไช้การพรางและการรบกลางคืน โจมตีหลายๆทางสร้างความประหลาดใจไห้ทหารอเมริกัน เปิดการรบไห้เกิดขึ้นระยะประชิดที่สุด มีการดักทางหนี พออเมริกาหนีพ้น จีนก็ไช้กลยุทธซ้ำเดิมอีกครั้ง ที่จริงกลยุทธจีนนะดีมาก เพราะถ้าจีนไช้แผนตั้งรับต้องแย่แน่ เพราะอเมริกา มีรถถัง ปืนไหญ่ และเครื่องบินจำนวนมาก ส่วนจีนมีแต่ปืนกล ปืนไรเฟิล และ ปืนครก และที่จีนโจมตี ไม่ไช่เพราะไครเป็นเพราะแมคอาเทอร์ครับ แมคอาเทอร์สั่งไห้ทิ้งระเบิดไส่จีน โทษฐานที่ส่งความช่วยเหลือไห้เกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐบาลจีนขอไห้หยุดแล้วก็ไม่ยอม คิดว่ากองทัพจีนเป็นกองทัพขยะ แถมตอนบุกก็ดันรักสบาย บุกไปทางถนนที่มีอยู่เส้นเดียว จีนมันก็ดักได้อะสิ พอสุ้แพ้ก็ขอไห้ทิ้งนิวเคลียร์อีก ไม่สนหัวอกประชาชนตาดำๆเลยแย่มาก ดีที่ไอเซนฮาวด์ไม่ยอม ส่วนรัสเซีย ไม่เคยมีทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 ทางยุทธศาสตร์ แต่อาจจะเหนือกว่า 10 ต่อ 1 จริง ณ จุดเข้าตี แต่ก็น่าจะน้อยครั้งมากที่จริงทหาร รัสเซีย 3 คน ก็เอาชนะทหารเยอรมัน 2 คนได้ในฤดูร้อน เช่นที่เคิร์ก การเหนือกว่าณ จุดเข้าตีไม่ได้หมายความว่าจะส่งทหารไปตายเท่าไรก็ได้ ตรงข้ามมันจะทำไห้สูญเสียทหารในการตีน้อยที่สุด เช่นเรามีปืนไหญ่ รถถัง และเครื่องบิน เหนือกว่า ณ จุดเข้าตี เราก็ทิ้งระเบิดกับยิงปืนไหญ่ปูพรม แล้วค่อยส่งกองรถถังไปยึด จะทำไห้เสียทหารน้อยกว่าที่เราส่งกำลังรบไปก้ำกึ่งกับฝ่ายตรงข้ามและต้องรบยืดเยื้อ นอกจากเราตีจุดที่มั่นไห้หักแล้ว ยังควรขยายผลการรบอีก คือ ต้องโอบล้อมกองกำลังศัตรู หรือทลวงไปไห้ลึกที่สุด ก่อนที่ศัตรูจะสร้างแนวตั้งรับขึ้นมาไหม่ บลิซครีก หรือ ดีพ แบทเทิ่ล ก็ไช้หลักการนี้ คุณมะขึ่นที่อ่านข้อความของคุณมา น่าจะศึกษาวิชาทหารมารึเปล่าครับ เพราะหลักการตั้งรับแบบหน่วงค่อนข้างละเอียดมาก ของผมจะอ่านๆจากประวัติศาสตร์และวิเคราะห์เอาเองนะครับ ไม่ได้เรียนมาเฉพาะ การบุกต้องเหนือกว่า 3 ต่อ 1 เป็นหลักกว้างๆทางการทหารนะครับ ว่าการบุกต้องไช้กำลังคนเข้าเพื่อชดเชยการเสียเปรียบทางชัยภูมิ แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น ทหารคุณเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นทหารราบ ก็ไม่ควรบุกเพราะจะโดนปืนกลหรอยหมด แต่ถ้าคุณมีทหาร 1 ต่อ 1 ต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ครองอากาศมีปืนไหญ่และรถถัง ก็บุกได้ โดยทิ้งระเบิดปูพรมกดดันไห้ถอย แล้วเราเอากองรถถังดาหน้าไปพร้อมทหารราบก็พอไหว ชัยภูมิฝ่ายตั้งรับก็สำคัญ เช่นแนวป้องกันถูกสร้างมานาน รวมทั้งมีการพรางที่ดี เช่นอิโรจิม่า อันนี้บุกยากมาก ขนาดอเมริกามี 5ต่อ1 เหนือกว่าทั้งกำลังทางอากาศ รถถัง และปืนไหญ่ยังยาก ที่ว่าเหนือกว่า 3 ต่อ 1 หมายถึงเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีนะครับ คือ ต่อไห้คุณมีทหารน้อยกว่า แต่คุณลวงฝ่ายตรงข้ามว่าจะตีจุด a แล้วตีจริงจุด b ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังป้องกันจุด b น้อยมากคุณก็เหนือกว่า ณ จุดเข้าตีได้ มองโกล เยอรมัน หรือโซเวียต อเมริกา ก็ไช้กลยุทธลวงเพื่อความเหนือกว่า ณ จุดเข้าตีทั้งนั้น ส่วนอเล็กซานเดอร์เป้นการรบในที่โล่งครับ ไม่ได้เป็นการตีหักแนวตั้งรับ ที่ว่าจีนกับรัสเซียไช้ทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 เป็นประวัติศาสตร์ยุคสงครามเย็นนะครับ มีจุดประสงค์เพื่อดีสเครดิต ที่จริง ตอนสงครามเกาหลี จีนเป็นต่อแค่ 2 ต่อ 1 แถมยังถูกหิมะกัดทั้งทัพเพราะอุปกกรณ์ฤดูหนาวไม่พอ แต่ไช้การพรางและการรบกลางคืน โจมตีหลายๆทางสร้างความประหลาดใจไห้ทหารอเมริกัน เปิดการรบไห้เกิดขึ้นระยะประชิดที่สุด มีการดักทางหนี พออเมริกาหนีพ้น จีนก็ไช้กลยุทธซ้ำเดิมอีกครั้ง ที่จริงกลยุทธจีนนะดีมาก เพราะถ้าจีนไช้แผนตั้งรับต้องแย่แน่ เพราะอเมริกา มีรถถัง ปืนไหญ่ และเครื่องบินจำนวนมาก ส่วนจีนมีแต่ปืนกล ปืนไรเฟิล และ ปืนครก และที่จีนโจมตี ไม่ไช่เพราะไครเป็นเพราะแมคอาเทอร์ครับ แมคอาเทอร์สั่งไห้ทิ้งระเบิดไส่จีน โทษฐานที่ส่งความช่วยเหลือไห้เกาหลีเหนือ ซึ่งรัฐบาลจีนขอไห้หยุดแล้วก็ไม่ยอม คิดว่ากองทัพจีนเป็นกองทัพขยะ แถมตอนบุกก็ดันรักสบาย บุกไปทางถนนที่มีอยู่เส้นเดียว จีนมันก็ดักได้อะสิ พอสุ้แพ้ก็ขอไห้ทิ้งนิวเคลียร์อีก ไม่สนหัวอกประชาชนตาดำๆเลยแย่มาก ดีที่ไอเซนฮาวด์ไม่ยอม ส่วนรัสเซีย ไม่เคยมีทหารเหนือกว่า 10 ต่อ 1 ทางยุทธศาสตร์ แต่อาจจะเหนือกว่า 10 ต่อ 1 จริง ณ จุดเข้าตี แต่ก็น่าจะน้อยครั้งมากที่จริงทหาร รัสเซีย 3 คน ก็เอาชนะทหารเยอรมัน 2 คนได้ในฤดูร้อน เช่นที่เคิร์ก การเหนือกว่าณ จุดเข้าตีไม่ได้หมายความว่าจะส่งทหารไปตายเท่าไรก็ได้ ตรงข้ามมันจะทำไห้สูญเสียทหารในการตีน้อยที่สุด เช่นเรามีปืนไหญ่ รถถัง และเครื่องบิน เหนือกว่า ณ จุดเข้าตี เราก็ทิ้งระเบิดกับยิงปืนไหญ่ปูพรม แล้วค่อยส่งกองรถถังไปยึด จะทำไห้เสียทหารน้อยกว่าที่เราส่งกำลังรบไปก้ำกึ่งกับฝ่ายตรงข้ามและต้องรบยืดเยื้อ นอกจากเราตีจุดที่มั่นไห้หักแล้ว ยังควรขยายผลการรบอีก คือ ต้องโอบล้อมกองกำลังศัตรู หรือทลวงไปไห้ลึกที่สุด ก่อนที่ศัตรูจะสร้างแนวตั้งรับขึ้นมาไหม่ บลิซครีก หรือ ดีพ แบทเทิ่ล ก็ไช้หลักการนี้ คุณมะขึ่นที่อ่านข้อความของคุณมา น่าจะศึกษาวิชาทหารมารึเปล่าครับ เพราะหลักการตั้งรับแบบหน่วงค่อนข้างละเอียดมาก ของผมจะอ่านๆจากประวัติศาสตร์และวิเคราะห์เอาเองนะครับ ไม่ได้เรียนมาเฉพาะ ขอบคุณมากครับ ได้ยินว่าทหารจีนเข้าตีในเกาหลีโฉ่งฉ่างเหมือนกัน เห็นที่มิวเซียม USMC มีแตรอันนึงยึดมา เขาว่าทหารจียเป่าโชว์ก่อนเวลาเข้าตี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: INFANTRY - LONG LIVE THE KING ที่ ตุลาคม 05, 2007, 11:08:35 AM ผมติดตามกระทู้นี้มาตั้งแต่ต้น น่าสนใจและได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยครับ
ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ในมุมมองของผม ผิดถูกประการใดลองพิจารณาดูครับ ในการถอย ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวภายใต้ความกดดัน หรือการถอนตัวนอกความกดดัน รวมทั้งการรบหน่วงเวลา จะมีการทำแผนรองรับเสมอ จะอยู่ในรูปของ แผนเผชิญเหตู หรือแผนสมบูรณ์ก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หรือผลลัพย์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การยอมเสียพื้นที่เพื่อแลกกับเวลา การออมกำลังโดยนำกำลังจากพื้นที่หนึ่ง ไปใช้ในอีกพื้นที่หนึ่ง หรือการผละออกจากข้าศึก เป็นต้น ตรงนี้จะเป็นตัวกำหนดรูปของการปฎิบัติ ซึ่งจะมีปัจจัย รายละเอียด และมาตราการควบคุมค่อนข้างมาก ที่สำคัญ ผบช.จะแจ้งให้กำลังพลของตนเองทราบ ถึงรูปแบบของการปฎิบัติ และวัตถุประสงค์ ซึ่งการถอย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ไม่ใช่ การหนี แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามอ่านออก ใช้หน่วยที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง ทำการโอบล้อมก็จบครับ ส่วนในเรื่อง เทียร์อ๊อฟเดอะซัน น่าจะเป็น การถอนตัวภายใต้สภาพความกดดัน โดยใช้เทคนิคของการรบหน่วงเวลาครับ ในเรื่องอัตราส่วนของกำลังที่พวกเราพูดถึง ในทางการทหารคือ อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบครับ การเปรียบเทียบจะกระทำในหลายมิติ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นรูปธรรม โดยมีค่าของการเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน ที่เป็นรูปธรรม จะเปรียบเทียบหน่วยกำลังรบต่อหน่วยกำลังรบ หน่วยสนับสนุนการรบต่อหน่วยสนับสนุนการรบด้วยกัน ที่ไม่เป็นรูปธรรม เช่น สภาพขวัญของกำลังรบ ความสามารถของกำลังรบและตัวผบช. เป็นต้น ไม่ใช่การเปรียบเทียบเป็นจำนวนคนอย่างที่เข้าใจ อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบ เป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นตัวกำหนดรูปแบบการปฎิบัติของหน่วย ดังนั้นจะต้องกระทำอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบเทียบผิด หรือไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง ก็จะส่งผลเสียต่อการรบ และเราก็เห็นมาแล้วในหลายสมรภูมิ จะเห็นได้ว่า ในบางการรบ ฝ่ายที่มีกำลังพลน้อยกว่า แต่สามารถเอาชนะในการรบได้ เนื่องจากชดเชยด้วยอำนาจกำลังรบในส่วนอื่น ด้วยความเคารพครับ..... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 05, 2007, 12:49:01 PM ผมถึงไม่กล่าวอย่างละเอียดไง สำหรับหลักการรบด้วยวิธีร่นถอย..............เพราะถ้ากางตำรากันก็ปึกใหญ่ๆ เป็นสิบเล่ม.............ถ้านั่งถกปัญหาวางแผนกันก็เป็นวันๆ
เอามาเสนอในบอร์ดก็พิมพ์กันมือหงิก..............และต้องลงรายละเอียดลึกมาก ถกกันแค่ อำนาจกำลังรบทั้งสองฝ่าย ก็หัวบานแล้ว............ เอาคร่าวๆ พอรู้เป็นน้ำจิ้มกันก็พอ อย่งตัวอย่างของท่านทหารราบนี้.............เป็นแค่กระบวนการวิเคราะห์ภารกิจการรบแบบวิธีร่นถอยเล็กๆน้อยๆ เป็น"สังเขป"เท่านั้น ซึ่งถ้ายกมาหมด ท่านทหารราบพิมพ์มือหงิกแน่ๆ ผมติดตามกระทู้นี้มาตั้งแต่ต้น น่าสนใจและได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยครับ ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ในมุมมองของผม ผิดถูกประการใดลองพิจารณาดูครับ ในการถอย ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวภายใต้ความกดดัน หรือการถอนตัวนอกความกดดัน รวมทั้งการรบหน่วงเวลา จะมีการทำแผนรองรับเสมอ จะอยู่ในรูปของ แผนเผชิญเหตู หรือแผนสมบูรณ์ก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หรือผลลัพย์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การยอมเสียพื้นที่เพื่อแลกกับเวลา การออมกำลังโดยนำกำลังจากพื้นที่หนึ่ง ไปใช้ในอีกพื้นที่หนึ่ง หรือการผละออกจากข้าศึก เป็นต้น ตรงนี้จะเป็นตัวกำหนดรูปของการปฎิบัติ ซึ่งจะมีปัจจัย รายละเอียด และมาตราการควบคุมค่อนข้างมาก ที่สำคัญ ผบช.จะแจ้งให้กำลังพลของตนเองทราบ ถึงรูปแบบของการปฎิบัติ และวัตถุประสงค์ ซึ่งการถอย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ไม่ใช่ การหนี แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามอ่านออก ใช้หน่วยที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง ทำการโอบล้อมก็จบครับ ส่วนในเรื่อง เทียร์อ๊อฟเดอะซัน น่าจะเป็น การถอนตัวภายใต้สภาพความกดดัน โดยใช้เทคนิคของการรบหน่วงเวลาครับ ในเรื่องอัตราส่วนของกำลังที่พวกเราพูดถึง ในทางการทหารคือ อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบครับ การเปรียบเทียบจะกระทำในหลายมิติ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นรูปธรรม โดยมีค่าของการเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน ที่เป็นรูปธรรม จะเปรียบเทียบหน่วยกำลังรบต่อหน่วยกำลังรบ หน่วยสนับสนุนการรบต่อหน่วยสนับสนุนการรบด้วยกัน ที่ไม่เป็นรูปธรรม เช่น สภาพขวัญของกำลังรบ ความสามารถของกำลังรบและตัวผบช. เป็นต้น ไม่ใช่การเปรียบเทียบเป็นจำนวนคนอย่างที่เข้าใจ อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบ เป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นตัวกำหนดรูปแบบการปฎิบัติของหน่วย ดังนั้นจะต้องกระทำอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบเทียบผิด หรือไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง ก็จะส่งผลเสียต่อการรบ และเราก็เห็นมาแล้วในหลายสมรภูมิ จะเห็นได้ว่า ในบางการรบ ฝ่ายที่มีกำลังพลน้อยกว่า แต่สามารถเอาชนะในการรบได้ เนื่องจากชดเชยด้วยอำนาจกำลังรบในส่วนอื่น ด้วยความเคารพครับ..... อยากคุยกันเรื่องยุทธวิธีมันๆ นัดมาสิครับ ทานข้าวกัน ........ รับรองคุยกันได้ทั้งคืน ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 05, 2007, 12:57:20 PM ผมถึงไม่กล่าวอย่างละเอียดไง สำหรับหลักการรบด้วยวิธีร่นถอย..............เพราะถ้ากางตำรากันก็ปึกใหญ่ๆ เป็นสิบเล่ม.............ถ้านั่งถกปัญหาวางแผนกันก็เป็นวันๆ ไปด้วยครับพร้อมยุทธปัจจัย 1 ขวด ;Dเอามาเสนอในบอร์ดก็พิมพ์กันมือหงิก..............และต้องลงรายละเอียดลึกมาก ถกกันแค่ อำนาจกำลังรบทั้งสองฝ่าย ก็หัวบานแล้ว............ เอาคร่าวๆ พอรู้เป็นน้ำจิ้มกันก็พอ อย่งตัวอย่างของท่านทหารราบนี้.............เป็นแค่กระบวนการวิเคราะห์ภารกิจการรบแบบวิธีร่นถอยเล็กๆน้อยๆ เป็น"สังเขป"เท่านั้น ซึ่งถ้ายกมาหมด ท่านทหารราบพิมพ์มือหงิกแน่ๆ ผมติดตามกระทู้นี้มาตั้งแต่ต้น น่าสนใจและได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยครับ ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ในมุมมองของผม ผิดถูกประการใดลองพิจารณาดูครับ ในการถอย ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวภายใต้ความกดดัน หรือการถอนตัวนอกความกดดัน รวมทั้งการรบหน่วงเวลา จะมีการทำแผนรองรับเสมอ จะอยู่ในรูปของ แผนเผชิญเหตู หรือแผนสมบูรณ์ก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ หรือผลลัพย์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น การยอมเสียพื้นที่เพื่อแลกกับเวลา การออมกำลังโดยนำกำลังจากพื้นที่หนึ่ง ไปใช้ในอีกพื้นที่หนึ่ง หรือการผละออกจากข้าศึก เป็นต้น ตรงนี้จะเป็นตัวกำหนดรูปของการปฎิบัติ ซึ่งจะมีปัจจัย รายละเอียด และมาตราการควบคุมค่อนข้างมาก ที่สำคัญ ผบช.จะแจ้งให้กำลังพลของตนเองทราบ ถึงรูปแบบของการปฎิบัติ และวัตถุประสงค์ ซึ่งการถอย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ไม่ใช่ การหนี แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามอ่านออก ใช้หน่วยที่มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่สูง ทำการโอบล้อมก็จบครับ ส่วนในเรื่อง เทียร์อ๊อฟเดอะซัน น่าจะเป็น การถอนตัวภายใต้สภาพความกดดัน โดยใช้เทคนิคของการรบหน่วงเวลาครับ ในเรื่องอัตราส่วนของกำลังที่พวกเราพูดถึง ในทางการทหารคือ อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบครับ การเปรียบเทียบจะกระทำในหลายมิติ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นรูปธรรม โดยมีค่าของการเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน ที่เป็นรูปธรรม จะเปรียบเทียบหน่วยกำลังรบต่อหน่วยกำลังรบ หน่วยสนับสนุนการรบต่อหน่วยสนับสนุนการรบด้วยกัน ที่ไม่เป็นรูปธรรม เช่น สภาพขวัญของกำลังรบ ความสามารถของกำลังรบและตัวผบช. เป็นต้น ไม่ใช่การเปรียบเทียบเป็นจำนวนคนอย่างที่เข้าใจ อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบ เป็นสิ่งสำคัญมาก และเป็นตัวกำหนดรูปแบบการปฎิบัติของหน่วย ดังนั้นจะต้องกระทำอยู่ตลอดเวลา ถ้าเปรียบเทียบผิด หรือไม่ใกล้เคียงความเป็นจริง ก็จะส่งผลเสียต่อการรบ และเราก็เห็นมาแล้วในหลายสมรภูมิ จะเห็นได้ว่า ในบางการรบ ฝ่ายที่มีกำลังพลน้อยกว่า แต่สามารถเอาชนะในการรบได้ เนื่องจากชดเชยด้วยอำนาจกำลังรบในส่วนอื่น ด้วยความเคารพครับ..... อยากคุยกันเรื่องยุทธวิธีมันๆ นัดมาสิครับ ทานข้าวกัน ........ รับรองคุยกันได้ทั้งคืน ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 05, 2007, 01:02:41 PM ขออนุญาตนอกเรื่อง WW II นิดหนึ่ง........
ในเรื่องหลักนิยมการเข้าตีของกองทัพแดงโซเวียต...........ที่ผมกล่าวว่า โซเวียตต้องสถาปนากำลังรบให้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ตั้งแต่ 8- 13 ต่อ 1 นั้น..............เป็นการปรับหลักนิยมของกองทัพแดงในการยุทธแบบ Air Land Battle...........ที่ใช้การจัดกำลังการเข้าตีเป็นระลอก 3-4 ระลอก ซึ่ง ณ เวลานั้น กองทัพโซเวียต มีกำลังรบ ประมาณนี้(อาจคลาดเคลื่อนเพราะผมใช้จำเอา ไม่ได้เปิดตำรา) 151 กองพลทหารราบยานยนต์ 72 กองพล ทหารราบยานเกราะ 54 กองพลรถถัง 13 กองพลเคลื่อนที่ทางอากาศ 64 กองพลปืนใหญ่สนาม 18 กองพลโจมตีทางอากาศ(ฮ.โจมตี) กำลังเหล่านี้หากสนธิเป็นกองทัพสนาม จะจัดลักษณะนี้ คือ 5-6 กองพลทหารราบยานยนต์ 2-3 กองพลทหารราบยานเกราะ 2-3 กองพลรถถัง 3-6 กองพลปืนใหญ่สนาม 1-2 กองพลเคลื่อนที่ทางอากาศ 2-3 กองพลโจมตีทางอากาศ........ต่อ 1 กองทัพสนาม ระลอกการเข้าตีของโซเวียต แบบ Air Land Battle...........หากเข้าตีทหารฝ่ายตรงข้ามหากตั้งรับอยู่ 1 กองพลทหารราบ..............โซเวียตตอนนั้น จะเข้าตีด้วยกำลังอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 2 กองทัพสนาม .........จัดระลอกการเข้าตีไม่ต่ำกว่า 3 ระลอกๆละ 3-4 กองพลแบบต่างๆ........... อเมริกาทราบเรื่องนี้ดี ............ซึ่งขณะนั้น มีการวิเคราะห์แล้วว่า หากโซเวียตเข้าตีอเมริกาๆ จะยันระลอกแรกได้ไม่เกิน 20 นาที.............ฮ.โจมตีแบบ Cobra จึงได้กำเนิดขึ้นและพัฒนาไปถึง Apache ..........และพัฒนาต่อให้ทันสมัยสูงสุด.............เพื่อทำลายยานยนต์ในการเคลื่อนที่ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ข้อมูลนี้ ผมเรียนมาครับ............. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: INFANTRY - LONG LIVE THE KING ที่ ตุลาคม 05, 2007, 01:55:53 PM ขอบคุณพี่มะขิ่นมากครับ....
ด้วยความเคารพครับ.... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 05, 2007, 02:02:57 PM ขอถามพี่ๆ ต่อครับ การประมาณ "อำนาจกำลังรบ" คิดปัจจัยอะไรบ้างครับ? นึกเล่นๆ น่าจะ
1. กำลังคน 2. อำนาจอาวุธ 3. อำนาจการเคลื่อนที่ 4. ความได้เปรียบจากพื้นที่ควบคุม 5. การสนับสนุนจากระยะไกล 6. ระยะเวลาที่จะปฏิบัติการได้ 7. ความพร้อมในการเคลื่อนที่เข้าที่ตั้งใหม่/เข้ารวมกับกองกำลังอื่นๆ ?? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 05, 2007, 03:07:09 PM ขอถามพี่ๆ ต่อครับ การประมาณ "อำนาจกำลังรบ" คิดปัจจัยอะไรบ้างครับ? นึกเล่นๆ น่าจะ 1. กำลังคน 2. อำนาจอาวุธ 3. อำนาจการเคลื่อนที่ 4. ความได้เปรียบจากพื้นที่ควบคุม 5. การสนับสนุนจากระยะไกล 6. ระยะเวลาที่จะปฏิบัติการได้ 7. ความพร้อมในการเคลื่อนที่เข้าที่ตั้งใหม่/เข้ารวมกับกองกำลังอื่นๆ ?? ขอนึกก่อนครับ ........... อำนาจกำลังรบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อำนาจกำลังรบที่มีตัวตน.........ได้แก่ 1. ทหาร.......... การจัดกำลัง 2. อาวุธยุทโปกรณ์........อาวุธต่างๆ ยานยนต์ ยานเกราะ อากาศยาน เรือรบฯลฯ 3. ระบบการส่งกำลังบำรุง ........... อาหาร เสื้อผ้า อุปกรณ์ อาวุธกระสุน วัตถุระเบิด น้ำมัน อะไหล่ ฯลฯ รวมทั้งการขนส่ง และ ระบบการผลิต 4. การติดต่อสื่อสารทั้งปวง 5. ระบบกำลังสำรอง 6. ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำมัน อาหาร อุปกรณ์ต่างๆ 7. ระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศ ฯลฯ อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน..ได้แก่ 1. ขวัญ 2. ขีดความสามารถของตัวทหาร 3. การสนับสนุนร่วมแรงร่วมใจจากประชาชน ฯลฯ ยังไม่รวมชาติพันธมิตรด้วย ............. นึกได้แค่นี้ครับ.......... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 05, 2007, 03:09:02 PM ขอบคุณมากครับพี่มะขิ่น...
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 05, 2007, 07:42:37 PM อเมริกาทราบเรื่องนี้ดี ............ซึ่งขณะนั้น มีการวิเคราะห์แล้วว่า หากโซเวียตเข้าตีอเมริกาๆ จะยันระลอกแรกได้ไม่เกิน 20 นาที.............ฮ.โจมตีแบบ Cobra จึงได้กำเนิดขึ้นและพัฒนาไปถึง Apache ..........และพัฒนาต่อให้ทันสมัยสูงสุด.............เพื่อทำลายยานยนต์ในการเคลื่อนที่ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด
ข้อมูลนี้ ผมเรียนมาครับ............. อาโหน่งครับ หลังจาก อเมริกา ออก apache กับ super cobra แล้วรัสเซียก็ออก ka50 ออกมา ในภารกิจปราบรถถัง รวมทั้งปราบฮ.กันชิบด้วยกัน ah64 มีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 300 km/h(ประมาณ260km/h) ,AH1 super cobra มีความเร็วประมาณ300 km/h แต่ก็มีขนาดเล็ก มีเกราะไม่หนามาก แต่ ka50 มีเกราะหนากันกระสุน 23 mm. ได้ ใช้โรเตอร์สองชุดหมุนสวนทางกันทำให้ไม่ต้องใช้โรเตอร์ท้าย(ฮ.มีจุดอ่อนที่โรเตอร์ท้ายส่วนใหญ่ร่วงก็เพราะโดนยิงที่โรเตอร์ท้าย) ความเร็วสูงสุดในแนวระดับ 310 km/h ความเร็วบินดำ390 km/h ลองดูรูปข้างล่างครับ บึกบึนติดอาวุธได้มากอย่างกับรถถังบินทีเดียวครับ เครื่องยนต์กำลังสูง 2200 hp สองเครื่อง (apache ประมาณ 1700 hp) โดยรัสเซีย ยังยึดหลัก qauntity and qaulity สุดท้าย การที่เน้นจำนวน(อเมริกาจะเน้น คุณภาพ)ทำให้เศรษฐกิจรัสเซียล่มสลายครับ http://www.airforce-technology.com/projects/ka50/specs.html หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 05, 2007, 08:27:13 PM (http://tkfiles.storage.live.com/y1p49Fi4l4A_tcMam4-a4r0-08CYyU_zmjsqMvjK-Jza3ZSDwq5R_WfH3h3riM8mm4tQXCh7lra2dc)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 05, 2007, 09:55:47 PM เรียนท่าน nosta3824382 ครับ...
ยิ่งทราบว่าท่านไม่ได้เรียนมาทางสายนี้โดยตรงยิ่งชื่นชมครับ เคยแอบชมกับท่าน LE ทางหลังไมค์ด้วยครับ...อิ..อิ.. ผมเองก็ชอบอ่านเรื่องเกี่ยวกับ WW II อยู่มาก แต่รู้น้อยกว่าท่าน nosta3824382 อีกมากครับ นำมาวิเคราะห์ไม่ได้อย่างท่านแน่ๆครับ... ยังอยากรบกวนให้เข้ามาคุยกันบ่อยๆแบ่งปันความคิดเห็นและความรู้ต่างๆกับเพื่อนๆครับ... ลืมเรียนให้ทราบเพิ่มอีกหน่อยเกี่ยวกับพี่มะขิ่นครับ... พี่มะขิ่นนอกจากเป็นผู้การทหารบกแล้ว ยังผ่านรร.เสนาธิการมาแล้วครับ... :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ ตุลาคม 05, 2007, 10:22:59 PM 8)ยิ่งอ่านยิ่งมัน....ขอบคุณอาโหน่ง และทุกๆท่านที่นำความรู้มันๆมาให้ได้ศึกษากันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 06, 2007, 02:13:18 AM ขออนุญาตนอกเรื่อง WW II นิดหนึ่ง........ ในเรื่องหลักนิยมการเข้าตีของกองทัพแดงโซเวียต...........ที่ผมกล่าวว่า โซเวียตต้องสถาปนากำลังรบให้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ตั้งแต่ 8- 13 ต่อ 1 นั้น..............เป็นการปรับหลักนิยมของกองทัพแดงในการยุทธแบบ Air Land Battle...........ที่ใช้การจัดกำลังการเข้าตีเป็นระลอก 3-4 ระลอก ซึ่ง ณ เวลานั้น กองทัพโซเวียต มีกำลังรบ ประมาณนี้(อาจคลาดเคลื่อนเพราะผมใช้จำเอา ไม่ได้เปิดตำรา) 151 กองพลทหารราบยานยนต์ 72 กองพล ทหารราบยานเกราะ 54 กองพลรถถัง 13 กองพลเคลื่อนที่ทางอากาศ 64 กองพลปืนใหญ่สนาม 18 กองพลโจมตีทางอากาศ(ฮ.โจมตี) กำลังเหล่านี้หากสนธิเป็นกองทัพสนาม จะจัดลักษณะนี้ คือ 5-6 กองพลทหารราบยานยนต์ 2-3 กองพลทหารราบยานเกราะ 2-3 กองพลรถถัง 3-6 กองพลปืนใหญ่สนาม 1-2 กองพลเคลื่อนที่ทางอากาศ 2-3 กองพลโจมตีทางอากาศ........ต่อ 1 กองทัพสนาม ระลอกการเข้าตีของโซเวียต แบบ Air Land Battle...........หากเข้าตีทหารฝ่ายตรงข้ามหากตั้งรับอยู่ 1 กองพลทหารราบ..............โซเวียตตอนนั้น จะเข้าตีด้วยกำลังอย่างน้อย ไม่ต่ำกว่า 2 กองทัพสนาม .........จัดระลอกการเข้าตีไม่ต่ำกว่า 3 ระลอกๆละ 3-4 กองพลแบบต่างๆ........... อเมริกาทราบเรื่องนี้ดี ............ซึ่งขณะนั้น มีการวิเคราะห์แล้วว่า หากโซเวียตเข้าตีอเมริกาๆ จะยันระลอกแรกได้ไม่เกิน 20 นาที.............ฮ.โจมตีแบบ Cobra จึงได้กำเนิดขึ้นและพัฒนาไปถึง Apache ..........และพัฒนาต่อให้ทันสมัยสูงสุด.............เพื่อทำลายยานยนต์ในการเคลื่อนที่ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ข้อมูลนี้ ผมเรียนมาครับ............. เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมากครับ ^_^ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 06, 2007, 05:44:34 AM ภาพวาดการโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์เช่นกัน เรือที่เห็นเป็นเรือพิฆาตของอเมริกาที่ตกเป็นเป้าการโจมตี
(http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819015.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 06, 2007, 05:54:19 AM เรียนท่าน nosta3824382 ครับ... ยิ่งทราบว่าท่านไม่ได้เรียนมาทางสายนี้โดยตรงยิ่งชื่นชมครับ เคยแอบชมกับท่าน LE ทางหลังไมค์ด้วยครับ...อิ..อิ.. ผมเองก็ชอบอ่านเรื่องเกี่ยวกับ WW II อยู่มาก แต่รู้น้อยกว่าท่าน nosta3824382 อีกมากครับ นำมาวิเคราะห์ไม่ได้อย่างท่านแน่ๆครับ... ยังอยากรบกวนให้เข้ามาคุยกันบ่อยๆแบ่งปันความคิดเห็นและความรู้ต่างๆกับเพื่อนๆครับ... ลืมเรียนให้ทราบเพิ่มอีกหน่อยเกี่ยวกับพี่มะขิ่นครับ... พี่มะขิ่นนอกจากเป็นผู้การทหารบกแล้ว ยังผ่านรร.เสนาธิการมาแล้วครับ... :D ^_^ ขอบคุณมากครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 06, 2007, 06:31:38 AM เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนักบิน ทร สหรัฐ ชื่อ O'Hare นำเครื่องบินขึ้นต่อสู้กับกลุ่มเครื่องบินทิ้งระเบิด Betty bomber ของญี่ปุ่นที่ตรงเข้ามาโมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Lexington เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ปี 1942
O'Hare ยิงเครื่องบินญี่ปุ่นตก ถึง 5 เครื่องในเวลาไม่ถึง 5 นาที ยังผลให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้รอดพ้นจากการทำลายของญี่ปุ่น และทำให้นักบินผู้นี้ได้รับตำแหน่ง first ace (นักบินรบยอดเยี่ยม) ของกองทัพเรือสหรัฐ ได้รับเหรียญกล้าหาญ Medal of Honor (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819110.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 06, 2007, 01:47:47 PM เรือบรรทุกเครื่องบิน Shoho ของญี่ปุ่น ถูกเครื่องบินรบ TBD สหรัฐ ยิงตอปิโดใส่
Shoho ถูกจมลง ในยุทธนาวี ที่ Coral Sea ซึ่งเป็นสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819211.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 07, 2007, 04:35:24 AM ;D ขุดครับ รอข้อมูลของทุกท่าน แล้วผมจะอ่าน ๆๆๆ กับอ่าน ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 04:53:28 AM สวัสดีครับนายใหม่ ผมชอบประเภทภาพ มีคำอธิบาย
เครื่องบินรบ TBD Devastator ซึ่งได้รับความเสียหาย บินกลับฐานกลางทะเลของตนเอง คือ เรือบรรทุกเครื่องบิน USSYorktown ในภาพ เครื่องบินกำลังร่อนลงจอด (landing) (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819260.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ramsjai ที่ ตุลาคม 07, 2007, 07:51:54 AM ค่อยๆอ่าน ทำความเข้าใจทีละน้อยค่ะ ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ ตุลาคม 07, 2007, 08:07:24 AM ได้ความรู้ดี.อ่านแล้วสนุก..ขอบคุณทุกท่านครับ.. ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 10:24:49 AM หนู ป้าแรมส์ ชอบเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ
กลุ่มเครื่องบิน Avenger ของสหรัฐ จากเกาะมิดเวย์ถูกยิงโดย เครื่องบิน Zero ของญี่ปุ่น ขณะบินไปโจมตี กองเรือญี่ปุ่น (Japanese fleet) มีเพียง Avenger ลำเดียวจากหกลำ ที่ได้กลับบ้าน (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819335.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ ตุลาคม 07, 2007, 11:06:26 AM ป๋ารูญคล่องมากครับ...สมแล้วที่เกิดทันในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ครับ ;D ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 04:22:32 PM ศึกบัลจ์หรือ Battle of the Bulge นั้นเป็นการรุกครั้งใหญ่ของเยอรมันเรียกว่าเป็นการเข้าตีตอบโต้แบบเทหมดกระเป๋าของเยอรมันเลยทีเดียว เป็นความคิดของฮิตเล่อผู้ยังยึดติดแต่ภาพความสำเร็จในอดีตและคิดว่าการรบด้วยวิธีรุกจะกอบกู้สถานการของเยอรมันในขณะนั้นที่กำลังจะร่วงเต็มทีแล้ว และฮิตเล่อเชื่อว่าการรุกครั้งนี้จะทำให้ฝ่ายพันธมิตรเกิดการแตกแยกกันเอง(อเมริกันกับอังกฤษซึ่งมักจะปีนเกลียวกันเองในระดับสูงๆ)ซึ่งฮิตเล่อคิดว่ามันจะเป็นเหมือนในสมัยของพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราช แผนปฏิบัติการครั้งนี้ในตอนแรกมีชื่อว่า"แผนพิทักษ์ไรน์" มีแม่ทัพนายกองหลายคนของฮิตเล่อคัดค้านต่อแผนการซึ่งไม่อยู่ในหลักความเป็นจริงดังกล่าว โดยพยายามขอให้เปลี่ยนจากการเข้าตีแบบเต็มตัวเทกระเป๋า เป็นการเข้าตีแบบจำกัดเขตเพื่อเป็นการดึงความสนใจและเป็นการลดแรงกดดันต่อแนวต้านทานหลักของเยอรมัน แต่ฮิตเล่อไม่ยอมและดึงดันที่จะปฏิบัติการดังกล่าวให้ได้
.......ศึกบัลจ์ เป็นการตีเจาะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของเยอรมัน โดยเยอรมันพยายามที่จะเข้าตีเจาะผ่านป่าอาร์เดนเข้าสู่อันทเวิร์ป เฉกเช่นเมื่อคราวเยอรมันเปิดศึกรุกเข้าสู่ประเทศต่ำในตอนต้นของการเปิดฉากสงคราม โดยฮิตเล่อมั่นใจหนักหนาว่าถ้าสามารถเข้าสู่อันทเวิร์ปได้แล้วจะทำให้เยอรมันพลิกกลับสถานการจากการใกล้แพ้มาเป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง โดยฮิตเล่อไม่ได้คิดเลยว่าในขณะนั้นความแข็งแกร่งของกองทัพเยอรมันและข้าศึกต่างจากตอนต้นของสงครามมากเหลือเกิน ......แผนการครั้งนี้ของเยอรมันมีข้อจำกัดหลายอย่าง เยอรมันเลือกเวลาในช่วงที่ในยุทธบริเวณมีสภาพอากาศปิดเพราะเครื่องบินของพันธมิตรจะไม่สามารถขึ้นปฏิบัติการได้(เพราะในขณะนั้น ลุฟวัฟเฟ่ หรือกองทัพอากาศเยอรมันพินาศเกือบหมดแล้ว การเข้าตีของเยอรมันครั้งนี้ปราศจากการสนับสนุนทางอากาศ) ดังนั้นเยอรมันจะต้องรุกให้เร็วที่สุดก่อนที่สภาพอากาศจะเปิดจนเครื่องบินพันธมิตรสามารถขึ้นปฏิบัติการได้ .......ศึกบัลจ์เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ธันวา 1944 ถึง 28 มกรา 1945 โดยแผนการเข้าตีเจาะครั้งมโหฬารโดยคร่าวๆมีดังนี้ การเข้าตีประกอบด้วย 3 กองทัพ โดยมี จอมพล วอลเธอร์ โมเดล เป็นแม่ทัพใหญ่ในแผนครั้งนี้ 3 กองทัพดังกล่าวประกอบไปด้วย กองทัพรถถังที่ 6 มีนายพลโจเซฟ ดีทริช เป็นแม่ทัพจะเป็นหน่วยเข้าตีหลัก กองทัพรถถังที่ 6 ประกอบไปด้วย กองพลรถถัง 4 กองพล และกองพลทหารราบ 5 กองพล ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นหน่วยเอสเอสชั้นนำและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นเลิศ กองทัพรถถังที่ 6 ตามแผนถูกกำหนดให้เข้าตีจากมอนล์ชอจนถึงช่องลอสเฮม(ช่องลอสเฮมนี้เป็นประตูโบราณที่เปิดจากตะวันออกมาตะวันตก เยอรมันเคยเข้าตีผ่านมาแล้ว 3 ครั้งคือในปี 1870 1914 และ 1940 ซึ่งในศึกบัลจ์นี้ก็จะเป็นครั้งที่ 4 ที่เยอรมันจะเข้าตีผ่านช่องทางดังกล่าว ซึงก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเยอรมันจะเข้าตีผ่านอีกเป็นครั้งที่ 4 ถ้าเปรียบเป็นประเทศไทยก็คงประมาณ ด่านพระเจดีย์ 3 องค์ ที่พม่าเคยเข้าตีผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง) เคลื่อนที่ข้ามสันเขา เอลเสนบอร์น มุ่งเข้าสู่อันทเวิร์ป .....ในส่วนทางปีกซ้าย(หรือด้านใต้)ของนายพลดีทริช จะเป็น กองทัพรถถังที่ 5 มี นายพล บารอน ฮัสโซ ฟอน มานตูฟเฟล เป็นแม่ทัพ ประกอบกำลังด้วย 3 กองพลรถถัง และ 3 กองพลทหราราบ ที่หมายของ มานตูฟเฟล มี 2 แห่ง โดย กองพลทหารราบ 1 กองพลทางปีกขวาจะเข้าทำการปิดล้อม สันเขา ชนีไอเฟล(ซึ่งที่นี้ 2 กรมของกองพลทหารราบที่ 106 ของอเมริกันถูกปิดล้อมและก็ยอมจำนนในที่สุด)ที่ยื่นเข้ามาในแนว ส่วนกองพลที่เหลือทั้งหมดจะรุกผ่านทางด้านใต้ของชนีไอเฟลและรุกไปยัง กรุงลักเซมเบิร์ก ......ทางด้านปีกซ้ายของ มานตูฟเฟลจะเป็น กองทัพที่ 7 มี นายพล เอินสท์ แบรนเดนเบอร์เกอร์ เป็นแม่ทัพ กองทัพที่ 7 เป็นกองทัพที่เบาที่สุดและส่วนใหญ่เป็นกองพลทหารราบ ได้รับภารกิจให้ยึดพื้นที่บริเวณเมืองฟิอองดัง และเอคเตอร์นัค แล้วผลักดันไปทางตะวันตก เพื่อป้องกันปีกซ้ายของมานตูฟเฟลและป้องกันการเข้าตีจากทางด้านใต้ของแพตตันซึ่งอาจจะวกขึ้นมาก็ได้ นอกจาก 3 กองทัพใหญ่แล้ว ยังมีกองกำลังอีก 2 กองกำลังที่เป็นกองกำลังปฏิบัติการพิเศษเพื่อสนับสนุนแผนดังกล่าว กองกำลังแรกคือ กองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษของ พันโท ออตโต สกอเซนี คอมมานโดคนโปรดของฮิตเล่อผู้ซึ่งเคยนำกำลังเข้าจู่โจมชิงตัว มุสโซลินี เพื่อนรักของฮิตเล่อมาแล้ว กองพลน้อยพิเศษของ สกอเซนี่ จะปฏิบัติการตามแผนที่มีชื่อว่า "ไกรฟ์" โดยจะทำการปลอมแปลงเป็นทหารอเมริกันแต่งเครื่องแบบทหารอเมริกันใช้รถของอเมริกัน เล็ดลอดเข้าทำงานหลังแนวอเมริกัน โดยจะทำการแพร่ข่าวลือ ส่งคำสั่งปลอม สลับป้ายบอกทางต่างๆ เพื่อทำความสับสนและความตื่นตระหนกให้กับกองทัพอเมริกัน และกองกำลังพิเศษอีก 1 กองกำลังคือ กองกำลังพลร่มของ พันโท ไฟรดริค ออกัส บารอน ฟอน เดอร์ไฮดท์ โดยพลร่มดังกล่าวตามแผนจะโดดลงบริเวณใกล้ทางแยก บาราค มิเชล ทางด้านเหนือของเมืองมัลเมดี ประเทศ เบลเยี่ยม เพื่อสนับสนุนการเข้าตีของ กองทัพรถถังที่ 6 ของดิทริชที่เป็นกองทัพหลัก ........การปฏิบัติการตามแผน"พิทักษ์ไรน์" หรือ "ไครส์โรส"นั้นในการปฏิบัติแล้วประสบกับปัญหามากมายทำให้หัวใจหลักสำคัญคือความรวดเร็วไม่ประสบความสำเร็จ หลายกองพลของเยอรมันถูกสกัดกั้น ทำให้การรุกหยุดชงัก กองทัพรถถังที่ 6 ของ ดิทริช ชงักงันไม่สามารถรุกฝ่าไปตามแผนได้ ทำให้ต้องปรับแผนใหม่โดยกองทัพรถถังที่ 6 ต้องย้ายมาเคลื่อนที่ผ่านทางช่องที่ กองทัพรถถังที่ 5 ของมานตูฟเฟลได้เจาะไว้แทน และพลจากการที่ กองทัพรถถังที่ 6 ไม่สามารถเจาะช่องผ่านไปได้ก็ส่งผลให้แผนปฏิบัติการ"ไกรฟ์"ของ สกอเซนี่ที่จะแทรกซึมผ่านทางช่องที่เจาะโดยกองทัพรถถังที่ 6 ไม่สามารถกระทำได้จำต้องแปรสภาพมาเป็นกองพลน้อยเข้ารบตามแบบ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีชุดปฏิบัติการของสกอร์เซนี่เพียงไม่กี่ชุดสามารถแทรกซึมเข้าปฏิบัติการได้ และประสบผลสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยชุดปฏิบัติการเพียงไม่กี่ชุดสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวอเมริกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ หน่วยพลร่มของ ฟอนเดอร์ไฮดท์ ประสบความล้มเหลวในการส่งลง เนื่องจากความใหม่ของนักบินเยอรมัน ฝูงบินลำเลียงที่บินในเวลากลางคืนจำต้องเปิดไฟเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะชนกันเองได้ และจากการเปิดไฟทำให้ถูกกลุ่ม ปตอ. ยิงอย่างนัก นับบินระส่ำระส่าย ไม่สามารถส่งลงพลร่มได้ตาม ดีซี(DZ:Drop Zone) ที่กำหนดไว้ ซ้ำร้ายบางลำถูก ปตอ.ไล่ยิงแตกออกจากฝูงแล้วไปปล่องพลร่มลงในเขตเยอรมันเองด้วยความเข้าใจผิด สุดท้าย หน่วยพลร่มดังกล่าว มีเพียงไม่กี่นายที่สามารถลงได้ตรงตามจุดที่กำหนด แต่ก็มีไม่มากพอที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ .......หน่วยที่เจาะเข้าไปได้ไกลที่สุดคือ กรมรบของ พันโท โจเชน ไปเปอร์ ซึ่งไปได้ไกลเกือบถึงลำน้ำเมิร์ส แต่เพราะขาดการส่งกำลังบำรุงทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำมันและกระสุน ตลอดจนหน่วยของเขาถูกตีตัดและโดนโอบล้อม จึงทำให้ไม่สามารถรุกต่อไปได้ จำต้องถอนตัวออกมาโดยละทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์หนักทั้งหมดเพราะไม่สามารถนำออกมาด้วยได้ .......บาสตอง เป็นเมืองเมืองหนึ่งซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่เยอรมันต้องการ เพราะบาสตองเป็นศูนย์รวมของถนนหลัก 5 สายซึ่งเยอรมันต้องการเป็นที่สุด อเมริกันก็เห็นความสำคัญของเมืองดังกล่าวเช่นกัน จึงจำต้องรีบส่ง กองพลส่งทางอากาศที่ 101 ซึ่งเป็นกองหนุนทางยุทธศาสตร์อยู่ในขณะนั้นและกำลังพักผ่อนปรับกำลังอยู่ กองพลส่งทางอากาศที่ 101 ถูกเรียกตัวเข้าสู่การรบโดยด่วน โดยนั่งรถเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์เพื่อเข้าสู่แนวตั้งรับที่เป็นยุทธศาสตรืสำคัญคือ เมืองบาสตอง นั่นเอง กองพลส่งทางอากาศที่ 101 สามารถเข้าสู่เมืองบาสตองได้ชนิดที่ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะเป็นการตัดหน้าเยอรมันเพียงนิดเดียวทำให้อเมริกันสามารถเข้าสู่เมืองบาสตองได้ก่อนเยอรมัน กองทัพเยอรมันโหมเข้าตีอย่างหนักต่อบาสตองแต่ก้ไม่สามารถหักเอาได้สุดท้ายจึงอ้อมผ่านไปก่อนจึงทำให้บาสตองถูกปิดล้อมมีสภาพกลายเป็นเกาะอยู่กลางคลื่นกองทัพเยอรมันทันที แต่ด้วยการป้องกันอย่างเหนี่ยวแน่นของกองกำลังที่ป้องกันเมืองบาสตองอยู่ซึ่งประกอบไปด้วย กองพลส่งทางอากาศที่ 101 เป็นส่วนใหญ่และมีทหารพลัดหน่วยที่ถูกตีแตกมากระจัดกระจายถอยร่นมายังบาสตองด้วยอีกจำนวนหนึ่ง มีเหตุการสำคัญเหตุการหนุ่งซึ่งเราน่าจะรู้จักกันดี คือ การที่นายพล แมคออลิฟ ส่งคำตอบการยื่นขอเสนอให้อเมริกันที่ตั้งรับอยู่ในบาสตองยอมจำนนของเยอรมันไปว่า "ไอ้บ้า" นั่นเอง ........จนแล้วจนรอดเยอรมันก็ไม่สามารถโหมหักเอาเมืองบาสตองได้ ......ในวันที่ 1 มกรา 1945 เยอรมันได้เปิดการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่โดยหมายจะสลายพลังทางอากาศของพันธมิตร เครื่องบินพันธมิตร 200 กว่าลำและสนามบินหลายแห่งเสียหายยับเยินแต่เยอรมันเองก็ต้องแรกด้วยราคาแพงเช่นกัน โดย ลุฟวาฟเฟ่ เสียเครื่องบินไป 300 กว่าลำรวมทั้งนักบินมือดีด้วย ........การยุทธได้ยืดเยื้อโดยที่เยอรมันไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เยอรมันไม่สามารถรุกเข้าสู่อันทเวิร์ปได้ตามต้องการ อเมริกันสามารถตั้งตัวทัน กองทัพของแพตตันวกขึ้นเหนือเพื่อตีตัดการเจาะของเยอรมัน สภาพอากาศดีขึ้น เครื่องบินพันธมิตรสามารถขึ้นปฏิบัติการได้เต็มรูปแบบ ส่งผลให้กองทัพเยอรมันหมดหวังในการเข้าสู่อันทเวิร์ปและเริ่มถอนตัวออกด้วยความสูญเสียอย่างหนัก ........หลังจากศึกบัลจ์แล้วเยอรมันไม่เคยรุกอีกเลยและแนวตั้งรับก็อ่อนแอจากการที่สูญเสียอย่างหนักจากการรุกดังกล่าว ทำให้พันธมิตรสามารถรุกได้อย่างรวดเร็ว และเยอรมันก็พ่ายแพ้ในเวลาอีกไม่กี่เดือนต่อมา ...............มีภาพยนต์เรื่องหนึ่งเป็นภาพยนต์เก่า เนื้อหาเกี่ยวกับการยุทธครั้งนี้มีชื่อไทยว่า"รถถังประจัญบาน" ส่วนชื่อภาษาอังกฤษน่าจะเป็น" Battle of the Bulge " ครับ ลองหาชมกันได้ครับ http://www.thaifighterclub.org/article_detail.php?articleid=35 http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_the_Bulge จำได้ว่าตอนหนึ่งในหนัง นายพลเยอรมันเจอเสบียงทหารอเมริกัน เป็นเค้กใหม่ๆก้อนหนึ่ง ในขณะที่ทหารเยอรมันเริ่มอดอยาก นายพลเยอรมันถึงกับออกปากว่า " เราแพ้แล้ว " หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 04:30:05 PM The Red Ball Express was an enormous convoy system created by Allied forces to supply their forces moving through Europe following the breakout from the D-Day beaches in Normandy. The term "Red Ball" was a railroad phrase referring to express shipping.
http://en.wikipedia.org/wiki/Red_Ball_Express Red Ball Express เป็นหัวใจแห่งชัยชนะของ พันธมิตรบนแผ่นดินใหญ่ยุโรป เป็นการปฏิวัติการส่งกำลังบำรุงให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในยุคนั้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ทหารไม่ต้องกินอย่างระมัดระวังอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ยิงแบบไม่ต้องกลัวกระสุนหมดครับ มีแม้กระทั่งเค้ก ซึ่งสามารถสร้างขวัญกำลังใจในการรบได้อย่างมาก (ในสงครามอ่าวเปอร์เชีย จะมีรถ แฮมเบอร์เกอร์แล่นไปจอดบริการทหารตามแนวรบต่างๆในทะเลทราย ขวัญกำลังใจเป็นกำลังรบที่มองไม่เห็นที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอาวุธดีๆเสียอีก) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 04:47:42 PM Tiger II พระเอกในการยุทธแห่ง บัลค์
เกราะใช้เทคโนโลยีโลหะลำสมัยที่สุดดีที่สุดในยุคนั้น จนปัจจุบันนี้ประเทศด้วยพัฒนาหลายๆประเทศยังไม่มีเทคโนโลยีนี้ มีความแข็ง กว่า 60 hrc (แข็งระดับเดียวกับแม่พิมพ์ปั๊มตัวถังรถยนต์ในปัจจุบัน เหล็กกล้าทั่วไปเช่นรางรถไฟ ตัวถังรถแข็งประมาณ20 hrc)เกราะหนาสุดถึง 18 cm. ปืนใหญ่รถถังพันธมิตรยากที่จะยิงเข้าถ้าไม่ใช่การจ่อยิงจังๆ หรือโดนสายพาน ผลิตโดยปอร์ช และ เฮนเคล ป้อมผลิตโดย grupp เครื่องยนต์ maybach(ยี่ห้อเดียวกับรถยนต์แพงที่สุดโลกที่ demler benz พึ่งวางตลาด) กำลัง690 แรงม้า น้ำหนัก 70 ตัน(หนักเท่าๆกับรถถังยุคปัจจุบันอย่าง m1 abrams) จุดอ่อนของ tiger II มีอยู่ที่ระบบช่วงล่างและ เครื่องยนต์มีขนาดเล็กไม่สัมพันธ์กับตัวรถ เวลาวิ่งต้องใช้กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ทำให้ กินน้ำมันมาก ผลิตออกมาได้ทั้งหมดประมาณส่วนใหญ่ในการรบ นี่ รถถัง m4 sherman,m26 perching , หรือ t34 ไม่สามารถทำอะไร tiger II ได้มากนักเป็นฝ่ายโดน tiger II ถล่มเสียข้าวเดียวมากกว่า successful against Soviet armor; for example, the 503rd SS Heavy Panzer Battalion (sSSPzAbt 503) scored approximately 500 kills in the period from January to April 1945 on the Eastern Front, for the loss of 45 King Tigers (most of which were abandoned and destroyed by their own crews after mechanical breakdown or for lack of fuel). ตัวอย่างในการรบกับ รัสเซีย tigerII สามารถทำลายรถถังรัสเซียได้ ประมาณ500 คัน และสูญเสีย tigerII เพียง45 คัน ส่วนใหญ่เสียหายจาก เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนขัดข้อง หรือน้ำมันหมดแพ้ภัยตัวเองครับ เกร็ดเล็กน้อยในการยุทธแห่งบัลค์ พอฟ้าเปิด เครื่องบินสัมพันธมิตรออกบินได้ tigerII ก็ต้องหนีไปซ่อนในป่า พอรถถัง m4 แล่นเข้าไปก็โดน tigerII ทำลาย คุณอาสุพินท์เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นอเมริกาพึ่งคิดค้นเทคโนโลยีกระสุนเฉียดระเบิดได้ ก็เลยเอาปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ติดบนรถบรรทุก ระดมยิงกระสุนปตอ.เฉียดระเบิดเข้าไปในป่า เป็นจำนวนมากเท่าที่ red ball express สามารถขนมาให้ได้ซึ่งกระสุนแตกอากาศแม้จะไม่สามารถทำลาย tigerII ได้แต่ก็สร้างความเสียหายให้แก่จุดอ่อนของรถถังเช่น สายพานขับเคลื่อน หรือด้านหลังและด้านข้างตัวรถ ปืนเล็ก เครื่องเล็ง ขวัญกำลังใจ(ลองนึกภาพตัวเองนั่งอยู่ในรถถังแล้วมี เสียงระเบิดตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ว่าจะโดนจังๆเมื่อไหร่สิครับว่ามันเขย่าประสาทขนาดไหน)ทำให้หมดสภาพการรบ หลังจากนั้นก็ค่อยส่งรถถังเข้าไปกวาดล้างครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Tiger_II หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 05:42:40 PM ป๋ารูญคล่องมากครับ...สมแล้วที่เกิดทันในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ครับ ;D ;D เกิดไม่ทันหรอกน้าอุดดี ฟังเขาเล่า เล่าต่อนะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 05:46:53 PM ป๋ารูญคล่องมากครับ...สมแล้วที่เกิดทันในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ครับ ;D ;D คิดว่าลุงรูญคงไม่ประสานักหรอก อาจฟังเขามาเล่าต่อ ตอนนั้นลูงแกอาจแค่ 9-10 ขวบ ..... ไร้เดียงสาอยู่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 05:47:23 PM ยุทธนาวีที่ Midway เครื่องบิน Devastator บังคับเครื่องโดยเรือตรี George "Tex" Gay ปล่อยตอร์ปิโดสังหารพุ่งเข้าชน เรือบรรทุกเครื่องบิน Kaga ของญี่ปุ่น Midway แต่เครื่องบินของเขาได้รับความเสียหายเช่นกัน
เรือตรี Gay จำเป็นต้องนำเครื่องร่อนลงน้ำ เขาลอยคอกลางทะเลอยู่ระยะหนึ่ง และได้รับความช่วยเหลือจากเครื่องบินทะเลในท้ายสุด (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819444.jpg) เหตุการณ์ภายหลัง เครื่องบินของ เรือตรี Gay ปล่อยตอร์ปิโดใส่เรือ Kaga แต่ก็ถูกโจมตีจากเครื่องบิน Zero ของญี่ปุ่นจนได้รับความเสียหายเช่นกัน (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819474.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 05:49:24 PM ป๋ารูญคล่องมากครับ...สมแล้วที่เกิดทันในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ครับ ;D ;D คิดว่าลุงรูญคงไม่ประสานักหรอก อาจฟังเขามาเล่าต่อ ตอนนั้นลูงแกอาจแค่ 9-10 ขวบ ..... ไร้เดียงสาอยู่ ถูกต้องแล้วละลุง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Audy452 ♥ รักในหลวง ที่ ตุลาคม 07, 2007, 05:53:33 PM ป๋ารูญคล่องมากครับ...สมแล้วที่เกิดทันในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ครับ ;D ;D คิดว่าลุงรูญคงไม่ประสานักหรอก อาจฟังเขามาเล่าต่อ ตอนนั้นลูงแกอาจแค่ 9-10 ขวบ ..... ไร้เดียงสาอยู่ ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 06:03:48 PM ลูงปู รู้ไหมว่าการโจมตีชุดแรกของเครื่องบินรบสหรัฐ ในยุทธนาวีที่มิดเวย์
วันที่ 4 มิถุนายน เวลา 10 น. เช้า เครื่องบินทิ้งระเบิด Douglas SBD Dauntless เป็นกลุ่มแรกที่ออกบินโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบินของญี่ปุ่น (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254819584.jpg) น้าอุดดีรู้ไหมว่าจากยุทธนาวีที่มิดเวย์ เครื่องบินสหรัฐ SBD Dauntless ยิงตอปิโดใส่เรือบรรทุกเครื่องบิน Akagi ของญี่ปุ่น ซึ่งกำลังลุกไหม้จากแรงระเบิดจากการโจมตี ก่อนหน้านี้แล้ว (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254820025.jpg) รู้แล้วไปเล่าต่อให้ลูกหลานฟัง ประดับความรู้ คนรู้เรื่องสงครามโลก มีน้อยเสียด้วยซี เป็นคนอื่นไม่เล่าให้ฟังหรอก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 06:14:18 PM 55555 ...... เอาน่า ถือว่าแลกกัน ....... อาจารย์แม่ก๊าบบบบ ....... พี่รูญเรียบร้อยน่ารักมากค่า ...... อิ อิ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 07, 2007, 06:19:34 PM ขอบคุณครับ ลุงปู
ลุงปูรู้ไหมจุดหักของยุทธนาวีที่มิดเวย์ ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่น แม้จะไม่อาจจะถือว่าพ่ายในสงครามครั้งนี้ แต่ก็บอบช้ำมาก เพราะเสียเรือบรรทุกเครื่องบินไปหลายลำ เครื่องบิน SBD Dauntless จิกหัวลงต่ำ เตรียมปล่อยระเบิดเข้าใส่เรือบรรทุกเครื่องบิน Soryu ของญี่ปุ่น (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254820064.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 07:03:22 PM ขอบคุณครับ ลุงปู ลุงปูรู้ไหมจุดหักของยุทธนาวีที่มิดเวย์ ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่น แม้จะไม่อาจจะถือว่าพ่ายในสงครามครั้งนี้ แต่ก็บอบช้ำมาก เพราะเสียเรือบรรทุกเครื่องบินไปหลายลำ เครื่องบิน SBD Dauntless จิกหัวลงต่ำ เตรียมปล่อยระเบิดเข้าใส่เรือบรรทุกเครื่องบิน Soryu ของญี่ปุ่น (http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254820064.jpg) ญี่ปุ่นแพ้เพราะประมาท ตั้งใจว่าจะใช้เครื่องบินทั้งหมดโจมตีมิดเวย์ โดยไม่คิดถึงการป้องกันกองเรือ หากญี่ปุ่นมีซีโร่ สัก 2-3 ฝูงบิน(48 เครื่อง ก็แค่เก็บเครื่องไว้ป้องกันกองเรือ 1 ใน 5 ส่งไปโจมตี 4/5 แต่ญี่ปุ่นกลับคิดแต่จะสร้างความเสียหายให้อเมริกามากที่สุดโดยไม่คิดป้องกันตนเองครับ) อยู่เหนือกองเรือในขณะที่เครื่องบินโจมตีญี่ปุ่นร่อนลงมาติดระเบิดและเติมน้ำมัน ดอนเลสต์ คงเข้าไม่ถึงเรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่นแน่ๆครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 09:38:33 PM รถถัง E100
......รถถังต้นแบบ ที่พัฒนาโดยอาร์แดร นั้น เฉพาะช่วงล่างมีการออกแบบที่คล้ายกับ คิงส์ ไทเกอร์อยู่มาก โดยเฉพาะการจัดวางองค์ประกอบต่างๆท้ายรถ พิกัดน้ำหนักกำหนดที่ 150 ตัน เครื่องยนต์ใช้ของ มายบัด HL230P30 ที่เป็นพื้นฐานเดียวกับ คิงส์ไทเกอร์ มาดัดแปลงและใส่ซุปเปอร์ ชาร์จ ลงไปสามารถเร่งกำลังจาก 900 แรงม้า เป็น 1200 แรงม้าได้ เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้ดีขึ้น จึงใช้สายพานหน้ากว้างตั้ง 1เมตร หากเทียบกับ เมส์ ก็จะหนักน้อยกว่า และเกราะบางกว่า แต่ยังคล่องตัวกว่า โดยเมาส์ทำความเร็วได้แค่ 20ก.ม./ช.ม. ส่วน อี 100 นั้นทำความเร็วได้ 23ก.ม./ช.ม. มีเกียร์เดินหน้า 8เกียร์ โดยยังจะใช้แนวคิดใช้ช่วงล่างติดตั้งปืน 174ม.ม.และ 150 ม.ม.อีกด้วย เกราะด้านข้างทั้ง 6ชิ้นถูกถอดออกขณะขนส่งด้วยรถไฟ เพื่อลดขนาดความกว้างออกไป ให้พอดีกีบขนาดระวางของรถไฟ โดยเกราะแต่ล่ะชิ้นหนาและหนักมากจึงต้องติดตั้งด้วยเครนเพียงสถานเดียว จึงไม่สามารถติดตั้งกลางสนามรบได้ http://www.thaifighterclub.org/webboard.php?action=detailQuestion&questionid=5181&language=1 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 09:40:39 PM สังเกตุดีๆ บริเวณ เหนือห้องพลขับจะพบกับ ระบบกล้องมองกลางคืนที่มีใช้เป็นรุ่นแรกๆ มีประกอบด้วย2ส่วนคือ แหล่งกำเนิดแสงอินฟาเรดและตัวกล้องรับภาพ ซึ่งภายในจะประกอบด้วยเลนส์และฟิลเตอร์หลายชั้น ก่อนแปลง คลื่นแสงเหล่านี้ผ่านระบบไฟฟ้า ออกมาปรากฎในจอภาพขนาดเล็ก ประมาณบรรพบุรุษทีวี จอแก้วนั้นเอง
http://www.thaifighterclub.org/webboard.php?action=detailQuestion&questionid=5181&language=1 http://en.wikipedia.org/wiki/Entwicklung_series หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 07, 2007, 09:44:04 PM German armored fighting vehicles of World War II
Tanks Panzer I Panzer II Panzer III Panzer IV Panther Tiger I, II Panzer 35(t) Panzer 38(t) Self-propelled artillery Wespe Hummel Grille Panzerwerfer sIG 33 Wurfrahmen 40 Assault guns StuG III StuG IV StuH 42 Brummbär Sturmtiger Tank destroyers Panzerjäger I Marder I , II , III Hetzer Jagdpanzer IV Jagdpanther Nashorn Jagdtiger Elefant Half-tracks SdKfz 2 4 6 7 10 11 250 251 252 253 254 Armored cars Sdkfz 221/22/23 Sdkfz 231/32/34/63 ADGZ Self-propelled anti-aircraft guns Flakpanzer IV: Möbelwagen, Wirbelwind, Ostwind, Kugelblitz Flakpanzer 38(t) Prototypes Maus E- series Panther II Waffenträger Neubaufahrzeug Sturer Emil Proposed designs Panzer VII 'Löwe' Panzer IX Panzer X Ratte Monster German armored fighting vehicle production during World War II http://en.wikipedia.org/wiki/Entwicklung_series ถ้าจะดูรายละเอียดเข้าไปที่ link นี้แล้ว click ที่ชื่อรถถังแต่ละแบบได้เลยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 08, 2007, 07:21:56 AM เครื่องบิน Marine F-4F ของสหรัฐเข้าโรมรันกับเครื่องบิน Zero ของญี่ปุ่น เหนือทุ่งเฮ็นเดอร์สัน (Henderson Field) ในการรบที่ กัวดาคะเนล (Guadalcanal บนเกาะโซโลมอน) ปี ค.ศ 1942
(http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254820133.gif) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 09, 2007, 03:12:02 AM :~) อ่านโพส Battle of the Bulge ของคุณ nars แล้วตาลาย :~)
:~) รบกวนใส่ย่อหน้าให้หน่อยได้หรือเปล่าครับ :~) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 09, 2007, 03:42:31 AM หลังจากเครื่องบิน Wildcat ถูกโจมตีโดยเครื่องบิน Zero ของญี่ปุ่น นาวาเอก Joseph Foss แห่ง นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา นำเครื่อง F4F ไล่ตามประชิด เครื่องบินญีปุ่นแล้วเปิดฉากยิงใส่ ส่งผลให้เครื่องบิน Zero ระเบิดกลางอากาศ นักบินญี่ปุ่นดีดตัวออกจากเครื่อง
(http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254820290.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 10, 2007, 01:46:09 PM The Red Ball Express was an enormous convoy system created by Allied forces to supply their forces moving through Europe following the breakout from the D-Day beaches in Normandy. The term "Red Ball" was a railroad phrase referring to express shipping. กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ ว่าแต่ไหน ๆ ก็วกมาเรื่องกินแล้ว รบกวนช่วยเล่าขยายถึงภารกิจของหน่วยนี้อีกซักนิดครับ เรื่องยุทธวิธีคงต้องถามพี่มะขิ่นเพราะผมไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เรื่องประวัติศาสตร์ผมอาจไม่เก่งเท่าพี่nosta3824382 ผมไม่ช่างค้นคว้าและสนใจในสงครามโลกเหมื่อนพี่ L/E หรือพี่ nar แต่เรื่องกินผมว่าผมชำนาญไม่เป็นรองใครคนหนึงละ ::008::http://en.wikipedia.org/wiki/Red_Ball_Express Red Ball Express เป็นหัวใจแห่งชัยชนะของ พันธมิตรบนแผ่นดินใหญ่ยุโรป เป็นการปฏิวัติการส่งกำลังบำรุงให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดในยุคนั้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ทหารไม่ต้องกินอย่างระมัดระวังอิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง ยิงแบบไม่ต้องกลัวกระสุนหมดครับ มีแม้กระทั่งเค้ก ซึ่งสามารถสร้างขวัญกำลังใจในการรบได้อย่างมาก (ในสงครามอ่าวเปอร์เชีย จะมีรถ แฮมเบอร์เกอร์แล่นไปจอดบริการทหารตามแนวรบต่างๆในทะเลทราย ขวัญกำลังใจเป็นกำลังรบที่มองไม่เห็นที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอาวุธดีๆเสียอีก) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 10, 2007, 01:57:21 PM กัปตัน Joe Foss แห่งนาวิกโยธินสหรัฐ นำกลุ่มเครื่องบิน Wildcat แปดลำ เข้าปะทะกับเครื่องบินทิ้งระเบิด Betty ของญี่ปุ่น Joe สร้างสถิติยิงเครื่องบินญี่ปุ่นตกเป็นลำที่ 20 หลังจากนั้นก็ได้ยิงเครื่องบิน Betty และ Zero ตกอีกอย่างละลำ
(http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254820434.gif) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 10, 2007, 11:07:11 PM เจ้าหน้าที่บนเรือ USS Hornet ยิงปืนต่อสู้อากาศยาน ในยุทธนาวีที่ Santa Cruz แต่เนื่องจากเรือ Hornet ถูกโจมตีจากญี่ปุ่นหลายด้าน ทั้งจากระเบิด, ตอร์ปิโด และโดนเครื่องบินพลีชีพ กามิกาเซ่ สองลำพุ่งเข้าชน ในที่สุดเรือลำนี้ได้จมลงสู่ก้นทะเล
(http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/263254821095.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2007, 08:36:57 AM ;D ขออนุญาตยกกระทู้ครับ อยากอ่านเรื่องราวเพิ่มเติมอีกครับ ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: gun 357 ที่ ตุลาคม 12, 2007, 08:49:17 AM ผมอยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ครับ
:D :D :D :D :D :D ::004:: ::004:: ::004:: ::004:: ::004:: ::004:: ช่วยส่งมาที่ gun 357 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2007, 09:08:09 AM ผมอยากได้ข้อมูลมากกว่านี้ครับ :D :D :D :D :D :D ::004:: ::004:: ::004:: ::004:: ::004:: ::004:: ช่วยส่งมาที่ gun 357 ;D ติดตามอ่านเรื่อย ๆ ที่นี่ดีกว่าครับ จะได้อ่านกันหลาย ๆ คน ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 12, 2007, 09:34:44 AM เรื่องฆ่าฮิตเลอร์ต่อครับ ยังนำเรื่องจากหนังสือมาเล่าไม่เสร็จ แต่ขอคุยประเด็นที่เกี่ยวข้อวง คือว่าถ้าฆ่าฮิตเลอร์ได้จริงแล้วผมต่อเยอรมันจะเป็นอย่างไรทั้งด้านการรบ และการปกครอง
ด้านการเมือง ต้องแล้วแต่เลยครับว่าจะรวบพลพรรคนาซีได้แค่ไหน ทั้งตัวหัวใน บก. สูงสุด OKW โอเบอร์คอมมานแวร์มักซ์ (บก.ทบ. OKH โอเบอร์คอมมานเฮียร์ / บก.ทร. OKK โอเบอรร์คอมมานครีกมารีน / บก.ทอ. OKW โอเบอร์คอมมานลุฟวัฟเฟอร์) และรวมสายการบังคับบัญชา SS โดยเฉพาะ Waffen SS ที่เป็นกำลังรบ 1. ถ้ารวบไม่ได้นาซีคนอื่นก็ขึ้นมาแทน นโยบายอาจอ่อนลงอาจมีการเจอรจาสงบศึก แต่นโยบายในประเทศคงไม่ต่างนัก ผู้นำใหม่อาจเป็นอาจเป็น ฮิมเลอร์ / เกอริง / เฮย์ดริช /พวกลิ่วล้อแบบ มาร์ติน บอร์มานคงไม่ไหว 2. ถ้ารวบได้ ทหารขึ้นมามีอำนาจ มีโอกาสมากว่าจะเจรจาสงบศึกแล้วพยายามจัดการเลือกตั้งใหม่ นโยบายสังคม / การเมืองในประเทศคงเปลี่ยน และทหารอาจสถาปนากษัตริย์ ในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ด้านการรบ 1. ถ้าฆ่าก่อนบุกโซเวียต อาจเจอรจาสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตรได้ อิตาลีคงไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ส่วนญี่ปุ่นจะรบกับจีน/เมกันต่อไปก็ตามใจ เยอรมันไม่มีบทบาทอยู่แล้ว 2. ถ้าฆ่าหลังบุกโซเวียต คงเจรจาสงบศึกยากเพราะโซเวียตจะไม่ยอมเจอราแบบมีเงื่อนไขแน่นอน ส่วนจะเจอรจากกับอังกฤษ/ฝรั่งเศส/เมกัน ได้หรือไม่ ผมว่าอยู่ที่ช่วงเวลา ถ้าเป็นช่วงแรกที่เยอรมันยังเข้มแข็ง ฝ่ายตะวันตกอาจจะยอมแตกคอกับโซเวีตยเจรจาด้วย โดยเฉพาะเชอชิลด์ซึ่งระแวงคอมมิวนิสต์สตาลิน แต่ถ้าเป็นช่วงที่เสียหายจากการรบกับโซเวียตแล้ว ฝ่ายตะวันตกอาจไม่เห็นความจำเป็นที่จะแตกคอกับโซเวียตในการเจรราสงบศึกแยกกัน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 12, 2007, 10:49:27 AM ฝูงบิน 617 ที่ไปบอร์มเขื่อนก่อตั้งที่สนามบิน Syerston, Nottingham ตอนผมไปเรียนอยู่ชมรมเครื่องร่อนของมหาลัยก็ใช้สนามนี้ครับ ครูฝึกเป็น RAF มาช่วยสอน เครื่องร่อน/เครื่องบินตอนนี้ก็เก็บในโรงเก่าที่เก็บแลงคาสเตอร์สมัยสงครามโลก เวลาเปิดต้องเอาเหล็กเสียบแล้วมหมุนเลื่อนประตูเหล็กหนา 1 ฟุต ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 12, 2007, 10:52:00 AM ตอนนั้นเช่าบ้านกับอยู่กับ นร. เยอรมัน ผมไปเล่นเครื่องร่อนก็มาเล่าว่า "เนี่ย สนามบินนี้เป็นของฝูงที่ไปบอร์มเขื่อนนะเออ" :<><> แกบ่นอุบ "โอ๊ย ตอนนั้นชาวบ้านใต้เขื่อนตายไปหลายนะยู" ::012::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 11:24:19 AM ตอนนั้นเช่าบ้านกับอยู่กับ นร. เยอรมัน ผมไปเล่นเครื่องร่อนก็มาเล่าว่า "เนี่ย สนามบินนี้เป็นของฝูงที่ไปบอร์มเขื่อนนะเออ" :<><> แกบ่นอุบ "โอ๊ย ตอนนั้นชาวบ้านใต้เขื่อนตายไปหลายนะยู" ::012:: พี่ต๊อกเล่าเรื่องระเบิดที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับทำลายเขื่อนหน่อยสิครับ จำได้ว่าออกแบบมาสำหรับทำลายเขื่อนโดยเฉพาะจุดชนวนแบบเดียวกับระเบิดน้ำลึกเพื่อให้ระเบิดในบริเวณที่มีแรงดันจากน้ำมาช่วยในการทำลายเขื่อนด้วยแต่จำรายละเอียดไม่ได้ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 11:38:51 AM อุปกรณ์ข้ามคูดักรถถังของกองทัพหนูสกปรก(ยิว)ของฮิตเลอร์ยุคใหม่กันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 11:42:51 AM สังเกตุ มุมลาดของตัวรถและป้อมปืนของ รถถังเมอร์คาวา5 ของอิสราเอลครับ กระสุนเจาะเกราะประเภท ชาโบว์ apfs ถ้ายิงไม่ได้มุมจริงๆ คงจะแฉลบไปเกือบหมดครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 11:45:24 AM คันนี้น่าจะออกแบบมาเพื่อทำสงครามในเมืองโดยเฉพาะ ติดเกราะประเภคกัน จรวดต่อต้านรถถังแบบบุคคล ที่เป็นเป็นลูกกรงเอาไว้เวลาโดน ยิงด้วย rpg จะทำให้หัวรบระเบิดก่อนได้ระยะทำลายเกราะสูงสุดครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 11:48:38 AM รมแก๊สลงได้ไงเนี่ยโหดร้ายมากๆ ;D
ถ้าต้องจับหนูสกปรกแบบนี้รมแก๊ส ขอใช้นโยบายกองทัพมองโกลดีกว่า :D~ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 11:53:11 AM nars, Zeus และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ตาสนจะมาช่วยกันจับหนูหรือครับ ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 12, 2007, 12:06:49 PM อือม์ ตอนนี้ลืมครับคุณนาร์ เข้าใจว่าคงต้องใช้ระบบแรงดันน้ำจุดชนวนละครับ ถึงจะแน่นอนเดี๋ยวผมจะไปดูอีกทีครับ
*** เมอร์คาวานี่เอาเครื่องยนต์มาอยู่ข้างหน้ากันพลรถถังอีกด้วยนี่ครับ? ส่วนมากที่โดยจนรถพังทหารคงยังหนีได้ *** เอ นโยบายกองทัพมงโกลนี่อะไรครับ? อิ อิ ผมก็หน้าตามงโกลอยู่บ้าง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2007, 12:18:18 PM รมแก๊สลงได้ไงเนี่ยโหดร้ายมากๆ ;D ถ้าต้องจับหนูสกปรกแบบนี้รมแก๊ส ขอใช้นโยบายกองทัพมองโกลดีกว่า :D~ nars, Zeus และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ แว๊บ ๆ มาดู แฮ่ ๆ รู้ทันผมซะเรื่อย อิอิ กลัวว่าใช้นโยบายมองโกลกับยิว แล้วยิวจะทำแบบที่พวกสลาฟทำกับมองโกลครับ.............แฮ่ ๆ ;D ตาสนจะมาช่วยกันจับหนูหรือครับ ;D ;D ;D ปล.พี่ยังไม่ได้ขยายความเรื่องกองทัพเดินด้วยท้องRed Ball Express ละนะครับ ทวงกันดื้อ ๆ แบบนี้แหละ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 12:40:13 PM อือม์ ตอนนี้ลืมครับคุณนาร์ เข้าใจว่าคงต้องใช้ระบบแรงดันน้ำจุดชนวนละครับ ถึงจะแน่นอนเดี๋ยวผมจะไปดูอีกทีครับ *** เมอร์คาวานี่เอาเครื่องยนต์มาอยู่ข้างหน้ากันพลรถถังอีกด้วยนี่ครับ? ส่วนมากที่โดยจนรถพังทหารคงยังหนีได้ *** เอ นโยบายกองทัพมงโกลนี่อะไรครับ? อิ อิ ผมก็หน้าตามงโกลอยู่บ้าง ใช่ครับพี่ต๊อกในสงครามถล่มเลบานอน เมื่อปี2006 รถถังยิวถูก จรวดต่อต้านรถถังยิงเป็นจำนวนถึง50 คัน กับระเบิดรถถังอีก 2 คัน แต่ส่วนใหญ่นำกลับมาซ่อมได้ครับ มีทหารเสียชีวิตจากรถถังที่ถูกโจมตีเพียง33 คนเองครับ จะเห็นได้ว่า คราวนี้ปาเลสไตน์มีจรวดต่อต้านรถถังทั้งแบบนำวิถีและไม่นำวิถี(ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านและซีเรีย) ทำให้ลดช่องว่างจากเดิมที่ยิวสูญเสียน้อยมาก แต่ในสงครามครั้งล่าสุดนี้ยิวสูญเสียรถถังถึง 50 คัน(ถือว่าสูญเสียเป็นอัตราสูงมากสำหรับการทำสงครามกับกองโจร) ตายและสูญหายประมาณ 600 คนครับ It was reportedly decided shortly after the beginning of the 2006 Lebanon War, in which 50 Israeli tanks were hit by anti-tank missiles and 2 more were damaged by roadside bombs,[1] killing at least 33 soldiers, http://en.wikipedia.org/wiki/Merkava สงคราม เลบานอน 2006 นี้เป็นการพัฒนายุทธวิธีในการรบไปอีกระดับเลยทีเดียว อิหร่านและซีเรีย มีเครื่องยิงจรวดนำวิถีต่อต้านรถถัง และต่อต้านอากาศยาน แบบบุคคลเป็นจำนวนมาก หากอเมริกาจะ ทำสงครามกับ อิหร่าน คงจะเป็นการโจมตีทางอากาศระดับสูงเท่านั้น จะไม่มีการส่งกำลังทางบกขนาดใหญ่รุกเข้าไป เพราะ เครื่องยิงจรวดนำวิถี1 เครื่อง คน 1 คน แลกกับรถถัง1 คัน พลประจำรถ4 คน น่ากลัวมากครับ อีกทั้ง ฮ. และบ. โจมตีสนับสนุนกำลังทางบกระดับต่ำ อย่าง a10 ,ah64 apache, ah1 cobra ก็จะโดน อิกล่าสอยได้ง่ายๆ สงครามในอนาคตจะคล้ายๆเรื่อง termiantor ที่คนคนเดียว พร้อมอาวุธจรวดประทับบ่าก็ทำลายรถถังคันโตๆ เครื่องบินได้ง่ายๆครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 12, 2007, 12:44:49 PM รมแก๊สลงได้ไงเนี่ยโหดร้ายมากๆ ;D ถ้าต้องจับหนูสกปรกแบบนี้รมแก๊ส ขอใช้นโยบายกองทัพมองโกลดีกว่า :D~ nars, Zeus และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ แว๊บ ๆ มาดู แฮ่ ๆ รู้ทันผมซะเรื่อย อิอิ กลัวว่าใช้นโยบายมองโกลกับยิว แล้วยิวจะทำแบบที่พวกสลาฟทำกับมองโกลครับ.............แฮ่ ๆ ;D ตาสนจะมาช่วยกันจับหนูหรือครับ ;D ;D ;D ปล.พี่ยังไม่ได้ขยายความเรื่องกองทัพเดินด้วยท้องRed Ball Express ละนะครับ ทวงกันดื้อ ๆ แบบนี้แหละ ภารกิจหลักก็เกี่ยวกับ ส่งกำลังบำรุง พวกอาหาร อาวุธ น้ำมัน ให้เพียงพอที่แนวหน้าจะใช้ในการรบและการเดินทาง กองทัพเดินด้วยท้องครับ ขบวนรถบรรทุกของRed Ball Express เป็นเป้าโจมตีอันดับ1 ลุฟวาฟเฟ่ท์ เลยครับ เพราะรถบรรทุกที่ไม่มีเกราะ โดน 7.92 ก็ทะลุ หรือ 13 มม., 20 มม. ก็ระเบิด ไม่จำเป็นต้องใช้ระเบิดหรือ ปืนใหญ่ 30 มม. ทำให้ เครื่องบินขับไล่ bf109 bf190 หรื ju87 หลังจากโจมตีเป้าหมายหลักแล้ว ระหว่างทางก็เก็บรถบรรทุกได้อีกหลายคันครับ http://en.wikipedia.org/wiki/Red_Ball_Express หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ ตุลาคม 12, 2007, 12:48:21 PM สังเกตุมาหลายหนแล้ว ทหารอิสราเอล ใช้สาย กระวิน เส้นหนาดีจัง :D~
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: INFANTRY - LONG LIVE THE KING ที่ ตุลาคม 12, 2007, 05:48:40 PM การส่งกำลังบำรุง ในทางการรบถือว่า มีความสำคัญมาก
มีคำกล่าวที่ว่า "การส่งกำลังบำรุงที่ดีเลิศ ไม่ทำให้ได้รับชัยชนะ แต่การส่งกำลังบำรุงที่ขาดประสิทธิภาพ ทำให้พ่ายแพ้ได้ " และก็เป็นจริงในทุกสมรภูมิ.... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 12, 2007, 07:24:18 PM สมรภูมิสตาลินกราด...............
