หัวข้อ: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: e.k.1911 ที่ มกราคม 31, 2008, 12:32:20 PM พระบรมราโชวาท ปิดทองหลังพระ
การทำงานด้วยน้ำใจรักต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้นจะเป็นประจักพยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับ สอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้ พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์ ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 กรกฎาคม 2506 ทรงเตือนสติทุกคนให้ทำงานด้วยความตั้งใจ ด้วยความรู้ ความสามารถ และความสุจริต แม้งานที่ทำนั้นอาจไม่มีผู้ใดทราบ แต่เมื่อเป็นงานที่ก่อให้เกิด ประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติแล้ว ควรที่จะทำแม้จะเป็นการทำในลักษณะ ปิดทองหลังพระก็ตาม เพราะถ้าทุกคนคิดแต่จะปิดทองหน้าพระ ทำงานเอาหน้า ทำอะไรต้องให้มีผู้รู้ผู้เห็นก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แก่ประเทศชาติได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน นอกจากนี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท เป็นการเตือนสติข้าราชการทุกคน เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2533 ให้ทำงานโดยคำนึงถึงผลงานที่ปฏิบัติ มากกว่าผลประโยชน์ อย่างอื่น เหมือนดังเช่นการปิดทองหลังพระ ในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัล หรือผลประโยชน์ให้มาก ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์เป็นทั้งรางวัลและ ประโยชน์อย่างประเสริฐ จะทำให้บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทาน ปริญญาบัตรของ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วันที่ 8 กรกฎาคม 2530 เกี่ยวกับการทำงานว่า เมื่อมีโอกาสและมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำต้อง ตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง. ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม...ขอเดชะ เนื่องด้วยตอนนี้ผมกำลังจะน้อมนำพระราชดำรัสนี้ ไปสู่การร่วมกันนำไปใช้กระทำของคนในสังคม โดยเริ่มจากบุคคลใกล้ตัว ในโรงเรียน เด็กๆนักเรียน เพื่อนฝูง ฯลฯ ทั้งนี้ก่อนนี้ จัดการปลูกฝังเรื่อง ความพอเพียงไปแล้ว คนที่ทำก็จะได้ผล ไร้ผลกระทบจากทางเศรษฐกิจ ชีวิต สังคม ว่าด้วยการปิดทองหลังพระ ผมเองได้กระทำโดยที่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเป็นการปิดทองหลังพระ เพราะขาดเจตนาใดๆ ทุกอย่างทำไปโดยความยินดีที่จะทำ เมื่อก่อนก็เคยคิดว่าทำดีสักอย่าง มีคนรู้บ้างก็ดี มีผลแก่ความรู้สึก ปลื้มปิติดี.........แต่ก็ไม่เคยไม่ได้ต้องการบอกกล่าวโฆษณา ปัจจุบัน เน้นทำดีลับหลังเยอะหน่อย ใครอยากได้ผลตอบแทนตรงนั้น ก็เอาไปเถิด รู้สึกสุขใจกว่าเยอะเลย ปิดทองหลังพระ สำนวนนี้ หากร่วมกันทำ สังคมมนุษย์โลกต้องดีขึ้นทันตา ::014:: ขอเชิญร่วม ปิดทองหลังพระ กันทั้งมวลสังคมครับ หัวข้อ: Re: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มกราคม 31, 2008, 12:42:43 PM สื่งที่พระองค์ท่านกล่าว
เห็นจริงได้ตลอด ในทุก ๆ เรื่อง และถ้ารับมาปฎิบัติ จะเกิดประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง และ ผู้อื่น ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ เป็นมิ่งขวัญของประชาชน ทั้งปวง หัวข้อ: Re: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: ก๊วยเจ๋ง ที่ มกราคม 31, 2008, 01:20:55 PM ปิดทองหลังพระ กันนะครับ
