หัวข้อ: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Boss888 ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 03:26:54 AM สืบเนื่องจากกระทู้
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=46525.0 อ่านไป....อ่านไป.....ก็เลยสงสัยไทยเคยมีเรือดำน้ำกับเค้าอ๊ะเปล่า......(เรือดำน้ำที่ใช้รบไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยวนะครับ) แล้วเวลารบกัน....ยุทธศาสตร์ทางน้ำเราจะเป็นยังไง....จะแพ้มาเลเซีย,เขมร,เวียดนาม ฯลฯ หรือเปล่า... รบกวนผู้รู้...เสนอความคิดเห็นเพื่อเปิดโลกทัศน์อันจิ๊บจ๊อยของผมด้วยครับ.......ขอบคุณล่วงหน้าทุกความเห็นครับผม หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: aniki ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 04:01:11 AM เพราะมันแพงทั้งราคาและค่าบำรุงรักษา เพราะผู้มีอำนาจของไทยเราไม่นิยม ไทยทำไทยใช้. เพราะจำกัดด้วยเรื่องงบประมาณ ทหารเรือจึงใช้เรือรบและเครืองบินแทนครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Dexphet ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 05:00:23 AM จะซื้อจริงๆเอาซักลำหนึ่งทำไมจะซื้อไม่ได้ครับ แต่ผมไม่ทราบเรื่องของทหารเค้านะครับ ว่าเรามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน เอาแค่ใช้งบฯให้มีประโยชน์ดีกว่า ใช้ไปกับเรื่องไร้สาระแหล่ะถนัดนัก หาเรื่องกินงบประมาณ แผ่นดิน แบบไม่มีผลงาน ::001::
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: @ NaZaReth >>> ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 06:06:14 AM ทราบมาว่าเคยมีครับ แต่นานมาแล้ว....
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: พีระพงษ์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 06:24:49 AM เคยมี 4 ลำครับ ต่อจากญี่ปุ่นในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าที่ควร เพราะอ่าวไทยน้ำตื้น หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: กระโหลกกะลา ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:08:48 AM ในสมัยของคุณบรรหารเป็นนายกฯ เคยมีแนวคิดจะซื้อเหมือนกัน
แต่มีเรื่องคอมมินชั่นปูดขึ้นมา จึงต้องยกเลิกการซื้อครั้งนั้น หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:15:55 AM ประโยชน์..คงสู้ซื้อเรือรบดีๆสักลำไม่ได้กระมังครับ... :D
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:37:34 AM เข้ามาเถียงครับ ที่ภูเก็ตมีหลายลำเชียว เกือบยี่สิบปีแล้วด้วย พาลูกทัวร์ดูปะการังใต้น้ำเป็นล้านคนแล้ว ........... อ้าว ....... ถามถึงเรือรบหรอกรึ ........ แฮ่ แฮ่ ....... ขออำภัย หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:44:14 AM ภารกิจหลักของเรือดำน้ำเป็นทั้ง จารกรรมและทำลาย แต่เนื่องจากเมืองไทยเราไม่มีนโยบายด้านการรุกลานชาวบ้าน และอีกทั้งภาคพื้นทะเลประเทศเราไม่เหมาะกับภารกิจด้านนี้ เนื่องจากเป็นทะเลตื้น เคยถามเพื่อนที่เป็นทหารเรือ บอกว่าเรือดำน้ำมองจากบนเครื่องบินก็เห็นแล้ว ไม่ต้องใช้เครื่องตรวจจับครับ ;D
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:46:46 AM http://www.navy.mi.th/frigate1/page01/submarine/thaisub.html
(http://www.navy.mi.th/frigate1/index01/submarine/pre_od_submarine_p2.jpg) เรือดำน้ำไทยในอดีต กองทัพเรือได้มีแนวความคิดที่จะปรับปรุง และสร้างกำลังรบทางเรือให้เข้มแข็ง มีความทันสมัยเพื่อถ่วงดุลอำนาจทางทะเลกับประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชีย เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ทั้งการเดินเรือพาณิชย์ การคุ้มครองเรือประมง และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เช่นแหล่งก๊าซ ตลอดจนแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลไทย สิ่งที่กองทัพเรือร้องขอมาโดยตลอดแต่ก็ยังไม่มีรัฐบาลใดเล็งเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์อันจะพึงได้รับนั่นก็คือ เรือดำน้ำ แต่ก็ใช่ว่าประเทศไทยเราจะไม่เคยมีเรือดำน้ำมาก่อนเลยก็หาไม่ แท้จริงแล้วประเทศเราเคยมีเรือดำน้ำมาก่อนซึ่งได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศเป็นอย่างมาก ในระยะแรกนั้น เรือดำน้ำเป็นกำลังรบที่ใหม่ ทรงอานุภาพทางทะเลมากที่สุด เพราะสามารถกำบังตัว หรือหลบหนีด้วยการดำน้ำ สามารถเข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ซึ่งเรือผิวน้ำไม่สามารถเข้าไปได้ และมีอาวุธตอร์ปิโดอันเป็นอาวุธสำคัญที่เป็นอันตรายแก่เรือผิวน้ำมากที่สุด ไม่มีเครื่องมือค้นหา และอาวุธปราบเรือดำน้ำที่จะทำอันตรายแก่เรือดำน้ำได้ ดังเช่นปัจจุบันนี้ จึงนับได้ว่าเรือดำน้ำ เป็นกำลังสำคัญในการป้องกันประเทศทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง เรือดำน้ำได้อยู่ในแนวความคิดของกองทัพเรือไทยมาตั้งแต่ พ.ศ.2453 แล้ว จะเห็นได้จากโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ.2453ซึ่งมีคณะกรรมการอันประกอบด้วย นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (ต่อมาเป็น นายพลเรือเอก กรมหลวงฯ) นายพลเรือตรี พระยาราชวังสวรรค์ (ฉ่าง แสง-ชูโต ต่อมาเป็นนายพลเรือเอก พระยามหาโยธา) และนายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร (ต่อมาได้เป็นนายพลเรือเอก กรมหลวงฯ) ได้จัดทำขึ้นถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต (ต่อมาเป็น จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระฯ) เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และเสนาบดีฯ ทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 มกราคม ร.ศ.129 (พ.ศ. 2453) โครงการนี้ได้กำหนดให้มี เรือ ส.(1) จำนวน 6 ลำ ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้อธิบายไว้ว่า เรือ ส. คือเรือดำน้ำสำหรับลอบทำลายเรือใหญ่ข้าศึก .. แต่ยังกล่าวให้ชัดไม่ได้เพราะยังไม่เคยลงแลลอง แต่ที่พูดถึงด้วยนี้โดยเห็นว่าต่อไปภายหน้าการศึกษาสงครามจะต้องใช้เป็นมั่นคง แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เวลานั้นเรือดำน้ำเป็นอาวุธที่นาวีของมหาอำนาจในยุโรปกำลังพัฒนาและทดลองใช้อยู่ ต่อมาใน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ออกจากประจำการ และต้องจ้าง นายนาวาเอก ชไนด์เลอร์ (J.Schneidler) นายทหารเรือชาติสวีเดนเข้ามาเป็นที่ปรึกษาการทหารเรือ ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2455 นายนาวาเอก ชไนด์เลอร์ ได้เสนอโครงการจัดสร้างกำลังทางเรือสำหรับป้องกันประเทศ และได้กล่าวถึง เรือดำน้ำ ว่า เป็นเรือที่ดีมากสำหรับป้องกันกรุงเทพฯ แต่จะผ่านเข้าออกสันดอนลำบาก ถ้าเก็บไว้ในแม่น้ำก็ไม่คุ้มค้า และได้เสนอไว้ในโครงการให้มีเรือดำน้ำ 8 ลำ สำหรับประจำอยู่กับกองทัพเรือที่จันทบุรี ทหารเรือไทยและคนไทยได้มีโอกาสเห็นเรือดำน้ำจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ไซ่ง่อน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2454 ในโอกาสที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เสด็จประพาสอินโดจีนฝรั่งเศส ได้จัดเรือดำน้ำมาแล่น และดำถวายให้ทอดพระเนตรในบริเวณที่เรือพระที่นั่งมหาจักรีเทียบท่าอยู่ เรือดำน้ำในกองทัพเรือไทย (มี 4 ลำ) 1. ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่สอง (ร.ล.มัจฉาณุ ลำที่หนึ่ง เป็นเรือใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) 2. ร.ล.วิรุณ 3. ร.ล.สินสมุทร 4. ร.ล.พลายชุมพล เรือเหล่านี้ขึ้นระวางประจำการและ ได้ปฏิบัติภารกิจที่สำคัญคือ เมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส หลังจากที่ ร.ล.ธนบุรี และเรือตอร์ปิโดถูกเรือรบฝรั่งเศสยิงจมแล้ว เรือดำน้ำ 4 ลำได้ลาดตระเวนเป็นแถว อยู่หน้าบริเวณฐานทัพเรือของอินโดจีนฝรั่งเศส ใช้เวลาอยู่ใต้น้ำทั้งสิ้นลำละ 12 ชั่วโมงขึ้นไป นับเป็นการดำน้ำที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มมี หมวดเรือดำน้ำเป็นต้นมา ในปัจจุบันเรือหลวงมัจฉานุ ซึ่งเป็นเรือดำน้ำรุ่นแรกของกองทัพเรือไทยได้ถูกเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ วรรณคดี และ วีรกรรมของวีรชนทหารเรือผู้กล้าจากสมรภูมิและยุทธนาวีที่สำคัญของกองทัพเรือในอดีตนำมาจัดแสดงในรูปแบบของอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เช่น เรือดำน้ำขนาดเท่าลำจริง เครื่องบินทะเล ปืนกลแกตเตอริ่ง และปืนเที่ยง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:50:12 AM http://zedth.exteen.com/20060907/entry
กว่าจะมีเรือดำน้ำ posted on 07 Sep 2006 16:31 by zedth in Navy-Story ภายหลังจากที่ สภาผู้แทนราษฎร ได้อนุมัติ พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ. 2478 และอนุมัติงบประมาณ จำนวน 18 ล้านบาท โดยจ่ายจากงบประมาณประจำปี ปีละ 1 ล้านบาท เป็นเวลา 6 ปี นอกนั้นจ่ายจากเงินคงคลัง กองทัพเรือก็ได้ทำการจัดหาเรือดำน้ำตามความต้องการทันที โดยโครงการที่ได้เสนอไปนั้น กองทัพเรือมีความต้องการเรือดำน้ำ จำนวน 6 ลำ ประมาณราคาในขั้นต้นไว้ลำละ 2.3 ล้านบาท และต้องการในเบื้องต้น 3 ลำ ซึ่งจะเห็นว่าโครงการนี้ สอดคล้องกับ รายงานเรื่อง เรือ ส. ของ สมเด็จพระบรมราชชนก ที่พระองค์ทรงเสนอ แด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยแบ่งขั้นการดำเนินการออกเป็น 2 ตอน ตอนละ 2 ขั้น คือ ตอนที่ 1 ขั้นที่ 1 ต้องใช้เรือ ส. 2 ลำ ขนาดระวางขับน้ำเหนือน้ำ 190 ตัน ใต้น้ำ 230 ตัน ความเร็วเหนือน้ำ 15 น็อต ความเร็วใต้น้ำ 9.5 น็อต รัศมีทำการ 450 ไมล์ มีตอร์ปิโดขนาด 4.5 ซ.ม. 2 ท่อยิง (หัว,ท้าย) และคนประจำเรือ 20 คน เรือ ส. ทั้ง 2 ลำนี้ จะมีไว้เพื่อป้องกันปากแม่น้ำทั้ง 4 คือ แม่น้ำเจ้าพระยา , ท่าจีน , แม่กลอง และบางปะกง ตอนที่ 1 ขั้นที่ 2 ต้องใช้เรือ ส. แบบเดียวกับในขั้นที่ 1 อีก 2 ลำ เพื่อขยายแนวป้องกันออกไปจนถึง เกาะจวง , เกาะสัตกูด , เขาสามร้อยยอด ในตอนที่ 2 นี้ พระองค์ทรงแบ่งการดำเนินการเป็น 2 อย่าง คือ อย่างเล็ก กับ อย่างใหญ่ เรียกเป็น ก. กับ ข. ตอนที่ 2 ขั้น ก. (เล็ก) ขยายอาณาเขตไปจนถึงเกาะสมุย เพิ่มเรือดำน้ำขนาดใหญ่ขึ้น อีกจำนวน 3 ลำ ตอนที่ 2 ขั้น ข. (ใหญ่) ขยายอาณาเขตไปจนถึงสิงคโปร์ และเพิ่มเรือดำน้ำขนาดใหญ่ มีระวางขับเหนือน้ำ 800 ตัน ใต้น้ำ 1,000 ตัน ความเร็วเหนือน้ำ 18.5 น็อต ใต้น้ำ 15.5 น็อต รัศมีทำการ 2,500 ไมล์ทะเล ตอร์ปิโด 4 ท่อยิง (หัว 2 ท้าย 2) ปืนใหญ่ขนาด 76/25 มม. 2 กระบอก จำนวน 2 ลำ นอกจากใน รายงานเรื่อง เรือ ส. แล้ว ยังมีแนวทางการจัดกำลังเรือ ส. ของสมเด็จพระบรมราชชนก อีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสมุดแบบฝึกหัดส่วนพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงลิขิตไว้เป็นภาษาเยอรมัน เรื่อง ร่างโครงการสร้างกองเรือรบ (Flottenbauplan) ในโครงการนี้มีความต้องการเรือ ส. 4 ลำ ขนาดระวางขับน้ำเหนือน้ำ 230 ตัน ความเร็วเหนือน้ำ 14 น็อต ใต้น้ำ 10 น็อต มีตอร์ปิโดขนาด 53 ซม. 2 ท่อยิง และจะใช้เกาะสีชัง เป็นฐานปฏิบัติการ กองทัพเรือได้จัดตั้ง คณะกรรมการพิจารณาโครงการบำรุงกองทัพเรือ โดยมี นายนาวาเอก พระยาวิจารณ์จักรกิจ (ต่อมาเป็น พลเรือตรี) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการทหารเรือ ในสมัยนั้น เป็นประธาน ในการจัดหาเรือดำน้ำ เมื่อกองทัพเรือ กำหนดคุณสมบัติของเรือดำน้ำ (สมัยนั้นเรียกว่าเรือดำน้ำแล้ว) ที่ต้องการแล้ว ก็ได้เรียกประกวดราคาสร้างเรือดำน้ำในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2478 และได้มีประเทศต่าง ๆ ยื่นข้อเสนอดังนี้ ประเทศอิตาลี มีตอร์ปิโดหัวเรือ 4 ท่อ ท้าย 2 ท่อ ไม่มีปืนใหญ่ , ลูกปืน และลูกตอร์ปิโด ราคา 3 ลำรวม 3,747,420 บาท ถ้า 4 ลำเป็นเงิน 4,970,640 บาท ประเทศญี่ปุ่น มีตอร์ปิโดหัวเรือ 2 ท่อ ท้าย 2 ท่อ มีปืนใหญ่และลูกปืน แต่ไม่มีลูกตอร์ปิโด โดยแบ่งตามขนาดของระวางขับน้ำ และจำนวนลำ ดังนี้ ขนาด 345 ตัน 3 ลำ ราคา 2,390,330 บาท 4 ลำ ราคา 3,161,290 บาท ขนาด 370 ตัน 3 ลำ ราคา 2,479,355 บาท 4 ลำ ราคา 3,280,000 บาท ขนาด 380 ตัน 3 ลำ ราคา 2,606,601 บาท 4 ลำ ราคา 3,447,742 บาท ประเทศเดนมาร์ค 4 ลำ (ไม่ทราบรายละเอียด) ราคา 5,688,468 บาท ประเทศอังกฤษ เฉพาะตัวเรือและเครื่องจักร 3 ลำ ราคา 4,023,630 บาท 4 ลำ ราคา 5,241,036 บาท ประเทศฮอลันดา มีปืนใหญ่พร้อมลูก และต้อร์ปิโดพร้อมลูก 3 ลำ ราคา 5,012,976 บาท 4 ลำ ราคา 6,571,386 บาท ถ้าไม่มีลูกปืนและลูกตอร์ปิโด 3 ลำ ราคา 4,188,159 บาท 4 ลำ ราคา 5,471,811 บาท ประเทศฝรั่งเศส ไม่มีลูกปืน ไม่มีลูกตอร์ปิโด ราคาลำละ 3,262,773 บาท ซึ่งในที่สุด คณะกรรมการได้ตกลงใจเลือก เรือดำน้ำขนาด 370 ตัน ของประเทศญี่ปุ่น และก็ได้เจรจาซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมจากญี่ปุ่นอีก เช่น ถังหนีภัย และอุปกรณ์การหนีภัยจากเรือดำน้ำ ตลอดจนการฝึกกำลังพลประจำเรือดำน้ำ และแล้ว เรือดำน้ำสัญชาติไทยคู่แรก คือ ร.ล.มัจฉานุ และ ร.ล.วิรุณ ก็ได้วางกระดูกงู เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 และทำพิธีปล่อยเรือลงย้ำเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2479 โดยมี พระมิตรกรรมรักษา อัครราชฑูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น ในขณะนั้น เป็นประธานในการปล่อยเรือลงน้ำ และเรือได้สร้างเสร็จบริบูรณ์เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2480 (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/subdock_1.jpg) ส่วน ร.ล.สินสมุทร และ ร.ล.พลายชุมพล นั้น วางกระดูกงูเมื่อ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2479 และทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 และสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2481 (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/subdock_2.jpg) เมื่อได้รับมอบเรือทั้งหมดแล้ว ทหารเรือไทยต้องอยู่ฝึกกับกองทัพเรือญี่ปุ่นต่อจนเสร็จสิ้นการฝึก และถอนสมอออกจากญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2481 เดินทางกลับถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน และได้ทำพิธีขึ้นระวางประจำการ พร้อมกับ ร.ล.ศรีอยุธยา เรือปืนอีกลำที่ต่อที่ญี่ปุ่นเช่นกัน ในวันที่ 19 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ส่วนเรือดำน้ำอีก 2 ลำที่คาดว่าจะต่อเพิ่มอีก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ตามโครงการนั้น ปรากฏว่าไม่ได้ทำการต่ออีก เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลจึงต้องสำรองเงินคงคลังไว้เผื่อในภาวะสงคราม ทำให้ในประวัติศาสตร์ของไทย เรามีเรือดำน้ำทางทหารแค่4 ลำเท่านั้น ประวัติเรือดำน้ำไทยยังไม่จบนะครับ ยังมีเรื่องราวที่น่าติดตามอยู่อีกเยอะ แต่รออ่านคราวหน้านะครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: ฝุ่น-รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:51:31 AM ภารกิจหลักของเรือดำน้ำเป็นทั้ง จารกรรมและทำลาย แต่เนื่องจากเมืองไทยเราไม่มีนโยบายด้านการรุกลานชาวบ้าน และอีกทั้งภาคพื้นทะเลประเทศเราไม่เหมาะกับภารกิจด้านนี้ เนื่องจากเป็นทะเลตื้น เคยถามเพื่อนที่เป็นทหารเรือ บอกว่าเรือดำน้ำมองจากบนเครื่องบินก็เห็นแล้ว ไม่ต้องใช้เครื่องตรวจจับครับ ;D เรื่องมองเห็นนี่ จริงครับ :o อ่าวไทยน้ำใสและตื้นมาก ถ้าเทียบกับในทะเลเปิดครับ เวลาเข้าออกอ่าวทีไร เพื่อนรู้ ดักตีหัวได้เลยครับ ;D เรือดำน้ำของเมกา มาจอดที่สัตหีบ บ่อยๆ เข้ามาทีนึง ก็ รู้กันหมดแล้วครับ เลยจะเป็นรุ่นเก่าหน่อย หรือ เรือฝึกพวกนั้นครับ ;) หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:54:47 AM http://zedth.exteen.com/20060904/entry