กองทัพเยอรมัน ต้องใช้น้ำมัน 2 ลิตร ขนน้ำมัน 1 ลิตร ไปให้ทหารในแนวหน้า หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ ตุลาคม 12, 2007, 08:03:20 PM เรียนถามหน่อยผู้การมะขิ่นจริงหรือเปล่าครับที่ ยิว ใช้ครูฝึกทหารหญิงในการฝึกทหารชาย
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 13, 2007, 04:31:05 AM ;D อ่ะฮ่า กำลังจะเลยไปสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว ;D
;D กลับมาก่อนครับ เอาสงครามโลกครั้งที่ 2 กันก่อนครับ รออ่านอยู่ครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 13, 2007, 08:38:42 AM เรียนถามหน่อยผู้การมะขิ่นจริงหรือเปล่าครับที่ ยิว ใช้ครูฝึกทหารหญิงในการฝึกทหารชาย เท่าที่ผมทราบ .............กองทัพอิสาเอล ปฏิบัติต่อทหารหญิง เกือบเท่าๆกับทหารชาย(ที่ไม่เท่าคือเรื่องสรีระ และ เรื่องที่เพศหญิงประสบความลำบากในช่วงมีประจำเดือน)............ กองทัพอิสราเอล เป็นกองทัพหนึ่ง............ที่ให้ทหารหญิงอยู่ในเหล่า"กำลังรบ"........ ดังนั้น ทหารญิงอิสราเอล จะมีตำแหน่งและหน้าที่ เช่นเดียวกันกับทหารชาย ในหน่วยกำลังรบ และ หน่วยต่างๆ...................เช่น เป็นผู้บังคับกองร้อยรถถัง เป็นหัวหน้าชุดยิง รวมทั้งเป็นครูฝึกด้วยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ ตุลาคม 13, 2007, 01:19:20 PM อ่านเรื่องยิวแล้ว ต้องกลับไปดูหนังมินิคอีกสักรอบ
"เราต้องยึดแผ่นดินไว้ เพราะไม่มีใครหยิบยื่นให้" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: spocid ที่ ตุลาคม 14, 2007, 10:34:16 AM ฮิ ฮิ เปลี่ยนสงครามกันเร็วจังครับ แต่ก็ได้ความรู้ในสิ่งที่ไม่รู้อีกมากครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 14, 2007, 11:52:09 PM ขอเสริมหน่อยนะครับ การยุทธ์แห่งบัลค์ ฝ่ายเยอรมันไช้ทหารประมาณ 200,000 คน มีทั้งโวร์คสตรอมและทหารอาชีพ ปัจจัยสำคัญที่ทำไห้ต้องโจมตีคือต้องการน้ำมันครับ เพราะว่าโรมาเนียที่เป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดของเยอรมันถูกโซเวียตยึดบวกกับการที่โรงกลั่นน้ำมันถูกทำลายโดยการทิ้งระบเดของพันธมิตรตะวันตก และฝ่ายเยอรมันคิดว่าตนไม่สามารถป้องกันประเทศได้โดยไม่มีน้ำมัน และที่บุกไปยึดแหล่งน้ำมันทางตะวันตกก็เพราะคิดว่าน่าจะง่ายกว่ายึดโรมาเนียคืน
การบุกไม่ได้เป็นบลิซครีกเต็มรูปแบบ เพราะว่าขาดการครองอากาศ และยังขาดปัจจัยด้านความเร็ว เนื่องจากฝ่ายเยอรมันมีน้ำมันพอแค่สำหรับการโจมตีเป็นระยะทางสั้นๆเท่านั้น จึงต้องไห้ทหารเตรียมสายยางไว้สูบน้ำมันจากรถของฝ่ายพันธมิตรที่ถูกยึดหรือถูกทำลายหรือยึดจุดเติมน้ำมันของพันธมิตรไห้ได้ และการเติมน้ำมันไส่รถถังไหญ่ๆอย่าง Tiger II นั้นไช้เวลาหลายชั่วโมง ทั้งยังต้องคอยซ่อนหลบหลีกการโจมตีทางอากาศการบุกจึงทำได้ไม่รวดเร็วพอ สิ่งที่ดีที่สุดที่เยอรมันมีในการรบนี้คือแม่ทัพ วอนรุนสเต็ป ซึ่งเป็นหนึ่งไนแม่ทัพผู้พิชิตยุโรป และเป็นคนโจมตีโอบล้อมเมืองเคียฟ ส่วนฝ่ายพันธมิตรถึงถึงต้องเจอความประหลาดใจในช่วงแรก แต่ระบบการป้องกันนั้นมีความยืดหยุ่นสูง มีทั้งกองพลยานเกราะเครื่อนที่เร็ว และที่สำคัญมีกองกำลังพลร่ม ที่สามารถเสริมแนวป้องกันได้ในทันที และเนื่งจากความช้าในการรุกของเยอรมัน ฝ่ายพันธมิตรจึงมีเวลาพอที่จะไห้ทหารช่างระเบิดสะพาน ในการรบหลายๆจุด แม้ว่ากองกำลังยานเกราะของเยอรมันจะชนะหลายครั้ง แต่พอเจอการระเบิดสะพานเข้าก็วิ่งวนอ้อมไปอ้อมมาจนน้ำมันหมดแพ้ไปเอง พันธมิตรมีความสามารถในการโจมตีทางอากาศสูงกว่ามากรวมกับความสามารถของทหารพลร่มโดยเฉพาะ 101 ที่สามารถตรึงพื้นที่ไว้ได้พอเยอรมันเริ่มอ่อนแรง พันธมิตรก็เริ่มตีโต้ ที่จริงมีการรบเกิดขึ้นอีกด้าน คือตอนที่พันธมิตรตีโต้ประสบกับการชะงักงันเนื่องจาก ฝ่ายเยอรมันตอบโต้เป็นบางครั้ง เชอร์ชิลได้ส่งข้อความไปไห้สตาลิน ขอไห้โซเวียตโจมตีอีกทางถ้าเป็นไปได้เพื่อลดความกดดันของแนวรบลง สตาลินตอบตกลง และซูคอฟนำทัพ จำนวนมหาศาล บุกข้ามแม่น้ำออเดอร์ ซึ่งเยอรมันไม่ทันระวังป้องกัน เลยแพ้ไปง่ายๆ พอเรียกกำลังจากแนวรบตะวันตกเสริมมาช่วยก็ช้าไปแล้ว การบุกข้ามแม่น้ำออเดอร์เกิดขึ้นวันที่ 12 ส่วนการรบแห่งบัลค์ จบเมื่อวันที่ 14 อย่างไรก็ตาม โซเวียตจะช่วยหรือไม่ พันธมิตรก็สามารถจัดการกับทัพเยอรมันได้อยู่ดีแต่อาจจะยืดเยื้อหรือสูญเสียมากขึ้นบ้าง สรุปการรบนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเยอรมันเลย นอกจากไม่ได้น้ำมันแล้ว ยังเป็นการไช้ทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ทำไห้ถูกโซเวียตบุกข้ามแม่น้ำมาได้ง่ายๆ Tiger II ดูเผินๆเหมือนกับมันเป็นรถถังที่ไร้เทียมทานแต่มีจุดอ่อนสำคัญอยู่คือ เครื่องยนต์มีขนาดเล็กทำไห้มีปัญหาในการระบายความร้อนเกิดโอเว่อร์ฮีตง่ายพอแล่นไประยะทางไกลๆเครื่องมันจะพัง ทำไห้ขาดความเร็ว อีกอย่างคือมันสร้างยากมาก ทำไห้มีจำนวนผลิตจำกัด แต่ในการประจันหน้ามันแทบจะไร้เทียมทานทีเดียว หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 15, 2007, 10:11:02 AM ขอเสริมเกร็ดครับ
1. ปฏิบัติการที่สัมพันธมิตรโดยเมกันไปบอร์มพ้นที่สูบ/กลั่นน้ำมันที่โรมาเนียก็มีชื่อเหมือนกันเพราะใช้เครื่อง B24 บินไปบอร์มระดับต่ำเพื่อให้แม่นยำแต่เสียหายมาก 2. การรบเดอะ บัลช์ ตอนแรกเยอรมันไม่ค่อยเสียเปรียมเรื่องกาาครองอากาศเท่าไหร่เพราะอากาศปิด เครื่องบินสัมพันธมิตรก็บินขึ้นไม่ค่อยได้ด้วย 3. บางคนก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเยอรมันมียุทธศาสสตร์การบุกแบบยั่งยืนหรือไม่เพราะไม่มีการตั้งแนวที่ปีกทั้งสองข้างแน่นอน 4. จอมพล เกิร์ด ฟอน รุนชเต็ท เป็นนายทหารเลือดปรุสเซียนแท้ เป็นแม่ทัพภาคตะวันตก ทางทฤษฎีจริงๆ ยศสุดท้ายคือพลทหาร เพราะตอนเยอรมันจะแพ้ฮิตเลอร์เสียจริตขึ้นเรื่อยๆ ฟอน รุนฯ บอกว่าแพ้แล้ว ฮิตเลอร์โกรธมากกระชากอินธนูจอมพลออกขว้างใส่หน้า ลดยศเป็นพลทหาร หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: INFANTRY - LONG LIVE THE KING ที่ ตุลาคม 15, 2007, 11:30:06 AM น่าจะมีความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ "ยุทธการแห่งบัลจ์"(Battle of Bulge) นะครับ
ยุทธการแห่งบัลจ์ เป็นการบุกของเยอรมันในแนวรบด้านตะวันตก โดยฮิตเลอร์หวังจะขับไล่ให้กองทหารพันธมิตรตกทะเล จึงรวมพลังทั้งหมดมาไว้ทางแนวรบด้านตะวันตก"ระดมพลทั้งมวล" และประกาศจัดตั้ง"โฟลคส์สเตอร์ม"หรือ "โฮมการ์ด" ขึ้นมาปกป้องอาณาจักรไรซ์ที่สามของตน ให้รุนสเตดท์เป็นผู้บัญชาการในการรุกตอบโต้ โดยกำหนดให้กองทัพเยอรมันบุกตอบโต้บริเวณป่าอาร์เดนเนส โจมตีแนวรบของสหรัฐฯที่บิเวณนั้น จากหนังสือ "เหตุการณ์สำคัญ ในศตวรรษที่ ๒๐" ของ "ธนู แก้วโอภาส" และตอบกระทู้ของ คุณNars หน้า ๒๓ ครับ (ขออนุญาตพาดพิงครับ) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 16, 2007, 12:58:46 AM ครับ ประวัติศาสตร์ฉบับ อเมริกา เยอรมัน และ รัสเซีย ไม่ตรงกันครับ แล้วยังมีประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์อีกทำไห้เรามีประวัติศาสตร์ทางเลือกมากมายเราจะเลือกเชื่ออันไหนก็ได้ครับที่คิดว่าสมเหตุสมผลที่สุด บางทีผมอาจจะผิดก็ได้ครับ
ที่ว่ามีการไช้ โฟลคส์สเตอร์ม ผมดูจาก History Channel ครับเค้าว่ากองกำลังที่โจมตีไส่หน่วย 101 เป็นโฟลคส์สเตอร์มนะครับ ส่วนจำนวนทหารที่เยอรมันไช้มันก็มีหลายแหล่งนะครับ บางแหล่งก็ว่า 200,000 บ้างก็ว่า 250,000 ครับ และ เยอรมันหลังจากบุกโซเวียตแล้ว ก็ไช้กองกำลังหลักของตนสู้กับโซเวียตมาตลอดช่วงแรกไช้ทหารป้องกันแนวตะวันตกประมาณ 25% ตอน D-Day เยอรมันไช้ทหารเฝ้าแนวตะวันตกประมาณ 15% ครับเพราะก่อนหน้านั้นโซเวียตตีแนวแพนเทอร์วอฟเฟนไรน์แตกเยอรมันเลยต้องระดมพลไปแนวตะวันออกอย่างเร่งด่วน พอโดนโจมตีที่นอร์มังดี เยอรมันส่งกองพลรถถังเข้าไปกะจะทำลายกองกำลังพันธมิตรตะวันตกไห้หมด แต่โซเวียตโจมตีกองกำลังภาคเหนือของเยอรมันในปฏิบัติการณ์บาเกรชั่น และทำไห้เยอรมันสูญเสียทหาร ตาย เจ็บ และถูกจับรวม 670,000 มากกว่าที่โซเวียตเสียประมาณ 4 เท่า และเยอรมันต้องส่งกองกำลังที่ส่งไปตะวันตกกลับมาแนวตะวันออก และยังต้องส่งกองกำลังเพิ่มเติมมาจากอิตตาลี และจากความสำเร็จของปฎิบัติการณ์ครั้งนี้ เยอรมันไม่เคยคิดที่จะส่งกองกำลังไปทางตะวันตก มากกว่าตะวันออกอีกเลย เพราะถือว่าโซเวียตเป็นภัยคุกคามหลัก เนื่องจากต้องป้องกันการโจมตีจากโซเวียต รวมทั้งการเกิดวิกฤติด้านจำนวนทหารราบการส่งทัพไปโจมตีในปฎิบัติการบัลค์จึงค่อนข้างน้อยนะครับ แต่ก็เป็นการโจมตีครั้งไหญ่ที่สุดของเยอรมันนับจากเคิร์กทีเดียว อย่างว่า ประวัติศาสตร์มันก็มีหลายคนเขียนหลายคนวิเคราะห์อ่านมาต่างเล่มข้อมูลไม่ตรงกันก็เป็นเรื่องธรรมดาถือว่าถกเถียงเพื่อเพิ่มมุมมองตามประสาคนรักประวัติศาสตร์ก็แล้วกันครับ ไครจะถูกจะผิดไม่ไช่เรื่องสำคัญ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 16, 2007, 09:24:12 AM เห็นกล่าวถึง"โฟลคส์สเตอร์ม"หรือ "โฮมการ์ด" รบกวนขอประวัติหน่วยนี้และหน้าที่ และอื่น ๆ จากท่านผู้ที่รู้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 17, 2007, 11:05:50 PM ครับ โฟลคส์สเตอร์มเป็นทหารเกณฑ์ขั้นสุดท้ายของเยอรมัน เนื่องจากเกณฑ์คนหนุ่มไปหมดแล้วพวกโฟลคส์สเตอร์ม จึงมีแต่เด็กกับคนแก่ มีทักษะการต่อสู้ไม่สูงเพราะฝึกมาอย่างเร่งด่วน แต่มีความกล้าหาญมากสมเป็นกองทัพเยอรมัน และมีอาวุธที่ดี ถูกไช้ในช่วงท้ายสงครามและเริ่มมีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆเพราะช่วงท้ายทหารอาชีพแทบไม่เหลือแล้ว การรบที่เบอร์ลินส่วนไหญ่เป็นทหารโฟลคส์สเตอร์มนี่ละครับ
อีกพวกที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ ยุวชนฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นการไช้เด็กที่ถูกฝึกมาพิเศษ(เพื่อที่จะเป็นหน่วย ss ) เยอรมันได้ไช้คนกลุ่มนี้ในช่วงท้ายสงคราม มีที่เด็กที่สุดก็ 12 ขวบ พวกนี้มีทักษะการรบและมีความกล้าหาญมาก แต่ที่เราดูหนัง หรือสารคดี ไม่ค่อยเห็นคนพวกนี้เท่าไรเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่ายกย่องที่พวกพันธมิตร บุกถล่มไส่เด็กกับคนแก่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 17, 2007, 11:28:21 PM ครับ โฟลคส์สเตอร์มเป็นทหารเกณฑ์ขั้นสุดท้ายของเยอรมัน เนื่องจากเกณฑ์คนหนุ่มไปหมดแล้วพวกโฟลคส์สเตอร์ม จึงมีแต่เด็กกับคนแก่ มีทักษะการต่อสู้ไม่สูงเพราะฝึกมาอย่างเร่งด่วน แต่มีความกล้าหาญมากสมเป็นกองทัพเยอรมัน และมีอาวุธที่ดี ถูกไช้ในช่วงท้ายสงครามและเริ่มมีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆเพราะช่วงท้ายทหารอาชีพแทบไม่เหลือแล้ว การรบที่เบอร์ลินส่วนไหญ่เป็นทหารโฟลคส์สเตอร์มนี่ละครับ ขอบคุณพี่ nosta มากครับที่มาช่วยเล่าให้ฟัง ช่วงนี้ผมอ่านมหาภารตะ กับสนใจเรื่องการจัดกำลังของกองพลหลักๆทั้ง 10 กองพล (ร.7, ม.2, ป.1 ใครอยากทราบรายละเอียดอ่านได้ที่ link นี่แล้วclick ที่แต่ละกองพลได้เลยครับมีเว็บไซต์เกือบครบทุกกองพลแล้ว http://www2.crma.ac.th/stat/group.htm )ของกองทัพไทยอยู่ เลยไม่มีเวลาไปเปิดหนังสือหาให้คุณสน ที่อ่านไปแล้วก็ลืมหมดจำไม่ได้ครับอีกพวกที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ ยุวชนฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นการไช้เด็กที่ถูกฝึกมาพิเศษ(เพื่อที่จะเป็นหน่วย ss ) เยอรมันได้ไช้คนกลุ่มนี้ในช่วงท้ายสงคราม มีที่เด็กที่สุดก็ 12 ขวบ พวกนี้มีทักษะการรบและมีความกล้าหาญมาก แต่ที่เราดูหนัง หรือสารคดี ไม่ค่อยเห็นคนพวกนี้เท่าไรเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่ายกย่องที่พวกพันธมิตร บุกถล่มไส่เด็กกับคนแก่ อิจฉาเยอรมัน แม้ประเทศจะแพ้สงคราม แต่น่ายกย่องในความกล้าหาญที่สู้จนคนสุดท้ายแม้แต่เด็กกับคนแก่ครับ อยากเห็นคนไทยเป็นแบบนี้มากๆ " ตัวตายดีกว่าชาติตาย " จะมีมีคนไทยซักกี่ % ที่ยอมตายเพื่อชาติจริงๆ ทุกวันนี้การกระทำที่แค่ไม่รับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ(ตัดถนนเข้าหมู่บ้าน สะพาน โดยใช้งบพัฒนาก็เป็นผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มอย่างหนึ่ง) เลือกคนดีเข้าไปพัฒนาชาติยังทำไม่ได้เกินครึ่งประเทศ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆมาก็บอกว่าทุกครั้งที่เราเสียเมืองนั้นเป็นเพราะคนไทยด้วยกันนี่แหละเห็นแก่ได้ทรยศแผ่นดินเกิดนึกแล้วก็หดหู่ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: e.k.1911 ที่ ตุลาคม 17, 2007, 11:51:14 PM ขอบคุณมากๆครับ ได้ความรู้เพียบเลยครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 18, 2007, 11:41:41 AM ครับ โฟลคส์สเตอร์มเป็นทหารเกณฑ์ขั้นสุดท้ายของเยอรมัน เนื่องจากเกณฑ์คนหนุ่มไปหมดแล้วพวกโฟลคส์สเตอร์ม จึงมีแต่เด็กกับคนแก่ มีทักษะการต่อสู้ไม่สูงเพราะฝึกมาอย่างเร่งด่วน แต่มีความกล้าหาญมากสมเป็นกองทัพเยอรมัน และมีอาวุธที่ดี ถูกไช้ในช่วงท้ายสงครามและเริ่มมีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆเพราะช่วงท้ายทหารอาชีพแทบไม่เหลือแล้ว การรบที่เบอร์ลินส่วนไหญ่เป็นทหารโฟลคส์สเตอร์มนี่ละครับ ขอบคุณครับพี่...... ::002::อีกพวกที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ ยุวชนฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นการไช้เด็กที่ถูกฝึกมาพิเศษ(เพื่อที่จะเป็นหน่วย ss ) เยอรมันได้ไช้คนกลุ่มนี้ในช่วงท้ายสงคราม มีที่เด็กที่สุดก็ 12 ขวบ พวกนี้มีทักษะการรบและมีความกล้าหาญมาก แต่ที่เราดูหนัง หรือสารคดี ไม่ค่อยเห็นคนพวกนี้เท่าไรเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่ายกย่องที่พวกพันธมิตร บุกถล่มไส่เด็กกับคนแก่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 19, 2007, 02:43:49 AM พี่ๆครับ ฝั่งแอตแลนติกเราคุยกันเกียวกับเหตุการสำคัญไปหมดแล้วหรือยังครับ จะได้ต่อฝั่งแปซิฟิก ถ้าไม่อะไรที่สำคัญแล้วแล้วพรุ่งนี้จะ เริ่มด้วย เพิร์ลฮาเบอร์ kongo(เป็นเรือธงในการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ก่อนที่ yamato จะเสร็จสมบูรณ์) yamato musashi เรือธงของญี่ปุ่นครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 19, 2007, 08:27:02 AM ขออนุญาตมาคอย ท่าน nar ครับ
สงครามอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ เป็นการโจมตีฉับพลันของจักรวรรดิญี่ปุ่นต่อฝ่ายกองทัพอเมริกา โดยการโจมตีเกิดขึ้นที่ อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ มลรัฐฮาวาย ในสหรัฐอเมริกา วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) ในการโจมตีนี้สร้างความเสียหายแก่ฝ่ายกองทัพสหรัฐอเมริกามาก โดยเรือสงครามสูญเสีย 12 ลำ เครื่องบิน 188 ลำ ทหารอเมริกันเสียชีวิต 2,403 คน และ ประชาชน 68 คน (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/05/Burning_ships_at_Pearl_Harbor.jpg/180px-Burning_ships_at_Pearl_Harbor.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: spocid ที่ ตุลาคม 19, 2007, 10:50:47 AM สงครามด้านนี้น่าติดตามครับ เข้ามาหาความรู้ในสิ่งที่หาอ่านไม่ได้ครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 19, 2007, 05:23:19 PM ทหารญี่ปุ่น ร่วมกันถ่ายรูปก่อนที่จะบินไปถล่มเพิร์ลฮาเบอร์
(http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb22.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 19, 2007, 11:52:10 PM การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์นั้น เกิดจากการที่อเมริกาประกาศงดส่งน้ำมันให้ญี่ปุ่นเพื่อให้ญี่ปุ่นยุติการรุกรานจีน การโจมตีครั้งนี้ญี่ปุ่นเตรียมการโจมตีมาดีมาก ออกแบบอาวุธใหม่ๆ มาเพื่อโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์โดยเฉพาะ ได้แก่ตอร์ปิโด type 91 ให้สามารถทำการในบริเวณน้ำตื้นได้ รวมทั้งระเบิดเจาะเกราะที่ใช้กระสุนปืนเรือขนาด 14และ16 นิ้วมาติดครีบหาง
หน่วยรบหลักได้แก่เรือบรรทุกเครื่องบิน6 ลำ ได้แก่เรือบรรทุกเครื่องบิน Akagi (flag), Kaga, Sōryū, Hiryū, , Shōkaku and Zuikaku,มี เครื่อง Mitsubishi A6M fighters ซีโร่ 135 เครื่อง torpedo bombers Nakajima B5N Type 97 171 เครื่อง dive bombers Aichi D3A Type 99 108 เครื่อง โดยญี่ปุ่นแบ่งกอง เรือ ออกเป็น 2 กอง เดินเรือแบบเงียบทางอิเล็กทรอนิกส์โดยงดการสื่อสารทางวิทยุ แล้วทั้ง2 กองเรือ ไปบรรจบกันบริเวณ ตอนเหนือหมู่เกาะฮาวาย ความจริงแล้ว อเมริกาก็ระแคะระคายว่ากองเรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่นหายไปไหน แต่อเมริกาประมาทเพราะไม่คาดคิดว่าตอร์ปิโดแบบใหม่จะใช้ได้ในที่น้ำตื้นได้จึงจอดเรือเป็นกลุ่มใหญ่ที่ pearl harbourครับ ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือทำไมกองเรือญี่ปุ่นที่ในเวลานั้นมีเครื่อง ซีโร่ ซึ่งมีขีดความสามารถสูงกว่าเครื่องบินอเมริกัน จึงกลัวเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกัน จนรีบหนีโดยโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์แค่2 ระลอก(ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เกาะฮาวายอยู่ห่างแผ่นดินใหญ่อเมริกันจน เครื่อง fighter จากแผ่นดินใหญ่อเมริกันบินมาสนับสนุนไม่ถึง สามารถทำการโจมตี เกาะฮาวายได้หลายระลอกนานหลายวัน ให้หมดสภาพการรบอย่างสิ้นเชิง)แล้วเผ่นแน่บกลับญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่น่าสงสัยมากๆ ว่าเรือบรรทุกเครื่องบินอเมริกันแค่ 4 ลำมีดีอะไรกว่าเรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่น 6 ลำพร้อมเครื่องบินที่ดีที่สุดในแปซิฟิกครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 20, 2007, 12:03:03 AM เส้นทางเดินเรือของกองเรือญี่ปุ่นครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 20, 2007, 12:34:55 AM ขอเสริมแผนที่ท่าน nars ครับ...
(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/thumb/0/05/PearlHarborCarrierChart.jpg/800px-PearlHarborCarrierChart.jpg) เสริมด้วยแผนที่สมรภูมิแปซิฟิกโดนรวมครับ... อยากดูชัดๆคลิ้กที่ภาพเลยครับ... (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a4/US_landings.jpg) (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a4/US_landings.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 21, 2007, 06:43:22 AM ความหมายของกามิกาเซ่ (Kamikaze)
กามิกาเซ (ลมสวรรค์) อากาศยานพลีชีพ, นักบินพลีชีพของกองทัพญี่ปุ่น สงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้ เนื่องจากโดนระเบิดนิวเคลียร์ไป 2 ลูกเคยสงสัยไหมว่า... ทําไม ต้องเป็นฮิโรชิมา นางาซากิ ทําไมไม่ใช่โตเกียวหรือโอซาก้า ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าฮิโรชิมา ... ทําไม? ช่วงเริ่มสงครามใหม่ๆ ญี่ปุ่นก็ท่าทางจะไปได้สวย บุกไปถล่มอ่าวไข่มุก(เพิร์ล ฮาเบอร์) ที่เกาะฮาวายของอเมริกา โดยที่อเมริกาทําอะไรไม่ได้เลย ในแถบเอเชียไม่ว่าจะไปบุกที่จีน เกาหลี ไม่ว่าที่ไหน ๆ ไม่มีใครต้านญี่ปุ่นได้ กองกําลังของญี่ปุ่นเข้มแข็งมาก แต่...พอถึงช่วงปลายสงคราม- โลก ครั้งที่ 2 ประเทศเกาะหรือจะมาต้านประเทศมหาอํานาจอย่างอเมริกาได้ ญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอ เรือบรรทุกนํ้ามันที่นํานํ้ามันมาจากประเทศอินโดนีเซียก็โดนโจมตี เชื้อเพลิงไม่มี เรือที่ขนเสบียง ก็โดนโจมตี ...จมทะเลก่อนจะไปถึงจุดหมาย คนญี่ปุ่นที่ไปรบในแถบอาเซียนเสียชีวิตเป็นจํานวนมาก จากการขาดเสบียงอาหารและยารักษาโรค ในประเทศญี่ปุ่น เครื่องบินอเมริกาบินมาถล่มญี่ปุ่นทุกคืน เมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว โอซาก้า นาโกย่า โดนถล่ม แทบจะเป็นเมืองร้าง ทั้งทหารและพลเรือนเสียชีวิตเป็นจํานวนมากแสนยานุภาพของเครื่องบินรบญี่ปุ่นช่วงหลังสงคราม ก็แทบจะทําอะไรเรือรบอเมริกาไม่ได้เลย เมื่อสุนัขจนตรอก มันทําได้อย่างเดียวคือ วิ่งชนเพื่อเอาตัวรอด หน่วยรบพิเศษ คามิกาเซะ ก็เกิดขึ้นมา แต่ก่อนที่จะชนเรือรบอเมริกาได้ ก็โดนยิงร่วงตกก่อนซะเป็นส่วนมาก กามิกาเซ หรือ Kamikaze เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ และ หมายถึงลมสลาตันที่ขับไล่กองทัพเรือมองโกลซึ่งเข้ามารุกรานญี่ปุ่นออกไปได้ ในปี ค.ศ. 1274 คำๆนี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ ตุลาคม 21, 2007, 07:51:13 AM ขอตอบคำถามกับอาจารย์จรูญนะครับ ญี่ปุ่นโดนนิวเคลียร์หลังประกาศยอมแพ้นะครับ อเมริกาต้องการปราบญี่ปุ่นให้ยอมแพ้แบบราบคาบ อเมริกากลัวว่า หากกองทัพญี่ปุ่นเดินทางกลับเข้าประเทศ อาจโดนรุมกินโต้ะได้ และถ้าไม่โดนเกาะฮอกไกโด ตกเป็นของรัสเซียแล้วแน่นอน อเมริกาแสดงตัวอย่างให้รัสเซียดูครับ คนญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ดี ทหารญี่ปุ่นส่วนถูกส่งออกนอกประเทศ การรักษาดินแดนจึงอ่อนแอ ทำไมต้องฮิโรชิมาและนางาซากิ? เพราะ2เมืองนี้เป็นเมืองท่า เรียกว่าประตูทางออกสู่ทะเล และตอนนั้นในเขตโตเกียวซึ่งมาบ้านเรือนอยู่หนาแน่น โดนถล่มซะราบเป็นหน้ากอง.
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 21, 2007, 09:52:02 AM ขอบคุณครับ คุณ Aniki
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ฝุ่น-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 21, 2007, 11:44:53 AM ขอบคุณทุกท่าน ครับ
ได้ ความรู้ใหม่ๆ เพียบเลยครับ แถมทั่วไทย ไป ทั่วโลกเลย ผมอ่านกระทู้ นี้ 2 ชั่วโมงครับ สุดยอดจริงๆทุกท่านเลยครับ ทั้งบนบกก็มี รถถัง เรือ และ เครื่องบิน สุดๆทั้งนั้นเลยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 21, 2007, 12:03:21 PM เรือรบสหรัฐหลายลำ
โดนโจมตีในเวลาเดียวกัน จนไม่สามารถช่วยเหลือกันได้ เพราะโดนกันหมดเกือบทุกลำ (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb28.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ ตุลาคม 21, 2007, 02:05:34 PM ขอบคุณมากครับอาจารย์ ผมไม่มีความรู้และใส่ใจเรื่องสงครามเลยครับ แต่ตามที่ผมอยู่กับคนญี่ปุ่นมานานเกือบๆจะครึ่งหนึงที่อยู่ของชีวิต หลังสงครามจบแล้ว ทุกคนที่นี่ไม่อยากพูดถึงมันอีกผู้คนที่นี่ก็ไม่มีความเกลียดชังต่ออเมริกา..ทุกคนเหมือนรู้แก่ใจตัวเอง ว่าได้ทำคนอื่นไว้อย่างไร :~) (สำนึกผิด)
ในเขตอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่ตอนพักเที่ยงจะมีพวกญี่ปุ่นและต่างชาติมานั่งคุยกันที่สวนหย่อมหน้ารง. แยกคุยกันเป็นกลุ่มๆก็คุยแลกเปลี่ยนความรู้กันแล้ววกเข้ามาคุยเรื่องสงครามจนได้ ;D เขมรก็ด่าไทย ลาวก็ด่าไทย ไทยก็ด่าพม่า มีพวกคนจีนบางคนยังเกลียดญี่ปุ่น ยังแค้นไม่หาย เขาก็พยายมคุยแบบหาเพื่อน ;D จนไปเจอญวนอพยพ ซึ่งมีอาวุโสในกลุ่ม ...เอ็งก็ด่าแต่เขาละไอ้ตี๋เอ้ย...ทีเอ็งเอาเท้าเหยียบกบาลมองโกเลียกับทิเบต.ไว้อยู่ แล้วเรื่องกับใต้หวันอีก ทำไมเอ็งไม่มองตัวเองมั่ง. ;D แค่นั้นแหละครับคนจีนหน้าแดงเลยเกือบจะมีเรื่องฟาดปากกัน จนทุกวันนี้มีกฎห้ามอยู่อย่างคือ ...ห้ามพูดเรื่องการเมืองการทหารระหว่างประเทศ. ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 21, 2007, 09:17:03 PM ขอตอบคำถามกับอาจารย์จรูญนะครับ ญี่ปุ่นโดนนิวเคลียร์หลังประกาศยอมแพ้นะครับ อเมริกาต้องการปราบญี่ปุ่นให้ยอมแพ้แบบราบคาบ อเมริกากลัวว่า หากกองทัพญี่ปุ่นเดินทางกลับเข้าประเทศ อาจโดนรุมกินโต้ะได้ และถ้าไม่โดนเกาะฮอกไกโด ตกเป็นของรัสเซียแล้วแน่นอน อเมริกาแสดงตัวอย่างให้รัสเซียดูครับ คนญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ดี ทหารญี่ปุ่นส่วนถูกส่งออกนอกประเทศ การรักษาดินแดนจึงอ่อนแอ ทำไมต้องฮิโรชิมาและนางาซากิ? เพราะ2เมืองนี้เป็นเมืองท่า เรียกว่าประตูทางออกสู่ทะเล และตอนนั้นในเขตโตเกียวซึ่งมาบ้านเรือนอยู่หนาแน่น โดนถล่มซะราบเป็นหน้ากอง. อือม์ ที่จริงญี่ปุ่นโดนนิวเคลียร์สองลูก "ก่อน" ถึงจะยอมแพ้ครับ เรื่องโดนก่อนโดนหลังที่พิกลคือโซเวียต "ประกาศสงคราม" กับญี่ป่น "หลัง" ที่ญี่ปุ่นโดนนิวเคลียร์ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2007, 04:20:25 AM กามิกาเซ หรือ Kamikaze เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ และ หมายถึงลมสลาตันที่ขับไล่กองทัพเรือมองโกลซึ่งเข้ามารุกรานญี่ปุ่นออกไปได้ ในปี ค.ศ. 1274 คำๆนี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย ;D นอกจากจะเป็นเครื่องบินที่ติดระเบิดหรือตอร์ปิโดพุ่งเข้าชนเรือแล้ว ยังมีระเบิดติดปีกบังคับด้วยคนพุ่งเข้าชนเรือด้วย (จำชื่อไม่ได้) โดยใช้เครื่องบินหิ้วระเบิดติดปีกพวกนี้ขึ้นไป เมื่อเจอฝูงเรืออเมริกันก็ปล่อยจากระดับความสูงมาก แล้วคนที่อยู่ในระเบิดติดปีกก็บังคับใหพุ่งชนเรือครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 22, 2007, 06:30:20 AM ผมชอบเรื่องสงครามโลกครั้งท่ 2 มาก พ่อ แม่เล่าให้ฟังบ่อย
ขอบคุณทุกท่านที่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็น เรือรบสหรัฐกำลังเอียง นี่ขนาดเอียงแล้วนะครับ ญี่ปุ่นยังถล่มต่อ จนจมไปเลย แบบว่า ถ้าไม่จมไม่ยอมหยุดครับ (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb31.JPG) (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb32.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ป้อมพระจุลฯ 24 ที่ ตุลาคม 22, 2007, 08:40:56 AM สงครามโลก ก่อให้เกิด การผลาญทรัพยากรของโลก อย่างมหาสาร
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 22, 2007, 09:08:08 AM กามิกาเซ หรือ Kamikaze เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ และ หมายถึงลมสลาตันที่ขับไล่กองทัพเรือมองโกลซึ่งเข้ามารุกรานญี่ปุ่นออกไปได้ ในปี ค.ศ. 1274 คำๆนี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย ;D นอกจากจะเป็นเครื่องบินที่ติดระเบิดหรือตอร์ปิโดพุ่งเข้าชนเรือแล้ว ยังมีระเบิดติดปีกบังคับด้วยคนพุ่งเข้าชนเรือด้วย (จำชื่อไม่ได้) โดยใช้เครื่องบินหิ้วระเบิดติดปีกพวกนี้ขึ้นไป เมื่อเจอฝูงเรืออเมริกันก็ปล่อยจากระดับความสูงมาก แล้วคนที่อยู่ในระเบิดติดปีกก็บังคับใหพุ่งชนเรือครับ ;D กามิกาเซ หรือ Kamikaze เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ และ หมายถึงลมสลาตันที่ขับไล่กองทัพเรือมองโกลซึ่งเข้ามารุกรานญี่ปุ่นออกไปได้ ในปี ค.ศ. 1274 คำๆนี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย ;D นอกจากจะเป็นเครื่องบินที่ติดระเบิดหรือตอร์ปิโดพุ่งเข้าชนเรือแล้ว ยังมีระเบิดติดปีกบังคับด้วยคนพุ่งเข้าชนเรือด้วย (จำชื่อไม่ได้) โดยใช้เครื่องบินหิ้วระเบิดติดปีกพวกนี้ขึ้นไป เมื่อเจอฝูงเรืออเมริกันก็ปล่อยจากระดับความสูงมาก แล้วคนที่อยู่ในระเบิดติดปีกก็บังคับใหพุ่งชนเรือครับ ;D ระเบิดบินใช้เครื่องยนต์จรวดเชื้อเพลิงแข็ง (เหมือนจุดพลุ) ชื่อ Oka ครับ แล้วก็มีตอร์ปิโดคนขับชื่อ ไคเต็น ด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2007, 09:34:42 AM เหตุอเมริกาไม่ทิ้งระเบิดปรมณูที่Tokyo เพราะ ถ้าทิ้งที่โตเกียวจะเป็นการทำลายพระจักรพรรดิ์ซึ่งเป็นหัวใจหลักของคนญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นทั้งประเทศจะออกมาสู้ตาย การยกพลขึ้นบกและเข้ายึดครองทำได้ยาก ซึ่งจริงๆแล้วอเมริกาต้องการให้ญี่ป่นยอมแพ้มากกว่าที่จะต้องทำลายทั้งประเทศ ดังนั้นจึงทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ในฮิโรชิมากับนางาซากิแทน
ใช่ว่าโตเกียวไม่เคยโดนโจมตี จริงๆ ก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ โตเกียวโดนฝูงB29ทิ้งระเบิดเพลิงปูพรม ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้กับบ้านเรือนstyle ญี่ปุ่นที่สร้างจากไม้และกระดาษสาโดยเฉพาะ โดยทำให้เกิดไฟไหม้ใหญ่หลายๆจุดพร้อมกันลามไปทั่วเมือง ทำให้ประชาชนเสียชิวิตไปกว่า 200,000คน เมืองโดนทำลายไปราว 30-40% ซึ่งความสูญเสียไม่ได้น้อยไปกว่าโดนระเบิดนิวเคลียร์เลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2007, 03:32:02 PM จนทุกวันนี้มีกฎห้ามอยู่อย่างคือ เลยชวนคุยกันเรื่องอื่น อิอิอิ ::005::...ห้ามพูดเรื่องการเมืองการทหารระหว่างประเทศ. ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Jakkapat ที่ ตุลาคม 22, 2007, 05:33:26 PM กามิกาเซ หรือ Kamikaze เป็นภาษาญี่ปุ่น หมายถึง ลมสวรรค์ หรือลมแห่งเทวะ และ หมายถึงลมสลาตันที่ขับไล่กองทัพเรือมองโกลซึ่งเข้ามารุกรานญี่ปุ่นออกไปได้ ในปี ค.ศ. 1274 คำๆนี้ได้ถูกนำมาใช้เรียกอากาศยานพลีชีพของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งบรรทุกระเบิดและพุ่งเข้าชนเรือ และคำนี้ยังหมายถึงนักบินผู้บังคับอากาศยานประเภทนี้ด้วย ;D นอกจากจะเป็นเครื่องบินที่ติดระเบิดหรือตอร์ปิโดพุ่งเข้าชนเรือแล้ว ยังมีระเบิดติดปีกบังคับด้วยคนพุ่งเข้าชนเรือด้วย (จำชื่อไม่ได้) โดยใช้เครื่องบินหิ้วระเบิดติดปีกพวกนี้ขึ้นไป เมื่อเจอฝูงเรืออเมริกันก็ปล่อยจากระดับความสูงมาก แล้วคนที่อยู่ในระเบิดติดปีกก็บังคับใหพุ่งชนเรือครับ ;DYokosuka MXY-7 Ohka (Ohka = cherry blossom) (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/0/03/MXY7_Ohka_Cherry_Blossom_Baka_Ohka-3bs.jpg/800px-MXY7_Ohka_Cherry_Blossom_Baka_Ohka-3bs.jpg) รูปนี้มาจาก wikipedia เป็นรุ่นที่ใช้เครื่อง turbojet (http://www.warbirdsresourcegroup.org/IJARG/images/ohka-1.jpg) อันนี้เป็นเครื่องจรวด ไอ้ระเบิดร่อนนี้ใช้แปะไปกันเครื่องบินทิ้งระเบิด Mitsubishi G4M "Betty" หน้าตาออกมาประมาณนี้... (http://hsfeatures.com/features04/images/g4m2e72cw_26.jpg) พวกอเมริกันเรียกมันว่า Baka (เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า idiot) อันนี้ไปเจอมาจากบอร์ดโรงเรียน Prince Royal's College http://www.youtube.com/watch?v=eiuqkDeWRYs (http://www.youtube.com/watch?v=eiuqkDeWRYs) อ้างถึง ดูแล้วน้ำตาซึมไม่แพ้คลิปของจริงเลยครับ นี่เป็นเครื่องบินที่ออกแบบมาให้ใช้ครั้งเดียว เพื่อการ Kamikaze เท่านั้นมีชื่อเรียกว่า The Yokosuka MXY-7 Ohka (櫻花 "cherry blossom") "ซากุระร่วงโรย" ต้องใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดบินไปปล่อย เนื่องจากเชื้อเพลิงมีจำกัด มันก็คือ มิสไซล์ที่บังคับด้วยคนนั้นเอง อานุภาพ ก็อย่างที่เห็นในอนิเมตครับ เรือบรรทุกเครื่องบิน จมด้วย Ohka เครื่องเดียว แต่พวกอเมริกันเรียกมันว่า "เครื่องคนโง่" Ohka เองเป็นเหตุผลนึงที่ นายพลแม็กอาเธอร์ ไม่ยอมยกพลขึ้นบกที่ญี่ปุ่น เพราะแน่ใจได้ว่า ชาวญี่ปุ่นอีกมาก ต้องยอมสล่ะชีพปกป้องแผ่นดินตัวเองแน่นอน..... ผลก็อย่างที่เห็น ระเบิด A-Bomb 2 ลูก ถูกทิ้งลงเมือง 2 เมือง ซึ่งไม่ได้เป็นจุดยุทธศาสตร์อะไร มีเรื่องว่ากันว่า เป็นเพราะวันนั้น ฟ้าของเมืองนางาซากินั้นไร้เมฆพอดี เลยถูกใช้เป็นเป้าหมายปัจจุบันทันด่วน......แล้วก็เป็นการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ลงครับ มีแผนการสร้าง 800 ลำ แต่สงครามจบเสียก่อนครับ ดีที่มันจบเสียก่อน... Credit คุณ Takumi http://en.wikipedia.org/wiki/Ohka (http://en.wikipedia.org/wiki/Ohka) http://www.warbirdsresourcegroup.org/IJARG/ohka.html (http://www.warbirdsresourcegroup.org/IJARG/ohka.html) http://www.prc.ac.th/prcwb/?action=viewtopic&f=1&t=369 (http://www.prc.ac.th/prcwb/?action=viewtopic&f=1&t=369) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 22, 2007, 07:51:11 PM เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐ
ส่งให้ไปแก้เผ็ดญี่ปุ่นบ้าง โดยได้รับภาระกิจ ลับสุดยอด ส่งฝูงบิน B52 ไปถล่มโตเกียว แก้คืนที่ถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb34.JPG) เครื่องบิน B52 กำลังเหินขึ้น จากเรือบรรทุกเครื่องบิน (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb37.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ ตุลาคม 22, 2007, 08:18:13 PM เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐ ส่งให้ไปแก้เผ็ดญี่ปุ่นบ้าง โดยได้รับภาระกิจ ลับสุดยอด ส่งฝูงบิน B52 ไปถล่มโตเกียว แก้คืนที่ถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb34.JPG) เครื่องบิน B52 กำลังเหินขึ้น จากเรือบรรทุกเครื่องบิน (http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb37.JPG) B 25 Mitchell ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 22, 2007, 08:24:04 PM ขอบคุณครับ ผู้การฯ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 23, 2007, 08:21:24 AM ทหารอเมริกันโดนฉีดยาก็จะแสดงอาการแบบนี้แหละครับ
(http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb08.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ ตุลาคม 23, 2007, 09:02:29 AM ทหารอเมริกันโดนฉีดยาก็จะแสดงอาการแบบนี้แหละครับ หน้าตาน่ารักดี คริคริ(http://www.tourthai.com/gallery/images007/257phb08.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 23, 2007, 02:07:00 PM ทหารอยู่กับเสียงปืน เสียงลูกระเบิด เสี่ยงกับลูกกระสุน แต่กลับมากลัวเจ็บจากเข็มฉีดยา เรื่องแปลกแต่จริง นะหนูซิล
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 23, 2007, 03:09:35 PM เจ้าหน้าที่ Home Guard ของอังกฤษในกรุงลอนดอน กำลังเฝ้าดูท้องฟ้า จากหลังคาที่พักอาศัย กรุงลอนดอนตกเป็นเป้าทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศเยอรมันอย่างหนัก แต่ชาวอังกฤษก็ยืนหยัดต่อสู้การโจมตีอย่างเด็ดเดี่ยว แม้จะต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวก็ตาม เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีของอังกฤษกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "นี่คือเวลาที่ชาวอังกฤษทุกคนจะต้องร่วมมือกัน และรวมกันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน (was united as never before) ทั้งชาย และหญิง จะต้องทุ่มเทกับภารกิจของตัวเอง จนกระทั่งทรุดตัวลงกับพื้น ด้วยความอ่อนล้า จนต้องได้รับการบอกกล่าว ให้กลับบ้านไปพักผ่อน ในขณะเดียวกันบ้านพักของชาวอังกฤษก็จะมีผู้เข้ามาร่วมอยู่อาศัย จากการลี้ภัยสงคราม ความปรารถนาของทุกคน คือ การมีอาวุธ ชาวอังกฤษจะไม่หวั่นต่อการรุกราน เพราะพวกเราทุกคนได้เลือกแล้วว่า จะปราชัยต่อผู้รุกราน หรือ จะสละชีพเพื่อชาติ"
(http://www.geocities.com/saniroj1/london11x.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 23, 2007, 04:35:18 PM พอดีวันนี้ผมดู History channel เรื่องเรือดำน้ำจิ๋วของญี่ปุ่น..
จึงเพิ่งทราบว่ากระสุนนัดแรกที่ลั่นในสงครามแปซิฟิก... เป็นอเมริกายิงก่อน โดยยิงจากเรือ USS. WARD ซึ่งเป็นเรือลาดตระเวณชายฝั่ง นอกอ่าวเพิร์ล(ฮาร์เบอร์)... โดยยิงปืนขนาด 4 นิ้ว เข้าใส่เรือดำน้ำจิ๋วของญี่ปุ่น... และทหารสองนายแรกที่เสียชีวิตก็คือทหารเรือญี่ปุ่นในเรือดำน้ำลำนั้นครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 23, 2007, 07:01:34 PM อ้าว....เป็นนั้นไป ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ละซี ขอบคุณครับ คุณหมอ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 24, 2007, 02:19:10 AM ที่ตลกคือยิงเช้าวันที่ 7 ธค. 1941...
ก่อนถูกฝูงบินญี่ปุ่นโจมตีราว 1 ชั่วโมง... เรือ USS.WARD รายงานให้กองบัญชาการกองทัพเรือประจำภาคพื้นแปซิฟิกทราบ... แต่ทาง บก.ไม่ค่อยเชื่อข้อมูลเพราะเห็นว่าทหารที่ประจำเรืออายุน้อยและเป็นเช้าวันอาทิตย์... เป็นตลกที่ร้ายมากครับ...:DD หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 24, 2007, 05:51:48 AM Band of Brothers บทเรียนเรื่อง "ภาวะผู้นำ"
ในยามที่ผบ.ร้อยไม่เอาไหน ผบ.หมวดก็ไม่มีใครโดดเด่น กองร้อยอีซี่ก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้ในศึกสงครามที่แสนหฤโหดได้ ด้วยบรรดานายทหารชั้นประทวน (นายสิบและจ่า) โดยเฉพาะจ่าสิบเอกลิปตัน จ่ากองร้อย ที่ได้พยายามปลุกปลอบขวัญของเพื่อนทหารให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้ตลอด (http://www.iseehistory.com/images/1167572998/1167573228iseehistorycom1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ ตุลาคม 24, 2007, 06:23:31 AM ;D ในหนังเรื่องเพิลฮาร์เบอร์ ระหว่างญี่ปุ่นวางแผนโจมตี มีการให้ชาวญี่ปุ่น (สายลับ) ที่อยู่ฮาวายถ่ายภาพและส่งข้อมูลให้ ท่านใดมีข้อมูลจริงในเรื่องนี้กรุณาเล่าให้ฟังบ้างครับ ;D
Band of Brothers บทเรียนเรื่อง "ภาวะผู้นำ" ในยามที่ผบ.ร้อยไม่เอาไหน ผบ.หมวดก็ไม่มีใครโดดเด่น กองร้อยอีซี่ก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้ในศึกสงครามที่แสนหฤโหดได้ ด้วยบรรดานายทหารชั้นประทวน (นายสิบและจ่า) โดยเฉพาะจ่าสิบเอกลิปตัน จ่ากองร้อย ที่ได้พยายามปลุกปลอบขวัญของเพื่อนทหารให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้ตลอด ;D เรื่องราวในหนังเรื่องนี้ก็น่าศึกษาครับ ผมดูหนังเรื่องนี้เป็นสิบรอบแล้ว ไม่เบื่อซักที ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 24, 2007, 11:25:42 AM การรบทำได้ตื่นเต้นดีครับ ได้เห็นแม้กระทั่งกระสุนของข้าศึกที่เกือบจะคร่าชีวิตผู้พันมัวร์ด้วย คงจะเป็นแค่ลูกหลงน่ะครับ เพราะเห็นโดนแค่ไฟฉายที่อกเสื้อแตกกระจายเท่านั้นเอง ไม่แรงมากจนทำอันตรายให้บาดเจ็บได้ คงจะปลิวมา .ไกลแสนไกล เหตุการณ์ขำ ๆ ก็มีให้เห็นตอนที่หมวดอาวุธหนักไม่สามารถยิงปืนครกสนับสนุนการรบได้เนื่องจากลำกล้องร้อนจัด ผู้พันมัวร์ก็แก้ปัญหาด้วยการนำลูกน้องไปยืนฉี่รดลำกล้องปืน ค. โห .รบกันหนักขนาดนั้น ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ยืนฉี่กันได้อีก เก่งจริง ๆ ครับ (http://www.iseehistory.com/images/1180101787/MortarCooler.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JC ที่ ตุลาคม 24, 2007, 07:26:51 PM แหม... ติดตามอ่านมาเกือบ 30 หน้าแล้ว...มันส์หยด ...... ไหงเริ่มฉีก ไปสงครามเวียตนามแล้วอะครับ อิอิอิ ขอบคุณทุกท่านครับ การรบทำได้ตื่นเต้นดีครับ ได้เห็นแม้กระทั่งกระสุนของข้าศึกที่เกือบจะคร่าชีวิตผู้พันมัวร์ด้วย คงจะเป็นแค่ลูกหลงน่ะครับ เพราะเห็นโดนแค่ไฟฉายที่อกเสื้อแตกกระจายเท่านั้นเอง ไม่แรงมากจนทำอันตรายให้บาดเจ็บได้ คงจะปลิวมา .ไกลแสนไกล เหตุการณ์ขำ ๆ ก็มีให้เห็นตอนที่หมวดอาวุธหนักไม่สามารถยิงปืนครกสนับสนุนการรบได้เนื่องจากลำกล้องร้อนจัด ผู้พันมัวร์ก็แก้ปัญหาด้วยการนำลูกน้องไปยืนฉี่รดลำกล้องปืน ค. โห .รบกันหนักขนาดนั้น ยังอุตส่าห์มีอารมณ์ยืนฉี่กันได้อีก เก่งจริง ๆ ครับ (http://www.iseehistory.com/images/1180101787/MortarCooler.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jj26621 ที่ ตุลาคม 24, 2007, 11:39:35 PM :~)และแล้วที่ผมติดตามอ่านมา 3 วันก็ประสบความสำเร็จเสียที ได้ความรู้มากครับ :D~ขอบคุณพี่ๆทุกท่านมากครับที่แวะเวียนมาแบ่งปันความรู้ให้ได้อ่านกันครับ :~) :VOV: ยกย่องครับเหมือนหนังไตร์ภาคเลยครับ โดยมีอีกหลายมุมที่ไม่มีใครรู้มาก่อนครับ ::002::จะติดตามต่อไปทุกวันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 25, 2007, 06:23:42 AM ซากอาคารโรงพยาบาลเก่า ที่ฮิโรซิมาเป็นซากปรักจากการทิ้งระเบิด เขาจงใจอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นความทรงจำแห่งการทิ้งระเบิดปรมาณูครั้งแรกของโลก
(http://www.agrija.net/gallery/main.php?g2_view=core.DownloadItem&g2_itemId=1611&g2_serialNumber=1) เมื่อเด็กหญิงซาดาโกะ ซาซากิ ได้รับพิษจากการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐที่ถล่มเมืองฮิโรชิม่า เมื่อ 6 สิงหาคม 2489 หรือปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เกิดระเบิดนั้นเด็กหญิงซาดาโกะไม่ได้เกิดอาการเจ็บป่วยในทันที แต่ 11 ปี หลังจากนั้น ในปี 2498 วันที่ซาดาโกะแข่งขันวิ่งผลัดที่โรงเรียน ทำให้เด็กหญิงเหน็ดเหนื่อยและปวดศีรษะอย่างรุนแรง และจากนั้นก็เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นสลบในชั้นเรียน สำหรับซาดาโกะเมื่อทราบชะตาชีวิตตัวเองก็โศกเศร้าร้องไห้ตลอดเวลา เพราะอยากออกจากโรงพยาบาลและกลับไปโรงเรียน แต่ทำไม่ได้ กระทั่งชิซูโกะเพื่อนรักของซาดาโกะมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลและนำโอริกามิหรือกระดาษพับมาให้ พร้อมทั้งเล่าตำนาน "ซูรุ" หรือนกกระเรียนให้ซาดาโกะฟัง โดยคนญี่ปุ่นถือว่า ซูรุ เป็นนกศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเจ็บป่วยได้ด้วย ถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว แล้วผู้นั้นจะมีอาการดีขึ้น เมื่อได้ฟังดังนั้นซาดาโกะก็เลยตัดสินใจที่จะพับนกพร้อมกับเขียนคำว่า สันติภาพลงบนปีกนกด้วย เพื่อให้มันบินไปได้ทั่วโลก หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวและเพื่อนๆก็พากันช่วยซาดาโกะพับนกกระเรียน เมื่อครบ 500 ตัว ซาดาโกะอาการดีขึ้นและได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้กลับไปอยู่ที่บ้าน ระหว่างนั้นเด็กหญิงไม่เคยหยุดที่จะพับนกเลย แต่หลังจากกลับไปอยู่บ้านไม่นาน อาการของซาดาโกะก็เริ่มกำเริบขึ้นอีกจนต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดซาดาโกะก็จากครอบครัวไปอย่างสงบ ในขณะที่พับนกได้เพียง 644 ตัว หลังการเสียชีวิตของซาดาโกะ เพื่อนๆ ที่โศกเศร้าต่อการจากไปของเธอร่วมกันพับนกกระเรียนที่เหลือจนครบ 1,000 ตัว และใส่ไปในโลงศพของเธอด้วย นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งสมาคมนกกระเรียนเพื่อรำลึกถึงซาดาโกะอีกด้วย เมื่อเรื่องของซาดาโกะแพร่หลายออกไป ได้มีการบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงซาดาโกะและเด็กๆ อีกหลายคนที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู และตั้งที่ใจกลางสวนสาธารณะสันติภาพฮิโรชิม่า โดยอนุสาวรีย์นี้เป็นรูปของซาดาโกะกำลังยืนและยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไปบนฟ้า ที่มือของเธอถือนกกระเรียนสีทองไว้ด้วย นี่คืออนุสาวรีย ซาดาโก๊ะ (http://www.agrija.net/gallery/main.php?g2_view=core.DownloadItem&g2_itemId=1613&g2_serialNumber=1) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: m620- รักในหลวง ที่ ตุลาคม 25, 2007, 09:48:06 AM มีใครเคยดูหนังเรื่อง letters from Iwo Jima ไหมครับ
เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดีมากๆ เวลา 2 ชั่วโมงเศษๆ ครับ ถ้าดูรับรองว่าจะกินใจมากๆครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 25, 2007, 09:50:45 AM ซากอาคารโรงพยาบาลเก่า ที่ฮิโรซิมาเป็นซากปรักจากการทิ้งระเบิด เขาจงใจอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นความทรงจำแห่งการทิ้งระเบิดปรมาณูครั้งแรกของโลก (http://www.agrija.net/gallery/main.php?g2_view=core.DownloadItem&g2_itemId=1611&g2_serialNumber=1) เมื่อเด็กหญิงซาดาโกะ ซาซากิ ได้รับพิษจากการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐที่ถล่มเมืองฮิโรชิม่า เมื่อ 6 สิงหาคม 2489 หรือปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เกิดระเบิดนั้นเด็กหญิงซาดาโกะไม่ได้เกิดอาการเจ็บป่วยในทันที แต่ 11 ปี หลังจากนั้น ในปี 2498 วันที่ซาดาโกะแข่งขันวิ่งผลัดที่โรงเรียน ทำให้เด็กหญิงเหน็ดเหนื่อยและปวดศีรษะอย่างรุนแรง และจากนั้นก็เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นสลบในชั้นเรียน สำหรับซาดาโกะเมื่อทราบชะตาชีวิตตัวเองก็โศกเศร้าร้องไห้ตลอดเวลา เพราะอยากออกจากโรงพยาบาลและกลับไปโรงเรียน แต่ทำไม่ได้ กระทั่งชิซูโกะเพื่อนรักของซาดาโกะมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลและนำโอริกามิหรือกระดาษพับมาให้ พร้อมทั้งเล่าตำนาน "ซูรุ" หรือนกกระเรียนให้ซาดาโกะฟัง โดยคนญี่ปุ่นถือว่า ซูรุ เป็นนกศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเจ็บป่วยได้ด้วย ถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว แล้วผู้นั้นจะมีอาการดีขึ้น เมื่อได้ฟังดังนั้นซาดาโกะก็เลยตัดสินใจที่จะพับนกพร้อมกับเขียนคำว่า สันติภาพลงบนปีกนกด้วย เพื่อให้มันบินไปได้ทั่วโลก หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวและเพื่อนๆก็พากันช่วยซาดาโกะพับนกกระเรียน เมื่อครบ 500 ตัว ซาดาโกะอาการดีขึ้นและได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้กลับไปอยู่ที่บ้าน ระหว่างนั้นเด็กหญิงไม่เคยหยุดที่จะพับนกเลย แต่หลังจากกลับไปอยู่บ้านไม่นาน อาการของซาดาโกะก็เริ่มกำเริบขึ้นอีกจนต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดซาดาโกะก็จากครอบครัวไปอย่างสงบ ในขณะที่พับนกได้เพียง 644 ตัว หลังการเสียชีวิตของซาดาโกะ เพื่อนๆ ที่โศกเศร้าต่อการจากไปของเธอร่วมกันพับนกกระเรียนที่เหลือจนครบ 1,000 ตัว และใส่ไปในโลงศพของเธอด้วย นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งสมาคมนกกระเรียนเพื่อรำลึกถึงซาดาโกะอีกด้วย เมื่อเรื่องของซาดาโกะแพร่หลายออกไป ได้มีการบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงซาดาโกะและเด็กๆ อีกหลายคนที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู และตั้งที่ใจกลางสวนสาธารณะสันติภาพฮิโรชิม่า โดยอนุสาวรีย์นี้เป็นรูปของซาดาโกะกำลังยืนและยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไปบนฟ้า ที่มือของเธอถือนกกระเรียนสีทองไว้ด้วย นี่คืออนุสาวรีย ซาดาโก๊ะ (http://www.agrija.net/gallery/main.php?g2_view=core.DownloadItem&g2_itemId=1613&g2_serialNumber=1) ซากอาคารโรงพยาบาลเก่า ที่ฮิโรซิมาเป็นซากปรักจากการทิ้งระเบิด เขาจงใจอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นความทรงจำแห่งการทิ้งระเบิดปรมาณูครั้งแรกของโลก (http://www.agrija.net/gallery/main.php?g2_view=core.DownloadItem&g2_itemId=1611&g2_serialNumber=1) เมื่อเด็กหญิงซาดาโกะ ซาซากิ ได้รับพิษจากการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐที่ถล่มเมืองฮิโรชิม่า เมื่อ 6 สิงหาคม 2489 หรือปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่เกิดระเบิดนั้นเด็กหญิงซาดาโกะไม่ได้เกิดอาการเจ็บป่วยในทันที แต่ 11 ปี หลังจากนั้น ในปี 2498 วันที่ซาดาโกะแข่งขันวิ่งผลัดที่โรงเรียน ทำให้เด็กหญิงเหน็ดเหนื่อยและปวดศีรษะอย่างรุนแรง และจากนั้นก็เริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นสลบในชั้นเรียน สำหรับซาดาโกะเมื่อทราบชะตาชีวิตตัวเองก็โศกเศร้าร้องไห้ตลอดเวลา เพราะอยากออกจากโรงพยาบาลและกลับไปโรงเรียน แต่ทำไม่ได้ กระทั่งชิซูโกะเพื่อนรักของซาดาโกะมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลและนำโอริกามิหรือกระดาษพับมาให้ พร้อมทั้งเล่าตำนาน "ซูรุ" หรือนกกระเรียนให้ซาดาโกะฟัง โดยคนญี่ปุ่นถือว่า ซูรุ เป็นนกศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเจ็บป่วยได้ด้วย ถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว แล้วผู้นั้นจะมีอาการดีขึ้น เมื่อได้ฟังดังนั้นซาดาโกะก็เลยตัดสินใจที่จะพับนกพร้อมกับเขียนคำว่า สันติภาพลงบนปีกนกด้วย เพื่อให้มันบินไปได้ทั่วโลก หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวและเพื่อนๆก็พากันช่วยซาดาโกะพับนกกระเรียน เมื่อครบ 500 ตัว ซาดาโกะอาการดีขึ้นและได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้กลับไปอยู่ที่บ้าน ระหว่างนั้นเด็กหญิงไม่เคยหยุดที่จะพับนกเลย แต่หลังจากกลับไปอยู่บ้านไม่นาน อาการของซาดาโกะก็เริ่มกำเริบขึ้นอีกจนต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดซาดาโกะก็จากครอบครัวไปอย่างสงบ ในขณะที่พับนกได้เพียง 644 ตัว หลังการเสียชีวิตของซาดาโกะ เพื่อนๆ ที่โศกเศร้าต่อการจากไปของเธอร่วมกันพับนกกระเรียนที่เหลือจนครบ 1,000 ตัว และใส่ไปในโลงศพของเธอด้วย นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งสมาคมนกกระเรียนเพื่อรำลึกถึงซาดาโกะอีกด้วย เมื่อเรื่องของซาดาโกะแพร่หลายออกไป ได้มีการบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงซาดาโกะและเด็กๆ อีกหลายคนที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู และตั้งที่ใจกลางสวนสาธารณะสันติภาพฮิโรชิม่า โดยอนุสาวรีย์นี้เป็นรูปของซาดาโกะกำลังยืนและยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไปบนฟ้า ที่มือของเธอถือนกกระเรียนสีทองไว้ด้วย นี่คืออนุสาวรีย ซาดาโก๊ะ (http://www.agrija.net/gallery/main.php?g2_view=core.DownloadItem&g2_itemId=1613&g2_serialNumber=1) อาคารนี้เป็นศาลาว่าการเมืองครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 25, 2007, 12:37:18 PM ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่กองทัพสหรัฐอเมริกันกำลังบุกเข้ายึดเกาะโอกินาวา เรือยามาโต้ได้รับคำสั่งให้เข้าปฏิบัติการที่เรียกว่า KIKUSUI 1 ซึ่งแปลว่า ดอกเบญจมาศลอยน้ำ โดยมีภารกิจให้ทำการล่อฝูงบินอเมริกันให้ออกจากน่านน้ำเกาะโอกินาวา เปิดโอกาสให้ฝูงบินกามิกาเซ่ของญี่ปุ่นบินฝ่าด่านป้องกันของฝูงบินอเมริกา เพื่อเข้าโจมตีกองทัพเรือ ปกป้องไม่ให้กองทัพสหรัฐยึดเกาะโอกินาวาได้
(http://www.marinerthai.net/sara/yama002.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 25, 2007, 06:39:27 PM ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นรุกรานจีนกำลังกลับมาเป็นหัวข้อสนใจกันอีกครั้งหลังจากคลื่นการประท้วงของชาวจีนนับหมื่นในหลายเมืองใหญ่ได้กลายเป็นข่าวติดต่อกันมาเป็นสัปดาห์ที่สาม
รายงานของบีบีซีบอกว่า กรณีการข่มขืนที่เมืองนานกิง หรือ The Rape of Nanjing หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กรณีการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิงระหว่างเดือนธันวาคม 2480 ถึงเดือนมีนาคม 2481 นับเป็นการสังหารหมู่ครั้งร้ายแรงที่สุดในยุคใหม่ ญี่ปุ่นยอมรับว่าเกิดการสังหารและข่มขืนจริง แต่จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อไม่ได้มากถึงขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นพูดถึงผู้เคราะห์ร้ายโดยบอกว่ามี "จำนวนมาก" หรือ "หลายคน" และเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดในยามปกติ แต่เป็นสถานการณ์ของสงคราม (http://www.mthai.com/webboard/upload_images/87385.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JC ที่ ตุลาคม 26, 2007, 12:07:41 AM ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นรุกรานจีนกำลังกลับมาเป็นหัวข้อสนใจกันอีกครั้งหลังจากคลื่นการประท้วงของชาวจีนนับหมื่นในหลายเมืองใหญ่ได้กลายเป็นข่าวติดต่อกันมาเป็นสัปดาห์ที่สาม รายงานของบีบีซีบอกว่า กรณีการข่มขืนที่เมืองนานกิง หรือ The Rape of Nanjing หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กรณีการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิงระหว่างเดือนธันวาคม 2480 ถึงเดือนมีนาคม 2481 นับเป็นการสังหารหมู่ครั้งร้ายแรงที่สุดในยุคใหม่ ญี่ปุ่นยอมรับว่าเกิดการสังหารและข่มขืนจริง แต่จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อไม่ได้มากถึงขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นพูดถึงผู้เคราะห์ร้ายโดยบอกว่ามี "จำนวนมาก" หรือ "หลายคน" และเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดในยามปกติ แต่เป็นสถานการณ์ของสงคราม (http://www.mthai.com/webboard/upload_images/87385.jpg) ยังงี๊โดนสองลูกน้อยไป ถ้าเทียบกับการจงใจกระทำกรรมที่ต่ำช้าเยี่ยงนี้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 26, 2007, 08:06:00 AM Kryssare.
(http://ww2photo.mimerswell.com/navy/aus/06713.jpg) HMSA Perth หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ตุลาคม 26, 2007, 08:24:44 AM สงครามมีแต่ความโหดร้าย และสูญเสีย ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก แต่มันต้องมาแน่ ไม่รู้เมื่อไหร่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 26, 2007, 08:32:28 AM อีก 120 ปีข้างหน้า ลุงปูไม่ต้องเป็นห่วง
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 27, 2007, 05:43:26 AM มาดูต่อเรื่อง ของสงครามโลกครั้งที่ ๒ กับประเทศไทย
กรณีพิพาทอินโดจีน สถานการณ์ในประเทศไทย เริ่มขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483 เมื่อคณะนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนร่วมกันเดินขบวนเรียกร้องรัฐบาล เรียกเอาดินแดนคืนจากฝรั่งเศสจากเหตุการณ์ รศ. 112 เช่น เสียมราฐ พระตะบอง จำปาศักดิ์ เป็นต้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ส่งทหารข้ามพรมแดนเข้าไปยึดดินแดนคืนทันที ท่ามกลางกระแสชาตินิยมอย่างหนัก เ พลงปลุกใจในเวลานั้นได้ถูกเปิดอย่างต่อเนื่อง เช่น เพลงข้ามโขง เพลงจำปาศักดิ์ เพลงเสียมราฐ เป็นต้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Mango ที่ ตุลาคม 28, 2007, 07:50:15 PM มาขุดกระทู้นี้ด้วยคนคร้าบ...กระทู้ดีๆๆอย่าให้ตกไปง่ายๆๆ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ ตุลาคม 28, 2007, 08:30:42 PM เรื่องราวตอนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้เป็นเรื่องที่มีการปิดบังกันมาก ดูในหนังสือที่เขียนเล่าจะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน เอาแค่งายๆตอนที่สมเด็จ.ท่านประกาศยอมแพ้ทางวิทยุ. บางคนก็บอกเสียงสด บางคนก็บอกไม่ใช่องค์ท่านประกาศก่อนโดนปรมนูเสียอีก แต่หาโอกาสประกาศไม่ได้ เพราะมีทหารส่วนหนึงต้องการปฏิวัติ ไม่ให้ยอมแพ้
เรื่องราวของสงสรามแต่ละประเทศล้วนแล้วแต่ปิกบัง+ตอแหล ลูกหลานด้วยกันทั้งนั้น ในส่วนตัวผมมองในอีกแง่หนึง ถ้าไม่มีกองทัพญี่ปุ่นบุกเอเซียเฉียงใต้ ประเทศเหล่านี้คงเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งหัวแดงหมดแล้ว. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Jakkapat ที่ ตุลาคม 28, 2007, 08:52:10 PM (http://img415.imageshack.us/img415/9045/tank7qk.jpg)
ท่านผู้รู้ช่วยเล่าถึงเจ้านี่หน่อยสิครับ...Goliath ระเบิดบังคับวิทยุ มีคลิปด้วย http://www.youtube.com/watch?v=LIL34mpLi4o&mode=related&search= ตู้มเดียวรถถังหาย :OO หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 28, 2007, 10:44:49 PM เรื่องราวตอนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้เป็นเรื่องที่มีการปิดบังกันมาก ดูในหนังสือที่เขียนเล่าจะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน เอาแค่งายๆตอนที่สมเด็จ.ท่านประกาศยอมแพ้ทางวิทยุ. บางคนก็บอกเสียงสด บางคนก็บอกไม่ใช่องค์ท่านประกาศก่อนโดนปรมนูเสียอีก แต่หาโอกาสประกาศไม่ได้ เพราะมีทหารส่วนหนึงต้องการปฏิวัติ ไม่ให้ยอมแพ้ เรื่องราวของสงสรามแต่ละประเทศล้วนแล้วแต่ปิกบัง+ตอแหล ลูกหลานด้วยกันทั้งนั้น ในส่วนตัวผมมองในอีกแง่หนึง ถ้าไม่มีกองทัพญี่ปุ่นบุกเอเซียเฉียงใต้ ประเทศเหล่านี้คงเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งหัวแดงหมดแล้ว. ช่วงนั้นเหลือประเทศไทยประเทศเดียวครับที่ยังมีเอกราชอยู่ครับ... ก่อนหน้านั้นเราเหมือนต้นไม้เล็กที่อยู่กลางพายุครับ... ทั้งจากอังกฤษทั้งจากฝรั่งเศสรวมถึงการแผ่อิทธิพลจากมหาอำนาจหัวแดงอีกหลายชาติ... ถึงมีเรื่องราวทั้งรศ. 112 ทั้งการเสียดินแดนอีกหลายครั้งครับ... รวมถึงการที่สมเด็จพระปิยมหาราชทรงเสด็จประพาศยุโรป... โอ๊ย คุยกันอีกเรื่องยาวครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jj26621 ที่ ตุลาคม 29, 2007, 08:48:37 PM มาขุดกะทู้ครับ ยากรู้เรื่องราวต่อครับขอขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 29, 2007, 09:46:35 PM ประมวลภาพสงครามโลกครั้งที่ ๒
(http://www.wwiivets.com/Curriculum%20Images/images/8th%20Air%20Force%20Raid%20over%20Germany,%201943,%20208-YE-7,%20NARA%20II_jpg.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 29, 2007, 11:12:50 PM เรื่องราวตอนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้เป็นเรื่องที่มีการปิดบังกันมาก ดูในหนังสือที่เขียนเล่าจะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างชัดเจน เอาแค่งายๆตอนที่สมเด็จ.ท่านประกาศยอมแพ้ทางวิทยุ. บางคนก็บอกเสียงสด บางคนก็บอกไม่ใช่องค์ท่านประกาศก่อนโดนปรมนูเสียอีก แต่หาโอกาสประกาศไม่ได้ เพราะมีทหารส่วนหนึงต้องการปฏิวัติ ไม่ให้ยอมแพ้ เรื่องราวของสงสรามแต่ละประเทศล้วนแล้วแต่ปิกบัง+ตอแหล ลูกหลานด้วยกันทั้งนั้น ในส่วนตัวผมมองในอีกแง่หนึง ถ้าไม่มีกองทัพญี่ปุ่นบุกเอเซียเฉียงใต้ ประเทศเหล่านี้คงเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งหัวแดงหมดแล้ว. ช่วงนั้นเหลือประเทศไทยประเทศเดียวครับที่ยังมีเอกราชอยู่ครับ... ก่อนหน้านั้นเราเหมือนต้นไม้เล็กที่อยู่กลางพายุครับ... ทั้งจากอังกฤษทั้งจากฝรั่งเศสรวมถึงการแผ่อิทธิพลจากมหาอำนาจหัวแดงอีกหลายชาติ... ถึงมีเรื่องราวทั้งรศ. 112 ทั้งการเสียดินแดนอีกหลายครั้งครับ... รวมถึงการที่สมเด็จพระปิยมหาราชทรงเสด็จประพาศยุโรป... โอ๊ย คุยกันอีกเรื่องยาวครับ...:D ไทยเสียดินแดนทั้งหมด 7 ครั้ง (จำลำดับก่อนหลังและจำนวนดินแดนที่เสียแน่นอนในแต่ละครั้งไม่ได้ใครจำได้ช่วยบอกด้วยครับ) 1. สิบสองจุไท ฝรั่งเศสอ้างว่าเข้ามาปราบปรามกบฏจีนฮ่อแล้วก็ถือโอกาสยึดเอาไป 2. ลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง 3. เขมรนอก 4.เกิดกรณีรศ.112 (พระยอดเมืองขวาง)ฝรั่งเศสแล่นเรือมาจอดหน้าสถานฑูตในแม่น้ำเจ้าพระยา ไทยต้องเสียสินไหมโดยใช้เงินท้องพระคลังถุงแดง ฝรั่งเศสถอยออกไปยึดเมืองจันทรบุรี 5.หลังจากยึดเมืองจันทรบุรีไทยขอแลกกับแขวงเมืองจำปาศักดิ์ ฝรั่งเศสยอมแลกแต่ถอยไปยึดตราดเอาไว้ต่อ(หมาป่าชัดๆ) 6.หลังจากนั้นไทยก็ขอแลกเมืองตราดกับเขมรใน ได้แก่พระตะบองเสียมราฐ ศรีโสภณ 7. รัฐไทยใหญ่รัฐกระเหรี่ยงและรัฐคะยา(มะริด ทวาย ตะนาวศรี) รวมทั้งไทรบุรี ปีนัง กลันตัน ตรังกานู จริงๆแล้วเรื่องประวัติศาสตร์การโดนรังแกแบบนี้ เวียดนาม พม่า มาเลย์ สอนกันจนจำฝังใจ ให้คนรุ่นหลังจดจำไม่ลืมเลือนแต่คนไทยหน้าบางมีอยู่บทเล็กๆตอนมัธยมต้น(ไม่รู้เด็กรุ่นปัจจุบันได้เรียนหรือเปล่า) ทำให้เด็กไทยรุ่นใหม่มีเลือดรักชาติรักแผ่นดินน้อยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 30, 2007, 03:05:17 AM จริงๆจะว่าดินแดนไครมันก็พูดยากเพราะที่ฝรั่งเศสมันชิงจากเรา เราก็ชิงมาจากประเทศเพื่อนบ้านเหมือนกัน ถ้ามองในแง่ดี ที่ฝรั่งเศสมันเอาดินแดนไปก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันนะครับ คือถ้ามันไม่ชิงดินแดน คนที่ต้องสู้กับเวียดนามที่เดียนเบียนฟูอาจจะเป็นไทย
ไม่อยากไห้ยกย่องญี่ปุ่นนะครับเพราะการรุกรานของญี่ปุ่นทั่วเอเชียโหดร้ายมาก และไม่ได้เป็นการปลดปล่อยชาติในเอเชียแต่กดขี่ยิ่งกว่าฝรั่งซะอีก และที่ฝรั่งมันออกไปแล้วจริงๆหลังสงครามมันก็กลับมาอีก และที่มันต้องไปอีกครั้งก็เพราะนักสู้เสรีทั่วเอเชียนะครับสู้กันจนฝรั่งมันคิดว่าได้ไม่คุ้มเสียเลยถอนตัวไป ที่สำคัญก็เดียนเบียนฟู แต่ที่ว่าถ้าไม่มีญี่ปุ่น ชาติทั่วเอเชียยังต้องเป็นเมืองขึ้นฝรั่งอยู่ก็อาจจะจริง เพราะการรุกรานอย่างโหดร้ายของญี่ปุ่นได้ปลุกชาตินิยมขึ้นทั่วเอเชีย แต่สุดท้ายคนที่คว้าเสรีภาพมาได้ก็คือนักรบเจ้าของประเทศนะเอง จริงๆอังกฤษและโซเวียตสามารถป้องกันตนเองได้โดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากอเมริกา (แต่ความช่วยเหลือก็ช่วยชีวิตคนได้มากมาย) สุดท้ายเสรีภาพก็เป็นเรื่องที่ต้องสู้แย่งชิงมาด้วยตนเองมากกว่าจะไปพึ่งประเทศอื่น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 30, 2007, 03:11:35 AM โกไลแอท เป็นระเบิดบังคับวิทยุของเยอรมันนะครับ ปกติเอาไว้กู้กับระเบิดโดยบังคับไห้มันไปในพื้นที่แล้วสั่งไห้ระเบิดตัวเอง ไช้ทำลายรถถังก็ได้โดยสั่งไห้ไปใต้รถถังแล้วระเบิดจากด้านไต้ที่มีเกราะอ่อน มันค่อนข้างช้าและเกราะก็ไม่หนานักเลยโดนยิงทำลายได้ มีส่วนสำคัญในการรบที่เคิร์กทำไห้กองกำลังภาคไต้สามารถทะลวงแนวป้องกันของโซเวียตได้ถึงสองชั้น
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 30, 2007, 08:43:48 AM ประมวลภาพสงครามโลก ๒ /๒
(http://www.wwiivets.com/Curriculum%20Images/images/B-17%20Damaged%20on%20Bombing%20Mission%20over%20Cologne,%20Germany,%2011__A_tif.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 30, 2007, 12:38:20 PM จริงๆจะว่าดินแดนไครมันก็พูดยากเพราะที่ฝรั่งเศสมันชิงจากเรา เราก็ชิงมาจากประเทศเพื่อนบ้านเหมือนกัน ถ้ามองในแง่ดี ที่ฝรั่งเศสมันเอาดินแดนไปก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันนะครับ คือถ้ามันไม่ชิงดินแดน คนที่ต้องสู้กับเวียดนามที่เดียนเบียนฟูอาจจะเป็นไทย ไม่อยากไห้ยกย่องญี่ปุ่นนะครับเพราะการรุกรานของญี่ปุ่นทั่วเอเชียโหดร้ายมาก และไม่ได้เป็นการปลดปล่อยชาติในเอเชียแต่กดขี่ยิ่งกว่าฝรั่งซะอีก และที่ฝรั่งมันออกไปแล้วจริงๆหลังสงครามมันก็กลับมาอีก และที่มันต้องไปอีกครั้งก็เพราะนักสู้เสรีทั่วเอเชียนะครับสู้กันจนฝรั่งมันคิดว่าได้ไม่คุ้มเสียเลยถอนตัวไป ที่สำคัญก็เดียนเบียนฟู แต่ที่ว่าถ้าไม่มีญี่ปุ่น ชาติทั่วเอเชียยังต้องเป็นเมืองขึ้นฝรั่งอยู่ก็อาจจะจริง เพราะการรุกรานอย่างโหดร้ายของญี่ปุ่นได้ปลุกชาตินิยมขึ้นทั่วเอเชีย แต่สุดท้ายคนที่คว้าเสรีภาพมาได้ก็คือนักรบเจ้าของประเทศนะเอง จริงๆอังกฤษและโซเวียตสามารถป้องกันตนเองได้โดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากอเมริกา (แต่ความช่วยเหลือก็ช่วยชีวิตคนได้มากมาย) สุดท้ายเสรีภาพก็เป็นเรื่องที่ต้องสู้แย่งชิงมาด้วยตนเองมากกว่าจะไปพึ่งประเทศอื่น อันนี้ผมเห็นด้วยกับพี่ nosta ว่าถ้าดินแดนในปกครองคนละเชื้อชาติ ศาสนากันจะมีปัญหามาก ประเทศที่มั่นคงเป็นปึกแผ่นควรจะมีประชาชนเชื้อชาติเดียวกัน เวลามีข้อขัดแย้งกันก็จะไมรุนแรงมากเท่าไหร่ แต่กรณีเดียนเบียนฟู ตรงนั้นเป็นถิ่นที่อยู่ของไทยดำ เชื้อชาติเดียวกับคนไทยครับ ดินแดนที่เสียไปและมีคนเชื้อชาติไทยตั้งรกรากอยู่ได้แก่ เชียงตุง ลาว สิบสองจุไท พระตะบองเสียมราฐ ศรีโสภณ รวมทั้งดินแดนที่ปกครองโดยไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นอย่างมะริดทวายตะนาวศรี จะไม่มีปัญหาทางการปกครองหรือมีก็น้อยมากครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 30, 2007, 08:35:21 PM ประมวลภาพสงครามโลก ๒/๓
(http://img205.imageshack.us/img205/4904/b2620martin20marauders2wg1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ตุลาคม 30, 2007, 08:52:33 PM ผมข้อมูลไม่ค่อยแน่นต้องขออภัยด้วยครับ ^_^
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 30, 2007, 09:10:37 PM ไทยกับสงครามโลกครั้งที่2
สงคราม โลก ครั้ง ที่ ๒ เกิดขึ้นในยุโรป ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๒ เมื่อ อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ประกาศ สงครามกับเยอรมนี แล้วเลยลุกลาม เป็น สงครามโลก ทาง ด้าน เอเชีย ญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับ สัมพันธมิตร เมื่อ วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อ มา วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กอง ทหาร ญี่ปุ่น ก็ เข้าเมืองไทย ทาง สงขลา ปัตตานี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ และ สมุทรปราการ ขณะ เดียวกัน ญี่ปุ่น ก็ เข้า โจม ตี เกาะ ฮาวาย, ฟิลิปปินส์ และ ส่ง ทหาร ขึ้น บก ที่ มลายู และ โจม ตี สิงคโปร์ ทาง เครื่องบิน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ตุลาคม 30, 2007, 10:59:00 PM ผมข้อมูลไม่ค่อยแน่นต้องขออภัยด้วยครับ ^_^ พี่ nosta แน่นหรือไม่แน่น ผมก็ขอนั่งหน้าจอฟังพี่เล่าเรื่องสงครามโลกและ ยุทธวิธีการรบ แหละครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 31, 2007, 08:46:54 AM ฝ่ายอักษะ (Axis Powers) เป็นฝ่ายที่ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อันประกอบด้วย หลายประเทศโดยมีแกนนำคือ
อิตาลี นำโดย เบนิโต มุสโซลินี นาซี เยอรมนี นำโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ญี่ปุ่นนำโดยจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ ประเทศอื่นที่สนับสนุน โรมาเนีย ฮังการี บัลแกเรีย ประเทศอื่นที่ให้ความร่วมมือ โครเอเชีย ฟินแลนด์ ไทย นำโดย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม อินเดีย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ตุลาคม 31, 2007, 11:33:02 AM ภาพที่ 4
(http://www.armchairempire.com/images/Reviews/pc/soldiers-heroes-world-war-ii/soldiers-heroes-world-war-ii-1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 31, 2007, 11:29:14 PM ภาพที่ 4 (http://www.armchairempire.com/images/Reviews/pc/soldiers-heroes-world-war-ii/soldiers-heroes-world-war-ii-1.jpg) ภาพอะไรครับ... ดูเหมือนรถถูกระเบิด... รบกวนอาจารย์ช่วยเล่ารายละเอียดหน่อยสิครับ... ;) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: xiehua dun ที่ พฤศจิกายน 01, 2007, 08:29:59 AM ภาพที่ 4 เกมนี้ผมเคยเล่นอยู่นะ(http://www.armchairempire.com/images/Reviews/pc/soldiers-heroes-world-war-ii/soldiers-heroes-world-war-ii-1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NatthaphoN_ ที่ พฤศจิกายน 01, 2007, 08:36:18 AM ภาพที่ 4 เกมนี้ผมเคยเล่นอยู่นะ(http://www.armchairempire.com/images/Reviews/pc/soldiers-heroes-world-war-ii/soldiers-heroes-world-war-ii-1.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 01, 2007, 02:10:16 PM เอามาฝากคนเก่งภาษาครับ
http://www-cgsc.army.mil ผมซนค้นหาอะไรไปเรื่อยเปื่อย อยู่ดี ๆ ก็ไปเจอรูปแผนที่การโจมตีของญี่ปุ่น Japanese attacks, 2 August 1944 http://www-cgsc.army.mil/carl/resources/csi/Drea/images/IMG30.GIF น่าจะเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 นะครับ ปล.วอนคนใจบุญอ่านแล้วแปลให้คนไม่เก่งภาษาแบบผมได้รับความรู้ด้วยนะครับ ::004:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 01, 2007, 09:46:25 PM ???เห็นแล้วชอบครับ หมอรุธ เรื่องรายละเอียด ต้องถาม ตาซิล กับ ตาพนธ์ ครับ ::012::
ภาพที่ ๕ (http://www.wwiivets.com/Curriculum%20Images/images/Bodies%20in%20Death%20on%20the%20Beach%20at%20Tarawa,%20November%201943,%2008__A_jpg.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 06:59:44 PM ภาพที่ ๖
(http://www.wwiivets.com/Curriculum%20Images/images/Crash%20Landing%20on%20the%20USS%20Enterprise,%20November%201943,%20080-G__A_jpg.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jj26621 ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 10:27:02 AM เมื่อไหร่จะมีเรื่องราวต่อครับ อยากทราบต่อครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 10:39:03 AM MP. 44 ผมว่ามันคงผลิตเอาตอนเยอรมันใกล้แพ้สงครามโลกครั้งที่สองแล้วครับ เลยไม่ค่อยแพร่หลายออกมาให้เห็น อุปกรณ์สงคราม ทั้งปืน จรวด ระเบิด รถถัง เครื่องบิน ของเยอรมันในสมัยนั้น ถูกลอกเอามาเป็นต้นแบบของอาวุธสงครามในสมัยนี้แทบทั้งนั้นเลยครับ ถ้าเยอรมันไม่โดนรุมกินโต๊ะล่ะก็ ผมว่าหาใครทาบยากจริงๆในโลกนี้เรื่องประดิษฐ์คิดค้นนี่ นี่เป็นปืนลำกล้องโค้ง ที่ใช้ยิงตามมุมตึกโดยคนยิงไม่ต้องโผล่หน้าออกไปเล็ง ใช้มองผ่านกระจกสะท้อน มีชาติไหนช่างคิดได้แบบนี้บ้างล่ะครับ เจ๋งจริงๆ (http://www.weekendhobby.com/gun/webboard/picture/279254917461.JPG) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ฝุ่น-รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 11:13:32 AM ช่วยยกกระทู้ครับ
อยากทราบเรื่องราวต่อครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 11:24:20 AM ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน Flak 88 mm. Cannon ของฝ่ายนาซีเยอรมันครับ แต่ผมอยากเรียกมันว่าปืนใหญ่อเนกประสงค์มากกว่า เพราะสามารถดัดแปลงเป็นปืนต่อสู้รถถังและใช้ยิงถล่มปูพรมพื้นที่ได้ด้วย จัดเป็นปืนใหญ่ที่มีอานุภาพแรงสูงมากขนาดฝ่ายพันธมิตรยังเกรงกลัว เพราะเจ้ารถถัง M4 Sherman และ M10 ของฝ่ายอเมริกาเจอปืนใหญ่นี่เข้าไปทีเป็นระเบิดไฟลุกท่วมทุกคันเลยครับ (http://www.weekendhobby.com/gun/webboard/picture/301255023411.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 03, 2007, 05:38:22 PM เบื้องหลัง สงคราม
(http://www.wwiivets.com/Curriculum%20Images/images/American%20Grave%20Prepared%20by%20French%20Civilians,%20Carentan,%20Fr__A_jpg.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 09:11:08 AM สงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้สมรภูมิรบสามทวีปสองมหาสมุทรคือ ในทวีปยุโรปและมหาสมุทรแอตแลนติก เริ่มการรบในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 ยุติในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ในทวีปแอฟริกาเริ่มการรบในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ยุติในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1943 ในทวีปเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก เริ่มการรบในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 ยุติในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 โดยฝ่ายสัมพันธมิตร 57 ชาติเป็นผู้มีชัยชนะ ฝ่ายอักษะ นำโดย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ผลของสงครามประชากรโลกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก กล่าวคือทหารอเมริกันเสียชีวิต 4 แสนนาย ทหารรัสเซียเสียชีวิต 20 ล้านนาย ทหารโปแลนด์เสียชีวิต 5.8 ล้านนาย ทหารเยอรมนีเสียชีวิต 4.5 ล้านนาย ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต 2 ล้านนาย ทหารในกลุ่มประเทศยุโรปรวมเสียชีวิต 35 ล้านนาย
(http://www.eqplusonline.com/picture/ww2_8.gif) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 09:14:00 AM สงครามก่อให้เกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากสงครามประเทศต่างๆต้องหันกลับมาพัฒนาประเทศของตนให้กลับสู่สภาพเดิม และสร้างความมั่นคงให้กับ ประเทศถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศต่างๆ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงสงครามแต่ก็จะหันมาแข่งขันพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ให้มีความทันสมัยเหนือนานาประเทศ
(http://www.eqplusonline.com/picture/ww2_6.gif) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 04, 2007, 07:24:15 PM ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒
ระหว่างสงคราม ในเวลานั้น ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากได้เข้าสู่พระนครเต็มไปหมด และได้ใช้สถานที่ทางราชการบางแห่งเป็นที่ทำการ รัฐบาลได้ประกาศให้ญี่ปุ่นเป็น มหามิตร ประชาชนทุกคนต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนกับทางญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ การกระทำใด ๆ ที่เป็นปรปักษ์มีโทษถึง ประหารชีวิต แต่ก็มีประชาชนบางส่วนลับหลังได้เรียกญี่ปุ่นอย่างดูถูกว่า " ไอ้ยุ่น " หรือ " หมามิตร " เป็นต้น โปสเตอร์ ของรัฐบาล (http://www.aobza.com/main/eduzone/worldwar2/images/poster_full.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 01:09:02 PM ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน Flak 88 mm. Cannon ของฝ่ายนาซีเยอรมันครับ แต่ผมอยากเรียกมันว่าปืนใหญ่อเนกประสงค์มากกว่า เพราะสามารถดัดแปลงเป็นปืนต่อสู้รถถังและใช้ยิงถล่มปูพรมพื้นที่ได้ด้วย จัดเป็นปืนใหญ่ที่มีอานุภาพแรงสูงมากขนาดฝ่ายพันธมิตรยังเกรงกลัว เพราะเจ้ารถถัง M4 Sherman และ M10 ของฝ่ายอเมริกาเจอปืนใหญ่นี่เข้าไปทีเป็นระเบิดไฟลุกท่วมทุกคันเลยครับ (http://www.weekendhobby.com/gun/webboard/picture/301255023411.jpg) ผมเล่นเกมส์ Close Combat (http://www.closecombat.org/) เวลาเจอเจ้ากระบอกนี้ตรงไหน เป็นสั่งให้ ค. ยิงให้ราบทุกที ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 03:35:08 PM ขณะเดียวกัน ทางสหรัฐอเมริกา ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ไม่อาจยอมรับการประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นของ