หัวข้อ: Re: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: SaSa ที่ มกราคม 31, 2008, 03:33:53 PM ทำดีสบายใจ ทำชั่วร้อนใจ... ไม่มีใครรู้ใครเห็น...แต่เรารู้เองแก่ใจ
หัวข้อ: Re: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: วัฒน์ ที่ มกราคม 31, 2008, 04:23:39 PM พระราชดำรัส ๔ ประการ สู่รูปธรรม การทำความดี
ประการแรก คือ การให้ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ประการที่สอง คือการที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงานประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผลทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และแก่ประเทศชาติ ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำ นำความคิดเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรงอยู่ในเหตุในผล :) การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรัสทั้งสี่ประการข้างต้นนั้น เป็นคุณธรรมที่เราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนาสามารถปฏิบัติได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ข้าราชการ สื่อมวลชน พ่อค้า นักธุรกิจ นักการเมือง ประชาชนทั่วไป รวมถึงนักบวช และพระภิกษุสงฆ์ด้วย ซึ่งการน้อมนำพระราชดำรัสไปสู่การกระทำดี ที่เป็นรูปธรรมนี้ สามารถเริ่มด้วยการ ให้ทุกคนทำตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยยึดหลักธรรมตามศาสนาของตนเป็นพื้นฐาน อันได้แก่ ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษา ก็ให้ตั้งใจเล่าเรียน ช่วยติวให้เพื่อน ไม่หวงวิชา ไม่คิดโกงข้อสอบ ไม่ก่อการทะเลาะวิวาท ทำตัวเป็นหัวโจกในทางที่ไม่ดี มีความเคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พูดจามีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ กลับบ้านก็ให้รู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน ไม่คิดฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยซื้อของแบรนด์เนมหรือเปลี่ยนมือถือบ่อยทั้งๆที่ยังไม่มีรายได้ ให้ปฏิบัติตนอยู่ในกฎระเบียบของสถานศึกษา ไม่ข้องแวะกับยาเสพติด ขณะเดียวกันก็ช่วยดึงเพื่อนให้ห่างไกลจากอบายมุขด้วย เป็นต้น ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็ต้องเสียสละเวลาให้ลูกบ้าง อย่าตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินแต่เพียงอย่างเดียวอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสถานศึกษาในการอบรมสั่งสอนลูกเท่านั้น แต่พ่อแม่ต้องทำหน้าที่ในการสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี ไม่เป็นภาระกับสังคมด้วย ควรมอบหมายหน้าที่การงานให้ทำบ้าง เพื่อลูกจะได้รู้จักรับผิดชอบ มิใช่เอาแต่เรียนแต่อย่างเดียว ควรสอนลูกให้รู้จักเสียสละ ช่วยเหลือส่วนรวมหรือผู้ด้อยโอกาส สอนให้ไม่ดูถูกดูแคลนผู้ที่ด้อยกว่า สอนให้มีเมตตาต่อผู้อื่น โดยอาจจะพาลูกไปทำบุญตามวาระสำคัญต่างๆ ฯลฯ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ ก็ต้องตั้งใจสั่งสอนลูกศิษย์ ให้ความรู้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ต้องสอนศิษย์ให้เป็นคนดี มีความรู้คู่คุณธรรม มิใช่แค่เรียนเก่งอย่างเดียว ทำตนให้ศิษย์เคารพรักด้วยความจริงใจ มิใช่เคารพตามหน้าที่ อย่าคิดแต่จะสอนพิเศษ หรือใช้เวลาสอนไปหารายได้อื่นๆเพิ่ม ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ศิษย์ เป็นต้น ถ้าเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ปฏิบัติงานด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส ตั้งใจบริการ ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ หรือเอารัดเอาเปรียบคนอื่น หรือสักแต่ทำให้เสร็จ หรือทำงานเอาหน้า แต่ให้ทำงานด้วยความตั้งใจที่จะให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองอย่างจริงจัง และนึกถึงผลที่ยั่งยืน มีความซื่อสัตย์ ไม่เอนเอียงไปหาผลประโยชน์เข้าตนเองหรือพวกพ้องไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ก็ตาม ฯลฯ ถ้าเป็นสื่อมวลชน ก็พยายามนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อสังคมเพิ่มขึ้น สิ่งใดเป็นพิษเป็นภัยต่อเยาวชนก็เสนอให้ลดน้อยลงไป พยายามชี้แนะแนวทางที่มีสาระความรู้แก่ประชาชนและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ เพื่อเปิดโลกทัศน์และเสริมสร้างสังคมของเรา ให้เป็น สังคมอุดมปัญญา มิใช่ปัญหา ถ้าเป็นดารานักร้องนักแสดง ก็อย่าคิดว่าเข้ามาในวงการเพียงเพื่อหาเงินระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ให้ทำตัวเป็น แบบอย่าง แก่น้องๆเยาวชนที่รักเรา ปลื้มเราบ้าง เช่น ไม่มั่วเซ็กส์ เสพยา บ้าพนัน ฯลฯ แต่ให้น้องๆเขาได้เห็นตัวอย่างที่ดีๆ เพื่อว่าเขาจะได้ทำตัวเป็น เด็กดี คนดีในสังคมตามแบบดารานักร้องที่เขาชื่นชอบ และตัวเราเองก็จะได้ภูมิใจว่ามีส่วนได้ช่วยชาติบ้านเมืองอีกทางหนึ่ง ถ้าเป็นนักการเมือง ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติตามสัตย์สาบานที่ว่า จะเข้ามารับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างจริงจัง เต็มที่ อย่าทำเพียงลมปาก หรือพูดอย่าง ทำอย่าง และอย่าใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง ญาติมิตร หรือพวกพ้อง ให้ใช้อำนาจอย่างเที่ยงธรรมถูกต้อง ทั้งตามหลักกฎหมายและหลักจริยธรรม ขอให้เป็นนักการเมืองพันธุ์ใหม่ที่ประชาชนคนไทยเคารพรักได้อย่างสนิทใจ และเชื่อใจ ถ้าเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ แม้โดยธรรมชาติ จะต้องมุ่งเน้น กำไร เป็นตัวตั้ง แต่ก็ขอให้ผลิตสินค้าที่มี คุณภาพ หรือให้บริการที่สมราคา อย่าเอาเปรียบผู้บริโภค หรือลูกค้า อย่า ย้อมแมวขาย อย่าฉกฉวยโอกาสค้ากำไรเกินควร ผู้ที่ขายของกิน ก็ควรรักษาความสะอาด และไม่ใช้สิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งปลอมปนใส่ไปในอาหาร เครื่องดื่ม เพราะหวังกำไรเพิ่มขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการทำลายสุขภาพผู้อื่น และมีผลให้บ้านเมืองเรามีพลเมืองที่อ่อนแอ ฯลฯ ถ้าเป็นนักบวช หรือพระสงฆ์ ก็ขอให้ดำเนิน ตามรอยพระพุทธองค์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี และให้ประชาชนเคารพศรัทธาได้จากวัตรที่ปฏิบัติ และเป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างแท้จริง ไม่ประพฤตินอกรีตนอกรอย อันเป็นการทำลายศาสนาทางอ้อม และไม่ชักจูงชาวบ้านไปสู่หนทางแห่งความหลงมัวเมาในกิเลส เป็นต้น ที่มา : อมรรัตน์ เทพกำปนาท, กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทวงวัฒนธรรม หัวข้อ: Re: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: nanmaxnum ที่ มกราคม 31, 2008, 04:49:44 PM ปิดทองหลังพระ....