4 ก.ย. วันที่ระลึกเรือดำน้ำ posted on 04 Sep 2006 18:22 by zedth in Navy-Story ในสมัยหนึ่ง กองทัพเรือไทยเคยมีเรือดำน้ำประจำการอยู่ถึง 4 ลำ ซึ่งทำให้กองทัพเรือของไทยในขณะนั้น เป็นกองทัพเรือที่น่าเกรงขามที่สุดในนานาประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุก็เพราะ เขตอันตรายจากเรือดำน้ำ หรือ Sphere of Submarine Danger นั่นเอง อันตรายจากเรือดำน้ำในสมัยนั้นก็คือ ความหวั่นเกรงต่อเรือดำน้ำ ซึ่งไม่รู้ว่าจะถูกลอบโจมตีจากเรือดำน้ำเมื่อไหร่ เพราะเทคโนโลยีในการตรวจจับเรือดำน้ำยังไม่ดีเท่ากับในยุคปัจจุบัน ดังนั้น ในการที่จะส่งเรือเข้ามาในน่านน้ำของไทย จึงมีข้อจำกัดมากขึ้น จะส่งเรือใหญ่มาก็ไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการถูกลอบโจมตี จะส่งเรือเล็กมาก็มีปัญหาเรื่อง น้ำมันเชื้อเพลิง และเสบียงอาหาร ไม่เพียงพอ อีกทั้งยังต่อกรกับเรือรบผิวน้ำของไทยเราได้ยาก เพราะขนาดเท่าเทียมกัน ด้วยเหตุนี้ เรือดำน้ำจึงเป็นเครื่องจักรกลที่สร้างความกดดันให้กับข้าศึกได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว จุดเริ่มต้นของการมีเรือดำน้ำในประเทศไทย เริ่มมาจาก โครงการจัดสร้างกำลังทางเรือ พ.ศ. 2453 โดยโครงการนี้ประกอบด้วยคณะกรรมการ คือ นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ (พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์) , นายพลเรือตรี พระยาราชวังสรรค์ (พลเรือเอก พระยามหาโยธา) และ นายพลเรือตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสิงหวิกรมเกรียงไกร (พลเรือเอก กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร) ได้จัดทำขึ้นถวาย สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงนครสวรรค์ วรพินิจ (จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ) เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ซึ่งได้ทรงนำทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 18 มกราคม ร.ศ. 129 (พ.ศ.2453) โดยในรายงาน ได้เสนอความต้องการ เรือ ส. จำนวน 6 ลำ แต่ เนื่องจากว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น ไม่เอื้ออำนวยให้กองทัพเรือจัดซื้อหรือสร้างเรือดำน้ำมาไว้ใช้ในราชการได้ (เรือ ส. เป็นคำที่ใช้เรียกเรือดำน้ำในยุคนั้น โดย ส. ย่อมาจากคำว่า สับมารีน (Submarine) หรือ สับเมิร์สสิเบิ้ล โบ๊ท (Submersible Boat) ซึ่งแปลว่า เรือดำน้ำ ในภาษาอังกฤษ) (http://zedth.exteen.com/images/submarine/sinsamut.jpg) ร.ล.สินสมุทร ขณะลอยลำอยู่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา (ขอขอบคุณภาพส่วนตัวจาก อ.Submarine Lover) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2458 สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (จอมพลเรือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) เสด็จกลับจากการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศเยอรมัน ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องเรือดำน้ำเป็นอย่างดี และกล่าวได้ว่าเป็นเพียงผู้เดียวในเมืองไทยสมัยนั้น ที่มีความรู้เกี่ยวกับเรือดำน้ำ พระองค์ทรงสนพระทัยในวิชาการเรือดำน้ำเป็นพิเศษ เคยได้รับรางวัลที่ 1 ในการออกแบบเรือดำน้ำ ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ที่เยอรมันด้วย พระองค์ (ขณะนั้น ทรงดำรงยศ เรือโท) ทรงถวายรายงานเรื่อง เรือ ส. ต่อ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือในขณะนั้น คือ พลเรือโท กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ มีความหนา 94 หน้า ในรายงานฉบับนี้ พระองค์ทรงเสนอแนวความคิดในการจัดหาเรือ ส. ตั้งแต่ความสำคัญ , ผลประโยชน์ และผลเสียจากการมีเรือ ส. , แผนการส่งนักเรียนไปเรียนวิชาเกี่ยวกับเรือ ส. , แผนการสร้างเรือ ส. และแผนการใช้เรือ ส. ในการป้องกันประเทศ และพระองค์ได้ทรงสรุปในตอนท้ายว่า ถึงแม้ว่าประเทศเราจะเห็นสมควรว่าจะมี หรือ ไม่มี เรือ ส. ก็ตามที แต่ก็ควรจะศึกษาเรื่อง เรือ ส. ไว้ เพื่อที่ว่า เวลาที่เราต้องรบกับ เรือ ส. เราจะได้รู้ว่า เราจะต้องทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ไม่เสียทีเพราะความเขลา หรือความไม่รู้ สำหรับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสนพระทัยในเรื่อง เรือ ส. นี้เป็นอย่างมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2459 พระองค์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่อง ร.ต.น. นนทรี หรือ เรือใต้น้ำหลวงนนทรี (พระองค์ ทรงเรียกเรือ ส. ว่า เรือใต้น้ำ) โดยใช้นามปากกาว่า ศรีอยุธยา เพื่อแสดงถึงความยากลำบากของนายทหารเรือดำน้ำ ซึ่งประสบอุบัติเหตุจมอยู่ใต้น้ำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2460 พระองค์ได้ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ น.ต.หลวงหาญสมุทร (พลเรือตรี พระยาหาญกลางสมุทร) ได้เข้าศึกษาการใช้เรือดำน้ำ ในกองทัพเรืออังกฤษ จนสำเร็จ และได้ประจำการในกองเรือดำน้ำของราชนวีอังกฤษ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากนั้นอีก 18 ปี ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความฝันของกองทัพเรือ ที่จะได้มีเรือดำน้ำ ไว้ใช้ในราชการ จึงเป็นจริง โดยสภาผู้แทนราษฎร ได้อนุมัติ พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ. 