รัฐบาลไทยและได้ประกาศขบวนการเสรีไทยขึ้นที่นั่น ในวันที่ 12 ธันวาคม พร้อม ๆ กับขบวนการเสรีไทยในที่อื่น ๆ ก็ได้เกิดขึ้น และเสถียรภาพ ความมั่นคงของรัฐบาลไทยก็ได้สั่นคลอนเมื่อคณะราษฎร์ฝ่ายพลเรือนหลายคน เช่น ปรีดี พนมยงค์ ทวี บุณยเกตุ ควง อภัยวงศ์ ได้แยกตัวออกมา เนื่องจากไม่อาจรับกับการกระทำของรัฐบาลเช่นเดียวกัน และกลายมาเป็นขบวนการเสรีไทยในประเทศ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 09:46:32 PM สถานการณ์โดยทั่วไปในพระนครนั้น ประชาชนได้รับคำสั่งให้ทำการ พรางไฟ คือการใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าขาวม้าปิดบังแสงไฟในบ้าน ให้เหลือเพียงแสงสลัว ๆ เพื่อป้องกันมิให้เครื่องบิน
ของฝ่ายข้าศึกมาทิ้งระเบิดลงได้ ส่วนสถานการณ์โดยรวมของสงคราม ฝ่ายอักษะมีทีท่าว่าจะได้รับชัยชนะในสมรภูมิยุโรปและแอฟริกาตอนเหนือ ส่วนในเอเชียญี่ปุ่นก็สามารถยึดมลายูและ สิงคโปร์ได้แล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดในพระนคร การทิ้งระเบิดครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485 เวลาประมาณ 04.00 น. หลังจากนั้น ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 รัฐบาลก็ได้ประกาศสงครามกับอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศสอย่างเต็มตัว หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 06, 2007, 07:14:04 AM การทิ้งระเบิดและน้ำท่วม
การทิ้งระเบิด เมื่อไทยประกาศสงครามอย่างเต็มตัวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทางสหรัฐอเมริกาได้ส่งเครื่องบิน B 24 และ B 29 อันเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่มาทิ้งระเบิดอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ทั่วพระนคร โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน เมื่อมาถึงทางการจะเปิดเสียงสัญญาณหวอเสียงดังเพื่อเตือนให้ประชาชนได้ระวังตัว เช่น หลบอยู่ในหลุมพรางที่ขุดขึ้นเอง หรือทำการพรางไฟ เป็นต้น แต่ ประชาชนบางส่วนก็ได้อพยพย้ายไปอยู่ตามชานเมืองหรือต่างจังหวัด ตลอดจนลงไปอยู่ในหลุมที่ทางการจัดสร้างไว้ เป็นต้น ซึ่งการอพยพนั้นมักจะเดินกันไปเป็นขบวนกลุ่มใหญ่เหมือน ขบวนคาราวาน โดยชานเมืองที่ผู้คนนิยมไปกันเป็นจำนวนมากคือ บริเวณถนนสุขุมวิท ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า บางกะปิ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 06:47:32 AM น้ำท่วม
ในปลายปี พ.ศ. 2485 เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ขึ้นที่พระนครและธนบุรี ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนเลวร้ายลงไปอีก ซ้ำสภาพเศรษฐกิจของกินของใช้ก็ขาดแคลนไปแทบทุกอย่าง ทั้งข้าวสาร ยารักษาโรค ราคาข้าวสารถังละ 6 บาท แม้จะหาซื้อได้ยากอยู่แล้วก็ยังต้องกักตุนเพื่อให้ไว้สำหรับกองทัพญี่ปุ่นด้วย และมีพ่อค้าคนไทยบางส่วนได้กักตุนสินค้าไว้เพื่อโก่งราคา ซึ่งเรียกกันว่า ตลาดมืด และพ่อค้าที่ได้ผลประโยชน์ในครั้งนี้ว่า เศรษฐีสงคราม เพราะร่ำรวยไปตามๆกันจากเหตุนี้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อถึงคราวนี้ เครื่องบิน B 29 กลับไม่ได้มาทิ้งระเบิดเหมือนอย่างเคย (http://www.aobza.com/main/eduzone/worldwar2/images/pic_a.jpg) น้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ. 2485 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 07, 2007, 09:11:59 PM การลักทรัพย์ ยามสงคราม
ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นโดยคนไทยด้วยกันเอง เรียกว่า " ขบวนการไทยถีบ " ขบวนการนี้ทำหน้าที่ดักปล้นของเล็กของน้อย ยุทธปัจจัยต่าง ๆ ของกองทัพญี่ปุ่น ไปซ่อนตามป่าเขา โดยเฉพาะการตัดขบวนรถไฟขณะลำเลียงสิ่งของต่างๆ ให้ขาดจากกัน อีกทั้งบางครั้งยังแอบเข้าไป ลักลอบขโมยดาบซามูไรของทหารญี่ปุ่นในเวลาหลับอีกด้วย เรียกว่า ไทยลักหลับ แต่เป็นที่น่าสังเกต ว่า ขบวนการนี้บางครั้งขโมยแม้แต่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทยเอง เช่น ลวดทองแดง สายโทรศัพท์ เป็นต้น อีกทั้งขบวนการเสรีไทยก็ไม่ได้นับขบวนการไทยถีบ เป็นแนวร่วมแต่อย่างใด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 10, 2007, 08:47:11 PM หลังสงครามยุติ
สงครามโลกครั้งที่สองในไทย ยุติลงเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เมื่อสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกที่สองลงที่เมืองนางาซากิ สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตของญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้และสั่งให้ ทหารญี่ปุ่นทั่วโลกวางอาวุธ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย ในวันที่ 14 สิงหาคม และทางญี่ปุ่นก็ได้ทำพิธียอมแพ้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่อ่าวโตเกียว จากการยอมแพ้ครั้งนี้ส่งผลให้ผู้นำประเทศหลายประเทศ ที่เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ ตกเป็นอาชญากรสงครามทั้งสิ้น นายควง อภัยวงศ์ ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งจะต้องถูกแขวนคอในข้อหาอาชญากรสงคราม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 12, 2007, 09:45:20 PM นายควงได้เร่งรีบออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และออกกฎหมายที่เรียก
ประกาศสันติภาพ มีผลให้การประกาศสงครามของไทยกับฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นโมฆะ ซึ่งนับว่าเป็นประเทศเดียวที่เป็นผู้แพ้สงครามแต่สามารถพลิกกับมาเป็น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ แต่สภาพเศรษฐกิจโดยรวมขณะนั้นย่ำแย่ ประกอบกับประเทศสัมพันธมิตรบางประเทศอย่างอังกฤษ ไม่ยอมรับในสถานภาพอันนี้ของไทย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 14, 2007, 09:37:55 PM ขณะที่ไทยได้เจรจาเรียกร้องดินแดนบางส่วนคืน ซ้ำยังจะเรียกร้องสิทธิบางประการ
เช่น ประเทศที่แพ้สงครามกับไทยด้วย นายควง อภัยวงศ์ จึงได้ลาออก และเป็นนายทวี บุณยเกตุ ที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เพื่อรอรับการกลับมาของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตที่สหรัฐอเมริกาและหัวหน้าขบวนการเสรีไทยที่นั่น เพื่อมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำร้องขอของนายปรีดี พนมยงค ์ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ 8 ม.ร.ว.เสนีย์ ออกเดินทางจากสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 ถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 กันยายน และได้ดำเนินการเจรจาเอาทหารอังกฤษ และตกลงข้อสัญญาบางประการกับทางอังกฤษ จนแล้วเสร็จและได้ทำบันทึกอย่างเป็นทางการลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 เป็นอันเสร็จภารกิจและม.ร.ว.เสนีย์ ก็ได้ยื่นใบลาออกในวันนั้นทันที แต่ต้องอยู่รักษาการไปจนกระทั้งสิ้นเดือน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 15, 2007, 09:34:52 AM ยังตามอ่านอย่างต่อเนื่องครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 15, 2007, 09:41:26 PM ในระหว่างที่ไทยต้านกองทัพญี่ปุ่นอยู่นั้น รัฐบาลไทยได้ประกาศให้ประชาชนทุกคนสู้
ไม่มีอาวุธให้หยิบฉวยข้าวของเครื่องมือที่เป็นอาวุธได้ให้สู้ จนมีคำกล่าวเป็นเชิงตลกว่า ถ้าไม่มีอะไรเลยให้ผายลมอัดลงหม้อและเอาหม้อนั้นปาหน้าทหารญี่ปุ่น การต่อสู้กับญี่ปุ่น ที่สุราษฎร์ธานี กล่าวกันว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ กอบกุล คลานฝ่าดงกระสุนเข้าไปส่งข้าวส่งน้ำแก่คนไทยที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญ และในบางแห่ง เมื่อทหารญี่ปุ่นสามารถฝ่าเข้าถึงตัวยุวชนทหารไทยได้ กลับไม่ทำร้ายยุวชนทหารผู้นั้น แต่กลับอุ้มชูตัวขึ้นและยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 16, 2007, 05:10:09 AM รัฐบาลไทยยอมแพ้แก่ญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ต่อมาในวันที่ 15 ธันวาคม
ก็ได้ประกาศให้ญี่ปุ่นยกทัพเข้ามาในประเทศได้ โดยที่ประชาชนคนไทยทุกคนต้องให้ความร่วมมือ กับญี่ปุ่นทุกประการ โดยผู้ที่อ่านประกาศเองคือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ระหว่างที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนั้น เล่ากันว่ามีนักเลงเหล้าสองคนเป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่มักไปมุงดูระเบิดลงด้วยกัน วันหนึ่งขณะมุงดูอยู่นั้น ก็เกิดระเบิดลูกหนึ่งลง คนหนึ่งล้มลงไปเอามือกุมท้อง พบมีลำไส้พันอยู่ เพื่อนอีกคนถามว่า เจ็บมากไหม ให้ทำใจดีๆไว้ คนที่ถูกระเบิดลงล้มลงเตรียมจะตาย แต่ปรากฏว่าไม่เจ็บ ไม่ตาย จึงพบว่าแท้ที่จริงแล้วลำไส้นั้นเป็นของไทยมุงอีกคนหนึ่งที่มาดูระเบิดด้วย จากนั้น ทั้งคู่จึงกอดคอกันไปดูระเบิดลงอีก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 16, 2007, 07:40:29 PM ระเบิดที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบิน B-29 นั้น โดยมากเป็นลูกระเบิดเพลิง ที่เรียกว่า ระเบิดนาปาล์ม
เมื่อทิ้งลงมาแล้วจะลุกไหม้เป็นไฟลามกว่าไฟธรรมดา เนื่องจากมีสารเคมีบรรจุอยู่ภายใน ถ้าเป็นลูกระเบิดหนักจะทำให้เกิดหลุมลึกหลายเมตร ปากหลุมกว้างประมาณ 15 เมตร หากตกลงใกล้ๆ หลุมพราง คนที่หลบอยู่ในนั้นก็ไม่มีใครรอดชีวิตได้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 17, 2007, 05:41:48 AM โดยมากการทิ้งระเบิดเกิดในเวลากลางคืน ซึ่งก่อนจะทิ้งนั้น
ลูกระเบิดจะมีการส่งพลุส่องแสงติดร่มชูชีพหย่อนลงมาเพื่อนำทางมาก่อน ซึ่งมีความสว่างไสวมาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มาทิ้งในเวลากลางวัน และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทางไทยสามารถยิงเครื่องบิน B-29 ของสหรัฐอเมริกาตกลงได้ที่บางสะแก ฝั่งธนบุรี เป็นข่าวเกรียวกราวในขณะนั้น และทางเยอรมัน ถึงกับเอ่ยปากชมไทย แต่ต่อมากระแสข่าวก็ได้เปลี่ยนว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเครื่องบิน B-24 เครื่องบินสองเครื่องยนต์ หาใช่ B-29 ไม่ ก่อนการทิ้งระเบิดในแต่ละครั้ง ทางอเมริกาจะโปรยใบปลิวเป็นภาษาไทยเตือนล่วงหน้าก่อน และลงท้ายด้วยคำขอโทษทุกครั้งว่าทำไปเพราะจำเป็น ซึ่งทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งนิยมชมชอบ ในน้ำใจของอเมริกาเป็นจำนวนมาก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ พฤศจิกายน 17, 2007, 07:46:43 PM ไทยมุงนี่เหลือเชื่อจริงๆนะครับ เคยได้ยินเหมือนกันว่า ตอนพม่ากับชนกลุ่มน้อยรบกันเราก็ไปมุงมุงอยู่พักไหญ่ก็โดนลูกปืนไหญ่ตายไปส่วนนึง คนที่มุงก็หนีแตกไปกันหมด ซักพักก็กลับมามุงอีก เวรกรรม
เคยได้ยินว่าตอนอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเครียร์ เค้าจะส่งใบปลิวไปเตือนประชาชนญี่ปุ่นก่อน แต่จะส่งไปเตือนเมือง 3 เมือง เพื่อไห้กองกำลังทางอากาศญี่ปุ่นคาดการณ์การโจมตีได้ถูกต้อง แต่จะโจมตีไส่แค่เมืองเดียว หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 18, 2007, 04:53:58 AM โฆษกฝีปากกล้าทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คือ นายมั่น ชูชาติ และ นายคง รักไทย
แรกเริ่มได้โจมตีญี่ปุ่น เมื่อไทยยอมเป็นฝ่ายญี่ปุ่นแล้ว ก็ได้หันมาโจมตีอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาแทน โดยกล่าวหาว่าบรรพบุรุษของชาวอังกฤษเป็นโจรสลัดไวกิ้งป่าเถื่อน ปล้นฆ่าชนชาติอื่นมาก่อนเหมือนกัน อีกทั้งยังได้ท้าทายสหรัฐอเมริกาให้มาทิ้งระเบิดในเวลากลางวันอีกด้วย การโฆษณาชวนเชื่อและเพื่อปลุกปลอบใจคนไทยให้มีกำลังใจในระหว่างสงคราม นอกจากจะเปิดเพลงปลุกใจในวิทยุแล้ว ยังมีการสร้างภาพยนตร์โดยกองทัพอากาศอีก 2 เรื่อง คือ เรื่องบ้านไร่นาเรา นำแสดงโดย เรืออากาศตรีทวี จุลทรัพย์ และอารีย์ ปิ่นแสง รองนางสาวไทยประจำปี พ.ศ. 2483 และเรื่องน้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 18, 2007, 06:45:32 PM ในการทิ้งระเบิดมีสถานที่หลายแห่งในกรุงเทพมหานครถูกระเบิดเสียหาย
แต่น่าแปลกที่พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งหลายที่ที่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และยึดเหนี่ยวจิตใจของไทย กลับไม่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ เชื่อกันว่าเป็นเพราะบุญบารมีขององค์พระบูรพกษัตริยาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้อง ที่สะพานพุทธก็เป็นอีกที่ที่ไม่ได้ความเสียหาย มีข่าวชึ้นหนึ่งเป็นที่ฮือฮาในสมัยนั้น คือ พบชายท่าทางลึกลับเดินอยู่คนเดียวบนสะพานในเวลากลางคืน เมื่อมีผู้ไปเข้าไปถาม ชายคนนั้นกลับบอกเวลา สถานที่ที่จะทิ้งระเบิดได้อย่างแม่นยำ และได้แลบลิ้นออกเป็นสีดำแล้วหายตัวไป บุคคลที่ได้พบเห็นถึงกับตกใจ เป็นลมล้มพับไป ชายลึกลับผู้นั้นถูกเรียกว่า พระเจ้าลิ้นดำ โดยประชาชนทั่วไปเชื่อกันว่า เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งหรือเป็นพระสยามเทวาธิราชที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาชาติ เป็นต้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JC ที่ พฤศจิกายน 18, 2007, 09:20:33 PM ในการทิ้งระเบิดมีสถานที่หลายแห่งในกรุงเทพมหานครถูกระเบิดเสียหาย แต่น่าแปลกที่พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมรูปทรงม้า รวมทั้งหลายที่ที่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และยึดเหนี่ยวจิตใจของไทย กลับไม่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ เชื่อกันว่าเป็นเพราะบุญบารมีขององค์พระบูรพกษัตริยาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้อง ที่สะพานพุทธก็เป็นอีกที่ที่ไม่ได้ความเสียหาย มีข่าวชึ้นหนึ่งเป็นที่ฮือฮาในสมัยนั้น คือ พบชายท่าทางลึกลับเดินอยู่คนเดียวบนสะพานในเวลากลางคืน เมื่อมีผู้ไปเข้าไปถาม ชายคนนั้นกลับบอกเวลา สถานที่ที่จะทิ้งระเบิดได้อย่างแม่นยำ และได้แลบลิ้นออกเป็นสีดำแล้วหายตัวไป บุคคลที่ได้พบเห็นถึงกับตกใจ เป็นลมล้มพับไป ชายลึกลับผู้นั้นถูกเรียกว่า พระเจ้าลิ้นดำ โดยประชาชนทั่วไปเชื่อกันว่า เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งหรือเป็นพระสยามเทวาธิราชที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาชาติ เป็นต้น ชายท่าทางลึกลับเดินอยู่คนเดียวบนสะพานในเวลากลางคืน เมื่อมีผู้ไปเข้าไปถาม ชายคนนั้นกลับบอกเวลา สถานที่ที่จะทิ้งระเบิดได้อย่างแม่นยำ และได้แลบลิ้นออกเป็นสีดำแล้วหายตัวไป น่ากลัวนะครับ อ่านแล้วขนลุกซู่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 20, 2007, 03:25:44 AM แรกเริ่ม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังมิได้มียศจอมพล แต่มียศเพียงพลตรี แต่ได้ขอพระราชทานยศจอมพล จากรัชกาลที่ 8
โดยไม่ผ่านยศพลโท และพลเอก ก่อนสงครามจะสงบไม่นาน ทั้งนี้ กล่าวกันว่าเป็นสงครามจิตวิทยาที่ทางไทยทำกับญี่ปุ่น ด้วยนายทหารระดับสูงของญี่ปุ่น เช่น อาเคโตะ นากามูระ ผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นในไทย ก็มียศเพียงพลโท และ ฮิเดกิ โตโจ นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการสูงสุดของญี่ปุ่นก็มียศพลเอก เท่านั้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 20, 2007, 03:27:39 AM ระหว่างสงคราม จอมพล ป. ได้ออกกฎหมายโอนที่ดินและซื้อที่ดินหลายส่วนทำเป็นสถานที่ราชการ เช่น บ้านนรสิงห์
ของเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) ทำเป็นทำเนียบรัฐบาล และบ้านบรรมทมสินธิ์ของเจ้าพระยาอนุรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) เป็นบ้านพิษณุโลกเพื่อเป็นบ้านพักนายกรัฐมนตรีและต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งบุคคลแรกที่ได้พำนักที่บ้านพิษณุโลกในฐานะแขกของรัฐบาลไทย คือ พลเอกฮิเดกิ โตโจ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งภายหลังสงครามทางญี่ปุ่นถือว่าจอมพล ป. เป็นผู้มีบุญคุณต่อญี่ปุ่น ที่ยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเข้ามาในประเทศเป็นการป้องกันมิให้ทหารญี่ปุ่นต้องสูญเสียไปมากกว่านี้ และได้ให้การดูแลอย่างดีเยี่ยม หลังที่จอมพล ป. ได้ลี้ภัยการเมืองหลังจากรัฐประหาร ในปี พ.ศ. 2500 โดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 20, 2007, 06:36:38 PM (http://www.precadet26.org/msgboard/userpic/012.jpg)
วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ ในกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส (พ.ศ.๒๔๘๓- ๒๔๘๔) กองทัพอากาศ ได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๙ (ฮอร์ค ๒) จำนวน ๓ เครื่อง ขึ้นบินลาดตระเวนรักษาเขต โดยมี เรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร เป็นหัวหน้าหมู่บิน ขณะปฏิบัติภารกิจอยู่บริเวณบ้านยาง อำเภออรัญประเทศ พบเครื่องบินทิ้งลาดตระเวนของข้าศึกแบบโปเตซ์ ๒๕ จำนวน ๑ เครื่อง และเครื่องบินขับไล่แบบโมราน ๔๐๖ จำนวน ๓ เครื่อง เรืออากาศเอก เฉลิมเกียรติ ฯ จึงนำหมู่บินเข้าสกัดกั้นและยิงเครื่องบินลาดตระเวนของข้าศึกตก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 21, 2007, 06:50:08 PM (http://www.precadet26.org/msgboard/userpic/007_1.jpg)
วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ เวลาเช้ามืด ญี่ปุ่นเปิดฉากสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยการยกพลขึ้นบกบริเวณอ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีชันธ์ เกิดปะทะกับกำลังฝ่ายทหารและพลเรือนของกองบินพลเรือนของกองบินน้อยที่ ๕ ซึ่งทำการต่อสู้เพื่อป้องกันการบุกกรุกของข้าศึกอย่างกล้าหาญจนต้องสูญฯเสียกำลังพลทั้งทหารและพลเรือนจำนวน ๔๒ คน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 22, 2007, 08:11:58 PM (http://www.precadet26.org/msgboard/userpic/003_1.jpg)
วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๗ ในสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘) ข้าศึกได้ส่งเครื่องบินแบบพี-๕๑ มัสแตง ๙ เครื่อง และพี-๓๘ ไลท์นิ่ง ๗ เครื่อง รวม ๑๖ เครื่อง เข้าโจมตีนครลำปาง กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ ๑๒ (โอตะ) จำนวน ๕ เครื่อง ขึ้นบินสกัดกั้นและต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่ในที่สุดต้องสูญเสียเครื่องบินทั้ง ๕ เครื่อง นักบินเสียชีวิต ๑ คน และบาดเจ็บ ๔ คน ในขณะที่ยิงเครื่องบิน พี-๕๑ ตก ๑ เครื่อง โดยเรืออากาศตรี คำรบ เปล่งขำ และ พี-๓๘ เครื่องหนึ่งเสียหายมาก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 24, 2007, 07:03:35 PM (http://www.precadet26.org/msgboard/userpic/011_1.jpg)
วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๗ ในสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘) ฝ่ายสัมพันธ์มิตรได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักแบบ B-29 จำนวน ๕๕ เครื่อง มาทิ้งระเบิดชุมทางบางซื่อ กองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินขับไล่แบบ ๑๓ (ฮายาบูซา) จำนวน ๗ เครื่อง ขึ้นบินสกัดกั้น และเรืออากาศเอก เทอดศักดิ์ วรทรัพย์ สามารถยิงเครื่องบิน B-29 ตก ๑ เครื่อง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 25, 2007, 06:49:01 AM การ ที่ ไทย เอา ตัว รอด ได้ ทั้ง ๆ ที่ อยู่ ใน ฝ่าย ประเทศ แพ้ สงคราม นี้ ขบวน การ เสรี ไทย มี ส่วน ช่วย เหลือ เป็น อย่าง มาก ทำ ให้ ประเทศ สัมพันธมิตร โดย เฉพาะ สหรัฐอเมริกา เห็น ใจ เมือง ไทย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูต ไทย ประจำ สหรัฐอเมริกา ได้ ประท้วง การ ประกาศ สงคราม ของ รัฐบาล ไทย และ ได้ รวบ รวม คน ไทย ใน สหรัฐอเมริกา ขึ้น เป็น ขบวน การ เสรี ไทย ต่อ ต้าน ญี่ปุ่น
ใน อังกฤษ ก็ มี ขบวน การ เสรี ไทย เช่น เดียว กัน ติดต่อ กับ หน่วย พล พรรค ใต้ดินประเทศไทย ซึ่ง มี นาย ปรีดี พนม ยงค์ ผู้ สำเร็จ ราชการ แทน พระองค์ เป็น หัวหน้า เสรี ไทย ทั้ง หลาย เตรียม ที่ จะ จับ อาวุธ ขึ้น ต่อ สู้ กับ ญี่ปุ่น ตาม วัน เวลา ที่ นัด หมาย พร้อม ๆ กัน กำลัง ของ สัมพันธมิตร ที่ จะ รุก เข้า มา ทาง พม่า แต่ ญี่ปุ่น ได้ ยอม แพ้ เสีย ก่อน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ฝุ่น-รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 25, 2007, 11:13:05 AM รอติดตามต่อไปนะครับท่าน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 25, 2007, 11:25:21 AM หลัง สงคราม โลก ครั้ง ที่ ๒ ไทย ได้ ร่วม มือ กับ ฝ่าย โลก เสรี อัน มี สหรัฐอเมริกา และ อังกฤษ เป็น หัวหน้า ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐบาล ไทย ยอม รับ ความ ช่วย เหลือ ทาง เศรษฐกิจ และ ทาง ทหาร จาก สหรัฐอเมริกา และ ใน พ.ศ. ๒๔๙๘ ก็ ได้ ร่วม มือ กับ ประเทศ อื่น ๆ รวม ๘ ประเทศ จัด ตั้ง องค์การ ป้องกัน แห่ง เอเชีย ตะวันออก เฉียง ใต้ เรียก โดย ย่อ ว่า องค์การ ซี โต หรือ สปอ. (SEATO-South East Asia Treaty Organization)
นอกจาก นั้น ไทย ยัง เป็น ภาคี สมาชิก ของ แผน การ โค ลัม โบ (Columbo Plan) ของ ประเทศ ใน เครือ จักรภพ อีก ด้วย (แผน การ โคลัมโบ เป็น โครงการ เพื่อ การ ช่วย เหลือ ซึ่ง กัน และ กัน ทาง ด้าน เท คนิค และ ด้าน เศรษฐกิจ ของ ประเทศ ใน เครือ จักรภพ เริ่ม ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ นอกจาก ประเทศ ใน เครือ จักรภพ ซึ่ง มี อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เป็น ตัว ตั้ง ตัว ตี ที่ จะ ช่วย เหลือ ประเทศ ที่เพิ่งได้ รับเอกราช ได้ แก่ อินเดีย ปากีสถาน และ ลังกา แล้ว ต่อมาได้ มี ประเทศ ต่าง ๆ เข้า มา สมทบ อีก คือ เขมร ลาว เวียดนาม พม่า เนปาล อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาหลี ภูฏาน อัฟกานิสถาน หมู่ เกาะ มัล ดี ฟ และ สหรัฐอเมริกา ) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ พฤศจิกายน 28, 2007, 06:28:40 AM มาเล่าต่อจากบาบารอสซ่าครับ หลังจากที่กองทัพเยอรมันโดนทัพโซเวียตตีโต้จากมอสโคว ก็ได้ทำการถอยครั้งไหญ่ซึ่งตอนนั้นเป็นการถอยครั้งไหญ่ของทัพเยอรมันเป็นครั้งแรก ทัพโซเวียตได้โจมตีไล่ล่าและโอบล้อมทัพเยอรมันได้บางแห่ง แต่ถึงโดนล้อมกำลังทางอากาศที่เข้มแข็งของเยอรมันก็สามารถส่งยุทธปัจจัยได้ พอการรบดำเนินมาถึงเดือนมีนาคม ซูคอฟก็ตัดสินใจ สั่งโจมตีต่อเพื่อหน่วงเหนี่ยวทัพเยอรมันไว้ โดยซูคอฟคิดว่า ถ้าไม่โจมตี ทัพเยอรมันจะรวมตัวติดและไช้กลยุทธบลิซคลีกโจมตี ฝ่ายโซเวียตยากจะรู้ว่าการโจมตีจะเกินขึ้นที่ไหน ประกอบกับทัพรถถังและทัพฟ้าของโซเวียต ในขณะนั้นยังไม่เข้มแข็งจะทำไห้ป้องกันได้ยาก ผลปรากฎว่าเยอรมันในขณะนั้นเริ่มตั้งตัวติดแล้ว การโจมตีของโซเวียตจึงไม่ประสบความสำเร็จทั้งยังเสียหายหนัก มีการส่งกองทัพเยอรมันส่งมาช่วยทัพที่ถูกล้อมไว้ได้สำเร็จ
ปฎิบัติการบลู ฮิตเลอร์สั่งโจมตีตอนไต้ของรัสเซีย ขณะนั้นทัพโซเวียตส่วนไหญ่ ประมาณ 50% ป้องกันอยู่ที่มอสโควและโดยรอบ ส่วนทางไต้นั้นมีทหารอยู่แค่ 10%เท่านั้น ตอนนั้นสตาลินคาดการณ์ผิดว่าการโจมตีน่าจะเกิดขึ้นที่มอสโคว (น่าจะเป็นความรับผิดชอบของผู้บัญชาการระดับสูงของโซเวียตรวมทั้งซูคอฟด้วย เพราะหลังจากเกือบเสียมอสโคว สตาลินรับฟังผู้บัญชาการของตนมากขึ้น ) ผลก็คือสามารถทะลวงแนวป้องกันไปได้ไม่ยาก อิตเลอร์ได้สั่งแยกทัพเยอรมันเป็น 2 ทัพไหญ่ คือกร๊ป a และ b โดยทัพทางตอนไต้มีอิริควอนมานสไตน์ จะโจมตีเลียดทะเลดำ ส่วนทัพทางตอนเหนือที่มี พอลลัส จะโจมตีเลียดแม่น้ำโวลก้า โดยตามแผน ทัพของพอสลัสจะต้องยึดสตาลินกราดอย่างรวดเร็ว ส่วนทัพของวอนแมนสไตน์ จะบุกเข้าไปยึดแหล่งน้ำมัน และทุ่งข้าวสาลีขนาดไหญ่ที่คอเคซัส ซึ่งถ้าทำได้สำเร็จตามเป้า ทัพโซเวียตจะไม่ไช่ภัยคุกคามอีกต่อไปเพราะจะขาดน้ำมัน ส่วนทัพเยอรมันที่ได้แหล่งน้ำมันเพิ่มก็จะแข็งแกร่งขึ้น จนทำไห้ฝ่ายอักษะได้เปรียบอย่างมากในสงครามโลก สาเหตุที่ต้องแยกเป็นสองทัพก็เพราะว่าจะทำไห้ยึดพื้นที่จำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว เพราะทัพแดงที่อยู่ระหว่งกองกำลังกรุ๊ป a และ b จะเสี่ยงต่อการถูกโอบล้อม จึงต้องถอยไปเอง และจะช่วยลดการคุกคามการส่งกำลังบำรุงของทัพเยอรมัน อีกสาเหตุก็คือพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำวอลก้า และริมทะเลดำนั้น โอบล้อมตัดกำลังบำรุงได้ยากมาก (หรืออาจจะเรียกว่าทำไม่ได้เลย) เพราะถึงโดนโอบล้อม ฝ่ายโซเวียตก็สามารถส่งกำลังบำรุงได้โดยทางเรือ (ตอนต้อนของยุทธการบาบารอสซ่านั้นโซเวียตแพ้ทุกแนว แต่ไม่ไช่ทัพเรือ เพราะ ผู้บัญชาการทัพเรือในทะเลดำ สั่งโจมตีกองเรือเยอรมันก่อนที่จะได้รับคำสั่งจากสตาลิน ทำไห้ทัพเรือเยอรมันเสียหายหนัก ทัพเรือโซเวียตจึงมีอิทธิพลเหนือทะเลดำ) การยึดจึงต้องตีหักเท่านั้น ซึ่งควรจะฉวยโอกาสกอ่นที่โซเวียตจะตั้งตัวติดและส่งกำลังมาเพิ่มเติมจะดีกว่า แต่กองทัพแดงได้รับการปรับปรุงไหม่ไปแล้วโดยซูคอฟ การถอยของกองทัพแดงในขณะนั้นเป็นการถอยตามคำสั่ง ไม่ได้แตกทัพจึงมีการหน่วงเวลาได้บ้าง และหลีกเลี่ยงการสูญเสียอย่างหนักไปได้ ฝ่ายเยอรมันพยายามโอบล้อมกองทัพแดงหลายครั้ง แต่ส่วนไหญ่กองทัพแดงจะถอยไปก่อนที่การโอบล้อมจะเสร็จสมบูรณ์ มีการโอบล้อมที่ประสบความสำเร็จบาง แต่กองทัพแดงก็ส่งทัพมาช่วยตีฝ่าได้สำเร็จ แม้ว่ากองทัพแดงจะต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่เนื่องจากต้องป้องกันอย่างฉุกละหุกขาดการพรางที่ดี จึงเป็นเป้าของปืนไหญ่และการโจมตีทางอากาศของทัพเยอรมัน ทัพเยอรมันจึงสามารถคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว สามารถยึดอุปกรณ์ทางทหารได้พอสมควร แต่เมื่อทัพเยอรมันไก้ลถึงสตาลินกราด ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ เยอรมันถูกโดจมตีอย่างคาดไม่ถึงโดยกองกำลังของซูคอฟ ซึ่งเป็นการคุกคามการส่งกำลังบำรุง ทำไห้ทัพ แพนเซอร์ที่ 6 ต้องยกกลับไปช่วย ทัพโซเวียต ซึ่งซูคอฟปรับปรุงระบบลำเลียงจนมีประสิทธิภาพ ได้ส่ง ทัพและอาวุธไปยังสตาลินกราดเรื่อยๆ กว่ากองทัพแพนเซอร์ที่ 6 จะกลับมาโจมตีสตาลินกราด เมืองก็ได้มีการป้องกันอย่างดีแล้ว ทำไห้การเข้ายึดไม่ประสบความสำเร็จตามคาด ทางด้านไต้ อีริค วอนแมนสไตน์ ได้บุกยึดท่าเรือเซบาสโตโพล ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเป็นท่าเรือสำคัญที่จะปล่อยกองเรือโดยเฉพาะเรือดำน้ำ คุกคามทัพเรือเยอรมัน ซึ่งเป็นปฎิบัติการณ์ที่สำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เพราะยึดได้สำเร็จ ทั้งๆที่ทัพโซเวียตได้วางกำลังป้องกันไว้อย่างดี รวมทั้งวอนแมนสไตน์ ไช้กองกำลังหลักเป็นกองกำลังโรมาเนีย แต่พอยึดเสร็จ วอนแมนสไตน์เขียนบันทึกความทรงจำว่า พวกทหารโซเวียตถ้ามันเลือกได้ มันอยากที่จะระเบิดตัวเองตายไปพร้อมๆกับเรา มากกว่าที่จะยอมจำนน หลังจากนั้น เยอรมันก็ได้ส่งกองกำลังส่วนนี้เข้าไปช่วยในการยึดสตาลินกราด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ พฤศจิกายน 28, 2007, 08:21:00 AM หลังจากปฎิบัติการบลูเสร็จสิ้นก็ตามมาด้วยการปล้นครั้งมโหฬาร และส่งผลไห้ประชาชนของโซเวียตต้องทำการอพยพครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้งหลังจากการอพยพคราวบาบารอสซ่า จากความพ่ายแพ้ในปฎิบัติการบลู สตาลินสั่งปฎิบัติการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรคนงานและอุปกรณ์ในโรงงานไปยังไซบีเรีย ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก เพราะไซบีเรียนั้นหนาวเหน็บ และแทบไม่มีแหล่งอาหารเลย การส่งอาหารต้องส่งเป็นระยะทางไกล การถูกยึดพื้นที่ทางไต้นั้นเป็นหายนะอย่างมาก เพราะประชากรส่วนไหญ่ของโซเวียตนั้นอาศัยอยู่ในภาคไต้ที่อบอุ่นกว่า และเพาะปลูกได้ดีกว่า ภาคไต้จึงเป็นแหล่งเกษตรกรรมและแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญกว่าทางเหนือมาก เมื่อแหล่งอาหารลดลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลโซเวียตสั่งปันส่วนอาหารลดลง และประชาชนเริ่มมีการอดตายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฮิตเล่อร์ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่หวัง เขาพลาด สตาลินกราดและแหล่งน้ำมันที่คอเคซัสซึ่งจะนำไปสู่สงครามยืดเยื้อ ซึ่งเขาจะพ่ายแพ้ในที่สุด สาเหตุที่ทัพเยอรมันต้องพ่ายแพ้ต่อกองทัพแดงเมื่อเป็นสงครามยืดเยื้อก็เพราะ การผลิตอาวุธของเยอรมันนั้น ตามค่านิยมของคนเยอรมัน จะต้องผลิตอาวุธที่มีคุณภาพที่สุดโดยไม่ค่อยคำนึงว่า จะต้องไช้เวลา ทรัพยากร และเงินมากขนาดไหน หลังจากนั้นเมื่อคิดค้นอะไรไหม่ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะนำไปผลิตทันที ทำไห้อาวุธของเยอรมันมีหลายรุ่น และแต่ละรุ่นก็มีหลาย type เช่น รถถัง มี panzer I- VIII ( Panzer V = Panther , Panzer VI = Tiger , Panzer VII = Tiger II หรือ King Tiger , Panzer VIII = Mammorth ) และ Panzer หลายรุ่นก็มีตั้งแต่ Type a-g หลังจากที่ได้อาวุธที่ดีที่สุดแล้วก็ค่อยไปคิดหาวิธี ผลิตเป็นจำนวนมาก แต่การปรับรุ่นอยู่ตลอดเป็นการขัดขวางกำลังการผลิต เพราะต้องปรับระบบโรงงานไห้เข้ากับรุ่น หรือ Type ไหม่อยู่ตลอด ส่วนทางโซเวียตมีเทคโนโลยีต่ำกว่า แต่เวลาจะผลิตอะไร มักจะคิดผลิตไห้เร็วที่สุด และไม่ค่อยมีการปรับปรุงรุ่นบ่อยนัก รถถังรุ่นไหนไช้ได้ดีก็จะหาทางผลิตไห้ได้เป็นเจนวนมหาศาล เช่น T 34 ส่วนรถถังไหนที่ไม่ดีนักก็สั่งเลิกผลิตเลย เช่น KV และจะปรับปรุงก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็น เช่น ออก IS II และ T34-85 ก็เมื่อต้องเผชิญกับ ทัพรถถัง Panther Tiger และ Panzer IV Type G อย่าง T 34 ที่ผลิตมากมากที่สุด ก็มีแค่รุ่น 75 กับ 85 เท่านั้น ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงทำไห้ฝ่ายโซเวียต สามารถผลิตอาวุธได้ประมาณ 2 เท่าของเยอรมัน ทั้งๆที่คนงานของฝ่ายเยอรมันมากกว่าถึงเท่าตัว (ที่ว่าคนงานของฝ่ายเยอรมัน หมายถึงคนงานที่ผลิตของไห้เยอรมันไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติสัญชาติใด รวมทั้งคนงานยิวและ นักโทษในค่ายแรงงานด้วย จำนวนคนงานของโซเวียตก็รวมทั้งหมด ที่ผลิต ไห้โซเวียตไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ และรวมนักโทษในค่ายแรงงานเช่นกัน) คิดคร่าวๆ ในการผลิตอาวุธจำนวนเท่ากัน ฝ่ายเยอรมัน ต้องไช้กำลังคนมากกว่าถึง 4 เท่าตัว ถึงแม้ว่า จะได้อาวุธที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่สามารถชดเชยความแตกต่างด้านจำนวนได้ และเป็นเหตุสำคัญ ไห้เมื่อการรบยืดเยื้อ กองทัพแดงมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกองทัพเยอรมัน หลังจากสตาลินกราด ก็ไม่สามารถชดเชยความสูญเสียได้ทัน และค่อยๆอ่อนกำลังลง อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวผมคิดว่า ระบบการผลิตอาวุธของเยอรมันยอดเยี่ยมมาก และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงต้นสงคราม ที่แพ้ก็เพราะ ระบบการผลิตอาวุธ ของโซเวียต รวมทั้งอเมริกานั้นยอดเยี่ยมกว่า รวมทั้งพันธมิตร พันธมิตรสำคัญของโซเวียตคืออเมริกา ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรฐกิจและอุตสหกรรม และสามารถผลิตอาวุธได้อย่างรวดเร็วที่สุดโดยเฉพาะ กำลังทางอากาศ และทางเรือ ซึ่งในข่วงท้ายสงครามนั้น ทัพเรือ และทัพฟ้าของอเมริกานั้นเป็น 1 ในโลก (ทัพบกเป็นของโซเวียต) อังกฤษ มีสายลับและหน่วยถอดรหัสที่ยอดเยี่ยม มีทัพเรือและกองทัพอากาศที่แข็งแกร่ง ส่วนจีน ถึงแม้จะอยู่ในช่วงอ่อนแอ แต่ก็มีกำลังพลมหาศาล พอที่จะตรึงทัพส่วนไหญ่ ของญี่ปุ่น ไม่ไห้บุกโจมตีโซเวียตได้ง่ายๆ ส่วนพันธมิตรของเยอรมันนั้นคนละเรื่อง ญี่ปุ่น ถึงแม้จะสำคัญ และสามารถดึงกองกำลังนับล้านของโซเวียตไว้ที่แนวตะวันออก แต่ก็ไม่คิดโจมตีใส่โซเวียต เพราะกองกำลังส่วนไหญ่ของญี่ปุ่นก็ต้องตรึงอยู่ที่จีน รถถังของญี่ปุ่นนั้นมีน้อยและล้าหลัง ที่จริงถึงญี่ปุ่นจะโจมตีก็ไม่แน่ว่าจะทะลวงแนวป้องกันของโซเวียตได้ รวมทั้งมีเจตนาขยายอิทธิพลของตนมากกว่าที่จะช่วยเยอรมัน ส่วนอิตตาลีนั้นอ่อนแอ ขนาดมีกองกำลังในอาฟริกาเป็นล้านคนก็ยังแพ้อังกฤษ ขณะที่รอมเมลนำทัพเยอรมันไม่กี่แสนตีโต้อังกฤษได้ โรมาเนีย และฟินแลนด์ ถึงจะมีทหารที่เก่งมาก แต่ขาดอาวุธที่ทันสมัย และไม่เต็มใจรบ ที่เข้าช่วยก็เพราะกลัวเยอรมันอยู่ส่วนนึง ถึงรวมๆพันธมิตรของเยอรมันในยุโรปจะส่งทหารมาช่วยตอนแรกประมาณถึง 1.5 ล้าน แต่เมื่อการรบยืดเยื้อ ก็ไม่ส่งกำลังมาเพิ่มเติมมากนัก และเมื่อสถานะการณ์เปลี่ยนก็หาทางเปลี่ยนข้างทันที ( จริงๆก็เพราะเยอรมันดูแลพันธมิตรไม่ค่อยดีด้วย ถึงส่งกำลังมาช่วย พื้นที่ทั้งหมดที่ยึดได้ก็เป็นของเยอรมัน และโรมาเนียก็ต้องส่งน้ำมันไห้เยอรมันฟรีๆ ทำไห้ไม่มีไครชอบเยอรมันเท่าไร) สรุปก็คือ พันธมิตรของโซเวียตแข็งแกร่งกว่า ยิ่งนานวันก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือกันมากกว่า ส่วนพันธมิตรของเยอรมันไม่แข็งแกร่งมากนัก เมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อ พันธมิตรของโซเวียตจะค่อยๆครองทะเลเพิ่มความช่วยเหลือ และเปิดศึกเพิ่มอีกด้าน ส่วนพันธมิตรของเยอรมัน จะค่อยๆอ่อนแอลง ญี่ปุ่นกำลังเสียทะเล ส่วนอิตตาลีกำลังเสียอาฟริกา หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: KTTA-50-L ที่ พฤศจิกายน 29, 2007, 01:02:56 PM ต่อเลยครับ น่าสนใจมากๆ ตามอ่านอยู่ตลอด ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ พฤศจิกายน 29, 2007, 01:23:44 PM ขอบคุณพี่ nosta ที่กรุณามาเล่าให้ฟังครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 29, 2007, 11:33:55 PM ขอบคุณท่าน nosta3824382 ครับ...
เยี่ยมมากครับ...:D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ พฤศจิกายน 30, 2007, 06:00:53 AM วิเคราะห์ผู้นำทางการทหารของเยอรมัน (บางส่วนเอามาจากนักประวัติศาสตร์บางส่วนก็วิเคราะห์เองครับ ไครไม่เห็นด้วยก็ได้นะครับ)
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพสูง นำเยอรมันจากประเทศที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจ ไปเป็นมหาอำนาจทางการทหารของโลก มีทักษะการโฆษณาชวนเชื่อเป็นเลิศ มีความสามารถในการใช้คนที่ยอดเยี่ยม สามารถเลือกนายทหารที่เก่งกาจ กระตุ้นและสร้างบรรยากาศไห้มีการริเริ่มแนวความคิดทางการทหารไหม่ๆ ไห้รางวัลและเงินเดือนผู้บังคับบัญชาทางการทหารสูงมาก ในช่วงการปกครองของฮิตเลอร์มีการคิดค้นแนวคิดทางการทหารไหม่ๆ เช่น กูเดอเรียน คิดค้น บลิซคลีก วอนแมนสไตน์ คิดค้น โมบิลดีเฟ้นด์ และ รับความคิดเห็นจากนายทหารในการพัฒนาอาวุธ สนับสนุนการวิจัยอย่างมาก โหดเหี้ยม ลงมือไม่เลือกวิธีการ ข้อเสีย ไม่โดดเด่นด้านการบริหารข่าวกรอง ไม่เน้นปริมาณการผลิตอาวุธเท่าที่ควรสนแต่คุณภาพมากเกินไป ไม่ไส่ใจการทูตเท่าที่ควร และดูแลพันธมิตรของตนไม่ค่อยดี มั่นใจในตนเองมากเกินไป ประเมินศัตรูต่ำเกินไป และพลาดที่บุกโซเวียต ถึงมีทักษะการเมืองสูง แต่ในด้านการปกครองชนชาติอื่นที่ไม่ไช่เยอรมันนั้น ไม่ดี เช่นกวาดล้างยิว และชาวสลาฟ ปล้นและบังคับไช้แรงงานประเทศต่างๆที่ถูกยึดครอง ทำไห้ทั่วโลกต่อต้านเยอรมัน ถึงจะพัฒนาการทัพไห้สามารถรบแบบเครื่อนที่ไห้อย่างยอดเยี่ยม แต่ไม่สามารถพัฒนากองทัพไห้สามารถโจมตีไส่ที่มั่นที่แข็งแกร่งอย่างมากได้ เช่น มอสโคว สตาลินกราด เลนินกราด และ ไม่สามารถตอบโต้การรบนอกรูปแบบได้เท่าที่ควรทำไห้โดนตัดกำลังบำรุง สรุป ช่วงแรกๆ ฮิตเลอร์ เก่งมาก ทั้งแก้ไขปัญหาเศรฐกิจ ทั้งการทหาร รบชนะแบบท่วมท้นตลอด ฆ่า ศัตรูในอัตรส่วน 10 /1 ไม่นับเชลยศึก พอนานไป เริ่มได้ใจบุกโซเวียต เจอกับการรบนอกรูปแบบ ผสมกับการรบในรูปแบบ ทั้งระยะทาง อากาศหนาว จนโดนตรึงได้ ต่อมาศัตรูเริ่มมีการผลิตอาวุธด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามาก ประกอบกับเลียนแบบกลยุทธ์ และพัฒนาไปเป็นรูปแบบของตัวเอง เยอรมันก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำ จนฮิตเล่อร์ต้องจบชีวิตด้วยการยิงตัวตาย และเยอรมันถูกแบ่งเป็นสองประเทศ จริงๆความสำเร็จของฮิตเลอร์เทียบเท่านโปเลียนทีเดียว แต่จุดจบต่างกันมาก เพราะนโปเลียนเป็นคนค่อนข้างมีเมตตา (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผู้พิชิตคนอื่นๆ) เวลาเพลี่ยงพล้ำ ศัตรูก็ยังออมชอมไม่เล่นงานฝรั่งเศสมาก และแม้แต่แม่ทัพที่ชนะ นโปเลียน ยังยกย่องนโปเลียนอย่างมาก เทียบกับฮิตเล่อร์ที่โหดเหี้ยม จนน่าจะเป็นบุคคล ที่โดนเกลียดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ได้ เมื่อ ฮิตเลอร์ แพ้ เยอรมันก็โดนทวงบัญชีแค้น และฮิตเลอร์ ก็ถูกมองเป็นคนบ้าๆโง่ๆ มาตลอด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ พฤศจิกายน 30, 2007, 08:50:30 AM เรื่องราวน่าสนใจมากครับ ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยให้รายละเอียดครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ พฤศจิกายน 30, 2007, 09:57:46 AM ในส่วนของกองทัพอากาศไทย เครื่องบินรบของฝ่ายไทยและฝรั่งเศสได้ปะทะกันในสมรภูมิภาคตะวันออก การต่อสู้ที่ได้รับการกล่าวขานอย่างที่สุด คือ ในวันที่ 10 ธันวาคม เรืออากาศโทศานิต นวลมณี ได้นำเครื่องขับไล่แบบคอร์แซร์ เข้าต่อสู้กับเครื่องบินของฝรั่งเศส ต่างฝ่ายยิงเครื่องของฝ่ายตรงข้ามตกหลายลำ แต่เครื่องของเรืออากาศโทศานิต นวลมณีได้เข้าสู่ฐานทัพที่ดอนเมืองได้สำเร็จ แต่ทั้งตัวเครื่องได้ถูกยิงเป็นรูพรุนไปทั้งลำ ส่วนเรืออากาศโทศานิตได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
การต่อสู้ยังคงดำเนินไปถึงกลางปี พ.ศ. 2484 ไม่มีทีท่าว่าจะสงบ ทางญี่ปุ่นแสดงเจตจำนงเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เหตุการณ์ได้จบลงโดยที่ฝรั่งเศสได้มอบดินแดนบางส่วนคืนให้แก่ไทย ฝ่ายไทยจึงจัดการปกครองเป็น 4 จังหวัด คือ จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง เหตุการณ์การสู้รบในครั้งนี้ได้ถูกเรียกว่า กรณีพิพาทอินโดจีน หรือ สงครามอินโดจีน และต่อมาได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้นเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ธันวาคม 01, 2007, 04:28:03 AM เหล่า ฟิวมาแชลของเยอรมัน (เทียบกับไทยน่าจะเป็นจอมพล)
กูเดอเรียน กูเดอเรียน เป็นผู้คิดค้นบลิซคลีก ซึ่งเป็นแม่แบบของสงครามแบบไหม่ โดยที่จะไม่โจมตีใส่กำลังหลักข้าศึกตรงๆ แต่จะทำลายการสื่อสารและการคมนาคม ตัดทางส่งกำลังบำรุง และทำไห้ข้าศึกอ่อนแอและพ่ายแพ้ไปเอง และผู้บัญชาการทหารหลายคนทั้งฝ่ายอักษะและพันธมิตรไช้หลักการของกูเดอเรียนทั้งนั้น ภายหลังจากประสบความสำเร็จในการครองยุโรป กูเดอเรียนเข้านำการบุกที่มอสโคว ภายหลังโดนตีโต้ในช่วงฤดูหนาว กูเดอเรียนสั่งถอยทัพทำไห้โดนฮิตเล่อร์ปลด แต่ฮิตเล่อร์ก็ไช้กูเดอเรียนในฐานะที่ปรึกษา และ ภายหลัง กุเดอเรียนได้มีส่วนร่วมในการออกแบบ Panther ซึ่งเป็นรถถังที่มีคุณค่าทางยุทธศาสตร์ที่สุดรุ่นนึงของเยอรมัน นักประวัติศาสตร์ตะวันตกนั้น ยกย่องรอมเมลอย่างมาก แต่ชาวเยอรมันนั้น มักยกย่อง กูเดอเรียน และ เอริกวอนแมนสไตน์ ว่าเป็นผู้บัญชาการทางทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเยอรมัน และในโลก แมนสไตน์ เป็นแม่ทัพที่ได้รับการยกย่องในหมู่แม่ทัพเยอรมันมากที่สุด แม่ทัพเยอรมันส่วนไหญ่รวมทั้งกูเดอเรี่ยน ยกย่องแมนสไตน์ว่าเป็นแม่ทัพที่ดีที่สุดที่เยอรมันมี ได้วางแผนยึดโปแลนด์ โดยไม่โจมตีตรงๆแต่โอบล้อมแบบไม่ไห้ตั้งตัว และเอาชนะโดยการตั้งรับ และตัดกำลังบำรุง เป็นคนวางแผนการบุกฝรั่งเศส โดยไช้ทัพโจมตีลวงทัพนึง และอีกทัพนึงโจมตีจริงผ่านป่าอาเดน เข้าตัดกองกำลังอังกฤษจากฝรั่งเศส และล้อมทั้งกองกำลังอังกฤษและฝรั่งเศส เข้าร่วมการยึดครองยุโรป เข้าร่วมการรบในปฎิบัติการบลู และยึดเซบาสโตโพลอย่างรวดเร็วโดยไช้กองกำลังโรมาเนียเป็นกองกำลังหลัก ภายหลังจากการถูกตีโต้ ในช่วงฤดูหนาว ได้นำทัพเข้าช่วงทัพแพนเซอร์ที่ 6 แต่ไม่สำเร็จ แต่ก็นำกองกำลังภาคไต้หลบหนีออกมาได้ ด้วยกลยุทธการป้องกันแบบเคลื่อนที่ ที่คิดขึ้นมาเอง โดยไห้กองกำลังทหารราบ หน่วงศัตรู และปล่อยไห้ศัตรูบุกจนสายส่งกำลังบำรุงยืดยาว แล้วนำกองพลรถถังเข้าโจมตี ซึ่งภายหลังได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่ คราคอฟ หลังจากนั้น เข้าบัญชาการการโจมที่ที่เคิร์ก ไม่สำเร็จ ถูกตีโต้ถอยมา และ บัญชาการป้องกัน แพนเท่อร์โวเทนไลน์ไม่สำเร็จทำไห้โดนปลดในที่สุด แมนสไตน์ ถึงแม้จะแพ้หลายครั้ง แต่ก็สามารถบัญชาการถอยได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ถูกโอบล้อม และสามารถตอบโต้การรุกของฝ่ายตรงข้างได้พอสมควร แมนสไตน์ยังได้เสนอไห้ไช้รถถังแบบไม่มีป้อมปืน(ทำไห้หันปืนไหญ่ไม่ได้ เวลาเปลี่ยนทิศทางยิงต้องหันรถทั้งคัน) ซึ่งมีราคาถูกอย่าง Strug III ซึ่งไช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีจนจบสงคราม วอนบอก วอนลีป วอนรุนสเต็ป 3 คนนี้เป็นผู้บัญชาการสำคัญในการยึดยุโรป และ ประสบความสำเร็จในปฎิบัติการ บาบารอสซ่า ซึ่งโอปล้อมกองกำลังโซเวียตได้หลายครั้ง ภายหลังจากการถูกตีโต้ในช่วงฤดูหนาว ได้ขัดคำสั่งฮิตเล่อร์ ซึ่งต้องการไห้ยัน แต่เหล่าแม่ทัพสั่งถอย จึงโดนปลดทั้งหมด เออร์วิน รอมเมล จิ้งจอกทะเลทราย ได้รับใช้กองทัพเยอรมันตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้บัญชาการหน่วยรถถัง ในศึกพิชิตยุโรป รอมเมลประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมักจะเข้าลอบโจมตีกำลังข้าศึกลึกไปในแนวข้าศึก ซึ่งทำไห้หน่วยรถถังของรอมเมลมีฉายาว่า หน่วยผี ด้วยการที่อยู่ๆก็ปรากฎออกมาโจมตีไม่ไห้ตั้งตัว ภายหลังได้เหรียญกล้าหาญมากมาย แม้มีผู้บัญชาการหลายคนยกย่องรอมเมล แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ชอบ เพราะรอมเมลชอบขัดคำสั่ง และคิดว่ารอมเมลทำไห้กองทัพเยอรมัน เสี่ยงโดยไม่จำเป็น รอมเมลได้สร้างชื่อโดยการตีโต้ทัพพันธมิตรที่อาฟริกาเหนือ และเอาชนะได้หลายครั้งทั้งๆที่มีกำลังพลน้อยกว่ามาก โมเดล Lion of defend เป็นจอมพลเยอรมัน หนึ่งในไม่กี่คนที่เป็น สมาชิกพรรคนาซี แต่ได้ตำแหน่งมาโดยความสามารถ สร้างชื่อโดยการป้องกัยกองทัพภาคกลางต่อการโจมตีของโซเวียตในปฎิบัติการ Mar (ที่ทำคู่กับปฎิบัติการ ยูเรนัส ที่ล้อมสตาลินกราด)ซึ่งทำไห้ทัพเยอรมันภาคกลางรอดจากการตีโต้ของโซเวียต และทำไห้การตีโต้ของโซเวียตประสบความสำเร็จแค่ครึ่งเดียวตามแผน ภายหลังสิ้นชื่อในปฎิบัติการ บาเกรชั่น ซึ่งกองกำลังของโมเดลถูกโอบล้อมและทำลายล้างแทบหมดสิ้น พอลลัส สร้างชื่อมาจากการป้องกันการตีโต้ของโปแลนด์ ซึ่งได้ล้อมทำลายกองทัพผู้โจมตี และอีกครั้งที่ล้อมทำลายกองทัพโซเวียตที่ตีโต้โดย เทอร์โมเชนโก้ และทำลายล้างกองกำลังโซเวียตได้สำเร็จ และทำไห้โทโมเชนโก้ซึ่งขณะนั้นเป็นมือขวาของสตาลิน โดนลดตำแหน่ง หลังจากนั้นได้รับความไว้ใจจากฮิตเล่อร์ คุมกองทัพแพนเซอร์ที่ 6 เข้าตีสตาลินกราด และยึดพื้นที่ได้ถึง 90% แต่สิ้นชื่อถูกโอปล้อมในปฎิบัติการณ์ยูเรนัส หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 01, 2007, 06:52:56 PM สำหรับประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยนั้น เราได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเพียงประเทศเดียวในทวีปเอเชียและแปซิฟิกไม่นับรวมญี่ปุ่น ที่เข้าร่วมกับพวกอักษะ สาเหตุการเข้าร่วมนั้น สืบเนื่องมาจากการล่าอนานิคมของชาติตะวันตกในสมัย รัชกาลที่ 5 ทุกประเทศในฝั่งทะเลแปซิฟิกและทะเลอันดามัน ถูกเป็นเมืองขึ้นกันหมด เหลือแต่ไทยและญี่ปุ่นเท่านั้น และจากการที่สยามโดนยึดดินแดนรอบนอกส่วนต่างๆ เช่น เขมร ลาว บางส่วนของพม่า บางส่วนของจีน และส่วนเหนือของมาเลเซีย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของสยาม ทำให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมา ประกอบกับเผด็จการจอมพลป. พิบูลย์สงคราม ที่ต้องการนำส่วนที่เคยเสียไปกลับคืนมา จึงทำให้เราโจมตีอินโดจีนของฝรั่งเศษ เราจึงร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 02, 2007, 06:05:16 AM ญี่ปุ่นและไทย
มุมมองของญี่ปุ่นต่อไทยสมัยนั้น ถือว่าเราเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ และไม่เคยถูกชาวต่างชาติครอบงำเหมือนประเทศหลายๆประเทศในแถบนี้ จึงต้องการให้ไทยเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เพราะนโยบายของญี่ปุ่นคือ ต่อต้านและขับไล่ชาวตะวันตก ให้ออกไปจากแผ่นดินเอเชียให้หมด ประเทศต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นจึงถูกโจมตี แต่ประเทศไทยนั้น ญี่ปุ่นได้ส่งเอกอัคราชทูตประจำกรุงเทพ เข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเรา ในคืนก่อนที่สงขลาจะถูกญี่ปุ่นโจมตี เพื่อขอทางผ่าน แต่คืนนั้น รัฐมนตรีฯไปต่างจังหวัด ไม่ได้อยู่กรุงเพทฯ ทางญี่ปุ่นจึงไม่รอ จึงบุกสงขลาในวันต่อมา ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นเสียกำลังพลไปมากกว่าของไทย หลังจากนั้นไม่นานได้มีการหยุดยิง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ญี่ปุ่นต้องรบกับไทย จากนั้นไทยจึงได้เข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: perapong-รักในหลวง ที่ ธันวาคม 02, 2007, 09:25:47 AM ขอขอบพระคุณทุกท่านที่มาให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ที่บางแง่มุมผมไม่เคยทราบเลย
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 02, 2007, 08:47:45 PM ขบวนการเสรีไทย (อังกฤษ: Free Thai Movement) เป็นขบวนการใต้ดินที่ดำเนินการระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วง พ.ศ.
2484 - 2488 มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการรุกรานของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น รักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติไทย ขบวนการเสรีไทยกำเนิดขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เมื่อกองทัพ ญี่ปุ่นยกทัพเข้ามาทางด้านทิศตะวันออกและยกพลขึ้นบกจากอ่าวไทย เดิมเรียกขบวนการนี้ว่า "องค์การต่อต้านญี่ปุ่น" ภายหลังจึงเปลี่ยนไป "เสรีไทย" มีบทบาทเป็นแหล่งข่าวสำคัญของฝ่าย สัมพันธมิตร หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ ธันวาคม 04, 2007, 12:47:45 AM รายนามเหล่าผู้บัญชาการทางทหารของโซเวียต
โจเซฟ สตาลิน เป็นผู้นำโซเวียต ตอนเด็กๆถูกทารุณกรรมโดยบิดา เช่นเดียวกับฮิตเล่อร์ จึงถูกปลูกฝัง ความโหดเหี้ยม และโรคหวาดระแวง(การถูกทารุณกรรมในตอนเด็กนั้นน่าเห็นใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะมีความชอบธรรมในการทำเรื่องโหดร้าย) พอโตขึ้นมา เคยสมัครเป็นบาทหลวง แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาสมัครเป็นสามชิคพรรคบอลเชวิค มีชื่อเรื่องความกล้าบ้าบิ่นและความโหดร้าย เคยถูกจับขณะปล้นธนาคารเพื่อหาเงินเข้าพรรค ภาคหลังไต่เต้นจนเป็นแม่ทัพ หลังพรรคบอลเชวิคขึ้นสู่อำนาจ เลนินก็สิ้น สตาลินสามารถแย่งอำนาจจากทรอสกี้ได้สำเร็จ เมื่อเข้าสู่อำนาจก็ไช้ทักษะความสามารถทางการบริหารและความโหดเหี้ยม ในการปฎิรูปอุตสาหกรรม และทำไห้ประเทศเกษตรกรรมที่ยากจน สามารถเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมได้ในไม่กี่ปี แต่ก็ได้ทำผิดพลาดโดยการฆ่า เหล่าแม่ทัพที่มีประสบการไปมาก จากโรคหวาดระแวง เมื่อเยอรมันบุก สตาลินจึงไม่มีแม่ทัพมือดีมารับมือ และจากการที่แทรกแซงการบังคับบัญชามากจนเกินไป ทำไห้กองทัพแดงถูกทำลายอย่างย่อยยับ แต่หลังจากเกือบเสียมอสโคว สตาลินเริ่มไว้ใจแม่ทัพผู้มีความสามารถ และมักคล้อยตามความเห็นของแม่ทัพที่เก่งกาจมากขึ้น จึงทำไห้โซเวียตรอดจากการถูกยึดครอง บทบาทที่สำคัญที่สุดของสตาลินคือ การสร้างแค๊มพ์แรงงาน ที่รับเอาคนอดอยากเข้ามาทำงานแลกกับอาหาร และสามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แบบโหดๆ) และอาวุธที่ถูกผลิตได้อย่างรวดเร็วจากแค๊มพ์เหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำไห้โซเวียตชนะสงคราม กอร์กี้ ซูคอฟ เป็นแม่ทัพม้าของพรรคบอลเชวิค ภายหลังโดนญี่ปุ่นโจมตีที่คาลกินกอล ซูคอฟได้ทำการโอปล้อมโดยไม่ไห้ตั้งตัว ซึ่งเป็นรูปแบบ บลิซคลีก ทำลายกองกำลังญี่ปุ่นจนต้องถอยทัพ และหลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ไม่กล้าบุกโซเวียตอีกเลย โดยซูคอฟไม่ได้เลียนแบบทัพเยอรมัน เพราะการรบที่คาลกินกอลเกิดขึ้นก่อน การยึดโปแลนด์ หลังจากที่ทัพเยอรมันบุก ซูคอฟได้บังคับบัญชาการป้องกันที่เลนินกราด มอสโคว บัญชาการตีโต้ที่มอสโคว ป้องกันสตาลินกราด วางแผนการโอปล้อมปฎิบัติการยูเรนัส ป้องกันเคิร์ก ตีโต้ที่เคิร์ก ทำลายล้างกองกำลังเยอรมันในปฎิบัติการบาเกรชั่น และเข้ายึดเบอร์ลิน ในสองสัปดาห์ ซูคอฟมีชื่อเสียงด้านความโหดร้าย จนได้รับสมยาว่ามนุษย์กินคน มีชื่อเสียงจากการที่นำกองทัพแดงรบชนะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลายครั้ง และมักจะทำลายล้างกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจนสิ้นซากด้วยแผนลวงและการโอปล้อม แต่สิ่ง ที่ส่งอิทธิพลต่อกองทัพแดงมากที่สุดก็คือการปรับปรุงระบบ โลจีสติค (การส่งกำลังบำรุง) และการสื่อสาร ซูคอฟมักจะฝึกทหารของตนอย่างเข้มงวด และทหารของซูคอฟมักจะกลายเป็นทหารชั้นยอด เช่นหน่วยทหารไซบีเรีย ที่ตีโต้ในการรบแห่งมอสโคว มักจะวางแผนการอย่างละเอียด แต่ก็ปล่อยไห้ผู้ไต้บังคับบัญชาตัดสินใจได้เองโดยไม่แทรกแซง ซูคอฟจะส่งเสริมนายทหารที่มีความสามารถโดยไม่เกี่ยงเชื้อชาติ ส่วนคนที่ไม่มีความสามารถพอมักจะโดนปลด คนที่ขัดคำสั่งมักจะโดนยิง และมีชื่อเรื่องการกล้ารุกขึ้นโต้เถียงกับสตาลิน(ซึ่งเสี่ยงตาย) ในภายหลังสตาลินยอมรับและยกย่องซูคอฟอย่างมาก คอนสแตนติน โรคอฟสกี้ ชาวโปแลนด์(โซเวียตแต่ไม่ใช่รัสเซีย) โรคอฟสกี้ เป็น แม่ทัพที่ดีที่สุดที่ซูคอฟมี เป็นกุญแจสำคัญในการรบที่มอสโคว โดยโรคอฟสกี้ ภายใต้ซูคอฟสามารถหยุดการรุกของเยอรมันลงได้ และเข้าร่วมการวางแผนในปฎิบัติการ บาเกรชั่น โดยเสนอไห้บุกพร้อมๆกันหลายๆหน่วย และสามารถทำไห้สตาลินคล้อยตาม โดยไช้แผนการโอปล้อมอย่างพร้อมเพรียงทำไห้กองทัพเยอรมันไม่สามารถหนีได้ทัน และถูกล้อมได้ในที่สุดและต้องสูญเสียมากกว่า ในอัตรา 4 /1 วาซิลาฟสกี้ เทียบกับ แม่ทัพคนอื่นๆ วาซิลาฟสกี้ค่อนข้างเชื่อฟังสตาลินอยู่มาก ไม่ค่อยโต้เถียงหรือเสนอความเห็นขัดแย้ง แต่วาซิลาฟกี้มีบทบาทสำคัญร่วมกับแม่ทัพคนอื่นๆ ในปฎิบัติการยูเรนัส และภายหลังนำทัพโซเวียตโจมตีญี่ปุ่นในปฏิบัติการ พายุเดือนสิงหา โดยจับกุมฮ่องเต้หุ่นเชิดของญี่ปุ่นได้ในสองสัปดาห์ แสองสัปดาห์ถัดมา บุกยึดได้เกาหลีเหนือ แต่ทัพอเมริกันมาขวางการยึดเกาหลีไต้เสียก่อน อีวาน โคเนฟ ชาวยูเครน (โซเวียตแต่ไม่ไช่รัสเซีย) โคเนฟ มีชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม มักจะปฎิบัติกับทหารด้วยวินัยอย่างเด็ดขาด มีความเคียดแค้นกับเยอรมันอย่างมาก (เพราะยูเครนโดนปล้นฆ่าเยอะมาก) เมื่อจับทหารเยอรมันได้มักจะยิงทิ้ง โคเนฟมีส่วนสำคัญในการตีโต้ที่เคิร์ก และการเข้ายึดเบอร์ลิน ชุยคอฟ ในศึกสตาลินกราด ชุยคอฟ ภายไต้ซูคอฟ สามารถหน่วงเหนี่ยวและตีโต้ทัพเยอรมันได้ และเป็นกุญแจสู่ชัยชนะ ภายหลังได้เข้าร่วมการยึดเบอร์ลิน มาลินอฟสกี้ ชาวยิว ได้ปกป้องสตาลินกราดโดยบัญชา กองกำลังภาคเหนือ ภายหลังได้เข้าล้อมทำลายกองกำลังแพนเซอรืที่ 6 ที่ถูกสถาปนาขึ้นมาไหม่ ในปฎิบัติการ ยึดโรมาเนีย โดยสูญเสียแค่ 1 ใน 8.5 ของกองกำลังผสม เยอรมันโรมาเนีย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 04, 2007, 03:09:40 AM การที่รัฐบาลไทยนำโดยนายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยินยอมตกลงเข้าร่วมกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
ทำให้บุคคลสำคัญทางการเมืองการปกครอง ข้าราชการ และชาวไทยทั้งในและนอกประเทศไม่เห็นด้วยกับนโยบายประกาศสงคราม มีการรวมตัวกันเคลื่อนไหว ต่อต้านญี่ปุ่น แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มในประเทศ นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกา นำโดย หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการไม่ยอมส่งคำประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา และถือว่าการประกาศสงครามนั้นมิใช่เจตนาของคนไทย กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มคนไทยในอังกฤษ นำโดยนักเรียนไทย ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 05, 2007, 04:20:19 AM ช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การดำเนินงานของกลุ่มทั้งสามไม่ค่อยประสบผลสำเร็จมากนัก
เพราะขาดการประสานงานร่วมกัน แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล โดยมีนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ความร่วมมือระหว่างกันก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่านายควง อภัยวงศ์จะแถลงนโยบาย ร่วมมือกับญี่ปุ่นโดยใกล้ชิด ตามสัญญาพันธกรณีที่ได้มีต่อกันไว้ด้วยดี และให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นตามข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นทุกประการ แต่ขณะเดียวกันคณะรัฐบาลก็มีรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นบุคคลระดับหัวหน้าในองค์การต่อต้านญี่ปุ่น และคอยให้ความช่วยเหลือองค์การอย่างลับ ๆ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 05, 2007, 08:54:59 PM เสรีไทยมีเครือข่ายความร่วมมือในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตร สหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ส่งหน่วยปฏิบัติการมาประจำในกรุงเทพฯ ด้าน
ฝ่ายไทย นายปรีดี พนมยงค์ ได้ส่งทหารไปประจำที่กองบัญชาการของฝ่ายสัมพันธมิตร ณ เมืองแคนดี ลังกา พร้อมกับส่งทหาร ตำรวจ และพลเรือนไปรับการฝึกกับ หน่วย โอ.เอส.เอส. (O.S.S : Office of Strategic Services) ของสหรัฐอเมริกา และกองกำลัง 136 ของอังกฤษ ในอินเดียและลังกา หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 06, 2007, 08:19:03 PM นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งโรงเรียนนายทหารสารวัตร และโรงเรียนนายสิบสารวัตรทหาร โดยรับสมัครนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักเรียนเตรียมปริญญาจากมหาวิทยาลัยธรรม
ศาสตร์และการเมือง นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และนักเรียนโรงเรียนเตรียมนายเรือ มาฝึกให้เป็นผู้บังคับบัญชาของกองกำลังใต้ดินเพื่อเตรียมสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นในวันที่ฝ่ายสัมพันธมิตร กำหนด มีการประชาสัมพันธ์ให้คนไทยในประเทศร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่น ส่งข่าวด้านยุทธศาสตร์ทางทหารตลอดจนรายงานสภาพดินฟ้าอากาศให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบ ซึ่งทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตร สามารถปฏิบัติการทางทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ ธันวาคม 07, 2007, 02:25:20 AM แต่สิ่ง ที่ส่งอิทธิพลต่อกองทัพแดงมากที่สุดก็คือการปรับปรุงระบบ โลจีสติค (การส่งกำลังบำรุง) และการสื่อสาร
เป็นครั้งแรกที่ส่งทหารเข้าแนวรบโดยรถไฟด้วยครับ น่าจะเป็นที่สตาลินกราด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 07, 2007, 05:22:11 AM อย่างไรก็ดี การปะทะกันระหว่างขบวนการเสรีไทยกับกองทัพญี่ปุ่นไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิเมื่อวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 แม้ว่าไทยจะร่วมกับญี่ปุ่นในการประกาศสงคราม แต่ความร่วมมืออย่างลับ ๆ ของไทยกับฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้ไทยมีอำนาจต่อรองในการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรหลังสงครามยุติ โดยสหรัฐอเมริกาถือว่าไทยไม่เคยประกาศสงครามต่อประเทศของตน ขณะที่อังกฤษดำเนินนโยบายต่อไทยแตกต่างไปจากสหรัฐอเมริกา
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Charoon รักในหลวงครับ ที่ ธันวาคม 09, 2007, 02:40:17 AM สมาชิกขบวนการเสรีไทย
ปรีดี พนมยงค์ - หัวหน้าขบวนการเสรีไทย พันตรี จำกัด พลางกูร - เลขาธิการคณะเสรีไทยสายภายในประเทศและผู้แทนคณะเสรีไทยที่เดินทางไปติดต่อกับสัมพันธมิตรในจีน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช - เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผู้นำขบวนการเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ ม.จ.การวิก จักรพันธุ์ - ผู้นำขบวนการเสรีไทยในอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี - พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เสรีไทยในอังกฤษ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ - ผู้มีส่วนช่วยให้ไทยส่งข่าวสารถึงฝ่ายพันธมิตรได้เป็นผลสำเร็จ พล อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา หลวงดิฐการภักดี - เลขานุการเอกสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา อนันต์ จินตกานนท์ - เลขานุการโทสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ม.ล.ขาบ กุญชร (เสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา) พ.ต. โผน อินทรทัต - อดีตรองผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง (เสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา) พลตรีนิรัตน์ สมัถพันธุ์ (เสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา) ศาสตราจารย์ ดร.เจริญ เจริญรัชตภาคย์ (เสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา) ศาสตราจารย์ ดร.บุญรอด บิณฑสันต์ (เสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา) คุณกรองทอง ชุติมา (เสรีไทยสายสหรัฐอเมริกา) คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร ดิเรก ชัยนาม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 31, 2008, 10:44:36 AM ขอแนะนำเรื่องนี้ครับ เขียนดีด้าน เศรษฐศาสตร์การทหาร ระบบการจัดกองทัพ แนวคิด และตรรกะการสงคราม มีที่ เอเชีย บุ๊ค ปกอ่อน ::002:: ::002::
The Changing Face of War: Lessons of Combat, from the Marne to Iraq http://www.amazon.com/Changing-Face-War-Lessons-Combat/dp/0891419012 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ มีนาคม 10, 2009, 01:46:53 PM ยกกระทู้ตามคำสัญญาของผู้เขียนว่าจะลงรายละเอียดเพิ่มเติมครับ :VOV:
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:02:16 PM ถามหน่อยครับว่า ตอนเริ่ม WWII ทำไม ท่านผู้นำ ถึงเลือกที่จะเล่นงาน Poland ก่อนเพื่อนครับ หรือทดลองอาวุธและยุทธวิธีใหม่ ไม่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:24:58 PM ผู้นำหนวดจิ๋ม เล่นงาน สัญญาแวร์ซาย (หลายเรื่อง) / สมดุลอำนาจระหว่างประเทศ (หลายเรื่อง) / ประเทศออสเตรีย (หนักๆ สองครั้งกว่าจะผนวกมารวมได้) / แคว้นซูเดเตนของเชกฯ และ ประเทศเชกโกสโลวาเกีย ก่อนครับ
ทำนองได้ใจขึ้นเรื่อยๆ ตอนเล่นงาน โปแลนด์อาจไม่แน่ใจว่าอังกฤษเอาจริงงานนี้ด้วยซ้ำ รายละเอียดเดี๋ยวมาคุยกันครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:45:02 PM ความอิหลักอิเหลื่อของ ยุทธวิธี และเทคโนโลยี่อาวุธ
ทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ขี่ม้า สะพายปืนลูกเลื่อน ถือหอก ใส่หน้ากากกันแกสพิษ ในยุคที่ใช้ปืนกล ปืนใหญ่ยิงเร็ว และเครื่องบิน ภาพทหารแบบนี้มีทุกชาติ ที่ปวดใจคือขนาดตอนสงครามโลกครั้งที่สองทหารโปลิชยังขี่ม้าถือหอกแบบนี้เข้าลุยกับรถถังเยอรมัน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:46:00 PM ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟังครับว่า ใน WWII ตอนนั้นมีตึกเรียงกันมองจากอากาศเป็นตัว A B C ตัว A กับ B เป็นกระทรวงการต่างประเทศ กับตึกทหาร เมกันบอร์มเต็มที่ พอถึงตัว C หยุดเพราะเป็นตึกตำรวจ และตึกรัฐสภาญี่ปุ่นก็ไม่โดนบอร์มพัง
รูปนี้ ปี 1946 คนญี่ปุ่นต้องปลูกผักหน้าสภา เตือนใจให้สู้งานได้ดี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:49:16 PM มีรูปคนเยอรมันหลังสงครามเลี้ยงแกะหน้า ไรชตาก เหมือนกัน หาไม่เจอครับ
เจอแต่รูปคนเยอรมันปลูกผักกินหน้าสภา ปี 1946 สื่อเหมือนกัน ได้ยินว่าตอนลงนามชนะสงครามโลกกับญี่ปุ่น ท่านแมก หยิบปากกาที่พกมาเองลงนาม เป็นปากกา ปาร์กเกอร์ ไม่ทราบจริงไหมครับ? เลยนึกถึง แพทตั้น ไม่ทราบว่าปืนพก SAA ด้ามงาที่พกประจำอยู่ที่มิวเซียมไหน หรืออยู่กับครอบครัว ได้ข่าวว่าลูกชายท่านก็เป็นนายพลตรีไปรบเวียดนามด้วย ในสงครามใหญ่ชาติที่จำเป็นก็ใช้ผู้หญิงรบทั้งนั้น มีชื่อก็หลายคน ตอน WWII โซเวียตมีสไนเปอร์หญิงเป็นหมื่นๆ ที่ดังๆ คุณลุดมิล่า มีเครดิตยิงข้าศึกตาย 309 คน ไปเมการณรงค์ให้เมกันชวยเรื่องสงครามด้วย ผมว่ารถถังใหญ่เกิน เสียประสิทธิภาพมากกว่าเรือประจัญบานใหญ่มาก เพราะความใหญ่มากขึ้นของรถถัง จะเพิ่มปัญหาเรื่อง การเคลื่อนที่ และการอำพราง มากกว่าเรือ เรือยิ่งใหญ่ จะเพิ่มศักยภาพ "ในรูปแบบของเรือประจัญบาน" ได้ดีขึ้น แต่สำหรับรถถัง ถ้าใหญ่เกินกว่าเคลื่อนที่ได้ในภูมิประเทศส่วนมาก และเสียประสิทธิภาพในการซ่อนพราง เสียศักยภาพ "ในรูปแบบของรถถัง" มาก กว่าจะจมเรือประจัญบานใหญ่มากกว่า ได้สักลำต้องใช้เรือเล็กกว่ารุมหลายลำ อย่างกรณี กราฟ ชเป และบิสมาร์ค แต่ถ้าเรือไม่มีการคุ้มกันทางอากาศ ก็เสียท่ากำลังทางอากาศทั้งนั้นไม่ว่าเรือจะขนาดไหน เช่นกรณี รีพัลพ์ /ปรินซ์ ออฟ เวลส์ /ยามาโต้ เป็นข้อเสียอย่างแรง้พราะในสงครามโลกครั้งที่สองเครื่องบินมีศักยภาพมากขึ้น ถ้าไม่มีการคุ้มกัน ออกไปไหนเดี่ยวๆ ตายลูกเดียว บิสมาร์กโดนจมทำให้เยอรมันไม่กล้าส่ง Tirpitz เรือชั้นเดียวกันออกไปอาละวาดในทะเลเปิดเลย ส่วนมากที่เรือประจัญบานใหญ่ๆ จม เกิดเพราะการให้ความสำคัญในการโจมตีของข้าศึก บางครั้งระดมเรือเป็นสิบๆ ลำ หรือเครื่องบินเป็นร้อยๆ ลำล่าเรือประจัญบาน/ลาดตระเวนใหญ่ๆ ลำเดียว จึงอาจจะดึงกำลังของข้าศึกมากกว่าเอาทรัพยากรไปสร้างเรือเล็กกว่า 2-3 ลำ เรือประจัญบานอาวุธมีหลายหลายกว่าเมื่อก่อนมาก และเนื่องจากเรือเล็กกว่าสมัยนี้ใช้มิสซายต่างๆ ได้ เรือประจัญบานจึงไม่มีลักษณะเด่นอย่่างสมัยก่อน ที่เป็นเรือ "ปืนโต" ที่สุด สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เรือประจัญบานมีบทบาทมากในแอตแลนติก เพราะอังกฤษไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินมาก เครื่องบินครอบคลุมการยุทธทางทะเลที่ห่างจากฝั่งไม่ได้มากอย่างเมกาในแปซิฟิก ในแปซิฟิกเรือประจัญบานไม่ได้ประจัญบานกับเรือปืนโตด้วยกันเพราะการรบระหว่างกองเรือใช้เครื่องบินกันเป็นหลัก เรือปืนโตเอาไว้ยิงสนับสนุนการรบบนเกาะมากกว่า ญี่ปุ่นทุ่มทรัพยากรไปสร้างเรือปืนโตมากเพราะยังติดมาจากสมัยรบที่ ซูชิม่า สงคราม ญี่ปุ่น-รัสเซีย 1904-1905 ซึ่งญี่ปุ่นชนะรัสเซียจากการยุทธวิธีทางเรือ ดวลปืนโต อยู่ที่นโยบายการระดมทรัพยากรละครับว่าใครจะสร้างอะไรเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับปัจุบัน จำนวน อาวุธสมัยนั้นมากกว่าสมัยนี้มากๆ ครับเพราะความยากในการสร้าง ราคาต่อชิ้นน้อยกว่า เช่นเครื่องบิน เห็นชัดมาก ทหารที่สามารถฝึกให้ใช้ได้ก็มีจำนวนมากกว่า สมัยสงครามโลกครั้งทีสอง เครื่องบินรุ่นที่ใช้มากๆ ผลิตกันออกมารุ่นละหลายหมื่นลำ ในสงครามโลกครั้งทีสอง ปริมาณทรัพยากรที่นำมารบกันและเสียหายสูงน่าสยองมากครับ เช่น 1. ระวางขับน้ำรวมเรือสินค้าที่โดนข้าศึกจมของชาติสัมพันธมิตรคือ อังกฤษ 11.357 เมกา 3.334 อื่นๆ 6.503 หน่วยเป็น "ล้านตัน" ครับ 2. จำนวนเรือดำน้ำที่โดนทำลายของ เยอรมัน 781 อิตาลี 85 ญี่ปุ่น 130 นอกจากนี้ต้องเทียบจำนวนประชากร ศักยภาพทางอุตสาหกรรมสมัยนั้น ฯลฯ เทียบด้วยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:51:37 PM เรื่อง Iron Coffins: A Personal Account of the German U-Boat Battles of World War II ของ Herbert A. Werner ผู้การเรือดำน้ำเยอรมัน ที่เขาอยากได้มากๆ คือเรือที่มี ชนอกเกิลท่อไอเสีย/อากาศ เครื่องดีเซล ทีช่วยให้เรือวิ่งอัดแบตใต้น้ำได้โดยไม่ต้องโผล่ขึ้นเหนือน้ำโดนเรดาห์จับ
จากเรื่องนี้ หลายครั้งที่เรือโดนตรวจจับได้ โดนบอร์มระเบิดน้ำลึกข้ามวันข้ามคืนหลายร้อยลูก ลำไหนบอร์จนระเบิดหมดแล้วก็ไป ข้างล่างได้ยินเสียงใบจักรเรือแล่นไป แล้วก็มีลำใหม่เข้ามาประจำตำแหน่งบอร์มแทน บางทีเรือเอียงจมโคลน ลูกเรือต้องปีนขึ้นไปถ่วงน้ำหนักที่ปลายอีกข้าง ฯลฯ อากาศก็เน่า ทั้งน้ำมัน คาร์บอนมากเกิน ของเสียที่ยังทิ้งไม่ได้ ต้องใช้ความทรหดสูงมาก นายเกอริงแกไม่ได้เป็นทหารอากาศเพียวๆ ครับพี่ เป็นผู้บริหารพรรคและเคยเป็น รมต. มหาดไทย และ ผบ. ตำรวจ แคว้นปรุสเซีย และใช้อำนาจผู้บริหารพรรคออกคำสั่งให้ เอสๆ จับยิวไปฆ่าครับ ตามธรรมดาฮิเลอร์สั่งแต่ปาก แต่เกอริงลงนามในเอกสารเลย ตอนโดนพิพากษาให้ถูกแขวนคอแกร้องขอให้ยิงเป้าแทน แต่ถูกปฏิเสธ แกเลยกินยาพิษที่ซ่อนมาในตลับครีมทาปากตายครับ พ่อเพื่อนผมเป็นเด็กอยู่ที่ปีนัง เล่าว่าเห็นญี่ปุ่นจับคนจีนฝังทั้งเป็นเลยครับ... เมกันต้องเลี้ยงญี่ปุ่นไว้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นสตาลินก็ออกท่าเต็มที่ส่งทหารเข้าจีน เกาหลียุ่งไปหมด ที่จริงโซเวียตเป็นพันธมิตรกับอังกฤษ เมกัน แต่ไม่ได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นเพิ่งมา "ฉวยโอกาส" ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น "หลังจาก" ญี่ปุ่นโดนทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าแล้ว 2 วันครับ วันต่อมาก็โดนอีกลูกที่นางาซากิ ประกาศสงครามเป็นทางการเพื่อจะส่งทหารมายึดเท่านั้น แม่ทัพญี่ปุ่นบางคนก็โดนพิพากษาแขวนคอข้อหาอาชญากรสงคราม อย่าง นายพล Yamashita ที่ฟิลิปปินส์ แต่ทั่วไปก็ไม่เท่าเยอรมันละครับ นึกๆ อีกทีเรืองศาลอาชญากรสงคราม ผมว่าทางยุโรปมีคู่แค้นเยอรมันชาติอื่นอีกอย่าง โซเวียต และฝรั่งเศส เลยทำให้กวาดล้างนาซีหนักครับ โดยเฉพาะโซเวียต ต้องการทำลายบุคลากร ภาวะผู้นำขอเยอรมันต่อเนืองเพื่อเอ้อโอกาสให้ครอบงำเพิ่ม ตอนนั้นหลายชาติที่เสียหาย ไม่มีกินก็หันไปทางฝ่ายซ้าย พรรคซ้ายมีเสียงมากขึ้น อย่างกรีก เกือบจะกลายเป็นคอมฯ ไปเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:52:07 PM นายกันลาน Adolf Galland เป็นนักบินขับไล่ที่เก่ง และเหนือกว่านักบินธรรมดาคือมีความคิดวิเคราะห์ทางยุทธวิธี และยุทธศาสตร์สูงมาก เป็นนักบริหารที่เก่งด้วย ตอนจบสงคราม 1945 ตำแหน่งสุดท้ายเป็น ผบ.กองบินขับไล่ ยศพลอากาศโท อายุแค่ 33 ปี...
กันลานไปบินรบตั้งแต่นาซีไปแทรกแซงสงครามกลางเมืองสเปน ต่อมาบินรบกับอังกฤษใน Battle of Britain เครื่องของ กันลาน จะเขียนขีดไว้ที่แพนหางดิ่งเมื่อยิงข้าศึกตก แต่สถิติยิงข้าศึกตกไม่แน่นอนเพราะ ฮิตเล่อร์ให้ตำแหน่งบริหารแล้วสั่งห้ามขึ้นบิน กลัวไปตาย แต่กันลานแอบขึ้นบินรบเอง จึงไม่ได้มีการบันทึกไว้เป็นทางการ ฮิตเล่อร์ ชอบกันลานมาก เวลามีงานยากๆ เจาะจงเรียกมาใช้ เช่น การนำเรือ ชานฮอส / กไนชเนาร์ และ ปรินซ์ ออยเกน ออกจากอ่าน บิสเคย์ นอกฝั่งสเปน แล่นฝ่านช่องแคบอังกฤษไปเข้าทะเลเหนือ อันตรายมากในเขตช่องแคบ แต่ปืนใหญ่ชายฝั่งของอังกฤษก็ยิงคลุมได้หมดแล้ว ฮิตเล่อร์เรียกกันลานมาให้วางแผนจัดเครื่องบินคุ้มกัน ช่วง Battle of Britain กันลาน เคยขัดขอเกอริงอย่างฮา คือเกอริงเป็นนักบินสงครามโลกครั้งแรก ติดกับเครื่องบินแบบเก่า ตอนไปบอร์มอังกฤษเลยสั่งให้ขับไล่บินชิดขบวนทิ้งระเบิด เพื่อให้คุ้มกันใกล้ชิด และเพิ่มกำลังใจให้เครื่องทิ้งระเบิด แต่ในสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องบินความเร็วสูงขึ้นมาก และใช้ความได้เปรียบในการเข้าจู่โจมเร็ว ไม่ให้รู้ตัวมาก ส่วนมากโดนยิงก่อนนักบินเห็นข้าศึกเสียอีก แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่างกัน นักบินมักเห็นข้าศึกก่อน เครื่องบินความเร็วต่ำ เห้นแล้วก็ใช้ฝีมือควบคุมการบินมาหามุมยิงกัน การอำพรางไม่สำคัญมากเท่าในสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างฝูงบินของ บารอน ริชโธเฟน ทาสีฉูดฉาดทั้งนั้น ริชโธเฟนเองแดงแจ๋ ในสงครามโลกครั้งที่สองถ้าบินติดขบวนก็เหมือนล่อเป้า กันลาน เขียนว่าเครื่องขับไล่คือนายพราน ต้องล่าข้าศึก "จากท้องฟ้า" ไม่ใช่เข้ารบ "ในท้องฟ้า" (from the air, not in the air) ตอนนั้น กันลาน เป็นแค่ผู้นำฝูงแต่เถียงกับ เกอริงๆ ฉุนบอกว่า "ข้าก็เป็นนักบินขับไล่นะโว้ย" แล้วก็ทำใจดีถาม กันลาน กับคนอื่นว่าอยากได้อะไรเพิ่ม กันลาน ประชดว่า "ผมขอเครื่องสปิดไฟร์สักฝูงหนึ่ง" ในหนังสือที่ตนเองเขียน กันลาน เขียนว่าพูดไปแล้วก็ฉุกคิดว่าจริงๆ แล้วตนเองคิดว่า Me109 ดีกว่า (แนวคิดหัวเยอรมันจริงๆ ครับ ประชดแล้วยังมาคิดเรื่องเทคนิก) กันลาน ติดซิการ์ มีที่เขี่ยบุหรี่ในห้องนักบินของตัว โลโก้ข้างเครื่องบินเป็นมิกกี้เม้าส์คาบซิการ์ถือขวาน / ปืนพก กันลาน เขียนหนังสือเรื่อง The first and the last เป็นเรื่องตั้งแต่ไปรบในสเปน ถึงตอนสุดท้าย "เมื่อรถถังเมกันเคลื่อนเข้ามาที่สนามบิน เครื่อง Me262 ของเราไฟลุกท่วมอยู่" (สั่งเผาเอง) ปล. ตอนที่ วัลเทอร์ โนโวทนี่ นักบินมือฉมังสถิติยิงข้าศึก 258 เครื่อง บิน Me262 ขึ้นไปสู้กับเมกันแล้วอุบัติเหตุเครื่องยนต์ไฟไหม้ตาย กันลาน ก็อยู่ด้วยที่ลานบิน สั่งไม่ให้ขึ้นแล้วเพราะไม่มีประโยชน์ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 04:53:02 PM กันลาน เพิ่งเสียชีวิตปี 1996 ครับ หลังสงครามไปเป็นเชลยศึก 1-2 ปี แล้วไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพอากาศอาร์เจนติน่า แล้วก็กลับมาเยอรมัน บางแหล่งบอกว่าเป็นที่ปรึกษาอุตสาหกรรมการบิน และอวกาศของเยอรมันด้วยครับ ตอนครบรอบ 50 ปี Battle of Britain ปี 1990 กันลาน ยังมาให้สัมภาษณ์ลง ไทม์ แมกกาซีน
จากรูป 1 เห็นว่า กันลานได้เหรียญกล้าหาญชั้น กางเขนเหล็กอัศวิน + ใบโอ๊ค + ดาบไขว้ และฝังเพชรด้วย ในสงครามโลกครั้งที่สองเยอรมันมีคนสับเปลี่ยนเข้ามาเป็นหทารหลายสิบล้านคน มีคนได้เหรียญกล้าหาญระดับฝังเพชรรแค่ 28 คน Knight's Cross of the Iron Cross The Knight's Cross of the Iron Cross (Ritterkreuz des Eisernen Kreuzes, often simply Ritterkreuz) recognized extreme battlefield bravery or successful leadership. The Knight's Cross was divided into five degrees: Knight's Cross (Ritterkreuz des Eisernen Kreuzes) Knight's Cross with Oak Leaves (mit Eichenlaub) Knight's Cross with Oak Leaves and Swords (mit Eichenlaub und Schwertern) Knight's Cross with Oak Leaves, Swords, and Diamonds (mit Eichenlaub, Schwertern und Brillanten) Knight's Cross with Golden Oak Leaves, Swords, and Diamonds (mit Goldenem Eichenlaub, Schwertern und Brillanten) In total, 7,313 awards of the Knight's Cross were made. Only 883 received the Oak Leaves; 160 both the Oak Leaves and Swords (including Japanese Admiral Isoroku Yamamoto (posthumously); 27 with Oak Leaves, Swords and Diamonds; and one with the Golden Oak Leaves, Swords, and Diamonds (Oberst Hans-Ulrich Rudel). หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 10, 2009, 05:29:56 PM ในหนังเรื่อง Midway มีการตัดต่อนำฟิลม์ที่ถ่านในการรบจริงๆ มาหลายฉาก ฉากหนึ่งในหนังที่ลูกนายพลเรือบินเครื่องเสียหายบินมาลงแล้วพอตะขอเกี่ยวลวดเครื่องขาดกลาง ไถลมาชน Super structure ปีกขาดอีก เรื่องจริงนักบินปืนลงมาหน้าตาเฉย :OO
รูปนี้ก็ถ่ายมาจริง เครื่อง Hellcat เสียหายลงบนเรือบรรทุกเครื่องบิน ไฟลุกท่วมแล้ว พลบนดาดฟ้าเรือวิ่งหน้าตั้งโดดขึ้นไปเปิดฝาครอบดึงนักบินออกมา ลากนักบินออกมาพ้นพอดีเครื่องบินระเบิด เหมือนหนังแอคชั่นเป๊ะๆ ผมว่าคนที่วิ่งไปช่วยคงต้องได้เหรียญกล้าหาญอะไรบ้างแน่ๆ This photo shows the crash landing of F6F-3, Number 30 of Fighting Squadron Two (VF-2) aboard USS Enterprise (CV-6), into the carrier's port side 20mm gun gallery, 10 November 1943. The plane's ruptured belly fuel tank caused instant fire. Lieutenant Walter L. Chewning, Jr., USNR, the Catapult Officer, is climbing up the plane's side to assist the pilot from the burning aircraft. The pilot, Ensign Byron M. Johnson, escaped without significant injury. USS Enterprise was then en route to support the Gilberts Operation. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ มีนาคม 10, 2009, 07:11:28 PM ::002:: เข้ามาติดตามอ่าน และบวกคะแนนให้ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 10, 2009, 07:22:57 PM +1 ให้ครับ แบบนี้ต้องยกนิ้วให้เลยว่าเยี่ยมจริงๆครับ ::002:: ::002:: ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ มีนาคม 10, 2009, 07:39:30 PM บวก1ครับคุณต๊อก
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JC ที่ มีนาคม 10, 2009, 08:24:36 PM ขอบคุณสวรรค์ที่บันดาลใจให้มีคนขุดกระทู้นี้ขึ้มาคุยต่อ...