การทำดีไม่ว่าจะทำที่ไหน เมื่อไหร่ ย่อมส่งผลให้ผู้กระทำได้อิ่มบุญ คือความชุ่มเย็นแห่งจิตใจ เป็นสวรรค์ในอก การทำดี เริ่มจากการคิดที่จะทำดี คือจิตใจที่ห่อหุ้มด้วยความดี นำสู่การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ปฏิบัติ ย่อมจะรวย ตามมา คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต หัวข้อ: Re: ปิดทองหลังพระ...ทำดีมิต้องให้ใครเห็น เริ่มหัวข้อโดย: e.k.1911 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2008, 12:20:12 PM พระราชดำรัส ๔ ประการ สู่รูปธรรม การทำความดี ประการแรก คือ การให้ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ประการที่สอง คือการที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงานประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผลทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และแก่ประเทศชาติ ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำ นำความคิดเห็นของตนให้ถูกต้องเที่ยงตรงอยู่ในเหตุในผล :) การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรัสทั้งสี่ประการข้างต้นนั้น เป็นคุณธรรมที่เราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนาสามารถปฏิบัติได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ข้าราชการ สื่อมวลชน พ่อค้า นักธุรกิจ นักการเมือง ประชาชนทั่วไป รวมถึงนักบวช และพระภิกษุสงฆ์ด้วย ซึ่งการน้อมนำพระราชดำรัสไปสู่การกระทำดี ที่เป็นรูปธรรมนี้ สามารถเริ่มด้วยการ ให้ทุกคนทำตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยยึดหลักธรรมตามศาสนาของตนเป็นพื้นฐาน อันได้แก่ ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษา ก็ให้ตั้งใจเล่าเรียน ช่วยติวให้เพื่อน ไม่หวงวิชา ไม่คิดโกงข้อสอบ ไม่ก่อการทะเลาะวิวาท ทำตัวเป็นหัวโจกในทางที่ไม่ดี มีความเคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พูดจามีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ กลับบ้านก็ให้รู้จักช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน ไม่คิดฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยซื้อของแบรนด์เนมหรือเปลี่ยนมือถือบ่อยทั้งๆที่ยังไม่มีรายได้ ให้ปฏิบัติตนอยู่ในกฎระเบียบของสถานศึกษา ไม่ข้องแวะกับยาเสพติด ขณะเดียวกันก็ช่วยดึงเพื่อนให้ห่างไกลจากอบายมุขด้วย เป็นต้น ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็ต้องเสียสละเวลาให้ลูกบ้าง อย่าตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินแต่เพียงอย่างเดียวอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสถานศึกษาในการอบรมสั่งสอนลูกเท่านั้น แต่พ่อแม่ต้องทำหน้าที่ในการสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี ไม่เป็นภาระกับสังคมด้วย ควรมอบหมายหน้าที่การงานให้ทำบ้าง เพื่อลูกจะได้รู้จักรับผิดชอบ มิใช่เอาแต่เรียนแต่อย่างเดียว ควรสอนลูกให้รู้จักเสียสละ ช่วยเหลือส่วนรวมหรือผู้ด้อยโอกาส สอนให้ไม่ดูถูกดูแคลนผู้ที่ด้อยกว่า สอนให้มีเมตตาต่อผู้อื่น โดยอาจจะพาลูกไปทำบุญตามวาระสำคัญต่างๆ ฯลฯ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ ก็ต้องตั้งใจสั่งสอนลูกศิษย์ ให้ความรู้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ต้องสอนศิษย์ให้เป็นคนดี มีความรู้คู่คุณธรรม มิใช่แค่เรียนเก่งอย่างเดียว