2478 โดยในพระราชบัญญัตินี้ ได้กำหนดให้กองทัพเรือ ต่อเรือดำน้ำ จำนวน 6 ลำ โดยในที่สุดแล้ว ไทยได้ทำสัญญาว่าจ้างต่อเรือ กับ บริษัท มิตซูบิชิ ประเทศญี่ปุ่นให้ต่อเรือดำน้ำ ขนาด 370 ตัน จำนวน 4 ลำ เป็นเงิน ลำละ 820,000 บาท และได้รับพระราชทานชื่อในภายหลังว่า ร.ล.มัจฉานุ (หมายเลข 1) , ร.ล.วิรุณ (หมายเลข 2) , ร.ล.สินสมุทร (หมายเลข 3) และ ร.ล.พลายชุมพล (หมายเลข 4) โดย ร.ล.มัจฉานุ และ ร.ล.วิรุณ สร้างเสร็จสมบูรณ์ และได้ขึ้นประจำการในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2480 ทางกองทัพเรือ จึงได้ถือเอาวันนี้ของทุกปีเป็น วันที่ระลึกเรือดำน้ำ (http://zedth.exteen.com/images/submarine/sinsamut_wirun.jpg) พิธีรับเรือ ร.ล.สินสมุทร และ ร.ล.วิรุณ เดือน ก.ย. 2480 ที่เมืองโกเบ เรื่องราวเกี่ยวกับเรือดำน้ำ ยังไม่จบ เพราะว่ามันยาวมาก ถ้าผู้ใดสนใจ ติดตามอ่านกันต่อในคราวหน้านะครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 07:58:22 AM เคยมี 4 ลำครับ ต่อจากญี่ปุ่นในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าที่ควร เพราะอ่าวไทยน้ำตื้น เคยทราบ ว่ามีเหมือนกันครับ :) .. และถ้าต้อง ซื้อ ต้องสร้างเอง.. ควรเอาเงินนั้น ไว้พัฒนากองทัพเรือ น่าจะดีกว่า.. และจะเอามาทำอะไรดี.. ถ้าจะไว้ป้องกันประเทศ ใช้เรือผิวน้ำ . เครื่องบินรบ ก็น่าจะทำได้ ดีกว่า มีเรือดำน้ำ ก็น่าจะมีเป็นกองเรือดำน้ำ..และเอาเข้าจริง ใช้เครื่องบินรบ.. ตามไปถล่ม ง่ายกว่า เอาเรือดำ .. ดำน้ำ ตามกัน. ภาระกิจ เพื่อป้องกันประเทศ ก็มีเพียงประเทศที่อยู่ใกล้เคียง. ไม่ใช่ภาระกิจป้องกัน ประเทศมหาอำนาจ.. ใช้การฑูต การเมืองระหว่างประเทศ น่าจะดีกว่า ครับ. :) หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 08:00:47 AM http://zedth.exteen.com/20060905/entry
ที่มาของชื่อเรือ ส. posted on 05 Sep 2006 19:13 by zedth in Navy-Story ในประวัติศาสตร์เรือรบสยามนั้น เราเคยมี เรือดำน้ำอยู่ถึง 4 ลำ ซึ่งในสมัยนั้น เรียกว่า เรือ ส. ซึ่งกว่าจะได้เรือ ส. นี้มา กองทัพเรือ ต้องรอถึง 27 ปี ดังที่ผมได้เคยเล่าไปแล้วในเรื่อง 4 ก.ย. วันที่ระลึกเรือดำน้ำ เรือ ส. ทั้ง 4 ลำนี้ มีชื่อและหมายเลขเรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.ร.ล.มัจฉานุ หมายเลข 1 2.ร.ล.วิรุณ หมายเลข 2 3.ร.ล.สินสมุทร หมายเลข 3 4.ร.ล.พลายชุมพล หมายเลข 4 (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/sub.jpg) หากท่านผู้อ่านสังเกตุจะเห็นว่า เรือ ส. ทั้ง 4 ลำนี้ มีชื่อตามตัวละครในวรรณคดีอมตะของไทยทุกลำ ซึ่งตาม ระเบียบกองทัพเรือ ว่าด้วยการแบ่งชั้นเรือ หมู่เรือ และการตั้งชื่อเรือหลวง ได้กำหนดให้เรือ ส. หรือเรือดำน้ำ ตั้งชื่อเรือตาม ผู้มีอิทธิฤทธิ์ สามารถดำน้ำได้ผิดมนุษย์มนา หรือ อาศัยอยู่ใต้บาดาล ในนิยาย หรือวรรณคดีไทย ซึ่งแต่ละลำก็มีที่มาจาก วรรณคดีต่าง ๆ ดังนี้ ร.ล.มัจฉานุ ได้ชื่อมาจาก มัจฉานุ จากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ มัจฉานุ เป็นบุตรของ หนุมาน กระบี่ผู้เป็นทหารเอกของพระราม และ นางสุวรรณมัจฉา ซึ่งเป็นธิดาของทศกัณฐ์ เข้าข่ายรักต้องห้าม (แต่จริง ๆ แล้ว หนุมานน่าจะข่มขืนนางสุวรรณมัจฉามากกว่า) ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ มัจฉานุมีกายเป็นลิง ผิวสีขาว เหมือนผู้บิดา และมีหางปลาเหมือนมารดา (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/machanu.jpg) กำเนิดของมัจฉานุ นั้นเริ่มมาจาก หนุมานได้รับบัญชาจากพระรามให้ไปจองถนน สำหรับยกทัพไปกรุงลงกา หนุมานก็นำพลพรรควานร ช่วยกันขนหิน ไปถมทะเลเพื่อทำทางข้าม แต่แม้นจะโยนหินลงไปในคงคาสักเท่าใด ก็ไม่ยักจะถมได้เต็มเสียที ยังความแคลงใจให้แก่ หนุมานเป็นอย่างยิ่ง ขุนกระบี่ของเราจึงต้องดำน้ำลงไปดูให้หายสงสัยว่า ทะเลนี้ลึกสุดหยั่งหรืออย่างไร เมื่อดำลงไปถึงก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ก็มีฝูงปลา และสัตว์ทะเลมากมายมาร่วมด้วยช่วยกัน ขนหินทั้งหลายไปทิ้งนี่เอง หนุมานจึงควานหาตัวหัวหน้าใหญ่ที่คุมไซด์งานนี้ ก็ไปพบ สุวรรณมัจฉาเข้า จึงเข้าต่อสู้กัน แต่สู้กันไปสู้กันมา กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไป ดันเกิดอารมณ์พิศวาสเสียนี่ สุวรรณมัจฉา ซึ่งสู้กำลังหนุมานไม่ได้ จึงเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล่ำ เสียเนื้อเสียตัวให้แก่หนุมาน เรียบร้อยโรงเรียนวานรไป เมื่อการณ์กลับกลายเป็นเช่นนั้น สุวรรณมัจฉา ไม่รู้จะทำอย่างไร ฝ่ายหนึ่งก็สามี อีกฝ่ายก็ปิตุลา แต่ด้วยความสิเหน่หา (หรือฝีไม้ลายมือ และลมปากของหนุมานก็ไม่ทราบได้) นางจึงตัดสินใจช่วย หนุมาน สร้างถนนไปยังกรุงลงกาจนสำเร็จ หลังจากที่ พระราม และหนุมาน เคลื่อนทัพผ่านไป นางสุวรรณมัจฉา (ตอนนี้เป็นนางไปแล้ว) ก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ทีนี้ก็กลัวความจะแตก รู้ถึงหูพระบิดร ได้มีหัวขาดกันทั้งแม่ทั้งลูก เธอจึงต้องกบดานไปคลอดลูก (ทำกันมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว ไม่แปลกหรอกครับ) และเมื่อลูกคลอดออกมา ก็ได้ตั้งชื่อให้ว่า มัจฉานุ และก็นำลูกไปปล่อยทิ้งไว้ ณ ชายหาดแห่งหนึ่ง หวังจะมีผู้ใจบุญเก็บไปเลี้ยงดู อุปถัมภ์ (ไม่ได้ไปปล่อยทิ้งให้ตายเหมือนในสมัยนี้นะครับ) และได้สั่งเสียกับลูกตนไว้ว่า พ่อของลูกชื่อหนุมาน มีกุณฑลขนเพชร เขี้ยวแก้ว