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ มีนาคม 10, 2009, 10:16:12 PM น่าสนใจมากขอบคุณทุกท่านด้วยครับ โ ดยเฉพาะอ่าน กท.นี้ ของคุณ Wilhelm Tell -(-- ได้เพลินมาก
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ มีนาคม 11, 2009, 04:33:17 AM ไม่ได้เข้ามาหลายวัน :D
ผมว่าเยอรมันแพ้เพราะบุกรัสเซียเร็วไปครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ มีนาคม 11, 2009, 04:37:07 AM เมื่อวานดู history chanel ช่วงท้ายๆสงครามโลกครั้งที่2 ใช้ทรัพยากรเหล็กปีละ 65 ล้านตัน คิดง่ายๆ เรือบรรทุกเครื่องบินลำล่าสุดของ us ชั้น จอร์จ บุช ระวางขับน้ำ ประมาณ แสนตัน ใช้เวลาสร้าง 3-5 ปี เท่ากับสร้างเรือยักษ์คลาสนี้ปีละ 650 ลำ ถ้าคิดในมุมกลับ เอาไอ้เครื่องจักรสงครามจำนวนนี้มาคงทำให้คนทั้งโลกหายอดอยาก ไม่มีคนจน สงครามเป็นหายนะของมนุษยชาติจริงๆครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 09:52:34 AM เรือ จอช บุช นี้คือชื่อตัวคุณพ่อใช่ไหมครับ?
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 10:59:07 AM ถามหน่อยครับว่า ตอนเริ่ม WWII ทำไม ท่านผู้นำ ถึงเลือกที่จะเล่นงาน Poland ก่อนเพื่อนครับ หรือทดลองอาวุธและยุทธวิธีใหม่ ไม่เข้าใจ
ผู้นำหนวดจิ๋ม เล่นงาน สัญญาแวร์ซาย (หลายเรื่อง) / สมดุลอำนาจระหว่างประเทศ (หลายเรื่อง) / ประเทศออสเตรีย (หนักๆ สองครั้งกว่าจะผนวกมารวมได้) / แคว้นซูเดเตนของเชกฯ และ ประเทศเชกโกสโลวาเกีย ก่อนครับ ทำนองได้ใจขึ้นเรื่อยๆ ตอนเล่นงาน โปแลนด์อาจไม่แน่ใจว่าอังกฤษเอาจริงงานนี้ด้วยซ้ำ รายละเอียดเดี๋ยวมาคุยกันครับ ค่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ อิ อิ ...ในหนังสือบันทึกความจำสงครามโลกครั้งที่สอง ของ เชอร์ชิล ตอนจบสงคราม รุสเวลส์ ถาม เชอร์ชิล ว่า เราจะเรียกสงครามนี้ว่าอะไรดี? เชอร์ชิล ตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า "สงครามที่ไม่จำเป็น" (The unneccessary war) เนื่องจาก ความก้าวร้าวของ ฮิตเล่อร์ นั้นเห็นกันทั่วไป ในหลักการใหญ่แล้ว ฮิตเล่อร์ ไม่ได้ปิดบังนโยบายของตัวเลย พยายามทำตามหนังสือของตัวที่เขียนมาตั้งแต่ปี 1924 โดยตลอด ทั้งเรื่องการตั้งรัฐบาลใช้อำนาจเผด็จการ การรังเกียจคนที่ไม่ใช่เยอรมัน การขยายแผ่นดินเยอรมันไปยโรปตะวันออก และการต่อต้านสัญญาแวร์ซายที่เยอรมันโดนจับให้เซ็นเมื่อยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ ฮิตเล่อร์ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในทางปฏิบัติในปี 1933 ก็ก้มหน้าก้มตา หรือที่จริงก็ลอยหน้าลอยตาตะโกนบอกคนเยอรมันและชาวโลกตามที่ชุมนุมใหญ่ๆ ตลอดว่าเยอรมันจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ทำไมพันธมิตรสงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงปล่อยปละละเลย ขอคุยสรุปๆ ตามประเทศครับ 1. ฝรั่งเศส ฝรั่งเศสเป็นศัตรูเชื้อชาติกับเยอรมันตั้งแต่เยอรมันยังไม่รวมประเทศ หลังยุคกลางมา ฝรั่งเศสรวมประเทศกันได้ใหญ่โตมีกำลังเป้นอันดับต้นๆ เทียบกับออสเตรีย ซึ่งอำนาจอาศัยศักดิ์ศรีเรื่องอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธ์อย่างหลวมๆ หรืออันดับ 1 เลยด้วยซ้ำ แคว้นอื่นๆ ในยุโรปถ้าจะมีอำนาจขึ้นมาก็มาจากการแต่งงานของเจ้า เช่น ชาลส์ที่ 5 ดังนั้นผลประโยชน์ภาคพื้นยุโรป ถ้าจะเทียบต้องเทียบกับ สเปน แคว้นเยอรมันใหญ่ๆ อย่างปรุสเซียนก็ทำสงครามแย่งดุลอำนาจในยุโรปวุ่นวายมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 17 ในสงคราม 7 ปี พอสมัยนโปเลียน (1769-1821) ฝรั่งเศสเป็นปึกแผ่นแล้ว แต่เยอรมันยังเป็นแคว้นอยู่ ฝรั่งเศสมีระบบกองทัพแห่งชาติ ที่มีประสิทธิภาพ ไปบังคับให้แคว้นเยอรมันเป็นพันธมิตร หรือรบปราบแคว้นเยอรมันได้ทุกแคว้น ทั้งนี้เพราะแคว้นเยอรมันไม่รวมตัวกัน จะมารบกับนโปเลียนทีละแคว้น ก็เลยแพ้ไป ปลายศตวรรษที่ 19 ปรุสเซียน รวมชาติเยอรมัน รบชนะออสเตรีย และรบชนะฝรั่งเศสปี 1871 ทหารเยอรมันเข้าปารีส ถอดพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ฝรั่งเศสกลายเป็นสาธารณรัฐตั้งแต่บัดนั้น เยอรมันยังได้รวมแคว้น อัสศาส ลอเรน เข้าเป็นของเยอรมันด้วย ที่จริงประชาชนในสองแค้นนี้เป็นคนเยอรมัน แต่ไปอยู่ภายใต้ฝรั่งเศสมานาน สมันก่อนนโปเลียนนิดเดียวกองทหารจากสองแคว้นนี้ยังสั่งการเป็นภาษาเยอรมัน ปี 1918 เยอรมันยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ตามสัญญาแวร์ซาย เป็นการยอมแพ้ไม่ได้บุกเข้ายึดเมืองหลวงอย่างในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อแพ้สงครามมีการล้มเลิกระบบกษัตริย์ของทั้ง เยอรมัน และออสเตรีย เยอรมันนและออสเตรียกลายเป็น "รัฐเลือกตั้ง" หลังสงคราม ฝรั่งเศสเสียหายหนักอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อนตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 1 ก่อน ค.ศ. (ถ้าเป็นจริงว่า จูเลียส ซีซาร์ ฆ่าคนกอลไป 2 ล้านกว่าคน ตามจำนวนที่รวมๆ ได้ในหนังสือ Gallic War) การดำรงชีวิตของฝรั่งเศสเรียกว่าย่ำแย่ การเมืองภายในและมุมมองต่อสงครามเปลี่ยนไป สิ่งสำคัญที่ตามมาซึ่งส่งผลต่อการทหาร และการบังคับเยอรมันให้ปฏิบัติตามสัญญาแวร์ซายคือ 1. การเมืองภายในที่ไม่มีเอกภาพ พรรคหัวเอียงซ้าย และเสรีนิยม มีอำนาจในสภา เมื่อมีความพยายามเคลื่อนไหวทางทหารกดดันเอยรมันอะไรๆ พวกฝ่ายซ้ายขัดขาทุกเรื่อง โวยวายแบบว่า "จะไม่ยอมให้นายทุนเอาชนขั้นแรงงานไปตายเพื่อแย่งสมบัติกับทุนนิยมต่างชาติ ฯลฯ" 2. การทหาร มีการป้องกันประเทศโดยยึดแนวคิดสนามเพลาะ สร้างแนวมาจิโนต์ใหญ่โต ที่สำคัญคือ ไม่ได้สร้างตลอดแนวพรมแดน ไม่มีแนวที่พรมแดน เบลเยี่ยม ป่าอาร์เดน และพรมแดนทางใต้ๆ ฝรั่งเศสไม่ได้พัฒนากองทัพตามเทคโนโลยี่ที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะเรื่อนยานเกราะ มี เดอโกล นายทหารม้าตัวสูงคิดเรื่องนี้แต่เรื่องก็โดนดอง 3. ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่กี่ปี ดุลอำนาจในยุโรปไม่น่ากลัวมาก อิตาลียังอยู่ตรงกันข้ามกับเยอรมัน และคานอำนาจเยอรมันในออสเตรีย รัสเซียก็ยังไม่ได้เป็นมิตรกับเยอรมัน และคอยคานอำนาจเยอรมันในเชกโกน และชาติยุโรปตะวันออกที่รัสเซียถือว่าตัวเองเป็นลูกพี่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ มีนาคม 11, 2009, 11:58:56 AM ขออนุญาต +1 ให้พี่ wilhelm tell กับพี่nar ครับ
::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ มีนาคม 11, 2009, 12:09:29 PM เมื่อวานดู history chanel ช่วงท้ายๆสงครามโลกครั้งที่2 ใช้ทรัพยากรเหล็กปีละ 65 ล้านตัน คิดง่ายๆ เรือบรรทุกเครื่องบินลำล่าสุดของ us ชั้น จอร์จ บุช ระวางขับน้ำ ประมาณ แสนตัน ใช้เวลาสร้าง 3-5 ปี เท่ากับสร้างเรือยักษ์คลาสนี้ปีละ 650 ลำ ถ้าคิดในมุมกลับ เอาไอ้เครื่องจักรสงครามจำนวนนี้มาคงทำให้คนทั้งโลกหายอดอยาก ไม่มีคนจน สงครามเป็นหายนะของมนุษยชาติจริงๆครับ :D มุมหนึ่งคือหายนะของมนุษยชาติ แต่อีกมุมคือเป็นช่วงเวลาก่อเกิดเทคโนโลยี งานวิจัย ทฤฎีต่าง ๆ ที่มีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของโลกมาจนถึงปัจจุบันอาจจะคนละเรื่องแต่ก็คล้าย ๆ กันคือ ที่ผมมานั่งอ่านบทความของพี่บนหน้าจอคอมผ่านระบบInternet นี่ ถ้าไม่ใช้ผลจากความวิตกจริตจากสงครามเย็นเราก็คงจะมีระบบพวกนี้ช้าไปอีกหลายปี :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:03:57 PM น่าสนใจมากขอบคุณทุกท่านด้วยครับ โ ดยเฉพาะอ่าน กท.นี้ ของคุณ Wilhelm Tell -(-- ได้เพลินมาก ขอบคุณครับพี่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:12:13 PM ขั้นจังหวะเรื่องของประเทศต่างๆ ด้วยมุมมองอีกเล็กน้อยครับ
คาร์ล ฟอน เคลาวิสช์ นักการทหารลือนามกล่าวว่า "สงครามเป็นการดำเนินนโยบายในอีกรูปแบบหนึ่ง" (War is the continuation of policy by other mean) เมื่อเรามาดูกันว่าทำไมชาติที่เริ่มสงครามหรือเข้ารบในสงคราม ทำอะไร? อย่างไร? จึงต้องมาดูกันว่าทำไมด้วย อยากทำอะไรแล้วไม่ได้ถึงใช้สงคราม? และทำไมถึงอยากทำอย่างนั้น ลองมาดู แผนที่ยุโรป ตอนต้นและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ 1914 เริ่มสงคราม 1918 เยอรมันแพ้สงคราม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:15:56 PM + 1 ให้คุณต๊อก.... ติดตามอ่านเรื่อยๆครับ ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: BIGFISH ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:19:46 PM ขอสมัครเป็นแฟนคลับด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:23:20 PM อ่านยังไม่หมดครับ... เข้ามาแสดงตัวก่อนครับ...
นี่ก็กระทู้ที่เกือบพลาด... โอ้... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:31:53 PM มารอติดตามและเก็บเกี่ยวความรู้เช่นกันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ มีนาคม 11, 2009, 01:34:04 PM :) ตามหลังพี่สมชายมา +1 คะแนน ให้คุณ.ต๊อก ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:01:18 PM ฝรั่งเศษรบสู้เยอรมันไม่ได้ทุกครั้งเลย ::005::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:01:37 PM พอดีเข้าเรื่องเยอรมันกันเลยดีกว่าครับ
หลังสงครามโลก เยอรมันก็ เฮ้ย ประเทศของข้า เหลือน้อยกว่าเดิม ราชวงศ์ก็สิ้น เกิดระบบเลือกตั้ง กลุ่มอำนาจต่างๆ ก็แย่งกันตั้ง หนุนหรรคการเมืองกันแบบประเทศที่จับเอาระบบเลือกตั้งมาครอบ... เศรษฐกิจก็แย่ สืบเนื่องจากสงคราม และต่อมาก็วิกฤตเศรษฐกิจโลก ตลาดหุ้นพัง 1929 ในด้านดินแดน เกิดประเทศโปแลนด์จากแผ่นดินที่ (ล่าสุด) เป็นของเยอรมัน แคว้นปรุสเซียนตะวันออกก็ถูกแยกออกไปมีฉนวนดานซิก หรือเมืองกด๊านซ์ มาขวางให้เป็นท่าเรือของโปแลนด์ สำหรับดินแดนเยอีมันอื่นๆ บางส่วน สัญญาแวร์ซายก็ห้ามเยอรมันมีกองทหาร เช่น ไรน์แลนด์ คือที่ติดกับฝรั่งเศส แต่สถานการณ์ดินแดนทางตะวันออกแย่ที่สุด มีการรบกันโดยไม่ประกาศสงครามระหว่างเยอรมันกับโปแลนด์ โดยกองทัพไม่เป็นทางการ Freikorps ซึ่ง สมาชิกไฟร์คอร์ป ต่อมาเป็นนาซีสำคัญหลายคน เช่น ฮิมเลอร์ / มาร์ติน บอร์มาน / ไคเตล และแม้กระทั่ง รูดอฟ โฮส ผบ. ค่ายเอาช์วิช สำหรับออสเตรียยิ่งแย่กว่า ประเทศเหลือนิดเดียว ชนชาติต่างๆ ในจักรวรรดิได้เอกราชตั้งประเทศของตนขึ้นมาเอง คนออสเตรียแท้ๆ เชื้อชาติเดียวกับเยอรมันเซ็งที่สุด ประเทศเยอรมันกลายเป็นตัวแทนของเชื้อชาติเยอรมันที่ยังดูมีอนาคตที่สุด โดยเฉพาะคนที่นิยมเยอรมันอยู่แล้วยิ่งเชื่อมากขึ้น เช่น นายสิบโท ฮิตเล่อร์ ฮิตเล่อร์ กำเนินเป็นออสเตรียน แต่ภักดีต่อความเป็นคนชนชาติเยอรมันยิ่งกว่าพรมแดน ออสเตรีย-เยอรมัน ฮิตเล่อร์ไม่ไปรายงานตัวเป็นทหารออสเตรีแต่ย้ายไปอยู่เยอรมันและสมัครเป็นทหารเยอรมันรบในสงครามโลก ฮิตเล่อร์ติดอยู่ในรูปถ่ายที่มิวนิกตอนประกาศสงครามโลกครั้งที่ 1 1914เข้าเป็นพลทหารรบแนวหน้าจริงๆ เป็นพลนำสารด้วย แต่ก็แปลกที่ได้รับเลื่อนยศครั้งเดียวเป็นเทียบเท่า Lance coporal ของอังกฤษ (ที่จริงน่าจะแปลว่าสิบตรี) ผู็บังคับบํยชาเห็นว่า ฮิตเล่อร์ ไม่มีภาวะผู้นำพอ เข้ากับคนไม่ค่อยได้ แต่นายร้อยคนหนึ่งที่เป็นเยอรมันยิวก็ขอเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นสองให้... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:08:54 PM ฝรั่งเศษรบสู้เยอรมันไม่ได้ทุกครั้งเลย ::005:: ก็สงครามโลกครั้งแรกไงครับ พอฟัดจนเยอรมันหมดแรง เรื่องชาติอื่นร่วมรบก็ต้องว่าเป็นฝีมือทางการเมืองของเขา อิ อิ ...ถ้าให้ผมไปอยู่ในศตวรรษที่ 19 อาจบอกว่าถ้ามีสงครามใหญ่ในยุโรปครั้งต่อไป อังกฤษคงจับมือกับเยอรมันรบฝรั่งเศส ราชวงศ์อังกฤษ เยอรมันก็เป็นญาติกัน เรื่องอาณานิคมทั่วโลกของฝรั่งเศสก็มาก ขัดตาทัพอังกฤษมากกว่า ในสงครามไครเมียกลางศตวรรษที่ 19 อังกฤษเป็นพวกฝรั่งเศสแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใกล้ชิดอะไรกันมาก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:23:04 PM ตามอ่านมา 2 วันแล้วครับ ชอบมาก ๆ
ช่วงปลายจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมสงสัยอยู่หลายข้อ คือ 1. ทำไมอเมริกา ใช้นิวเคลียร์กับญี่ปุ่น ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นญี่ปุ่นก็หมดสภาพจะต่อสู้อยู่แล้ว 2. ระหว่างเยอรมันกับญี่ปุ่น ทำไมอเมริกาไม่ใช้นิวเคลียร์บอมบ์เยอรมัน 3. หลังสงคราม เยอรมันทั้งตะวันตกและตะวันออกต่างก็ยังมีกองทัพของตนเอง และผลิตอาวุธส่งออกเป็นสินค้า ส่วนญี่ปุ่นโดนบีบบังคับด้านการทหารไม่เหมือนเยอรมัน ผมแอบตัดสินเองซึ่งอาจจะผิดก็คือ 1. อเมริกันแค้นญี่ปุ่นมากกว่าเยอรมัน แค้นที่คนผิวเหลืองตัวเล็ก ๆ กล้าเหยียบจมูกถึงเพิร์ลฮาร์เบอร์ 2. เยอรมันเป็นผิวขาวและนับถือศาสนาเหมือนอังกฤษ อเมริกา แต่ญี่ปุ่นเป็นผิวเหลืองและต่างศาสนา หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:38:45 PM ตั้งแต่เด็กเตี่ยผมเล่าให้ฟังว่า เมื่อเครื่องบินสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดแถวอู่ Bangkok Dock ตำรวจ สน.ยานนาวาวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยหมด เดือดร้อนทหารญี่ปุ่นต้องวิ่งขึ้นไปบนโรงพัก เปิดกุญแจห้องขังปล่อยผู้ต้องหาหนีไปเพราะเกรงจะโดนระเบิดตาย รุ่งขึ้นบริเวณถนนเจริญกรุงใกล้ ๆ อู่ Bangkok Dock เหลือแต่ซากตึก ทหารญี่ปุ่นก็เอาข้าวปั้นมาแจกประชาชนที่ไร้ที่อยู่เพราะบ้านโดนบอมบ์
ใจหนึ่งคิดแต่ว่าญี่ปุ่นเป็นผู้ก่อสงครามมหาเอเซียบูรพา แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้ญี่ปุ่นชนะสงคราม เพราะถ้าญี่ปุ่นชนะ ลาว-เขมร-มลายู-บางส่วนของพม่า (ดินแดนไทยสมัย ร.1) จะไปไหนเสีย เราได้แก้แค้นฝรั่งเศสกับอังกฤษ ไม่ต้องมีกรณีพิพาทเขาพระวิหารให้ต้องเสียใจถึงวันนี้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:43:14 PM ทั่วไปที่พอรู้มาครับ
1. ญี่ปุ่นโดนบอร์มธรรมดาและระเบิดเพลิงซะเรียบ 60% ของพื้นที่เมืองแล้ว เรียกว่าสู้ไม่ได้ แ่ไม่ยอมแพ้ครับ การรบในแปซิฟิกก่อนหน้านั้นรบด้วยอุปกรณ์ เรือ เครื่องบิน เป็นหลัก ถึงจะรบบนเกาะ กำลังทหารที่ตายก็น้อยกว่าการรบทางบกในยุโรปมาก พอปลายปี 44 -45 ขึ้นเกาะใกล้ญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ Tarawa / Iwo Jima เมกันรู้ตัวว่าสู้กับทหารราบญี่ปุ่นเสียหายมาก ยิ่งพอขึ้นเกาะ Okinawa ซึ่งเป็นแผ่นดินดั้งเดิมของญี่ปุ่นจริงๆ เมกันเริ่มตระหนักว่า บอร์มขนาดนี้แล้วก็ไม่ยอมแพ้ ต้องส่งทหารราบเข้ายึด เมกันคำนวนว่าถ้าส่งทหารขึ้นบกเข้ายึดประเทศต้องเสียกำลังพล หลักล้าน เมื่อมีระเบิดนิวเคลียร์แล้วเลยบอร์มซะ ที่น่าคิดคือลูกที่สองเว้นช่วงแค่ 3 วัน น้อยไปหน่อย เขาว่าขู่โซเวียตมากกว่า 2. เยอรมันแพ้ไปแล้วต้นเดือน พ.ค. 1945 ทดลองระเบิดนิงเคลียร์ลูกแรกที่รัฐ นิว เมกซิโก เดือน ก.ค. 1945 ครับ เรื่องวัฒนธรรมร่วมอาจมีส่วนไม่มากเพราะอังกฤษ เมกันก็บอร์มเยอรมันไม่ไว้หน้าบางเมืองก็ไม่จำเป็น เช่น เดรสเดน บอร์มวันที่ 15 ก.พ. 1945 จะแพ้อยู่แล้ว อาคารประวัติศาสตร์เก่าหลายร้อยปีพังหมด (ตอนนี้เยอรมันสร้างแทนใหม่ตามแบบเดิมเปี๊ยบทั้งใช้หินจากแหล่งเดิมด้วย) แต่ถ้าบอร์มเยอรมัน กัมมันตภาพรังสีก็คลุมชาติอื่นในยุโรปด้วย เรื่องทางเชื้อชาติ/วัฒนธรรม ก็มีส่วนทำให้เมกันก็ปฏิบัติกับเชลยญี่ปุ่นไม่ดีเท่าเชลยเยอรมัน เป็นเพราะแค้นการปฏิบัติต่อเชลยของญี่ปุ่นเองด้วย และทหารเมกันบางคนแสดงออกไม่ให้เกียรติ เช่น เอาชิ้นส่วนศพทหารญี่ปุ่นเก็บมาเป็นที่ระลึก ฯลฯ มีการจัดฉากรูปแบบนี้ "แนวหลังเขียนจดหมายไปขอบคุณแฟนทหารที่ส่งหัวกะโหลกไอ้ยุ่นมาให้" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:57:27 PM 3. เรื่องกองทัพ ในยุโรปแบ่งขั้วชัดเจนเผชิญหน้าพรมแดนติดกันระหว่าง ประชาธิปไตยตะวันตก กับคอมมิวนิสต์ โซเวียตคุมเยอรมันตะวันออกอยู่หม้ด ปั้นกองทัพขึ้นมา ทางตะวันตกก็ต้องปั้นเยอรมันตะวันตกขึ้นมาต้าน ส่วนทางญี่ปุ่นเมกันเขียน รธน. มาตรา 9 ล๊อกไว้เลยว่าห้ามมีกองทัพ ไม่ใช้การสงคราม จริงๆ ก็เลี่ยงกันอย่างที่เห็น แต่หลังสงครามเมกันเอาญี่ปุ่นมาเป็นพวกใช้ระบอบเลือกตั้งได้แล้วก็สบายใน ภัยคุกคามยังไม่ใกล้ตัว ไปทั้งเกาหลีใต้ต้านเกาหลีเหนือ ส่งกำลังช่วยจีนขาวรบจีนแดงก่อนดีกว่า จนกระทั้งเกิดสงครามเกาหลีจริงๆ เมกันต้องส่งทหารไปรบเลยให้ญี่ปุ่นตั้งกองกำลังป้องกันตนเองขึ้นมา
สมัยนี้ผมว่าญี่ปุ่นเองละตัวดี ยก รธน. ข้อนี้มาอ้างใช้นโยบาย สมุดเช็ค ส่งเงินไปช่วยกิจการความมั่นคงระหว่างประเทศ ทั้งที่ญี่ปุ่นใช้ความมั่นคงระหว่างประเทศทำการค้ามหาศาล เรื่องการค้าอาวุธผมว่าเป็นเรื่องนโยบายหน้าตาและการตลาดโดย เยอรมัน และญี่ปุ่นเลือกเองครับ เยอรมันมีชื่อเรื่องอาวุธมานาน ขายได้ก็ขาย ส่วนญี่ปุ่นก็รักษาหน้ารักสันติ แต่ผมไม่รู้ว่าญี่ปุ่นแอบส่งชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกอะไรให้ชาติอื่นประกอบเป็นอาวุธขายบ้าง ที่ดังๆ ก็ตอน โตชิบา ขายซอฟแวร์ควบคุมการสร้างใบจักรเรือดำน้ำให้โซเวียต ทำให้โซเวียตสร้างใบจักรเรือดำน้ำที่เดินเบาตอนนั้นเมกันดักฟังไม่ได้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 02:58:58 PM ตั้งแต่เด็กเตี่ยผมเล่าให้ฟังว่า เมื่อเครื่องบินสัมพันธมิตรมาทิ้งระเบิดแถวอู่ Bangkok Dock ตำรวจ สน.ยานนาวาวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยหมด เดือดร้อนทหารญี่ปุ่นต้องวิ่งขึ้นไปบนโรงพัก เปิดกุญแจห้องขังปล่อยผู้ต้องหาหนีไปเพราะเกรงจะโดนระเบิดตาย รุ่งขึ้นบริเวณถนนเจริญกรุงใกล้ ๆ อู่ Bangkok Dock เหลือแต่ซากตึก ทหารญี่ปุ่นก็เอาข้าวปั้นมาแจกประชาชนที่ไร้ที่อยู่เพราะบ้านโดนบอมบ์ ใจหนึ่งคิดแต่ว่าญี่ปุ่นเป็นผู้ก่อสงครามมหาเอเซียบูรพา แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้ญี่ปุ่นชนะสงคราม เพราะถ้าญี่ปุ่นชนะ ลาว-เขมร-มลายู-บางส่วนของพม่า (ดินแดนไทยสมัย ร.1) จะไปไหนเสีย เราได้แก้แค้นฝรั่งเศสกับอังกฤษ ไม่ต้องมีกรณีพิพาทเขาพระวิหารให้ต้องเสียใจถึงวันนี้ แต่ไทยก็จะมี "ชนกลุ่มน้อย" ในประเทศจำนวนมาก อาจยุ่งมากอย่างพม่าครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 11, 2009, 03:12:17 PM อีกข้อหนึ่งเกี่ยวกับไทยเรา
นั่นคือผมเคยดูทีวีเมื่อ 20 ปีกว่ามาแล้ว เรื่องนายกรัฐมนตรีไทยปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แอบส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีไทยของรัฐบาลพลัดถิ่น(เสรีไทย)หรือ ม.ร.ว.เสนีย์ ฯ ว่า ทำยังไงก็ได้ขออย่าไทยแพ้สงคราม ไม่ทราบว่าพอมีข้อมูลส่วนนี้บ้างหรือไม่ครับ หากเราไม่มีเสรีไทย สภาพของเราหลังสงครามคงย่ำแย่กว่านี้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 03:20:16 PM เรื่องจดหมายนี้ไม่ทราบครับ ::008::
ถ้าไม่มีเสรีไทย ฝรั่งเศสคงหาทางเล่นไทยมากกว่านี้ ไทยยังมีมุกที่จับจอมพล ป. ขึ้นศาลอาชญากรสงครามตัดสินประหาร แล้วบอกว่าเป็นโมฆะเพราะ (ไทยจงใจ) ออกกฎหมายโทษอาญาเรื่องนี้ทีหลังการกระทำความผิด แต่ยังไงก็ห้ามฟ้องข้อหาเดิมซ้ำซ้อนนะยู หลังกฎหมายสากลของชาติอารยะที่ไอลอกยูมาเขาบอกยังงั้น ประเทศเล็กก็ไปตามกระแสครับ พยุงตัวมาจนจีนแดงมีอำนาจแล้วชาติตะวันตกก็ต้องมาหาให้เป็นพวก ::005:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 03:46:10 PM เมืองเยอรมันกลายเป็นอย่างนี้แหละครับ ฮัมบูร์ก เบอร์ลิน โคโลญ แฟรงก์เฟริต เดรสเดน (ในรูป) ฯลฯ อาคารเก่าๆ สมัยนี้สน้างขึ้นใหม่มาก เมืองเยอรมันสมัยนั้นทางใต้โดนน้อยกว่าทางเหนือ แต่ก็โดนบอร์มทางอากาศทั้งนั้นไปถึง เวียนนา โบสถ์ ชเตฟานกลางเวียนนาก็เหลือแต่ผนัง
ประมาณว่าพลเรือนเยอรมันเสียชีวิตประมาณ 600,000 คน จากการบอร์มของสัมพันธมิตร พลเรือนอังกฤษเสียชีวิตประมาณ 3 หมื่นกว่าคน จากการบอร์มของเยอรมัน รูปเขียนมีชื่อที่มีเทวดาเด็กนั่งเท้าคางตรงขอบล่างตอนนี้อยู่ในมิวเซียมที่เดรสเดน ตอนนั้นต้องเก็บไว้อย่างดีล่วงหน้า หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ มีนาคม 11, 2009, 07:30:38 PM The Bombing of Dresden by the British Royal Air Force (RAF) and United States Army Air Force (USAAF) between 13 February and 15 February 1945, 12 weeks before the surrender of the Armed Forces (Wehrmacht) of Nazi Germany, remains one of the most controversial Allied actions of the Second World War. The raids saw 1,300 heavy bombers drop over 3,900 tons of high-explosive bombs and incendiary devices in four raids, destroying 13 square miles (34 km2) of the city, the baroque capital of the German state of Saxony, and causing a firestorm that consumed the city centre.[2] Estimates of civilian casualties vary greatly, but recent publications place the figure between 24,000 and 40,000.
http://en.wikipedia.org/wiki/Bombing_of_Dresden_in_World_War_II ระเบิดเพลิงที่อเมริกันใช้ b17 อังกฤษใช้แลงคาสเตอร์ ขนไปถล่มนั้นเดรสเดนนั้นใช้บ.ทิ้งระเบิด 1300 ลำ 3.9 กิโลตัน แรงระเบิดรวมคิดเป็นครึ่งหนึ่งของ little boy ที่อเมริกันใช้กับญี่ปุ่น แต่เป็นระเบิดย่อยสร้างความเสียหายได้เป็นพื้นที่มากกว่าlittle boy เวลาที่ระเบิดเพลิง(ทำจากฟอสฟอรัสผสมแมกนีเซียม แมกนีเซียมเป็นโลหาที่ติดไฟได้)ที่เผาทีเดียวทั้งเมืองนั้นต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมหาศาลก็จะดูด อากาศเย็นจากข้างล่างเข้าไป พอเผาไหม้เสร็จก๊าซร้อนจากการเผาไหม้ก็จะลอยขึ้น ทำให้อากาศข้างบนความกดอากาศต่ำกว่าข้างล่างและบริเวณรอบๆเมือง ทำให้อากาศจากรอบๆที่ความกดสูงกว่าก็จะเคลื่อนเข้าไปแทนที ทำให้เกิดเป็นแรงดูดระดับพายุที่ดูดคนเข้าไปในกองไฟครับ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 11, 2009, 07:45:55 PM ถ้าถามว่าใครคือบุคคลที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์โลกมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 ผมตอบว่าฮิตเล่อร์ ส่วนคนที่สองคือ กอบาชอฟ
ตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะสงบ พฤจิกายน 1918 ฮิตเล่อร์ นอนเดี้ยงตาบอดชั่วคราวอยู่เพราะแกสมัสตาดของอังกฤษ พอหายเยอรมันก็แพ้ไปแล้ว ฮิตเล่อร์ ยังไม่ลาออกจากทหาร อยู่ในกองทัพมีหน้าที่ใหม่ไปหาข่าวกลุ่มการเมือง ปี 1919 ฮิตเล่อร์ ซึ่งประจำการอยู่ในเมืองมิวนิก ก็ไปฟังพรรคเล็กๆ พรรคหนึ่ง ชื่อพรรคกรรมกรเยอรมัน ฟังไปฟังมาก็ติดใจพูดมั่ง พูดไปพูดมาก็เข้าเป็นสมาชิกพรรคซะเลย ต่อมาอีกสองปีฮิตเล่อร์ก็ตั้งตัวเป็นหัวหน้าพรรคได้ คือทำงอนบอกว่าจะแยกวงลาออก ยกเว้นพลพรรคยอมตั้งให้เป็นหัวหน้า พอปี 1923 ฮิตเล่อร์ ก็เปลี่ยนชื่อพรรคเป็น National Sicialist German Worker Party ตัวย่อจากชื่อเต็มว่า NSDAP เนชั่นแนล โซเชียลลิส อาไบตุง ปาไตร์ เรียกสั้นๆ อีกว่า NAZI พอปลายปี ฮิตเล่อร์ คึกขึ้น จัดการตั้งม๊อบเดินขบวน (Putsch หรือ Beer Hall Putsch) โดยครั้งนี้มีผู้สนับสนุนมาช่วยเดินด้วยคือ นายพล ลูเดนดอฟ เสนาธิการทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การเมืองเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งรุนรงมาตลอดและไม่นิยมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ม๊อบฮิตเล่อร์เลยปะทะกับตำรวจ ตำรวจยิงใส่ (พยายามเลี่ยงท่านนายพลที่ยังได้รับความนับถืออยู่) พลพรรคนาซีตายไปสิบกว่าคน ตำรวจก็ตายไปสามคน ปีต่อมาฮิตเล่อร์และพลพรรคนาซีตัวสำคัญเลยโดนพิพากษาจำคุก แต่อยู่ในคุกก็ได้รับความสะดวกสบาย และได้ลดโทษจากสี่ปี่เหลือแค่ 13 เดือน ตอนติดคุกอยู่นี้ก็เขียนหนังสือ Mein kampf "การต่อสู้ของข้าพเจ้า" โดย รูดอฟ ดฮส เป็นคนพิมพ์ดีดให้ ฮิตเล่อร์ ออกจากคุกมาก็มีดีกรีการเมืองเพิ่มขึ้น แต่พรรคนาซีหมดแรงไปแยะ ต้องเงียบไปอีกหลายปี.... ในรูปแรก คนขวาสุดคือ รูดอฟ เฮส ต่อมาป็นผู้นำอันดับสองซึ่งบินหนีไปอังกฤษ ในรูปรอง นายแว่นตากลมคือ ฮิมเล่อร์ ม๊อบนาซีสะพายไรเฟิลเลยครับ :o หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Bird ที่ มีนาคม 12, 2009, 12:22:57 AM ยังไม่ได้อ่านบทความของคุณต็อกอย่างจริงจัง เพราะทำงานไปด้วย ดูเวปอวป.ไปด้วย
แค่กวาดตาอ่านคร่าวๆ ก็ทึ่งในข้อมูลแล้วครับ ...ไม่อยากบอกเลย ว่า + ให้ ด้วยความเต็มใจ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 12, 2009, 09:03:37 AM ผมอยากทราบรายละเอียดและการวิเคราะห์ถึงปฏิบัติการ Operation Market Garden หน่อยครับ ว่าเหตุใดกองกำลังสัมพันธมิตรถึงได้ส่งทหารพลร่มจำนวนมากถึง 40,000 นายโดดร่มลงไปในพื้นที่เพียงเพื่อยึดสะพานแค่ 5 แห่งในฮอลแลนด์ โดยเฉพาะสะพานเมือง Arnhem ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีการสนับสนุนกำลังและเสบียงดีพอ จนในที่สุดก็ถูกหน่วย SS Panzer ที่ 9 กับ 10 สวนกลับจนปฏิบัติการล้มเหลว หน่วยละลายตายเกลื่อนไปหมดครับ
ขอขอบพระคุณมาล่วงหน้าขอรับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ มีนาคม 12, 2009, 09:28:42 AM ผมอยากทราบรายละเอียดและการวิเคราะห์ถึงปฏิบัติการ Operation Market Garden หน่อยครับ ว่าเหตุใดกองกำลังสัมพันธมิตรถึงได้ส่งทหารพลร่มจำนวนมากถึง 40,000 นายโดดร่มลงไปในพื้นที่เพียงเพื่อยึดสะพานแค่ 5 แห่งในฮอลแลนด์ โดยเฉพาะสะพานเมือง Arnhem ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีการสนับสนุนกำลังและเสบียงดีพอ จนในที่สุดก็ถูกหน่วย SS Panzer ที่ 9 กับ 10 สวนกลับจนปฏิบัติการล้มเหลว หน่วยละลายตายเกลื่อนไปหมดครับ ขอขอบพระคุณมาล่วงหน้าขอรับ ::014:: ความเห็นผมคือ นายพลมอนโกเมอรี แกยึดติดกับสงครามแบบเก่าเกินไป ที่ต้องส่งพลร่มจำนวนมากลงไปหลังแนวข้าศึกแล้วสนธิกำลังเข้าตี แต่เมื่อประเมินความสามารถของเยอรมันต่ำเกินไป จึงเกิดความเสียหายจนรับไม่ได้ ทหารสัมพันธมิตรตายเกลื่อน มาร์เกทการ์เดน จึงกลายเป็น นรก สำหรับพลร่มไป ::004:: แต่มองในอีกด้าน เราก็ไป้หนังเรื่องแบรน์ออฟบราเทอร์มาดูกันนะเออ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ มีนาคม 12, 2009, 10:41:51 AM ผมอยากทราบรายละเอียดและการวิเคราะห์ถึงปฏิบัติการ Operation Market Garden หน่อยครับ ว่าเหตุใดกองกำลังสัมพันธมิตรถึงได้ส่งทหารพลร่มจำนวนมากถึง 40,000 นายโดดร่มลงไปในพื้นที่เพียงเพื่อยึดสะพานแค่ 5 แห่งในฮอลแลนด์ โดยเฉพาะสะพานเมือง Arnhem ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีการสนับสนุนกำลังและเสบียงดีพอ จนในที่สุดก็ถูกหน่วย SS Panzer ที่ 9 กับ 10 สวนกลับจนปฏิบัติการล้มเหลว หน่วยละลายตายเกลื่อนไปหมดครับ ขอขอบพระคุณมาล่วงหน้าขอรับ ::014:: คุยกันยาวเยื้อยแน่ครับ สำหรับคำถามนี้ .............. ::002:: ยุทธการ Market Garden เป็นยุทธการที่เรียกว่า ยุทธบรรจบแบบโอบทางดิ่งครับ ............ ใช้กำลังส่งทางอากาศ(พลร่ม) โดดลงหลังแนวเข้ายึดพื้นที่สำคัญ พร้อมกับกำลังภาคพืนขนาดใหญ่ตีเจาะเข้าไปพบกัน.............. เริ่มแรกคือ เยอรมันโยกย้ายกำลังครับ ...............เอากำลังพลที่อ่อนล้าเปลี่ยนที่ไปพักในเมืองที่สบายกว่า เอากองพล Panzer (รถถัง) ไปพักที่ Arnhem ................ พลพรรคใต้ดินฮอลแลนด์ที่ทำงานเป็นสายลับให้อังกฤษ รายงานเรื่องนี้ให้อังกฤษทราบ ................ ตอนนั้นคนคุมยุทธการรวมคือ นายพลบราวนิ่งฯ ของอังกฤษ ไม่เชื่อข่าวกรอง............. มีการแก่งแย่งกันเอาหน้ากันระหว่างสัมพันธมิตร โดยอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าภาพยุทธการนี้(นายพลมอนโกเมอรี่)...........ต้องการให้อังกฤษได้หน้า ในการโอบทางดิ่ง ด้วยการยึดที่ที่สำคัญกว่าทหารอเมริกัน ............. เมื่อไม่เชื่อข่าวกรองล่าสุด ว่า Arnhem มีกำลังยานเกราะหนัก............และตีความข่าวกรองขั้นต้นว่ามีทหารราบเยอรมันยึดอยู่บางๆ เลยให้ กองพล(พลร่ม)ปีศาจแดง ของตัวเองเข้ายึด เพราะพื้นที่ตรงนั้นลึกที่สุด ..............เพื่อรอกองทัพสนามที่3 เข้าทำการยุทธบรรจบ พอโดดลงไป ............. พลร่ม เจอรถถัง เลยเละเทะสังขยา คุยกันยาวครับเรื่องนี้ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ มีนาคม 12, 2009, 11:18:26 AM ผมอยากทราบรายละเอียดและการวิเคราะห์ถึงปฏิบัติการ Operation Market Garden หน่อยครับ ว่าเหตุใดกองกำลังสัมพันธมิตรถึงได้ส่งทหารพลร่มจำนวนมากถึง 40,000 นายโดดร่มลงไปในพื้นที่เพียงเพื่อยึดสะพานแค่ 5 แห่งในฮอลแลนด์ โดยเฉพาะสะพานเมือง Arnhem ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีการสนับสนุนกำลังและเสบียงดีพอ จนในที่สุดก็ถูกหน่วย SS Panzer ที่ 9 กับ 10 สวนกลับจนปฏิบัติการล้มเหลว หน่วยละลายตายเกลื่อนไปหมดครับ ขอขอบพระคุณมาล่วงหน้าขอรับ ::014:: คุยกันยาวเยื้อยแน่ครับ สำหรับคำถามนี้ .............. ::002:: ยุทธการ Market Garden เป็นยุทธการที่เรียกว่า ยุทธบรรจบแบบโอบทางดิ่งครับ ............ ใช้กำลังส่งทางอากาศ(พลร่ม) โดดลงหลังแนวเข้ายึดพื้นที่สำคัญ พร้อมกับกำลังภาคพืนขนาดใหญ่ตีเจาะเข้าไปพบกัน.............. เริ่มแรกคือ เยอรมันโยกย้ายกำลังครับ ...............เอากำลังพลที่อ่อนล้าเปลี่ยนที่ไปพักในเมืองที่สบายกว่า เอากองพล Panzer (รถถัง) ไปพักที่ Arnhem ................ พลพรรคใต้ดินฮอลแลนด์ที่ทำงานเป็นสายลับให้อังกฤษ รายงานเรื่องนี้ให้อังกฤษทราบ ................ ตอนนั้นคนคุมยุทธการรวมคือ นายพลบราวนิ่งฯ ของอังกฤษ ไม่เชื่อข่าวกรอง............. มีการแก่งแย่งกันเอาหน้ากันระหว่างสัมพันธมิตร โดยอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าภาพยุทธการนี้(นายพลมอนโกเมอรี่)...........ต้องการให้อังกฤษได้หน้า ในการโอบทางดิ่ง ด้วยการยึดที่ที่สำคัญกว่าทหารอเมริกัน ............. เมื่อไม่เชื่อข่าวกรองล่าสุด ว่า Arnhem มีกำลังยานเกราะหนัก............และตีความข่าวกรองขั้นต้นว่ามีทหารราบเยอรมันยึดอยู่บางๆ เลยให้ กองพล(พลร่ม)ปีศาจแดง ของตัวเองเข้ายึด เพราะพื้นที่ตรงนั้นลึกที่สุด ..............เพื่อรอกองทัพสนามที่3 เข้าทำการยุทธบรรจบ พอโดดลงไป ............. พลร่ม เจอรถถัง เลยเละเทะสังขยา คุยกันยาวครับเรื่องนี้ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ มีนาคม 12, 2009, 11:46:40 AM ว่ากันว่า ทหารพันธมิตรที่โดดร่มลงไปโดนทหารนาซีสอยเอาเป็นเป้าบินกลางอากาศไปก็เยอะ :OO
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ มีนาคม 12, 2009, 12:54:36 PM อ่านมาวันที่สามแล้วยังไม่จบเลยครับ... ที่สุดจริงๆ...
สนุกมากตรงที่พื้นหลังความรู้ของแต่ละท่านแยะ และลึก จนสามารถผูกเรื่องทะลุจากขอบผลึกด้านหนึ่งไปเปรียบเทียบกับอีกด้านหนึ่งของแก้วผลึก... นี่แหละครับที่เรียกว่าความรู้มันควบแน่น และตกผลึกได้ใสกระจ่างได้จริง... ขอบพระคุณทุกท่านครับ... ว่าแล้วนายสมชายก็อ่านต่อไป... ไม่ฮา หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: BIGFISH ที่ มีนาคม 12, 2009, 01:35:20 PM ระยะนี้ ผมชอบคิดถึงท่าน โฮจิมินห์ ยังหาหนังสือมาอ่านไม่ได้
เห็นเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ที่รวมกันไม่ได้แบบเวียดนาม หรือเยอรมัน ก้อคิดถึงพินัยกรรมท่าน พูดถึงอเมริกา ฝรั่งเศลก้อคิดถึงท่าน นึกถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ก้อยังคิดถึงลุงโฮอีก อยากจะรบกวนท่านผู้สันทัดกรณี เปิดกระทู้จังเลยครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ มีนาคม 12, 2009, 02:20:10 PM ระยะนี้ ผมชอบคิดถึงท่าน โฮจิมินห์ ยังหาหนังสือมาอ่านไม่ได้ ว่าด้วยเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 , เครื่องบินขับไล่ , รถถัง , เรือรบ แล้วก็ลุงโฮ............และที่จะตามมาอีกเรื่อย ๆ ถ้ามีกระทู้สาระเช่นนี้มากพอผมเสนอเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าเปิดห้องย่อยอีกซักห้องครับ เอาเป็นชื่อห้องบทความ เพื่อความสะดวกในการติดตามผลงาน อนาคตคงได้มีแน่ ๆ ห้องนี้เห็นเกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ที่รวมกันไม่ได้แบบเวียดนาม หรือเยอรมัน ก้อคิดถึงพินัยกรรมท่าน พูดถึงอเมริกา ฝรั่งเศลก้อคิดถึงท่าน นึกถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ก้อยังคิดถึงลุงโฮอีก อยากจะรบกวนท่านผู้สันทัดกรณี เปิดกระทู้จังเลยครับ ::014:: ปล.นี่ยังขาดกระทู้ของพี่จอยฯอีกคน พี่ปลาใหญ่ได้อ่านหรือยังครับ กระทู้นี้มาจากประสบการณ์ล้วน ๆ อ่านไปยิ้มไป ได้มุมมองดี ๆ ด้วยครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 03:32:39 PM Market Garden
แบ่งเป็นสองส่วน Market - Garden ปฏิบัติการ "ตลาด" Market อิ อิ คือเอาพลร่ม กำลังส่งทงอากาศไปยึดจุดสำคัญในเขตเมือง อาร์นเฮ็ม ไอโฮเฟ่น แล้ว "สวน" Garden ก็เอากำลังโจมตีจากแนวรบรุกเข้าไปช่วยและยึดพื้นที่ มีประเด็นหนึ่งเรื่องเยอรมันเคลื่อนย้ายกำลังคือการทรยศของใต้ดินสองหน้าดัชท์ Christian Lindemans ฉายา "King Kong" เพราะตัวใหญ่กำยำ นายคนนี้เป็นใต้ดินดัชท์มาก่อน พานักบินสัมพันธมิตรหนี วินาศกรรมเยอรมัน ฯลฯ แต่เยอรมันจับน้องเขาได้เลยแลกเปลี่ยนกันให้ทำงานสองหน้าให้ นายคนนี้ก็แอกทีฟทำงานให้เยอรมันแข็งขันจริงๆ พานักบิน สายลับที่โดร่มลงมาไปให้จับ มีครั้งหนึ่ง นายคิงคองโดนจับไปพร้อมกับใต้ดินคนอื่นๆ ตอนอยู่ในค่าบเยอรมันนายคิงคองพยายามทำมือส่งสัญญาณให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน ททารเยอรมันคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่อวงนึกว่าพยายามต่อสู้เลยยิงโป้งเข้าให้ 9 มม. ทะลุหน้าอก พวกที่รู้ก็พาไปรักษา แต่นายคิงคองอึดมาก รอดมาได้ เยอรมันก็ฟอร์มปล่อยตัวไปทำงานสองหน้าอีก นายคิงคองเลยยิ่งมีชื่อว่าเป็นใต้ดินที่อุทิศตัวและเนียนมาก เยอรมันจับไปสอบสวนยังหาเรื่องไม่ได้ เรื่องนายคิงคองแดงขึ้นมาเมื่อนายทหารข่าวกรองอังกฤษผู้พัน โอเรสเต้ พินโต Oreste Pinto ซึ่งมีเชื้อสายดัชท์เอง เข้ามาทำงานหลังแนวสัมพันธมิตรในภาคพื้นยุโรป เจอคิงคองก่อนยุทธการ ตลาด- สวน ผู้พันพินโตเจอพฤติกรรมบางอย่างของคิงคองเกิดสงสัย เพราะเขาไปเจอคิงคองในค่ายเชลยศึก คิงคองมารับประกันตัวผู้หญิงคนหนึ่งออกไปจากค่าย เจ้าหน้าที่ต่างๆ รู้จักคิงคองดี ห้อมล้อมชื่นชมกัน พินโต แย้งว่าทำไม่ถูกระเบียบ คิงคองก็เบ่งใส่ พินโตติอีกว่าใส่เครื่องแบบทหารดัชท์ได้ยังไง สังกัดที่ไหน? คิงคองตอบไม่ได้ พินโตก็เลยแกล้งกระชากอินธนูออก ฉีกหน้าต่อหน้าธารกำนัน แต่คิงคองกลับฮึดฮัดนิดเดียว ขู่ว่าจะไปฟ้อง บก. สัมพันธมิตรแล้วเดินหนี พินโตเลยสงสัยว่าถ้าเป็นใต้ดินที่เข้มแข็งไม่มีรอยด่างพร้อยจริงน่าจะโวยวาย หรือกระแทกหน้าตัวเข้าให้ หรือว่านายคนนี้มีอะไรแอบแฝง ถึงเบ่งไม่อยู่กับร่องกับรอย พินโต ก็เริ่มสืบสวนจนพบว่ามีประวัติการทำงานน่าสงสัย เช่น เวลาโดนซุ่มโจมตีคิงคองมักรอดมาได้หลายๆ ครั้ง ทั้งที่ตัวใหญ่น่าเป็นเป้า คนอื่นส่วนมากกลับโดนยิงหมด และทำไมเกสตาโปถึงปล่อยน้องของใต้ดินมีชื่อที่จริงน่าจะฆ่าทิ้งแก้แค้นตามธรรมเนียม พินโต เลยนัดเจอ คิงคอง เพื่อจับพิรุธเพิ่มเติม โดยวันนั้น พินโต พก บราวนิง ไฮพาวเว่อร์ ไปด้วย รออยู่ตั้งหลายชั่วโมง คิงคอง ก็ไม่มา ในที่สุดมีใต้ดินคนอื่นมาบอกว่า คิงคอง ไปประสานงานกับใต้ดินเรื่องปฏิบัติการลับเกี่ยวกับการโจมตีครั้งใหญ่ พินโต ก็ โอ้ มายก๊อด ต่อมาคิงคองโดน พินโต จับดำเนินคดีจนได้ คิงคองไปติดคุกในอังกฤษ มีพยาบาลที่ชอบชื่อเสียงเดิมช่วยหนีให้ปีนผ้าลงทางหน้าต่าง แต่โดนจับได้ พินโต เขียนว่าตอนนั้น คิงคอง หมดสภาพ สติแตก ปล่อยร่างกายทรุดโทรม เวลา พินโต ไปหาคิงคองๆ จะมากอดขาขอความเมตตา ในที่สุดพยาบาลคนที่เคยช่วยหนี (ทำไมไม่โดนย้ายไม่รู้) ก็หายามาให้คิงคองกินเกิดอัตราฆ่าตัวตาย หร้อมกับตัวเอง จุดจบของสายลับสองหน้าจึงเป็นการฆ่าตัวตายหนีความผิด ส่วนพยาบาลถูกนำไปล้างท้องช่วยได้ทัน เรื่องการทรยศของ คิงคอง อาจไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เยอรมันเคลื่อนพลเข้ามาซุ่มล้อม แต่ก็เป็นส่วนหนี่งของเรื่องปฏิบัติการ ตลาด -สวน นี้ *** นอกจากนี้การส่งกำลังในปฏิบัติการ "ตลาด" ส่งจำนวนมากด้วยเครื่องร่อนด้วย การส่งด้วยเครื่องร่อนมีจุดอ่อนเรื่องอุบัติเหตุ เยอรมันได้บทเรียนมาหนักในการบุก เกาะครีต หลังจากนั้นเยอรมันก็ไม่พยายามทำแบบนี้ สัมพันธมิตรก็มีประสบการณ์มาในการสนับสนุนยกพลขึ้นบกนอร์มังดี แต่ที่ยังไม่เลิกอาจเป็นเพราะว่าการยกพลขึ้นบกประสบความสำเร็จ และพลร่มก็ตายน้ำตื้น จมน้ำตื้นจริงๆ ตาย หรือลงมากลางเมือง ตายไปมาก เลยอาจดูว่าเป็นความเสี่ยงธรรมชาติของการส่งกำลังทางอากาศ กลบประเด็นเครื่องร่อนอุบัติเหตุสูงไป เยอรมันเองก็กลัวว่าสัมพันธมิตรจะส่งกำลังทางอากาศมีการเตรียมเปิดประตูน้ำ ปล่อยน้ำเข้าทุ่งในฮอลแลนด์ไว้มาก เมื่อ "ตลาด" ลงมายึดจุดสำคัญ "สวน" ก็รุกเข้ามา แต่ปัญหาคือตีแนวเยอรมันไม่ได้ ส่วนที่รบกันบนถนนก็แออัด รถที่บังขวางทางการรุกเอง ฯลฯ ตลาดยึดจุดสำคัญส่วนมากได้ แต่ "สวน" มาช่วยไม่ได้ ก็โดนเยอรมันล้อม กำลังที่ล้อมมาก็ชั้น 1 เป็น วัฟเฟน เอสๆ ทั้งยานเกราะและทหารราบ ทหารอังกฤษก็ชั้น 1 เป็นพลร่มปีศาจแดง Red devil ยิงกันดุดือด เช่น ที่สะพานหนึ่งในอาร์นเฮ็มยิงกัน 3 วัน 3 คืน พลร่มอังกฤษ 300 คน เหลือแค่ 2 คน รักษาสะพานไม่ไหวตอนกลางคืนแอบหนีไป พอจะโดนจับระหว่างทาง ก็แกล้งนอนตาย เยอรมันเดินมาเอาดาบปลายปืนจิ้มบั้นท้าย อังกฤษลุกขึ้นมาด่าโขมงโฉงเฉง โดยจับขึ้นรถบรรทุก ระหว่างทางอังกฤาทุบเยอรมันแล้วกระโดนหนี หาเรือเล็กแจวมาตามแม่น้ำในที่สุดรอดมาถึงแนวจนได้ *** เกร็ดที่เกี่ยวข้องนิดหน่อยคือเรื่อง เด็กหญิง แอนด์ แฟรงค์ ชาวยิวที่ซ่อนนาซีอยู่บนห้องใต้หลังคามาหลายปี ต่อมาโดนเกตตาโปมาเจอเพราะมีคนทรยศจับไปเข้าค่าย เอาชวิช และไปเสียชีวิต ที่ค่าย เบอเก้น-เบลเซ่น ถ้าปฏิบัติการ ตลาด-สวน นี้สำเร็จ สัมพันธมิตรจะเข้าเมืองทันก่อน แอนด์ แฟรงค์ โดนจับครับ *** ข้อมูลข้างต้นหลักๆ จากหนังสือ A Bridge Too Far โดย Cornelius Ryan และ The Spycatcher โดย ผู้พัน Oreste Pinto เองครับ *** เรื่อง Spycatcher นี้แนะนำครับ มีหลายตอนสนุกมาก มีตอนหนึ่ง พินโต จับเกตตาโปมาสอบสวน เกตตาโปก็เถียงว่าที่จริงตนเป็นสายลับสองหน้าทำงานให้อังกฤษ พินโต ถามว่า "ใครเป็น จนท. รับผิดชอบงานคุณ" เกตตาโปบอกว่า "โอ้ ท่านตายเสียแล้วครับ ไม่น่าเลย ถ้าท่านยังอยู่ท่านต้องมาประกันตัวผมออกไปตั้งนานแล้ว ฯลฯ" "คนนั้นเขาโดนเยอรมันฆ่าตายหรือ?" "เปล่าครับ ท่านเก่งมาก ไม่มีใครจับท่านได้เลย ท่านป่วยเป็นฝีในท้องตายน่ะครับ" พินโตได้ยินก็ชักมวนท้องนิดๆ เพราะตัวเองเคยป่วยเป็นฝีในท้องมาเหมือนกัน... "อ้อ ถ้างั้นท่านของคุณชื่ออะไรล่ะเดี๋ยวผมจะไปค้นข้อมูลดู ต้องมีบันทึกแน่ๆ" "โอ้ ท่านคือ ผู้้พันพินโต ผู้ระบือนาม ครับพ้ม" "อ้อ อ้อออออ คูณรู้จักตัวเป็นๆ ของท่านผู้พันเลยไหม?" "รู้จักสิครับ ท่านเองก็จำผมได้ดี" "หน้าตาท่าทางท่านเป็นยังไงล่ะ?" "อือม์ อธิบายยากครับ ตัวก็ปานกลางพอๆ กับท่านแหละครับ โอ้ ผมคิดว่าการที่ท่านเป็นนักสืบ ปฏิบัติการลับได้เก่งมากก็เพราะว่าท่านหน้าตาท่าทางธรรมดามากๆ ไม่เตะตาคน ไปไหนก็แนบเนียนไม่มีใครจำได้ครับ..." คุยต่อยืนยันข้อมูลกันอีกยาว พินโตก็บอกว่า "โอเค คุณกลับห้องขังไปก่อนเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้เอง" "ท่านชื่ออะไรครับ ผมจะได้จำไว้เป็นบุญคุณ" "อ้าว คุณไม่รู้จักชื่อผมเหรอ ผมชื่อ นายพันโท โอเรสเต้ พินโต ยังไงล่ะ" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 03:36:14 PM http://www.independent.co.uk/news/uk/this-britain/mi5-files-reveal-how-king-kong-betrayed-allies-721235.html
MI5 files reveal how 'King Kong' betrayed Allies Philandering Dutch spy leaked details of Operation Market Garden which led to the deaths of thousands of troops at Arnhem By Kim Sengupta Thursday, 20 April 2000 Share Digg It del.icio.us Facebook Reddit Print Article Email Article New light has been shed on the treachery of a Dutch double agent, codenamed King Kong, in the disastrous Allied operation at Arnhem towards the end of the Second World War. New light has been shed on the treachery of a Dutch double agent, codenamed King Kong, in the disastrous Allied operation at Arnhem towards the end of the Second World War. But the MI5 documents released by the Public Record Office yesterday fail to provide a conclusive answer to the extent of damage caused by Christian Lindemans' passing of information to the Germans. Historians and espionage specialists have differed over Lindemans' role in the major reverse suffered by the Allies in Operation Market Garden in 1944, later depicted in the award-winning film A Bridge Too Far. Almost 10,000 British and Allied paratroops were dropped on the outskirts of Arnhem with orders to take the bridge and hold it until reinforcements arrived. There followed some of the fiercest close-quarter combat of the war as the lightly equipped paratroops came under attack from tanks and battle-hardened German regiments. Fewer than 2,000 Allied soldiers escaped from the city. The intelligence reports show that Lindemans, a resistance fighter turned collaborator, gave the Germans specific warnings of an airborne attack on 17 September, the night of the Arnhem landings. But the target he identified was Eindhoven, 30 miles away. This leads to the strong possibility that Lindemans had overblown his importance to the Germans. Although he could get hold of some intelligence, he did not have ready access to the latest battle plans through Allied Headquarters in Brussels as he had claimed. Lindemans was an inveterate womaniser, and MI5 chronicled a series of sexual liaisons. One report stated censorioiusly: "King Kong is a woman hunter without morals or conscience." But it also noted that he was undoubtedly in love with his common-law wife, a French cabaret singer called Gilberte. Her imprisonment, along with that of his brother, was the lever by which German intelligence persuaded him to work for them, the files show. But Lindemans' professed love for Gilberte did not reduce his sexual appetite. The MI5 files noted how he abused the trust of a wealthy Dutch grain merchant and his young daughter, who nursed him when he was shot in the chest. "This girl, though seduced by Lindemans and robbed by him of all she possessed under the pretence that he needed her money in order to keep his 'secret organisation' going, was at the moment still in love with the man," the British agent wrote. The reports also spoke of other affairs, one in Brussels with a lover known only as Mia, another with a Swedish woman. The liaisons took place despite Lindemans' physical frailty - though tall and immensely broad he walked with a limp, had an almost paralysed arm and was prone to seizures. While awaiting trial after the war - and an almost certain death sentence - Lindemans continued to exert his charm on women. After his suicide in July 1946, MI5 officers learnt that he had almost escaped from jail with the assistance of a nurse, who helped him cut through cell bars. When that failed, and Lindemans took a fatal overdose of sleeping pills, the nurse tried to follow suit, only to be revived. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 03:39:38 PM เครื่องหมายติดเสื้อ กองพลส่งทางอากาศที่ 1 ปีศาจแดง
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 03:50:08 PM อังกฤษมอบเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุด Victoria Cross (เนื้อโลหะทำจากปืนใหญ่ที่ใช้รบในสงคราม ไครเมีย) ในแก่ทหารที่รบ ในอาร์นเฮ็ม 5 นาย จากทั้งหมดที่ให้ทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวน 106 นาย ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 04:10:20 PM นาย Cornelius Ryan เขียนหนังสือดังๆ อยู่สามเรื่อง
A bridge too far (สะพานอยู่ไกลไปน้อ) เกี่ยวกับ "ตลาด - สวน" The longest day (วันนี้ยาวที่สุดเล้ย) เกี่ยวกับทุทธการ โอเวอร์ ลอร์ด ยกพลขึ้นบกนอร์มังดี The last battle (ศึกสุดท้าย) เกี่ยวกับ โซเวียตตีเบอร์ลินแตก เขาเขียนหลังสงครามโลกไม่นาน แนวการเขียนคือการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนร่วมจริงๆ ครับ ทั้งทหาร ทั้งชาวบ้าน ถ้าสนใจว่าตัวละครไหน ตัวจริงเป็นยังไง ต่อมาเป็นยังไงมีในท้ายบทหนังสือ เช่น ในเรื่อง The longest day รายละเอียดในหนังเอามาจากหนังสือที่เขาสัมภาษณ์มาจริงๆ เช่น ทหารเยอรมันที่โดนยิงตายคนหนึ่งสวมรองเท้าผิดข้างทหารเมกันคนยิงเป็นคนเล่า และพลร่มเมกันที่โดดลงมาห้อยต่องแต่งกับระฆังโบสถ์ ในเมือง แซงค์ แมร์ เอกลีส คนนี้รอดจากสงครามไปเป็น Cost engineer หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 04:13:13 PM ยังไม่ได้อ่านบทความของคุณต็อกอย่างจริงจัง เพราะทำงานไปด้วย ดูเวปอวป.ไปด้วย แค่กวาดตาอ่านคร่าวๆ ก็ทึ่งในข้อมูลแล้วครับ ...ไม่อยากบอกเลย ว่า + ให้ ด้วยความเต็มใจ... ขอบคุณมากครับพี่ Bird หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 04:31:17 PM ต่ออีกนิดครับ ตอนที่แล้ว ฮิตเล่อร์ เป็นนักการเมืองผ่านคุกมาและออกหนังสือของตนเองแล้ว ก็ขอเสริมเล็กน้อยว่า ฮิตเล่อร์ มีความดีในฐานะผู้นำอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่กอบโกยสะสมทรัพย์ และไม่ขายชาติถึงแม้จะพาชาติไปพัง ผู้นำเผด็จการชนิดชี้เบียร์เป็นเบียร์ ชี้ไส้กรอกเป็นไส้กรอก แห่งประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ขนาดเยอรมันถ้าจะ "เอื้อประโยชน์นิดหน่อย" รับรองรวยยิ่งกว่าเศรษฐีเมกันยุคหลังกฏหมายต่อต้านการผูกขาด แต่ ฮิตเล่อร์ ก็ไม่ทำ
อย่างไรก็ตาม ฮิตเล่อร์ หารายได้เข้าตัวเอง ในการขายหนังสือ การต่อสู้ของจ้าพเจ้า นี้โดยคิดค่านักเขียนจากราคาปก 10% ต่อมาเพิ่มเป็น 15% ซึ่งพรรคนาซีก็กระตุ้นให้คนซื้อไว้ประดับบ้าน และไปๆ มาๆ ก็ออกกฎหมายให้เทศบาลเมืองซื้อแจกเป็นของขวัญคู่สมรสที่มาจดทะเบียนด้วย หนังสือเรื่องนี้ เขาว่าที่จริงพลพรรคนาซีตัวใหญ่ๆ เองแทบไม่มีใครอ่านจบ เคยมีงานเลี้ยงงานหนึ่งในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่ในพรรค ฮิตเล่อร์ไม่อยู่ด้วย นาซีผู้ใหญ่คนหนึ่งคุยว่า "พูดจริงๆ เหอะคอมมาราเด้น สหายอ่าน มาย คัมป์ ของท่านผู้นำจบแล้วจริงๆ หรือเปล่า? ผมเองยอมรับว่าไม่เคยอ่านหนังสือของท่านผู้นำจบเลย" "เฮ่อ เฮ่อ พูดจริงก็ได้ ผมก็ทนอ่านไม่จบนะ" ว่าแล้วนาซีก็เล่นวัดใจกัน คนที่ยอมรับว่าไม่เคยอ่านคัมภีย์นาซีจบจะต้องลงเงินแบบลูกผู้ชาย ใครมานั่งที่โต๊ะเพิ่มจะต้องถูกถาม ถ้าอ่านไม่จบต้องลงเงิน ถ้ายืนยันว่าตัวอ่านจบได้เงินทั้งกอง นาซีใหญ่ๆ ก็มากันทั้งนั้น ทั้ง ฮิมเล่อร์ เกอริง เกอริงได้ยินคำถามหัวเราะพุงกระเพื่อมไม่พูดออกปากว่าอ่านไม่จบแต่ก็ไม่ยืนยัน ต้องลงเงิน ในที่สุดที่นาซีหัวกะทิทุกคนที่มาชุมนุมกันก็เก็บตังค์กลับเข้ากระเป๋า เพราะไม่มีใครเคยอ่านคัมภีย์นาซีจบสักคน :DD ปล. เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่นาซีก็ยังมีสัจจะลูกผู้ชายถ้าเดิมพันเป็นแค่ตังค์เล็กๆ น้อย ::005:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 12, 2009, 04:32:12 PM บวกหนึ่งให้คุณต๊อก......
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: oil ที่ มีนาคม 12, 2009, 05:27:27 PM นึกว่าสมาชิกเว็บนี้อาวุโสขนาดเคยใช้ชีวิตวัยเด็กช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง.......เล่าละเอียดเหมือนอยู่ในเหตุการณ์....ชอบอ่านมากครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 05:27:44 PM Lindemans Alias "King Kong"
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 05:29:09 PM นึกว่าสมาชิกเว็บนี้อาวุโสขนาดเคยใช้ชีวิตวัยเด็กช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง.......เล่าละเอียดเหมือนอยู่ในเหตุการณ์....ชอบอ่านมากครับ ผมใช้สมุนไฟรกันหน้าแก่สูตรลับครับพี่ ;D :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 12, 2009, 05:36:54 PM เกร็ดเล็กๆ ครับ
ตอนสงครามโลกบ้านคุณทวดผมฝั่งคุณแม่อยู่ในเมือง แถวนั้นค่ายทหารมาก มีระเบิดลง ทางบ้านก็ให้ผู้หญิงและเด็กเดินทางไปอยู่บ้านญาติในจังหวัดใกล้เคียง ขึ้นเรือกันไป คุณยาย ญาติๆ และแม่ผมซึ่งเป็นเด็ก 2-3 ขวบ ล่องเรื่อไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าคลองทางฝั่งธน ทันใดนั้น มีไซเรนแจ้งการโจมตีทางอากาศ เครื่องบินสัมพันธมิตรมาบอร์ม เรือก็เข้าเทียบหลบริมคลอง ระเบิดก็ตกใกล้ๆ มีลูกหนึ่งตกใกล้มากขนาดสาดโคลนขึ้นมาเต็มเรือหมด คุณแม่ผมจำได้ว่าโคลนโดนรองเท้าเลอะ เป็นประสบการณ์เฉียดภัยสงครามมากที่สุดของคุณแม่และครอบครัว เฉียดจริงๆ ครับ เพราะระเบิดลูกนั้นที่สาดโคลนขึ้นมาบนเรือ "ด้านครับ" ไม่ระเบิด ตกแผละลงมาชิดเรือพอดี ถ้าระเบิดทำงานทุกคนต้องเสียชีวิตไปแล้วครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มีนาคม 12, 2009, 05:42:19 PM ชื่นชมมากครับคุณต๊อก...
ถึงอายุน้อยกว่าผม... แต่สนใจและชอบการอ่านจริงๆครับ... เยี่ยมมากครับ...::002:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ มีนาคม 12, 2009, 05:48:09 PM ลืมไป...
+1 ให้พี่มะขิ่นและท่าน LE แล้วนะครับ...::002:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ มีนาคม 12, 2009, 07:03:57 PM เกร็ดเล็กๆ ครับ ตอนสงครามโลกบ้านคุณทวดผมฝั่งคุณแม่อยู่ในเมือง แถวนั้นค่ายทหารมาก มีระเบิดลง ... .. มีลูกหนึ่งตกใกล้มากขนาดสาดโคลนขึ้นมาเต็มเรือหมด คุณแม่ผมจำได้ว่าโคลนโดนรองเท้าเลอะ เป็นประสบการณ์เฉียดภัยสงครามมากที่สุดของคุณแม่และครอบครัว เฉียดจริงๆ ครับ เพราะระเบิดลูกนั้นที่สาดโคลนขึ้นมาบนเรือ "ด้านครับ" ไม่ระเบิด ตกแผละลงมาชิดเรือพอดี ถ้าระเบิดทำงานทุกคนต้องเสียชีวิตไปแล้วครับ :o เกือบไม่มี คุณ Wilhelm Tell -(-- เขียนเรื่องราวดีๆให้อ่านแล้วครับ +1นะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 12, 2009, 09:15:19 PM หน้าตาของเครื่องร่อน Waco CG-4 (http://en.wikipedia.org/wiki/CG-4A_Waco) ที่พาทหารพลร่มอังกฤษไปตายหมู่กันที่ฮอลแลนด์ในปฏิบัติการ Operation Market Garden ครับ
(http://img222.imageshack.us/img222/3460/wacocg4ausaf.jpg) การส่งกำลังทางอากาศในปฏิบัติการ Operation Market Garden นี้ ประกอบด้วยอากาศยานดังต่อไปนี้ 1. เครื่องบิน C-47 Dakota (http://en.wikipedia.org/wiki/C-47_Skytrain) จำนวน 1,438 ลำ 2. เครื่องร่อน Waco CG-4 (http://en.wikipedia.org/wiki/Waco_CG-4) จำนวน 2,160 ลำ 3. เครื่องร่อน Airspeed Horsas (http://en.wikipedia.org/wiki/Airspeed_Horsa) จำนวน 916 ลำ 4. เครื่องร่อน General Aircraft Hamilcar (GAL.49 Hamilcar (http://en.wikipedia.org/wiki/General_Aircraft_Hamilcar)) จำนวน 64 ลำ ใช้ขนรถถังเบา Tetrarch (http://en.wikipedia.org/wiki/Tetrarch_tank) และรถถังเบา M22 Locust (http://en.wikipedia.org/wiki/M22_Locust) เวลาเครื่องร่อนร่อนลงพื้นแต่ละที่ ทั้งคนทั้งเครื่องร่อนแทบจะแหลกราญกันไปตามๆกัน ว่ากันว่าทหารพลร่มส่วนใหญ่ตายคาเครื่องร่อนไปก็เยอะ ที่เหลือรอดมาก็หลงทิศทางรวมกันไม่ติด พอหน่วย SS Panzer ที่ 9 กับ 10 รู้ข่าวก็เริ่มโจมตีสวนกลับเลยตายกันเป็นเบือไปหมด แผนยุทธการของ Operation Market Garden ครับ (http://img24.imageshack.us/img24/5341/marketgardenkarteplan.jpg) สะพาน John Frost ที่เมือง Arnhem ซึ่งถือเป็นสะพานที่สำคัญมากแห่งหนึ่งใน Operation Market Garden (http://img95.imageshack.us/img95/6919/johnfrostbrugarnhem01.jpg) เชลยศึกอังกฤษที่ถูกจับและยอมมอบตัวที่เมือง Arnhem (http://img222.imageshack.us/img222/3617/bundesarchivbild183s738.jpg) ภาพนายพล Stanisław Franciszek Sosabowski (ซ้าย) กับนายพล Frederick Arthur Montague Browning ผู้วางแผนใน Operation Market Garden (http://img17.imageshack.us/img17/6462/sosabowskibrowning.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 12:51:18 AM ถามหน่อยครับว่า ตอนเริ่ม WWII ทำไม ท่านผู้นำ ถึงเลือกที่จะเล่นงาน Poland ก่อนเพื่อนครับ หรือทดลองอาวุธและยุทธวิธีใหม่ ไม่เข้าใจ ผู้นำหนวดจิ๋ม เล่นงาน สัญญาแวร์ซาย (หลายเรื่อง) / สมดุลอำนาจระหว่างประเทศ (หลายเรื่อง) / ประเทศออสเตรีย (หนักๆ สองครั้งกว่าจะผนวกมารวมได้) / แคว้นซูเดเตนของเชกฯ และ ประเทศเชกโกสโลวาเกีย ก่อนครับ ทำนองได้ใจขึ้นเรื่อยๆ ตอนเล่นงาน โปแลนด์อาจไม่แน่ใจว่าอังกฤษเอาจริงงานนี้ด้วยซ้ำ รายละเอียดเดี๋ยวมาคุยกันครับ ค่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ อิ อิ ...ในหนังสือบันทึกความจำสงครามโลกครั้งที่สอง ของ เชอร์ชิล ตอนจบสงคราม รุสเวลส์ ถาม เชอร์ชิล ว่า เราจะเรียกสงครามนี้ว่าอะไรดี? เชอร์ชิล ตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า "สงครามที่ไม่จำเป็น" (The unneccessary war) สวัสดีครับ รูสเวลส์ กับ เชอร์ชิล คุยกันก่อน หรือ หลังสงครามเลิกครับ เพราะรูสเวลส์ เสียชีวิตไปก่อนสงครามสงบครับ ด้วยความเคารพครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ มีนาคม 13, 2009, 06:44:21 AM ปธน.รูสเวลล์เสียชีวิตช่วงที่สัมพันธมิตรภาคพื้นยุโรป รุกเข้ายึดครองเยอรมันเกือบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ................ช่วงนั้นกองทหารเยอรมันในพื้นที่ต่างๆทะยอยยอมจำนนไปเรื่อยๆ .......................ถ้าผมไม่แน่ใจว่า ฮิตเลอร์ยิงตัวตาย ก่อนที่รูสเวลล์เสียชีวิตหรือไม่(ไม่ได้เปิดตำราเช็ควันที่)............ในขณะที่สงครามด้านแปซิฟิคยังคงรบกันอยู่ระหว่างอเมริกันกับญี่ปุ่น ....................
ที่คุณLE กล่าว ผมเข้าใจว่า ผู้นำทั้งสองท่านคุยกันในช่วงที่เริ่มได้ชัยชนะจากเยอรมันในภาคพื้นยุโรปเกือบเบ็ดเสร็จแล้ว ................. ถ้าจะนับวันประกาศยอมจำนนของเยอรมันกับญี่ปุ่น ................ สองท่านนี้คุยกันก่อน"สงครามสงบ"ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Desperado - รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 06:58:44 AM กาแฟถ้วยเดียว ไม่พอ วันนี้ออกไปทำงานสายซักวัน
กระทู้วิชาการ มันส์ดี ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ มีนาคม 13, 2009, 07:26:36 AM ต่อเรื่องที่ Arnhem ดีกว่า.............. บอกก่อนว่าผมเอารายละเอียดมาจากหนังสือA bridge too far นะครับ
ตอนที่ทหารพลร่มปีศาจแดงของอังกฤษเข้ายึดโคนสะพาน คนที่เป็นผบ.พันพลร่มที่เข้ายึดคือ พ.ท.ฟอสเตอร์ ...............ผบ.พันคนนี้เป็นอังกฤษเต็มตัว ถึงเวลาดื่มชาตอนบ่ายตามธรรมเนียมอังกฤษ นายทหารท่านนี้ ต้องมีชาดื่ม ........... กองพันนี้เป็นกองพันที่เข้ายึดโคนสะพานด้านหนึ่ง แต่ถูกกองทหารเยอรมันตรึงไว้อีกด้านหนึ่ง ............... ทหารเยอรมันแนวหน้ากองนี้ เข้าตีหยั่งเชิงอังกฤษด้วยกำลังยานยนต์เบากับทหารราบ ..............เลยโดนตีโต้เสียย่ำแย่ ............ กองพันของอังกฤษกองพันนี้จึงฮีกเหิมมากในช่วงแรก................. พอเยอรมันหยั่งเชิงรู้ว่าขนาดไหน ก็เลยเข้าตีใหม่ด้วยกำลังยานเกราะหนักเต็มรูปแบบ ...............ผลคือราบพนาสูญ พ.ท.ฟอสเตอร์ถูกจับเป็นเชลย ............... ที่น่าคิดคือ ในช่วงที่รบกันยืดเยื้อ กำลังใหญ่คือกองทัพสนามที่30 ยังมาไม่ถึง เพราะโดนเยอรมันสกัดตามจุดต่างๆ ได้รับความเสียหายมาก เคลื่อนกำลังคืบหน้าได้อย่างช้าๆ .................ระหว่างนั้นทางสัมพันธมิตรก็ส่งกำลังบำรุงทางอากาศให้กับหน่วยพลร่ม ที่อยู่ในพื้นที่ .............. ที่Arnhem เครื่องบินทิ้งร่มส่งสิ่งอุปกรณ์ลงมา ลมพัดไปตกฝั่งเยอรมันเสียเกือบหมด ตอนที่พ.ท.ฟอสเตอร์ถูกจับ อยู่กับกลุ่มลูกน้องที่ตกเป็นเชลยที่ได้รับการรักษาพยาบาลจากเยอรมันอยู่................. ผบ.พล Panzer ของเยอรมันเดินมาตรวจการปฏิบัติต่อเชลย ก็เดินมาทัก.............แล้วยื่นช็อคโกแล็คให้ฟอสเตอร์แท่งหนึ่ง แล้วกล่าวให้ฟอสเตอร์รับไว้ เพราะเป็นช็อคโกแล็ตที่รสชาดดีมาก .............. เป็นขนมที่เยอรมันได้มาจากการทิ้งร่มของสัมพันธมิตรเอง อีกเกร็ดหนึ่ง คือ ช่วงที่กองพันของฟอสเตอร์เข้ายึดสะพานที่ Arnhem ............. กำลังส่วนที่เป็นที่บัญชาการส่วนหน้าของกองพลปีศาจแดง ซึ่งนำโดยนายพลเออร์คาร์ด .............. ก็โดดร่มและนำเครื่องร่อนลง อีกพื้นที่หนึ่ง ก็โดนเยอรมันตัดขาด........... นายพลเออร์คาร์ด กับฝ่ายเสนาธิการ3-4 คนก็แอบเข้าไปตรวจพื้นที่และหาข่าวในเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่คั่นพื้นที่อยู่ .................ปรากฎว่าเมืองนั้นมีทหารเยอรมันกองพล Panzer อยู่เต็มเมือง ..............ท่านนายพลเลยหลบหลีกทหารเยอรมันอยู่ในเมืองนั้น หาทางออกไม่ได้............อยู่เกือบ 24 ชม. ระหว่างนั้นเออร์คาร์ดกับพวกได้รับการช่วยเหลือจากชาวเมือง ให้หลบซ่อนอยู่ตามบ้านเรือน..............จนพบกับหน่วยลาดตระเวณพิเศษที่ถูกจัดมาติดตาม ...................แล้วค่อยๆแทรกซึมออกมาจากเมืองกลับมาที่ที่บัญชาการได้ ......... เกร็ดเรื่อง A bridge too far อีกอย่างหนึ่งคือ .............. มีรุ่นพี่ผมท่านหนึ่ง(เป็นผู้เขียนเรื่อง ยุทธการบัจท์ ลงหนังสือยุทธโกษ)ได้ทุนไปอบรมที่อังกฤษ ระหว่างที่พักผ่อน ท่านก็ไปที่พิพิธภัณฑ์สงครามของอังกฤษ ...................แล้วซื้อหนังสือ A bridge too far มานั่งอ่านที่ร้านกาแฟในบริเวณนั้น ...............ก็มีชายชราอังกฤษอายุประมาณ70 เศษๆ เดินมาทักว่าชอบหนังสือ A bridge too far ที่กำลังอ่านอยู่หรือเปล่า ................และขอนั่งดื่มกาแฟและคุยด้วยได้ไหม?........... พี่ท่านนี้ก็เชื้อเชิญด้วยความเต็มใจ .................. คุณลุงเลยบอกว่า เขานี่แหละ 1 ในทหารกองพลปืศาจแดงที่รอดจาก Arnhem ............รุ่นพี่ผมเลยได้เกร็ดความรู้ที่ไม่ได้รับการบันทึกไว้จากคุณลุงท่านนี้อีกมากมาย ...........แกบอกผมว่า คุณลุงอดีตพลร่มปีศาจแดง ด่านายพลมอนโกเมอรี่เสียไม่มีชิ้นดี............. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 13, 2009, 07:39:53 AM ::002:: +1
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: naisomchai ที่ มีนาคม 13, 2009, 07:59:56 AM อ่านยังไม่หมดซักทีครับ... เพราะอ่านไป ค้นโน่นนี่ไปด้วย...