ทำตนให้ศิษย์เคารพรักด้วยความจริงใจ มิใช่เคารพตามหน้าที่ อย่าคิดแต่จะสอนพิเศษ หรือใช้เวลาสอนไปหารายได้อื่นๆเพิ่ม ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี และชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ศิษย์ เป็นต้น ถ้าเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ปฏิบัติงานด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส ตั้งใจบริการ ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิชอบ หรือเอารัดเอาเปรียบคนอื่น หรือสักแต่ทำให้เสร็จ หรือทำงานเอาหน้า แต่ให้ทำงานด้วยความตั้งใจที่จะให้เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองอย่างจริงจัง และนึกถึงผลที่ยั่งยืน มีความซื่อสัตย์ ไม่เอนเอียงไปหาผลประโยชน์เข้าตนเองหรือพวกพ้องไม่ว่าจะมีโอกาสหรือไม่ก็ตาม ฯลฯ ถ้าเป็นสื่อมวลชน ก็พยายามนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อสังคมเพิ่มขึ้น สิ่งใดเป็นพิษเป็นภัยต่อเยาวชนก็เสนอให้ลดน้อยลงไป พยายามชี้แนะแนวทางที่มีสาระความรู้แก่ประชาชนและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ เพื่อเปิดโลกทัศน์และเสริมสร้างสังคมของเรา ให้เป็น สังคมอุดมปัญญา มิใช่ปัญหา ถ้าเป็นดารานักร้องนักแสดง ก็อย่าคิดว่าเข้ามาในวงการเพียงเพื่อหาเงินระยะหนึ่งเท่านั้น แต่ให้ทำตัวเป็น แบบอย่าง แก่น้องๆเยาวชนที่รักเรา ปลื้มเราบ้าง เช่น ไม่มั่วเซ็กส์ เสพยา บ้าพนัน ฯลฯ แต่ให้น้องๆเขาได้เห็นตัวอย่างที่ดีๆ เพื่อว่าเขาจะได้ทำตัวเป็น เด็กดี คนดีในสังคมตามแบบดารานักร้องที่เขาชื่นชอบ และตัวเราเองก็จะได้ภูมิใจว่ามีส่วนได้ช่วยชาติบ้านเมืองอีกทางหนึ่ง ถ้าเป็นนักการเมือง ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติตามสัตย์สาบานที่ว่า จะเข้ามารับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างจริงจัง เต็มที่ อย่าทำเพียงลมปาก หรือพูดอย่าง ทำอย่าง และอย่าใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง ญาติมิตร หรือพวกพ้อง ให้ใช้อำนาจอย่างเที่ยงธรรมถูกต้อง ทั้งตามหลักกฎหมายและหลักจริยธรรม ขอให้เป็นนักการเมืองพันธุ์ใหม่ที่ประชาชนคนไทยเคารพรักได้อย่างสนิทใจ และเชื่อใจ ถ้าเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ แม้โดยธรรมชาติ จะต้องมุ่งเน้น กำไร เป็นตัวตั้ง แต่ก็ขอให้ผลิตสินค้าที่มี คุณภาพ หรือให้บริการที่สมราคา อย่าเอาเปรียบผู้บริโภค หรือลูกค้า อย่า ย้อมแมวขาย อย่าฉกฉวยโอกาสค้ากำไรเกินควร ผู้ที่ขายของกิน ก็ควรรักษาความสะอาด และไม่ใช้สิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งปลอมปนใส่ไปในอาหาร เครื่องดื่ม เพราะหวังกำไรเพิ่มขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการทำลายสุขภาพผู้อื่น และมีผลให้บ้านเมืองเรามีพลเมืองที่อ่อนแอ ฯลฯ ถ้าเป็นนักบวช หรือพระสงฆ์ ก็ขอให้ดำเนิน ตามรอยพระพุทธองค์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี และให้ประชาชนเคารพศรัทธาได้จากวัตรที่ปฏิบัติ และเป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างแท้จริง ไม่ประพฤตินอกรีตนอกรอย อันเป็นการทำลายศาสนาทางอ้อม และไม่ชักจูงชาวบ้านไปสู่หนทางแห่งความหลงมัวเมาในกิเลส เป็นต้น ที่มา : อมรรัตน์ เทพกำปนาท, กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทวงวัฒนธรรม ขอบคุณมากครับพี่ ::002:: ::002:: ::002:: :VOV: |