และเหาะขึ้นไปหาวเป็นดาวเดือนได้ ถ้าพบกันก็จงกราบไหว้พ่อนะลูกรัก และแล้วก็มีผู้ใจบุญนำมัจฉานุไปเลี้ยงดังคาด ซึ่งก็คือ ไมยราพณ์ ญาติทศกัณฐ์ ตนหนึ่งนั่นเอง เมื่อเติบใหญ่ ไมยราพณ์ ก็ให้มัจฉานุ ไปรักษาสระบัวใหญ่ ซึ่งเป็นด่านชั้นในของวังทศกัณฐ์ ครั้นพอถึงคราวที่หนุมานบุกมาชิงตัวพระรามก็ได้ประมือกัน เนื่องจากเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของหนุมาน ความสามารถและพละกำลังจึงสูสีกับบิดา สู้กันอย่างไรก็ไม่รู้แพ้รู้ชนะ สู้กันไปสู้กันมา มัจฉานุก็พินิจพิเคราะห์รูปหนุมานว่าไฉนจึงมีรูปลักษณ์เหมือนดั่งบิดาที่แม่สั่งความไว้ จึงได้ถามคำถามลองเชิงไปว่า "ตัวเรานี้ได้นามกร ชื่อมัจฉานุวัยวุฒิ บุตรนางมัจฉาดวงสมร ... บิตุเรศของเราผู้ศักดา ชื่อว่าคำแหงหนุมาน ตัวท่านนี้เป็นวานร นามกรชื่อไรจึ่งอาจหาญ ล่วงมาถึงมือพระกาฬ ไม่กลัววายปราณฤาว่าไรฯ" หนุมานได้ยินดังนั้นจึงรู้ว่าลูกตน จึงบอกว่าตนนั้นชื่อหนุมานและเป็นพ่อเจ้า แต่มัจฉานุไม่เชื่อ ร้องท้าว่า "ใครจักเชื่อฟังวานร แม้นหาวเป็นดาวเดือนตะวัน ให้เห็นสำคัญประจักษ์ก่อน เราจึ่งจะเชื่อว่าบิดร ทหารพระสี่กรอวตาร ฯ" ได้ยินดังนั้น หนุมานก็ไม่รอช้า "สุดสวาทของพ่ออย่าสงสัย ว่าพลางก็เหาะขึ้นไป อยู่ในอากาศด้วยฤทธาฯ หาวเป็นดาวเดือนทินกร เขจรสว่างเวหา เสร็จแล้วก็กลับลงมา ยังพื้นพสุธาทันทีฯ" เมื่อได้เห็นหลักฐานกับตาตนดังนั้น มัจฉานุก็แจ้งประจักษ์ทันที ทิ้งอาวุธก้มลงกราบตีนบิดา และร้องห่มร้องไห้ อ้อนวอนบิดาอย่าได้ถือโทษโกรธขึ้ง ให้เป็นบาปกรรมติดตัวไปในชาติหน้า หนุมานก็ดีใจ ได้พบหน้าลูก บอกกล่าวว่าพ่อไม่ถือเอาความให้เคืองใจ แต่ครั้นตนจะมัวแต่ดีใจอยู่ก็ไม่ได้ เพราะมีภาระกิจใหญ่คือช่วยพระราม จึงหวังจะให้ มัจฉานุบอกทางไปหา ไมยราพณ์ มัจฉานุได้ยินดังนั้น ก็กล่างตอบว่า ตนไม่อาจคิดระยำ อกตัญญูต่อไมยราพณ์ได้ จึงบอกพ่อตนไปว่า"ด้วยพระยาไมยราพอสุรี ได้เลี้ยงลูกนี้จนใหญ่มา พระคุณดั่งคุณบิตุเรศ ซึ่งบังเกิดเกศเกศา อันซึ่งจะบอกมรคา ดั่งข้าไม่มีกตัญญู บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจพิศดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญฯ" แล้วหนุมานก็หาทางไปต่อได้ด้วยตนเอง ร.ล.วิรุณ ตั้งชื่อตาม วิรุณจำบัง ยักษ์ซึ่งเป็นเครือญาติของ ทศกัณฐ์ จากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ มีกายสีมอหมึก (สีขาวเจือดำ) ปากขบ ตาดั่งจระเข้ มีอิทธิฤทธิ์คือสามารถหายตัวได้ เป็นบุตรของพระยาทุขษณ์เจ้ากรุงจารึก ซึ่งเป็นอนุชาของทศกัณฐ์ ดังนั้น วิรุณจำบัง จึงมีศักดิ์เป็นหลานของ ทศกัณฐ์ วิรุณจำบังยกทัพไปช่วยทศกัณฐ์ทำศึกกับพระราม โดยขี่ม้านิลพาหุ หายตัวเข้าไปในกองทัพของพระราม ลอบฆ่าพวกไพร่พลลิงตายไปเป็นจำนวนมาก พิเภก ถวายคำแนะนำให้พระรามแผลงศรไปฆ่าม้านิลพาหุเสีย วิรุณจำบังจึงหนีไปซ่อนตัวในฟองน้ำใต้แม่น้ำสีทันดร บริเวณภูเขาสัตภัณฑ์ อยู่ทางใต้เขาพระสุเมรุ แต่ก็ถูกหนุมานตามไปฆ่าจนตาย ความจริง สาเหตุที่นำชื่อ วิรุณจำบัง มาตั้งเป็นชื่อเรือ ส. นี้ น่าจะมาจากอิทธิฤทธิ์ในการหายตัวได้ และโจมตีข้าศึกโดยไม่ให้รู้ตัว มากกว่า การที่ไปซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำ ใต้แม่น้ำ เพราะเรือดำน้ำเอง ก็มีคุณสมบัติพิเศษก็คือ การเร้นกายดุจหายตัวไปในพื้นท้องทะเล เรือผิวน้ำไม่สามารถตรวจจับได้โดยง่าย และจู่โจมศัตรูโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/wirun.jpg) อิทธิฤทธิ์ของวิรุณจำบังนี้ เป็นที่กล่าวขานกันมาก ถึงกับมีวิชาไสยศาสตร์ ชื่อเดียวกันนี้ หรือ วิชาอาพัดใบพลูกำบังเป็นวิชาที่เสกพลูกำบัง ให้เอาข้าวสารมาหนึ่งกำเซ่นชิน(ผีดิน)เอาปูนเขียนยันต์วิรุณจำบังที่ใบพลูแล้วนำมาทัดหูเป็นกำบัง เวลาเคลื่อนที่ต้องบริกรรมคาถาด้วย เป็นวิชาที่เรียนยากต้องจิตสูงแล้วต้องไม่ลังเล ใจต้องแน่วแน่มาก นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีเครื่องลางของขลังอีกหลายชนิด ที่ใช้ชื่อ วิรุณจำบัง เพื่อบอกสรรพคุณในการหายตัว เช่น ตะกรุด , เสื้อยันต์ เป็นต้น ร.ล.สินสมุทร ตั้งชื่อตาม สินสมุทร ในเรื่อง พระอภัยมณี ร้อยกรองของ ท่านสุนทรภู่ สินสมุทรเป็นบุตรของพระอภัยมณี และ นางผีเสื้อสมุทร อสูรที่มีอำนาจมากที่สุดในแถบทะเลนั้น (ในบทประพันธ์เป็น แม่น้ำอโนมาน) สินสมุทรมีรูปกายเหมือนมนุษย์ แต่มีเขี้ยวงอกออกจากปากเหมือนยักษ์ สามารถดำน้ำ ว่ายน้ำได้และมีพละกำลังมหาศาล โมโหร้ายเหมือนมารดา และเจ้าชู้เหมือนบิดา นอกจากนี้ยังเก่งกล้าสามารถในการรบ เพราะได้วิชาจากพ่อ และฤาษีโยคีที่เกาะแก้วพิสดาร (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/sinsamut.jpg) นอกจากสินสมุทรจะเป็นนักรบทางบกที่เก่งกาจแล้ว ยังเจนทะเลอีกด้วย เพราะเกือบทั้งชีวิตของสินสมุทรนั้น ล้วนแต่ผูกพันกับท้องทะเล ตั้งแต่เกิด และต้องร่อนเร่ไปในท้องทะเล กับ สุวรรณมาลี ซึ่งสินสมุทรรักเหมือนแม่แท้ ๆ เมื่อครั้งพลัดพรากกับบิดากลางทะเล และหลังจากที่ได้พบกับพระอภัยมณีอีกครั้ง สินสมุทรก็ได้เดินทางทางเรืออีกหลายครั้ง เพื่อไปสู้รบ และช่วยเหลือบิดาศรีสุวรรณ ผู้อาและ สุดสาคร น้องชายอยู่บ่อยครั้ง จึงนับได้ว่า สินสมุทรเป็นนักรบทางทะเลที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว ร.ล.