โห... เรื่องทั้งหมดนี่ถ้าไม่มีคนรู้จริงหลายท่านมาสรุปผูกจากหลายด้านให้ฟัง... จะแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านเรื่องทะลุแจ้งแทงตลอดแบบนี้เลยครับ... คารวะทุกท่าน... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: BIGFISH ที่ มีนาคม 13, 2009, 08:24:35 AM "ก็มีชายชราอังกฤษอายุประมาณ70 เศษๆ เดินมาทักว่าชอบหนังสือ A bridge too far ที่กำลังอ่านอยู่หรือเปล่าคุณลุงเลยบอกว่า เขานี่แหละ 1 ในทหารกองพลปืศาจแดงที่รอดจาก Arnhem" ชอบเรื่องราวแบบนี้มากครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 09:19:38 AM "ก็มีชายชราอังกฤษอายุประมาณ70 เศษๆ เดินมาทักว่าชอบหนังสือ A bridge too far ที่กำลังอ่านอยู่หรือเปล่าคุณลุงเลยบอกว่า เขานี่แหละ 1 ในทหารกองพลปืศาจแดงที่รอดจาก Arnhem" ชอบเรื่องราวแบบนี้มากครับ ::014:: หนังเรื่องนี้ ผมดูมาหลายครั้ง ครั้งสุดท้าย จากม้วนวีดีโอ เมื่อ ๔ เดือนก่อน . เองครับ. :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 13, 2009, 09:54:12 AM ขอขอบคุณทั้งพี่ต็อกและอามะขิ่นอีกรอบจริงๆครับ ::014:: ::002::
ผมดูจากแผนยุทธการ Market Garden ตามภาพข่างล้่างแล้ว (ภาพใหญ่ http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/6/6f/Market-Garden_-_Karte_Plan.png) แปลว่ากองกำลังพลร่มทุกหน่วยจะต้องมาสนธิกำลังกันที่เมือง Arnhem แล้วรุกคืบต่อไปในดินแดนฮอลแลนด์เพื่อปลดปล่อยฮอลแลนด์ออกจากการยึดครองของฝ่ายนาซี แต่ดันลืมไปว่าเมือง Arnhem อยู่ใกล้กับชายแดนเมืองเยอรมันแค่นี้แล้วก็ไม่เชื่อข่าวกรองอีก จึงเจอกับหน่วย SS Panzer ที่ถือว่าแข็งแกร่งของนาซีเข้าไป โดยเฉพาะตรงบริเวณสะพาน John Frost ที่ต่างฝ่ายต่างต้องแย่งชิงมาให้ได้ เพราะเป็นสะพานขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับน้ำหนักบรรดารถถังและยานเกราะได้ดีที่สุด ::012:: สะพาน John Frost ที่เมือง Arnhem (http://img95.imageshack.us/img95/6919/johnfrostbrugarnhem01.jpg) ผมว่าถ้าไม่เกิดจากความหยิ่งจองหองและอวดดีของฝ่ายอังกฤษที่พยายามรุกคืบเข้าไปในแดนข้าศึก โดยไม่ได้สนใจเรื่องการส่งกำลังบำรุงจากฝ่ายตัวเองจะทำได้แค่ไหน คงไม่เจอนาซีเยอรมันล้อมกรอบจนหมดสภาพตายกันเป็นเบือแทบไม่เหลือแบบนี้หรอกครับ ::004:: อันนี้ขอถามเพิ่มเติมถึงสายการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ใช้ชื่อว่า" Red Ball Express" หน่อยครับ ว่ามีความสำคัญมากถึงขนาดไหนและมีบทบาทอย่างไรในยุทธการต่างๆ โดยเฉพาะยุทธการ Market Garden ครับ แล้วที่เขาเรียกกันว่า "Hell's Highway" คือเส้นทางจากไหนไปไหนหรือครับ ผมคงไม่ถามมากจนเกินไปนะครับ ::014:: (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a4/RedBallExpress.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ไม่ค่อยแม่น รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 10:56:23 AM กระทู้นี้สนุกมากๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 11:21:45 AM [เป็นเรือ Admiral Graf Spee ครับ
ที่หลบเข้าไปที่ปากแม่น้ำแพลต (Rever Plat) เมืองมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย [/quote] Rio Plata หรือชื่อเต็มว่า Rio de la Plata ภาษาสเปนแปลว่า แม่น้ำเงิน ตามความเชื่อที่พวก conquistador spain บุกไปลาตินอเมริกาตอนใต้ เพราะคิด (ไปเอง) ว่ามีแร่เงินเยอะ แต่คนพูดอังกฤษ แปลเป็น River Plate ตามประสาหูฟังภาษาต่างชาติไม่ค่อยดี River plate เป็นปากแม่น้ำขั้นระหว่าง Uruguay กับ Argentina ค่ะ ใช้แบ่งร่วมกัน เป็นปากแม่น้ำขนาดใหญ่ ร่องน้ำลึก เอาเรือขนาดใหญ่เข้าไปได้ค่ะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 11:26:23 AM โอ้ เป็นกระทู้ ที่ยาวมาก ... ขอบคุณค่ะ ละเอียดดีจัง
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 11:34:40 AM ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นรุกรานจีนกำลังกลับมาเป็นหัวข้อสนใจกันอีกครั้งหลังจากคลื่นการประท้วงของชาวจีนนับหมื่นในหลายเมืองใหญ่ได้กลายเป็นข่าวติดต่อกันมาเป็นสัปดาห์ที่สาม รายงานของบีบีซีบอกว่า กรณีการข่มขืนที่เมืองนานกิง หรือ The Rape of Nanjing หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กรณีการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิงระหว่างเดือนธันวาคม 2480 ถึงเดือนมีนาคม 2481 นับเป็นการสังหารหมู่ครั้งร้ายแรงที่สุดในยุคใหม่ ญี่ปุ่นยอมรับว่าเกิดการสังหารและข่มขืนจริง แต่จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อไม่ได้มากถึงขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นพูดถึงผู้เคราะห์ร้ายโดยบอกว่ามี "จำนวนมาก" หรือ "หลายคน" และเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดในยามปกติ แต่เป็นสถานการณ์ของสงคราม (http://www.mthai.com/webboard/upload_images/87385.jpg) รู้สึกปัญหามันไม่ใช่แค่เรื่องอาชญากรรมประเภทข่มขืนนะสิคะ รู้สึกจะมีปัญหาเรื่องการบังคับให้ผู้หญิงพื้นเมืองมาเป็นผู้หญิงบริการทางเพศให้ทหาร หรือที่เรียกว่า comfort women ซึ่งไม่ได้มีแต่จีน แต่มีในที่อื่นที่ญี่ปุ่นเข้าไปด้วย การประท้วงที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ว่ามันเยอะ แต่เป็นในแง่ที่ว่ามันเป็น การกระทำแบบ systematic ต่อผู้ถูกรุกรานด้วย ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นไม่รับ จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้เอง ถึงรับว่ามี แต่เท่าที่จำได้ รู้สึกว่าในทีสุดก็มีการจ่ายเงินชดเชยกันไปให้กับผู้หญิงที่เหลือรอดออกมาและพิสูจน์ได้ว่าเคยถูกจับไป แต่การที่ข่าวหนังสือพิมพ์ (ในปัจจุบัน) จะยังคงเล่นประเด็นนี้หรือไม่ ก็แล้วแต่สถานการณ์การเมืองระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศที่ตัวเองไปเคยบุกมาด้วยมั๊งคะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 13, 2009, 11:42:33 AM อ่านเพลินเลยครับ ขอบคุณครับ ไม่รู้เป็นผมคนเดียวหรือเปล่า เวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อดเอาใจช่วยเยอรมันไม่ได้ครับ ทั้งเรื่องของเรือ บิสค์มาร์ค หรือ กราฟสเป ในแอฟริกาเหนือผมก็เชียร์รอมเมลครับ ทำไมยิ่งอ่าน ยิ่งอยากให้เยอรมันชนะก็ไม่ทราบ ขอแทรกเรื่องหนังนิดครับ มีใครเคยดูหนังเกี่ยวกับเรือดำน้ำเยอรมันบ้างครับ ที่มีภารกิจตั้งแต่ออกทะเล จมเรือข้าศึก ผ่านอันตรายมามากต่อมากแล้วสุดท้ายโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดจมที่ท่าตัวเอง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วครับ แต่เป็นหนังที่สะท้อนถึงลูกเรือเยอรมันจริงๆ ไม่ใช่เป็นปีศาจนาซีอย่างที่หนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่ทำ *** ผมไม่เป็นครับ เพราะยังนึกไม่ออกว่าถ้าเยอรมันนาซีชนะจะดีกว่าแพ้ยังไง 1. ฮิตเลอร์จับคนต่างเชื้อชาติไปฆ่าได้ครบ 30 ล้านคน หรือกว่า ??? 2. ยุโรปปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการ มีเกตตาโปเข้าไปยิงคนตามบ้านได้โดยไม่ต้องไต่สวน ::) ฯลฯ ที่น่าสนใจคือความเป็นฝ่ายเทพ/มารในสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีการรุกรานโดยไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นจริง ทุกฝ่ายจ้องหาเหตุรบกันเอง และสภาพสังคม ความเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิตของพลเมือง เยอรมันมีมากกว่าอังกฤษถึงแม้ว่าระบบสภาจะไม่เข้มแข็งเท่าอังกฤษ.. อืม ถ้าจะรู้สึกเอาใจช่วย ก็ในประสิทธิภาพที่เกี่ยวกับการรบ นั่นแหละค่ะ แต่แพ้ไปดีแล้ว ไม่งั้น สยองมากค่ะ ;) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ มีนาคม 13, 2009, 11:47:44 AM อันนี้ขอถามเพิ่มเติมถึงสายการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ใช้ชื่อว่า" Red Ball Express" หน่อยครับ ว่ามีความสำคัญมากถึงขนาดไหนและมีบทบาทอย่างไรในยุทธการต่างๆ โดยเฉพาะยุทธการ Market Garden ครับ แล้วที่เขาเรียกกันว่า "Hell's Highway" คือเส้นทางจากไหนไปไหนหรือครับ ผมคงไม่ถามมากจนเกินไปนะครับ ::014:: (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a4/RedBallExpress.jpg) วันก่อนดูสารคดี Battle Plan : Blitzkrieg .... จุดอ่อนของการบุกสายฟ้าแลบอยู่ที่สายการส่งกำลังบำรุงที่ถูกยืดออกไปอย่างรวดเร็ว อันนี้จากเวป http://www.rememberseptember44.com/ ครับ อ้างถึง The map shows there was but one point from which all Allied material had to be distributed. Thats why supply was so slow. While the Allied leaders carried on discussions about which strategy to follow, the German army regrouped and was sent back to the new Dutch front. (http://www.rememberseptember44.com/images/plan1.gif)เพิ่งอ่านได้นิดหน่อย ยังไม่มีอะไรจะเล่าครับ ;D (http://www.rememberseptember44.com/images/plan3a.gif) อ้างถึง Now Models line stretched from Antwerp (southwest Holland) to Maastricht (south Holland). He ordered the 15th Army to prepare for an assault on Antwerp. Perhaps there would be a chance to isolate the British troops. Model also ordered the 2nd SS Panzer Corps to retreat towards Arnhem. He brought this corps to Arnhem to rest and refit. This decision by Model is one of the reasons, if not the reason, why Operation Market Garden failed. (http://www.rememberseptember44.com/images/plan3b.gif)อ้างถึง He cancelled the assault ordered by Model. Instead of an attack, he ordered the 15th Army to retreat to the west, with the exception of some units who had to defend the Canal ports. The British made a big mistake by not stopping this retreat. Now Von Rundstedt had 60,000 more men at his disposal. (http://www.rememberseptember44.com/images/plan3c.gif)He ท่านนี้คือ Von Rundstedt ที่คัมแบ็คแทน Model ครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ มีนาคม 13, 2009, 12:24:10 PM (http://www.rememberseptember44.com/images/plan4b.gif)
อ้างถึง This corridor (the red line on the map) was named 'Hell's Highway' because this route was very poor. Sometimes as narrow as one road! เส้นสีแดงในแผนผังข้างบนคือ เส้นทางการบุกของ the British XXX (30th) Corps (Garden ในแผน) .... ถูกเรียกว่า 'Hell's Highway' คลิกเพื่อดูแฟลช http://www.rememberseptember44.com/flashfiles/plan.swf อีกนิดครับ อ้างถึง When Montgomery revealed his plan to General Brereton and General Browning, Browning asked how long it would take for the tanks to reach Arnhem. "Two days" answered Montgomery. "We can hold it for four days" replied Browning, and then he added, "although I think we could go a bridge too far", not knowing how right he was. :~)จากเวปเดิม http://www.rememberseptember44.com/ ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ มีนาคม 13, 2009, 03:22:46 PM สะพาน John Frost นี่ใช่ไหมที่พังครืนลงมาหลังเลิกสู้รบกันได้ 10 วัน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 13, 2009, 03:23:48 PM ถามหน่อยครับว่า ตอนเริ่ม WWII ทำไม ท่านผู้นำ ถึงเลือกที่จะเล่นงาน Poland ก่อนเพื่อนครับ หรือทดลองอาวุธและยุทธวิธีใหม่ ไม่เข้าใจ ผู้นำหนวดจิ๋ม เล่นงาน สัญญาแวร์ซาย (หลายเรื่อง) / สมดุลอำนาจระหว่างประเทศ (หลายเรื่อง) / ประเทศออสเตรีย (หนักๆ สองครั้งกว่าจะผนวกมารวมได้) / แคว้นซูเดเตนของเชกฯ และ ประเทศเชกโกสโลวาเกีย ก่อนครับ ทำนองได้ใจขึ้นเรื่อยๆ ตอนเล่นงาน โปแลนด์อาจไม่แน่ใจว่าอังกฤษเอาจริงงานนี้ด้วยซ้ำ รายละเอียดเดี๋ยวมาคุยกันครับ ค่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ อิ อิ ...ในหนังสือบันทึกความจำสงครามโลกครั้งที่สอง ของ เชอร์ชิล ตอนจบสงคราม รุสเวลส์ ถาม เชอร์ชิล ว่า เราจะเรียกสงครามนี้ว่าอะไรดี? เชอร์ชิล ตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า "สงครามที่ไม่จำเป็น" (The unneccessary war) สวัสดีครับ รูสเวลส์ กับ เชอร์ชิล คุยกันก่อน หรือ หลังสงครามเลิกครับ เพราะรูสเวลส์ เสียชีวิตไปก่อนสงครามสงบครับ ด้วยความเคารพครับ อิ อิ ขอบคุณครับที่ช่วยเตือน ผมเขียนเพลินไปไม่ชัดเจน คือตอนสงครามจะเลิกไล่ต้อนเยอรมันอยู่ครับ เรื่องนี้อยู่ในหนังสือ WWII ของ เชอร์ชิล เขียน ครับ เลยขอต่อที่พี่มะขิ่นบอก รูสเวลส์เสียชีวิตก่อนฮิตเล่อร์ฆ่าตัวตายครับ ตอนนั้นฮิตเล่อร์ได้ใจมาก เพราะไปเข้ากับประวัติศาสตร์เยอรมันครั้งหนึ่งที่พระเจ้าเฟรเดอริก เดอะ เกรท ตัดสินใจครั้งสำคัญก่อนเที่ยงคืน 5 นาที แล้วประสบความสำเร็จ ฮิตเล่อร์มักเชื่อ และสมุนมักประจบเสมอว่าเมื่อจวนเจียนจะมีความหัศจรรย์มาช่วย ตอนได้ข่าวว่ารูสเวลส์ตายก็ดีใจกันใหญ่ เรื่องดีใจกันนี้อยู่ในเรื่อง The last day of Hitler ของ Hugh Traver Roper ครับ นาย โรเปอร์เป็นนักวิชาการ รัฐบาลอังกฤษให้งานไปรวบรวมข้อมูล นักวิชาการอังกฤาส่วนมากว่าแกหัวเอียงซ้าย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: USP40 ที่ มีนาคม 13, 2009, 03:37:55 PM อยากฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับ WWII ในไทยครับ
คุณยายเคยเล่าให้ฟังบ้าง สมัยผมยังเด็กๆ ช่วงนั้นยายอยู่แถวมักกะสัน โดนระเบิดถล่มบ่อยๆ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 13, 2009, 04:10:41 PM ขอบคุณสำหรับข้อมูลเครื่องร่อนครับ
เกร็ดๆ ชื่อ Horsa มาจากชื่อผู้นำชาวแซกซั่นจากแซกซอนนี ที่เข้ามาเกาะอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 5 เป็นกลุ่มภาคพื้นยุโรปกลุ่มใหญ่ที่มาเกาะอังกฤษต่อจาก โรมัน Hamilcar เป็นชื่อน้องชายของ ฮันนิบาล ทั้งคู่ตระกูล Barca แม่ทัพกรุง Cartage ที่รบสงคราม Punic ครั้งที่สอง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ มีนาคม 13, 2009, 04:32:30 PM อยากฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับ WWII ในไทยครับ คุณยายเคยเล่าให้ฟังบ้าง สมัยผมยังเด็กๆ ช่วงนั้นยายอยู่แถวมักกะสัน โดนระเบิดถล่มบ่อยๆ ผมต้องไปคุยกับคุณลุงและคุณแม่ก่อนครับ ............ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า คุณยายอุ้มไปหลบในหลุมหลบภัยหน้าโรงเรียนสตรีเสาวภา ตรงวงเวียนเล็ก.......... ::005:: ต่อครับ............. กองทัพสนามที่30 ของอังกฤษ เคลื่อนที่ช้ามาก เพราะการวางแผนไม่ได้คำนึงถึงการใช้เวลาในการเคลียร์พื้นที่...........ที่สำคัญ ประเมินขีดความสามารถของเยอรมันต่ำเกินไป................. กองทัพสนามที่30 ...........ใช้เส้นทางถนนเป็นเส้นหลักในการรุกเข้าไปบรรจบกับกำลังพลร่มทั้งสามกองพล ส่วนนำย่อมต้องเป็นรถถังซึ่งต้องใช้อำนาจการยิงสูง............แต่ วิ่งช้ากว่ายานยนต์ล้อ พอเคลื่อนที่เข้าพื้นที่แนวรับของเยอรมัน ก็เจอปืน 75 มม. .............ยิงพังเละเทะ กว่าจะจัดการกับกำลังเยอรมันที่ดักซุ่มสกัดได้ ต้องเคลียร์ซากรถที่เสียหายออกไป .............. ขบวนก็หยุดเป็นพักๆ เจอการทำลายสะพานย่อยๆตามทาง ก็ต้องเสียเวลาวางสะพานเครื่องหนุนลอยอีก ....................เวลาก็ยืดไปเรื่อยๆ จนกองพลปีศาจแดงที่อยู่ที่ Arnhem โดนถล่มจนเละเทะไป .............. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 13, 2009, 04:32:55 PM ครับคุณ Rapin2000
ผมก็รู้สึกว่าความอวดดี เย่อหยิ่ง และหัวดื้อ เป็นจุดอ่อนเด่นของอังกฤษ ดั้งเดิมอาจช่วยให้สร้างจักรวรรดิได้ และจักรวรรดิก็สร้างเสริมความหยิ่งนี้ ทำให้บางครั้งไม่รอบคอบเท่าที่ควรอย่างในเรื่องนี้ กล้าเกินไปในบางเรื่อง ดึงดันทำอะไรตามที่เชื่อจนเกิดผลเสียไปมากกว่าจะปรับตัว เป็นข้อที่น่าเสียดายเพราะโดยธรรมชาติคนอังกฤษมีความคิดสร้างสรรค์และมีมุกสูงมีอารมณ์ขันสูง เจ้าเลห์ได้ แต่จะออกมุกและพลิกแพลงก็ต้อง "ตั้งเป้า (ด้วยความหัวดื้อ)" ไว้ก่อนเท่านั้น มีคำอังกฤษกล่าวว่า "ถ้าการแต่งตัว (แบบอังกฤษ) ของข้าไม่เหมาะกับอากาศ ก็อากาศนั่นแหละที่ผิด" นึกๆ ดู ความอวดดี หยิ่ง ดื้อ ของอังกฤษนี้มีบทบาทในหลายเรื่อง ตั้งแต่ การหน้ามือบุกแนวเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการไม่เข้าร่วมสกุลเงิน ยูโร ในปัจจุบัน เรื่องห้ามปืนพก ห้ามพกอาวุธใดๆ ของอังกฤษก็สะท้อนความดื้อนี้ ความจริงก็เกิดแล้วว่าห้ามชาวบ้านมีปืนพก อาชญากรรมเพิ่มขึ้น ปืนเถื่อนเพิ่มขึ้น และถูกมากขึ้น แต่ก็ยังดื้ออยู่ ห้ามชาวบ้านมีปืนเกิดปัญหาปืนเถื่อนยอดรวมยิงกันตายมากขึ้น และแทงกันตายมากขึ้น เร็วๆ นี้มีนักการเมืองคนหนึ่งมาพูดว่า มีดปลายแหลมนี่แหละช่วยให้คนก่ออาชญากรรม ควรจะควบคุม มีดทำครัวปลายไม่ต้องแหลมก็ได้... บ้าดีครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 13, 2009, 04:35:45 PM ขอบคุณครับ ขอบวกคะแนนพี่มะขิ่น และพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มาคุยกันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 13, 2009, 04:51:20 PM (http://www.rememberseptember44.com/images/plan4b.gif) ดูจากภาพของ Hell's Highway แล้ว ผมพอมองภาพรวมออกแล้วครับว่าสมควรเป็นทางไปนรกจริงๆ เพราะด้านขวาของถนนวิ่งเลียบกับชายแดนเยอรมันตลอดแบบนี้ ยิ่งช่วงเมือง Nijmegen กับเมือง Arnhem นี่ถือว่าอยู่ใกล้ชายแดนเยอรมันมากที่สุดเลย ซึ่งหมายความว่ากองทัพนาซีฯสามารถนำหน่วยรถถังหนักและยานเกราะเข้ามาเสริมกำลังจากทางด้านขวาได้ตลอด และสามารถอ้อมลงมาตัดเส้นทางของหน่วยที่เหลือได้อีก โดยเฉพาะเมื่อเยอรมันใช้แผนระเบิดสะพานเพื่อถ่วงเวลา แล้วปล่อยน้ำให้ท่วมพื้นที่ หน่วยรถถังและยานเกราะรวมทั้งหน่วยพลร่มของฝ่ายสัมพันธมิตรจึงไม่ต่างอะไรกับอยู่เป็นเป้าซ้อมยิงให้เยอรมันนี่เองครับ อ้างถึง This corridor (the red line on the map) was named 'Hell's Highway' because this route was very poor. Sometimes as narrow as one road! เส้นสีแดงในแผนผังข้างบนคือ เส้นทางการบุกของ the British XXX (30th) Corps (Garden ในแผน) .... ถูกเรียกว่า 'Hell's Highway' คลิกเพื่อดูแฟลช http://www.rememberseptember44.com/flashfiles/plan.swf อีกนิดครับ อ้างถึง When Montgomery revealed his plan to General Brereton and General Browning, Browning asked how long it would take for the tanks to reach Arnhem. "Two days" answered Montgomery. "We can hold it for four days" replied Browning, and then he added, "although I think we could go a bridge too far", not knowing how right he was. :~)จากเวปเดิม http://www.rememberseptember44.com/ ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 13, 2009, 05:05:47 PM อ่านเพลินเลยครับ ขอบคุณครับ ไม่รู้เป็นผมคนเดียวหรือเปล่า เวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อดเอาใจช่วยเยอรมันไม่ได้ครับ ทั้งเรื่องของเรือ บิสค์มาร์ค หรือ กราฟสเป ในแอฟริกาเหนือผมก็เชียร์รอมเมลครับ ทำไมยิ่งอ่าน ยิ่งอยากให้เยอรมันชนะก็ไม่ทราบ ขอแทรกเรื่องหนังนิดครับ มีใครเคยดูหนังเกี่ยวกับเรือดำน้ำเยอรมันบ้างครับ ที่มีภารกิจตั้งแต่ออกทะเล จมเรือข้าศึก ผ่านอันตรายมามากต่อมากแล้วสุดท้ายโดนเครื่องบินทิ้งระเบิดจมที่ท่าตัวเอง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วครับ แต่เป็นหนังที่สะท้อนถึงลูกเรือเยอรมันจริงๆ ไม่ใช่เป็นปีศาจนาซีอย่างที่หนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่ทำ *** ผมไม่เป็นครับ เพราะยังนึกไม่ออกว่าถ้าเยอรมันนาซีชนะจะดีกว่าแพ้ยังไง 1. ฮิตเลอร์จับคนต่างเชื้อชาติไปฆ่าได้ครบ 30 ล้านคน หรือกว่า ??? 2. ยุโรปปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการ มีเกตตาโปเข้าไปยิงคนตามบ้านได้โดยไม่ต้องไต่สวน ::) ฯลฯ ที่น่าสนใจคือความเป็นฝ่ายเทพ/มารในสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะตอนนั้นเรียกได้ว่าไม่มีการรุกรานโดยไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นจริง ทุกฝ่ายจ้องหาเหตุรบกันเอง และสภาพสังคม ความเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิตของพลเมือง เยอรมันมีมากกว่าอังกฤษถึงแม้ว่าระบบสภาจะไม่เข้มแข็งเท่าอังกฤษ.. อืม ถ้าจะรู้สึกเอาใจช่วย ก็ในประสิทธิภาพที่เกี่ยวกับการรบ นั่นแหละค่ะ แต่แพ้ไปดีแล้ว ไม่งั้น สยองมากค่ะ ;) ถ้าระหว่างเยอรมันกับโซเวียต บางครั้งผมเอาใจช่วยเยอรมันครับ โดยเฉพาะในสนามรบ ในส่วนของทหารเยอรมันเป็นมืออาชีพสูงมาก ถึงจะมีนักรบการเมืองทำให้กำลังรบเยอรมันมัวหมองแต่ก็ไม่บ้าขนาดโซเวียต หลายครั้งทีส่งทหารเข้าไปรบให้ตายชัดๆ ก็ทำให้ไม่รู้จะเอาใจช่วยในจุดไหนของเรื่องการทหาร... ส่วนในสังคม โซเวียตของสตาลินก็ปฏิบัติกับคนของตนทั้งทหารกับพลเรือนแย่กว่าเยอรมัน การส่งคนไปไซบีเรียทุกๆ เชื้อชาติตามความบ้าและการกวาดล้างกลุ่มการเมือง ชนกลุ่มน้อย นโยบายการทำกินที่ผิดพลาดอย่างงร้ายแรงก็ทำให้ "คนเรา" ตายมากกว่ายิว ยิปซี พลเรือนต่างชาติที่ฮิตเล่อร์จงใจฆ่า อย่างน้อย พลเรือนเยอรมันนาซีเต็มขั้น ถ้าไม่หลุดพฤติกรรมต่อต้านระบบ ซึ่งนาซีมีระเบียบแสดงชัดเจน (แบบเยอรมันๆ) ก็ไม่เดือดร้อนอะไร ทำมาหากิน ใช้ชีวิต ได้รับการดูเท่าที่รัฐบาลมีนโยบายเท่ากัน ยอกเว้นแวดวงการเมือง หรือเหตุการณ์เฉพาะอย่างเรื่องกว่ดล้างกลุ่ม 20 ก.ค. อาจโดนแทงข้างหลัง แต่ข้าราชการ พลเรือนโซเวียตเต็มขั้น ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งจากมือรัฐบาลตนเอง นายเบเรีย หัวหน้าตำรวจของสตาลิน เหี้ยม และบ้าไม่เลือกหน้ายิ่งกว่าฮิมเล่อร์ ตอน 3 ผู้นำประชุม ที่ยัลต้า รูสเวลส์ ถามสตาลินว่า "คนนี้ใคร?" สตาลินตอบ "เขาชื่อ เบเรีย เป็นฮิมเล่อร์ของเรา" ปล. สตาลินเสียชีวิตปี 1953 มีความเชื่อกันว่าอาจโดนวางยาพิษตาย บางแหล่งข้อมูลเสนอว่า โมโลตอฟ วางยา บางที่ก็บอกว่า เบเรีย วางยา คนเกี่ยวข้องเองก็โทษคนโน้นคนนี้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ มีนาคม 13, 2009, 07:53:29 PM ขอเป็นคนอ่านอย่างเดียวแล้วครับ ละเอียดและสนุกมากๆ ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ มีนาคม 13, 2009, 08:24:51 PM ...พอดีเพิ่งได้มาครับ "World War II in Photographs" เป็นหนังสือหายากครับ ผู้สนใจประวัติศาสตร์สงครามไม่ควรพลาด เช่นเดียวกับนักถ่ายภาพครับ
(http://img244.imageshack.us/img244/9243/photographstu2.jpg) ...ดาวน์โหลด http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj (http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 13, 2009, 08:31:29 PM โจเซฟ สตาลินนี้ แม้แต่วลาดิเมียร์ เลนินก่อนตายยังกำชับคนสนิทห้ามมิให้เลือกสตาลินขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตเด็ดขาด เพราะเป็นคอมมิวนิสต์นอกคอก บ้าหยาบคาย ไ้ว้ใจไม่ได้ โหดเหี้ยมเกินไป แต่ให้สมาชิกพรรคฯเลือกลีออน ทรอตสกี้ศิษย์รักขึ้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตแทน
แต่แล้วใครจะไปคิดว่าคอมมิวนิสต์นอกคอกเชื้อสายจอร์เจียอย่างสตาลินจะเล่นการเมืองภายในพรรคจนทำให้ทรอตสกี้ศิษย์รักเลนินแพ้หลุดลุ่ย ซ้ำยังต้องเผ่นหนีแทบไม่ทันเพราะผลจากการตะลอนด่าสตาลินไปตามประเทศต่างๆ จนในที่สุดทรอตสกี้ก็ถูกหน่วยล่าสังหารชาวสเปนของสตาลินฆ่าตายที่ประเทศเม็กซิโกในปี ค.ศ. 1940 ครับ ::004:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 14, 2009, 08:06:25 AM ครับ หน่วยล่าสังหารฟอร์มเป็นคนเสียสติช้ขวานจามหัวตาทรอตสกี้ตาย ยุคผู้นำโซเวียตหัวปานแดงกอบี้ผมเคยล้อเล่นว่ากอบาชอฟคือตาทรอตสกี้กลับชาติมาเกิดล้มคอมมิวนิสต์โซเวียต อิ อิ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 14, 2009, 09:59:28 AM อ่านยัง ไม่จบ แต่บวกไปก่อนนะพี่ +1 ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ มีนาคม 14, 2009, 10:06:35 AM อ่านยัง ไม่จบ แต่บวกไปก่อนนะพี่ +1 ครับ ...ขอบคุณครับ โหลดกันแบบเงียบๆ หลายคนแล้วครับ อิอิ ::005:: ...+1 ให้เช่นกันครับ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ มีนาคม 15, 2009, 01:35:34 AM ...พอดีเพิ่งได้มาครับ "World War II in Photographs" เป็นหนังสือหายากครับ ผู้สนใจประวัติศาสตร์สงครามไม่ควรพลาด เช่นเดียวกับนักถ่ายภาพครับ ขอบคุณพี่แก้วครับ บวกหนึ่งครับพี่(http://img244.imageshack.us/img244/9243/photographstu2.jpg) ...ดาวน์โหลด http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj (http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ มีนาคม 15, 2009, 07:27:46 AM ...พอดีเพิ่งได้มาครับ "World War II in Photographs" เป็นหนังสือหายากครับ ผู้สนใจประวัติศาสตร์สงครามไม่ควรพลาด เช่นเดียวกับนักถ่ายภาพครับ ขอบคุณพี่แก้วครับ บวกหนึ่งครับพี่(http://img244.imageshack.us/img244/9243/photographstu2.jpg) ...ดาวน์โหลด http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj (http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj) ...ยินดีครับ +1 คืน :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: U505 ที่ มีนาคม 15, 2009, 09:36:10 AM ...ขอบคุณครับ โหลดกันแบบเงียบๆ หลายคนแล้วครับ อิอิ ::005:: ...+1 ให้เช่นกันครับ :D แอบโหลดเป็นคนแรกๆเลยครับ ขอบพระคุณครับพี่ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ต่อครับ ที่ มีนาคม 15, 2009, 02:07:04 PM ...พอดีเพิ่งได้มาครับ "World War II in Photographs" เป็นหนังสือหายากครับ ผู้สนใจประวัติศาสตร์สงครามไม่ควรพลาด เช่นเดียวกับนักถ่ายภาพครับ (http://img244.imageshack.us/img244/9243/photographstu2.jpg) ...ดาวน์โหลด http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj (http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj) พี่แก้วเอาของดีมาแบ่งอีกแล้ว ขออนุญาตโหลดแบบเห็นๆเลยนะครับ +2 พี่แก้ว นะขอรับ (ครั้งก่อนลืมบวก ;D ) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวอู๋ ที่ มีนาคม 15, 2009, 03:46:36 PM เคยได้ดูหนังหลายเรื่อง ได้มาอ่านแล้วได้ความรู้เยอะเลยครับ.. ขอบคุณครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 15, 2009, 06:07:29 PM เรื่องของพรรคนาซีคอนนี้คุยถึงปี 1924 ฮิตเล่อร์ออกจากคุก
ตอนนั้นพรรคนาซียุ่ยไปมากครับ ฮิตเล่อร์เองพูดว่าต้องใช้เวลาสัก 5 ปีกว่าจะพื้นฟูพรรคได้ใหม่ ซึ่งพูดถูกจริงๆ เพราะว่ากว่าที่พรรคนาซีจะมีเสียงในสถามากขึ้นๆ ก็ประมาณปี 1930 ซึ่งเป็นเวลาที่เกิดความหายนะทางเศรษฐกิจทั่วโลก ในปี 1924 เยอรมันเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะค่าเงินล่มสลายมา เนื่องจากภาวะสงครามโลก ฯลฯ ค่าเงินมาร์คหมดสภาพตั้งแต่แพ้สงคราม จนถึงปี 1923 ค่าเงินแย่ที่สุด อัตราแลกเปลี่ยนจากตอนปี 1918 ที่ 8 มาร์ก กว่าๆ ต่อ 1 ดอลล่าร์ เมกัน ในปี 1923 มาร์ก ไม่เหลือค่าเลยต้องใช้เงินมาร์กเป็น "ล้านๆ" ถึงจะแลกได้ 1 ดอลฯ สรุปว่าในปี 1924 มีการฟื้นฟูค่าเงินมาได้ ท่าทางประเทศก็ไปได้ด้วยดี พรรคหัวรุนแรงอย่างนาซีก็เลยยังไม่มีปากเสียง จนในปี 1928 นาซีก็มีผู้แทนในสภาแค่สิบกว่าที่นั่งจากทั้งหมดประมาณ 500 ที่ หลังจตากนั้นค่อยได้ทมี่นั่งเพิ่มมาเรื่อยๆ ในส่วนของการเคลื่อนไหวของพรรค มีตัวละครที่ไม่คุ้นหูบางคน เนื่องจากเวลาเรามองประวัติศาสตร์ ถ้ามองจากผลสุดท้ายย้อนกลับไป ก็จะจับเอาบุคคลที่เราสนใจเป็นที่ตั้งแล้วมองว่าเขาทำอะไรมาบ้าง? ทำมาอย่างไร? หรือมาทำไม? แต่อาจมองข้ามไปว่าในเวลานั้นๆ จริง มีบุคคลอื่นอีกซึ่งเป็นคู่แข่งหรือเป็นพลวัตรของสถานการณ์ในขณะนั้น หลังฮิตเล่อร์ออกจากคุก รัฐเยอรมันบางรัฐแบนฮิตเล่อร์ไม่ให้จัดปราศรัยในที่สาธารณะ พลพรรคนาซีบางคนก็ผันตัวเองไปทำมาหากินอย่างอื่น Ernst Rohm (เริมห์) ไปหากินในเมกาใต้ (กลับมาทีหลังก่อนนาซีมีอำนาจรวมในปี 1933) พลพรรคคนอื่นเด่นๆ ก็ ฮิมเล่อร์ /เฮส /เกอริง และมีนาย เกรเกอร์ สตราชเซอ ซึ่งเป็นคู่แข่งของฮิตเล่อร์ในพรรค ตอนนั้น เกิบเบิล ยังเป็นสมาชิกระดับเล็กๆ อยู่ ซึ่งกำลังดูทางลมหาทางรับใช้สมาชิกสำคัญๆ เเกร็ดเล็กน้อยนคือ นาย เริมห์ และนาย เฮส นี่เป็นเกย์ ฮิตเล่อรน์เคยบอกว่า ให้เกย์อย่างนายเริมห์เป็นหัวหน้าเชิ๊ตน้ำตาลไปไล่ตีคนตามถนนแหละดี เพราะเกย์ย่อนไม่มีครอบครัวให้ห่วง ระหว่าง สตราสเซอ กับฮิตเล่อร์ สตราสเซอ มีแนวคิดตายตัวต้องการใช้นโยบาย สังคมนิยม ตามชื่อพรรคจริงๆ ส่วนฮิตเล่อร์ไม่ยึดแนวทางนี้ แต่พยายามทำทุกท่าเพื่อผลักให้พรรคได้อำนาจ คือแสดงตัวเป็นมิตรกับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรมใหญ่ๆ นายทุนต่างๆ รวมทั้งกลุ่มอำนาจทหารด้วย สรุปว่าใครก็ได้ ข้าไม่สน ขอให้ช่วยเอื้อประโยชน์ได้ก็แล้วกัน เราจึงเห็นว่า พรรคนาซี (พรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งชาติเยอรมัน) ดูเหมือนจะตั้งมาเพื่ออุดมการณ์เศรษฐกิจสังคมนิยมเพื่อแรงงาน แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นพรรคเผด็จการทุนนิยม และเผด็จการอำนาจบริหาร มุกเด็กของฮิตเล่อร์จึงเป็นการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ ที่บรรดานายทุนกลัวนั่นเอง โปรดติดตามตอนต่อไป การเข้าคุมอำนาจในพรรคนาซีอย่างเบ็ดเสร็จโดยฮิตเล่อร์ และการเข้าสู่อำนาจรัฐของนาซีครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ต่อครับ ที่ มีนาคม 15, 2009, 07:26:36 PM ::014::
รอนะครับพี่...อ่านจดติดซะแล้วสิ...ดีนะที่มีให้อ่านเรื่อยๆ ไม่เหมือนที่ต้องรอ อวป ทุกต้นเดือน ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 15, 2009, 11:11:54 PM สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลพรรนาซีอย่างหนึ่งคือความอ่อนวัยครับ
ในช่วงของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพรรคและเมื่อพรรคมีอำนาจเบ็ดเสร็จปี 1933 นาซีคนสำคัญๆ ยังอายุน้อยมาก ลักษณะการเสี่ยงงาน การใช้กำลัง เป็นลักษณะที่ติดตัวพลพรรคนาซีไปตลอด เมื่อนาซีมีอำนาจรัฐบาลเบ็ดเสร็จในต้นปี 1933 ฮิตเล่อร์ อายุ 43 เกิบเบิล อายุ 35 ฮิมเล่อร์ อายุ 32 ...................... ขอเกริ่นเรืองนาย เกิบเบิล ครับ นายเกิบเบิล ตอนปี 1924 เป็นผู้ช่วยของ สตราสเซอร์ แต่ด้วยสายตาแหลมลู่ตามลมเก่งก็มองออกว่าลมพัดไปตามทางที่ฮิตเล่อร์ต้องการ สตราสเซ่อร์สู้ฮิตเล่อร์ไม่ได้ในการหากำลังหนุน และการปราศรัยของพรรค ในปี 1926 พรรคนาซีจัดปราศรัยสองแห่ง ที่ฮันโนเว่อร์ และเบมแบร์ก (เมืองบ้านเกิดของ ชเตาเฟนเบิร์ก ผู้วางระเบิดลอบสังหารฮิตเล่อร์ในวันที่ 20 กค. 1944 นั่นเอง) แห่งแรกฮิตเล่อร์ไม่ได้ไป แห่งที่สองฮิตเล่อร์พูดเด่นแสดงความเป็นผู้นำที่เหนือกว่า เกิบเบิล รูชัดแล้วว่าใครจะคุมอำนาจพรรค ฮิตเล่อร์เองก็ต้องการขยายฐานอำนาจและเห็นว่า เกิบเบิล ผู้มาจากครอบครัวคนใช้แรงงาน สามารถพูดจูงในชนชั้นแรงงานได้ดี เป็นฐานเสียง และแข่งกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ จึงได้เชิญ เกิบเบิล มาหาในภาคใต้ของเยอรมันพื้นที่ฐานเสียงของตน เมื่อแน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกัน รวมพลังกันในพรรค ฮิตเล่อร์ก็ตั้ง เกิบเบิล เป็นหัวหน้าเขตพรรคของกรุงเบอร์ลิน อันเป็นพื้นที่สำคัญและเป็นฐานเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์คู่แข่ง และในปี 1928 เกิบเบิล ก็ได้ที่นั่งในสภาเยอรมัน (ไรช์ชตาก) 1 ใน 12 ที่ของพรรคนาซี และเป็นหวหน้าฝ่านประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อของพรรคนาซี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ มีนาคม 16, 2009, 12:16:07 AM ขอบคุณมากครับ คุณ coda
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 03:53:15 AM ขั้นจังหวะเรื่องของประเทศต่างๆ ด้วยมุมมองอีกเล็กน้อยครับ ดูจากแผนที่แล้วถ้าเอาเยอรมันกับออสเตรีย ฮังการี รวมกัน พท.นี่กินครึ่งของยุโรปเลยนะครับเนี่ย ถ้าผลของสงครามเปลี่ยนอีกด้านคงจะมีที่ทางมากกว่านี้แน่ๆครับคาร์ล ฟอน เคลาวิสช์ นักการทหารลือนามกล่าวว่า "สงครามเป็นการดำเนินนโยบายในอีกรูปแบบหนึ่ง" (War is the continuation of policy by other mean) เมื่อเรามาดูกันว่าทำไมชาติที่เริ่มสงครามหรือเข้ารบในสงคราม ทำอะไร? อย่างไร? จึงต้องมาดูกันว่าทำไมด้วย อยากทำอะไรแล้วไม่ได้ถึงใช้สงคราม? และทำไมถึงอยากทำอย่างนั้น ลองมาดู แผนที่ยุโรป ตอนต้นและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ 1914 เริ่มสงคราม 1918 เยอรมันแพ้สงคราม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 05:26:00 AM ไม่ทราบ แนวรบโป่งพอง กล่าวถึงกันไปหรือยังครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 09:28:12 AM ไม่ทราบ แนวรบโป่งพอง กล่าวถึงกันไปหรือยังครับ ไม่ทราบ แนวรบโป่งพอง กล่าวถึงกันไปหรือยังครับ ต้นๆ กระทู้ครับ แนวโป่งนี่ที่จริงตอนเยอรมันบุกฝรั่งเศสปี 1940 ก็มี แต่ทึ่คุยกันคือโป่งที่เด่นๆ ปลายปี 1944 นั่นละครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 09:29:01 AM ขั้นจังหวะเรื่องของประเทศต่างๆ ด้วยมุมมองอีกเล็กน้อยครับ ดูจากแผนที่แล้วถ้าเอาเยอรมันกับออสเตรีย ฮังการี รวมกัน พท.นี่กินครึ่งของยุโรปเลยนะครับเนี่ย ถ้าผลของสงครามเปลี่ยนอีกด้านคงจะมีที่ทางมากกว่านี้แน่ๆครับคาร์ล ฟอน เคลาวิสช์ นักการทหารลือนามกล่าวว่า "สงครามเป็นการดำเนินนโยบายในอีกรูปแบบหนึ่ง" (War is the continuation of policy by other mean) เมื่อเรามาดูกันว่าทำไมชาติที่เริ่มสงครามหรือเข้ารบในสงคราม ทำอะไร? อย่างไร? จึงต้องมาดูกันว่าทำไมด้วย อยากทำอะไรแล้วไม่ได้ถึงใช้สงคราม? และทำไมถึงอยากทำอย่างนั้น ลองมาดู แผนที่ยุโรป ตอนต้นและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ 1914 เริ่มสงคราม 1918 เยอรมันแพ้สงคราม ครับ อีกมุมหนึ่งคือ ถ้าไม่รบกันเลย เยอรมัน / ออสเตรีย-ฮังการีก็คงจะใหญ่อยู่อย่างนั้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 03:19:52 PM พลพรรคนาซีอีกหน่อยครับ
นาย แฮร์มัน เกอริง หลังจากที่ม๊อบโรงเบียร์พังพาบไปในปี 1923 เกอริงก็ลี้ภัยออกนอกประเทศไป 3-4 ปี แล้วก็กลับเข้ามา พอเข้ามาก็ไปขออยู่สายฮิตเล่อร์ ฮิตเล่อร์ ก็เห็นว่าใช้เกอริงเป็นประโยชน์ได้ดี เอาไว้ติดต่อกับไฮโซ เพราะเกอริงมาจากครอบครัวชนชั้นกลางระดับสูง เป็นนายทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 พ่อของ เกอริง เคยเป็นข้าหลวงเยอรมันปกครองอาณานิคมเยอรมันที่นามิเบีย ที่นามิเบียยังมีถนนชื่อ เกอริง ตั้งให้เป็นเกียรติกับพ่อนายแฮร์มัน เกอริง นาซี เกอริง เข้าสังคมเก่ง สามารถติดต่อกับไฮโซ นายทุนและนายทหารระดับสูงได้ ตอนนั้น ฮิตเล่อร์นายสิบลูกชาวบ้านยังไม่ค่อยมั่นใจตัวเองในวงสังคมระดับสูงนัก ....ใช้ เกิบเบิลติดต่อกรรมกร เกอริงติดต่อไฮโซ เอิน เริมห์ เริมห์ก็เคยเป็นนายทหาร และเป็นหัวหน้ากองกำลังเชิ้ตน้ำตาลของนาซี หลังจากม๊อบโรงเบีร์และพรรคนาซียวบยาบ ฮิตเล่อร์ออกจากคุกมาแล้ว แต่เริมห์ลาออกแล้วไปทำมาหากินที่โบลิเวียเป็นที่ปรึกษาทหาร ปี 1925 จอมพลฮินเดนบูรก์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเยอรมัน และเศรษฐกิจเยอรมันก็กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ประมาณปี 1928 ฮิตเล่อร์ เด่นที่สุดในพรรคจริงๆ สตาสเซ่อร์ ก็ยอมยกให้เจอจากันได้ว่าจะไม่แข่งกับฮิตเล่อร์ แต่พรรคนาซีก็ยังไม่ได้เสียงมากนัก ในปี 1928 ยังมีเสียงผู้แทนแค่ 12 เสียง แต่ในปี 1929 ตลาดหุ้นพัง เศรษฐกิจพังทั่วโลก ในเยอรมันบรรดานายทุนกลัวพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจจึงหากันสยับสนุนนาซีซึ่งดูแล้วนิยมให้นายทุนสนับสนุน (หึ หึ) ไฮโซบางคนก็บริจาคเงินให้พรรคมากๆ ไปๆ มาๆ ในการเืลือกตั้งปี 1930 พรรคนาซีได้ที่นั่งในสภาตั้ง 107 ที่ ฮิตเล่อร์ก็เริ่มมีอำนาจ และก็ใช้กลยุทธเดิมหนักข้อขึ้น เพิ่มกำลังเชิ๊ตน้ำตาล ชวนเริมห์กลับมาเยอรมันเป็นหัวหน้าเหมือนเดิม นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มย่อย เชิ๊ตดำ (SS) ตั้ง ฮิมเล่อร์เป็นหัวหน้า ตอนนั้น เอสๆ มีกำลังแค่ประมาณ 200 คน ฝ่ายกองทัพตอนนั้นก็สนับสนุนนาซีเพราะเห็นว่ายังไงก็ต่อต้านฝ่ายซ้าย แต่ก็ไม่ค่อนพอใจกับกำลังเชิ๊ตสีต่างๆ ของนาซี หองทัพต้องการเข้าควบคุมพรรคมากขึ้นและกำจัดกองกำลัง น้ำตาล / ดำ นี้ เมื่อยังทำไม่ได้ก็มีเสนาธิการทหารบกเยอรมัน นายพล ชไลเช่อร์ ดำเนินการแนวใหม่ คือแอบไปคบคิดกับ เริมห์ ให้แข็งข้อต่อ ฮิตเล่อร์ ส่วนกำลังสีๆ ก็เก็บไว้เป็นเครื่องมือไปก่อน... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 03:29:53 PM ความสัมพันธ์ระหว่างนาซีกับกองทัพน่าสนใจเพราะเป็นตัวอธิบายต่อไปได้ว่าเมื่อนาซีขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จแล้ว พยายามใช้กองทัพเป็นเครื่องมืออย่างไร กองทัพมีบทบาทในนโยบายการสงครามอย่างไร รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงแรงจูงใจในการพัฒนา เอสฯ ของนาซีด้วย
ประมาณปี 1930-1931 ฝ่ายหทาร และนายทุน "คิดว่า" ตนจะ "เชิด" ฮิตเล่อร์ ได้จึงพยายามแนะนำจอมพลฮินเดนบูรก์ให้ตั้งฮิตเล่อร์เป็นนายก ตอนแรกๆ ฮิตเล่อร์ไม่เข้าตาท่านจอมพลเลย ฮินเดนบูรก์ พูดว่า "นายคนนี้เหรอจะมาเป็นนายกเยอรมัน ข้าจะตั้งให้เป็นนายไปรษณีย์ นั่งเลียสแตมป์ไปทั้งวันเลย" ::005:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 16, 2009, 03:43:29 PM หนังกำลังสนุก...... ปลาหมึกย่าง ร้อนๆจ้า..... ลูกชิ้นปิ้ง กล้วยแขก ขนมครก ก็มีจ้า....... ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:02:18 PM ที่จริงในการรบ รุกรานโดยชนชาติใดๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มักมีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าชนชาติใดจะป่าเถื่อนวิ่งออกไปยึดครองโลก การสครามเป็นสิ่งที่ผลาญทรัพยากรและชีวิตคนชาติอย่างมาก การดำเนินนโยบายรบราฆ่าฟันย่อมไม่ใช่ทางเลือกแรกๆ
แม้แต่ในหมู่ชนเผ่าดั้งเดิมอย่างชนเผ่าส่วนมากใน ปาปัวนิวกีนี หรือในอเมซอน เช่น ยาโนมาโม อาจจะชอบรบกันโดยแก้แค้นให้กับสมาชิกที่ถูกฆ่าในการรบครั้งที่แล้ว หรือเป็นแนวปฏิบัติที่สั่งการโดยผู้นำกลุ่ม แต่เมื่อวิคเราะห์ดูแล้ว การรบกันนั้นเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงทรัพยากรของเผ่าศัตรูไม่ว่าจะเป็นการจับเชลย ปล้นทรัพย์ หรือแม้แต่ฆ่าคนเผ่าอื่นไว้ก่อนเพื่อให้ตนเองควบคุมพื้นที่มากขึ้น อย่าง นักรบเอลมอเรนี เผ่ามาไซ แต่ประวัติศาสตร์มักบันทึกการสงครามที่อย่างเป็นทางการ (ของสมัยนั้น) ในรูปแบบต่างๆ กันไป ในสังคมโบราณโดยเฉพาะยุคคลาสิกมักบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นเหตุผลทางบุุคคล เรื่องส่วนตัว เนื่องจากเข้ากับรูปแบบการปกครอง ภาวะการปกครองชนชาติ เหตุผลเรื่องส่วนตัวของผู้นำที่เป็นเสมือนพระเจ้า หรือตัวแทนอำนาจปกครองจากพระเจ้า ถูกนำเสนอว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ เหตุผลของสงครามที่แสดงออกมาในรูปแบบนี้ เช่น การแย่ง เฮเลน แห่งทรอย (สปาร์ต้า) และลิขิตสวรรค์ของผู้นำต่างๆ ยิ่งในสมัยใหม่ การตัดสินใจทำสงครามจะต้องคิดกันหัวแทบแตกว่าจุดประสงค์คืออะไร จะเริ่มอย่างไร รบอย่างไร ผลสำเร็จอยู่ที่ตรงไหน ทุกฝ่ายคิดมาแล้วทั้งนั้น แต่ การตัดสินใจทำสงครามมักมีการคำนวนผิดพลาดเป็นส่วนมาก ประเด็นสำคัญคือเวลา ทรัพยากรที่ต้องใช้ และท่าทีของคู่ศึกในเรื่องการยอมแพ้ หรือยอมเจรจา การสงครามที่เกิดขึ้นจริงส่วนมากจึงมักเป็นการขยายตัวที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เมื่อเริ่มรบสงครามโลกครั้งที่ 1 กัน ในเดือน สิงหา 1914 ชาติต่างๆ ป่าวประกาศว่าจะกลับมาฉลองชัยทันวันคริสต์มาส ปี 1914 กันทั้งนั้น... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:17:55 PM ทั้งนี้การมาดูกันว่าภายในประเทศเยอรมันเป็นอย่างไรจึงมีประโยชน์มนการทำความเข้าใจว่าเยอรมันมาทำสงครามได้อย่างไร
แน่นอนว่าเยอรมันไม่ต้องการทำสงครามโลก อย่างที่ในที่สุดเกิดขึ้น เลยขอกระโดคไปคุยตัวอย่างเรื่องหนึ่งครับ ก่อนการรบ ก่อนการยึดครองออสเตรีย และเชกโกฯ นาย ริปเบนทรอปผู้กลายมาเป็น รมต. ต่างประเทศของนาซีช่วงสงครามไปเป้นทูตเยอรมันประจำอังกฤษ ครั้งหนึ่งเชิญเชอร์ชิลไปพบที่ทำเนียบทูตเยอรมัน ตอนนั้น เชอร์ชิเป็น สส. พรรค รัฐบาล ยังไม่ได้เป็น รมต.ทหารเรือ (อีกครั้งช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 เชอร์ชิลก็เคยเป็น รมต. ตำแหน่งนี้ - อังกฤษแบ่ง รมต. เฉพาะเหล่าทัพ) แต่เขอร์ชิลก็มีอิทธิพลในกลุ่ม สส. และเป็น สส. สายเหยี่ยวคนสำคัญเหมือนกัน กินข้าวเสร็จแล้ว ริบเบนทรอป ชวนเชอร์ชิลเดินไปดูแผนที่ยุโรปข้างผนัง ร. "เยอรมันต้องการยุโรปตะวันออก เรายินดีที่จะไม่แทรกแซงผลประโยชน์ทางการค้า และผลประโยชน์ของอังกฤษในภูมิภาคต่างๆ" ช. "เรายอมอย่างนั้นไม่ได้ ไม่มีทาง" ร. "ถ้ายังงั้นก็คงเกิดสงคราม..." ช. "ช่วยไม่ได้... แต่อย่าลืมว่าอังกฤษเป็นชาติที่แปลกอยู่อย่างนะ เมื่อเกิดเหตุวิกฤต เราจะเข้มแข็งขึ้นอีกมาก และเราจะพาชาติอื่นๆ มาเป็นพวกเราด้วย" ร. "ไม่มีทาง คราวนี้อังกฤษจะไม่สามารถนำใครๆ มารุมเราได้อีก" เชอร์ชิล ก็ไปรายงานรัฐบาลอังกฤษเรื่องนี้ แต่รัฐบาลซึ่งยังหน่อมแน้มอยู่ไม่ใส่ใจ ปล่อนให้เยอรมันดำเนินการเพิ่มกำลังทหารและเข้ายึดดินแดนต่างๆ ต่อไป โดยไม่มีใครห้ามทางการเมือง ::013:: หลังสงคราม ริปเบนทรอป ถูกพิพากษาให้แขวนคอ ฐานะอาชญากรสงคราม เชอร์ชิลบันทึกว่า "ถ้าข้าพเจ้าไปให้การศาล ข้าพเจ้าก็จะให้การตามที่ริปเบนทรอปมาคุยอย่างนี้แหละ" (ร่วมด้วยช่วยแขวน) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:21:14 PM กับฮิตเลอร์นี่ผมนึกหน้าแกขึ้นมาทีไรมักจะเป็นหน้าชาลี แชปปลินขึ้นมาก่อนแล้วค่อยๆแก้ไขให้ดุ-แก่ขึ้น ::005:: คือจำหน้าแกให้ถนัดๆไม่ได้สักทีครับ สำหรับความประทับใจที่มีให้นายคนนี้ก็คือ รถโฟล์คเต่าครับ
;D ;Dฮี่ๆ..เข้ามาเป็นสีสันคั่นข้อความคุณต๊อกเพราะกลัวเดี๋ยวคนอ่านตาลายอ่านตกบางกระทู้ไปครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:24:29 PM อิ อิ ฮิตเล่อร์ เองชอบนั่ง เมอซิเดส นะครับพี่ แกมีเมอซิเดส ตั้งแต่พรรคนาซียังไม่มีเสียงข้างมากเลย ผันเงินค่าใช้จ่ายของพรรคมาใช้ อิ อิ
ฮิตเล่อร์ชอบรถยนต์ แต่ขับรถไม่เป็นครับ ไม่หัดเรียนขับรถ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:28:34 PM ::002:: ::002::
ริปเบนทรอป : เปิดเจรจาอย่างกล้าได้กล้าเสีย...... เชอร์ชิล : เด็ดขาด เหี้ยมหาญ.... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:29:39 PM ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ท่านเขียนว่าหน้าตาของ ฮิตเล่อร์ คือผมแสกกับหนวด เขียนแค่สองอย่างนี้ (ไม่ต้องมีปากมีตา) ก็นึกออกว่าเป็นหน้าคน และเป็นหน้าฮิตเล่อร์ ครับ
คุณชายคึกฤทธิ์ ท่านบังเอิญเกิดวันที่เดียวกับ ฮิตเล่อร์ 20 เมษายน ด้วยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:42:04 PM ::002:: ::002:: ริปเบนทรอป : เปิดเจรจาอย่างกล้าได้กล้าเสีย...... เชอร์ชิล : เด็ดขาด เหี้ยมหาญ.... ครับพี่ ถึงเชอร์ชิล จะเป็นไฮโซอ้วนๆ เดินย้วยเป็นเพนกวินคาบซิการ์แต่เป็นคนเด็ดขาด กล้าหาญกลางแปลงมาก สมัยหนุ่นหาชื่อเสียงด้วยการย้ายไปแนวรบสำคัญๆ ตอนสงครามโลกครั้งที่ 1 เชอร์ชิลเป็นนักการเมืองได้เป็น รมต. ทหารเรือ ล้มเหลวในการบุกกัลลิโปลี ก็ลาออกจากตำแหน่งและกลับไปขอติดยศพันโททหารบกเดิมของตน ไปรบในสนามเพลาะอีกครับ เชอร์ชิลไม่ใช่คนบ้าสงคราม มีประสบการณ์ตรงในการถูกไล่ยิงหลายครั้ง และเคยยิงคนตายต่อหน้าต่อตา ที่ซูดานเชอร์ชิลบอกว่า "ผมแน่ใจว่ายิงข้า่ศึกตายไป 3 และอาจจะตายอีก 2" (เป็นทหารม้าใช้ปืนพกเมาเซอร์เพราะไหล่ไม่ดี เลยไม่ใช้ดาบตามแบบทหารม้าสมัยนั้น) เชอร์ชิลรู้ดีว่าสงครามคือความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง หลังจากมีประสบการณ์ไปรบในซูดาน และอัฟริกาใต้ เขียนว่า "ถ้าเพียงแต่คนใหญ่คนโตได้เห็นความตายในสงคราม คนสามัญคงไม่ต้องมาตายมากมายอย่างนี้อีก" เชอร์ชิลก็กลายเป็นคนใหญ่คนโต เพียงแต่ไม่ยอมแพ้ศัตรูในการต่อสู้ถึงตาย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 16, 2009, 04:57:50 PM ขอบคุณครับคุณต๊อก...... ชอบประโยคนี้ครับ....................
"ถ้าเพียงแต่คนใหญ่คนโตได้เห็นความตายในสงคราม คนสามัญคงไม่ต้องมาตายมากมายอย่างนี้อีก" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 16, 2009, 05:01:53 PM เกร็ดๆ ครับ ตราหัวกะโหลกกระดูกไขว้ (Totenkopf) ที่ เอสๆ ใช้กันนั้นเยอรมันใช้มากนานแล้วตั้งแต่ ทหารม้าของ เฟรดเดอริก เดอะ เกรท บ้างก็ว่าต้นตอมาจากสัญลักษณ์ที่ใช้ประกอบพิธีแสดงความจกรักภักดีของชนเผ่าเยอรมันโบราณ
ในภาพ จอมพลแมกเคนเซน สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเครื่องแบบทหารม้า ตราหัวกะโหลก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 17, 2009, 09:45:33 AM เกอริง อีกนิดหน่อยครับ
นายเกอริงมาเป็นนักการเมืองแต่ก็ยังมีจิตใกล้ชิดกับทหารมากกว่านาซีที่แจ้งเกิดในชีวิตด้วยการเป็นนักการเมืองหัวรุนแรง ตอน Battle of Britain จุดหนึ่งที่เยอรมันเสียเปรียอังกฤษคือเมื่อเครื่องบินอังกฤษถูกยิงเสียหายหรือตก ถ้านักบินโดร่มออกมได้ทันก็ลงไปในบ้านตัวเอง ถ้าไม่เจ็บก็กลับฐานขึ้นบินรบต่อได้ทันที ส่วนเยอรมันถ้าโดออกมาแล้วรอดก็เป็นเชลยสถานเดียว นาซีบางคนเสนอว่าเมื่อนักบินขับไล่เยอรมันยิงเครื่องบินอังกฤษตกแล้วให้ยิงนักบินที่ลอยลงมากับร่มชูชีพด้วย ความคิดแบบนี้สปิริตนักรบถือวส่าเป็นฆาตกรรมดีๆ นี่เอง เกอริงไปคุยกับบรรดานักบินขับไล่ "มีคนบอกมาอย่างนี้ พวกคุณคิดว่าอย่างไร?" นักบินตอบ "เราจะไม่ทำอย่างนั้นแน่ๆ" เกอริง "ผมก็ไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบอื่นจากพวกคุณ" แล้วเกอริงก็ทำไม่รู้ไม่ชี้กับไอเดียยิงนักบินคาร่มชูชีพ ตอนปลายๆ สงคราม ครั้งหนึ่ง อีริก ฮาร์ทมาน นักบินขับไล่สถิติยิงข้าศึกตกสูงสุดของเยอรมันเขียนจดหมายร้องเรียนเกอริง ความทำนองว่า "การส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปสกัดกั้นฝูงบินเมกันเร็วๆ นี้นั้นเป็นความฟิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเพราะอากาศแย่มากๆ อากาศแย่ขนาดนี้แม้แต่ข้าพเจ้าเองยังไม่อยากบินขึ้น นักบินหนุ่มมือใหม่ต้องเสียชีวิตไป 10 คนโดยที่ไม่ได้ค้นหาข้าศึกเจอเลย ถ้าเราจะต้องบินขึ้นไปสู้กับข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าท่วมท้นอย่างน้อยก็ควรบินขึ้นไปเมื่อสภาพอากาศอำนวย การส่งขึ้นบินในสภาพอากาศเลวร้ายไม่มีประโยชน์อะไรและไม่ต่างกับการฆาตกรรมนักบิน" ฮาร์ทมานยศแค่ประมาณร้อยเอก แต่เกอริง ไม่ได้ฉุนกับคำวิจารณ์กลับส่งจดหมายกลัมมาแสดงความชื่นชมว่าฮาร์ทมานเป็นนักบินที่มีฝีมือดีมาก ฯลฯ เกอริง ชอบล่าสัตว์ ชอบใจใครจะชวนไปยิงกวางในพื้นที่รอบๆ พ้านพักของตน กันลานก็เคยได้รับคำเชิญ เรื่องการล่าสัตว์ ฮิตเล่อร์ รังเกียจ "ตาเกอริงหมาล่าเนื้อ ชอบยิงสัตว์ไปได้ยังไง จิตใจโหดร้ายจริง" ไฮด์ริช ฮิมเล่อร์ ก็ไม่ชอบเรื่องล่าสัตว์ และมักบอกให้พลพรรค เอสๆ มีเมตตาต่อสัตว์ต่างๆ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 18, 2009, 12:23:52 PM เกอริง ชอบล่าสัตว์ ชอบใจใครจะชวนไปยิงกวางในพื้นที่รอบๆ พ้านพักของตน กันลานก็เคยได้รับคำเชิญ เรื่องการล่าสัตว์ ฮิตเล่อร์ รังเกียจ "ตาเกอริงหมาล่าเนื้อ ชอบยิงสัตว์ไปได้ยังไง จิตใจโหดร้ายจริง" ไฮด์ริช ฮิมเล่อร์ ก็ไม่ชอบเรื่องล่าสัตว์ และมักบอกให้พลพรรค เอสๆ มีเมตตาต่อสัตว์ต่างๆ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ มีนาคม 18, 2009, 01:54:15 PM เกอริง ชอบล่าสัตว์ ชอบใจใครจะชวนไปยิงกวางในพื้นที่รอบๆ พ้านพักของตน กันลานก็เคยได้รับคำเชิญ เรื่องการล่าสัตว์ ฮิตเล่อร์ รังเกียจ "ตาเกอริงหมาล่าเนื้อ ชอบยิงสัตว์ไปได้ยังไง จิตใจโหดร้ายจริง" ไฮด์ริช ฮิมเล่อร์ ก็ไม่ชอบเรื่องล่าสัตว์ และมักบอกให้พลพรรค เอสๆ มีเมตตาต่อสัตว์ต่างๆ... ผมคิดว่านาซีไม่ได้มองคนยิว หรือ คนรัสเซีย เป็น .... คล้าย ๆ กับที่ทหารญี่ปุ่นในยุคเดียวกัน ไม่ได้มองคนจีน หรือ คนสิงคโปร์ เป็น .... คนไทยยังโชคดีที่มีบรรพบุรุษช่วยกันยิงสะกัดไว้หลายชั่วโมง .... ก่อนจะหาทางออกที่น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด ::014:: ::014:: ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 18, 2009, 02:29:16 PM ครับ ระบอบเหล่านั้นสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก
ญี่ปุ่นเป็นสังคมปิดจากโลกภายนอก สั่งสอนง่ายตนต่างชาติชาติอื่น ที่ฮา (ไม่ออก) คือนาซีคิดค้นหลักการทาง "วิทยาศาสตร์" วัดสัดส่วน หัว หน้าตา ขนาดลูกตา ฯลฯ เพื่อแสดงว่าใครเป็นอารยันนอร์ดิก ใครเป้นยิว หรือเชื้อชาติอื่น ทั้งนี้ นายเกิบเบิลนาซีตัวสำคัญต้องตกแทบทุกข้อ ตัวเล็ก ผมเข้ม จมูกโง้น หน้าผากโหนก เข้ารูปยิวที่ล้อกัน ในเรื่อง Europa Europa (ทั้งในหนังและในหนังสือที่เจ้าตัวเขียนด้วย) ที่นายโซโลมอน เปอเรล เด็กยิวเอาตัวรอดแฝงไปอยู่กับเยอรมัน จนไปเป็นยุวชนฮิตเล่อร์ ในชั้นเรียนอาจารย์นำตัวออกไปวัดสัดส่วนโชว์ แล้วก็แถลงว่า ถึงแม้ยุวชนคนนี้จะมีเชื้อสานยุโรปตะวันออกมาผสมครั้งบรรพบุรุษนานมาแล้ว แต่ก็เป็นตัวอย่างที่แน่นอนว่าคือคนเลือดเยอรมันอารยัน... ตอนปี 1923 หลังม๊อบโรงเบียร์ ฮิตเล่อร์โดนจับขึ้นศาล มีการนำผู้เชี่ยวชาญมาโจมตีตัวบุคคลว่า ฮิตเล่อร์ ผมดำ ตาเล็ก หัวเถิด มีสายเลือดที่ไม่ดี... ทั้งนี้ ในทางมานุษยวิทยา ไม่สามารถจัดสัดส่วนร่างกายคนเพื่อแสดงว่าเป็นคนเชื้อชาติใดได้ ธรรมชาติมนุษย์ปัจจุบันเป็น โฮโม เซเปี้ยน เซเปี้ยน เหมือนกันหมด ยีนภายในไม่ต่างกัน ถึงแม้จะมีความเห็นว่า มนุษย์จากต่างสังคม ดูเหมือน จะต่างกันในสัดส่วน แต่สัดส่วนร่างกายของมนุษย์ในทุกสังคมจะทับซ้อนกับมนุษย์กลุ่มอื่นเสมอ ก่อนยุคบันทึกลายนิ้วมือ ตร. ฝรั่งเศส แบร์ติยอง คิดวิธีพิสูจน์ตัวบุคคลโดยการวัดสัดส่วนหัว ตา ฯลฯ แต่คือการเก็นข้อมูลเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติ ความรักกลุ่ม รักชาติ ใช้เป็นประโยชน์ได้มาก ความไม่รู้ หรือไม่อยากจะรู้เรื่องความไม่ต่างจากมนุษย์กลุ่มอื่นเลยถูกใช้เป็นเครื่องมือเสริมนโยบายทางสังคม การเมืองได้แบบนี้ สมัยโบราณฝรั่งยุโรปเห็นคนอัฟริกันผิวดำ แล้วมีความเชื่อว่าซีเมนต์ผูชายอัฟริกันก็สีดำด้วย ความเชื่อที่ขัดกับความจริงง่ายๆ แค่นี้ยังเซื่อๆ เืชื่อไปได้... ความจริงง่ายๆ ที่ไม่น่าลืมคือ ไม่ว่ามนุษย์จะมีผิว ผมสีอะไร เมื่อสูงวัยก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนกันหมด... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 18, 2009, 02:37:52 PM ความจริงง่ายๆ ที่ไม่น่าลืมคือ ไม่ว่ามนุษย์จะมีผิว ผมสีอะไร เมื่อสูงวัยก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนกันหมด...
และตายด้วยกัน ทุกผู้ ทุกนาม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ มีนาคม 19, 2009, 03:13:05 AM ความจริงง่ายๆ ที่ไม่น่าลืมคือ ไม่ว่ามนุษย์จะมีผิว ผมสีอะไร เมื่อสูงวัยก็จะเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนกันหมด... และตายด้วยกัน ทุกผู้ ทุกนาม ;D เคยอ่านเจอกลอนของเด็กผิวดำคนหนึ่งในหนังสือ "แทงโก" มีใจความว่า (ค่ราว ๆ นะครับผมจำไม่ได้ทุกตัวอักษร) ;D เมื่อเกิด ผมผิวดำ เมื่อโต ผมก็ผิวดำ เมื่อไม่สบาย ผมก็ยังผิวดำ เมื่อตาย ผิวของผมก็ดำ แต่พวกคนผิวขาว (ผมอาจจำสลับสีกันนะครับ) เมื่อเกิด ผิวคุณเขียว เมื่อโต ผิวคุณขาว เมื่อไม่สบาย ผิวคุณเหลือง เมื่อตาย ผิวคุณสีม่วง :-\ แล้วอย่างนี้จะเรียกผมว่า "คนผิวสี" อีกหรือ :-\ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 19, 2009, 12:01:55 PM ที่ฮา (ไม่ออก) คือนาซีคิดค้นหลักการทาง "วิทยาศาสตร์" วัดสัดส่วน หัว หน้าตา ขนาดลูกตา ฯลฯ เพื่อแสดงว่าใครเป็นอารยันนอร์ดิก ใครเป้นยิว หรือเชื้อชาติอื่น ทั้งนี้ นายเกิบเบิลนาซีตัวสำคัญต้องตกแทบทุกข้อ ตัวเล็ก ผมเข้ม จมูกโง้น หน้าผากโหนก เข้ารูปยิวที่ล้อกัน พอนาซีไปยึดตีเมืองอื่นในยุโรปได้ ก็บอกให้คนยิวในเมืองที่ยึดได้ เช่น โปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ แยกไปอยู่ในที่ซึ่งจัดไว้ให้ หรือเรียกว่า Ghetto โดยทำโฆษณาสิ่งพิมพ์หลอกลวงว่า เป็นชุมชนที่ดีกว่า อยู่สบาย แต่พอชาวยิวก็พบว่าลำบาก ไม่มีที่ทำกิน เดินทางเข้าออกไม่ได้ มีการสอดส่องจากทางนาซีตลอด มีสภาพไม่ต่างกับนักโทษ เพราะได้รับดาวเหลือง 6 แฉก (ดาวเดวิด) ไว้ติดเสื้อ Ghetto บางที่ก็มีเป็นกำแพงปูนล้อมแบ่งแยกออกจากพื้นที่เมืองอื่นๆ บางที่ก็เป็นแค่รั้วไม้ที่พันด้วยลวดหนาม จากนั้น พอยึดยุโรปได้เยอะขึ้น จับชาวยิวได้มากขึ้น นาซีก็เลยเริ่มเกิดไอเดีย (อันโหดเหี้ยม) ของค่ายกักกัน และโรงก๊าซ ผลที่ตามมาก็คงทราบกันดี และที่น่าเศร้าใจก็คือว่า การสังหารหมู่แบบนี้ก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ยุคเขมรแดง หรือการสู้รบต่างๆ ในแอฟริกาที่เห็นกันมาไม่นานนี้ จริงๆ อ่านของคุณ NaiMai แล้วบอกได้ว่า ชอบโฆษณาของเสื้อผ้า Benetton อันหนึ่งคะ เขาเอาหัวใจ (จริงๆ )มาวางเรียงกัน 3 อัน แล้วเขียนข้างใต้แต่ละอันว่า black yellow white ซึ่งถ้าเห็นแล้วก็เข้าใจได้ว่า จะคนสีผิวข้างนอกอะไร แต่อวัยวะข้างในและเลือดก็สีเดียวกัน :) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 19, 2009, 02:26:53 PM ิขอบวก 1 คะแนนคุณ blue bunny ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 19, 2009, 06:08:37 PM "เนื่องจากแม้จะเป็นคนยิว แต่ก็เป็นพลเมืองประเทศต่างๆ อยู่ด้วย เลยคิดกันว่า ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง"
ครับ เพราะคนยิวก็รับใช้ชาติต่างๆ รวมทั้งเยอรมันมาเท่าๆ กับพลเมืองเต็มขั้นคนอื่น ที่ Auschwitz มีขาเทียมของคนยิวพิการที่โดนฆ่า เหลืออยู่ เป็นทหารผ่านศึกพิการสงครามโลกครั้งที่ 1 ของชาติต่างๆ รวมทั้งทหารเยอรมันด้วย ของทุกอย่างจากคนที่ถูกฆ่ารวมทั้งชิ้นส่วนร่างกาย เช่น ผม ไขมัน ฟันทอง จะถูกนำไปรีไซเคิล แต่ก็ยังมีหลงเหลืออีกมากเมื่อค่ายแตก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 19, 2009, 07:45:22 PM และก็เอา คนยิว ไปทดลองทางการแพทย์ด้วย
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 20, 2009, 09:53:20 AM สมัยที่ผมยังเรียนอยู่นั้น ผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันยังประจำอยู่ในสถาบันที่ผมเรียน ได้คุยกับท่านหนึ่งซึ่งตอนนั้นท่านก็อายุ 60 เศษแล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันคงอายุประมาณ 95 ปี เขาเคยเป็น ผบ.พัน รถถังPanzer ของนาซี
ท่านเล่าให้ฟังว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนเยอรมันและในยุโรปอดอยากยากแค้นโดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่พวกพ่อค้าซึ่งมักมีเชื้อสายยิวกลับมีฐานะร่ำรวยจากการค้าขาย ท่านเล่าว่าคนพวกนี้ค้าขายเก่ง การค้าในเยอรมันอยู่ในมือของยิวเกือบทั้งหมด แล้วก็เก็บเงินอยู่ในหมู่ยิวลูกเดียว โดยยิวทั่วโลกมีเครือข่ายถึงกันแม้ขณะนั้นจะยังไม่มีแผ่นดินอยู่ นาซีถือว่าชนชาติยิวเป็นผู้ทำลายระบบเศรษฐกิจของเยอรมันและยุโรป รวมทั้งเป็นชนชาติที่อาศัยแผ่นดินเยอรมันอยู่แต่ดูดเงินจากคนเชื้อสายเยอรมัน ทำให้คนเยอรมันยุคนั้นยากจน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ มีนาคม 20, 2009, 11:50:48 AM กับฮิตเลอร์นี่ผมนึกหน้าแกขึ้นมาทีไรมักจะเป็นหน้าชาลี แชปปลินขึ้นมาก่อนแล้วค่อยๆแก้ไขให้ดุ-แก่ขึ้น ::005:: คือจำหน้าแกให้ถนัดๆไม่ได้สักทีครับ สำหรับความประทับใจที่มีให้นายคนนี้ก็คือ รถโฟล์คเต่าครับ ;D ;Dฮี่ๆ..เข้ามาเป็นสีสันคั่นข้อความคุณต๊อกเพราะกลัวเดี๋ยวคนอ่านตาลายอ่านตกบางกระทู้ไปครับ โฟล์คเต่า จำไม่ผิด เอาแบบปอร์เช่ไปดัดแลง แต่เวสป้านี่ ไม่ทราบจริงๆ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 01:27:49 PM นายเฟอร์ดินาน พอร์เช เป็นคนออกแบบโฟลค์เต่า ก่อนออกแบบรถ พอร์เช ที่เป็นรถสปอต รุ่นอื่นๆ ครับ
ส่วนเวสป้า ของอิตาลี เอ ไม่มีใครถามเรื่อง เวสป้า นะครับท่านซับฯ อิ อิ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ มีนาคม 20, 2009, 01:40:19 PM ผมนึกว่าฮิตเลอร์เป็นคนออกแบบเสียอีกครับ :D :D อย่างนี้คนขี่รถ เต่าก็พอจะบอกใครๆเขาได้ว่าเราขี่รถพอร์ซ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:00:03 PM ครับพี่ รถแจ้งเกิด พอร์เช เลย อิ อิ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:05:43 PM สมัยที่ผมยังเรียนอยู่นั้น ผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันยังประจำอยู่ในสถาบันที่ผมเรียน ได้คุยกับท่านหนึ่งซึ่งตอนนั้นท่านก็อายุ 60 เศษแล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันคงอายุประมาณ 95 ปี เขาเคยเป็น ผบ.พัน รถถังPanzer ของนาซี ท่านเล่าให้ฟังว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนเยอรมันและในยุโรปอดอยากยากแค้นโดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่พวกพ่อค้าซึ่งมักมีเชื้อสายยิวกลับมีฐานะร่ำรวยจากการค้าขาย ท่านเล่าว่าคนพวกนี้ค้าขายเก่ง การค้าในเยอรมันอยู่ในมือของยิวเกือบทั้งหมด แล้วก็เก็บเงินอยู่ในหมู่ยิวลูกเดียว โดยยิวทั่วโลกมีเครือข่ายถึงกันแม้ขณะนั้นจะยังไม่มีแผ่นดินอยู่ นาซีถือว่าชนชาติยิวเป็นผู้ทำลายระบบเศรษฐกิจของเยอรมันและยุโรป รวมทั้งเป็นชนชาติที่อาศัยแผ่นดินเยอรมันอยู่แต่ดูดเงินจากคนเชื้อสายเยอรมัน ทำให้คนเยอรมันยุคนั้นยากจน ใช่ค่ะ ;) เพราะว่าความยากจน ความหยิ่งในศักดิ์ศรี (เยอรมัน) ความเซ็งจากการแพ้สงครามครั้งที่ 1 ความเป็นสังคมไม่เปิด (ใจ) รับคนต่างเชื้อชาติ หรือต่างศาสนา แม้กระทั่งความอิจฉาคนยิว ในยุคนั้น รวมๆ กัน พอเจอ ฮิตเล่อร์ ซึ่งดันเป็นนักพูดปราศรัยทักษะดี ฉวยโอกาสทางการเมืองเก่ง คนเยอรมันก็เลยถูกหลอกกันไป มารู้ตัวก็สายแล้ว และถึงรู้ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะระบบนาซีมันครอบคลุมชีวิตไปหมด ถ้าเป็นทหารขัดคำสั่งก็ตาย ถ้าเป็นพลเรือนธรรมดา ทางการนาซีจะ "ขอความร่วมมือ" อะไร ก็ต้องยอม (เช่น จะเอาตัวลูกชายไปรบ จะให้ไปทำงานโน่นนี่ จะขอให้บริจาคเงินทอง ขอให้ช่วยสอดส่องคนยิว) ไม่ยอมก็โดนรายงานตำรวจลับ โดนเล่นงาน ดังนั้น ชาวเยอรมันหลายคนที่รู้อะไรเป็นอะไร ก็ต้องเลือกใช้ชีวิตแบบปิดหูปิดตา เพื่อให้อยู่รอดได้ หรือไม่ก็ไปตามกระแส ทำตัวให้ปกติที่สุด เช่น ทำงานอะไรอยู่ก็ทำต่อไป เพราะการลุกขึ้นมาขัดขืนไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนสำหรับคนชอบฮิตเล่อร์ (มีนะคะ ไม่ใช่ไม่มี) ก็ยิ่งไม่ว่าอะไร เพราะในยุคนั้นที่ข่าวสารไม่เปิดกว้าง ผู้นำบอกอะไรถ้าฟังดูดี คนก็พร้อมจะคล้อยตามเชื่ออยู่แล้ว ส่วนความเกลียดยิวในยุโรปนั้น มีมานานแล้วค่ะ เป็นเรื่องมาจากประวัติศาสตร์ที่มาศาสนายิว และศาสนาคริสต์ ถ้าสรุปสั้นๆ ก็คือ ชาวคริสต์ (ในอดีต) เชื่อว่า ชาวยิว (ในอดีต) มีส่วนในการทำให้พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และความเกลียดนี้ ก็ทำให้มีการประณามคนยิว ว่าไม่น่าไว้ใจ เชื่อถือไม่ได้ คบไม่ได้ นอกจากนั้น ก็มีเรื่องของการสู้รบแย่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาระหว่างยิวกับคริสต์อีก และนิสัยคนยิวเองในประวัติศาสตร์ ก็ไม่ช่วยให้ยุโรปชอบคนยิวมากนัก เพราะคนยิวรักพวกพ้องมาก เห็นแก่ความอยู่รอดของตัวเองและเผ่าพันธุ์ของตัวเองสูง (เพราะโดนกวาดล้างอยู่เรื่อย) เวลาดีก็ดีรักดูแลกันดี แต่เวลาร้ายก็กลายเป็นเห็นแก่ตัวสุดๆ ใส่คนอื่นเหมือนกัน รวมๆ แล้ว จะไปไหนในยุโรป คนยิวก็มักลำบากทันที ถ้ามีการจุดประเด็นความเกลียดยิวขึ้นมา ซึ่งก็เผอิญฮิตเลอร์แกก็ดันเกลียดยิวซะ.. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:19:08 PM ปลายและหลังยุคกลางในยุโรป โครงสร้างสัีงคมขยับออกจากระบบเศรษฐกิจที่อิงการเกษตรจากพื้นที่ของขุนนาง มีการตั้งเมืองเป็นแหล่งธุรกิจค้าขายมากขึ้น มักมีการ เชิญ ชาวยิวเข้าไปเป็นพ่อค้าและเอาทุนไปให้กู้กระตุ้นการทำมาหากิน แต่ต่อๆ มาก็มักหาเรื่องไล่ยิวออกริบทรัพย์อยู่บ่อยๆ
ยิว เข้าไปเติมบทบาทการการค้าซึ่งขุนนางนักรบไม่ถนัด เพราะดั้งเดิมหารายได้แบบรับส่วนแบ่งผลผลิตของไพร่ติดที่ เก็บค่าเช่า ทรัพย์เชลยสงคราม และค่าไถ่เชลยศึก ลักษณะบางอย่างคล้ายๆ ในคนจีนทีไปทำการค้าในเอเซียชาติอื่นครับ ในเมืองไทยคนจีนกลมกลืนได้เพราะสังคมไทยเปิดให้เข้าสู่โครงสร้างชนชั้นเดิมๆ ได้ เป็นข้าราชการได้ สังคมไทยรวมระบบการค้าเข้ากับระบบอำนาจรัฐมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งระบบเจ้าเมืองกินเมือง หรือระบบเจ้าภาษีนายอากร เจ้าภาษีมักเป็นคนจีนที่มีทุนและมักได้บรรดาศักดิ์ชั้นต้นๆ อย่างขุน และเนื่องจากคนไทยเป็นพุทธเลยไม่กีดกันคนต่างศาสนามากอย่างในชาติมุสลิมซึ่งเอาระบบศาสนาเข้าไปรวมกับระบบอำนาจรัฐ ในชาติที่ตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่งคนจีนจะอยู่ฐานะตัวกลางระหว่างฝรั่งกับคนพื้นเมือง พอคนพื้นเมืองได้เอกราชเลยมีความขัดแย้งกันแรงๆ แบบมาเล หรืออินโด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:34:23 PM ที่ช่วงก่อนที่นาซีได้อำนาจเบ็ดเสร็จ นาซีไม่ได้ทำอะไรแย่กว่าพรรคอื่นนัก ไม่มีเหตุผลเด่นๆ ให้คนเยอรมันทั่วไประแวง
พรรคคอมมิวนิสต์ก็มีนักเลงคอยไล่ตีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าฮิตเล่อร์แสดงตัวต่อต้านยิว คนทั่วไปก็ไม่เดือดร้อนและที่จริงก็ยังไม่มีการแกล้งยิว (เพราะยังไม่ได้อำนาจ) พรรคนาซียังผูกมิตรกับระบบเดิมๆ ขุนนาง และสนับสนุนให้จัดสรรทรัพย์ให้ราชวงศ์โฮเฮนโซเลิน ของไกเซอร์ วิลเฮลม์ ที่สอง ที่สละราชสมบัติหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย ในด้านศาสนา ฮิตเล่อร์พยายามผูกมิตรกับทางโบสถ์ ทั้งในเยอรมันและวาติกัน แม้แต่หลังจากได้อำนาจแล้วฮิตเล่อร์ก็ยังตีสนิทอยู่ทั้งๆ ที่อุดมการณ์นาซีให้นับถือฮิตเล่อร์เป็นผู้นำจนลมหายใจสุดท้าย (เดาเองว่านาซีอาจหมายความว่าพอหมดลมหายใจแล้วค่อยนับถือพระเจ้าเหนือกว่าก็ได้ครับ) อย่างน้อยก็ทำลืมๆ ไป ไม่หักด้ามพร้าความเชื่อคริสต์ของคนเยอรมันด้วยบู๊ตเชื้ตสีๆ ฮิตเล่อร์ตีซี้กับโป๊ป พรีอุสที่ 12 ซะจนเป็นที่กล่าวขวัญกันมากครับ เลยไม่น่าแปลกที่คนเยอรมันก็เลยชอบและพากันเลือกพรรคนาซีกันมากจริงๆ เพื่อนเยอรมันที่เคยเช่าบ้านด้วยกันเล่าว่าปู่เขาก็ออกเสียงเลือกตั้งพรรคนาซี ตอนสงครามถูกเกณฑ์ไปรบกับโซเวียต ขึ้นเรือลำท้ายๆ กลับมาเยอรมันได้จากลัตเวียครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:35:40 PM ฮิตเล่อร์กับโป๊ป
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:37:08 PM ฮิตเล่อร์กับบิชอบมุลเล่อร์แห่งเยอรมันนี
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:39:35 PM สมัยที่ผมยังเรียนอยู่นั้น ผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันยังประจำอยู่ในสถาบันที่ผมเรียน ได้คุยกับท่านหนึ่งซึ่งตอนนั้นท่านก็อายุ 60 เศษแล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันคงอายุประมาณ 95 ปี เขาเคยเป็น ผบ.พัน รถถังPanzer ของนาซี ท่านเล่าให้ฟังว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนเยอรมันและในยุโรปอดอยากยากแค้นโดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่พวกพ่อค้าซึ่งมักมีเชื้อสายยิวกลับมีฐานะร่ำรวยจากการค้าขาย ท่านเล่าว่าคนพวกนี้ค้าขายเก่ง การค้าในเยอรมันอยู่ในมือของยิวเกือบทั้งหมด แล้วก็เก็บเงินอยู่ในหมู่ยิวลูกเดียว โดยยิวทั่วโลกมีเครือข่ายถึงกันแม้ขณะนั้นจะยังไม่มีแผ่นดินอยู่ นาซีถือว่าชนชาติยิวเป็นผู้ทำลายระบบเศรษฐกิจของเยอรมันและยุโรป รวมทั้งเป็นชนชาติที่อาศัยแผ่นดินเยอรมันอยู่แต่ดูดเงินจากคนเชื้อสายเยอรมัน ทำให้คนเยอรมันยุคนั้นยากจน อาจารย์ได้คุยกับพี่เรื่องประสบการณ์การรบหรือเปล่าครับ? ::014:: ::002:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:46:57 PM พิจารณาการเส้นทางสู่อำนาจของฮิตเลอร์แล้ว ปัจจุบันประเทศแถบเอเซียอาคเนย์นี้ก็มีอดีตผู้นำคนหนึ่ง ซึ่งก้าวสู่ตำแหน่งด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบฮิตเลอร์ (มาโดยการเลือกตั้ง ส่วนรายละเอียดส่วนลึกนั้นอีกเรื่องนึง) สร้างความนิยมชมชอบให้กับประชาชนในประเทศนั้นเหมือนที่ฮิตเลอร์ฉีกสัญญาเวร์ซาย และสร้างอำนาจให้อาณาจักรไรช์ที่ 3
จนแม้ปัจจุบันเขาจะเป็นอดีตผู้นำที่ต้องโคจรอยู่นอกประเทศ แต่ก็ได้สร้างลิทธิคลั่งตัวผู้นำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคลั่งอดีตผู้นำจนกำลังคิดทำลายสิ่งที่สูงส่งของประเทศเขาที่มีมากว่า 700 ปี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:51:09 PM พิจารณาการเส้นทางสู่อำนาจของฮิตเลอร์แล้ว ปัจจุบันประเทศแถบเอเซียอาคเนย์นี้ก็มีอดีตผู้นำคนหนึ่ง ซึ่งก้าวสู่ตำแหน่งด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบฮิตเลอร์ (มาโดยการเลือกตั้ง ส่วนรายละเอียดส่วนลึกนั้นอีกเรื่องนึง) สร้างความนิยมชมชอบให้กับประชาชนในประเทศนั้นเหมือนที่ฮิตเลอร์ฉีกสัญญาเวร์ซาย และสร้างอำนาจให้อาณาจักรไรช์ที่ 3 จนแม้ปัจจุบันเขาจะเป็นอดีตผู้นำที่ต้องโคจรอยู่นอกประเทศ แต่ก็ได้สร้างลิทธิคลั่งตัวผู้นำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคลั่งอดีตผู้นำจนกำลังคิดทำลายสิ่งที่สูงส่งของประเทศเขาที่มีมากว่า 700 ปี บวก 1 ครับพี่ พวกเผด็จการตะเภาเดียวกันครับ ตอนได้อำนาจเบ็ดเสร็จ ฮิตเล่อร์บอกกับเกิบเบิลว่า "ต่อไปนี้อีก 1,000 ปีเยอรมันจะไม่เห็นรัฐบาลพรรคอื่นเลย" อดีตผู้นำชาติเอเซีย (อีกตัว) พล่ามบ้าๆ เรื่องจะให้พรรคตัวอยู่นายๆ หลายปีเหมือนกัน ผู้นำที่พล่ามแบบนี้ นิสัยถาวรเนื้อแท้ใต้หนังหวังเผด็จการเท่านั้น.. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 20, 2009, 02:52:36 PM ตอนนั้นผมยังเป็น นักศึกษาอยู่ครับ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเยอรมันที่มาอยู่ประจำที่พระจอมเกล้าพระนครเหนือ (เทคนิคไทย-เยอรมันเดิม) ที่สำคัญจะคุยกับท่านแต่ละทีไอ้ภาษาอังกฤษผมในตอนนั้นก็ไม่แข็งแรง ต้องมีเพื่อนสนิท 2-3 คน ไปช่วยกันคุยครับ ดูแกก็อยากคุยกับพวกเรา ดี ในเวลาพักหรือตอนเย็น แต่เวลาเรียน แก โค-ตะ-ระ-ดุ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ มีนาคม 21, 2009, 01:33:23 AM ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวันขอบคุณสาระที่พี่ต๊อกกับอาโหน่งเอามาเล่าให้ฟังครับ +1 เลยครับ :D
พูดถึงยิวแล้วทำให้อดนึกถึงสิงค์โปร์ยิวแห่งเอเชียไม่ได้ ไม่ค่อยต่างกันเลยถึงจะเป็นคนเชื้อชาติจีน แต่นิสัยใจคอรากเหง้าวัฒนธรรมไม่เหมือนคนจีนแผ่นดินใหญ่เลย ถ้าใครเคยทำธุรกิจกับพวกสิงค์โปร์จะไม่อยากทำธุรกิจด้วยจุกๆจิกๆ กวนใจตอดนิดตอดหน่อยตลอดเวลา ทุกอย่างยึดผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นหลักครับ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: C.J. - รักในหลวง ที่ มีนาคม 21, 2009, 10:53:55 AM ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวันขอบคุณสาระที่พี่ต๊อกกับอาโหน่งเอามาเล่าให้ฟังครับ +1 เลยครับ :D พูดถึงยิวแล้วทำให้อดนึกถึงสิงค์โปร์ยิวแห่งเอเชียไม่ได้ ไม่ค่อยต่างกันเลยถึงจะเป็นคนเชื้อชาติจีน แต่นิสัยใจคอรากเหง้าวัฒนธรรมไม่เหมือนคนจีนแผ่นดินใหญ่เลย ถ้าใครเคยทำธุรกิจกับพวกสิงค์โปร์จะไม่อยากทำธุรกิจด้วยจุกๆจิกๆ กวนใจตอดนิดตอดหน่อยตลอดเวลา ทุกอย่างยึดผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นหลักครับ :D สิงค์โปร์เขาพัฒนาประเทศไปจนถึงขั้น ประชาชนเห็นแก่ตัวทั่วหน้า แล้วครับ... ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ มีนาคม 22, 2009, 12:22:55 AM เรียนคุณซับ
โฟล์คเต่า จำไม่ผิด เอาแบบปอร์เช่ไปดัดแลง แต่เวสป้านี่ ไม่ทราบจริงๆ เปิด Google พิมพ์คำ Vespa ลงไป Wikipedia บอกละเอียด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sundance ที่ มีนาคม 22, 2009, 12:48:35 AM หนังสือ "นักเรียนนายร้อยไทยในเยอรมันยุคไกเซอร์" โดยคุณสรศัลย์ แพ่งสภา หน้า 153 เล่าเรื่องเกอริง โดนนักเรียนนายร้อยน้อม ศรีรัตน์ (พลตรีพระศักดาพลรักษ์) ชกปากฟันหัก เรื่องเกี่ยวกับการเล่นแรงเกินไป (ชอบรังแก) และเรื่องเอาถุงเท้าไปซ่อน ทำให้แต่งตัวไม่ทัน นิ้วกลางขวาเป็นถูกฟันแผลเบ้อเร่อ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 22, 2009, 08:19:08 AM ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวันขอบคุณสาระที่พี่ต๊อกกับอาโหน่งเอามาเล่าให้ฟังครับ +1 เลยครับ :D พูดถึงยิวแล้วทำให้อดนึกถึงสิงค์โปร์ยิวแห่งเอเชียไม่ได้ ไม่ค่อยต่างกันเลยถึงจะเป็นคนเชื้อชาติจีน แต่นิสัยใจคอรากเหง้าวัฒนธรรมไม่เหมือนคนจีนแผ่นดินใหญ่เลย ถ้าใครเคยทำธุรกิจกับพวกสิงค์โปร์จะไม่อยากทำธุรกิจด้วยจุกๆจิกๆ กวนใจตอดนิดตอดหน่อยตลอดเวลา ทุกอย่างยึดผลประโยชน์เฉพาะหน้าเป็นหลักครับ :D ขอบคุณครับคุณขวัญ อิ อิ คุยกันสนุกๆ ครับ ขอบวก ๑ คืนด้วยครับ ::002:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 22, 2009, 08:37:04 AM หนังสือ "นักเรียนนายร้อยไทยในเยอรมันยุคไกเซอร์" โดยคุณสรศัลย์ แพ่งสภา หน้า 153 เล่าเรื่องเกอริง โดนนักเรียนนายร้อยน้อม ศรีรัตน์ (พลตรีพระศักดาพลรักษ์) ชกปากฟันหัก เรื่องเกี่ยวกับการเล่นแรงเกินไป (ชอบรังแก) และเรื่องเอาถุงเท้าไปซ่อน ทำให้แต่งตัวไม่ทัน นิ้วกลางขวาเป็นถูกฟันแผลเบ้อเร่อ ขออนุญาตเล่าหนังสือนี้เสริมครับ ในตอนนี้ "ฯพณฯ ดร. ประกอบ เล่าว่า เคยพบ แฮร์มัน เกอริ่ง หลายครั้งในงานเลี้ยงรับรองที่สถานทูตไทย ตอนนั้นยังมียศเพียงระดับนายพล ยังไม่ขึ้นถึงจอมพล หรือจอมพลแห่งจอมพลที่ถือคทางาช้างทั้งดุ้นสลักเสลาวิจิตรเมื่อพบกันครั้งแรกรู้ว่าเป็นคนไทยก็ดีใจ ครั้งหลังๆ ต่อมาพอเจอหน้าเป็นปราดเข้ามาทั้งที่ขณะนั้นเกอริ่งใหญ่โตคับเยอรมันจนเกือบกระฉอกออกไปนอกบ้านอยู่แล้ว ส่วน ดร.ประกอบ กับคนอื่นเป็นเพียงนักเรียนมหาวิทยาลัย เกอริ่ง ชอบพอรับนับถือคนไทยสนิทใจว่ามีนิสัยใจคอโอบอ้อมมีความเป็นเพื่อนแท้ เป็นนักกีฬาและใจสู้ มักจะพูดถึงและถามถึงชื่อเหล่านี้-พจน์ น้อม ชิต เจริญ สอาด ปรินซ์นิล ปรินซ์ตรี ดิ่น เทพ จะอะไรซะอีกล่ะครับ-เค้ารุ่นเดียวรุ่นใกล้เคียงกัน พ.ศ. ๒๔๕๑-๒๔๕๓ เกอริ่งถือว่าเป็นเพื่อนสนิท ตอนเรียนสำเร็จบางคนก็อยู่แถวเดียวกันเมื่อเข้ารับฟังพระราโชวาท ไกเซอร์ วิลเฮลม์ ที่ลานพระราชวังกรุงเบอร์ลิน นักเรียนนายร้อยเยอรมันรุ่นไกเซอร์กลับมาเป็นใหญ่เป็นโต บางคนดังทะลุฟ้าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เกอริ่ง เคยมีจดหมายติดต่อกับเพื่อนเก่าในเมืองไทย เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เพราะใน พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้เห็นจดหมายของเกอริ่งส่งผ่านสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยถึง พระอินทร์สรศัลย์ ถามสารทุกข์สุขดิบและว่าถ้าจะส่งลูกชายสักคนไปเข้าโรงเรียนนายร้อย ก็รับจัดการทุกอย่างให้ในเยอรมัน เกอริ่ง น่าจะเขียนถึง พล ต. พระศักดาพลรักษ์ ด้วยเป็นอย่างยิ่ง สองท่านนี้สนิทสนมกันมากทีเดียวไม่เขียนมาก็เกินไปละ ทำไมเรอะครับ เดี๋ยวจะว่าให้ฟัง" หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 22, 2009, 08:41:38 AM เร็วๆเลยครับพี่ อยากฟัง
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 22, 2009, 08:51:30 AM ต่อมาเป้นเรื่องการเล่นฟันดาบ และเล่นโยนลูกปืนใหญ่ติดห่วง เอานิ้วรับกันยาว ครับ สุดท้ายสรุปว่า
"ที่ว่า เกอริ่งตัวใหญ่เล่นแรงจนดูเหมือนจงใจรังแก ฟาดฟันกันในสนามฝึกละก็พอได้ แต่นี่หมอสนุกไม่เลือกเวลา บ่อนจนนักเรียนไทยโมโห เกอริ่งถือว่าเป็นการหยอกล้อฐานะเพื่อนสนิท ตานีก็หนามบ่งซิครับ แหย่กันท่าไหนไม่รู้-เรื่องเล่นหนักๆ หรือเรื่องถุงเท่า ขเด็ทน้อมอัดมวยไทยพลั่กเข้าให้ ตามด้วยขวาตรงเต็มปาก โคนนิ้วกลางชนฟันเป็นแผลเบ้อ ตัวใหญ่เท่าใหญ่ไม่เกี่ยง เกอริ่ง ฟันหักครับ ...ทันตแพทย์ก็คือ ขเด็ทน้อม ศรีรัตน์-พลตรี พระศักดาพลรักษ์ ผมถึงได้ว่า เกอร่งจำชื่อเกลอเก่าไทยได้แม่น" ในกลุ่มนักเรียนนายร้อยที่เป็นเพื่อนเล่นกันมีชื่อดังอีกคนคือ ขเด็ทโตโจ ครับ ต่อมา พันเอก พระยาพหลฯ ผู้แทนรัฐบาลไทยไปเยี่ยมญี่ปุ่นเป็นทางการ พันเอก พระศักดาพลรักษ์ ทูตทหารบกประจำกรุงโตเกียว และ พลเอก ฮิเดกิ โตโจ นายกฯ ญี่ปุ่น เพื่อนเล่นกันมาสมัยนักเรียนนายร้อยเยอรมัน เจอกันใช้ภาษาเยอรมันคุยกัน... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 22, 2009, 09:00:16 AM ค้นเจอรูปครับ คณะผู้แทนไทยไปเยือนญี่ปุ่นในปี 1942 ครับ ดูเพิ่มที่
http://forum.axishistory.com/viewtopic.php?f=33&t=113632 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ มีนาคม 22, 2009, 10:41:46 AM อยากทราบประวัติของMichael wittmannและTiger Aceที่เค้าบัญชาการครับ ท่าทางจะน่าสนใจไม่น้อย
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มีนาคม 22, 2009, 11:12:47 AM อยากทราบประวัติของMichael wittmannและTiger Aceที่เค้าบัญชาการครับ ท่าทางจะน่าสนใจไม่น้อย คนนี้ผมชอบมากครับ เล่นรัสเซีย ซะเลเทะ ต่อมาก็พันธมิตร ก่อนพบจุดจบพร้อมพลประจำรถ ผมติดตาม อ่านในหนังสือ Hobby model ครับหัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ มีนาคม 23, 2009, 08:40:25 AM สมัยที่ผมยังเรียนอยู่นั้น ผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันยังประจำอยู่ในสถาบันที่ผมเรียน ได้คุยกับท่านหนึ่งซึ่งตอนนั้นท่านก็อายุ 60 เศษแล้ว หากยังมีชีวิตอยู่ปัจจุบันคงอายุประมาณ 95 ปี เขาเคยเป็น ผบ.พัน รถถังPanzer ของนาซี ท่านเล่าให้ฟังว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนเยอรมันและในยุโรปอดอยากยากแค้นโดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ แต่พวกพ่อค้าซึ่งมักมีเชื้อสายยิวกลับมีฐานะร่ำรวยจากการค้าขาย ท่านเล่าว่าคนพวกนี้ค้าขายเก่ง การค้าในเยอรมันอยู่ในมือของยิวเกือบทั้งหมด แล้วก็เก็บเงินอยู่ในหมู่ยิวลูกเดียว โดยยิวทั่วโลกมีเครือข่ายถึงกันแม้ขณะนั้นจะยังไม่มีแผ่นดินอยู่ นาซีถือว่าชนชาติยิวเป็นผู้ทำลายระบบเศรษฐกิจของเยอรมันและยุโรป รวมทั้งเป็นชนชาติที่อาศัยแผ่นดินเยอรมันอยู่แต่ดูดเงินจากคนเชื้อสายเยอรมัน ทำให้คนเยอรมันยุคนั้นยากจน ผมว่าเป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่ง ว่าเมื่อสังคมเกิดปัญหา มักจะหาคนผิด ..... ใครเป่าหูคนให้เชื่อได้มากกว่ากัน ก็ชี้นำสังคมไป .... ::008:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nine รักในหลวง ที่ มีนาคม 24, 2009, 12:37:25 PM ช่วยยกครับ....
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ มีนาคม 24, 2009, 01:18:46 PM ครับพี่ รถแจ้งเกิด พอร์เช เลย อิ อิ รู้สึกว่า ตอนแรก เจ้าของพอร์ช ไม่อยากออกแบบรถเต่าหรอกค่ะ แต่ฮิตเล่อร์แกสั่ง เลยกลัวต้องทำ พอสงครามจบไปนาน ทายาทตระกูลพอร์ชก็เลยรื้อมาดัดแปลงนิดหน่อยแล้วออกขาย จนฮิตนะคะ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 24, 2009, 01:34:36 PM โฟล์คสวาเกน หมายถึง "รถยนต์ของประชาชน" ในภาษาเยอรมัน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ มีนาคม 24, 2009, 02:20:52 PM อยากทราบประวัติของMichael wittmannและTiger Aceที่เค้าบัญชาการครับ ท่าทางจะน่าสนใจไม่น้อย
ตาม link http://en.wikipedia.org/wiki/Michael_Wittmann ครับ copy มาแล้วมันยาวเกินไปครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ มีนาคม 26, 2009, 04:22:16 PM ยกครับ..... คุณต๊อกฉายต่อหน่อยครับ ผมซื้อหมึกย่างปูเสื่อรอแล้ว........
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ มีนาคม 26, 2009, 04:49:40 PM ::008::
ครับพี่ คือเหตุการณ์ต่อไปจากนี้ต้องแสดงตัวเลขถึงจะชัดเจนครับ ที่อ่านมาตอนนี้จำไม่ได้ เลยรอจังหวะเปิดหนังสือดู ผมอยากแสดงเรื่องจำนวนการเกณฑ์ทหารระหว่างประเทศต่างๆ เทียบกันในช่วงปีที่ผ่านไป และจำนวนอาวุธตามสัญญาเทียบกัน คร่าวๆ คือ เยอรมันใช้ระบบเกณฑ์แรงงานชายหลังจบโรงเรียนมัธยม เพื่อก่อสร้างถนนหนทางกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับฝึกทหารไปด้วย ดังนั้นนอกจากจำนวนทหารประจำการที่พยายามเพิ่มขึ้นมาเยอรมันก็มีกำลังพลสำรองแฝงอยู่มาก เกิดสงครามก็เรียกระดมได้เลย ไม่ต้องฝึกพื้นฐานใหม่ ช่วงเวลาที่การดำเนินการของเยอรมันเรียนได้ว่าเปลี่ยนจาก ปรับตัวเข้าสู่ภาวะปรกติเพื่อป้องกันประเทศ เข้าสู่ พัฒนากำลังรบเืพื่อทำสงครามรุกรานนั้นไม่แน่นอน เพราะ 1. ที่จริงเยอรมันไม่ได้ควบคุมปัจจัยทั้งหมดเอง กำลังรบรุกรานคือการเปรียบเทียบกัลบการพัฒนากำลังของชาติอื่นด้วย 2. ในช่วงต้นทศวรรษที่ 30 ฮิตเล่อร์ต้องดำเนินการทางการเใมืองระหว่างประเทศให้ได้ผล สร้างสมดุลทางอำนาจที่เยอรมันไม่เสียเปรียบมากไปก่อนที่จะ "รู้ตัว" ว่าตนเองสามารถทำสงครามรุกรานได้เมื่อใด 3. ฮิตเล่อร์จำต้องดำเนินการ "ต่อยอด" จุดประสงค์ทางการเมืองระหว่างประเทศไปเรื่อยๆ จากเหตุการณ์หนึ่ง ไปยังอีกเหตุการณ์ ไม่รู้ชัดว่าประเทศอื่นจะมีปฏิกริยาอย่างไรต่อการดำเนินการเฉพาะหน้าของเยอรมัน ถึงแม้จะมีนโยบายต่างประเทศที่เรียกได้ว่าแน่นอนแต่แผนปฏิบัติการระยะยาวไม่แน่นอน นโยบายต่างประเทศ 1. สนับสนุนกลุ่มนิยม/เห็นใจ นาซี ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ และเมกา 2. ปรับพรมแดนเยอรมันกลับไปสู่สภาพก่อนสงครามให้มากที่สุด 3. สร้างอิสระในการดำเนินการในประเทศ เลิกข้อจำกัด เช่น กำจัดกำลังทหาร การสะสมอาวุธ เขตปลอดทหารในประเทศเยอรมันเอง 4. รวมดินแดนของชนชาติเยอรมัน หรือที่ชนชาติเยอรมันปกครองอยู่เดิม ที่เด่นชัดคือ อาณาจักร ออสเตรีย-ฮังการรี เพิ่งมาแตกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในมุมมองของเยอรมันยุคนั้น ประเทศที่เกิดใหม่ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืนมาแต่เดิม เกิดขึ้น พร้อมกับ/เพราะมี การกดขี่ชาติเยอรมันหลังสงครามโ,กครั้งที่ 1 ประเทศยุโรปตะวันออกเล็กๆ เป็นแค่ "เวลานอก" ของอาณาจักรชนชาติเยอรมัน 5. ยึดครอง หรือสร้างเขตอิทธิพลในยุโรปตะวันออกให้มากที่สุด โดยการข่มขู่ประเทศเล็ก และการแบ่งสรรปันส่วนกับประเทศมีอำนาจอย่างโซเวียต และดูเหมือนมีอำนาจอย่างอิตาลี หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Jack Sparrow ที่ เมษายน 28, 2009, 10:28:58 PM up ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 29, 2009, 04:50:53 PM เพิ่งได้หนังสือมาอีกเล่มครับ มีข้อมูลและแง่มุมในช่วงการเข้าสู่อำนาจ (ยึดอำนาจ) ขอนาซีดี ขอเวลาเรียบเรียงรวมกับเล่มอื่นแล้วมาคุยกันต่อครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 29, 2009, 04:54:33 PM บางแหล่งข้อมูลที่ใช้ครับ (ภาพจากเนตครับ) ผมอ่านฉบับพิมพ์ตามภาพยกเว้นเรื่อง The last day of Hitler
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 29, 2009, 04:55:19 PM :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ เมษายน 29, 2009, 04:57:22 PM ติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆ ครับคุณต๊อก.............
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ เมษายน 29, 2009, 05:09:36 PM ขอบคุณครับพี่ อิ อิ ;D
ผมว่าเรื่องนาซีน่าศึกษาเพราะว่าทั้งบ้าดี และบ้าชั่ว ครับ ชนชาติหนึ่งูกปลุกให้ตั้งหน้าตั้งตากระทำการฆาตกรรมนอกเหนือการต่อสู้เอาตัวรอดได้ขนาดนั้น โดยเฉพาะฮิตเล่อร์เอง เป็นตัวอบ่างของการที่คนซึ่งมีประสบการณ์ยากเข็ญมา เมื่อมีอำนาจเป้นผู้เลือกให้มวลชน กลับไม่รีรอที่จะยัดเยียดความลำบากยากเข็ญให้ ในจณะที่รัฐบุรุษ และครอบครัวบุรุษหลายคน เมื่อเคยผ่านความลำบากยากเข็ญมาแล้วจะพยายามไม่ให้มวลชน หรือลูกหลายต้องประสบพบสิ่งเดียวกัน แต่สิ่งที่ ฮิตเล่อร์ เจ็บแล้วจำ คือ แกสพิษ ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮิตเล่อร์โดนจังๆ เจ็บปวด และตามองไม่เห็นไปพักหนึ่ง ตอนสงครามโลกครั้งที่สองก็ไม่ตัดสินใจใช้ในการรบทั่วไป ไม่มีใครเริ่มก็ไม่มีใครใช้ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ เมษายน 29, 2009, 06:17:46 PM ีอัพ กระทู้รอดู ตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Jack Sparrow ที่ เมษายน 30, 2009, 08:44:14 PM ยังรอพี่ๆ...ใจดีมาให้ความรู้ครับ :VOV:
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sweet-14 ที่ พฤษภาคม 13, 2009, 11:29:16 AM เรือ จอช บุช นี้คือชื่อตัวคุณพ่อใช่ไหมครับ? ใช่ครับ :) ป.ล. USS George H.W. Bush (CVN 77) เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Nimitz ครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤษภาคม 13, 2009, 11:37:11 AM ขอบคุณครับคุณสวีท14 บวก 1 คะแนน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 14, 2009, 08:22:53 PM ครับพี่ รถแจ้งเกิด พอร์เช เลย อิ อิ รู้สึกว่า ตอนแรก เจ้าของพอร์ช ไม่อยากออกแบบรถเต่าหรอกค่ะ แต่ฮิตเล่อร์แกสั่ง เลยกลัวต้องทำ พอสงครามจบไปนาน ทายาทตระกูลพอร์ชก็เลยรื้อมาดัดแปลงนิดหน่อยแล้วออกขาย จนฮิตนะคะ :D คิดเสียว่าเดินเล่นเป๋ออกจากถนนใหญ่ไปเข้าซอยเล่นนะครับ มันเกี่ยวกับเบื้องหลังการออกแบบรถโฟล์ค... ย่าผมเล่าให้ฟัง (สาบานได้ว่าย่าเล่าจริงๆ)... คงเกี่ยวกับที่คุณ bluebunny บอกว่าตาเฟอร์ดินัน ปอร์ช แกกลัวฮิตเลอร์ลนลานจนต้องมานั่งออกแบบพัฒนารถของประชาชนคันนี้แหละ แกใช้เวลาหามรุ่งหามค่ำเสก็ตช์แบบรถคันนี้...นานมากครับ แกฝังตัวในสตูดิโอออกแบบซึ่งเป็นที่เดียวกับบ้านที่แกอาศัยอยู่ ลูกเมียไม่ได้เห็นหน้า แบบว่าหัวจมอยู่กับโต๊ะออกแบบเลย เวลาผ่านไปเป็นเดือนๆน่ะครับ... แต่แกก็ยังคิดไม่ออกว่ารูปทรงของรถที่จะให้ชาวเยอรมันทุกคนมีโอกาสได้ใช้..จะหน้าตาอย่างไรดี สเกตช์แล้วก็ฉีกทิ้งเป็นร้อยๆแบบ หาแบบที่ถูกใจไม่ได้ จนบ่ายวันหนึ่ง เมียของตาเฟอร์ดินันแกทนไม่ไหว แกเดินเข้าไปในห้องออกแบบ สมัยก่อนสงครามโลกเนี่ย ผู้หญิงเยอรมันเขาจะใส่ชุดเป็นกระโปรงยาวกรอมข้อเท้าน่ะครับ แกเดินเข้าไปยืนข้างโต๊ะเขียนแบบ แล้วแหวใส่แบบเก็บอารมณ์ไม่อยู่ด้วยหงุดหงิดผัวที่ไม่ใส่ใจลูกเมีย "มันจะอะไรกันนักกันหนา ข้าวปลาไม่ยอมกิน เคยใส่ใจเมียบ้างไม๊.... จำไอ้นี่ได้ไม๊" อีตรงประโยคสุดท้ายนี่แหละครับ ที่เมียแกพูดพร้อมกับยกชายประโปรงยาวกรอมข้อเท้าขึ้นมาไว้ตรงสะโพก เท่านั้นแหละครับ ตาเฟอร์ดินันแก enlightened ทันที วันรุ่งขึ้นแกมีแบบสเก็ตช์ไปเสนอกับฮิตเลอร์ได้เป็นที่พอใจกันทั้งผู้สั่งและผู้รับคำสั่ง แบบที่...เป็นรถรูปร่างนูนๆหน้าตาแปลกๆ...ที่เราเรียกกันว่า "โฟล์คเต่า" คันนั้น ;) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤษภาคม 14, 2009, 10:33:53 PM คงได้ภาพกระโปรงหน้าก่อน ::005:: ::005::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤษภาคม 15, 2009, 06:13:12 AM "มันจะอะไรกันนักกันหนา ข้าวปลาไม่ยอมกิน
เคยใส่ใจเมียบ้างไม๊.... จำไอ้นี่ได้ไม๊" อีตรงประโยคสุดท้ายนี่แหละครับ ที่เมียแกพูดพร้อมกับยกชายประโปรงยาวกรอมข้อเท้าขึ้นมาไว้ตรงสะโพก เท่านั้นแหละครับ ตาเฟอร์ดินันแก enlightened ทันที วันรุ่งขึ้นแกมีแบบสเก็ตช์ไปเสนอกับฮิตเลอร์ได้เป็นที่พอใจกันทั้งผู้สั่งและผู้รับคำสั่ง แบบที่...เป็นรถรูปร่างนูนๆหน้าตาแปลกๆ...ที่เราเรียกกันว่า "โฟล์คเต่า" คันนั้น ที่มาของ โฟล์ค เต่านี่เองครับ +1 คะแนนครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ พฤษภาคม 15, 2009, 01:17:43 PM โห.......เพิ่งรู้เกร็ดนี้นะคะนี่........... ;D ใครจะไปนึกว่าภริยา จะเป็นแรงบันดาลใจด้วยวิธีนั้นได้ ................ ::005::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤษภาคม 15, 2009, 01:34:38 PM ผู้หญิงเยอรมันยุคนั้น ยังใส่สุ่มไก่อยู่อีกนะเนี่ย ::005:: ::005:: ::007:: ::007::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: a lone wolf ที่ พฤษภาคม 15, 2009, 02:13:15 PM ;D
ไอ้กระโปรงยาวน่ะเป็นจินตนาการของหมาป่าเองครับ ของจริงเป็นแบบสุ่มไก่ หรือ สั้นฟีบกว่านั้น ไม่ได้รีเสิร์ชมา แต่เขียนบรรยายแบบนั้นแล้วมันคิดภาพตามได้สะใจดี อิอิ (ถ้าบรรยายเป็นกางเกง ภาพที่คิดตามคงทุลักทุเลน่าดู กว่าคุณนายปอร์ชจะถอดเข็มขัด ดึงกางเกงลงมา คุณเฟอร์ดินันคงวิ่งหนีไปตั้งหลักก่อน ไม่ทัน Enlightened กันพอดี) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: artami ที่ พฤษภาคม 18, 2009, 02:57:25 PM เยอรมันเหล็กดีครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ มิถุนายน 06, 2009, 12:48:12 PM วันนี้ ๖ มิถุนายน.. เป็นวันครอบรอบ ที่ฝ่าย สัมพันธมิตร ยกพลขึ้นบกที่ นอร์มังดี เมื่อ ๑๙๔๔ .
ผมเปิดดู "Band of Brothers" อีก ๑ รอบ แล้วครับ. :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ มิถุนายน 06, 2009, 01:20:19 PM วันนี้ ๖ มิถุนายน.. เป็นวันครอบรอบ ที่ฝ่าย สัมพันธมิตร ยกพลขึ้นบกที่ นอร์มังดี เมื่อ ๑๙๔๔ . ผมเปิดดู "Band of Brothers" อีก ๑ รอบ แล้วครับ. :D ...ผมเปิด Saving Private Ryan ครับ... ส่วน Band of Brothers ยังสะสมไม่ครบ... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ มิถุนายน 06, 2009, 03:09:10 PM ปีนี้ครบ 65 ปีการยกพลขึ้นบกที่ นอร์มังดี ท่านประธิบดีโอบาม่า มาร่วมฉลองด้วย และกลับแล้วคุณ ภรรยาและลูกๆๆอยู่เที่ยวต่อครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JC ที่ สิงหาคม 01, 2009, 08:40:51 PM เร็วๆนี้ อาจมีภาพยนตร์ เกี่ยวกับเรือ บิสมาร์ค มาให้ดูกันนะครับ
http://www.youtube.com/watch?v=2dTFi_xZkn8&feature=related#lq-lq2-hq (http://www.youtube.com/watch?v=2dTFi_xZkn8&feature=related#lq-lq2-hq) http://www.youtube.com/watch?v=gTxzg2ejB-E&feature=fvst#lq-lq2-hq (http://www.youtube.com/watch?v=gTxzg2ejB-E&feature=fvst#lq-lq2-hq) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 05:37:13 AM ;D ได้หนังสือมาใหม่ครับ จากสำนักพิมพ์ มติชน ภาพ+คำอธิบาย ชัดเจน ;D
(http://img6.imageshack.us/img6/9206/image1exposureexposure.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 09, 2009, 08:04:22 AM ;D ได้หนังสือมาใหม่ครับ จากสำนักพิมพ์ มติชน ภาพ+คำอธิบาย ชัดเจน ;D ราคาเท่าไหร่ครับสนใจสะสมชอบครับ(http://img6.imageshack.us/img6/9206/image1exposureexposure.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ กันยายน 09, 2009, 09:09:36 AM ;D ได้หนังสือมาใหม่ครับ จากสำนักพิมพ์ มติชน ภาพ+คำอธิบาย ชัดเจน ;D (http://img6.imageshack.us/img6/9206/image1exposureexposure.jpg) น่าสะสมครับ... ไม่ทราบว่าสามารถสั่งซื้อได้ที่ไหนครับ... ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: forrest gump-รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 09:21:57 AM ผมกลับมองย้อนไปช่วงต้นสงครามครับ... เยอรมันจะยึดยุโรปก็ไม่น่าจะเกินความสามารถครับ... ยิ่งมีแนวร่วมอักษะอย่างอิตาลี่และญี่ปุ่นยิ่งช่วยถ่วงดุลให้ประเทศอื่นๆคิดหนักก่อนจะเข้าร่วมสงคราม... ที่ผมว่าพลาดคือการเปิดแนวรบกับรัสเซียครับเร็วเกินไป ถ้าหากไม่เปิดแนวรบหลายด้านพร้อมๆกัน ช่วงต้นสงครามเยอรมันมีศักยะภาพเพียงพอที่จะยึดยุโรปร่วมไปถึงอังกฤษครับ... ในขณะที่สมรภูมิแอฟริกาเหนือก็จะสามารถใช้สนธิกำลังกับอิตาลี่เข้าครอบครอง ถ้าหากอักษะสามารถมีอิทธิพลเหนือเมดิเตอรเรเนี่ยนได้อย่างเด็ดขาด ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสงคราม การเข้าถึงแหล่งทรัพยากรหลักในอ่าวเปอร์เซียก็สะดวกโยธิน(ในกรณีนี้ผมหมายรวมว่าอังกฤษเสร็จไปแล้ว ดังนั้นอำนาจเหนือคลองสุเอจย่อมเป็นของเยอรมัน)... ถ้าหากประกาศสงครามกับรัสเซียช่วงที่มีแหล่งทรัพยากรในครอบครอง มีกำลังเสริมจากประเทศที่เข้ายึดครองมา ไม่ต้องเสียกองกำลังมากมายไปกับปราการยุโรป อย่างนี้สงครามจะเร้าใจมากขึ้นครับ เพราะขนาดลุยพร้อมๆกันทั้งยุโรปทั้งรัสเซีย ถ้าหากไม่ติดฤดูหนาว มอสโคว์แตกไปแล้วครับ... ถูกต้องครับท่าน.... เยอรมันมัวแต่หลงเชื่อมุซโซลินี แถมยังยอมแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยอิตาลีในสงครามแอฟริกาเหนือซึ่งเยอรมันไม่มีเหตุอันควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนักเพราะเป็นความขัดแย้งของอิตาลีเอง...กำลังส่วนหนึ่งที่แบ่งไปนั้นมีนายพลจิ้งจอกทะเลทรายอบ่างรอมเมลด้วยซึ่งหากในตอนนั้นฟรือเรอห์วางแผนใหม่เอานายพลรอมเมลไปจัดทัพเตรียมบุกยึดอังกฤษให้เด็ดขาดหรือเตรียมบุกรัสเซียโดยพึ่งพาญี่ปุ่นให้โจมตีกองกำลังไซบีเรีย.....ผลของสงครามอาจไม่ใช่แบบนี้ อีกจุดหนึ่งคือเรื่องการไม่เร่งพัฒนาศักยภาพของเรือ เพราะกองเรือเยอรมันไม่มีขีความสามารถพอในการควบคุมแอตแลนติก กองเรือเยอรมันจำเป็นต้องมีทั้งปริมาณและความได้เปรียบเชิงยุทธ์ในการตัดกำลังเรือฝ่ายพันธมิตรในแอตแลนติกและทะเลเหนือ อีกจุดหนึ่งคือการไม่ประสานกับญี่ปุ่นในเรื่องการโจมตีรัสเซีย เพราะญี่ปุ่นไม่มีเหตุจำเป็นมากนักในแถบเอเชียบูรพา หากญี่ปุ่นและเยอรมันหลีกเลี่ยงสงครามที่ไม่จำเป็นของตัวเองแล้วมุ่งเน้นตีรัสเซียทั้งสองด้าน เยอรมันเข้าโจมตีตะลุยยันเอาไว้จากฝั่งยุโรป และญี่ปุ่นเข้าโจมตีรัสเซียเพียงประเทศเดียว (ไม่บุกจีนและเกาหลี) อาจจะสามารถบีบให้รัสเซียยอมจำนนได้ง่ายกว่า ญี่ปุ่นกับรัสเซียมีความแค้นกันมาตั้งแต่กรณีช่องแคบซึชิมาซึ่งนายพลยามาโมโตะในตอนนั้นยังเป็นแค่นายเรือจบใหม่แต่ก็ได้เข้าร่วมรบต่อสู้รัสเซียจนได้รับชัยชนะ และหากฮิตเลอร์ประเมินนายพลเรือ คาร์ล เดอร์นิทช์ สูงกว่านี้เยอรมันจะมีกองเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเองซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการโจมตีอังกฤษอีกหลายเท่า หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: forrest gump-รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 09:26:14 AM รูป Bismarck มาฝากครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: forrest gump-รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 09:32:47 AM Bismarck ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: มะขิ่น ที่ กันยายน 09, 2009, 11:09:16 AM นอกจากการดำเนินยุทธศาสตร์การสงคราม ที่ผิดพลาดหลายครั้งเช่น การเปิดแนวรบด้านรัสเซีย ทั้งๆที่เยอรมันหลอกรัสเซียสำเร็จในการทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันที่ฟินแลนด์แล้ว ................
การดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพกองทัพ ฮิตเลอร์ก็ผิดพลาดหลายเรื่องครับ ............ เช่น 1. ไม่ฟังความคิดเห็นของกองทัพเรือ ที่ต้องต่อเรือปืนและเรืออูให้ได้ตามจำนวนที่จะคุ้มครองทางทะเลได้อย่างทั่วถึงเสียก่อนที่จะเริ่มสงคราม .............ฮิตเลอร์ตัดสินใจบุกโปแลนด์ก่อน กองทัพเรือเยอรมันพร้อมรบ 100% ถึง 1 ปี 2. ไปเชื่อถือการรบแบบยุทธการสายฟ้าฟาด ที่รบอย่างได้ผลในการบุกโปแลนด์ โดยเชื่อมั่นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางดิ่งขนาดเบา JU88 Stuka มากเกินไป .................และไปทุ่มเทการพัฒนา บ.ทิ้งระเบิดขนาดกลาง 2 เครื่องยนต์ ที่สนับสนุนยุทธการลักษณะนี้ จนลืมการพัฒนา บ.ทิ้งระเบิดระยะไกล แบบ 4 เครื่องยนต์ไป................ซึ่งมีเพียงรุ่นเดียวที่สร้างขึ้นคือ FW200 Condor ................ ผลคือ โดนสัมพันธมิตร ใช้ บ.ทิ้งระเบิดระยะไกล รุกเข้ามาทิ้งระเบิดในจุดยุทธศาสตร์ของเยอรมัน จนง่อยเปลี้ยเสียขา................ 3. หันไปพัฒนารถถังขนาดหนักมากเกินไป ถึงขนาดพัมนา ถ.หนักขนาด 180 ตันขึ้นมา แบบเสียเวลาเปล่า............ ทั้งๆที่รถถังขนาดกลาง อำนาจการยิงสูง และประสิทธิภาพสูง ที่มีอยู่แล้ว ลดกำลังการผลิตลง เพื่อหันไปผลิต ถ.หนัก ............ซึ่งจำนวนการผลิตลดลงและสร้างปัญหามากในเรื่องความอยู่รอดในสนามรบต่ำ ................... เมื่อรบกับสัมพันธมิตรที่ผลิต ถ.กลางจำนวนมากๆ เช่น รัสเซียและ สหรัฐอเมริกา เลยถูกรุมกินโต๊ะ สูญเสียไปเป็นจำนวนมาก 4. ความที่ขึ้นมาจากเผด็จการ เลยมีความกังวลเรื่องที่จะถูกลอบสังหาร(โดนลอบสังหารจำนวนรวม 15 ครั้ง ไม่สำเร็จสักครั้ง) ........... และจะถูกโค่นล้มทางการเมือง จึงตั้งกองกำลังพิเศษสำหรับอารักขา ................ จนกลายเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ระดับกองพล ................ และกลายเป็นกองกำลังที่ถูกแบ่งชั้นจากกองกำลังใหญ่ในกองทัพ .............อาวุธพิเศษรุ่นใหม่ๆต่างๆ จะถูกเข้าประจำการในกองกำลังพิเศษเหล่านี้ ............เพื่อให้เหนือว่ากองกำลังที่ทำการรบหลักๆ เช่น ปืนไรเฟิลโจมตีรุ่นใหม่ STG44 ................. เมื่อกำลังหลักในการรบอ่อนเปลี้ยลง ถึงเวลาใช้กองกำลังพิเศษเหล่านี้เข้าทำการรบ ก็ชักช้าไม่ทันเวลา............ แค่นี้ก่อนครับ :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: forrest gump-รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 11:34:43 AM Bismarck ขณะโดนรุมจากกองเรืออังกฤษ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: forrest gump-รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 11:53:01 AM ความพยายามเฮือกสุดท้ายของ Bismarck
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 01:31:55 PM มาปูเสือรออีกรอบครับ กระทู้นี้ได้สาระ บรรเทิงครบ ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ กันยายน 09, 2009, 02:03:23 PM มารอฟังด้วยคนครับ :D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 10:09:47 PM ;D ได้หนังสือมาใหม่ครับ จากสำนักพิมพ์ มติชน ภาพ+คำอธิบาย ชัดเจน ;D ราคาเท่าไหร่ครับสนใจสะสมชอบครับ(http://img6.imageshack.us/img6/9206/image1exposureexposure.jpg) น่าสะสมครับ... ไม่ทราบว่าสามารถสั่งซื้อได้ที่ไหนครับ... ::014:: ;D เมื่อเช้ามืดผมไปเจอที่ร้านหนังสือแถวบ้านครับ เล่มละ 400 บาท ที่อื่นผมไม่ทราบ แต่ร้านหนังสือใหญ่ ๆ ตามห้างน่าจะมีครับ ลองเข้าไปดูที่เวบไซท์ของสำนักพิมพ์มติชนดูครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ กันยายน 09, 2009, 10:25:10 PM สั่งซื้อหนังสือ "บันทึกภาพประวัติศาสตร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS)" จากทาง http://www.matichonbook.com/ (http://www.matichonbook.com/) จะลดราคา 15% จากหน้าปก 400 บาทเหลือ 340 บาท ถ้าจัดส่งในประเทศค่าส่งฟรีครับ :VOV:
ติดตามรายละเอียดของหนังสือเล่มนี้ได้ที่ http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953 (http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953) ครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 10:31:57 PM สั่งซื้อหนังสือ "บันทึกภาพประวัติศาสตร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS)" จากทาง http://www.matichonbook.com/ (http://www.matichonbook.com/) จะลดราคา 15% จากหน้าปก 400 บาทเหลือ 340 บาท ถ้าจัดส่งในประเทศค่าส่งฟรีครับ :VOV: ติดตามรายละเอียดของหนังวสือเล่มนี้ได้ที่ http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953 (http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953) ครับ ::014:: :~) ผมซื้อแพงเลย :~) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ กันยายน 09, 2009, 10:51:29 PM นอกจากการดำเนินยุทธศาสตร์การสงคราม ที่ผิดพลาดหลายครั้งเช่น การเปิดแนวรบด้านรัสเซีย ทั้งๆที่เยอรมันหลอกรัสเซียสำเร็จในการทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกันที่ฟินแลนด์แล้ว ................ ผมเห็นด้วยกับอามะขิ่นครับการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพกองทัพ ฮิตเลอร์ก็ผิดพลาดหลายเรื่องครับ ............ เช่น 1. ไม่ฟังความคิดเห็นของกองทัพเรือ ที่ต้องต่อเรือปืนและเรืออูให้ได้ตามจำนวนที่จะคุ้มครองทางทะเลได้อย่างทั่วถึงเสียก่อนที่จะเริ่มสงคราม .............ฮิตเลอร์ตัดสินใจบุกโปแลนด์ก่อน กองทัพเรือเยอรมันพร้อมรบ 100% ถึง 1 ปี 2. ไปเชื่อถือการรบแบบยุทธการสายฟ้าฟาด ที่รบอย่างได้ผลในการบุกโปแลนด์ โดยเชื่อมั่นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางดิ่งขนาดเบา JU88 Stuka มากเกินไป .................และไปทุ่มเทการพัฒนา บ.ทิ้งระเบิดขนาดกลาง 2 เครื่องยนต์ ที่สนับสนุนยุทธการลักษณะนี้ จนลืมการพัฒนา บ.ทิ้งระเบิดระยะไกล แบบ 4 เครื่องยนต์ไป................ซึ่งมีเพียงรุ่นเดียวที่สร้างขึ้นคือ FW200 Condor ................ ผลคือ โดนสัมพันธมิตร ใช้ บ.ทิ้งระเบิดระยะไกล รุกเข้ามาทิ้งระเบิดในจุดยุทธศาสตร์ของเยอรมัน จนง่อยเปลี้ยเสียขา................ 3. หันไปพัฒนารถถังขนาดหนักมากเกินไป ถึงขนาดพัมนา ถ.หนักขนาด 180 ตันขึ้นมา แบบเสียเวลาเปล่า............ ทั้งๆที่รถถังขนาดกลาง อำนาจการยิงสูง และประสิทธิภาพสูง ที่มีอยู่แล้ว ลดกำลังการผลิตลง เพื่อหันไปผลิต ถ.หนัก ............ซึ่งจำนวนการผลิตลดลงและสร้างปัญหามากในเรื่องความอยู่รอดในสนามรบต่ำ ................... เมื่อรบกับสัมพันธมิตรที่ผลิต ถ.กลางจำนวนมากๆ เช่น รัสเซียและ สหรัฐอเมริกา เลยถูกรุมกินโต๊ะ สูญเสียไปเป็นจำนวนมาก 4. ความที่ขึ้นมาจากเผด็จการ เลยมีความกังวลเรื่องที่จะถูกลอบสังหาร(โดนลอบสังหารจำนวนรวม 15 ครั้ง ไม่สำเร็จสักครั้ง) ........... และจะถูกโค่นล้มทางการเมือง จึงตั้งกองกำลังพิเศษสำหรับอารักขา ................ จนกลายเป็นกองกำลังขนาดใหญ่ระดับกองพล ................ และกลายเป็นกองกำลังที่ถูกแบ่งชั้นจากกองกำลังใหญ่ในกองทัพ .............อาวุธพิเศษรุ่นใหม่ๆต่างๆ จะถูกเข้าประจำการในกองกำลังพิเศษเหล่านี้ ............เพื่อให้เหนือว่ากองกำลังที่ทำการรบหลักๆ เช่น ปืนไรเฟิลโจมตีรุ่นใหม่ STG44 ................. เมื่อกำลังหลักในการรบอ่อนเปลี้ยลง ถึงเวลาใช้กองกำลังพิเศษเหล่านี้เข้าทำการรบ ก็ชักช้าไม่ทันเวลา............ แค่นี้ก่อนครับ :D ถ้าฮิตเลอร์ไม่เชื่อเจ้าเฮอร์แมน กอริงมากเกินไปว่าลำพังกองกำลังของ Luftwaffe เดียวก็จัดการกับอังกฤษได้แล้ว นาซีเยอรมันก็คงมีกองทัพเรือที่แข็งแกร่ง สามารถยึดครองน่านน้ำแอตแลนติกและปิดล้อมอังกฤษให้หมดสภาพได้อย่างสบาย ไม่เหลือเก็บไว้เป็นหอกข้างแคร่ให้มาทิ่มแทงในภายหลังแบบนี้ ส่วนเรื่องหน่วย SS ผมว่าหน่วยนี้สามารถสร้างผลงานในการรบมากนะครับ ภารกิจไหนที่ยากเกินจะทำได้ หน่วย SS กลับทำได้ เช่น การต่อต้านกองกำลังสัมพันธมิตรในยุทธการ Market Garden หรือการรบเพื่อเปิดช่องทางถอยให้กองกำลังของเยอรมันถอนตัวออกจากเมือง Falaise และ Trun ในยุทธการ Falaise pocket ของกองพล 9th SS Panzer Hohenstaufen (http://en.wikipedia.org/wiki/9th_SS_Panzer_Division_Hohenstaufen) จนสุดท้ายจากกำลังทั้งหน่วยหมื่นกว่าคนเหลือรอดมาแค่หลักพันเองครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ กันยายน 09, 2009, 10:53:06 PM สั่งซื้อหนังสือ "บันทึกภาพประวัติศาสตร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS)" จากทาง http://www.matichonbook.com/ (http://www.matichonbook.com/) จะลดราคา 15% จากหน้าปก 400 บาทเหลือ 340 บาท ถ้าจัดส่งในประเทศค่าส่งฟรีครับ :VOV: ติดตามรายละเอียดของหนังวสือเล่มนี้ได้ที่ http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953 (http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953) ครับ ::014:: :~) ผมซื้อแพงเลย :~) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 09, 2009, 11:20:49 PM อย่าไปคิดมากเลยครับคุณใหม่ หนังสือถ้าเราซื้อมาอ่านแล้วชอบ ต่อให้แพงแค่ไหนก็คุ้มค่าครับ :VOV: ;D ไม่คิดมากครับ จริง ๆ ผมซื้อราคาส่งครับ ถูกกว่าราคาปกพอสมควร แต่แพงกว่าราคาสั่งซื้อนิดหน่อย ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ต่อครับ ที่ กันยายน 10, 2009, 09:59:51 AM อย่าไปคิดมากเลยครับคุณใหม่ หนังสือถ้าเราซื้อมาอ่านแล้วชอบ ต่อให้แพงแค่ไหนก็คุ้มค่าครับ :VOV: ;D ไม่คิดมากครับ จริง ๆ ผมซื้อราคาส่งครับ ถูกกว่าราคาปกพอสมควร แต่แพงกว่าราคาสั่งซื้อนิดหน่อย ;D ยิ่งเล่มนึง ได้อ่านหลายๆคน ยิ่งคุ้มค่าเข้าไปใหญ่ครับ พี่ใหม่ ::008:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ กันยายน 10, 2009, 10:04:44 AM สั่งซื้อหนังสือ "บันทึกภาพประวัติศาสตร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 (WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS)" จากทาง http://www.matichonbook.com/ (http://www.matichonbook.com/) จะลดราคา 15% จากหน้าปก 400 บาทเหลือ 340 บาท ถ้าจัดส่งในประเทศค่าส่งฟรีครับ :VOV: ติดตามรายละเอียดของหนังวสือเล่มนี้ได้ที่ http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953 (http://www.matichonbook.com/index.php?mnuid=5&selmnu=520827103953) ครับ ::014:: :~) ผมซื้อแพงเลย :~) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กันยายน 10, 2009, 12:14:25 PM ยิ่งเล่มนึง ได้อ่านหลายๆคน ยิ่งคุ้มค่าเข้าไปใหญ่ครับ พี่ใหม่ ::008:: ;D เอางั้นเลยตาต่อ :DD มีกี่หน้าครับใหม่ ;D 240 หน้าครับพี่จอย ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 19, 2009, 08:23:49 PM ;D ได้หนังสือมาใหม่ครับ จากสำนักพิมพ์ มติชน ภาพ+คำอธิบาย ชัดเจน ;D ราคาเท่าไหร่ครับสนใจสะสมชอบครับ(http://img6.imageshack.us/img6/9206/image1exposureexposure.jpg) น่าสะสมครับ... ไม่ทราบว่าสามารถสั่งซื้อได้ที่ไหนครับ... ::014:: ;D เมื่อเช้ามืดผมไปเจอที่ร้านหนังสือแถวบ้านครับ เล่มละ 400 บาท ที่อื่นผมไม่ทราบ แต่ร้านหนังสือใหญ่ ๆ ตามห้างน่าจะมีครับ ลองเข้าไปดูที่เวบไซท์ของสำนักพิมพ์มติชนดูครับ ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2009, 10:09:40 AM ถูกต้องครับท่าน....
เยอรมันมัวแต่หลงเชื่อมุซโซลินี แถมยังยอมแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยอิตาลีในสงครามแอฟริกาเหนือซึ่งเยอรมันไม่มีเหตุอันควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนักเพราะเป็นความขัดแย้งของอิตาลีเอง...กำลังส่วนหนึ่งที่แบ่งไปนั้นมีนายพลจิ้งจอกทะเลทรายอบ่างรอมเมลด้วยซึ่งหากในตอนนั้นฟรือเรอห์วางแผนใหม่เอานายพลรอมเมลไปจัดทัพเตรียมบุกยึดอังกฤษให้เด็ดขาดหรือเตรียมบุกรัสเซียโดยพึ่งพาญี่ปุ่นให้โจมตีกองกำลังไซบีเรีย.....ผลของสงครามอาจไม่ใช่แบบนี้ อีกจุดหนึ่งคือเรื่องการไม่เร่งพัฒนาศักยภาพของเรือ เพราะกองเรือเยอรมันไม่มีขีดความสามารถพอในการควบคุมแอตแลนติก กองเรือเยอรมันจำเป็นต้องมีทั้งปริมาณและความได้เปรียบเชิงยุทธ์ในการตัดกำลังเรือฝ่ายพันธมิตรในแอตแลนติกและทะเลเหนือ อีกจุดหนึ่งคือการไม่ประสานกับญี่ปุ่นในเรื่องการโจมตีรัสเซีย เพราะญี่ปุ่นไม่มีเหตุจำเป็นมากนักในแถบเอเชียบูรพา หากญี่ปุ่นและเยอรมันหลีกเลี่ยงสงครามที่ไม่จำเป็นของตัวเองแล้วมุ่งเน้นตีรัสเซียทั้งสองด้าน เยอรมันเข้าโจมตีตะลุยยันเอาไว้จากฝั่งยุโรป และญี่ปุ่นเข้าโจมตีรัสเซียเพียงประเทศเดียว (ไม่บุกจีนและเกาหลี) อาจจะสามารถบีบให้รัสเซียยอมจำนนได้ง่ายกว่า ญี่ปุ่นกับรัสเซียมีความแค้นกันมาตั้งแต่กรณีช่องแคบซึชิมาซึ่งนายพลยามาโมโตะในตอนนั้นยังเป็นแค่นายเรือจบใหม่แต่ก็ได้เข้าร่วมรบต่อสู้รัสเซียจนได้รับชัยชนะ และหากฮิตเลอร์ประเมินนายพลเรือ คาร์ล เดอร์นิทช์ สูงกว่านี้เยอรมันจะมีกองเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเองซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการโจมตีอังกฤษอีกหลายเท่า [/quote] สวัสดีครับ ขอคุยด้วยนะครับ เรื่องการที่เยอรมันส่งกำลังเข้าไปในอัฟริกาเหนือเป็นพันธะทางใจที่ฮิตเลอร์มีกับมุสโสลินี ตั้งแตการเข้าไปยึกออสเตรียครับ ตอนนั้นถึงเยอรมันมีอำนาจมากแล้วและมีฐานเสียงในออสเตรียมากแต่การเข้าไปป่วนล้มรัฐบาลก็ต้องเกรงใจอิตาลีด้วย ตอนนั้นอิจตาลีก็เป็นประเทศที่ (ดูเหมือน) มีกำลังระดับแนวหน้าและพร้อมใช้กำลังตามใจตามประสาเผด็จการเหมือนกัน เยอรมันพยายามล้มรัฐบาลออสเตรียสองครั้งกว่าจะสำเร็จ ครั้งแรกทำให้เกิดเรื่องยุ่งยิงคณะรัฐบาลกันตายแต่ยังเข้าไม่ได้ อิตาลีก็ฮึ่มอยู่ ตั้งกำลังทหารตามชายแดน ครั้งหลังล้มสำเร็จตั้งรัฐบาลหุ่นนิยมนาซีได้ถึงบังคับให้ยอมรวมประเทศได้ ฮิตเลอร์สื่อสารกับมุสโสลินีรู้เรื่องกันว่าขอยึดออสเตรียรวมเยอรมันไม่ก้าวก่ายเขจอิทธิพลอิตาลี มุสโสลินียอม ฮิตเล่อร์บอกว่าจะไม่ลืมบุญคุณเรื่องนี้ ต่อมาอิลาลีเสียท่าอังกฤษฮิตเล่อร์เลยต้องส่งกำลังไปช่วย และต่อมามุสโสลินีโดยฝ่ายปฏิวัติจับตัวได้ฮิลเล่อร์ก็ส่งคอมมานโดไปช่วยในปฏิบัติการมีชื่อโดยผู้พัน SS สกอร์เซนี ใช้เครื่องร่อนๆ ลงบนยอดเขาและใช้เครื่องบินเบา สตอช บินออกมา และที่จริงตอนนั้นกำลังที่ส่งไปก็ไม่มาก ไม่มีผลกระทบกับกองทัพเยอรมันในขณะนั้น แต่รอมเมลเก่งตีอังกฤษถอยไปได้ อังกฤษเองก็มีไม่มาก อังกฤษพยายามเปิดแนวรบในอัฟริกากับอิตาลีเพราะต้องการตีโต้ฝ่ายอักษะบ้างหลังจากที่เสียท่ามาตลอดตั้งแต่ปฏิบัติการในนอร์เวย์ และฝรั่งเศส การรบทางบกไม่เคยต้านอักษะได้เลย ขณะนั้นมีผลงานการรบทางทะเลครั้งเดียวที่ปากแม่น้ำ พลาเต้ ส่วนรอมเมลเองตอนนั้นก็ไม่ได้เป็นแม่ทัพใหญ่ ไม่ได้เป็นจอมพล ฮิตเล่อร์ตั้งให้เป็นจอมพลเพราะตีโทบรุ๊ตแตก แต่บังคับบัญชากำลังไม่มาก น้อยกว่านายพลเอกตามปรกติเสียอีก ตอนไปอัฟริกายังไม่ได้เป็นพลเอกด้วยซ้ำ ตอนได้พลเอกรอมเมลบอกว่า "ยศพลเอกไม่ค่อยอยากได้เท่าไหร่ ส่งกำลังมาให้อีกสัก 2 กองพลจะดีกว่ามาก" แล้วก็ไม่สนใจหาอินธนูจอมพลมาติด หลายเดือนต่อมาเจอพลเอกเยอรมันคนอื่นเขาเลยแบ่งให้ ก่อนหน้าที่ไปอัฟริการอมเมลมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพราะนำกำลังบุกฝรั่งเศสตอนเหนือไปถึงชายฝั่งแอตแลนติกได้เป็นกองแรกครับ เรื่อง ญี่ปุ่น กับแนวรบไซบีเรียเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ตอนผมเรียนโท อาจารย์ยังตั้งคำถามให้คุยกับในห้องว่า ทำไมญี่ปุ่นไม่รบเข้ายึดพื้นที่ไซบีเรีย สรุปได้ว่ากำลังพลญี่ปุ่นถูกพื้นที่ประเทศจีนดูดซึมไปหมดแล้วครับ ไม่เหลือกำลังแล้ว และที่จริงก่อนหน้านี้ปี 1939 ญี่ปุ่นเคบปะทะกับกำลังโซเวียตในไซบีเรียโดยผู้บัญชาการโซเวีตยที่นั่นตือ (ต่อมา) จอมพลซูคอฟ นั่นเอง ญี่ปุ่นก็ยังเข็ดเขี้ยงโซเวียตอยู่ กำลังโซเวียตกองพลไซบีเรียมีชื่อมาก ฝึกมาดี อุปกรณ์ครบ เก่งในการรบฤดูหนาว ต่อมาเมื่อ มอสโค ถูกล้อมและซูคอฟมาเป้นผู้บัญชาการป้องกันเมื่อง ก็ย้ายกองพลไซบีเรีมา และใช้ตีโต้เยอรมันในวันที่ 6 ธันวา 1941 ตอนเยอรมันเริ่มเดี้ยงจากฤดูหนาว ลบ 40 องศา เซลเซียสแล้ว เยอรมันเริ่มตั้งรับไม่อยู่และถอยร่นในแนวรบด้านตะวันออกเป็นครั้งแรก ที่จริง อิทธิพลในเอเซียบูรพาเป็นประเด็นแห่งชาติของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เพราะต้องการทรัพยากรในจีน เกาหลี ญี่ปุ่นรบกับรัสเซีย 1905 ก็ด้วยเหตุนี้ ต้องการในรัสเซียยอมให้ญี่ปุ่นเข้าไปยึดเกาหลี และข่มขู่จีน ต่อมาในศตวรรษที่ 20 ญี่ปุ่นเผชิญหน้ากับเมกาก็เพราะการบุกจีน และต่อมาเมื่อเผชิญหน้ากับตะวันตกในทศวรรษที่ 30 แล้วก็ต้องการผลักชาติตะวันตกออกไปห่างๆ เพราะถ้าญี่ปุ่นไล่ฝรั่งออกจากเอเซียตะวันออก และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ได้ฝรั่งจะใช้เป็นฐานโจมตีญี่ปุ่นได้ง่ายที่สุด ญี่ปุ่นไม่ต้องรบแนวด้านโซเวียตนั้น พอใจที่สุดแล้ว ส่วนโซเวียตเองนั้นเป็นคู่สงครามกับเยอรมันซึ่งเป็นพวกกับญี่ปุ่น แต่โซเวียตเพิ่งประกาศสงครามอย่างเป็นทางการกับญี่ปุ่น และส่งทหารเข้ายึดเกาหลีก็เมื่อญี่ปุ่นโดนระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าแล้วครับ ส่วนทางเยอรมัน ถ้าดูกันจริงๆ แล้ว ยุทธศาสตร์ของเยอรมันไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติอักษะอื่นๆ เยอรมันดำเนินนโยบายของตนเองตลอด ยิ่งกับญี่ปุ่น เยอรมันยึดยุโรปไปทั่วแล้วกว่าจะมาเป้นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เยอรมันมีผลประโยชน์ในเอเซียตะวันออกน้อยมากๆ และฮิตเลอร์ไม่สนใจเอเซียอยู่แล้ว ข้อสำคัญคือ ในช่วงก่อนสงคราม เยอรมันเป็นพันธมิตรกับโซเวียตอย่างเหนือชั้นทางการทูตและเหนือชั้นทางการทหารในช่วงต้นสงคราม เยอรมันบุกโปแลนด์ทางตะวันตกของโปแลนด์ โซเวียตก็ส่งทหารเข้าทางตะวันออก ทำสัญญาแบ่งประเทศโปแลนด์กันที่ เบรส ลิฟตอช เยอรมันหักหลังบุกโซเวียตก่อนที่จะเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ที่จริงผมว่าการที่เยอรมันบุกโซเวียตด้วยตนเองทำให้ญี่ปุ่นรู้สึกว่าเป็นมิตรกับเยอรมันได้เพราะมีศัตรูร่วม เป็นความสบายใจของญี่ปุ่นที่เห็นโซเวียตต้องไปหมดแรงทางแนวยุโรป ทำให้ญี่ปุ่นอยู่เฉยๆ ทางชายแดนโซเวียตได้ ถ้าเยอรมันต้องการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นออกแรงโจมตีโซเวียตด้วยผมว่าญี่ปุ่นอยู่เฉยๆ ไม่เป็นพันธมิตรกับเยอรมันเสียด้วยซ้ำไปครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2009, 11:25:22 AM พูดถึงเรื่องแนวด้านตะวันออก มีเกร็ดประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งครับ
เมื่อเยอรมันบุกเข้าไปตอนแรกๆ จับลูกชายของ สตาลิน เป็นเชลยศึกได้ ต่อมาโซเวียตก็จับหลานชายของ ฮิตเล่อร์ (เป็นลูกพี่สาว) ได้เหมือนกัน ทางเยอรมันขอแลกตัวเชลย สตาลินไม่ยอม บอกสงครามไม่ใช่เรื่องส่วนตัว (เหี้ยมดี) ในที่สุด หลังสงคราม หลานฮิตเล่อร์รอดกลับมาได้ ส่วนลูกชายสตาลินโดนนาซียิงทิ้ง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2009, 11:29:56 AM โซเวียต เรียกสงครามโลกครั้งที่สองส่วนที่ตนเข้าร่วมว่า The Great Patriotic War สงครามความรักชาติครั้งยิ่งใหญ่ คนโซเวียตทั้งหทารและพลเรือนเวสียชีวิตกว่า 27 ล้านคน มีอนุสรณ์สถานใหญ่ในกรุงมอสโค และเมืองต่างๆ ถนนระหว่างสนามบินเข้าเมืองก็มี ฟันมังกร (เครื่องป้องกันรถถัง) ขนาดยักษ์ทำเป็นสัญลักษณ์ ณ จุดที่ เยอรนันบุกเข้าใกล้มอสโคได้มากที่สุด
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2009, 12:07:10 PM เร็วๆ นี้ผมเพิ่งอ่านเล่มนี้จบครับ เขียนโดยพันตรี บารอน ฟอน โรลิงโฮเฟน เลขาของกูเดเรียน ซึ่งขอออกจากบังเกอร์สุดท้ายของฮิตเล่อร์ก่อนฮิตเล่อร์ฆ่าตัวตายไม่ถึง 24 ชั่วโมง เป็นผู้หนึ่งที่ถูกนาย เทรเวอร์ โรเปอร์ จนท.ข่าวกรองอังกฤษ ที่กลายมาเป็น อ.ออกฟอร์ด สอบสวนเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการตายของฮิตเล่อร์ จากหนังสือ The Last Day of Hitler ของ เทรเวอร์ โรเปอร์ จะมีข้อมูลที่เห็นได้ว่าอ้างอิงมาจากของผู้พันคนนี้
ผู้พันฯ เป็นนายทหารรถถัง รบแนวตะวันออก ถูกล้อมที่สตาลินกราดแต่มีคำสั่งให้ขึ้นเครื่องบินอกไไรายงานตัวที่ บก. ด้านนอกก่อนกองทัพที่ 6 ถูฏล้อมไม่กี่วัน เป็นความตั้งใจของ บก. ที่จะช่วยนายทหารบางคน ตอนนั้นเขาว่าสภาพร่างกายโทรมมาก นน. ตัวลดเหลือ 52 กก. ต่อมาผู้พันกลายมาเป็นเลขาของกูเดเรียนและมีปรากฎตัวอยู่วงในของอำนาจทางการเยอรมันจน 24 ชม. ก่อนวาระสุดท้ายดังกล่าว หลังสงคราม ผู้พันไปเป็นทหารในกองทัพเยอรมันใหม่ เป็นนายพลเลและเป็นรองเสนาธิการทหารเยอรมัน หนังสือเรื่องนี้เขียนก่อนที่เขาจะเสียชีวิตมรปี 2007 ไม่นานครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 20, 2009, 12:09:14 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 28, 2009, 11:23:23 AM คุยเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง เลยขอคุยเกร็ดเรื่องหนึ่งครับ คือตรา หัวกะโหลกกระดูกไขว้ ของหน่วย เอส เอส ของพรรคนาซีเยอรมัน ที่ภาษาเยอรมันเรียกว่า Totenkopf (Dead head)
ตรานี้ต่างกับตราหัวกระโหลกกระดูกไขว้แบบที่โจรสลัด เพราะ โตเตนคอป กระดูกไขว้จะอยู่ข้างหลัง ส่วนตราโจรสลัดกระดูกไขว้จะอยู่ข้างล่างครับ ข้อมูลบางแหล่งบอกว่าตรานี้มีที่มาจากสัญลักษณืในพิธีแสดงความจงรักภักดีต่อหัวหน้าของชนเผ่าเยอรมันโบราณ และเยอรมัน (และชาติยุโรปอื่นแต่น้อยมาก) เยอรมันได้ใช้ตรานี้มาในวงการทหารหลายร้อยปีแล้วโดยเฉพาะทหารม้า เมื่อนาซีตั้งหน่วย เอส เอส ก็ใช้ตรานี้ เอส เอส เป็นกองกำลังของพรรคโดยตรงไม่ได้ขึ้นกับกองทัพ ยศ ตำแหน่ง ก็มีชื่อเรียกพิเศษของตน ไม่ได้ใช้ยศทหาร แต่พอเทียบได้ว่ายศไหนเทียบเท่าทหารยศไหน รูป เจ้าหญิง วิกตอเรีย หลุยส์ พระธิดา ไกเซอร์ วิลเฮม ที่ 2 ทรงชุดผู้บัญชาการทหารม้า หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 28, 2009, 11:24:39 AM รูป จอมพล เมกเคนเซ่น นายทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 28, 2009, 11:26:06 AM ไฮด์ริช ฮิมเล่อร์ ผู้นำหน่วย เอส เอส
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 06:56:15 AM ไม่ได้มานาน กระทู้สงครามโลกก็ไปไกลขึ้นได้ความรู้ไหม่ๆอีกเยอะขอบคุณที่มาแบ่งปันกันครับ
อ่านข้อความเก่าๆของตนรู้สึกจะพูดถึงสตาลินน้อยเกินไปหน่อย จริงๆโดยส่วนตัวคิดว่าเอาเฉพาะผู้นำประเทศ(ไม่นับแม่ทัพเพราะทำคนละหน้าที่กัน) ผมเชื่อว่าสตาลินเป็นคนที่มีความสามารถสูงมากๆ อาจจะมีความสามารถสูงที่สุดคนนึงในสงครามโลกเลย ก่อนสตาลินจะมาปกครองนั้น รัสเซียเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ค่อนข้างยากจน แต่สตาลินสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศได้อย่างรวดเร็ว สามารถบุกเบิกไซบีเรียเพื่อขุดหาน้ำมันและแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ อุตสาหกรรมอาวุธของรัสเซียพัฒนาไปจนมีศักยภาพการผลิตไกล้เคียงอเมริกา ตอนที่เยอรมันบุกรัสเซียนั้น เมื่อนับรวมประเทศในการปกครองใต้เยอรมันนั้น มี GDP มากกว่า ประชากรมากกว่ามีทรัพยากรเหล็ก และถ่านหิน และอลูมิเนียม มากกว่ารัสเซียหลายเท่าแต่มีน้ำมันน้อยกว่า รวมทหารฝ่ายเยอรมันและผู้สนับสนุน มีทหารที่ไช้บุกมากกว่าทหารที่รัสเซียหามาป้องกันได้ เบื้องต้นได้รับการสนับสนุนจากประเทศภายไต้โซเวียตอย่างยูเครน เบโลรุสเซีย ลิทัวเนียนั้นเข้าข้างเยอรมัน รวมทหารของเยอรมันและประเทศที่สนับสนุนที่ส่งมาตีโซเวียต ก็มีมากกว่าทหารโซเวียตที่ไช้ป้องกัน เยอรมันไช้ทหาร 25% ป้องกันแนวรบตะวันตก เพราะมีทะเลเป็นแนวป้องกันธรรมชาติ ขณะที่โซเวียตต้องไช้ทหารถึง 40%ป้องกันญี่ปุ่นเพราะไม่มีแนวป้องกันทางธรรมชาติที่ดี ความช่วยเหลือของอเมริกา(lend lease) คิดเป็น 1 % ของ GDP โซเวียตเท่านั้น เรื่องเทคโนโลยีอาวุธ ระบบทหาร คุณภาพบุครากรไม่ต้องพูถึง เยอรมันเหนือกว่าลิบ ความสูญเสียทหารจากความหนาวเหน็บนั้นน้อยกว่าที่ นักประวัติศาสตร์อเมริกาในช่วงสงครามโลกกล่าวอ้างไว้มาก ในปี 1941 เยอรมันได้ปล้อนอุปกรณ์ฤดูหนาวจากยูเครนแล้ว มีรายงานความสูญเสียจากหิมะกัด แต่จำนวนผู็ถูกหิมะกัดค่น้อยมากถ้าเทียบกับขนาดของกองทัพ ฤดูหนาวปี 1942 นั้นเยอรมันมีอุปกรณ์ฤดูหนาวพร้อมแล้ว และเอริควอนมานสไตน์ก็ได้เดินทัพฝ่าพายุฤดูหนาวเข้าโจมตีทัพโซเวียตในปฎิบัติการ winter strom ซึ่งเป็นการแสดงความสามารถของเยอรมันในการเครื่อนทัพ และการรบในฤดูหนาว ที่จริงฤดูหนาวทำไห้เยอรมันเสียเปรียบแต่น้อยกว่าที่คนกล่าวอ้างไว้มาก ทั้งๆที่เสียเปรียบขนาดนี้ แต่สตาลินก็ทำประเทศสู่ชัยชนะ เราก็ควรยอมรับว่าสตาลินเป็นผู้นำที่มีความสามารถสูงมากแต่ถูกโฆษณาชวนเชื่อของพันธมิตรตะวันตก กล่าวหาว่าโง่ๆบ้าๆ (แต่เรื่องโหดผมเชื่อว่าโหดจริงแต่ไม่คิดว่าจะโหดเท่าที่คนพูดถึงกัน) สตาลินถูกหาว่าฆาตกรรมชนชาติตนเองหลายสิบล้าน ที่จริงสตาลินไม่ชอบประหารคน แต่มักจะส่งคนที่ไม่เชื่อฟัง และคนที่สตาลินคิดว่าเป็นภัยไปยังค่ายแรงงานเพื่อเพิ่มกำลังผลิตอาวุธ ประชาชนส่วนไหญ่ของโซเวียตเสียชีวิตจากการอดอาหารและโรคระบาด สตาลินสั่งทหารในสตาลินกราดวิ่งเข้าไปไห้ทหารเยอรมันที่อยู่ในที่กำบังยิง(แบบใน หนัง) โดยโซเวียตมีกำลังมากกว่าเยอรมัน 4 เท่าเสมอ และสูญเสียมากกว่าเยอรมัน 10 เท่า แต่ปรากฎว่าทหารเยอรมันไม่สามารถชดเชยความสูญเสียได้ทันขณะที่โซเวียตทำได้ เรื่องพวกนี้ส่วนไหญ่ไม่จริง ยกเว้นกองพันต้องโทษที่จะถูกส่งไปเพื่อเบี่ยงเบนกำลังข้าศึก ปกติโซเวียตจะโจมตีตอนกลางคืน มักเครื่อนที่โดยไช้ท่อระบายน้ำ หรือไช้ซากตึกเป็นที่กำบังไม่ได้วิ่งไปรับกระสุนแบบในหนัง พวกทหารเรียกสงครามในสตาลินกราดว่า rat war เพราะต้องซ่อนไปเครื่อนที่ไปเหมือนหนู ที่จริงกองทัพของทั้ง 2 ฝ่ายข่วงต้้น จนถึงสตาลินกราดมีจำนวนไกล้เคียงกัน แต่หลังจากสตาลินกราดกองทัพโซเวียตเริ่มมีขนาดไหญ่กว่า ในการรบครั้งสำคัญ เยอรมันรุกครั้งไหญ่ในสตาลินกราดเดือนตุลาคม ชุยคอฟภายไต้ซูคอฟ นำกองกำลังบุกตีโต้ผ่านท่อระบายน้ำโอบล้อมกองกำลังของเยอรมันได้สำเร็จ และเยอรมันต้องสูญเสียรถถังมากกว่าที่ผลิตได้ในทั้งปี ปฎิบัติการยูเรนัสที่โอบล้อมสตาลินกราดถ้าอ่านวิกิไทยฝ่ายโซเวียตได้นำกองกำลังจำนวนมหาศาลเข้าโจมตีกองกำลังโรมาเนียและโอบล้อมได้สำเร็จ แต่ถ้าอ่านวิกิภาษาอังกฤษ ทั้ง 2 ฝ่ายมีกำลังล้านเศษไกล้เคียงกัน และฝ่ายโซเวียตที่จริงโจมตีถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกโจมตีที่สตาลินกราดตรงๆ กองทัพเยอรมันเสริมแนวป้องกันที่สตาลินกราดอย่างเข้มแข็ง ครั้งที่ 2 โจมตีกองกำลังโรมาเนียเหนือสตาลินกราดไป 100 ไมล์ ซึ่งไกลพอที่ทำไห้ฝ่ายเยอรมันไม่อาจส่งกองกำลังจากสตาลินกราดไปป้องกันชายฝั่งได้ทัน กองทัพทางเหนือตีทะลุมาไกล แต่กองทัพเยอรมันได้รวมกำลังเข้าสกัดได้สำเร็จ แต่ที่จริงก็อยู่ในการคาดการณ์ของฝ่ายโซเวียต จากนั้นโซเวียตได้โจมตีครั้งที่ 3 ใต้สตาลินกราด 100ไมล์เข้าโอบล้อม ระหว่างที่กำลังจะถูกโอบ ฝ่ายเยอรมันเถียงกันว่าจะถอยหรือจะตรึงกำลังดี ฮิตเล่อรืประเมิณว่า กองทัพต้องเครื่อนทัพภายฝ่าหิมะซึ่งจะทำไห้กองทัพช้าลงเป็นการเสี่ยงเกินไป เพราะถ้ากองทัพที่ 6 โดนตามกวาดล้าง กองทัพภาคใต้ทั้งหมดจะเป็นอันตราย จึงสั่งไห้ตรึงไว้ หลังจากนั้นกองทัพเยอรมันจึงถูกโอบล้อม จริงๆมีหนังสือประวัติศาสตร์แนะนำไห้อ่านของแกรนท์นะครับ เพราะทำไห้เรามองประวัติศาสตร์ในอีกมุมนึง หรือถ้าไม่สะดวกอ่านในวิกิก็ดีครับ อ่านของภาษาอังกฤษ แนวรบตะวันออกนี่เป็นการต่อสู้ของสุดยอดแม่ทัพที่หักเหลี่ยมกันไม่ได้ส่งกองทัพวิ่งไปไห้เค้ายิงแบบในหนัง enemy at the gate การรบที่เคิร์ก ปฎิบัติการบาเกรชั่น การยึดโรมาเนีย order offensive ก็ถือว่าวางแผนมาดีมากมีการหลอกล่อ มีการส่งหน่วยพาติซานไปรบกวนการสื่อสารและคมนาคมถ้าอ่านจะได้แง่มุมไหม่ที่สนุกและดุเดือดเลือดพล่านมาก อ่านแนวรบตะวันออกจบผมรู้สึกว่าแนวรบตะวันตกที่สารคดีเอามาฉายซ้ำๆมันช่างเล็กกระจิ๊ดริดซะเหลือเกิน^^ และกองทัพแดงจริงๆก็ไม่ได้โหดร้ายไปกว่ากองทัพเยอรมัน ถ้าเอาตัวเลขมาเทียบกันดู http://en.wikipedia.org/wiki/Eastern_Front_(World_War_II)#Casualties (http://en.wikipedia.org/wiki/Eastern_Front_(World_War_II)#Casualties) นักโทษเยอรมันที่ถูกโซเวียตจับเสียชีวิต 1/3 ซึ่งเยอะ แต่นักโทษโซเวียตที่ถูกเยอรมันจับเสียชีวิตเกินครึ่ง ไครโหดร้ายกับชาวบ้านมากกว่าอันนี้ดูลำบากเพราะแต่ละฝ่ายก็อ้างว่าฝ่ายตรงข้ามโหดกว่า ของเราเอาประวัติศาสตร์มาจากอเมริกา ซึ่งตอนแรกประวัติศาสตร์อเมริกาตีเยอรมันว่าโหด แต่หลังหมดสงครามโลก อเมริกาไช้ประวัติศาสตร์ของเยอรมันโจมตีโซเวียตเพื่อผลในสงครามเย็น แต่การดูจากคลื่นผู้อพยพจำนวนมหารศาลที่เกิดขึ้นในโซเวียตตอนถูกเยอรมันตี และกลับกันจะเห็นว่าโหดทั้งคู่ และ ตอนแรกประเทศในเครือโซเวียตอย่างยูเครน เบโลรุส ช่วยเยอรมันตีโซเวียต แต่พอถูกเยอรมันปกครองก็ทนไม่ไหว ไปช่วยโซเวียติตีเยอรมัน ซึ่งก็แสดงว่าการปกครองก็น่าจะเลวร้ายไม่ต่างกันเท่าไร ผมไม่ได้ว่าพันธมิตรตะวันตกดีนะครับ พันธมิตรตะวันตกก็ก่ออาชญากรรมมากมาย เช่นทิ้งระเบิดลงเบอร์ลิน ทิ้งนิวเคลียร์ ตอนก่อนสงครามโลกก็ล่าอาณานิคมขูดรีดประเทศต่างๆ พอระหว่างสงครามโลก ก็สัญญาจะมอบอิสระภาพถ้าช่วยตนสู้กับญี่ปุ่น แต่พอหลังสงครามโลกก็กลับลำส่งทหารมาปกครองต่ออ้างว่าการปลดปล่อยต้องมีขั้นตอน จนเกิดสงครามปลดแอกไปทั่ว สรุปมันก็โหดกันหมด โหดมากโหดน้อยไม่มีไครขาว เทากันหมด เทาอ่อนเทาแก่ ทหารเยอรมันเสียชีวิตในแนวรบตะวันออก ประมาณ 4 ล้านนาย เท่ากับเกือบทั้งหมดของทหารเยอรมัน ชัยชนะของโซเวียตนั้นชี้ขาดผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 09:58:07 AM บวก 1 คะแนน
ขอบคุณครับคุณ nosta ว่างๆ แวะมาบ่อยๆ นะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 11:43:45 AM ...ผมมี eBook ภาคภาษาอังกฤษครับ เดี๋ยวจัดให้อ่านกัน
(http://img6.imageshack.us/img6/9206/image1exposureexposure.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 11:46:41 AM ...อ้าว เล่มเดียวกันนี้เคยเอามาแล้วนี่ครับ ฮา ::005::
...พอดีเพิ่งได้มาครับ "World War II in Photographs" เป็นหนังสือหายากครับ ผู้สนใจประวัติศาสตร์สงครามไม่ควรพลาด เช่นเดียวกับนักถ่ายภาพครับ (http://img244.imageshack.us/img244/9243/photographstu2.jpg) ...ดาวน์โหลด http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj (http://www.mediafire.com/download.php?mm2dtjimzvj) ...แต่ยังมีอีก :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: coda ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 04:12:18 PM ...คลิกที่ภาพครับ
(http://img.infibeam.com/img/0ccb144e/277/7/9781844427277.jpg) (http://www.mediafire.com/download.php?n5nmne4jmmg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 04:16:49 PM ขอบคุณครับพี่ โคด้า บวก 1 คะแนนครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 09:09:53 PM ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: nosta3824382 ที่ พฤศจิกายน 14, 2009, 10:02:13 PM เสริมอีกนิดครับ จริงๆหลายๆคนคงรู้อยู่แล้ว
สตาลินมีหน่วยข่าวกรองแทรกซึมอยู่ที่ญี่ปุ่น และสตาลินรู้ล่วงหน้าแล้วว่าญี่ปุ่นไม่มีแผนโจมตีรัสเซีย สตาลินจึงสั่งกองกำลังทางตะวันออกมาช่วยในปฎิบัติการยูเรนัส ฮิตเล่อร์สั่งไห้วอนแมนสไตน์ตีฝ่าเข้าไปช่วยกองกำลังแพนเซอร์ที่ 6 แมนสไตน์บุกฝ่าเข้าไปในพายุหิมะเพื่อไช้พรางตัว สามารถรุกไปได้และโจมตีกดดันกองทัพโซเวียตได้อย่างหนัก แมนสไตน์ขอไห้กองกำลังแพนเซอร์ตีฝ่าวงล้อมชั้นในเพื่อช่วยอีกแรง แต่เนื่องจากการขาดแคลนกระสุน น้ำมัน และอาหาร ฮิตเลอร์ไม่ยอมสั่งไห้กองทัพแพนเซอร์ที่ 6 โจมตี เพราะกลัวว่าจะถูกทำลายหมด จากนั้นซูคอฟสั่งไห้โจมตีกองกำลังอิตตาลีและโอบล้อมได้สำเร็จ ทำไห้แมนสไตน์ถูกคุกคามการส่งกำลังบำรุงของกองกำลังภาคใต้ทั้งหมด ต้องถอยไปตีฝ่าช่วยกองกำลังอิตตาลีได้ แต่ก็ช่วยมาได้ไม่ถึงครึ่ง และต้องปล่อยไห้กองกำลังแพนเซอร์ที่ 6 เผชิญกับชาตะกรรม อย่างไรก็ตามแมนสไตน์สามารถนำกองกำลังภาคใต้หนีรอดไปได้ แม้จะถูกโจมตีอย่างหนัก แมนสไตน์ได้ไช้กลยุทธ์ป้องกันแบบเครื่อนที่ สกัดการโจมตีของทัพแดงได้พอสมควร(การป้องกันแบบเครื่อนที่ไช้ทหารราบในการหน่วงและไช้กองพลรถถังเครื่อนที่เข้าเสริมกำลังหรือตีตอบโต้) เยอรมันต้องยอมไห้ทัพแดงยึดพื้นที่คืนไปเป็นจำนวนมาก ปล่อยไห้กองทัพแดงบุกอย่างรวดเร็วจนสายการส่งกำลังบำรุงยืดยาว จากนั้นก็เริ่มตีโต้ขนานไหญ่ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี แมนสไตน์สามารถเข้ายึดคราคอฟได้ทั้งๆที่มีกำลังรบน้อยกว่ามาก แต่มีเมืองๆนึงที่เยอรมันยึดคืนไม่ได้เพราะโซเวียตวางกำลังป้องกันเอาไว้หนาแน่นมาก และเมืองนี้กำลังจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด เมืองนี้คือ เคิร์ก ขอเสริมเรื่องฮิตเล่อร์อีกนิดครับ ผมสังเกตุว่าฮิตเล่อร์มักตัดสินใจอะไรโดยผลประโยชน์ทางการทหารเข้าว่า อย่างเรื่องเกรียดยิวจะล้างพันธ์ยิว พอเอาเข้าจริงๆ ก็ปล้นและนำมาเป็นแรงงาน แถมยังไห้จ่ายเงินไถ่ตัวออกจากประเทศได้อีก พอมียิวเก่งๆ อย่างไอสไตน์ ฮิตเล่อร์ก็ติดต่อง้อไห้เข้าร่วม โดยเสนอว่าจะปฎิบัติกับไอสไตน์อย่างดีโดยไม่คิดว่าไอสไตน์เป็นยิว เอาจริงๆก็พยายามรีดประโยชน์จากชาวยิวไห้มากที่สุดมากกว่ามุ่งทำลาย ทั้งเรื่องชนชาติอารยันอันเป็นเลิศ ที่ว่า ตัวต้องสูง ผมต้องบรอนซ์มีลักษณะยังงี้อย่างงั้นแล้วจะเป็นเลิศกว่าชนชาติอื่นๆ แต่เวลาแต่งตั่งนายทหารฮิตเล่อร์ก็ไม่ได้สนเรื่องชนชาติอารยันอันเป็นเลิศเลย แต่เลือกเอานายทหารที่มีประสบการณืจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และเอาคนที่รบประสบความสำเร็จเป็นหลัก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 24, 2010, 07:41:29 PM ไม่น่าเชื่อฮิตเลอร์ มีเชื้อยิว กับ แอฟริกา ที่เขาเกลียดและสั่งฆ่า
จาก ไทยรัฐ online 24/8/53 ผลการตรวจดีเอ็นเอล่าสุดทำช็อกกันทั้งโลก หลังพบว่า ฮิตเลอร์ สืบเชื้อสายมาจาก ยิว-แอฟริกัน สองสายพันธุ์ที่เขาเป็นผู้สั่งให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์... สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ว่า ผลการตรวจลำดับพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอจาก อเล็กซานเดอร์ สจ๊วร์ต-ฮุสตัน เหลนของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซี บ่งชี้ว่าเขาสืบเชื้อสายมาจาก "ยิว" และ "แอฟริกัน" สองสายพันธุ์ที่เขาจนเกลียดจงชังนักหนา ถึงกับสั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฌอง-ปอล มัลเดอร์ส นักหนังสือพิมพ์ และ มาร์ค เวอร์มีเรน นักประวัติศาสตร์ ร่วมกันแกะรอยดีเอ็นเอจำนวน 39 ตัวอย่างจากบรรดาญาติๆ ของฮิตเลอร์ ก่อนที่จะพบโครโมโซมตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "ฮาพลอบกรุ๊ป อี1บี1บี (ดีเอ็นเอ วาย)" ซึ่งเป็นโครโมโซมที่พบได้ยากในคนเยอรมนี (ฮิตเลอร์เป็นคนเยอรมนี) แต่จะพบได้ง่ายในคนที่สืบเชื้อสายมาจากพวกโมร็อคโค, แอลจีเรีย, ลิเบีย และตูนีเซีย รวมทั้งพวกยิวยุโรปตะวันออก และพวกยิวสเปน (ยุโรปใต้) รอนนี เดคอร์เต ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ซึ่งเห็นด้วยกับผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ที่ออกมาว่าฮิตเลอร์ น่าจะมีเชื้อสายมาจากพวกชาวแอฟริกัน แถบตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ระบุว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นสิ่งที่น่าตกใจอย่างยิ่ง และไม่น่าเชื่อว่าจอมเผด็จการนาซีผู้นี้จะสืบเชื้อสายมาจากศัตรูที่เขาจง เกลียดจงชังเสียเอง ข่าวการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ครั้งนี้ไม่ใช่ ครั้งแรกที่มีนักประวัติศาสตร์ออกมาระบุว่า ฮิตเลอร์ สืบเชื้อสายมาจากชาวยิว เนื่องจาก "อลอยซ์" บิดาของเขาก็เป็นลูกนอกสมรสของ "มาเรีย ชิคเคิลกรูเบอร์" สาวใช้ชาวเยอรมนี กับหนุ่มวัย 19 ปีชาวยิวที่มีนามสกุลว่า "ฟรังเคนเเบร์เกอร์" ซึ่งนั่นอาจเป็นปมฝังใจที่เป็นสาเหตุทำให้ฮิตเลอร์ เกลียดชาวยิวถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกยิวมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรยิวทั้งหมดในยุคนั้น ตามความเชื่อของลัทธินาซีที่แบ่งชนชั้นคนด้วย "สายเลือด" หนึ่งในทีมวิจัยที่มีส่วนในการค้นพบครั้งนี้ระบุว่า ฮิตเลอร์ คงไม่ปลื้มแน่ๆ หากมีคนรู้ว่าผู้นำ "ลัทธินาซี" อย่างตัวเขากลับมีสายเลือดของชาวยิวปะปนอยู่. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ สิงหาคม 26, 2010, 12:23:09 AM ผมอ่านกระทู้นี้มาไม่ต่ำกว่า 4 ชม จนจบ เสียดายที่เข้ามาอ่านช้าไปเป็นปี :~)
ข้อมูลดีมากและเยอะมากครับ ที่เสียดายคือ ผมมีทั้งคำถาม และเรื่องเล่าที่อยากจะแชร์ให้ฟังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แล้วจะมีใครเปิดอ่านอีกไหมหนอ ::012:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ ที่ สิงหาคม 26, 2010, 08:12:42 PM ผมอ่านกระทู้นี้มาไม่ต่ำกว่า 4 ชม จนจบ เสียดายที่เข้ามาอ่านช้าไปเป็นปี :~) เล่ามาเถอะครับผมรออ่าน ผมก็เพิ่งจะอ่านกระทู้นี้เหมือนกันครับ ;D ;D ;Dข้อมูลดีมากและเยอะมากครับ ที่เสียดายคือ ผมมีทั้งคำถาม และเรื่องเล่าที่อยากจะแชร์ให้ฟังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แล้วจะมีใครเปิดอ่านอีกไหมหนอ ::012:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ สิงหาคม 26, 2010, 11:59:02 PM ผมอ่านกระทู้นี้มาไม่ต่ำกว่า 4 ชม จนจบ เสียดายที่เข้ามาอ่านช้าไปเป็นปี :~) ผมก็เหมือนกับท่าน Rath72 เช่นกันครับ เพิ่งเข้ามาเมื่อกี้นี้เอง(อ่านไปได้เกือบครึ่งแล้วครับ) มัวแต่ไปหลงไหลกับหน้าทดสอบปืนอยู่เป็นปีๆข้อมูลดีมากและเยอะมากครับ ที่เสียดายคือ ผมมีทั้งคำถาม และเรื่องเล่าที่อยากจะแชร์ให้ฟังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แล้วจะมีใครเปิดอ่านอีกไหมหนอ ::012:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Noppadol ที่ สิงหาคม 27, 2010, 02:23:50 PM โอ้โห....ขอโทษทุกท่านด้วยครับที่ขุดกระทู้นี้มาอีก..
ผมพลาดไปได้ยังไงนี่ นั่งอ่านหกชั่วโมงเต็มกว่าจะจบ.. รู้สึกว่าผู้การมะขิ่นยังค้างเรื่องรถถังเยอรมันอยู่นะครับนี่..ขอบพระคุณมากครับ. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ ที่ สิงหาคม 27, 2010, 05:06:03 PM เอามาฝากท่านทั้งหลาย http://www.youtube.com/watch?v=aaRW32qQmb4&feature=player_embedded# (http://www.youtube.com/watch?v=aaRW32qQmb4&feature=player_embedded#)!