พลายชุมพล ตั้งชื่อตาม พลายชุมพล จากเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผนพลายชุมพล เป็นลูกชายของพระเอก คือ ขุนแผน หรือ พลายแก้ว กับ นางแก้วกิริยา เมียคนที่ห้า และคนสุดท้ายของขุนแผน พลายชุมพล ได้รับดีเอ็นเอ ความเก่ง ความฉลาดปราดเปรื่องมาจากพ่อ เผลอ ๆ จะเก่งกว่าด้วยซ้ำ โดยแค่อายุ 15 ปี ก็สามารถเรียนตำราขอมได้จนจบเล่ม ล่องหนหายตัวได้ แถมยังดำดินได้อีก เสกหุ่นหญ้ามาช่วยสู้รบแทนตนได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือ มีวิชาอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า มีอยู่ตอนหนึ่ง เถรขวาดจำแลงตนมาเป็นจระเข้ อาละวาดฆ่าคน ในเมืองเชียงใหม่ เป็นที่เกรงกลัวของผู้คนในย่านนั้น พลายชุมพลจึงได้อาสาสมเด็จพระพันวษา ออกปราบเถรขวาด และจับตัวเถรขวาดได้สำเร็จ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น หลวงนายฤทธิ์ (http://fufu.exteen.com/images/zedth/submarine2/plaichumpon.jpg) จากวีรกรรมที่พลายชุมพล ต้องลงน้ำปราบจระเข้จำแลง และวิชาล่องหนหายตัว กับวิชาดำดินนี้เอง จึงทำให้ พลายชุมพล เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ได้นำมาใช้กับ เรือ ส. ลำสุดท้ายของสยาม เมื่อได้รู้ถึงที่มาของชื่อของเรือ ส. ทั้ง 4 ลำ กันแล้ว เราก็มาดูคุณลักษณะของเรือชุดนี้กันต่อดีกว่าครับ เรือ ส. ต่อที่อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น มีระวางขับน้ำเมื่อลอยลำ 374.5 ตัน ขณะดำ 430 ตัน ความยาวตลอดลำ 41 เมตร ความกว้างมากที่สุด 4.1 เมตร สูง 11.65 เมตร และกินน้ำลึก 3.6 เมตร ในส่วนของเขี้ยวเล็บนั้น ก็มี ปืนใหญ่เรือ ขนาด 76/25 มม. 1 กระบอก ปืนกล 8 มม. 1 กระบอก ตอร์ปิโดหัวเรือขนาด 45 ซม.จำนวน 4 ท่อยิง นับว่ามีอาวุธที่มีประสิทธิภาพมาก คือจะโจมตีด้วย ตอร์ปิโด ในตอนที่ดำน้ำในเวลากลางวัน หรือ ในเวลากลางคืน จะลอยลำขึ้นมา แล้วใช้ปืนใหญ่ยิงก็ได้ เครื่องจักรใหญ่ของเรือ เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 8 สูบ กำลัง 1,100 แรงม้า จำนวน 2 เครื่อง มีเครื่องไฟฟ้า ขนาดกำลัง 540 แรงม้า ไม่ทราบว่ามีกี่เครื่อง แต่น่าจะมีอย่างน้อย 2 เครื่อง ทั้งเครื่องจักรใหญ่ และเครื่องไฟฟ้าเป็นของบริษัท มิตซูบิชิเอง ความเร็วของเรือ แบ่งได้เป็นความเร็วมัธยัสต์ 10 น็อต และความเร็วสูงสุด 14.5 น็อต รัศมีทำการไกลสุด 4,770 ไมล์ทะเล ดำได้ลึก 60 เมตร กำลังพล 33 นาย เป็น นายทหารสัญญาบัตร 5 นาย และประจำเรือ 28 นาย ขึ้นระวางประจำการเมื่อ 19 ก.ค. 2481 และปลดประจำการเมื่อ 30 พ.ย. 2494 พร้อมกันทั้ง 4 ลำ วันนี้เราก็รู้จักกับเรือดำน้ำไทยเพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วนะครับ แต่เรื่องราวยังไม่จบนะครับ ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ครั้งหน้าครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 08:01:49 AM เครดิตและเนื้อหาทั้งหมด เป็นของคุณเจ้าชายน้อย
http://zedth.exteen.com/ ขอขอบพระคุณที่กรุณาให้ยืมมาเผยแพร่ครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 08:03:17 AM ขอบคุณมากครับ คุณโอ๊ค.. :D ::002::
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 08:32:57 AM เครดิตและเนื้อหาทั้งหมด เป็นของคุณเจ้าชายน้อย เอาไปหนึ่งดอกเอ้ยหนึ่งคะแนน ::002:: ::002::http://zedth.exteen.com/ ขอขอบพระคุณที่กรุณาให้ยืมมาเผยแพร่ครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 08:35:04 AM น้าโอ๊คนี่ นอกจากมาเหนือเมฆแล้ว ยังดำน้ำเก่งอีกต่างหาก หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 12:53:02 PM น้าโอ๊คนี่ นอกจากมาเหนือเมฆแล้ว ยังดำน้ำเก่งอีกต่างหาก หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Skynavy ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:04:19 PM สวัสดีครับทุกท่าน
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณจขกท.ที่ให้ความสนใจและห่วงใยกองทัพเรือ ขอบคุณน้องโอ๊คที่นำข้อมูลเกี่ยวกับเรือดำน้ำอันเป็นประโยชน์ รวมถึงทุกท่านที่กรุณาแสดงความคิดเห็น ยุทธศาสตร์ทางเรือในด้านการป้องกันประเทศทางทะเลนั้นได้เห็นถึงความสำคัญของการมีเรือดำน้ำเข้าประจำการ แต่เนื่องจากติดขัดในด้านของการจัดสรรงป.เสริมสร้างกองทัพ จึงต้องใช้งป.ที่ได้รับมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ทร.มีโครงการปรับปรุงพัฒนาเรือและอากาศยานที่มีอยู่ให้คงสภาพในการปฎิบัติงานได้ อะไรที่ใช้การไม่ได้แล้วก็จะทยอยปลดระวางประจำการไปโดยให้สอดคล้องกับการจัดหามาใหม่ด้วย ในเรื่องพื้นที่ปฎิบัตการด้านอ่าวไทยที่น้ำตื้นนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่เนื่องจากเรือดำน้ำเป็นอาวุธเชิงรุก เราจึงใชเรือดำน้ำ้ในพื้นที่อื่นนอกอ่าวไทยเป็นหลัก่ครับ สำหรับในอ่าวไทยจะให้อากาศยานและเรือปราบเรือดำน้ำทำงานแทน โครงการจัดหาเรือดำน้ำของทร.ยังคงมีอยู่นะครับ รอแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการจัดสรรงป.มาเท่านั้นครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:13:06 PM สวัสดีครับทุกท่าน ทหารน้ำมาเองเลยงานนี้................ :Dก่อนอื่นต้องขอขอบคุณจขกท.ที่ให้ความสนใจและห่วงใยกองทัพเรือ ขอบคุณน้องโอ๊คที่นำข้อมูลเกี่ยวกับเรือดำน้ำอันเป็นประโยชน์ รวมถึงทุกท่านที่กรุณาแสดงความคิดเห็น ยุทธศาสตร์ทางเรือในด้านการป้องกันประเทศทางทะเลนั้นได้เห็นถึงความสำคัญของการมีเรือดำน้ำเข้าประจำการ แต่เนื่องจากติดขัดในด้านของการจัดสรรงป.