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 27, 2010, 06:04:14 PM ขออนุญาตเสริมคลิปที่ท่าน "สุดประจิมฯ" นำมาครับ
เด็กผู้ชายคนแรกที่เล่าว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ และบอกว่าพ่อจบโท ...โจ ไมเนอร์ นั้น Joe Miner คือตัวนำโชคของ ม.วิทยาศาสตร์ และเทคโน มิสซูรี่ ชื่อเดิม ยู ออฟ มิสซูรี่-ลอร่า (เมื่องลอร่า) ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ สิงหาคม 27, 2010, 07:52:59 PM ขออนุญาตเสริมคลิปที่ท่าน "สุดประจิมฯ" นำมาครับ เด็กผู้ชายคนแรกที่เล่าว่าตัวเองอายุเท่าไหร่ และบอกว่าพ่อจบโท ...โจ ไมเนอร์ นั้น Joe Miner คือตัวนำโชคของ ม.วิทยาศาสตร์ และเทคโน มิสซูรี่ ชื่อเดิม ยู ออฟ มิสซูรี่-ลอร่า (เมื่องลอร่า) ครับ ท่านรู้จริงครับ ::002:: ผมเคยอยู่ที่มิสซูรีมาหลายปี และก็เคยไปเมือง Rolla มาหลายที่อยู่ครับ แต่ผมไม่ได้เรียนที่นี่ มีญาติเรียนอยู่ อันที่จริง อยากสนทนากับท่านเรื่องสงครามโลกมากเลย คงเป็นพวกเกร็ดเล็กๆน้อยๆน่ะครับ เพราะผมสนใจก็จริงแต่ความรู้น้อย แถมโครงสร้างหลักท่านกวาดเรียบแล้ว เหลือแต่งานแปะวอลเปเปอร์นิดๆหน่อยไว้ให้คนอื่นช่วย ::011:: ยินดีที่ได้รู้จักครับ ::014:: พอพูดถึงรัฐมิสซูรี่ ก็เลยนึกถึงตอนที่ไปเยี่ยมชมหน้าบ้านประธานาธิบดี Harry S. Truman ที่เมือง Independence ใกล้ๆ Kansas City (ตอนนั้นทางการได้ให้เป็น National Historic Site หรือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติไปแล้ว) โดยมีเพื่อนนักเรียนญี่ปุ่นไปด้วย ผมนึกคันขึ้นมา เลยถามนักเรียนญี่ปุ่นว่า รู้จักประธานาธิบดีคนนี้มั้ย พี่ท่านตอบหน้าซื่อๆว่าไม่รู้ (ดูจากสีหน้าแล้วสงสัยจะจริงแฮะ) ผมเลยไม่พูดอะไรต่อ แค่นึกในใจว่า ลุงคนนี้แหละที่สั่งทิ้งเจ้า little boy กับ fat man ลงบ้านแกอ่ะ ::010:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 27, 2010, 08:21:05 PM ::014:: ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ Rath
โจ ไมเนอร์ ผมเผอิญรู้จักเพราะพ่อผมไปเรียนที่ลอร่า น่ะครับ คุบเรื่องเกร็ดกันสนุกดีครับ อย่วไรก็ตามไม่ว่าภาพรวมหรือเกร็ดต่างๆ ยังไงก็คุยต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะว่าปริมาณข่อมูลที่เราโพสกันแค่นี้จะนำเสนอให้เป็นเรื่องลงตัวแน่นอน ฟันธงตรงแนววิเคราะห์ไม่ซะหมดไม่ได้อยู่ดี ยิ่งคุยก็ยิ่งแบ่งข้อมูลกันใช้ความคิดเห็นจากเห็นแง่มุมต่างๆ เพิ่มขึ้นครับ เลยขอแนะนำหัวข้อที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทหารครับ :D~ http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=87423.0 (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=87423.0) http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=66552.0 (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=66552.0) http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=5901.0 (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=5901.0) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ ที่ สิงหาคม 27, 2010, 09:47:35 PM ผมความรู้น้อยขออ่านไปเรื่อยๆก่อนครับ แบบว่าชอบอ่านมากกว่าน่ะครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ สิงหาคม 28, 2010, 12:37:05 PM ผมความรู้น้อยขออ่านไปเรื่อยๆก่อนครับ แบบว่าชอบอ่านมากกว่าน่ะครับ ;D ;D ;D สนใจถามเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ถ้าแบบนั้นผมจะค้นคว้าหาข้อมูลมาให้ได้ง่ายกว่า ไม่งั้นไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร รายละเอียดมันเยอะมากเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 28, 2010, 05:09:20 PM ผมความรู้น้อยขออ่านไปเรื่อยๆก่อนครับ แบบว่าชอบอ่านมากกว่าน่ะครับ ;D ;D ;D สนใจถามเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ถ้าแบบนั้นผมจะค้นคว้าหาข้อมูลมาให้ได้ง่ายกว่า ไม่งั้นไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร รายละเอียดมันเยอะมากเลย บุกรัสเซีย ทำไม่คิดเปิดศึก 2 ด้านนะครับ ผมว่าเป็นจุดพลิกของสงครามโลกครั้งที่ 2 นะครับ ท่านผู้รู้ช่วยให้ข้อมูลด้วยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:14:21 PM อิ อิ มาก่อนขอคุยก่อน
ที่จริงฮิตเล่อร์ไม่ได้เปลี่ยนใจครับ ถ้าดูช่วงเวลาจะเห็นว่า Battle of Britain จบลงช่วงใบไม่ร่วงปี ๔๐ ส่วนการบุกโซเวียต Barbarossa เริ่มฤดูร้อนปี ๔๑ อย่างไรก็ตาม บาร์บาฯ เตรียมการมานานแล้ว เป็นไปตามอุดมการร์หลักของนาซี ปรากฎตั้งแต่ในหนังสือ Mein Kappf ที่เขียนตั้งแต่ปี ๑๙๒๔ ว่าเยอรมันต้องการที่อยู่อาศัย (Living space) ทางยุโรปตะวันออก ถึงแม้ว่าฮิตเล่อร์จะได้แบ่งโปแลนด์กับโซเวียตแล้ว แต่ก็เตรียมการบ่อนทำลายโซเวียตมาอย่างลับๆ เช่น จัดการส่งภาพแอบถ่ายเอกสารปลอมว่ามีนายทหารโซเวียตกำลังคบคิดล้มสตาลิน หลอกให้สตาลินฆ่านายทหารไปมาก ฯลฯ ส่วน Battle of Britian ซึ่งเป็นชื่อที่อังกฤษเรียกสงครามทางอากาศก็หมดท่าลงไปเอง ตั้งแต่กันยา ฮิตเล่อร์เองก็เริ่มรับว่าจะยกพลขึ้นบกอังกฤษ ตามยุทธการ Sea lion ไม่ได้ ต่อจากนั้นเยอรมันยังโจมตีอังกฤษต่อมาเรื่อยๆ แต่ไม่สามารถหวังได้ว่าจะครองอากาศเพื่อดำเนินยุทธการเพิ่มเติมใดๆ ได้ และที่สำคัญคือไม่ได้บอร์มให้น่วมถึงขนาดอังกฤษจะย่ำแย่เป็นอัมพาธ บ้านเมืองเสียหายหลายเมือง คนตายหลายหมื่น แต่เทียบกับตอนปลายสงครามที่เยอรมันโดนบอร์มทั้งประเทศ พลเมืองตาย ๖ แสนคน บ้านเมืองพังยับหลายๆ เมืองไม่ได้ และขนาดนั้นเยอรมันก็ยังมีผลผลิตเพิ่มขึ้นได้มาก นอกจากนี้อังกฤษก็ยังมีคอนวอยจากเมกาช่วยอีกมากด้วย เรียกว่ายังมีศักยภาพมากครับ การรบทางอากาศของเยอรมันมีจุดอ่อนมากครับ เขตทำการไม่พอ อังกฤษมีพื้นที่ปลอดภัยมาก และเครื่องบินขับไล่เยอรมันก็ไม่มีเวลาบินพอทำการปกป้องเครื่องบินทิ้งระเบิด และสู้กับเครื่องขับไล่อังกฤษเหนือเป้าหมาย บ่อยครั้งที่มีเวลาบินเหนือเป้าหมายแค่ ๑๐ นาทีเท่านั้นครับ และถ้าสละเครื่องโดร่มลงไปไม่ตายก็เป็นเชลย นอกจากนี้ยังมีการล้วงลูกจากเสืออากาศเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอย่างเกอริง ทำให้เครื่องขับไล่เยอรมันเสียเปรียบขึ้นไปอีก เกอริงสั่งให้เครื่องขับไล่ บินใกล้ขบวรเครื่องทิ้งระเบิดเพื่อเป็นกำลังใจและ เชื่อว่าจะปกป้องเครื่องทิ้งระเบิดได้ดีกว่า แต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สองผิดไปแล้ว เครื่องบินความเร็วสูงขึ้นมาก สามารถโจมตีจากระยะไกลได้โดยไม่รู้ตัว และมักให้ผลดีด้วย อาวุธก็ดีขึ้น สามารถทำลายเครื่องข้าศึกได้ด้วยการโฉบครั้งเดียว เครื่องขับไล่ต้องเป็นนักล่าจริงๆ ไม่ใช่อยู่ข้างขบวนเป็ดให้เหยี่ยวอืนมาล่า สมัยเกอริงนั้นเครื่องบินความเร็วต่ำ เห็นกันตั้งแต่ไกลก็ได้เปรียบไม่เท่า เพราะต้องการแสดงฝีมือผาดโผนไล่ยิงกันในระยะใกล้ นักบินเก่งๆ ห้าวๆ อย่าง ฟอน ริชโธเฟ่น ทาสีแดงทั้งลำก็ไม่เสียเปรียบมาก ลองเป็นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองละก็ทำแบบนี้ไม่ได้ครับ นอกจากนี้ ถึงเยอรมันจะครองอากาศได้พอควร อังกฤษก็ยังมีกองทัพเรือที่ครองช่องแคบได้อยู่ เอาเข้าจริงๆ ก็คงต้องคิดอีกหลายรอบครับ ปล. เรื่องเกี่ยวกับ Battle of Britian จากมุมมองคนวงในจริงๆ คือตอนหนึ่งในหนังสือ The first and the last ของ Adolf Galland นักบินขับไล่คนสำคัญ ต่มาเป็นผู้บัญชาการกองบินขับไล่เยอรมัน เป็นนักบินที่เก่ง และฉลาดมีมุมมองหลายด้าน เป็นพลอากาศโทตั้งแต่อายุ ๓๓ ครับ เยอรมันตอนบุกโซเวียตนั้นมีศึกอีกด้านกำลังรบจริงๆ (ไม่ใช่เป็นศึกรอรบ) แต่เป็นแนวรบอัฟริกาเหนือครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:18:02 PM ออ ข้อมูลมีมากได้ความรู้ครับขอบคุณมากนะครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:21:37 PM ::014::ยินดีครับ อิ อิ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sukan2525 ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:28:08 PM ผมเคยได้อ่านนิตยสารของกองทัพเรือ ชื่อว่าอะไรไม่ทราบนะครับ จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับการรบของเรือรบไทย และประวัติมากมาย รวมทั้งเรือรบในสงครามทั่วโลกก็ว่าได้
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sukan2525 ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:32:17 PM เจอแล้วครับ ชื่อว่านาวิกศาสตร์
เข้าไปอ่านกันได้เลยครับ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (มั้ง) ::014:: โชคดีที่หาเจอ ใครทราบแล้ว ขออภัยด้วยนะครับ ตามลิงค์ครับ http://www.navy.mi.th/navic/document/navicmain.html (http://www.navy.mi.th/navic/document/navicmain.html) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:34:58 PM ออ ข้อมูลมีมากได้ความรู้ครับขอบคุณมากนะครับ ::014:: แต่ลองคิดอีกทางหนึ่ง ถ้า Battle of Britian ได้ผลดี และเยอรมันดำเนินการบุกอังกฤษ หรือแค่ตัดสินใจดำเนินการต่อ ผมว่าการบุกโซเวียตคงเลื่อนออกไปครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 06:36:22 PM เจอแล้วครับ ชื่อว่านาวิกศาสตร์ เข้าไปอ่านกันได้เลยครับ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 จนถึงปัจจุบัน (มั้ง) ::014:: โชคดีที่หาเจอ ใครทราบแล้ว ขออภัยด้วยนะครับ ตามลิงค์ครับ http://www.navy.mi.th/navic/document/navicmain.html (http://www.navy.mi.th/navic/document/navicmain.html) ขอบคุณครับ บวก ๑ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sukan2525 ที่ สิงหาคม 28, 2010, 07:27:06 PM พอดีกำลังอ่านเรื่องเรือประจัญบานยามาโต้ ละเอียดมากๆเลย กำลังหนุกๆ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ สิงหาคม 28, 2010, 08:28:54 PM สบายเลย ผมแค่มาขุดกระทู้ ก็รออ่านท่านต๊อกเขียนตอบแบบไม่ต้องออกแรง ::007::
ผมแค่สงสัยนิดนึงว่า ต่อให้ปฏิบัติการ sea lion สำเร็จในระดับแรก จนสามารถยึดหัวหาดได้ ก็คงยังต้องประสบปัญหาอย่างหนักเรื่องสาย supply line เพราะถึงยังไงอังกฤษก็ยังคงแข็งแกร่งทางทะเลอยู่ ไม่รู้ว่าทางฝ่ายเยอรมันมีแผนการรับมือตรงนี้อย่างไรครับ ผมเคยอ่านจากแหล่งไหนสักแห่ง(ที่จำไม่ได้แล้ว) ว่าแผนการของเยอรมันในการเอาชนะอังกฤษหลังจากยกพลขึ้นบกและตั้งหัวหาดได้มั่นคงแล้ว จะรุกสองทางเป็นรูปคีมยักษ์จากทางใต้เพื่อเข้าโอบล้อมลอนดอนและปฏิบัติการตัดกำลังบำรุงให้ฝ่ายอังกฤษยอมแพ้ แทนที่จะตีหักเข้าเมืองอย่างที่รัสเซียถล่มเบอร์ลิน (อาจเป็นเพราะเพื่อลดอัตราการสูญเสียกำลังพล เพื่อเตรียมดึงหนวดสตาลินต่อไป) แต่การทำเช่นนั้นก็ต้องใช้ทรัพยากรและการจัดการมากมายในการส่งกำลังบำรุงในระยะเวลาที่ทำการล้อมลอนดอน รวมทั้งยังต้องพบศึกหนักทางทะเลกับราชนาวีอังกฤษในช่องแคบอังกฤษจนดูเหมือนจะเป็นแผนที่เป็นไปไม่ได้ ตรงนี้สงสัยมากครับ รวมทั้งยังสงสัยด้วยว่า กำลังเรือลำเลียงพลขึ้นบกของเยอรมันในขณะนั้น ยังไม่พร้อมสำหรับปฏิบัติการขนาดใหญ่เช่นนั้นเลย ผมเลยเข้าใจว่า ฝ่ายเยอรมันอาจจะไม่ได้หวังว่าตัวเองจะยกพลไปปิดล้อมลอนดอนได้จริง เลยต้องเปลี่ยนแผนไป blitz หรือทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายพลเรือนเพื่อทำลายขวัญประชาชน เพื่อให้ส่งแรงกดดันต่อรัฐบาลในการยอมสงบศึกกับเยอรมัน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า bomb to submission มากกว่า (แต่ไม่ได้ผล คนอังกฤษยิ่งฮึด) รบกวนขอความเห็นท่านต๊อก และผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นด้วยครับ ::014:: แล้วสักพัก จะมาขอคำวิเคราะห์เรื่อง Battle of Britain เสริมจากที่เคยมีผู้วิเคราะห์ไว้แล้ว (จำไม่ได้ว่าเป็นท่านต๊อกหรือท่านเจ้าของกระทู้หรือท่านอื่น เปิดไล่อ่านไม่ไหว ตาลายครับ) ::012:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 09:32:26 PM อิ อิ สงสัยคล้ายๆ กันครับ แต่ผมสงสัยตั้งแต่ตอนจะข้ามช่องแคบมาแล้วว่าโดนเรืออังกฤาเข้าลุยแน่ๆ พูดตรงๆ เลยยังไม่เคยสงสัยถึงขั้นที่ว่าเมื่อเยอรมันยึดหัวหาด และรุกเข้าไปแวจะส่งกำลังบำรุงยังไง?
แถมช่องโดเวอร์ คาเลย์ก็แคบซะจนปืนใหญ่ยิงข้ามได้ขนาดนั้น ขบวนเรื่อเยอรมันมามีสิทธิโดนได้ตลอดแนว เรื่องจะถล่มปืนชายฝั่งให้พังไปมากๆ นั้นก็ยาก ขนาดตอนสัมพันธมิตรบุกนอร์มังดี ที่โอมาฮ่า เมกันใช้เรือรบยิงจรวดตั้งหลายพันลูก ปรากฎว่าตกน้ำก่อนหมด ไม่ลงพื้นที่ชายหาดเลย ส่วนเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดก็ทิ้งระเบิดจาระยะสูงก็ทิ้งลึกเข้าไปในแผ่นดินมากเกินไป ได้ผล "ไม่ค่อยถูกในระยะ ๕ กม." ตามมาตรฐานการบอร์มเมือง ที่มีประโยชน์บ้างเลยเป็นแค่เรือปืนจากเรือประจัญบานซึ่งก็ยิงปูพรมจากระยะไกล และที่มีประโยชน์จริงคือปืนเล็กกว่าจากเรือพิฆาตที่ยิงเป้าหมายเฉพาะจุดจากการชี้เป้าของทหารบนหาด นอกจากนี้ ผมเห็นว่าถ้าจะข้ามช่องแคบไปอังกฤษใต้จริงๆ ไม่ว่าจะข้ามตรงที่แคบที่สุด หรือกว้างหน่อย จะลำบากยิ่งกว่าตอนสัมพันธมิตรข้าม เพราะพื้นที่เสี่ยงไม่มากเท่า กำลังตั้งรับกระจุกตัว ทำแผนลวงลำบาก สมมติว่าเยอรมันขึ้นบกได้แล้วก็จะแย่อยู่ครับ เคยเห็นทิศทางแผนในสารคดี BBC แนวบุกของเยอรมันเป็นแนวโค้งเปิดช่องว่างทางปีกมาก ภูมิประเทศอังกฤษตอนใต้ก็ที่ราบธรรมดา โดนเข้าโจมตีได้ทุกช่วง ถ้าดูกันในประวัติศาสตร์แล้ว การส่งกำลังทางทะเลขึ้นบกไปรบ ถ้าไม่ใช่มหาอำนาจที่มีทรัพยากรมหาศาล และครองทะเลได้อย่างเด็ดขาด อย่างกรณีสัมพันธมิตร (เมกันเป็นหลัก) หรือเมกันในแซฟิก "ไม่มีทางที่จะส่งกำลังขึ้นบกไปแล้วรบต่อได้หากไม่มีการสนับสนุนอื่นๆ จากทางบกอย่างต่อเนื่อง" อังกฤษเจ๊งมาตั้งแต่ สงครามประกาสอิสรภาพเมกัน - กัลลิโปลี - นอร์เวย์ (ในต้นสคงครามโลกครั้งที่สอง) ว่าไปก็เป็นผลงานจากวิสัยทัศน์ของเชอร์ชิลผู้ชื่นชอบปฏิบัติการคอมมานโดมากเกินไป พยายามขยายให้ใหญ่จนพ้นความได้เปรียบในการโจมตีแบบคอมมานโด และเกิดจุดอ่อน ตวามจำเป็นอื่นๆ ขั้น ทำให้ล้มเหลว ส่วนตัวอย่างทางญี่ปุ่น ถ้าไม่มีฐานที่เข้มแข็งในเกาหลี และแมนจูเรียมาก่อนแล้วก็ยากที่จะรบในจีนต่อเนื่องไม่ได้ ส่วนทางใต้ก็มีฐานในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนแล้วถึงจะรบไปสิงคโปร์ และพม่าได้ สำหรับเยอรมันตั้งแต่ต้นปี ๑๙๔๑ ก็เริ่มกำลังย่ำแย่กับการส่งกำลังบำรุงไปอัฟริกาเหนือไม่ได้ ฝ่ายทหารน่าจะรู้มากขึ้นครับว่า ซี ไลอ้อน เป็นแผนที่ปฏิบัติไม่ได้จริง ดังนั้น ผมว่ารวมๆ แล้วแผนเยอรมันมองโลกในแง่ดี เข้าข้างตนเอง หรือพูดง่ายๆ ว่าประมาทไปครับ หรือเป็นไปเพื่อนสนองความต้องการของฝ่ายการเมือง ผู้นำให้วางแผนก็วางไป อย่างไรก็ตามเมื่อทำตามขั้นตอนไม่ได้ก็จะเห็นเองว่าต้องยุติที่จุดใดจุดหนึ่ง ครับ การทำลายขวัญเป็นจิตวิทยาหลักของฮิตเล่อร์ทีเดียว และเป็นการตอบโต้ที่อังกฤษไปบอร์มเบอร์ลินด้วย ที่สำคัญคือนอกจากการบอร์มลอนดอนจะยิ่งเสริมความมุ่งมั่นของคนอังกฤษแล้ว (ได้ยินว่าช่วงสงครามยิ่งอังกฤษโดนโจมตีเท่าไหร่ อัตรราอาชญากรรมลักเล็กขโมนน้อยยิ่งลดครับ ขนาดโจรยังกลับใจช่วยชาติ) ยังทำให้เสียเปรียบด้านการทหารอีก เพราะไปบอร์มลอนดอนก็ลดการบอร์มเป้าหมายทางหทารที่ส่งผลกับการป้องกันตัวของอังกฤษโดยตรง เช่น สนามบินตามชายฝั่ง กำลังทางอากาศของอังกฤษเลยยิ่งปฏิบัติการได้ดีขึ้น หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 09:43:56 PM พูดถึง Battle of Britain เลยนึกถึงเรื่องที่ใช้ฉาก Battle of Britain ที่พิศดาร คือ บัลเลต์ ของนายแมทธิว บอนด์ เรื่อง ซินเดอเรลล่า พิศดารล้ำยุคปนเปกับกิล่นไอสงครามตามโปสเตอร์โฆษณา (แต่จริงๆ ไม่สนุกเท่าไหร่ สู้ สวอนเลก ของนายบอนด์ หงส์ชาย ไม่ได้)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 28, 2010, 10:07:05 PM ;D
Matthew Bourne's Cinderella (http://www.youtube.com/watch?v=DMOFjZSovR0#ws) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ ที่ สิงหาคม 28, 2010, 10:53:04 PM ผมความรู้น้อยขออ่านไปเรื่อยๆก่อนครับ แบบว่าชอบอ่านมากกว่าน่ะครับ ;D ;D ;D สนใจถามเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ถ้าแบบนั้นผมจะค้นคว้าหาข้อมูลมาให้ได้ง่ายกว่า ไม่งั้นไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร รายละเอียดมันเยอะมากเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ สิงหาคม 29, 2010, 07:31:22 AM ผมความรู้น้อยขออ่านไปเรื่อยๆก่อนครับ แบบว่าชอบอ่านมากกว่าน่ะครับ ;D ;D ;D สนใจถามเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ถ้าแบบนั้นผมจะค้นคว้าหาข้อมูลมาให้ได้ง่ายกว่า ไม่งั้นไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร รายละเอียดมันเยอะมากเลย คนเก่าๆเล่าว่า เมื่อตอนที่ญี่ปุ่นบุกไทยนั้น มีทหารจีนและทหารแขกมาในกองทัพด้วย ผมคิดว่าเป็นธรรมดาที่จะมีทหารชาติอื่นปะปนในกองทัพบ้าง แต่ท่านที่เล่านั้นบอกว่ามีจำนวนมากเหมือนกับเกณฑ์มาครับ ไม่ทราบว่าญี่ปุ่นเอาทหารเหล่านี้มาจากไหนครับ ผมขอเรื่องเชียงตุงด้วยอีกหนึ่งเสียงครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 29, 2010, 03:11:17 PM แขกในกองทัพญี่ปุ่น ไม่เคยได้ยินเลยครับ แต่จีนผมว่าน่าจะเป็นแรงงาน ไม่ใช่กำลังรบถืออาวุธ
ส่วนเกาหลีญี่ปุ่นเข้าไปยึดนานหลายสิบปีแล้ว มีการเกณฑ์คนเกาหลีเป็นหทารถืออาวุธด้วย ในปัจจุบัน เขาว่าในญี่ปุ่นมีคนเชื้อสายเกาหลีประมาณ ๑% ของประชากร ใช้ชื่อญี่ปุ่น เรื่องทหารเชื้อชาติแปลกๆ ในแต่ละกองทัพเป็นเรื่องน่าสนใจอีกประเด็นของสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือเรื่อง D day ของนาย Antony Beevor บอกว่า กำลังทหารเยอรมันในนอร์มังดีเป็นคนยุโรปตะวันออกประมาณ ๒๐% เป็นพวกโปลที่นิยมเยอรมันสมัครเป็นทหาร และเชลยศึกโซเวียตบางพวกที่แปรพักตร์ไปสมัครเป็นทหารเยอรมัน (ดีกว่าตายในค่ายเชลย) เยอรมันเรียกว่า Osttruppen บังคับบัญชาโดยทหารประทวน และนายทหารคนเยอรมัน ทั้งนี้เป็นการออกอาการอย่างหนึ่งของความขาดแคลนในทุกด้านของเยอรมันช่วงปลายสงคราม เมื่อปะทะกับทหารสัมพันธมิตรจริงๆ ทหารคนยุดรปตะวันออกพวกนี้มักหาทางยอมแพ้ และมีกรณียิงผู้บังคับบัญชาเยอรมัน มีบางกองเท่านั้นที่ต่อสู้เข้มแข็ง ท่าน youngnoi คงเคยอ่านเรื่อง คนไทยในกองทัพนาซี เขียนโดนนายทหารไทยที่ไปเรียนโรงเรียนนายร้อยเยอรมันยุคสงครามโลก แล้วเลยเข้าประจำการกองทัพเยอรมันจริงๆ ประจำการในฝรั่งเศส และอยู่ค่ายเชลยศึกเมกันหลังสงคราม มีรายละเอียดสภาพวิถีชีตในเยอรมันยุคนั้น และระบบของกองทัพเยอรมันดีมาก หนังสือนี้ ล่าสุดเห็นเหลือที่ร้าน "นิพนธ์" ถนนเจริญกรุง เลยแยกศาลาเฉลิมไทยประมาณ ๕๐ เมตรไปทางกรม รด.ฯ ครับ ไม่ขอออกนอกเรื่องมากว่านี้ครับ ผมขอรอฟังเรื่องเชียงตุงเหมือนกัน เคยรู้แค่ไทยไปยึด แล้วพอสัทพันธมิตรชนะสงครามก็ถอนกลับมา ซึ่งน่าจะเป้นการเดินกลับตลอดทางเพราะคอนนั้นทางการต้องการขนญี่ปุ่นออกจากประเทศให้เร็วที่สุด เลยให้ญี่ปุ่นใช้พาหนะต่างๆ ก่อน นอกจากนี้มีเกร็ดนิดเดียวว่า เพื่อนคุณตาผมเป็นทหารเคยไปยึดเชียงตุง ท่านเล่าแค่ว่ามีครั้งหนึ่งข่าวว่าจะมีกำลังสนัสนุนมาส่งเสบียบเพิ่มเติม รอไปรอมา คอนดูถนนเข้าค่าย ปรากฎเพื่อนกันเดินหิ้วปลาเค็มจิ๋วมาสองตัว ฮากันใหญ่ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 29, 2010, 03:20:54 PM ถ้ายังไม่มี มองหาหนังสือหน้าตาแบบนี้ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 29, 2010, 03:24:57 PM นอกหัวข้อแต่น่าสนใจครับ
อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนักเรียนนายร้อยไทยยุคเยอรมันพระเจ้าไกเซอร์วิลเฮลม์ที่ ๒ มีให้อ่านทั้งเล่มเลย http://www.maneebooks.com/German_capt/germ_01.html (http://www.maneebooks.com/German_capt/germ_01.html) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 29, 2010, 09:54:19 PM ถ้ายังไม่มี มองหาหนังสือหน้าตาแบบนี้ครับ ชอบมากครับ เล่มนี้นะครับหัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 29, 2010, 11:20:36 PM ถ้ายังไม่มี มองหาหนังสือหน้าตาแบบนี้ครับ ชอบมากครับ เล่มนี้นะครับเวอร์ชั่นพิมพ์ปหฟ้านี้ผมว่ารวบรวมได้ดีที่สุดครับ ที่บ้านมีเวอร์ชั่นพิพม์เก่าปกแข็งสีแดง แต่เวอร์ชั่นปกฟ้ามีรูปมากกว่าและมีสรุปประวัติท่านผู้แต่งด้วย ปล. เดินตรงเข้าร้านนิพนธ์ เรื่องนี้อยู่บนชั้นด้านซ้ายของประตูครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ สิงหาคม 30, 2010, 05:42:40 AM ขอบพระคุณสำหรับความรู้มากมายครับ ::014:: ::014:: เรื่องคนไทยในกองทัพนาซีผมยังไม่เคยอ่านครับ ท่านดอนบอกละเอียดถึงขนาดชั้นวางหนังสือแบบนี้ผมต้องรีบไปซื้อแล้วครับ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 30, 2010, 06:28:54 PM เรื่องนี้เขียนดีครับ อ่านสนุก ผู้แต่งเป็นคนแลดเฉลียวและมีความสังเกต มีมุมมองเรื่องต่างๆ ละเอียดดีมากครับ เป็นอัตชีวประวัติของคนไทยที่ผมว่าดีที่สุดเล่มหนึ่ง
เกร็ดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันช่วงสงครามของประเทศขากแคลนทรัพยากร ฯลฯ น่าสนใจดี เช่น การปันส่วนอาหาร จะมีสมุดปันส่วนอาหารทุกประเภว่าแต่ละคนจะไปซื้อได้เท่าไหร่? ของหายาก เช่น เนื้อสัตว์ ได้น้อยมาก ทหารเยอรมันที่อยู่แนวหน้าได้ "อาทิตย์ละ ๒๕๐ กรัม" ทหารเยอรมันและพลเมืองเยอรมันแนวหลังได้อาทิตย์ละ ๑๐๐ กรัม พลเมืองประเทศถูกยึดครองได้อาทิตย์ละ ๕๐ กรัม... เมื่อผู้เขียนกลับมาเมืองไทยมีคนถามว่าการเป็นนายทหารในกองทัพเยอรมันยุครัฐบาลนาซีนั้นเป็นอย่างไร? นาซีสั่งสอนให้เหยียดผิว คนขาวอารยันยุโรปเหนือเป็นเทวดา เป็นคนไทยหน้าดำไปบังคับบัญชาได้หรือ? ผู้เขียนบอกว่า เรื่องนี้ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ ระเบียบวินัยในกองทัพเยอรมันนั้นแข็งมาก กับทหารประทวน ทหารเยอรมันยังเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ กับนายทหารกลัวลานทีเดียว เขาเป็นนายทหารประจำการจริงๆ ผ่านการฝึกมาเหมือนกับทหารเยอรมันทุกอย่าง ทหารใต้บังคับบัญชารับคำสั่งปฏิบัติให้ความเคารพดีมาก แค่ควักบุหรีขึ่นมาลูกน้องไม่ต่ำกว่า ๕-๖ คนจะจุดไม้ขีดยื่นให้ ครั้งหนึ่งริมถนนในปารีสมี SS ยศต่ำกว่าเดินผ่านมา SS ยกมือทำความเคารพไม่เรียบร้อย ชูแขนไม่ตรง เขาสั่งให้เดินกลับไป แล้วเดินกลับมาทำความเคารพใหม่ SS ก็ทำตามโดยดีไม่ออกท่าฮึกฮัดไม่พอใจ ทั้งที่อยู่ต่อหน้าธารกำนัล หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 30, 2010, 07:39:42 PM หนังสือเล่มนี้ คนไทยในกองทัพนาซี ประทับใจตอนผู้เขียน ถูกจับ ถูกกักขังกับนายทหารเยอรมัน โดย ทหารสัมพันธมิตร
แล้วนายทหารเยอรมันสอนผู้เขียนว่าเยอรมันประดิษฐื เครื่องบินมากแบบ เกินไปทำให้มีปัญหาในการส่งกำลังบำรุงและเครื่องต่อแต่ละลำมีประสิทธิภาพมากกว่า ก็จริง แต่ผลิตได้น้อยกว่าสัมพันธมิตรทำให้แพ้สงคราม นะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 30, 2010, 08:06:39 PM ครับ ฝ่านการเมืองเยอมันมักล้วงลูกให้ผลิตอะไรแปลกๆ และใช้ผิดจุดประสงค์อยู่เรื่อย ถ้า Me262 ระดมผลิตมากๆ เป็นเครื่องขับไล่ตั้งแต่ต้นไปไปเสียเวลาพัฒนาเป็นเครื่องโจมตี สัมพันฯ จะเสียหายมากกว่านี้มาก
พูดถึงเรื่องเชลยศึกเยอรมันเปิดหลักสูตรสอนกับเองเลยนึกถึงเรื่องของนาย Gunther Grass ที่เขาเป็นเชลยศึกในค่ายแบบนี้แล้วไปนั่งเรียนวิชา ทำอาหาร สภาพเชลยตอนนี้ก็หิวโหยตลอดเวลาทุกคน ตาคนที่สอนทำอาหารก็อธิบายเรื่องหมูแบบต่างๆ ชิ้วส่วนต่างๆ หูหมู หัวหมูเอาไปทำเยลลี่ เนื้อส่วนนั้นนุ่มดีชุ่มฉ่ำ ฯลฯ คนเรียนก็ปากอ้า ตาค้าง ฝันถึงจานหมูซะวิญญาณแทบออกจากร่าง (ฮา) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 30, 2010, 08:23:31 PM ครับ ฝ่านการเมืองเยอมันมักล้วงลูกให้ผลิตอะไรแปลกๆ และใช้ผิดจุดประสงค์อยู่เรื่อย ถ้า Me262 ระดมผลิตมากๆ เป็นเครื่องขับไล่ตั้งแต่ต้นไปไปเสียเวลาพัฒนาเป็นเครื่องโจมตี สัมพันฯ จะเสียหายมากกว่านี้มาก ขอบคุณ ครับ ดร. ที่มาแบ่งปันความรู้ ครับพูดถึงเรื่องเชลยศึกเยอรมันเปิดหลักสูตรสอนกับเองเลยนึกถึงเรื่องของนาย Gunther Grass ที่เขาเป็นเชลยศึกในค่ายแบบนี้แล้วไปนั่งเรียนวิชา ทำอาหาร สภาพเชลยตอนนี้ก็หิวโหยตลอดเวลาทุกคน ตาคนที่สอนทำอาหารก็อธิบายเรื่องหมูแบบต่างๆ ชิ้วส่วนต่างๆ หูหมู หัวหมูเอาไปทำเยลลี่ เนื้อส่วนนั้นนุ่มดีชุ่มฉ่ำ ฯลฯ คนเรียนก็ปากอ้า ตาค้าง ฝันถึงจานหมูซะวิญญาณแทบออกจากร่าง (ฮา) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 30, 2010, 08:25:15 PM :OOผมไม่ใช่ ดร. ครับพี่ ART ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 30, 2010, 08:38:46 PM สารคดีชุด The Unknown War การรบ เบอรมัน - โวเวียต มีหลายเรื่อง ลองเสริชดูครับ
การศึกมอสโค ตอน ๑/๕ The Unknown War - The Battle for Moscow - 01/05 (http://www.youtube.com/watch?v=q_5w-ezKkEU#ws) ปล. ไตเติ้ลระฆังนี่คุ้นๆ เล็กน้อย รู้สึกว่าประมาณเเกอย ๓๐ ปีก่อน ทีวีเมืองไทยเคยมีสารคดีเรื่องแนวรบด้านตะวันออก มีไตเติ้ลระฆังแบบนี้ ฉายตอนดึกๆ ไม่แน่ใจว่าชุดเดียวกันหรือเปล่าครับ? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 30, 2010, 08:40:59 PM ปล. ผู้บรรยายคือ เบิร์ด แลงคาสเตอร์ แค่นี้ก็พอดูได้แล้ว (ฮา)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ สิงหาคม 31, 2010, 05:15:42 AM สารคดีชุด The Unknown War การรบ เบอรมัน - โวเวียต มีหลายเรื่อง ลองเสริชดูครับ ผมก็ดู ช่อง 7 หมอชิตหรือเปล่าตอนนั้นชอบมากเลยครับ ::014:: ::008::การศึกมอสโค ตอน ๑/๕ The Unknown War - The Battle for Moscow - 01/05 (http://www.youtube.com/watch?v=q_5w-ezKkEU#ws) ปล. ไตเติ้ลระฆังนี่คุ้นๆ เล็กน้อย รู้สึกว่าประมาณเเกอย ๓๐ ปีก่อน ทีวีเมืองไทยเคยมีสารคดีเรื่องแนวรบด้านตะวันออก มีไตเติ้ลระฆังแบบนี้ ฉายตอนดึกๆ ไม่แน่ใจว่าชุดเดียวกันหรือเปล่าครับ? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ สิงหาคม 31, 2010, 05:41:37 AM โอ้ ช่องอะไรจำไม่ได้แล้วครับ จำได้ว่าดึกๆ ซื่อรายการรู้สึกทำนองว่า "จ้าวแผ่นดิน" :<><>
ย้อนอดีตจริงๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ครับ ตอนนั้นผมน่าจะอายุประมาณ ๑๐ ขวบ ::008:: เจอข้อมูลเพิ่มเติมครับ http://unknown-war.com/ (http://unknown-war.com/) :D~ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ กันยายน 04, 2010, 09:57:22 AM ถ้ายังไม่มี มองหาหนังสือหน้าตาแบบนี้ครับ ผมเคยมีหนังสือเล่มนี้ แต่หายตอนย้ายบ้าน :~) ส่วนท่านที่ถามถึงการรบในรัฐฉานจนถึงเชียงตุง ลองหาหนังสือเล่มนี้ดูครับ ยังใหม่อยู่หาไม่ยาก http://www.se-ed.com/eShop/(A(31m7fhhhygEkAAAAZjBlYzdjMTgtOGRiZi00OTYyLWIyNDgtNmIxYzgwNTA yYjY3I3GFLWgWMpbad3b-HsjoWOirbhc1))/Products/Detail.aspx?No=9786115100057&AspxAutoDetectCookieSupport=1 (http://www.se-ed.com/eShop/(A(31m7fhhhygEkAAAAZjBlYzdjMTgtOGRiZi00OTYyLWIyNDgtNmIxYzgwNTAyYjY3I3GFLWgWMpbad3b-HsjoWOirbhc1))/Products/Detail.aspx?No=9786115100057&AspxAutoDetectCookieSupport=1) เป็นชีวประวัติของจอมพลผินครับ เขียนโดยท่านปองพล อดิเรกสารผู้เป็นหลาน ส่วนความรู้เรื่องอื่นในการรบที่เชียงตุง ผมจำไม่ใคร่ได้แล้วครับ ถ้าหาเจอมาก็จะเอามาเล่านะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: แปจีหล่อ ที่ กันยายน 04, 2010, 11:08:44 AM ถ้ายังไม่มี มองหาหนังสือหน้าตาแบบนี้ครับ ผมเคยมีหนังสือเล่มนี้ แต่หายตอนย้ายบ้าน :~) ส่วนท่านที่ถามถึงการรบในรัฐฉานจนถึงเชียงตุง ลองหาหนังสือเล่มนี้ดูครับ ยังใหม่อยู่หาไม่ยาก http://www.se-ed.com/eShop/(A(31m7fhhhygEkAAAAZjBlYzdjMTgtOGRiZi00OTYyLWIyNDgtNmIxYzgwNTA yYjY3I3GFLWgWMpbad3b-HsjoWOirbhc1))/Products/Detail.aspx?No=9786115100057&AspxAutoDetectCookieSupport=1 (http://www.se-ed.com/eShop/(A(31m7fhhhygEkAAAAZjBlYzdjMTgtOGRiZi00OTYyLWIyNDgtNmIxYzgwNTAyYjY3I3GFLWgWMpbad3b-HsjoWOirbhc1))/Products/Detail.aspx?No=9786115100057&AspxAutoDetectCookieSupport=1) เป็นชีวประวัติของจอมพลผินครับ เขียนโดยท่านปองพล อดิเรกสารผู้เป็นหลาน ส่วนความรู้เรื่องอื่นในการรบที่เชียงตุง ผมจำไม่ใคร่ได้แล้วครับ ถ้าหาเจอมาก็จะเอามาเล่านะครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 04, 2010, 02:58:04 PM วันนี้ไปบางปู ศาลาสุขใจ มีอนุสาวรีย์ รำลึกถึงการยกพลขึ้นบกที่บางปูของกองทัพญี่ปุ่น ในเดือน ธันวาคม 1941 ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 05, 2010, 05:49:29 AM วันนี้ไปบางปู ศาลาสุขใจ มีอนุสาวรีย์ รำลึกถึงการยกพลขึ้นบกที่บางปูของกองทัพญี่ปุ่น ในเดือน ธันวาคม 1941 ครับ รายละเอียดตาม link ครับ http://bangpurta.com/sub3.html (http://bangpurta.com/sub3.html)หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 05, 2010, 08:02:11 AM กราบขอบพระคุณท่านDon ท่านArt และท่านRath72 มากครับที่มาแบ่งปันความรู้(รวมทั้งเรื่องเรือรบด้วยครับ) ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 05, 2010, 08:22:01 AM กราบขอบพระคุณท่านDon ท่านArt และท่านRath72 มากครับที่มาแบ่งปันความรู้(รวมทั้งเรื่องเรือรบด้วยครับ) ::014:: ;D :VOV: ::005:: ::014::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ กันยายน 06, 2010, 10:07:53 PM เรียนพี่ต็อกครับ
ในหน่วย SS เองก็มีอยู่ 1 กองพลที่กำลังพลส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาตินะครับ ทั้งๆที่ตามคุณสมบัติแล้วกำลังพลในหน่วย SS จะต้องเป็นชาวเยอรมันเท่านั้น ซึ่งหน่วยนั้นก็คือ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง (5th SS. Panzer Division Wiking (http://en.wikipedia.org/wiki/5th_SS_Panzergrenadier_Division_Wiking)) ครับ ::014:: (http://img834.imageshack.us/img834/9473/1247368851.jpg) กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง (5th SS. Panzer Division Wiking) โดยกำลังพลส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครชาวต่างชาติ เช่น ชาวกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ฮอลแลนด์ นอรเวย์ เอสโตเนีย แต่็ได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้อย่างมาก โดยเฉพาะในแนวรบด้านรัสเซีย การรับสมัครอาสาสมัครจากประเทศยุโรป นาซีเยอรมันจะใช้การประชาสัมพันธ์ในกลุ่มประเทศยุโรปที่ถูกเยอรมันยึดครองให้ร่วมกันต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ที่จะเข้ามาทำลายล้างระบอบการปกครองต่างๆในยุโรป และเยอรมันจะเป็นผู้นำประเทศในยุโรปทั้งหมด ป้องกันการรุกรานของคอมมิวนิสต์จากรัสเซียครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 07, 2010, 04:02:26 AM ขอขคุณครับคุณรพินทรราถ รักในหลวงฯ ขอบวกๆ ครับ ::002:: :D~
ดูแล้ว ผมว่าที่ปรับตราสวัสดิกะให้ขาเอียงเป็นทรงกลมน่าจะพยายามทำให้ใกล้เคียงสัญลักษณ์ของนอร์ดิกแบบหนึ่งที่เป็นวงกลมมีกากยาทตรงกลาง เหมือนตรารถเมล์นายเลิศ หรือตราเนโต้เล็กๆ ท้ายหลอกกระสุน จำไม่ได้แล้วครับว่าสัญลักษณ์นี้เรยกว่าอะไร อาจมาจากภาพดาวเหนือ? หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ กันยายน 07, 2010, 05:58:05 PM ขอขคุณครับคุณรพินทรราถ รักในหลวงฯ ขอบวกๆ ครับ ::002:: :D~ สัญลักษณ์กงล้อมีกากบาทข้างในนี้เรียกว่า Wheel cross, Sun cross, Odin's cross หรือ Woden's cross ครับพี่ต็อกดูแล้ว ผมว่าที่ปรับตราสวัสดิกะให้ขาเอียงเป็นทรงกลมน่าจะพยายามทำให้ใกล้เคียงสัญลักษณ์ของนอร์ดิกแบบหนึ่งที่เป็นวงกลมมีกากยาทตรงกลาง เหมือนตรารถเมล์นายเลิศ หรือตราเนโต้เล็กๆ ท้ายหลอกกระสุน จำไม่ได้แล้วครับว่าสัญลักษณ์นี้เรียกว่าอะไร อาจมาจากภาพดาวเหนือ? (http://img245.imageshack.us/img245/9285/2901.gif) เป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่านอร์สค์ (Norsk) แทนองค์เทพเจ้าโอดิน ผู้เป็นเทพแห่งศิลปะ วิทยาการ และการสงคราม และเป็นบิดาของธอร์ (Thor) และโลกิ (Loki) สองขุนศึกในมหากาพย์ Ragnarök ครับ (Ragna แปลว่า พระเจ้า หรือ พลังอำนาจในการควบคุม และ Rök แปลว่า โชคชะตา) ผมว่าคงเป็นหลักจิตวิทยาของกองทัพเยอรมัน ในการเอาใจพวกบรรดาทหารอาสาสมัครที่มาจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียกับแถบทะเลบอลติกครับ โดยเฉพาะชาวฟินแลนด์ที่เพิ่งมีกรณีพิพาทเรื่องดินแดนกับสหภาพโซเวียตจนเกิดสงคราม Continuation War (http://en.wikipedia.org/wiki/Continuation_War) ครับ คิดดูว่าขนาดชื่อกองพลยังใช้ชื่อว่า "ไวกิ้ง (Wiking)" เลย ในขณะที่กองพลเอส เอส หน่วยอื่นจะใช้ชื่อกษัตริย์หรือวีรบุรุษของชาวเยอรมันเอง เช่น กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 ก็ใช้ชื่อว่า "โฮเฮนสเตาเฟน (Hohenstaufen)" ครับ :) ป.ล. ขอทอนคืนให้พี่ +1 เช่นกันครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 07, 2010, 06:53:37 PM ขอบคุณมากครับ บวกอีก อิ อิ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: kaittisak291 ที่ กันยายน 07, 2010, 09:14:39 PM ::014:: เข้ามาหาความรู้...ขอบคุณครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 07, 2010, 10:42:02 PM ขอบพระคุณท่านรพินทรนาถและท่านดอนมากครับที่อธิบายเรื่องตราสวัสดิกะ ::014:: ตอนแรกผมนึกว่าต้นกำเนิดเกิดจากเอาตัว S สองตัวมาซ้อนไขว้กันเสียอีก แต่ดูไปก็เหมือนลายประแจจีนนะครับ
ผมเผลอพิมพ์ " ฐากูร " ต่อท้ายชื่อท่านรพินทรนาถทุกทีเลยครับ (ท่านเป็นปราชญ์ชาวอินเดียใช่ไหมครับ) ผมเคยเห็นเครื่องหมาย Wheel Cross บนโล่ของชาวไวกิ้งในหนังTV เรื่องขุนทัพไวกิ้งครับ (หนังเรื่องนี้คงประมาณ 40 กว่าปีมาแล้วครับ) ในหนังเรื่องนี้เวลาพวกไวกิ้งจะเข้ารบจะร้องว่า โอ...ดิน.. ตลอดทุกตอน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 07, 2010, 11:08:27 PM ตราสวัสดิกะขาเหลี่ยมจริงๆ แล้วนาซีลอกคนอื่นเขามาครับ เป็นตราสากลใช้กันทั่วโลกตั้งแต่ จีน อินเดีย ไปจนถึงคนเมกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง)
ในเยอรมันเอง ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ พวกฝ่ายขวาหลายกลุ่มก็ใช้ตรานี้ครับ ไม่ใช่พรรคนาซีใช้กลุ่มแรก ปีที่แล้วที่ถนนสีลมยังเห็นรถแต่งานของคนไทยเชื้อสายอินเดีย ประดับประดาต่างๆ และเขียนตราสวัสดิกะเต็มคันครับ (หาเจอแล้วจะเอามาโพสลงครับ) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ กันยายน 07, 2010, 11:33:15 PM ตราสวัสดิกะขาเหลี่ยมจริงๆ แล้วนาซีลอกคนอื่นเขามาครับ เป็นตราสากลใช้กันทั่วโลกตั้งแต่ จีน อินเดีย ไปจนถึงคนเมกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) ในเยอรมันเอง ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ พวกฝ่ายขวาหลายกลุ่มก็ใช้ตรานี้ครับ ไม่ใช่พรรคนาซีใช้กลุ่มแรก ปีที่แล้วที่ถนนสีลมยังเห็นรถแต่งานของคนไทยเชื้อสายอินเดีย ประดับประดาต่างๆ และเขียนตราสวัสดิกะเต็มคันครับ (หาเจอแล้วจะเอามาโพสลงครับ) ใช่ครับท่านต๊อก ผมเคยไปโฮจิมินห์เมื่อหลายปีก่อน เห็นรถตู้ที่มีพระสงฆ์นั่ง หน้ารถติดตราสวัสดิกะใหญ่เบ้อเร่อ จะว่าพระนาซีก็ไม่น่าใช่ (ฮา) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 07, 2010, 11:39:48 PM http://en.wikipedia.org/wiki/Swastika (http://en.wikipedia.org/wiki/Swastika)
...ผมเคยเห็นรูปในหนังสือปืน ปืนวินเชสเตอร์คานเหวี่ยงของอินเดียนแดง ประดับประดาติดหมุด ที่พานท้ายทำเป็นลายสวัสดิกะ สัดส่วนเท่า หันด้านเดียว กับของนาซีเปี๊ยบเลย แต่หาไฟล์ดิจิตอลไม่เจอครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 12:15:17 AM ขอบพระคุณมากครับท่าน Don และท่าน Rath 72 ::014:: ผมนึกว่าเยอรมันคิดเองเสียอีก
เครื่องหมายมัดหวายและขวานก็ดูขลังและน่าเกรงขามดีนะครับ ของอิตาลีใช่ไหมครับ ผมจำได้ว่ามุสโสลินีมีทหารที่เรียกว่ากองพันเชิ๊ตดำ(ใช่หรือเปล่าครับ) ก็เลยพาลนึกถึงนิยายของท่าน ป.อินทรปาลิต เรื่องเสือใบ ท่านก็มีกองโจรเชิ๊ตดำเหมือนกัน(ท่าน ป.คงยืมเขามานะครับ) สมัยเด็กๆผมติดนิยายเรื่องนี้มาก อ่านจนไม่เป็นอันกินอันนอนเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 12:27:40 AM ตราสวัสดิกะขาเหลี่ยมจริงๆ แล้วนาซีลอกคนอื่นเขามาครับ เป็นตราสากลใช้กันทั่วโลกตั้งแต่ จีน อินเดีย ไปจนถึงคนเมกันพื้นเมือง (อินเดียนแดง) ผมตามลายแทงของท่าน Don เข้าไปดูใน Wiki มาแล้วครับ สวัสดิกะ มีรากมาจากภาษาเทวนาครี นี่เอง และมีความหมายเป็นมงคลด้วย ชาวอินเดียถึงเอามาเขียนที่รถแต่งงาน ถ้าผมเห็นคงนึกว่าลูกหลานฮิตเลอร์จะแต่งงาน (สวัสดิกะ/สวัสดี ความหมายเดียวกันเลย) ขอบคุณท่าน Don ท่านรพิทรนาถ และท่าน Rath 72 อีกที่ครับ ::014:: ::014:: ::014::ในเยอรมันเอง ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ พวกฝ่ายขวาหลายกลุ่มก็ใช้ตรานี้ครับ ไม่ใช่พรรคนาซีใช้กลุ่มแรก ปีที่แล้วที่ถนนสีลมยังเห็นรถแต่งานของคนไทยเชื้อสายอินเดีย ประดับประดาต่างๆ และเขียนตราสวัสดิกะเต็มคันครับ (หาเจอแล้วจะเอามาโพสลงครับ) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ กันยายน 08, 2010, 12:37:45 AM ขอบพระคุณท่านรพินทรนาถและท่านดอนมากครับที่อธิบายเรื่องตราสวัสดิกะ ::014:: ตอนแรกผมนึกว่าต้นกำเนิดเกิดจากเอาตัว S สองตัวมาซ้อนไขว้กันเสียอีก แต่ดูไปก็เหมือนลายประแจจีนนะครับ รพินทรนาถ ฐากูร (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96_%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3) เป็นกวีชาวอินเดียครับ มีผลงานกวีนิพนธ์ต่างๆมากมาย และเชี่ยวชาญในภาษาเบงกาลีครับ :)ผมเผลอพิมพ์ " ฐากูร " ต่อท้ายชื่อท่านรพินทรนาถทุกทีเลยครับ (ท่านเป็นปราชญ์ชาวอินเดียใช่ไหมครับ) ผมเคยเห็นเครื่องหมาย Wheel Cross บนโล่ของชาวไวกิ้งในหนังTV เรื่องขุนทัพไวกิ้งครับ (หนังเรื่องนี้คงประมาณ 40 กว่าปีมาแล้วครับ) ในหนังเรื่องนี้เวลาพวกไวกิ้งจะเข้ารบจะร้องว่า โอ...ดิน.. ตลอดทุกตอน (http://img638.imageshack.us/img638/8530/tagore3.jpg) ส่วนเครื่องหมายสวัสติกะ ว่ากันจริงๆเป็นเครื่องหมายของพวกชนเผ่าอารยันหรือพวกเชื้อสายคอเคซอยด์ โดยเราจะพบสัญลักษณ์สวัสติกะในคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ซึ่งทั้งสองศาสนานี้ต่างก็ใช้ภาษาสันสกฤตในการบันทึกพระคัมภีร์เช่นเดียวกันครับ ::014:: ป.ล. เทวนาครีเป็นรูปแบบตัวอักษรชนิดหนึ่งนะครับ ไม่ใช่ภาษา ในอินเดียตัวอักษรเทวนาครีจะใช้บันทึกคำในภาษาต่างๆ ทั้งภาษามคธหรือภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาทมิฬ ฯลฯ ครับ :) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 08, 2010, 12:39:18 AM ณ ถนนสีลม
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 09:46:12 AM กราบขอบพระคุณท่านรพินทรนาถและท่านDonมากครับ ::014:: ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ กันยายน 08, 2010, 10:08:23 AM บางตำราก็บอกว่า... เครื่อหมายสวัสดิกะ... ดัดแปลงมาจากสัญลักษณ์นำโชคของจีนครับ... โดยเอามาปรับแต่งนิดหน่อย... ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 10:14:11 AM เนื่องจากวงสนทนาได้เฉี่ยวไปอินเดียนิดหนึ่ง ผมก็นึกถึงทหารกูรข่าขึ้นมาได้ ไม่ทราบว่าในเวปนี่มีการสนทนาเรื่องทหารกูรข่ากันไว้บ้างหรือยังครับ ถ้ายังไม่มีผมก็ขอเริ่มสงสัยก่อนเลยว่า ทหารกูรข่านี่มีที่มาที่ไปอย่างไรครับ ขอความกรุณาท่านผู้รู้ด้วยนะครับ
สมัยเด็กๆผมนั่งรถเมล์ผ่านสถานฑูตอังกฤษที่เพลินจิตทุกวัน ก็ได้เห็นเขาทุกวัน ตามที่เคยอ่านผ่านๆตาและจำได้เลาๆ ทหารกูรข่านี่มีความอดทนและเก่งในการรบมาก จำได้ว่าเคยแข่งอะไรสักอย่างกับทหารผิวขาวชาวตะวันตก ปรากฎว่ากูรข่าชนะขาดลอย (ถึงทหารไทยก็เถอะถ้าแข่งเรื่องความสามารถเฉพาะตัวกับทหารตะวันตกผมว่าเราก็เก่งกว่า อย่าเอาความก้าวหน้าทางอาวุธยุทโธปกรณ์มาช่วยก็แล้วกัน) ผมอยากให้เล่าถึงมีดกูรข่าด้วยนะครับ(บางที่ผมเห็นเรียกว่ามีดกรูกรี) ผมเคยเห็นประกาศขายในหนังสือ อวป.ก็เกือบซื้อเหมือนกันแต่คิดว่าได้มาแล้วก็คงเก็บไว้เฉยๆ คงไม่กล้าเอาไปใช้งาน เลยซื้ออีเหน็บแทน กราบขอบพระคุณสำหรับทุกความรู้ครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 08, 2010, 10:55:01 AM ออ คงต้องรอผู้รู้มาให้ข้อมูลนะครับ ผมรู้เบื้องต้นว่าเป็นทหารรับจ้างชาวเนปาลที่ อังกฤษ จ้างมาครับ นอกเหนือกว่านั้นเดียวผู้รู้มาตอบนะครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 03:28:41 PM ออ คงต้องรอผู้รู้มาให้ข้อมูลนะครับ ผมรู้เบื้องต้นว่าเป็นทหารรับจ้างชาวเนปาลที่ อังกฤษ จ้างมาครับ นอกเหนือกว่านั้นเดียวผู้รู้มาตอบนะครับ ::014:: ขอบพระคุณครับท่าน Art ::014:: เดี๋ยวผมไปปูเสื่อรอที่บ้านครับ ::014::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 08, 2010, 04:40:52 PM อิ อิ เข้าหัวข้อมากเลยครับ ที่จริงถ้าคุยกันเร่องสงครามโลกครั้งที่สองมากๆ น่าจะคุยเรื่องทหารกูรข่าด้วย เพราะเป็นทหารของจักรวรรดิอังกฤษกลุ่มหนึ่งที่ทำการรบหลายสมรภูมิมาก และสูญเสียมาก บทบาทของทหารกูรข่ามีส่วนในชัยชนะของอังกฤษไม่น้อย ในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารกูรข่าเสียชีวิตไปตั้ง ๓ หมื่นกว่าคน
ชนเผ่ากูรข่าเป็นคำเรียกรวมๆ ของชนเผ่ากลุ่มหนึ่งในเนปาล และอินเดียตอนเหนือ เมื่ออังกฤาไปปกครองอินเดีย สมัยนั้นรวมทั้งอัฟกา ปากี บังคลาเทศ และพม่าด้วย ก็จะดูว่าชนเผ่าไหนมีบุคลิก วัฒนธรรมห้าวหาญ เก่งในการรบ แล้วก็นำมาเป็นทหารใช้ปกครองเผ่าอื่น เช่น ปาทาน และกูรข่า ต่อมาเมื่อเป็นประเทศเอกราชกันอีก อังกฤษก็ยังรับกูรข่าเป็นทหารรับจ้างต่อมา การที่นิยมใช้กูรข่าต่อเนื่องนี้ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผลประโยชน์สมกันทั้งสองผ่าย เนปาลนั้นแห้งแล้ง ความเป็นอยู่ลำบาก ผลิตอะไรไม่ค่อยได้ทั้งการเกษร และอุตสาหกรรม การค้าก็ลำบาก การเป็นทหารรับจ้างจึงเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งที่น่าพิจารณา สมัยนี้อังกฤษรับสมัครผู้ชายเนปาลชนเผ่าไหนก็ได้เป็นทหารกูรข่า มีคนมาสมัครมากกว่าจำนวนรับหลายสิบเท่าเสมอ (นอกเรื่องเล็กน้อยครับ เพื่อนผมคนสวิสเขายังเคยบอกว่าเมื่อก่อนยุคกลางยุคเรอเนสซองค์ที่สวิสไปเป็นทหารรับจ้างกันมากนั้น ก็เพราะว่าในสวิสเซอร์แลนด์ยากจน ความเป็นอยู่ลำบาก เลยไปรับจ้างเจ้ายุโรปรวยๆ ที่อื่น เช่น ฝรั่งเศษ อิตาลี วาติกัน ฯลฯ) ในปัจจุบัน รายได้ของประเทศเนปาล อันดับ ๑ คือการท่องเที่ยว อันดับสองคือเงินเดือน และบำนาญของทหารกูรข่า ที่จริงเงินเดือนแลบำนาญของทหารกูรข่านั้นอังกฤษให้น้อยกว่าทหารอังกฤษยสเท่ากันนะครับ เป็นเรื่องที่เขาเรียกร้องกันมากว่าไม่ยุติธรรม ตอนปลายทศวรรษ '๙๐ ผมเรียนที่อังกฤาเรื่องนี้กำลังถกกันเครียดเลย ทีวีก็ทำรายการเรื่องทหารกูรข่าบ่อยๆ ต่อจากนั้นก็มีกฏหมายออกมา ๑๐ กว่าปีนี้ว่าให้บำนายเท่ากับทหารอังกฤษแต่ถ้าเป็นทหารไม่นานพอก็ไม่ได้บำนาญ และให้ครอบครัวมีสิทธิไปอยู่อังกฤษได้ สำหรับหน้าที่ รปภ. สถานทูตนั้น เคยถามเจ้าหน้าที่อังกฤษ เขาบอกว่าแล้วแต่ครับ ไม่ได้ใช้ทหารกูรข่าประจำสถานทูตอังกฤษทุกแห่งในโลก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 08, 2010, 04:52:09 PM สำหรับทรงมีด กูคลี (Kukri) ของกูรข่านั้น บางแนวคิดบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากทรงดาบ Kopis ซึ่งเป็นดายกรีกโบราณแบบหนึ่ง โดยมาพร้อมกับกองทัพของ อเล๊กซานเดอร์ เดอะ เกรท ที่มายังอัฟกานิสถาน และทางเหนือของอินเดียในช่วง ๓๐๐ กว่าปี ก่อน ค.ศ.
ภาพดาบ Kopis หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 08, 2010, 04:57:29 PM :)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 08, 2010, 05:02:10 PM ;)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 07:04:35 PM ขอบพระคุณมากครับท่าน Don ::014:: ทรงของมีด Kukri และดาบ Kopis นี้ดูเหมือนจะให้หนักส่วนปลายนะครับ (คงหวังน้ำหนักในการฟัน) ผมเคยได้ยินที่ไหนสักแห่งเขาบอกว่าสามารถฟันคอวัวให้ขาดได้ในครั้งเดียว :OO
ทหารกูรข่าที่ผมเห็นตัวจริงและตามรูปถ่ายนั้นรูปร่างเล็กๆทั้งนั้น คงได้เปรียบเรื่องความคล่องแคล่วอยู่ ไม่ทราบว่าทหารกูรข่าที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ได้สร้างเกียรติประวัติไว้ที่ไหนบ้างครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 08, 2010, 11:17:45 PM ผมพยายามเข้าไปค้นเรื่องกูรข่าใน Wigiของไทยปรากฎว่าไม่มีครับ ส่วนWigiของฝรั่งผมก็สะกดผิดสะกดถูกอยู่นาน ต้องเอามีดKukriของท่านDonไปให้มันดูมันถึงได้โยงไปเรื่องกูรข่าให้ จึงรู้ว่าเขาสะกดว่า " Gurkha " ครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กันยายน 10, 2010, 08:21:14 PM เคยอ่านผ่านตาว่า ทุกวันนี้ตอนคัดเลือกทหารกรุข่า ยังมีอัตราส่วน ให้ไปสังกัดกองทัพอินเดีย อังกฤษ และ เนปาล
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: krajong ที่ กันยายน 10, 2010, 08:31:06 PM (http://img228.imageshack.us/img228/2018/dsc03375k.jpg) (http://img228.imageshack.us/i/dsc03375k.jpg/)
(http://img69.imageshack.us/img69/4795/dsc03374x.jpg) (http://img69.imageshack.us/i/dsc03374x.jpg/) (http://img841.imageshack.us/img841/7043/dsc03371o.jpg) (http://img841.imageshack.us/i/dsc03371o.jpg/) ในหลายเว็บบอร์ดบอกว่าเขาจะพกมีดที่ว่าเอิกเริกมาก แต่ผมก็ไม่มั่นใจ แต่ภาพที่ผมถ่ายใด้ มาจากสนามบินสิงค์โปร์ ครับ มือถือ mp5 แล้วยังพกมีดอีกอันเบ้อเร้อ ตอนที่ผมถ่ายถาพเจ้าตัวเขาชี้มาที่ผม แล้วพูดว่า you no no that one(แปลได้ว่า มึงถ่ายกูหลายใบเกินไปแล้วนะ มึงพอได้แล้ว) ผมก็เลย ครับๆรีบเก็บกล้อง เผ่น เหอะ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 10, 2010, 08:42:03 PM เข้าใจว่าเป็นชื่อกองทหารที่แยกออกไปเป็นของประเทศอินเดีย และเนปาลตอนที่ได้รับเอกราชครับ ต่างกับการรับสมัคร ฝึกหัด ประจำการของทหารกูรข่าในกองทัพอังกฤษต่อๆ มา
ส่วนของสิงคโปร์ และบรูไนนั้นจ้างทหารกูรข่าที่เคยประจำการในกองทัพอังกฤษมาแล้ว http://en.wikipedia.org/wiki/Gurkha (http://en.wikipedia.org/wiki/Gurkha) http://en.wikipedia.org/wiki/Gorkha_regiments_(India) (http://en.wikipedia.org/wiki/Gorkha_regiments_(India)) http://en.wikipedia.org/wiki/Nepalese_Army (http://en.wikipedia.org/wiki/Nepalese_Army) ...There is still some misunderstanding that the Nepali Army is a part of the British and Indian Armies. The Gurkha Rifles existing in India and Britain are part of foreign military organizations where Nepalis are recruited... หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 10, 2010, 08:47:02 PM เพิ่มเติมครับ
United States Navy The United States Navy employs Gurkha guards as sentries at its base in Naval Support Activity Bahrain and on the US Navy side of the pier at Mina Salaman. The Gurkhas work alongside Navy members in day-to-day operations. Singapore Gurkha Contingent The Gurkha Contingent (GC) of the Singapore Police Force was formed on 9 April 1949 from selected ex-British Army Gurkhas. It is an integral part of the Police Force and was raised to replace a Sikh unit which had existed prior to the Japanese occupation during the Second World War.[42] The GC is a well trained, dedicated and disciplined body whose principal role is as a specialist guard force. In times of crisis it can be deployed as a reaction force. During the turbulent years before and after independence, the GC acquitted itself well on a number of times during outbreaks of civil disorder. The Gurkhas displayed the courage, self restraint and professionalism for which they are famous and earned the respect of the society at large.[42] Recently the GC can be seen patrolling the streets and have replaced local policemen to guard key installations. The most recent deployment of the GC was to provide additional security for the Singapore Airshow, Asia's largest airshow, and the hunt for the escaped terrorist, Mas Selamat. หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 10, 2010, 08:55:12 PM ขอบพระคุณมากครับท่าน Don ::014:: ทรงของมีด Kukri และดาบ Kopis นี้ดูเหมือนจะให้หนักส่วนปลายนะครับ (คงหวังน้ำหนักในการฟัน) ผมเคยได้ยินที่ไหนสักแห่งเขาบอกว่าสามารถฟันคอวัวให้ขาดได้ในครั้งเดียว :OO ทหารกูรข่าที่ผมเห็นตัวจริงและตามรูปถ่ายนั้นรูปร่างเล็กๆทั้งนั้น คงได้เปรียบเรื่องความคล่องแคล่วอยู่ ไม่ทราบว่าทหารกูรข่าที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ได้สร้างเกียรติประวัติไว้ที่ไหนบ้างครับ มีดกูคลี ผมว่าฟันคอวัวขาดไม่ไหวละครับ คอคนละไม่แน่ อย่างไรก็ตามผมว่าจากลักษณะหน้าใบมีดโค้ง ช่วยในการเฉือนเนื้อ เป็นลักษณะมีดต่อสู้มากกว่ามีดใช้งานทั่วไป หน้าใบมีดโค้งแบบนี้ถ้าเอาไปฟันอะไรแข็งๆ อย่างไม้ ต้องให้จุดกระทบพอดีจริงๆ ตั้งฉากกับแนวที่ฟันลงมา ถึงจะได้แรงเต็มที่ ใช้งานทั่วไปในป่าผมว่ามีดทรงพร้าดีกว่า ต่อสู้ฟันคนก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าทำปลายให้แหลมหน่อยก็แทงได้อีก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กันยายน 10, 2010, 09:09:18 PM เห็นภาพข่าวสงครามอินเดียปากีสถาน ครั้งล่าสุด ยังมีเค้าหน้าแบบจีนปนแขกครับ โชว์มีดกูครี
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ กันยายน 11, 2010, 03:51:54 AM เอามาฝากครับ
http://health2u.exteen.com/20090521/entrance (http://health2u.exteen.com/20090521/entrance) http://www.se-ed.com/eShop/Products/image.axd?picture=9789745197756L.gif&Type=Large (http://www.se-ed.com/eShop/Products/image.axd?picture=9789745197756L.gif&Type=Large) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ กันยายน 11, 2010, 10:55:45 AM เอามาฝากครับ ขอบพระคุณท่าน Soap มากครับ ::014::http://health2u.exteen.com/20090521/entrance (http://health2u.exteen.com/20090521/entrance) http://www.se-ed.com/eShop/Products/image.axd?picture=9789745197756L.gif&Type=Large (http://www.se-ed.com/eShop/Products/image.axd?picture=9789745197756L.gif&Type=Large) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 19, 2010, 06:16:36 PM น้อง DON หรือ ท่านอื่นครับ ขอความเห็นนะครับ กรณีการรบที่ เดิกท์ ที่เป็นสงครามรถถังที่ใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกแล้วเยอรมันถอนตัวจาการรบ สาเหตุจากรบแพ้รัสเซีย และ มีการยกพลขึ้นบกที่ อิตาลี่จึงต้องถอนกำลังจากแนวรบด้ารรัสเซีย ไปป้องกันที่อิตาลี่ความเข้าใจผมถูกต้องไหมครับ :D ::008:: ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 19, 2010, 08:21:13 PM ตามความเข้าใจของผม การขึ้นบกที่ซิซิลี ไม่ค่อยมีผลต่อการถอนหรืโยกย้ายกำลังครับ
เพราะไม่ได้มีการย้ายกำลังขนาดใหญ่อย่างมีนัยยะสำคัญจากแนวรบด้านตะวันออกไปที่อิตาลี การขนส่งจากโซเวียตไปอิตาลีตอนใต้นั้นยากลำบากสำหรับเยอรมันมากๆ ครับ แถมเมดิเตอร์เรเนียนก็ถูกอังกฤษคุม แค่ส่งกำลังบำรุงไปอัฟริกาเหนือก็ไม่ไหวแล้วครับ อีกเรื่องคือแนวรบด้านอิตาลีนั้นเป็นแนวรบแคบๆ ภูมิประเทศเป็นภูเขามาก สำหรับภาคพื้นคาบสมุทรอิตาลีเองมีแนวเขาเหนือใต้ มีแนวรบพื้นที่ราบแค่ชายฝั่งเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วเยอรมันบริหารจัดการโยกย้ายกำลังไม่ค่อยได้แม้แต่ในแนวรบเดียวกัน เพราะฮิตเล่อร์ชอบคิดว่าเป็นการถอย และคำนี้ขัดใจท่านผูนำที่สุด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 19, 2010, 08:27:49 PM ตามความเข้าใจของผม การขึ้นบกที่ซิซิลี ไม่ค่อยมีผลต่อการถอนหรืโยกย้ายกำลังครับ การรบที่เดิทร์ เยอรมันรบแพ้ รัสเซีย แต่กลัวทหารเสียขวัญเลยเรียก ว่าโยกย้ายกำลังใช่ไหมครับเพราะไม่ได้มีการย้ายกำลังขนาดใหญ่อย่างมีนัยยะสำคัญจากแนวรบด้านตะวันออกไปที่อิตาลี การขนส่งจากโซเวียตไปอิตาลีตอนใต้นั้นยากลำบากสำหรับเยอรมันมากๆ ครับ แถมเมดิเตอร์เรเนียนก็ถูกอังกฤษคุม แค่ส่งกำลังบำรุงไปอัฟริกาเหนือก็ไม่ไหวแล้วครับ อีกเรื่องคือแนวรบด้านอิตาลีนั้นเป็นแนวรบแคบๆ ภูมิประเทศเป็นภูเขามาก สำหรับภาคพื้นคาบสมุทรอิตาลีเองมีแนวเขาเหนือใต้ มีแนวรบพื้นที่ราบแค่ชายฝั่งเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วเยอรมันบริหารจัดการโยกย้ายกำลังไม่ค่อยได้แม้แต่ในแนวรบเดียวกัน เพราะฮิตเล่อร์ชอบคิดว่าเป็นการถอย และคำนี้ขัดใจท่านผูนำที่สุด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 20, 2010, 01:52:08 AM อือม์ ผมยังไม่เคยได้ยินครับว่าเขาอ้างอย่างนี้ที่เคิร์สด้วย
แต่ถ้าเราดูว่าทางการเยอรมันแถลงว่าอย่างไร? ผมว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ ประกาศทางการของเยอรมันยุคนั้นมักไม่ตรงความจริงเสมอ คามจริงก็ร่นมาเรื่อยๆ แต่แถลงว่ามีการถอย/ แพ้ จริงๆ ก็เฉพาะที่เป็นกระเด็นสนใจของสาธารณะ หรือมีการประกาศทางการมาก่อนว่าไม่ยอมแพ้ เมื่อแพ้ก็อ้างอย่างอื่นไม่ออก อย่างสตาลินกราด หรือเบรสเลา เร็วๆ นี้ผมเจอในยูปทูปเป็นภาพยนต์ทางการของเยอรมันตอน D-day, June 6th ทางการเยอรมันทำเป็นเรื่องเป็นราวว่ามีการบุกแล้วทหารต่อสู้ไว้ได้ พร้อมแสดงภาพเชลยศึก แต่ไม่บอกว่าผลในที่สุดเป็นอย่างไร หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กันยายน 20, 2010, 01:55:12 AM เห็นแล้วมึน
Normandy invasion (1944): D-Day German footage (http://www.youtube.com/watch?v=u5lnR8DmoLc#) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กันยายน 20, 2010, 05:32:42 AM หนังโฆษณาชวนเชื่อ ครับดูแล้วเยอรมันชนะวันดีเดย์จริงๆคนละเรื่องเลยระหว่างหนังกับความจริง ครับน้อง DON
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ ตุลาคม 09, 2010, 01:24:22 PM ตามความเข้าใจของผม การขึ้นบกที่ซิซิลี ไม่ค่อยมีผลต่อการถอนหรืโยกย้ายกำลังครับ เพราะไม่ได้มีการย้ายกำลังขนาดใหญ่อย่างมีนัยยะสำคัญจากแนวรบด้านตะวันออกไปที่อิตาลี การขนส่งจากโซเวียตไปอิตาลีตอนใต้นั้นยากลำบากสำหรับเยอรมันมากๆ ครับ แถมเมดิเตอร์เรเนียนก็ถูกอังกฤษคุม แค่ส่งกำลังบำรุงไปอัฟริกาเหนือก็ไม่ไหวแล้วครับ อีกเรื่องคือแนวรบด้านอิตาลีนั้นเป็นแนวรบแคบๆ ภูมิประเทศเป็นภูเขามาก สำหรับภาคพื้นคาบสมุทรอิตาลีเองมีแนวเขาเหนือใต้ มีแนวรบพื้นที่ราบแค่ชายฝั่งเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วเยอรมันบริหารจัดการโยกย้ายกำลังไม่ค่อยได้แม้แต่ในแนวรบเดียวกัน เพราะฮิตเล่อร์ชอบคิดว่าเป็นการถอย และคำนี้ขัดใจท่านผูนำที่สุด ผมจำได้ว่า (ไม่รู้ว่าจำผิดหรือไม่นะครับ หลังๆความจำชักแย่ :~)) มีการถอนกำลัง 1st Panzer Division จากรัสเซียไปเสริมแนวรับที่อิตาลี ซึ่งเป็นกองพลยานเกราะชั้นหัวกะทิ ก็น่าจะทำให้สมรรถภาพทางการรบในแนวรบตะวันออกด้อยลงไปเหมือนกันนะครับ และว่าจะถามท่านต๊อกมานานแล้วครับเรื่อง ปตอ ลูกแตกอากาศที่ใช้บารอมิเตอร์เป็นตัวกำหนดว่าจะให้ลูกปืนใหญ่มันระเบิดออกเมื่อใด คือผมอยากรู้ว่าเค้าตั้งไอ้ตัวบารอมิเตอร์นี่กันยังไงครับ ให้มันแตกในระดับความสูงที่ต้องการ หรือว่าตั้งไม่ได้ ต้องใช้ลูกที่จะระเบิดในระดับความสูงที่ fix มาแล้วแต่มีหลากหลายระดับความสูง ??? แต่อันหลังดูไม่น่าใช่เลย ไม่งั้นบริหารสต๊อกลูกปืนใหญ่กันงงน่าดู ผมหาข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วไม่เคยเจอเลย รบกวนขอความรู้หน่อยครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ ตุลาคม 09, 2010, 01:54:07 PM นึกออกแล้วครับ กองพลยานเกราะที่1 ถูกโยกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในบอลข่านตะหาก ก่อนช่วงการรบที่เคิร์สเสียด้วย (ถามเองตอบเอง แฮ่ๆ)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 09, 2010, 02:20:20 PM ผมก็ไม่ทราบครับว่าตั้งยังไง เดาว่านะจะทำกลียวให้ไขที่หัวกระสุนอย่างใดอน่างหนึ่ง แต่สมัยนั้นตั้งได้ครับว่าจะให้แตกที่ระยะไหน
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: สุพินท์ - รักในหลวง ที่ ตุลาคม 09, 2010, 05:09:48 PM ตามความเข้าใจของผม การขึ้นบกที่ซิซิลี ไม่ค่อยมีผลต่อการถอนหรืโยกย้ายกำลังครับ เพราะไม่ได้มีการย้ายกำลังขนาดใหญ่อย่างมีนัยยะสำคัญจากแนวรบด้านตะวันออกไปที่อิตาลี การขนส่งจากโซเวียตไปอิตาลีตอนใต้นั้นยากลำบากสำหรับเยอรมันมากๆ ครับ แถมเมดิเตอร์เรเนียนก็ถูกอังกฤษคุม แค่ส่งกำลังบำรุงไปอัฟริกาเหนือก็ไม่ไหวแล้วครับ อีกเรื่องคือแนวรบด้านอิตาลีนั้นเป็นแนวรบแคบๆ ภูมิประเทศเป็นภูเขามาก สำหรับภาคพื้นคาบสมุทรอิตาลีเองมีแนวเขาเหนือใต้ มีแนวรบพื้นที่ราบแค่ชายฝั่งเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วเยอรมันบริหารจัดการโยกย้ายกำลังไม่ค่อยได้แม้แต่ในแนวรบเดียวกัน เพราะฮิตเล่อร์ชอบคิดว่าเป็นการถอย และคำนี้ขัดใจท่านผูนำที่สุด ผมจำได้ว่า (ไม่รู้ว่าจำผิดหรือไม่นะครับ หลังๆความจำชักแย่ :~)) มีการถอนกำลัง 1st Panzer Division จากรัสเซียไปเสริมแนวรับที่อิตาลี ซึ่งเป็นกองพลยานเกราะชั้นหัวกะทิ ก็น่าจะทำให้สมรรถภาพทางการรบในแนวรบตะวันออกด้อยลงไปเหมือนกันนะครับ และว่าจะถามท่านต๊อกมานานแล้วครับเรื่อง ปตอ ลูกแตกอากาศที่ใช้บารอมิเตอร์เป็นตัวกำหนดว่าจะให้ลูกปืนใหญ่มันระเบิดออกเมื่อใด คือผมอยากรู้ว่าเค้าตั้งไอ้ตัวบารอมิเตอร์นี่กันยังไงครับ ให้มันแตกในระดับความสูงที่ต้องการ หรือว่าตั้งไม่ได้ ต้องใช้ลูกที่จะระเบิดในระดับความสูงที่ fix มาแล้วแต่มีหลากหลายระดับความสูง ??? แต่อันหลังดูไม่น่าใช่เลย ไม่งั้นบริหารสต๊อกลูกปืนใหญ่กันงงน่าดู ผมหาข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วไม่เคยเจอเลย รบกวนขอความรู้หน่อยครับ ::014:: ชนวน ปตอ.มีหลายแบบครับ ที่แน่ ๆ คือต้องมีระบบทำลายตัวเอง เพราะเป็นการยิงใน พท.ฝ่ายเดียวกัน สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นชนวนเวลา ปรับตั้งได้ แต่ช่วงท้ายสงคราม เป็นแบบเฉียดระเบิด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 09, 2010, 06:20:38 PM ขอบคุณครับท่านผู้การ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 09, 2010, 11:35:32 PM ขอบพระคุณสำหรับความรู้จากทุกท่านครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: krajong ที่ ตุลาคม 10, 2010, 12:24:16 AM ฝรั่ง บอกว่า seeing is beliving
กพล ทองพลับ บอกว่า อย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่คุณเห็น เพราะมันอาจไม่ได้เป็นในสิ่งที่คุณคิด หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ ตุลาคม 10, 2010, 12:58:09 PM ขอบคุณท่านต๊อก กับท่านผู้การมากครับ ::014::
ขอรบกวนถามท่านผู้การอีกครั้งครับว่า ชนวนแบบเฉียดระเบิดนี่เป็นยังไงครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ตุลาคม 10, 2010, 02:35:53 PM ชนวนเฉียดระเบิด (Proximity Fuze) เป็นชนวนที่ใช้คลื่นวิทยุในการจุดชนวนหัวรบเมื่อเคลื่อนที่เข้าใกล้เป้าหมายในระยะ โดยหัวรบไม่ต้องพุ่งกระทบเป้าครับ โดยท่านอาจารย์สุพินท์ได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้
เดิมมีเฉพาะกระทบแตก กับถ่วงเวลาด้วยลานนาฬิกา เพราะกระสุนกระทบแตก จะปล่อยให้ตกลงมาระเบิดที่พื้นดินไม่ได้ ส่วนพวกเฉียดระเบิด ( Proximity Fuze) อังกฤษคิด แล้วส่งให้อเมริกันทำ กว่าจะเสร็จก็ปลายสงคราม ในยุโรปได้ใช้ครั้งเดียว คือสงครามรถถัง ตอนเยอรมันรวมกำลังบุกเบลเยี่ยมครั้งสุดท้าย ซ่อนรถถังหลบในป่า อเมริกันใช้กระสุนแบบนี้ยิงคลุมเข้าไปในป่า ให้ระเบิดเมื่อใกล้รถถัง ส่วนสงครามแปซิฟิค ชนวน Proximity Fuze ช่วยกองเรืออเมริกัน เอาไว้จากคามิกาเซ่ ถ้าไม่ได้ Proximity Fuze คงตายกันอีกมาก ว่ากันตามจริง ในศึก Battle of the Bulge ถ้ากองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) แข็งแกร่งเหมือนช่วงต้นสงครามโลก ป่านนี้ประวัติศาสตร์โลกคงได้จารึกว่า ทหารอเมริกันแตกทัพถอยร่นออกจากป่าอาร์เดนส์แทบไม่ทันเลยทีเดียวครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ ตุลาคม 10, 2010, 06:50:05 PM ขอบคุณท่านผู้การและคุณรพินทรนาถอีกครั้งครับ ::014::
ใช่ครับคุณรพินทรนาถ เยอรมันยุคนั้นต้องแลกหมัดกับยักษ์สามตัว ย่านอุตสาหกรรมลุ่มน้ำไรน์ก็ถูกคู่หูดูโออังกฤษ-อเมริกาสลับกันส่งน้องหนูแลงคาสเตอร์กับ B-17 มานวดแผนโบราณให้ทั้งกลางวันกลางคืน ทางตะวันออกพี่หมีก็ตบเอาๆ คนที่สู้ไม่ถอยจนก้าวเดียวก็ดันเป็นท่านผู้นำซะอีก เป็นชะตากรรมของคนในชาติจริงๆที่มีผู้นำแบบนี้ (แต่ก็ยังดูดีมีอุดมการณ์กว่าอดีตผู้นำบางประเทศ ที่ยุให้คนในประเทศฆ่ากันเองเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ได้มาโดยการทุจริตของตัวเอง) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ตุลาคม 13, 2010, 01:02:39 AM น้อง DON หรือ ท่านอื่นครับ ขอความเห็นนะครับ กรณีการรบที่ เคิร์สค์ ที่เป็นสงครามรถถังที่ใหญ่ครั้งหนึ่งของโลกแล้วเยอรมันถอนตัวจาการรบ สาเหตุจากรบแพ้รัสเซีย และ มีการยกพลขึ้นบกที่ อิตาลี่จึงต้องถอนกำลังจากแนวรบด้ารรัสเซีย ไปป้องกันที่อิตาลี่ความเข้าใจผมถูกต้องไหมครับ :D ::008:: ::014:: การยุทธ์ที่เมืองเคิร์สค์ (Kursk) ถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริง กองทัพเยอรมันเสียเปรียบกองทัพโซเวียตมากอยู่แล้วครับ เพราะกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างได้รับความบอบช้ำจากสมรภูมิอื่นๆในแนวรบรัสเซียเหมือนกัน โดยเฉพาะการยุทธ์ที่เมืองสตาลินกราดที่มีความสูญเสียสูงมากเอาประเด็นแรกที่เรื่องการส่งกำลังบำรุงก่อนนะครับ กองทัพโซเวียตแม้กองทัพเยอรมันจะถูกโอบล้อมก็จริง แต่มันก็ทำให้สายการส่งกำลังบำรุงของโซเวียตมีระยะทางสั้นกว่าของเยอรมันด้วยหลักที่เรียกว่า "การเดินทางสายใน" ซึ่งผิดกับฝ่ายเยอรมันเมื่อจะส่งกำลังไปบำรุงปีกของตนก็ต้องอ้อมแนวรบไปเนื่องจากไม่สามารถฝ่าเข้าไปกลางพื้นที่ยึดครองของข้าศึกได้ ในขณะเดียวกันหากมีการสูญเสียกำลังพลหรือยุทโธปกรณ์เมื่อไหร่ ทางโซเวียตก็สามารถเสริมกำลังได้รวดเร็วกว่าเยอะครับ ประเด็นต่อมา สภาพภูมิประเทศบริเวณรอบเมืองเคิร์สค์นั้นเป็นพื้นที่การเกษตร มีสภาพเป็นทุ่งราบขนาดใหญ่สลับเนินเขาเตี้ยๆ ดังนั้นเมื่อกองทัพเยอรมันเคลื่อนพลจึงหาได้หลุดรอดการตรวจจับของทางโซเวียตไม่ โดยทางโซเวียตเองสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวได้จากระยะแนวเส้นขอบฟ้าแล้ว จึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะเตรียมตัวพร้อมกับการบุกของทางเยอรมัน รวมทั้งพื้นดินในพื้นที่แถบนั้นก็มีลักษณะเป็นดินโคลน จึงไม่เอื้ออำนวยให้รถถังที่มีอำนาจการยิงสูงแต่มีน้ำหนักมากอย่างรถถัง Panzer V หรือ Tiger เคลื่อนที่ได้สะดวกมากนัก ประเด็นสุดท้าย กองทัพเยอรมันผิดพลาดที่เร่งรีบส่งรถถังรุ่นใหม่ที่ยังไม่ได้รับการทดสอบสมรรถนะดีพอเข้าสู่สนามรบ ซึ่งรถถังรุ่นที่ว่านี้ก็คือรถถัง Panzer V หรือ Panther ซึ่งมีปัญหาเรื่องความเสถียรของเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก ทำให้การดำเนินยุทธวิธีมีความคลาดเคลื่อนตามไปด้วย กล่าวคือเมื่อด้านปีกตีโอบเข้ามาไม่ได้หรือไม่ทัน มันก็ทำให้กำลังตรงกลางต้องรับศึกหนักอยู่ฝ่ายเดียว ::012:: ลองอ่านบทความที่ท่านพันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ ได้เขียนไว้นะครับ (นำมาจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=12-07-2009&group=5&gblog=19 (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=12-07-2009&group=5&gblog=19) ) ผมว่าท่านผู้การเขียนวิเคราะห์ได้ดีทีเดียว ::014:: สมรภูมิที่ เคริซ์ หรือ ยุทธการ ซิทาเดล ในสงครามโลกครั้งที่สอง Battle of Kursk - Operation Citadel (http://img707.imageshack.us/img707/1687/1247398490.jpg) นี่คือแผนที่แนวรบด้านตะวันออกหรือด้านรัสเซีย ก่อนยุทธการซิทาเดล (Citadel) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะเปิดฉากขึ้น สีเขียวคือ กำลังฝ่ายเยอรมัน สีแดงคือกองทัพรัสเซีย จะเห็นส่วนของกองทัพรัสเซียยื่นเข้ามาในเขตของเยอรมัน หรือที่เรียกว่า salient ฮิตเลอร์ต้องการทำลายกองทัพรัสเซียที่อยู่ในส่วนที่ยื่นเข้ามาให้หมดไป ด้วยการให้กองทัพเยอรมัน ที่อยู่ด้านบนตีลงมา และกองทัพเยอรมันที่อยู่ด้านล่างตีตัดส่วนที่ยื่นมาขึ้นไป แล้วไปบรรจบกับส่วนข้างบน ซึ่งถ้ายุทธการซิทาเดลประสบผลสำเร็จ ทหารรัสเซียจำนวนมากในส่วนที่ยื่นเข้ามาจะถูกตัดขาดและถูกโอบล้อม อย่างไรก็ตาม จอมพลอีริค ฟอน แมนสไตน์ (Eric Von Manstein) แย้งว่า เยอรมันยังไม่พร้อมที่จะทำการรุกใดๆในขณะนั้น เนื่องจากหน่วยต่างๆ ได้รับความบอบช้ำมาจากสงครามในช่วงที่ผ่านมา ควรจะรอไปจนถึงต้นปี 1944 หรือฤดูร้อน เพราะสถานการณ์ในปี 1943 ไม่เหมือนสถานการณ์ในปี 1941 หรือ 1942 ที่เยอรมันสามารถทำการรุกได้ทุกรูปแบบ แต่ฮิตเลอร์ก็ยังคงยืนยันที่จะเปิดยุทธการซิทาเดล ในปี 1943 และนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ในเดือนมิถุนายน 1943 แนวรบด้านรัสเซียมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก นับแต่จุดเริ่มต้นการบุกรัสเซียในยุทธการบาร์บารอสซ่า (Barbarossa) เมื่อปี 1941 เนื่องจากความพ่ายแพ้ของกองทัพที่ 6 ที่เมืองสตาลินกราด จึงมีการวางแผนการรุกครั้งใหญ่ซึ่งจะมีขึ้นที่เมือง KURSK เนื่องจากแนวหน้าของรัสเซียโผล่ล้ำเข้ามาในแนวของเยอรมันอย่างมาก ก่อให้เกิดส่วนยื่นหรือ salient ทำให้เยอรมันต้องใช้กำลังพลจำนวนมากในการตรึงกองทัพรัสเซียบริเวณนี้เอาไว้ เพื่อป้องกันการรุกของกองทัพรัสเซียที่โผล่ยื่นเข้ามาในเขตของเยอรมัน ฮิตเลอร์มีแนวความคิดที่จะทำลายกองทัพรัสเซียในบริเวณส่วนที่ยื่นเข้ามานี้ จึงวางแผนยุทธการซิทาเดล (CITADEL) เพื่อโจมตีกองทัพรัสเซียด้วยกำลังจำนวนมาก โดยกำลังฝ่ายเยอรมันประกอบด้วยทหารกว่า 900,000 คน รถถังกว่า 2,700 คัน ปืนใหญ่อีกกว่า 10,000 กระบอก ฮิตเลอร์หวังว่า การรบครั้งจะเปลี่ยนแปลงสงครามทางด้านตะวันออกได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งจะเป็นการหยุดกระแสการหลั่งไหลเข้ามาในแนวรบของกองทัพรัสเซีย กำลังของรัสเซียสืบทราบความเคลื่อนไหวของเยอรมันในครั้งนี้ จึงได้เตรียมกำลังพลจาก กองทัพ 11 กองทัพ กำลังพลกว่า 1,700,000 คน รถถังกว่า 3,300 คัน ปืนใหญ่ 20,000 กระบอก และเครื่องบินอีกกว่า 2,000 ลำ กับระเบิดกว่าครึ่งล้านลูก พร้อมทั้งทำแนวรบถึง 6 ชั้น ประกอบด้วยสนามเพลาะ แนวทุ่นระเบิด คูดักรถถัง โดยวางแผนว่า เมื่อแนวแรกถูกทำลาย กำลังพลจากแนวแรกจะล่าถอยไปสมทบกับแนวที่สอง ระหว่างที่เยอรมันเคลื่อนที่จากแนวแรกไปแนวที่สอง จะพบกับการระดมยิงด้วยปืนใหญ่อย่างหนัก เมื่อถึงแนวที่สอง ทหารเยอรมันจะเริ่มบอบช้ำ ในขณะที่ทหารรัสเซียจะมีกำลังพลจากแนวแรกมาเพิ่ม จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สรุปก็คือ ยิ่งรุก เยอรมันจะยิ่งล้า ในขณะที่แนวรับของรัสเซียจะยิ่งเข้มแข็งขึ้น รถถังส่วนใหญ่ของ เยอรมันเป็นรถถัง PANZER MK IV หรือแม้แต่ MK III ซึ่งติดตั้งปืนใหญ่ 50 มม. ด้อยกว่ารถถังหลัก T 34 ของรัสเซีย แม้ว่าเยอรมันจะมีการใช้รถถังรุ่นใหม่ Panzer V - Panther และ Panzer VI - Tiger แต่เนื่องจากความรีบร้อน รถถังทั้งสองรุ่นนี้จึงมีปัญหาด้านเครื่องยนต์ และขัดข้องก่อนอออกปฏิบัติการเป็นจำนวนมาก (http://img716.imageshack.us/img716/1871/1247398842.jpg) กำลังพลของหน่วย เอส เอส จากประเทศฟินแลนด์ ที่เข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารเยอรมัน ในการรบด้านรัสเซีย (ผมคาดว่าน่าจะโยกกำลังทหารฟินแลนด์เหล่านี้มาจากกองพลยานเกราะเอส เอส ที่ 5 ไวกิ้งมากกว่า) การรบในสมรภูมิเคริซ (Kursk) ได้มีการระดมกำลังยานเกราะของหน่วย เอส เอส เพื่อการรุกครั้งนี้โดยเฉพาะ โดยมีการตั้งกองทัพน้อยยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 (2nd SS. Panzer Corps) ขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพแพนเซอร์ที่ 4 (4th Panzer Army) ของนายพลแฮร์มาน โฮท (Herrman Hoth) ประกอบด้วย - กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 (1st SS. Panzer Division Leitstandarte Adolf Hitler) (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=12-07-2009&group=5&gblog=7) - กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาสไรซ์ (2nd SS. Panzer Division Das Reich) (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=12-07-2009&group=5&gblog=8) - กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (3rd SS. Panzer Division Totenkolf) (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=12-07-2009&group=5&gblog=9) การรุกครั้งนี้ หน่วยยานเกราะเอส เอส จัดรูปขบวนเป็น 2 รูปแบบ แบบแรก ใช้รถถังไทเกอร์ Panzer VI -Tiger เป็นกำลังหลัก อยู่ตรงกลางของรูปขบวน มีรถถัง Panzer V - Panther อยู่ที่ปีกทั้งสองข้าง รูปแบบที่สอง ใช้รถถัง Panzer V- Panther เป็นกำลังหลักอยู่ส่วนกลางของรูปขบวน และใช้ Panzer III, Panzer IV เป็นกำลังส่วนปีกทั้งสองข้าง รูปขบวนทั้งสองนี้ ทรงประสิทธิภาพมาก เพราะอำนาจการยิงอยู่ตรงกลาง เหมาะกับการเจาะแนวตั้งรับของรัสเซีย รถถังที่มีความเร็วอยู่ที่ปีก พร้อมที่จะโอบล้อม เข้าตีตลบ และทำลายกำลังที่ถูกโอบล้อม แต่ในสมรภูมิ Kursk มีจุดอ่อนอยู่ 2 ประการคือ 1. รถถัง Panzer V - Panther มีเครื่องยนต์ที่ไว้ใจไม่ได้ เพราะเพิ่งออกจากโรงงาน ยังไม่มีการตรวจสอบที่พอเพียง (http://img692.imageshack.us/img692/2766/1247400358.jpg) รถถัง Panzer V - Panther ซึ่งเพิ่งออกจากโรงงาน มุ่งตรงสู่สมรภูมิ Kursk ทันที 2. รถถัง Panzer VI - Tiger มีความเชื่องช้าเกินไป ในภูมิประเทศที่เป็นทุ่งโล่ง ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าและไร่ข้าวโพด อย่างสมรภูมิ Kursk แนวรับของรัสเซีย สามารถมองเห็นรถถังของเยอรมันได้ในระยะไกลที่ขอบฟ้า ทำให้สามารถเตรียมการได้อย่างเต็มที่ (http://img707.imageshack.us/img707/5898/1247399924.jpg) รถถัง Panzer VI - Tiger ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์ ขณะเดินทางเข้าสู่สมรภูมิที่ Kursk การรุกของเยอรมันในวันที่ 5 มิ.ย. 1943 เวลา 0430 น. ก่อนการรุก รัสเซียสืบทราบแผนของเยอรมันอย่างละเอียด จึงระดมยิงด้วยปืนใหญ่ เพื่อทำลายการเตรียมการเข้าตีของเยอรมัน 15 นาที ทำให้กำลังพลของเยอรมันสับสนอย่างหนัก แต่ก็สามารถปรับกำลังได้อย่างรวดเร็ว และรุกไปข้างหน้า แต่ก็ได้พบกับการต้านทานอย่างเหนียวแน่น รถถัง TIGER ที่ใช้เป็นหัวหอก เหนือกว่า T 34 ก็จริง แต่ทุ่นระเบิดดักรถถังกว่าครึ่งล้านลูกที่ฝ่ายรัสเซียวางไว้ และคูดักรถถังถึง 6 ชั้น ก็สร้างความเสียหายให้เยอรมันอย่างมาก กอง พลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ (TOTENKOPF - หัวกระโหลกไขว้) ซึ่งเป็นกองพลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดหน่วยหนึ่งของเยอรมัน ใช้รถถังเข้าโจมตีกองพล GUARDS ที่ 52 ของรัสเซีย แม้ว่าจะสามารถรุกคืบหน้าไปได้ แต่ก็พบกับความสูญเสียอย่างหนัก ส่วนกองพลยานเกราะเอส เอส ที่ 1 และ 2 ก็สูญเสียอย่างหนัก และรุกคืบหน้าไปได้ไม่มากนัก ทหารยานเกราะเอส เอส ทำการรบอย่างห้าวหาญ ผู้บังคับหมวดต่อสู้รถถัง Kurt Sametreiter ของ กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ไลป์สตานดาร์ด สามารถทำลายรถถังรัสเซียได้ถึง 24 คัน ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ด้วยปืนต่อสู้รถถังเพียง 4 กระบอก รถถัง Panzer VI - Tiger หมายเลข 13 ของกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ทำลายรถถัง ที 34 ของรัสเซียได้ 20 คัน ในวันแรกของการรบ และเฉพาะกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 กองพลเดียวสามารถทำลายรถถังรัสเซียได้กว่า 500 คัน ตลอดการรบจนถึงวันที่ 14 มิ.ย. ในที่สุดกำลังยานเกราะของทั้งสองฝ่าย ก็ได้มาพบกันที่เมือง PROKHOROVKA และเริ่มทำการรบกันอย่างหนักหน่วง หลายคนเชื่อว่าการรบที่นี่ เป็นการรบทางรถถังที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับตั้งแต่มีการต่อสู้ด้วยรถถังมา ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมีมากมาย ซากรถถังและควันไฟ ตลอดจนซากศพของทหารเกลื่อนกราดไปทั่วสมรภูมิ แต่เมื่อการรบยิ่งยืดยาวออกไป ฝ่ายรัสเซียก็ยิ่งทุ่มเทกำลังทั้งหมดเข้าต้านทานเยอรมัน ในวันแรก เอส เอส รุกไปได้เพียง 19 กม. จนวันที่ 13 มิ.ย. ฮิตเลอร์ก็สั่งยกเลิกยุทธการ Citadel เนื่องจากความสูญเสียของเยอรมัน ที่มีสูงถึง 100,000 คน ฝ่ายรัสเซียเสียชีวิต 250,000 คน อีก 600,000 คนบาดเจ็บ รถถังรัสเซียกว่าครึ่งที่เข้าร่วมในการรบถูกทำลาย ฝ่ายเยอรมันก็สูญเสียอย่างหนัก กองทัพน้อย เอส เอส ที่ 2 เหลือรถถังเพียง 183 คัน รถปืนใหญ่อัตตาจร 64 คัน นายพลกูเดเรียนถึงกับกล่าวว่า "กำลังยานเกราะที่รวบรวมมาอย่างยากลำบาก เพื่อการรบครั้งนี้ ได้ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก (heavily lost) ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์" สำหรับฝ่ายเยอรมัน กำลังที่สูญเสียไป ยากที่จะหามาทดแทน ส่วนฝ่ายรัสเซียนั้น กำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ กำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้ามาเสริมอีกมหาศาล ความสูญเสียที่มีสูง ทำให้ฮิตเลอร์สั่งยกเลิกยุทธการ Citadel ก่อนที่สูญเสียมากกว่าที่เป็นอยู่ ผลจากการรบครั้งนี้ ทำให้เยอรมันไม่มีโอกาสเป็นฝ่ายรุกในแนวรบด้านตะวันออกได้อีกเลย (http://img707.imageshack.us/img707/5130/1247399767.jpg) ทหารรัสเซียกำลังสำรวจซากรถถัง Panzer V Panther ซึ่งถูกยิงเสียหายในการรบที่ Kursk หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ ตุลาคม 13, 2010, 01:58:36 AM ขอบคุณมากครับคุณรพินทรนาถ ::002:: ::002:: ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 13, 2010, 06:45:21 AM ขอบคุณมากครับคุณรพินทรนาถ ::002:: ::002:: ::002:: ขอบคุณ สำหรับข้อมูลครับ ละเอียดดีครับอ่านแล้วเห็นภาพชัดเจนดีครับ :VOV:หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ ตุลาคม 13, 2010, 07:46:32 AM +๑ ครับ พี่ รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 13, 2010, 08:25:45 AM ขอบพระคุณท่านรพินทรนาถมากครับที่กรุณาสละเวลาอธิบายจนแจ่มแจ้ง ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 20, 2010, 07:25:48 PM ;Dเมื่อคืน ดู รายการประวัตินายพล แพตตัน 360 องศา ฉายเป็นตอนที่ 3 แล้วครับ ของ UBC History Channel ครับ สนุกครับเริ่มตอนใหม่ทุกวันอังคารครับ 21.00 น. วันอื่นฉาย RE RUN ครับเปลี่ยนเวลาสนุกครับ คอประวัติ ww2 ไม่ควรพลาดครับ ::014:: ::002:: :VOV:
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 20, 2010, 07:48:26 PM ขอบพระคุณมากครับท่านArt ต้องตามดูตอน RE RUN ให้ได้ ::014::
ผมไม่ค่อยได้ดูหนังสือโปรแกรมที่เขาแจกครับ มีเวลาว่างตอนไหนก็เปิดไล่ดูตามลำดับจึงพลาดของดีๆไปหลายหน ชอบปืนพกซิงเกิ้ลของแพตตันครับ :VOV: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 20, 2010, 07:52:15 PM ขอบพระคุณมากครับท่านArt ต้องตามดูตอน RE RUN ให้ได้ ::014:: สนุกน่าติดตาม ครับ แพตตั้นนี่ มีทั้งด้านดีและเสียเหมือนปุทุชนธรรมดาครับ มีการตบหน้าทหารที่ไม่ยอมออกรบเนื่องจากการเครียดจากการรบ แก เลยแป็กไปพักหนึ่งครับ :~) ::014::ผมไม่ค่อยได้ดูหนังสือโปรแกรมที่เขาแจกครับ มีเวลาว่างตอนไหนก็เปิดไล่ดูตามลำดับจึงพลาดของดีๆไปหลายหน ชอบปืนพกซิงเกิ้ลของแพตตันครับ :VOV: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: PRO-JOM ที่ ตุลาคม 21, 2010, 08:13:16 PM ;D ไปเจอในเวป pantip มา เห็นว่าเข้าท่าดี เลยอยากให้พี่ๆชม ไม่ทราบว่าเคยเอามาลงรึยัง
ลงภาพไม่คล่อง---------> http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9806856/X9806856.html (http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9806856/X9806856.html) ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 21, 2010, 09:48:33 PM ผมจำได้จากหนังที่เคยดูครับท่านArt รู้สึกว่ามีฉากที่แพตตันเอาหมวกเหล็กตีทหารด้วย(เอ...หรือจะจำผิดอีกแล้ว) ผมจำได้ว่าจอร์จ ซี สก๊อต เคยเล่นเป็นนายพลแพตตัน ไม่ทราบว่ามีคนอื่นเล่นอีกหรือเปล่าครับ
ขอบคุณท่านPRO-JOM มากครับ ผมตามลิงค์เข้าไปดูแล้วฝรั่งเขาเข้าใจทำนะครับ ซ้อนภาพได้ดีจริงๆ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 22, 2010, 03:32:14 AM ;D ไปเจอในเวป pantip มา เห็นว่าเข้าท่าดี เลยอยากให้พี่ๆชม ไม่ทราบว่าเคยเอามาลงรึยัง ดีครับนำภาพเก่ามาใส่กับภาพในปัจจุบันครับ ขอบคุณครับที่นำสิ่งดีๆมาให้ดูกันครับ ::014::ลงภาพไม่คล่อง---------> http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9806856/X9806856.html (http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X9806856/X9806856.html) ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 22, 2010, 03:37:27 AM ผมจำได้จากหนังที่เคยดูครับท่านArt รู้สึกว่ามีฉากที่แพตตันเอาหมวกเหล็กตีทหารด้วย(เอ...หรือจะจำผิดอีกแล้ว) ผมจำได้ว่าจอร์จ ซี สก๊อต เคยเล่นเป็นนายพลแพตตัน ไม่ทราบว่ามีคนอื่นเล่นอีกหรือเปล่าครับ ในหนังจำได้ว่าทำครั้งเดียว แต่ชีวิตจริง แพตตั้น ทำตั้งสองครั้ง และโดนเจ้านาย นายพลไอเซ็นเฮาว์ ให้ไปยืนกล่าวขอโทษต่อหน้าทหารตัวเองนะครับ แพตตั้นมุ่งการแข่งขัน แย่งการยึดเมืองแข่งกับอังกฤษ มากไปเลยเสียความควบคุมตนเองไปนะครับ ::004:: ::014::ขอบคุณท่านPRO-JOM มากครับ ผมตามลิงค์เข้าไปดูแล้วฝรั่งเขาเข้าใจทำนะครับ ซ้อนภาพได้ดีจริงๆ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 22, 2010, 04:41:21 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ตื่นแต่เช้ามืดเลยนะครับ ::014:
ตอนนั้นแพตตั้นจะยึดเมืองอะไรแข่งกับอังกฤษครับท่านArt ถ้าท่านArtว่างเมื่อไหร่มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ ท่านArtคงทราบประวัติแพตตั้นมาอย่างละเอียดเป็นแน่ ผมก็เลยคิดกำเริบอยากให้ท่านArtเล่าประวัติของแกให้เหล่าสมาชิกได้ทราบไว้ประดับความรู้(ถ้าท่านมีเวลานะครับ) ผมขอโมเมกราบขอบพระคุณล่วงหน้าไว้ก่อนละครับ สมาชิกท่านใดเห็นด้วยช่วยยกมือสนับสนุนด้วยนะครับ(เผื่อท่านArtจะหลงกล ::008::) ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ ตุลาคม 22, 2010, 09:05:38 AM ดูหนังแล้วสงสัยครับเครื่องแบบทหารเยอรมัน ดูอย่างไร
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 22, 2010, 09:18:11 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ตื่นแต่เช้ามืดเลยนะครับ ::014: อ่านดู รายชื่อ ท่าน นายพล ที่มีบทบาท ใน ww 2 ไปก่อนนะครับตอนนั้นแพตตั้นจะยึดเมืองอะไรแข่งกับอังกฤษครับท่านArt ถ้าท่านArtว่างเมื่อไหร่มาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ ท่านArtคงทราบประวัติแพตตั้นมาอย่างละเอียดเป็นแน่ ผมก็เลยคิดกำเริบอยากให้ท่านArtเล่าประวัติของแกให้เหล่าสมาชิกได้ทราบไว้ประดับความรู้(ถ้าท่านมีเวลานะครับ) ผมขอโมเมกราบขอบพระคุณล่วงหน้าไว้ก่อนละครับ สมาชิกท่านใดเห็นด้วยช่วยยกมือสนับสนุนด้วยนะครับ(เผื่อท่านArtจะหลงกล ::008::) ::014:: http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87 (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 22, 2010, 10:37:07 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014::ผมเพิ่งทราบชื่อเต็มของแพตตันจากWikiนี่เอง
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 22, 2010, 10:41:40 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014::ผมเพิ่งทราบชื่อเต็มของแพตตันจากWikiนี่เอง เดียว หาข้อมูลมาให้นะครับที่ถามที่บ้านมีตำราอยู่นะครับ ::014:: ::005::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 22, 2010, 01:57:19 PM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014::ผมเพิ่งทราบชื่อเต็มของแพตตันจากWikiนี่เอง เดียว หาข้อมูลมาให้นะครับที่ถามที่บ้านมีตำราอยู่นะครับ ::014:: ::005::นี่ครับข้อความที่ท่านถามนะครับ แพตตั้น นำทหารไปยึดเมืองหลวงของเกาะ ซิซีรี่ชื่อ เมซิน่า ได้ และ ร่วมรบจริงๆแข่งและแย่งกันเข้ายึดเมืองท่า แมซซิน่า จากนาย พลมอนโตโกเนอรี่ ของอังกฤษ พันธมิตร ร่วมรบแต่ชิงดีชิงเด่นกันตลอด ww2 นะครับ แพตตั้น ต้องสู้กับทหารเยอรมันของนายพลที่เป็นลูกน้องนาย พล เกอริง ทหารพลร่ม+อากาศโยธิน+ทหารอิตาลี่ ในการยึดครอง แมซซิน่า ไม่ง่ายเหมือนเมืองแรกบนเกาะซิซิรี่ ที่ แพตตั้นยึดได้เมืองแรก โดยต้องทำการยกพลขึ้นบกอ้ออม แนวต้านทานเยอรมัน และ ใช้กองกำลังยานเกราะตีเข้ามาพร้อมกัน แต่การรบเยอรมันรบอย่างได้ผลทำให้เยอรมันและอิตาลี่สามารถถอนตัวกลับไปได้ส่วนใหญ่ ถูกจับเป็นเฉลยได้ส่วนน้อยนะครับ เป็นข้อมูลมาจาก wi ki pedia และ History Channel Patton 360 องศา ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 22, 2010, 09:58:59 PM ขอบพระคุณท่านArtมากครับ ::014:: เรื่องชิงดีชิงเด่นนี่มีทุกยุคสมัยเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 22, 2010, 11:38:57 PM คู่นายพลแพตตั้น กับ นาย พลมอนโตโกเนอรี่ เป็น พันธมิตรแบบชิงดีชิงเด่นแบบตลอดกาลนะครับในการรบ ww2 ภาคพื้นยุโรปนะครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ตุลาคม 23, 2010, 12:43:19 AM นักประวัติศาสตร์และนักการทหารบางท่านได้ให้ความเห็นว่า หากสองนายพลคู่กัดนี้ไม่มัวมาชิงดีชิงเด่นกันเอง ก็มีโอกาสสูงที่ยุทธการมาร์เก็ต-การ์เดน (Operation Market Garden) จะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้กองทัพสัมพันธมิตรอเมริกา-อังกฤษสามารถรุกคืบเข้าสู่เขตอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของเยอรมันได้ ซึ่งจะเป็นการตัดกำลังในการผลิตอาวุธและยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพเยอรมัน ตลอดจนมีโอกาสที่รุกเข้ายึดกรุงเบอร์ลินได้ก่อนกองทัพโซเวียต รวมถึงสามารถปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ก่อนวันคริสต์มาส ในปี ค.ศ. 1944 ::014::
แต่ทั้งนี้นั้น ก็มีการประเมินกันว่ายอดการสูญเสียกำลังพลของทางอเมริกาและอังกฤษคงเป็นหลักล้านแบบกองทัพโซเวียตแน่นอนครับ ::012:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ตุลาคม 23, 2010, 12:51:10 AM ดูหนังแล้วสงสัยครับเครื่องแบบทหารเยอรมัน ดูอย่างไร คุณ SOAP47 สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องแบบและการแต่งกายของทหารนาซีเยอรมันได้จาก 2 ลิงค์ด้านล่างนี้ครับ โดยข้อมูลทั้งหมดมาจากหนังสือ German Soldiers of World War Two ของ Jean de Lagarde แปลโดยพันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศครับ ::014::1. การแต่งกายของทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=13-07-2009&group=5&gblog=25 (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=13-07-2009&group=5&gblog=25) 2. การแต่งกายของทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 (ตอนที่ 2) http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=25-09-2010&group=5&gblog=35 (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=vuw&date=25-09-2010&group=5&gblog=35) ภาพปกหนังสือ German Soldiers of World War Two ของ Jean Jean de Lagarde แบบปกแข็งครับ (http://ecx.images-amazon.com/images/I/51Fwq6LX2xL._SL500_AA300_.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 23, 2010, 08:19:14 AM ขอบพระคุณท่านArtและท่านรพินทรนาถมากครับที่ให้ความเห็นและรายละเอียดเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ::014::
เรื่องการแต่งกายของทหารเยอรมันน่าสนใจมากครับ ต้องขอบพระคุณท่านSoapเป็นอย่างสูงด้วยที่เริ่มเรื่องนี้ขึ้นมาครับ ผมดูหนังสงครามก็เอาแต่สนุกอย่างเดียวมาตลอดตอนนี้ต้องดูให้ละเอียดเอาความรู้ด้วยแล้ว ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 23, 2010, 10:41:55 AM เมื่อสักครู่ผมลองsearchหาเรื่องราวของนายพลแพตตั้นและนายพลมอนตโกเมอรี่ในGoogle มีเรื่องราวของนายพลทั้งสองเยอะมากเลยครับ ผมอ่านเสียสองชั่วโมงลืมกินข้าวไปเลย
จะตามอ่านเรื่องราวของนายทหารที่มีบทบาทในWW2 ต่อไปครับ(ตามรายชื่อที่ท่านArtให้ไว้ละครับ ::014::) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 23, 2010, 02:33:36 PM เมื่อสักครู่ผมลองsearchหาเรื่องราวของนายพลแพตตั้นและนายพลมอนตโกเมอรี่ในGoogle มีเรื่องราวของนายพลทั้งสองเยอะมากเลยครับ ผมอ่านเสียสองชั่วโมงลืมกินข้าวไปเลย ดัครับมีข้อมูลแลกเปลี่ยนกันคอ ww2 นะครับ ::014::จะตามอ่านเรื่องราวของนายทหารที่มีบทบาทในWW2 ต่อไปครับ(ตามรายชื่อที่ท่านArtให้ไว้ละครับ ::014::) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 23, 2010, 03:36:16 PM ผมต้องขอบพระคุณท่านArtมากเลยแหละครับที่กรุณาช่วยชี้ช่องทางให้ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 23, 2010, 03:43:35 PM ผมต้องขอบพระคุณท่านArtมากเลยแหละครับที่กรุณาช่วยชี้ช่องทางให้ ::014:: เมื่อ บ่ายโมง ช่อง DISCOVERY CHANNEL มีสารคดีการยุทธที่ เคิทร์ ครับดูแล้วสนุกดีครับ ::014::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 23, 2010, 03:58:32 PM ผมพลาดของดีอีกแล้วละครับ คราวก่อนก็นายพลแพตตั้นไปทีนึงแล้ว ต้องคอยดูตอนrerun ละครับ ขอบพระคุณท่าน Artครับที่ส่งข่าว ::014::
การยุทธที่เคิร์ทนี่เยอรมันเข้าไปตีรัสเซียใช่ไหมครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พ่อน้องนะโม ที่ ตุลาคม 23, 2010, 03:59:46 PM มาขอแจมกับพี่ๆ นะครับ
นายพลแพตตัน หลักๆ มีปัญหาเรื่องปากไว(ปากเสีย) นายพลไอซ์ฯ เองคงลำบากใจอยู่ไม่น้อย ทั้งการเมืองกับอังกฤษ และไหนจะหากปล่อยอำนาจให้กับนายพลแพตตัน จากที่จะรบกับเยอรมัน กลับจะต้องมาทำสงครามกับรัสเซียอีก หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 23, 2010, 04:09:09 PM สวัสดีครับท่านWinters ขอบพระคุณมากครับที่เอารูปบรรดานายพลมาฝาก ::014:: ผมเดาว่าแพตตั้นคือแถวนั่งคนที่2 และไอเซนฮาวน์คือคนที่4 ใช่ไหมครับ
ผมรบกวนท่าน Wintersช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่าแพตตั้นไปทำอะไรกับรัสเซียเข้า ถึงกับต้องจะรบกันน่ะครับ (เรื่องปากของแกหรือเปล่าครับ) ขอบพระคุณล่วงหน้าเลยนะครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พ่อน้องนะโม ที่ ตุลาคม 23, 2010, 04:32:40 PM สวัสดีครับท่านWinters ขอบพระคุณมากครับที่เอารูปบรรดานายพลมาฝาก ::014:: ผมเดาว่าแพตตั้นคือแถวนั่งคนที่2 และไอเซนฮาวน์คือคนที่4 ใช่ไหมครับ ผมรบกวนท่าน Wintersช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่าแพตตั้นไปทำอะไรกับรัสเซียเข้า ถึงกับต้องจะรบกันน่ะครับ (เรื่องปากของแกหรือเปล่าครับ) ขอบพระคุณล่วงหน้าเลยนะครับ ::014:: ต้องขอโทษ คุณyoungnoi7474 ด้วยนะครับที่ไม่สามารถให้ข้อมูลเรื่องของนายพลแพตตันกับรัสเซียได้มากนัก ไว้รอพี่ๆ ในนี้มาช่วยให้ข้อมูลนะครับ ในความคิดของผมเอง นายพลแพตตันคงไม่ชอบด้วยเหตุความแตกต่างของระบอบการปกครองหรือเปล่าก็ไม่แน่นะครับ อีกทั้งนายพลแพตตันคงไม่ชอบที่พันธมิตรต้องคอยเอาใจรัสเซีย ซึ่งหนักสุดก็คงจะเป็นการให้รัสเซียเข้าเบอร์รินก่อนใคร มีหนังอยู่เรื่องนึงครับ ลองหามาชมดูนะครับ เรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองระหว่างสงครามครับ ชือเรื่องคือ Brother's War ครับ http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538773413&Ntype=1 (http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538773413&Ntype=1) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 23, 2010, 05:25:10 PM ขอบพระคุณท่านWintersมากครับที่กรุณาตอบกลับแถมยังแนะนำหนังดีๆให้อีก
เวป I see history ก็น่าสนใจมากครับ ผมได้สมัครสมาชิกไว้เรียบร้อยแล้วครับ (ต้องไปหา Brother's war มาดูโดยด่วนแล้ว) ขอบพระคุณมากนะครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ตุลาคม 24, 2010, 01:27:50 AM การยุทธที่เคิร์ทนี่เยอรมันเข้าไปตีรัสเซียใช่ไหมครับ การยุทธที่เมืองคูร์สค์ (Battle of Kursk) เกิดขึ้นภายหลังจากที่กองทัพนาซีเยอรมันยกทัพบุกรัสเซีย และเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์การยุทธที่เมืองสตาลินกราด (Battle of Stalingrad) ในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1942 แล้วครับเรื่องของเรื่อง หลังจากที่กองทัพเยอรมันพ่ายแพ้ในการรบที่เมืองสตาลินกราด ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพโซเวียตรุกคืบมาทางด้านทิศตะวันตก โดยกองทัพโซเวียตสามารถยึดเมืองคาร์คอฟ (Kharkov) และเมืองคูร์สค์ (Kursk) คืนมาได้ จึงเท่ากับว่าแนวรบของโซเวียตได้ขยายยื่นเข้ามาในเขตยึดครองของเยอรมันแล้ว กองทัพเยอรมันจึงต้องจัดการเผด็จศึกพื้นที่เจ้าปัญหานี้ให้ได้ จึงเป็นที่มาของ "ยุทธการซิทาเดล (Operation Citadel)" ที่เยอรมันหวังจะใช้กำลังจากกองพลชั้นยอดอย่าง SS Panzer เข้าจัดการขับไล่พวกรัสเซียออกไปในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1943 แผนที่แนวรบด้านตะวันออกหรือด้านรัสเซีย ก่อนยุทธการซิทาเดล (Citadel) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะเปิดฉากขึ้น สีเขียวคือ กำลังฝ่ายเยอรมัน สีแดงคือกองทัพรัสเซีย (http://img707.imageshack.us/img707/1687/1247398490.jpg) จะเห็นส่วนของกองทัพรัสเซียยื่นเข้ามาในเขต ของเยอรมัน หรือที่เรียกว่า Salient ฮิตเลอร์ต้องการทำลายกองทัพรัสเซียที่อยู่ในส่วนที่ยื่นเข้ามาให้หมดไป ด้วยการให้กองทัพเยอรมันที่อยู่ด้านบนตีลงมาและกองทัพเยอรมันที่อยู่ด้านล่างตีตัดส่วนที่ยื่นมาขึ้นไป แล้วไปบรรจบกับส่วนข้างบน ซึ่งถ้ายุทธการซิทาเดลประสบผลสำเร็จ ทหารรัสเซียจำนวนมากในส่วนที่ยื่นเข้ามาจะถูกตัดขาดและถูกโอบล้อม หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ตุลาคม 24, 2010, 02:19:41 AM ต้องขอโทษ คุณyoungnoi7474 ด้วยนะครับที่ไม่สามารถให้ข้อมูลเรื่องของนายพลแพตตันกับรัสเซียได้มากนัก ไว้รอพี่ๆ ในนี้มาช่วยให้ข้อมูลนะครับ ฝ่ายอเมริกา-อังกฤษมีความขัดแย้งลึกๆกับฝ่ายโซเวียตอยู่ก่อนนี้แล้วครับ เป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับแนวคิดลัทธิทางเศรษฐกิจและการปกครองที่แตกต่างกัน ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยช่วงปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 แล้วครับ โดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็พยายามสู้กันทั้งบนดินและใต้ดินเพื่อป้องกันการขยายตัวของอีกฝ่ายในความคิดของผมเอง นายพลแพตตันคงไม่ชอบด้วยเหตุความแตกต่างของระบอบการปกครองหรือเปล่าก็ไม่แน่นะครับ อีกทั้งนายพลแพตตันคงไม่ชอบที่พันธมิตรต้องคอยเอาใจรัสเซีย ซึ่งหนักสุดก็คงจะเป็นการให้รัสเซียเข้าเบอร์รินก่อนใคร มีหนังอยู่เรื่องนึงครับ ลองหามาชมดูนะครับ เรื่องราวเกี่ยวกับการเมืองระหว่างสงครามครับ ชือเรื่องคือ Brother's War ครับ http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538773413&Ntype=1 (http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538773413&Ntype=1) หากจะพูดให้ง่ายก็คือ ชาติตะวันตกซึ่งเป็นพวกทุนนิยมก็ระแวงพวกคอมมิวนิสต์ ในขณะเดียวกันพวกโซเวียตซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ก็ระแวงพวกทุนนิยมเช่นกัน แต่เผอิญว่างานนี้ดันมีศัตรูรายเดียวกันคือพวกนาซี ก็เลยมีรายการเฉพาะกิจที่ทั้ง 2 ฝ่ายใช้หลัก "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ในการจับมือกันเพื่อไล่ถลุงพวกนาซีใ้ห้พ้นไปจากยุโรป แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที ซึ่งต่อมาความขัดแย้งของทั้ง 2 ฝ่ายก็กลายมาเป็น "สงครามเย็น" นี่เองครับ ::014:: ส่วนเรื่องที่ฝ่ายอังกฤษ-อเมริกายินยอมให้ฝ่ายโซเวียตบุกเข้าตีกรุงเบอร์ลินก่อนนั้น เป็นเพราะนายพล Dwight D. Eisenhower ของฝ่ายสหรัฐอเมริกา ประเมินว่าไม่มีความต้องการที่จะยึดกรุงเบอร์ลินร่วมกับรัสเซีย เพราะตระหนักดีว่าการรบที่เบอร์ลินจะต้องนองเลือด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตของทหารอเมริกันปูทางเข้าสู่นครหลวงของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 หรือเบอร์ลินแต่อย่างใด อีกทั้งนายพลไอเซนฮาวว์ยังกังวลถึงการปะทะกันเอง จะโดยอุบัติเหตุหรือโดยความตั้งใจก็ตาม ระหว่างฝ่ายอเมริกันและฝ่ายรัสเซีย ในการยึดครองกรุงเบอร์ลินอีกด้วย อีกทั้งมีการประเมินแล้วว่าหากมีรุกคืบเข้าไปในเมืองเมื่อไหร่ จะเจอการต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากชาวเยอรมันแน่นอน ซึ่งการประเมินนี้ก็เป็นจริง แม้กองทัพโซเวียตจะใช้ปืนใหญ่จำนวน 28,000 กระบอกพร้อมทั้งจรวดยิงปูพรมถล่มกรุงเบอร์ลิน แต่เมื่อกองทัพโซเวียตเคลื่อนพลเข้าไปก็เจอกับการต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากกองกำลังของกองทัพเยอรมัน หน่วย SS และกองกำลัง Volkssturm เรียกได้ว่าการรุกคืบไปแต่ละช่วงตึก ช่วงถนนนั้น มีทหารโซเวียตสังเวยชีวิตไปตลอดทาง รวมถึงรถถัง T-34 ที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรในทุ่งกว้างด้วย ซึ่งเมื่อมาวิ่งอยู่บนถนนในกรุงเบอร์ลินก็ไม่ต่างอะไรกับเป้าให้พวกเยอรมันใช้ซ้อมยิงเครื่องยิงจรวด Panzerfaust และ Panzerschreck ครับ เรียกว่ากว่ากองทัพโซเวียตจะยึดกรุงเบอร์ลินมาได้ ยิ่งกว่าหืดขึ้นคอครับ ::012:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 24, 2010, 08:09:51 AM กราบขอบพระคุณท่านรพินทรนาถเป็นอย่างสูงครับที่กรุณาให้รายละเอียด ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ตุลาคม 31, 2010, 02:11:43 PM บ่ายวันนี้ ช่อง History ของ UBC ฉายเรื่องนายพลแพตตั้น360 ครับ ท่าน Art ได้ชมหรือเปล่าครับ
ทางช่องนี้จะมีเรื่องใหม่มาเสนอดูเหมือนจะเกี่ยวกับอาวุธยิงทั้งหลาย ชื่อเรื่อง Top Shot ครับ ดูหนังตัวอย่างแล้วน่าติดตาม(คงได้ความรู้ดีๆ)ครับ (เสียดายที่ไม่ได้จดวันและเวลาที่จะฉายไว้) คอยติดตามกันนะครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ ตุลาคม 31, 2010, 02:41:22 PM บ่ายวันนี้ ช่อง History ของ UBC ฉายเรื่องนายพลแพตตั้น360 ครับ ท่าน Art ได้ชมหรือเปล่าครับ ดูครับ up date ตอนใหม่ทุกคืนวันอังคาร ตัวแสดงของจริงนะครับ ชอบครับ ตอนนี้เป็นยุทธการตีฝ่า ออกมาจาก นอร์มังดี สัมพันธมิตรต้องเรียกใช้แพตตั้น หลังถูกลงโทษ ไป 1 ปีนะครับที่ไปตบหน้าทหาร top shot ก็ดูครับไว้ที่เป็นนักแม่นปืนแข่งกันใช้อาวุธชนิดต่างๆ สนุกดีครับ เพือหาผู้ชนะ top shot ครับ ::014::ทางช่องนี้จะมีเรื่องใหม่มาเสนอดูเหมือนจะเกี่ยวกับอาวุธยิงทั้งหลาย ชื่อเรื่อง Top Shot ครับ ดูหนังตัวอย่างแล้วน่าติดตาม(คงได้ความรู้ดีๆ)ครับ (เสียดายที่ไม่ได้จดวันและเวลาที่จะฉายไว้) คอยติดตามกันนะครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 01, 2010, 08:58:46 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014:: ทุกคืนวันอังคารผมไม่ไปไหนละครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 01, 2010, 09:04:29 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014:: ทุกคืนวันอังคารผมไม่ไปไหนละครับ ครับ รอดูอยู่เหมือนกันครับติดนะครับหัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 01, 2010, 10:53:19 AM ประวัตินายพล แพตตั้น ครับ http://en.wikipedia.org/wiki/George_S._Patton (http://en.wikipedia.org/wiki/George_S._Patton)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 01, 2010, 01:26:44 PM ประวัตินายพล แพตตั้น ครับ http://en.wikipedia.org/wiki/George_S._Patton (http://en.wikipedia.org/wiki/George_S._Patton) ขอบพระคุณมากครับท่าน Art ::014:: (อ่านเรื่องตบหน้าทหารป่วยก่อนเลยครับ)ขอบพระคุณแทนนักเรียนท่านอื่นๆด้วยครับ ::014:: ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 09, 2010, 09:16:34 PM ตอนนี้ กำลังดู แพตตันตอน360 องศา ใหม่ครับ เป็นตอนกองทัพที่3ของนายพลแพตตันถูกตัดน้ำมัน เลยบุกเข้าชายแดนเยอรมันไม่ได้ ::004::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 09, 2010, 09:23:07 PM ไม่ทราบว่าใครมีรูปปืนพกประจำตัวแพตตันมั่งครับ เห็นว่าเป็นประกับงาช้างสวยเลิศ ;D
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 09, 2010, 09:34:38 PM ไม่ทราบว่าใครมีรูปปืนพกประจำตัวแพตตันมั่งครับ เห็นว่าเป็นประกับงาช้างสวยเลิศ ;D ปืนคงทำเป็นแบบของท่าน นายพลทำขายนะครับ เป็น colt แบบเดียวกันครับ ::014:: ;Dหัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 09, 2010, 10:47:37 PM ไม่ทราบว่าใครมีรูปปืนพกประจำตัวแพตตันมั่งครับ เห็นว่าเป็นประกับงาช้างสวยเลิศ ;D ปืนคงทำเป็นแบบของท่าน นายพลทำขายนะครับ เป็น colt แบบเดียวกันครับ ::014:: ;Dปืนสวยจริงๆ ขอบคุณคุณ ART รักในหลวงมากครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 09, 2010, 11:02:42 PM ผมเคยอ่านผ่านๆตาว่า บางทีท่านนายพลแพ็ตตันแกก็ใช้รีวอลเวอร์ ขนาด .357แม็กนั่มของสมิทฯด้วย เรื่องนี้มีมูลความจริงบ้างหรือเปล่าครับท่านArt ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 06:11:42 AM ผมเคยอ่านผ่านๆตาว่า บางทีท่านนายพลแพ็ตตันแกก็ใช้รีวอลเวอร์ ขนาด .357แม็กนั่มของสมิทฯด้วย เรื่องนี้มีมูลความจริงบ้างหรือเปล่าครับท่านArt ตาม link ครับ ท่านมีหลายกระบอก ฝรั่งเลยทำขายแบบที่ท่านนายพลเคยใช้ครับ www.pattonhq.com/pistols.html (http://www.pattonhq.com/pistols.html) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 09:17:00 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014:: มีสมิธ357จริงๆด้วย ไม่รู้โมเดลอะไรนะครับ รูปร่างแปลกๆยังกับสั่งพิเศษ
ผมเคยมีโคล์ท พ็อคเก็ต 380 เหมือนท่านนายพลด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 09:29:34 AM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014:: มีสมิธ357จริงๆด้วย ไม่รู้โมเดลอะไรนะครับ รูปร่างแปลกๆยังกับสั่งพิเศษ หามาให้ครับ .357 ของท่านนายพล patton ครับ ผมเคยมีโคล์ท พ็อคเก็ต 380 เหมือนท่านนายพลด้วย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 11:29:42 AM มีบทความวิพากษ์วิจารณ์ หนังนายพลแพตตั้นและบางส่วนกล่าวถึงประวัติสนุกดีครับ สำหรับ คอ ww2
www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=404863&Ntype=1 (http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=404863&Ntype=1) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 11:38:53 AM ขอบพระคุณท่านArtมากครับ ::014:: หุ่นเหมือน โมเดล 27 และโมเดล 28(Highway Patrolman) มากนะครับ แต่นกรูปร่างแปลกดี
เวป iseehistory อ่านสนุกดีครับ ได้ความรู้ดีด้วย รู้สึกว่าท่าน Winter จะเป็นคนชวนผมเข้าไปดู ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 10, 2010, 12:24:44 PM ขอบพระคุณท่านArtมากครับ ::014:: หุ่นเหมือน โมเดล 27 และโมเดล 28(Highway Patrolman) มากนะครับ แต่นกรูปร่างแปลกดี ::014:: ::005::เวป iseehistory อ่านสนุกดีครับ ได้ความรู้ดีด้วย รู้สึกว่าท่าน Winter จะเป็นคนชวนผมเข้าไปดู ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 10:08:42 AM อ่านสนุกดี นำ link เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เซอร์วินสตัน เชอชิว มาฝากครับ ขอบคุณ web thailandoutdoor ด้วยครับ กับ เรื่อง
นายกฯ เชอชิล กับ ปืนเมาเซอร์ ครับ www.thailandoutdoor.com/GunStory/churchill/churchill.html (http://www.thailandoutdoor.com/GunStory/churchill/churchill.html) ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 12:03:57 PM ที่บ้านไม่มีHistory Chanelเสียดายมากๆ ต้องหาโหลดเป็นตอนๆตามเว็ปเอาครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 12:24:07 PM อ่านสนุกดี นำ link เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เซอร์วินสตัน เชอชิว มาฝากครับ ขอบคุณ web thailandoutdoor ด้วยครับ กับ เรื่อง ขอบพระคุณครับท่าน Art สนุกดีครับ ::014::นายกฯ เชอชิล กับ ปืนเมาเซอร์ ครับ www.thailandoutdoor.com/GunStory/churchill/churchill.html (http://www.thailandoutdoor.com/GunStory/churchill/churchill.html) ::014:: เมาเซอร์ด้ามไม้กวาดนี่เป็นปืนในฝันของผมเลยละครับ :D~ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 01:28:30 PM ที่บ้านไม่มีHistory Chanelเสียดายมากๆ ต้องหาโหลดเป็นตอนๆตามเว็ปเอาครับ น้องตึกอีกไม่นาน ตามร้านพวกแมงป่อง แบบนี้นะครับ น่าจะมีแผ่นขายนะครับ ::014::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RSIA01 - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 03:41:25 PM ขอบพระคุณท่านArtมากครับ ::014:: หุ่นเหมือน โมเดล 27 และโมเดล 28(Highway Patrolman) มากนะครับ แต่นกรูปร่างแปลกดี Smith & Wesson Register Magnum ครับ เป็นบรรพบุรุษของ M27 ครับ เป็นปืน .357 รุ่นแรกของโลก โครง N ครับ เวป iseehistory อ่านสนุกดีครับ ได้ความรู้ดีด้วย รู้สึกว่าท่าน Winter จะเป็นคนชวนผมเข้าไปดู ::014:: ปัจจุบัน ที่เมืองนอก ราคาในตลาดนักสะสม เริ่มกันตั้งแต่ 5000 เหรียญ ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 07:57:26 PM โอ..เพิ่งเคยได้ยินชื่อนี่แหละครับ ความรู้ใหม่จริงๆเลยครับ ::002:: ::002::
ขอบพระคุณท่าน RSIA01 - รักในหลวงเป็นอย่างสูงด้วยนะครับ ::014:: เดี๋ยวผมจะไปค้นต่อใน Wiki กับ Google ครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 11, 2010, 08:37:48 PM ผมค้นเรื่อง Smith & Wesson Registered Magnum ไปได้นิดหน่อยแล้วครับ เพิ่งทราบว่า ผู้ให้กำเนิดกระสุนขนาด .357 Magnum คือนายฟิลลิป ชาร์ป (เห็นนามสกุลของแกต่อท้ายกระสุนขนาดต่างๆมานานแล้ว และไม่รู้ว่าแกเกี่ยวข้องกับไรเฟิลชาร์ปด้วยหรือเปล่านะครับ) ผมหลงเข้าใจมานานว่าเป็นเอลเมอร์ คีธ ที่เป็นผู้ให้กำเนิดกระสุน .357 (นายชาร์ปเป็นคนต้นคิดเรื่องขยายความยาวปลอก .38 spl แล้วไปปรึกษานายคีธให้หาหัวกระสุนให้ครับ เรื่องนี้จากเวป gunandgame.com ครับ ต้องลองค้นจากที่อื่นเพื่อยืนยันให้แน่อีกที)
ขอขอบพระคุณท่าน RSIA01 อีกครั้งครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 07:37:44 PM พอดีเล่นเกมCall of Duty ภาคล่าสุดเพิ่งจบ มันเป็นเรื่องราวของอาวุธชีวะภาพของนาซีเยอรมันในสมัยWWII ชื่อว่าNOVA6 มีพผลทำลายประสาทอย่างเฉียบพลันคล้ายๆในหนังThe rock ป้อมทมิฬ อาวุธชนิดนี้เยอรมันเคยจะยิงใส่เมืองต่างๆของอเมริกาในปลายสงคราม(กล่าวในเกม) แต่ก็ไม่สำเร็จและอาวุธชนิดนี้ก็หายสาบสูญไป ซึ้งจริงๆแล้วรัสเซียได้เก็บอาวุธชนิดนี้ใว้เอง ต่อมาในช่วงสงครามเย็นพวกรัสเซียก็เคยจะใช้NOVA6ยิงใส่อเมริกาอีกแต่ก้เช่นเคยครับมันไม่เคยสำเร็จ
ดูๆแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองมากกว่าน่ะครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 12, 2010, 07:48:51 PM พอดีเล่นเกมCall of Duty ภาคล่าสุดเพิ่งจบ มันเป็นเรื่องราวของอาวุธชีวะภาพของนาซีเยอรมันในสมัยWWII ชื่อว่าNOVA6 มีพผลทำลายประสาทอย่างเฉียบพลันคล้ายๆในหนังThe rock ป้อมทมิฬ อาวุธชนิดนี้เยอรมันเคยจะยิงใส่เมืองต่างๆของอเมริกาในปลายสงคราม(กล่าวในเกม) แต่ก็ไม่สำเร็จและอาวุธชนิดนี้ก็หายสาบสูญไป ซึ้งจริงๆแล้วรัสเซียได้เก็บอาวุธชนิดนี้ใว้เอง ต่อมาในช่วงสงครามเย็นพวกรัสเซียก็เคยจะใช้NOVA6ยิงใส่อเมริกาอีกแต่ก้เช่นเคยครับมันไม่เคยสำเร็จ สนับสนุนความคืดน้องตึกครับดูๆแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองมากกว่าน่ะครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 06:52:02 PM การถอดรหัส เครี่องนี้ได้มีส่วนทำให้เยอรมันแพ้สงครามครับ เครื่อง อินิกมา ครับ
จาก wiki pedia แปลภาษาไทย ครับ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2 (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B2) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 13, 2010, 07:25:33 PM ขอบพระคุณครับท่านArt ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 15, 2010, 04:49:18 PM พอดีเล่นเกมCall of Duty ภาคล่าสุดเพิ่งจบ มันเป็นเรื่องราวของอาวุธชีวะภาพของนาซีเยอรมันในสมัยWWII ชื่อว่าNOVA6 มีพผลทำลายประสาทอย่างเฉียบพลันคล้ายๆในหนังThe rock ป้อมทมิฬ อาวุธชนิดนี้เยอรมันเคยจะยิงใส่เมืองต่างๆของอเมริกาในปลายสงคราม(กล่าวในเกม) แต่ก็ไม่สำเร็จและอาวุธชนิดนี้ก็หายสาบสูญไป ซึ้งจริงๆแล้วรัสเซียได้เก็บอาวุธชนิดนี้ใว้เอง ต่อมาในช่วงสงครามเย็นพวกรัสเซียก็เคยจะใช้NOVA6ยิงใส่อเมริกาอีกแต่ก้เช่นเคยครับมันไม่เคยสำเร็จ ดูๆแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองมากกว่าน่ะครับ ::014:: เรื่องแต่งล้วนๆครับ ว่าแต่เล่นในเครื่องไหนครับ PC, Xbox360, หรือ PS3 ครับ ผมก็เล่นจบไปแล้วเหมือนกัน ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 15, 2010, 05:18:44 PM ผ
พอดีเล่นเกมCall of Duty ภาคล่าสุดเพิ่งจบ มันเป็นเรื่องราวของอาวุธชีวะภาพของนาซีเยอรมันในสมัยWWII ชื่อว่าNOVA6 มีพผลทำลายประสาทอย่างเฉียบพลันคล้ายๆในหนังThe rock ป้อมทมิฬ อาวุธชนิดนี้เยอรมันเคยจะยิงใส่เมืองต่างๆของอเมริกาในปลายสงคราม(กล่าวในเกม) แต่ก็ไม่สำเร็จและอาวุธชนิดนี้ก็หายสาบสูญไป ซึ้งจริงๆแล้วรัสเซียได้เก็บอาวุธชนิดนี้ใว้เอง ต่อมาในช่วงสงครามเย็นพวกรัสเซียก็เคยจะใช้NOVA6ยิงใส่อเมริกาอีกแต่ก้เช่นเคยครับมันไม่เคยสำเร็จ ดูๆแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองมากกว่าน่ะครับ ::014:: เรื่องแต่งล้วนๆครับ ว่าแต่เล่นในเครื่องไหนครับ PC, Xbox360, หรือ PS3 ครับ ผมก็เล่นจบไปแล้วเหมือนกัน ;D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 23, 2010, 09:12:09 PM ;D ::002::วันนี้คืนวันอังคาร 23 พ.ย.53 history channel ubc มีแพตตั้น 360 องศา สนุกมากเป็น ตอนแพตตั้นช่วยกองพลพลร่ม 101 US ที่ถูกล้อมไว้ที่เมืองบาสสโตร์ เบลเยียม ในตอนนี้ในรายการบอกว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่แสดงความสามารถ ของท่าน นายพลแพตตั้นนะครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 08:12:21 AM แต่พลร่ม 101 ไม่มีใครชอบสักคนที่แพตตันมาช่วย อิอิ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 08:15:44 AM แต่พลร่ม 101 ไม่มีใครชอบสักคนที่แพตตันมาช่วย อิอิ สงสัย กำลังสนุกกับการรบรบนะครับหัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 08:32:03 AM แพตตันไปอยู่ไหนมาก็ไม่รู้ ชาวบ้านเค้าไปเฝ้าแนวตั้งนานแล้ว ตัวเองมาตอนท้าย เอาผลงานไปคนเดียว แต่ก็ยังดีกว่า อีตามอนโกโมรี คิดได้ยังไง
Market Garden หาเรื่องเสียทหาร โดยเปล่าประโยชน์ ทั้งยังไม่สนใจข่าวกรองที่ได้รับ รู้ทั้งรู้ว่ามีการพบเห็นยานเกราะเยอรมัน ก็ยังจะเริ่มแผน คงคิดว่ารถถังตัวเองเจ๋งดีแล้วมั้งเอาไปวัดกับไทเกอร์ แพนเซอร์ อีตาวิทมาน สองบทเรียนที่นอร์มังดียังไม่รู้สึก รูรั่วเพียบ ไม่รู้จะยกย่องมอนโกโมรี่ไปถึงไหน แค่ชนะรอมเมลได้ทำเป็นคุย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 24, 2010, 10:19:49 PM ;D ::002::วันนี้คืนวันอังคาร 23 พ.ย.53 history channel ubc มีแพตตั้น 360 องศา สนุกมากเป็น ตอนแพตตั้นช่วยกองพลพลร่ม 101 US ที่ถูกล้อมไว้ที่เมืองบาสสโตร์ เบลเยียม ในตอนนี้ในรายการบอกว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่แสดงความสามารถ ของท่าน นายพลแพตตั้นนะครับ ::014:: ขอบพระคุณท่าน Art และท่าน Soap มากครับที่ส่งข่าวแก่ชาว WW2 อยู่เสมอ ::014:: ::014::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ พฤศจิกายน 25, 2010, 09:46:25 AM เรียนถามครับดูหนังสงครามมาหลายเรื่อง ยศทหารเมกัน "กันนี่gunnery" นี่มันยศอะไรครับ แต่ละเรื่อง"กันนี่"จะเก่งทุกคนเลย ผู้กองก็เกรงใจ๊เกรงใจ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 27, 2010, 02:16:05 AM นี่ครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/USMC (http://en.wikipedia.org/wiki/USMC) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 27, 2010, 10:47:37 PM ขอบพระคุณท่าน Soap มากครับ ::014:: ผมไล่อ่านในWiki(แบบกระท่อนกระแท่นเต็มที) มาเจอเอาในเครื่องหมายยศจ่านี่เอง ต้องขอบพระคุณท่านนายกด้วยครับที่ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 28, 2010, 10:56:28 AM สังเกตุกันไหมครับว่ายศทหารชั้นประทวนของ US มีมากกว่าของเราอีกครับ
เอามาเทียบกับของเราไม่ถูกเลย หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 28, 2010, 05:58:24 PM จริงครับ ผมก็พยายามไล่มาตั้งแต่พลทหารเทียบกับยศของเรา ของเขาซอยลงไปเยอะกว่าของเรามากเลย
ท่านSOAPพอจะทราบไหมครับว่าทำไมถึงได้มีมากอย่างนั้น ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 04:49:31 AM ผมก็งงครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 03:01:39 PM กระทู้เงียบเหงาครับเลยขอเปิดประเด็น
UFOหรือที่คนไทยเรียกจานบิน จริงๆแล้วมีกำเนิดจากวิศวกรนาซีเยอรมันที่ย้ายมาอยู่อเมริกาหลังจบสงครามโลกครั้งที่สองใช่ไหมครับ แล้วผมยังเคยดูสารคดีที่เมืองเล็กๆในบราซิลหรืออเมริกานี้เหละเกิดมีแฝดมากผิดปกติ เพราะมีนายทหารเยอรมันได้หนีมาอยู่ประเทศแถบนี้หลังจบสงครามโลก ซึ้งอดีตทำหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจะทำยังไงให้สามารถเพิ่มจำนวนประชากรเยอรมันที่มีเชื้อสายบริสุทธิ์ตาสีฟ้าผมสีทองให้ได้มากเพื่อให้ประเทศแข็งแกร่ง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 03:04:26 PM 'Nazi Super Weapons' (http://www.youtube.com/watch?v=noKm-3fGcYU#)
อันนี้อาวุธลับของเยอรมันดูเล่นๆครับอาจจะมีไม่ครบ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 03:05:46 PM กระทู้เงียบเหงาครับเลยขอเปิดประเด็น เคยดู ช่องสารคดีใน UBC มีตอนจานผีที่พัฒนาโดยนาซีนะครับ ::005:: ::008:: ::014:: น้องตึกUFOหรือที่คนไทยเรียกจานบิน จริงๆแล้วมีกำเนิดจากวิศวกรนาซีเยอรมันที่ย้ายมาอยู่อเมริกาหลังจบสงครามโลกครั้งที่สองใช่ไหมครับ แล้วผมยังเคยดูสารคดีที่เมืองเล็กๆในบราซิลหรืออเมริกานี้เหละเกิดมีแฝดมากผิดปกติ เพราะมีนายทหารเยอรมันได้หนีมาอยู่ประเทศแถบนี้หลังจบสงครามโลก ซึ้งอดีตทำหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจะทำยังไงให้สามารถเพิ่มจำนวนประชากรเยอรมันที่มีเชื้อสายบริสุทธิ์ตาสีฟ้าผมสีทองให้ได้มากเพื่อให้ประเทศแข็งแกร่ง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 03:17:10 PM กระทู้เงียบเหงาครับเลยขอเปิดประเด็น อากาศยานหลายชนิดในปัจจุบันก็ได้วิทยาการมาจากนักวิทยาศาสตร์ของนาซีเยอรมันนี่ละครับ ตัวอย่างเช่นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 Spirit ที่ได้รับการพัฒนามาจากเครื่องบิน Horten Ho 229 นี่ละครับ โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการผลิตตัวต้นแบบขึ้นมาเพียง 3 ลำ แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน นาซีเยอรมันก็แพ้สงครามครับ UFOหรือที่คนไทยเรียกจานบิน จริงๆแล้วมีกำเนิดจากวิศวกรนาซีเยอรมันที่ย้ายมาอยู่อเมริกาหลังจบสงครามโลกครั้งที่สองใช่ไหมครับ แล้วผมยังเคยดูสารคดีที่เมืองเล็กๆในบราซิลหรืออเมริกานี้เหละเกิดมีแฝดมากผิดปกติ เพราะมีนายทหารเยอรมันได้หนีมาอยู่ประเทศแถบนี้หลังจบสงครามโลก ซึ้งอดีตทำหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจะทำยังไงให้สามารถเพิ่มจำนวนประชากรเยอรมันที่มีเชื้อสายบริสุทธิ์ตาสีฟ้าผมสีทองให้ได้มากเพื่อให้ประเทศแข็งแกร่ง โดยเครื่องบิน Ho 229 นี้ออกแบบตามหลักพลศาสตร์ให้ตัวเครื่องมีลักษณะแบน เพรียวลม ท้องเครื่องบินราบเรียบ และฉาบผิวตัวเครื่องด้วยวัสดุจำพวกกาวไม้ผสมผงถ่านชาร์โคล เพื่อดูดซับคลื่นเรดาร์จากระบบเตือนภัยล่วงหน้าของฝ่ายอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งสารที่ใช้ฉาบผิวเครื่องบิน Ho 229 ก็ยังมีสูตรคล้ายคลึงกับสารที่ใช้ฉาบผิวเครื่องบิน Stealth B-2 Spirit ในปัจจุบันด้วยครับ ภาพร่างของเครื่องบิน Horten Ho 229 (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/4b/Horten_Ho_IX_line_drawing.jpg) ส่วนยาน UFO ของนาซีนั้น เท่าที่ผมเคยศึกษามามีแต่แบบพิมพ์เขียวเท่านั้นนะครับ ยังไม่เคยมีการสร้างตัวต้นแบบขึ้นมาเลย ::014:: แบบร่างจานบินของนาซี (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/80/Naziufo.png) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 07:17:35 PM คิดดูก็แล้วกันครับถ้า อาวุธเหล่านี้พัฒนาเสร็จก่อนเริ่มสงครามจะเป็นอย่างไร อิอิ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 07:34:18 PM (http://img220.imageshack.us/img220/2033/62475159816627364468110.jpg) (http://img220.imageshack.us/i/62475159816627364468110.jpg/)
Uploaded with ImageShack.us (http://imageshack.us) ภาพนี้ไม่ทราบว่าเคยเห็นกันรึยังนะครับเป็นภาพรัชกาลที่7ทรงพบกับอดอฟฮิตเลอร์ ถ้าเคยดูแล้วก็ขออภัยครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 10:25:25 PM ขอบพระคุณทุกท่านเลยนะครับที่ช่วยให้กระทู้นี้ครึกครื้นขึ้นมา ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Southlander ที่ พฤศจิกายน 30, 2010, 10:49:55 PM กระทู้เงียบเหงาครับเลยขอเปิดประเด็น อากาศยานหลายชนิดในปัจจุบันก็ได้วิทยาการมาจากนักวิทยาศาสตร์ของนาซีเยอรมันนี่ละครับ ตัวอย่างเช่นเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 Spirit ที่ได้รับการพัฒนามาจากเครื่องบิน Horten Ho 229 นี่ละครับ โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการผลิตตัวต้นแบบขึ้นมาเพียง 3 ลำ แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน นาซีเยอรมันก็แพ้สงครามครับ UFOหรือที่คนไทยเรียกจานบิน จริงๆแล้วมีกำเนิดจากวิศวกรนาซีเยอรมันที่ย้ายมาอยู่อเมริกาหลังจบสงครามโลกครั้งที่สองใช่ไหมครับ แล้วผมยังเคยดูสารคดีที่เมืองเล็กๆในบราซิลหรืออเมริกานี้เหละเกิดมีแฝดมากผิดปกติ เพราะมีนายทหารเยอรมันได้หนีมาอยู่ประเทศแถบนี้หลังจบสงครามโลก ซึ้งอดีตทำหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจะทำยังไงให้สามารถเพิ่มจำนวนประชากรเยอรมันที่มีเชื้อสายบริสุทธิ์ตาสีฟ้าผมสีทองให้ได้มากเพื่อให้ประเทศแข็งแกร่ง โดยเครื่องบิน Ho 229 นี้ออกแบบตามหลักพลศาสตร์ให้ตัวเครื่องมีลักษณะแบน เพรียวลม ท้องเครื่องบินราบเรียบ และฉาบผิวตัวเครื่องด้วยวัสดุจำพวกกาวไม้ผสมผงถ่านชาร์โคล เพื่อดูดซับคลื่นเรดาร์จากระบบเตือนภัยล่วงหน้าของฝ่ายอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งสารที่ใช้ฉาบผิวเครื่องบิน Ho 229 ก็ยังมีสูตรคล้ายคลึงกับสารที่ใช้ฉาบผิวเครื่องบิน Stealth B-2 Spirit ในปัจจุบันด้วยครับ ภาพร่างของเครื่องบิน Horten Ho 229 (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/4/4b/Horten_Ho_IX_line_drawing.jpg) ส่วนยาน UFO ของนาซีนั้น เท่าที่ผมเคยศึกษามามีแต่แบบพิมพ์เขียวเท่านั้นนะครับ ยังไม่เคยมีการสร้างตัวต้นแบบขึ้นมาเลย ::014:: แบบร่างจานบินของนาซี (http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/80/Naziufo.png) จริงๆแล้วอย่าลืมให้เครดิตนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียด้วยครับที่น่าจะมีบทบาทสูงกว่าเยอรมันไม่ใช่เฉพาะเยอรมันอย่างเดียว แต่ไม่น่าเกี่ยวกับการสร้างจานบินนะครับ น่าจะเฉพาะ เทคโนโลยี่การบินมากกว่าครับ หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 01, 2010, 11:09:43 AM ออสเตรีย เยอรมัน ต่างกันตรงไหนหรือครับ ภาษาก็พูดด้วยกันได้ ทำไมแยกประเทศก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ ธันวาคม 02, 2010, 09:25:44 AM ออสเตรีย เยอรมัน ต่างกันตรงไหนหรือครับ ภาษาก็พูดด้วยกันได้ ทำไมแยกประเทศก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเข้าใจว่าเยอรมันถูกแบ่งประเทศออกเป็นออสเตรีย โปแลนด์ หลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่1 เพราะโดนสนธิสัญญาต่างๆที่สัมพันธมิตรรังแกเยอรมัน รึปล่าวๆ? ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ::014::หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: sukrom ที่ ธันวาคม 02, 2010, 02:28:20 PM ออสเตรีย เยอรมัน ต่างกันตรงไหนหรือครับ ภาษาก็พูดด้วยกันได้ ทำไมแยกประเทศก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเข้าใจว่าเยอรมันถูกแบ่งประเทศออกเป็นออสเตรีย โปแลนด์ หลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่1 เพราะโดนสนธิสัญญาต่างๆที่สัมพันธมิตรรังแกเยอรมัน รึปล่าวๆ? ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ::014::ออสเตรียเกิดก่อนเยอรมันนานครับใช้ชื่อว่าราชอาณาจักรออสโตร_ฮัังการี มีจักรพรรดิปกครอง ออสโตร_ฮังการีถูกแบ่งออกเป็นออสเตรีย และประเทศฮังการีหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่หนื่ง เยอรมันเกิดจากการรวมตัวของแคว้นต่างๆหลังยุคนโปเลียนนี่เอง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ตึก ที่ ธันวาคม 02, 2010, 03:50:45 PM ออสเตรีย เยอรมัน ต่างกันตรงไหนหรือครับ ภาษาก็พูดด้วยกันได้ ทำไมแยกประเทศก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเข้าใจว่าเยอรมันถูกแบ่งประเทศออกเป็นออสเตรีย โปแลนด์ หลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่1 เพราะโดนสนธิสัญญาต่างๆที่สัมพันธมิตรรังแกเยอรมัน รึปล่าวๆ? ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ::014::ออสเตรียเกิดก่อนเยอรมันนานครับใช้ชื่อว่าราชอาณาจักรออสโตร_ฮัังการี มีจักรพรรดิปกครอง ออสโตร_ฮังการีถูกแบ่งออกเป็นออสเตรีย และประเทศฮังการีหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่หนื่ง เยอรมันเกิดจากการรวมตัวของแคว้นต่างๆหลังยุคนโปเลียนนี่เอง หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ธันวาคม 02, 2010, 07:50:15 PM ขอบพระคุณท่านพ่อเณรครับ ผมนั่งหลับอยู่หลังห้องเรียนก็พลอยได้ความรู้ไปด้วย ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 03, 2010, 02:43:52 AM ออสเตรีย เยอรมัน ต่างกันตรงไหนหรือครับ ภาษาก็พูดด้วยกันได้ ทำไมแยกประเทศก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเข้าใจว่าเยอรมันถูกแบ่งประเทศออกเป็นออสเตรีย โปแลนด์ หลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่1 เพราะโดนสนธิสัญญาต่างๆที่สัมพันธมิตรรังแกเยอรมัน รึปล่าวๆ? ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้าผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ::014::ออสเตรียเกิดก่อนเยอรมันนานครับใช้ชื่อว่าราชอาณาจักรออสโตร_ฮัังการี มีจักรพรรดิปกครอง ออสโตร_ฮังการีถูกแบ่งออกเป็นออสเตรีย และประเทศฮังการีหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่หนื่ง เยอรมันเกิดจากการรวมตัวของแคว้นต่างๆหลังยุคนโปเลียนนี่เอง ขออนุญาตเสริมท่านพ่อเณรนิดนึงครับ ชื่อเรียกที่จริงคืออาณาจักรออสเตรียฮังการีครับ ถ้าจะใช้เป็นคำคุณศัพท์จะเรียกว่าออสโตร-ฮังกาเรียน ช่วงหมดสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศนี้แตกกระจุยเลยครับ นอกจากต้องแยกกับฮังการีแล้ว ยังสูญเสียดินแดนบางส่วนให้อิตาลี โรมาเนีย เซอร์เบีย และเกิดประเทศเช็คโกสโลวาเกีย โปแลนด์ขึ้นมาด้วย คือชนชาติเดิมได้รับอิสรภาพ ได้ประเทศของตัวเองคืนมา เป็นอาณาจักรใหญ่ที่เคยยิ่งใหญ่หนึ่งในสองเจ้าที่แตกและหมดสภาพกลายเป็นประเทศเล็กๆ อีกประเทศหนึ่งคืออาณาจักรออตโตมานหรือคนป่วยแห่งยุโรป (sick man of Europe) ที่หมดสภาพกลายเป็นประเทศตุรกี ส่วนประเทศเยอรมันนั้นเกิดจากการรวมตัวของแคว้นเชื้อสายเยอรมันต่างๆที่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยยุคอาณาจักรโฮลี่โรมัน โดยรวมตัวได้ด้วยฝีมือ Iron Chancellor พณ ท่านบิสมาร์คหลังจากสิ้นสุดสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย ที่แคว้นใหญ่อย่างปรัสเซียนำทีมถล่มฝรั่งเศสจนกองทัพเข้าใกล้กรุงปารีส ทำให้ฝรั่งเศสต้องยอมจำนน สูญเสียแคว้นอัลซาสให้กับทางเยอรมันไปด้วย (ซึ่งฝรั่งเศสได้คืนหลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2) ออสเตรียเองก็เคยรวมตัวกับเยอรมันเป็นประเทศเดียวกันสมัยที่ฮิตเลอร์ยังฟิตครับ ส่งทหารเข้าไปยังออสเตรียเพื่อรวม(ยึด)ประเทศในปี 1938 โดยที่คนออสเตรียในยุคนั้นส่วนใหญ่ค่อนข้างจะยินดี (ก็ท่านผู้นำยังเป็นคนออสเตรียเลยนี่นา :DD) แต่เมื่อจบสงครามโลกครั้งที่สอง ออสเตรียก็แยกตัวออกมาอีกครั้งครับ ส่วนโปแลนด์ก็ได้พื้นที่ประเทศเพิ่มขึ้นมา ทั้งอีสต์ปรัสเซียที่เป็นของเยอรมันมานานและมีเมืองเอกอย่างโคนิกสเบิร์ก รวมทั้งเมืองเจ้าปัญหาอย่างแดนซิกด้วย แต่ก็ต้องทนอยู่ใต้กรงเล็บพญาหมีถือเคียวค้อนอยู่นาน หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ธันวาคม 03, 2010, 03:25:11 PM ตอนที่ออสเตรียลงนามในสนธิสัญญาผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีนั้น สาเหตุเพราะโดนบีบจากฮิตเลอร์ครับ คนออสเตรียส่วนใหญ่ไม่ได้ยินดีปรีดาที่จะเข้าร่วมอาณาจักรไรช์ที่ 3 เลย เพราะยังเข็ดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เข้าร่วมรบกับเยอรมันไม่หาย แถมส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าฮิตเลอร์เป็นผู้นำซึ่งมีที่มาแบบไม่สง่างามเท่าไหร่นัก
แต่ถ้า ณ เวลานั้นออสเตรียไม่เข้าร่วมด้วย มีหวังกองทัพนาซีได้กรีฑาเข้ามายึดออสเตรียแน่นอน เพราะฮิตเลอร์สั่งการให้ทหารเยอรมันประชิดชายแดนเยอรมนี-ออสเตรียแล้ว รัฐบาลออสเตรียจึงไม่มีทางเลือกจำต้องยอมเซ็นสนธิสัญญาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีไป โชคยังดีที่ว่าพอสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ออสเตรียสามารถขอยกเลิกสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวกับทางเยอรมันได้ จึงกลับมาเป็นประเทศเอกราชเหมือนเดิมครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ธันวาคม 03, 2010, 03:45:36 PM จริงๆแล้วอย่าลืมให้เครดิตนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรียด้วยครับที่น่าจะมีบทบาทสูงกว่าเยอรมันไม่ใช่เฉพาะเยอรมันอย่างเดียว คนออกแบบอากาศยานส่วนใหญ่ของ Luwaffe ก็คือวิศวกรชาวเยอรมันนี่ละครับ วิศวกรชาติอื่นมีบทบาทน้อยมาก แต่ไม่น่าเกี่ยวกับการสร้างจานบินนะครับ น่าจะเฉพาะ เทคโนโลยี่การบินมากกว่าครับ อย่างเครื่องบินล่องหน Horten Ho 229 ก็ออกแบบโดยสองพี่น้องชาวเยอรมัน ตระกูล Horten (http://en.wikipedia.org/wiki/Horten_brothers) คือ Walter Horten และ Reimar Horten ซึ่งหลังสงครามสงบก็กลายเป็นต้นแบบของเครื่องบินรบล่องหนในยุคปัจจุบัน ส่วนพวกจานบินหรือ Nazi UFO (http://en.wikipedia.org/wiki/Nazi_UFOs) เป็นเพียงแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรีย ชื่อ Viktor Schauberger (http://en.wikipedia.org/wiki/Viktor_Schauberger) ซึ่งเสนอแนวคิดว่าอากาศยานรุ่นใหม่สามารถบินได้ด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าและการต้านแรงโน้มถ่วง ซึ่งก็มีรายงานว่ามีการสร้างฐานบินลับของนาซีในทวีปอเมริกาใต้และทวีปแอนตาร์กติกาเพื่อดำเนิโครงการนี้ด้วยครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Rath72 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 03, 2010, 05:55:34 PM ขอบคุณท่านรพินทรนาถที่แบ่งปันข้อมูลครับ เป็นแง่คิดที่น่าสนใจสำหรับผมมากทีเดียวเพราะดูเหมือนผมจะยังไม่ได้ลองค้นคว้าหรือคิดวิเคราะห์ในจุดนี้อย่างจริงจัง ::014::
ถ้านับจากความรู้ในปัจจุบันของผม ผมคิดว่าคนออสเตรียก็คงมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เท่าที่ผมเคยอ่านมาก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปเยอะครับเรื่องความเต็มใจของคนออสเตรีย ตรงนี้ผมยอมรับครับว่าบอกได้ยากว่าความเห็นไหนใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่าเพราะคงไม่เคยมีใครทำการสำรวจในเชิงสถิติ ส่วนข้ออ้างในการเข้ายึดออสเตรียนั้นก็มาจากสาเหตุการแบนพรรคนาซีในออสเตรียของ chancellor ออสเตรียในยุคนั้น สาเหตุที่ผมค่อนข้างเชื่อว่าคนออสเตรียจำนวนมากพอใจ เพราะพรรคนาซีในออสเตรียกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเห็นตัวอย่างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาของชาวเยอรมันหลังจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างรุนแรงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อพรรคมาถูกทำแท้งเสียเช่นนั้นก็ทำให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคไม่พอใจ และเมื่อมีการรวมประเทศแล้วก็มิได้มีองค์กรลับใดที่ปฏิบัติการต่อต้านการผนวกประเทศเข้าด้วยกันอย่างจริงจังดังเช่นประเทศอื่น ผมนำลิงค์เรื่องนี้ในวิกิพีเดียมาให้ลองอ่านดูนะครับ เป็นข้อมูลที่ผมว่าแฟร์ทีเดียวเพราะชี้ให้เห็นแง่มุมของทั้งชาวออสเตรียผู้ที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน ใครอ่านแล้วจะย่อยข้อมูลไปในทิศทางใดก็สุดแล้วแต่การวิเคราะห์ของแต่ละท่านครับ ::014:: http://en.wikipedia.org/wiki/Anchluss (http://en.wikipedia.org/wiki/Anchluss) ส่วนสงครามโลกครั้งที่ 1 ผมคิดว่าน่าจะเรียกว่าเยอรมันเข้าร่วมรบกับออสเตรียเสียมากกว่า เพราะต้นเหตุปัญหาเกิดจากตัวออสเตรียกับเซอร์เบีย และออสเตรียก็เป็นประเทศแรกที่ประกาศสงครามด้วยหวังจะแก้ปัญหาเรื่องชนชาติสลาฟให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดหลังจากที่อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์และภรรยาถูกลอบสังหาร ทางออสเตรียได้ใช้วิถีทางการทูตขอความสนับสนุนจากเยอรมัน โดยไกเซอร์ได้รับรองว่าจะให้ความช่วยเหลือออสเตรีย ซึ่งถือว่าเป็นการมอบอำนาจการตัดสินใจการทำสงครามให้แก่ออสเตรียครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 03, 2010, 08:53:34 PM มีคำถามครับว่า ออสเตรียกับฮังการี ไปรักกันตั้งแต่เมื่อใดครับทั้งที่คนละเชื้อชาติ คนละภาษา
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พ่อค้าภูธร- รักในหลวง ที่ ธันวาคม 03, 2010, 09:22:38 PM ผมพอมีภาพอยู่บ้างครับ.........ไม่ทราบว่าเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเปล่า
(http://img262.imageshack.us/img262/1620/haldey1.jpg) (http://img262.imageshack.us/i/haldey1.jpg/) (http://img19.imageshack.us/img19/1426/67751621.jpg) (http://img19.imageshack.us/i/67751621.jpg/) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: -Joke- ที่ ธันวาคม 03, 2010, 11:07:13 PM ตอนที่ออสเตรียลงนามในสนธิสัญญาผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีนั้น สาเหตุเพราะโดนบีบจากฮิตเลอร์ครับ คนออสเตรียส่วนใหญ่ไม่ได้ยินดีปรีดาที่จะเข้าร่วมอาณาจักรไรช์ที่ 3 เลย เพราะยังเข็ดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เข้าร่วมรบกับเยอรมันไม่หาย แถมส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าฮิตเลอร์เป็นผู้นำซึ่งมีที่มาแบบไม่สง่างามเท่าไหร่นัก แต่ถ้า ณ เวลานั้นออสเตรียไม่เข้าร่วมด้วย มีหวังกองทัพนาซีได้กรีฑาเข้ามายึดออสเตรียแน่นอน เพราะฮิตเลอร์สั่งการให้ทหารเยอรมันประชิดชายแดนเยอรมนี-ออสเตรียแล้ว รัฐบาลออสเตรียจึงไม่มีทางเลือกจำต้องยอมเซ็นสนธิสัญญาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีไป โชคยังดีที่ว่าพอสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ออสเตรียสามารถขอยกเลิกสนธิสัญญาฉบับดังกล่าวกับทางเยอรมันได้ จึงกลับมาเป็นประเทศเอกราชเหมือนเดิมครับ ::014:: นึกขึ้นได้ว่าไป Salzburg มา แถบนั้นก็เป็นสมรภูมิใน ww1 ครับ เลยเอารูปมาฝาก (http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs775.snc4/67527_458323650232_668695232_5853503_4200170_n.jpg) อันนี้รู้สึกของทหารอิตาลีครับ (http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc4/hs908.snc4/72188_458323370232_668695232_5853485_6422809_n.jpg) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ธันวาคม 04, 2010, 04:57:28 AM ขอขอบพระคุณท่านRath 72 ท่านรพินทรนาถ ท่านSOAP 47 ท่านพ่อค้าภูธร และท่านJoke เป็นอย่างสูงครับ ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พ่อค้าภูธร- รักในหลวง ที่ ธันวาคม 04, 2010, 10:40:17 AM มีอีกครับ....... :D
(http://img189.imageshack.us/img189/5634/q440.jpg) (http://img189.imageshack.us/i/q440.jpg/) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ธันวาคม 05, 2010, 10:10:49 AM แต่ละภาพของท่านพ่อค้าภูธรน่าสนใจจริงๆครับ แต่ต้องบอกว่าขออย่าได้เกิดขึ้นอีกเลย
ขอบพระคุณนะครับ ::014:: ท่านJokeก็ทยอยส่งการบ้านมาบ้างแล้ว ขอขอบพระคุณเช่นกันครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พ่อค้าภูธร- รักในหลวง ที่ ธันวาคม 05, 2010, 10:42:59 AM แต่ละภาพของท่านพ่อค้าภูธรน่าสนใจจริงๆครับ แต่ต้องบอกว่าขออย่าได้เกิดขึ้นอีกเลย ขอบคุณครับ.....ผมมีข้อมูลเพียงว่าในภาพนั้นคือ Austria แต่หากไม่ใช่หรือข้อมูลผมคลาดเคลื่อนผิดพลาด แนะนำแก้ไขได้เลยครับ ส่วนภาพผมมีเยอะครับ... ::014::ขอบพระคุณนะครับ ::014:: ท่านJokeก็ทยอยส่งการบ้านมาบ้างแล้ว ขอขอบพระคุณเช่นกันครับ ::014:: (http://img6.imageshack.us/img6/1178/q43u0.jpg) (http://img6.imageshack.us/i/q43u0.jpg/) (http://img193.imageshack.us/img193/8662/q170.jpg) (http://img193.imageshack.us/i/q170.jpg/) Uploaded with ImageShack.us (http://imageshack.us) (http://img686.imageshack.us/img686/3765/q42.jpg) (http://img686.imageshack.us/i/q42.jpg/) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ธันวาคม 05, 2010, 01:16:06 PM มีคำถามครับว่า ออสเตรียกับฮังการี ไปรักกันตั้งแต่เมื่อใดครับทั้งที่คนละเชื้อชาติ คนละภาษา ต้องย้อนกลับไปในสมัยจักรวรรดิออสเตรียนั้น ประเทศฮังการีซึ่งชนส่วนใหญ่จะมีเชื้อสายสลาฟตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บวร์กมาอยู่ก่อนแล้วครับ โดยราชวงศ์ฮับส์บวร์ก (House of Habsburg) นั้นถือเป็นอีกราชวงศ์เก่าแก่อีกราชวงศ์หนึ่งที่ตกทอดมานับแต่สมัยจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) เมื่อ 1,800 กว่าปีมาแล้ว และเชื้อสายของราชวงศ์นี้ก็ยังปกครองราชรัฐต่างๆในยุโรปมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ราชรัฐลิกเตนสไตน์ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก ฯลฯ เป็นต้น(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/21/Franz_Joseph%2C_circa_1915.JPG) สมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ชาวฮังการีเองก็มีความพยายามต่อต้านจักรวรรดิออสเตรียอยู่เนืองๆเพื่อแยกตัวเป็นอิสระ โดยในคราวนั้นสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟจึงได้เสด็จไปเจรจากับกลุ่มผู้นำปฏิวัติชาวฮังการีจนในที่สุดก็ได้ให้การยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์แห่งฮังการีอีกตำแหน่งหนึ่ง จึงมีการเรียกชื่อจักรวรรดินี้ใหม่ว่า "จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี" และได้จัดให้มีการปกครองตามนี้คือ ออสเตรียและฮังการีต่างก็มีรัฐสภาและนายกรัฐมนตรีเป็นของตนเอง แต่รัฐสภาทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์เดียว ซึ่งพระราชอำนาจดังกล่าวครอบคลุมถึงอำนาจทางการทหาร การต่างประเทศ และการบริหารราชการต่างๆภายในจักรวรรดิครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: youngnoi7474 ที่ ธันวาคม 05, 2010, 03:23:03 PM ขอบพระคุณท่านรพินทรนาถมากครับ ::014:: (คนยุคเก่าๆดูหน้าตาน่านับถือน่าเลื่อมใสนะครับ)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 06, 2010, 09:32:03 AM พวก แมกยาร์ เป็นสลาฟพวกหนึ่งด้วยหรือเปล่าครับ
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ ธันวาคม 07, 2010, 12:41:39 AM พวก แมกยาร์ เป็นสลาฟพวกหนึ่งด้วยหรือเปล่าครับ ชาว Magyars ก็คือคนกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวฮังการีนี่เองครับ ซึ่งถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยสายหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์สลาฟ ก็เหมือนกลุ่มชาติพันธุ์ไทในดินแดนสุวรรณภูมิที่แบ่งย่อยตามเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งใหญ่ของกลุ่มคนไทเผ่านั้นๆ เช่น ไทยวนจากเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองล้านนาอื่นๆ ไทยโยนกจากเมืองโยนกเชียงแสน ไทยดำจากเมืองแถงหรือเดียน เบียน ฟูในปัจจุบัน ไทพวนจากเมืองเชียงขวาง ฯลฯ เป็นต้นครับ หากเราดูจากประชากรในภูมิภาคยุโรปตะวันออก จะพบว่ามีการกระจายตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่มีความเกี่ยวพันกับกลุ่มชาติพันธุ์สลาฟทั้งในรัสเซีย โปแลน์ด์ ยูเครน ฯลฯ ค่อนข้างมากครับ โดยอาจจะมีทั้งการกระจายตัวอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นหรืออยู่รวมเป็นกลุ่มก้อน เช่น กลุ่มชาวเซิร์บในดินแดนแถบคาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งถืิอเป็นกลุ่มชาติพันธุ์สลาฟที่อยู่ร่วมกับชาวโครแอต ชาวอัลบาเนีย ชาวมาเซโดเนีย ฯลฯ ครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ao_21 ที่ ธันวาคม 09, 2010, 03:45:12 PM up ::002::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ มกราคม 11, 2011, 07:52:39 PM :)ดูประวัติ สงครามโลกครั้งที่ 2 จาก History channel เพิ่งรู้ว่า ฮิตเลอร์ อาจเป็นพวกรักร่วม เพศ และ ประธานาธิบดีรูสเวลรู้อยู่แล้วว่าญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาเบอร์จากการถอดรหัสของญี่ปุ่น แต่ปล่อยให้เกิดชึ้นเพื่อการสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามกับนาซีในยุโรป ::004:: ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ มกราคม 11, 2011, 11:44:19 PM ไอ้กันถึงเอา เรือบรรทุกเครื่องบินที่ฮาวายออกจากท่าหมดเลย เหลือแต่เรือรุ่นเก่าที่ไม่ค่อยมีผลต่อการรบมากนักและสร้างทดแทนได้ง่ายกว่า
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ มกราคม 12, 2011, 08:16:37 AM ประธานาธิบดีรูสเวลรู้อยู่แล้วว่าญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาเบอร์จากการถอดรหัสของญี่ปุ่น แต่ปล่อยให้เกิดชึ้นเพื่อการสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามกับนาซีในยุโรป
ตอนนั้นประชาชนชาวอเมริกันไม่สนับสนุนให้ทำสงครามกับนาซีเยอรมัน เลยทำการยัวยุให้ญี่ปุ่น เข้าโจมตีอเมริกันก่อน โดยไม่ส่งสินค้าที่จำเป็นเช่นเชื้อเพลิงและสินค้าอื่นๆ แก่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ทำการโจมตีเพอฮาเบอร์ ประกาศสงครามได้ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมัน เพื่อช่วยอังกฤษ ทำสงครามในยุโรป เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ::004:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ มกราคม 12, 2011, 12:09:25 PM ประธานาธิบดีรูสเวลรู้อยู่แล้วว่าญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาเบอร์จากการถอดรหัสของญี่ปุ่น แต่ปล่อยให้เกิดชึ้นเพื่อการสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามกับนาซีในยุโรป ตอนนั้นประชาชนชาวอเมริกันไม่สนับสนุนให้ทำสงครามกับนาซีเยอรมัน เลยทำการยัวยุให้ญี่ปุ่น เข้าโจมตีอเมริกันก่อน โดยไม่ส่งสินค้าที่จำเป็นเช่นเชื้อเพลิงและสินค้าอื่นๆ แก่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ทำการโจมตีเพอฮาเบอร์ ประกาศสงครามได้ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมัน เพื่อช่วยอังกฤษ ทำสงครามในยุโรป เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ::004:: ผมว่าอเมริกาอยากจะเหยียบญี่ปุ่นให้จมดินมานานแล้วครับ เลยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ มกราคม 12, 2011, 12:15:44 PM ประธานาธิบดีรูสเวลรู้อยู่แล้วว่าญี่ปุ่นจะโจมตีเพิลฮาเบอร์จากการถอดรหัสของญี่ปุ่น แต่ปล่อยให้เกิดชึ้นเพื่อการสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามกับนาซีในยุโรป ตอนนั้นประชาชนชาวอเมริกันไม่สนับสนุนให้ทำสงครามกับนาซีเยอรมัน เลยทำการยัวยุให้ญี่ปุ่น เข้าโจมตีอเมริกันก่อน โดยไม่ส่งสินค้าที่จำเป็นเช่นเชื้อเพลิงและสินค้าอื่นๆ แก่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ทำการโจมตีเพอฮาเบอร์ ประกาศสงครามได้ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมัน เพื่อช่วยอังกฤษ ทำสงครามในยุโรป เกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ::004:: ผมว่าอเมริกาอยากจะเหยียบญี่ปุ่นให้จมดินมานานแล้วครับ เลยไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป :D หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: colt1911 ที่ มกราคม 17, 2011, 11:26:42 PM ยิงกันมันดีปืนไฟแรงดี Unreal Graphic World War 2 Footage (http://www.youtube.com/watch?v=VqAMhERQ1ug#ws)
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: colt1911 ที่ มกราคม 17, 2011, 11:29:17 PM อันนี้ก็ยิงกันกระจาย Compilation of WW2 Footage [Contains some graphic images] (http://www.youtube.com/watch?v=ezeBFL8aqag#noexternalembed-ws) ::003:: ::003:: ::003::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2011, 08:14:13 PM HISTORY CHANNEL UBC เริ่มตอนใหม่อาวุธลับของฮิตเลอร์ คอ ww2 อย่าพลาดนะครับ ::002:: ::014::
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: RouRou_Mel - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2011, 09:06:48 PM จากเรื่อง Band of Brother
เพิ่งทราบข่าวมาว่า ผู้หมวด(ผู้พัน) ริชาร์ด วินเทอร์ ผู้บังคับกองร้อย Easy Company ในชีวิตจริง ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 92 ปี เมื่อวันที่ 2 มกราคา 2554 ครับ Rest in peace ครับ http://www.majordickwinters.com/phpBB3/viewforum.php?f=113&sid=5281c12c8d6bedf3b0f2731cd853af4d (http://www.majordickwinters.com/phpBB3/viewforum.php?f=113&sid=5281c12c8d6bedf3b0f2731cd853af4d) http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Winters (http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Winters) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2011, 09:37:42 AM จากเรื่อง Band of Brother R.I.P. ท่านเป็นวีรชน ของทหารพลร่ม US ครับขอให้ท่านไปสู่สุขคติครับ ::014::เพิ่งทราบข่าวมาว่า ผู้หมวด(ผู้พัน) ริชาร์ด วินเทอร์ ผู้บังคับกองร้อย Easy Company ในชีวิตจริง ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 92 ปี เมื่อวันที่ 2 มกราคา 2554 ครับ Rest in peace ครับ http://www.majordickwinters.com/phpBB3/viewforum.php?f=113&sid=5281c12c8d6bedf3b0f2731cd853af4d (http://www.majordickwinters.com/phpBB3/viewforum.php?f=113&sid=5281c12c8d6bedf3b0f2731cd853af4d) http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Winters (http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Winters) หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พ่อน้องนะโม ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 06:43:15 PM จากเรื่อง Band of Brother เพิ่งทราบข่าวมาว่า ผู้หมวด(ผู้พัน) ริชาร์ด วินเทอร์ ผู้บังคับกองร้อย Easy Company ในชีวิตจริง ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 92 ปี เมื่อวันที่ 2 มกราคา 2554 ครับ Rest in peace ครับ http://www.majordickwinters.com/phpBB3/viewforum.php?f=113&sid=5281c12c8d6bedf3b0f2731cd853af4d (http://www.majordickwinters.com/phpBB3/viewforum.php?f=113&sid=5281c12c8d6bedf3b0f2731cd853af4d) http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Winters (http://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Winters) ขอบคุณครับ ::014:: ผมชอบเรื่องราวของกองร้อยนี้มากครับ อ่านหนังสืออยู่หลายรอบ เหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อกับการรวมตัวของทหารอาสา แต่ละคนมาจากที่ๆ แตกต่างทางสังคม แต่ก็รวบรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวได้ น่านับถือครับ ::014:: หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOAP47 รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 08:20:39 PM R.I.P. Lt. Col. Richard Dick Winter
หัวข้อ: Re: มาเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กันครับ เริ่มหัวข้อโดย: FsasQsWQW ที่ พฤศจิกายน 23, 2012, 03:26:51 PM ขอบคุณครับ
|