เสริมสร้างกองทัพ จึงต้องใช้งป.ที่ได้รับมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ทร.มีโครงการปรับปรุงพัฒนาเรือและอากาศยานที่มีอยู่ให้คงสภาพในการปฎิบัติงานได้ อะไรที่ใช้การไม่ได้แล้วก็จะทยอยปลดระวางประจำการไปโดยให้สอดคล้องกับการจัดหามาใหม่ด้วย ในเรื่องพื้นที่ปฎิบัตการด้านอ่าวไทยที่น้ำตื้นนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่เนื่องจากเรือดำน้ำเป็นอาวุธเชิงรุก เราจึงใชเรือดำน้ำ้ในพื้นที่อื่นนอกอ่าวไทยเป็นหลัก่ครับ สำหรับในอ่าวไทยจะให้อากาศยานและเรือปราบเรือดำน้ำทำงานแทน โครงการจัดหาเรือดำน้ำของทร.ยังคงมีอยู่นะครับ รอแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการจัดสรรงป.มาเท่านั้นครับ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:18:33 PM ท่านผู้การฯ มาตอบเอง มอบให้หนึ่งคะแนนเลยครับ เรียนถามท่านผู้การเพิ่มเติม นอกเหนือจาก ซีแฮริเออร์แล้ว ทร. มีโครงการจัดหาเครื่องบินรบเพิ่มเติมมั้ยครับ
(http://img232.imageshack.us/img232/5681/aircraft7qh2.jpg) (http://imageshack.us) หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:19:16 PM อ้าวลุงปูพูดแบบนี้เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก ;D ต้องใช้คำว่า นอกจากขี่เหนือเมฆแล้ว ยังเก่งเรื่องเรือดำน้ำอีกต่างหาก ไปบอกว่าดำน้ำเก่งมันฟังทะแม่งๆ ธ่อเอ้ยยยย ....... น้าโอ๊คน่ะเหรอ ........ หุ หุ ...... เรื่องกลัวไม่มีนะสิ ........ แน่จริงลงไปดวลกันใหม่ก็ได้ถ้ายังข้องใจ .......... พวกน้อยจะชวนนังมิ๋นไปเป็นเพื่อนอีกคนเอาปะ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ พฤศจิกายน 02, 2007, 02:24:16 PM อ้าวลุงปูพูดแบบนี้เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก ;D ต้องใช้คำว่า นอกจากขี่เหนือเมฆแล้ว ยังเก่งเรื่องเรือดำน้ำอีกต่างหาก ไปบอกว่าดำน้ำเก่งมันฟังทะแม่งๆ ธ่อเอ้ยยยย ....... น้าโอ๊คน่ะเหรอ ........ หุ หุ ...... เรื่องกลัวไม่มีนะสิ ........ แน่จริงลงไปดวลกันใหม่ก็ได้ถ้ายังข้องใจ .......... พวกน้อยจะชวนนังมิ๋นไปเป็นเพื่อนอีกคนเอาปะ หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Boss888 ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 10:28:40 PM ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบ....ขอมอบหนึ่งคะแนนสำหรับทุกๆท่านครับผม
อ่านไปๆ คิดถึงหนัง the red october เลยครับ.... หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 11:12:06 PM จะจับปลาไม่ต้องมีถึงเรือดำน้ำหรอกครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: mod.19 ที่ พฤศจิกายน 05, 2007, 11:34:43 PM ไม่คุ้มครับอ่าวตื้นมากและอีกอย่างถ้าจะรบกันจริงเขาเอาเรือประจันบานสักกองกับเรือวางทุ่นระเบิดสักสองลำมาปิดอ่าวเราก็ขยับบ่ได้แล้วครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 06, 2007, 12:30:50 AM ขอบคุณท่าน จขกท.และท่านทัดมาลาครับ...
ผมเคยทราบเรื่องเรือดำน้ำของไทยอยู่บ้าง... แต่มาทราบรายละเอียดก็ตอนนี้แหละครับ... เยี่ยมครับ...::002:: หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: big single ที่ พฤศจิกายน 06, 2007, 04:34:55 AM สวัสดีครับทุกท่าน ทหารน้ำมาเองเลยงานนี้................ :Dก่อนอื่นต้องขอขอบคุณจขกท.ที่ให้ความสนใจและห่วงใยกองทัพเรือ ขอบคุณน้องโอ๊คที่นำข้อมูลเกี่ยวกับเรือดำน้ำอันเป็นประโยชน์ รวมถึงทุกท่านที่กรุณาแสดงความคิดเห็น ยุทธศาสตร์ทางเรือในด้านการป้องกันประเทศทางทะเลนั้นได้เห็นถึงความสำคัญของการมีเรือดำน้ำเข้าประจำการ แต่เนื่องจากติดขัดในด้านของการจัดสรรงป.เสริมสร้างกองทัพ จึงต้องใช้งป.ที่ได้รับมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดในภาพรวม ทร.มีโครงการปรับปรุงพัฒนาเรือและอากาศยานที่มีอยู่ให้คงสภาพในการปฎิบัติงานได้ อะไรที่ใช้การไม่ได้แล้วก็จะทยอยปลดระวางประจำการไปโดยให้สอดคล้องกับการจัดหามาใหม่ด้วย ในเรื่องพื้นที่ปฎิบัตการด้านอ่าวไทยที่น้ำตื้นนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่เนื่องจากเรือดำน้ำเป็นอาวุธเชิงรุก เราจึงใชเรือดำน้ำ้ในพื้นที่อื่นนอกอ่าวไทยเป็นหลัก่ครับ สำหรับในอ่าวไทยจะให้อากาศยานและเรือปราบเรือดำน้ำทำงานแทน โครงการจัดหาเรือดำน้ำของทร.ยังคงมีอยู่นะครับ รอแต่ว่าเมื่อไหร่จะได้รับการจัดสรรงป.มาเท่านั้นครับ ใช่ครับพี่ นานๆผู้การแกขึ้นบกที ;D นอกจากกระทู้ซึมเศร้าแล้วผมไม่ค่อยเห็นผู้การออกนอกบ้านซักเท่าไหร่เลยครับ ;) หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: nomember ที่ พฤศจิกายน 06, 2007, 03:13:49 PM ได้ความรู้มากครับ ขอบคุณครับ ::002:: ;D
หัวข้อ: Re: ทำไมไทยไม่มี เรือดำน้ำกับเค้าซะทีครับ....??? เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ พฤศจิกายน 06, 2007, 03:35:46 PM เรือดํานําอาจใช้เป็นอาวุธเชิงรับได้นะครับ...
ผมว่า...ถ้าฝ่ายที่รุกรานเข้ามา รู้ว่าฝ่ายเรามีเรือดํานํา ก็คงต้องระวังมากๆ...เพราะไม่รู้อยู่ที่ไหน..หาไม่เจอ แต่ก็นั่นแหละ...คงต้องใช้งบประมาณมากทั้งซื้อและรักษา... ตอนนี้...คงยังไม่เหมาะจะใช้จ่าย |