หัวข้อ: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: The Kingdom Of Gun ที่ กรกฎาคม 17, 2005, 07:11:08 PM สงครามครูเสด (Crusade War) ถือเป็น สงครามศาสนา อันยาวนาน
ระหว่างกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ กับประเทศกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลาม เริ่มขึ้นและจบลงในสมัยที่ชาวยุโรปเรียกกันว่ายุคกลาง อันเป็นยุคที่ศาสนาคริสต์มีบทบาทกับชีวิต ความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชนชาติในยุโรปเกือบทุก ๆ ชาติ ที่ขณะนั้นมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 80 เชื้อชาติ และมีรัฐเล็กรัฐน้อยอยู่ไม่ต่ำกว่า 100 รัฐ สงครามเกิดขึ้น 8 ครั้งด้วยกันในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 13 กินเวลา 200 ปี ครั้งที่ 1 ระหว่างปี 1095 - 1101 ครั้งที่ 2 ระหว่างปี 1147 - 1149 ครั้งที่ 3 ระหว่างปี 1188 - 1192 ครั้งที่ 4 ระหว่างปี 1201 - 1204 ครั้งที่ 5 ระหว่างปี 1217 - 1221 ครั้งที่ 6 ระหว่างปี 1228 - 1229 ครั้งที่ 7 ระหว่างปี 1248 - 1254 ครั้งที่ 8 ระหว่างปี 1270 สาเหตุเนื่องมาจาก ทั้งชาวคริสต์ ชาวยิว และชาวมุสลิม ต่างยึดถือ บัยตุลมักดิศ หรือ วิหารแห่งเมืองเยรูซาเลม เป็นศาสนสถานสำคัญ แต่ช่วงนั้นเยรูซาเล็มตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิม แม้ทุกฝ่ายจะได้รับเสรีภาพให้ไปแสวงบุญยังศาสนสถาน แต่ความเชื่อพื้นฐาน และวิถีปฏิบัติในการบูชาที่ต่างกัน ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกันเนือง ๆ นักบวชชาวคริสต์จึงเริ่มรณรงค์ให้รัฐต่าง ๆ ในยุโรปต่อต้านชาวมุสลิม เมื่อการรณรงค์โดยใช้สัญลักษณ์ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ประสบความสำเร็จ กระแสสงครามก็เริ่มต้นขึ้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 แห่งกรุงโรม รวบรวมกองทัพชาวคริสต์ 50,000 คน เดินทางไปยังนครเยรูซาเลมในปี 1095 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสด หรือนัยหนึ่งสงครามระหว่างจันทร์เสี้ยวกับไม้กางเขน ชาวคริสต์ใช้ไม่กางเขนเป็นสัญลักษณ์แขวนไว้ที่คอ และ/หรือเป็นสัญลักษณ์ ส่วนชาวมุสลิมใช้สัญลักษณ์จันทร์เสี้ยว ! อันมีที่มาจากปฏิทินอิสลาม อันเป็นปฏิทินทางจันทรคติที่อาศัยการโคจรของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนดเดือน ดวงจันทร์แรกที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเดือนเรียกว่าจันทร์เสี้ยว หรือ ฮิลาล นั่นเอง ปฏิบัติการสงครามครั้งแรกยังไม่ได้รับความสนับสนุนจากอาณาจักรโรมันตะวันออกที่มีนครคอนสแตนติโนเปิ้ลเป็นราชธานี จึงไม่ประสบผลสำเร็จ และสงครามครั้งที่ 2 จนถึงครั้งที่ 8 ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะล้วนแต่ขาดเอกภาพในการนำระหว่างทหารชาวยุโรปจากหลาย ๆ อาณาจักร ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน อิตาลีสลาฟ และสเปน ทำให้ไม่สามารถโจมตี และยึดกรุงเยรูซาเลมได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน และทุก ๆ ครั้งเมื่อไม่มีการส่งกำลัง บำรุงที่เพียงพอ กองทัพครูเสดของชาวยุโรปก็ถอยทัพกลับ ในที่สุดชาวยุโรปก็เลิกล้มความพยายามที่จะรบกับกองทัพมุสลิมในเอสเชียไมเนอร์ และแอฟริกาเหนืออีก เมื่อเสร็จสงครามครั้งที่ 8 ผลทางการเมืองของสงครามครูเสดที่เกิดขึ้นแก่ยุโรปนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่ผลักดันวิวัฒนาการของสังคมให้เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคใหม่ ดังพอประมวลได้ดังนี้ 1. เพื่อที่จะหารายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในสงคราม เจ้าศักดินา (Feudal Lord) ในยุโรปยุคกลาง โดยเฉพาะในฝรั่งเศส และอิตาลี จำเป็นต้องขายทรัพย์สิน ไปเป็นจำนวนไม่น้อย เป็นผลต่อเนื่องทำให้โครงสร้างระบบสังคมศักดา (Feudalism) ต้องล่มสลายลง 2. กษัตริย์อังกฤษเข้าร่วมสงครามด้วยตนเองแทนที่จะเป็นเรื่องของ Feudal Lord เท่านั้น อำนาจและอิทธิพลของกษัตริย์จึงได้รับผลสะเทือนโดยตรง ก่อให้เกิดการวางระเบียบและกฎเกณฑ์ในการบริหารประเทศมากขึ้น เป็นรากฐานที่ดีสำหรับการปฏิวัติประชาธิปไตยของชนชั้นกลางในเวลาต่อมา 3. ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเกิดขึ้น ส่งผลให้ยุโรปเจริญทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้นหลังผ่านพ้นยุคสงคราม 4. เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการทุกแขนง ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก 5. เกิดความพยายามทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมากขึ้น หลังวันที่ 11 กันยายน 2001 โลกไม่สบายใจ เมื่อจอร์จ ดับบเลยู บุชเอ่ยคำว่า ครูเสด ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกล่าวถึงปฏิบัติการต่อต้านขบวนก่อการร้าย รวมทั้งการขนาน Operation Infinite Justice ก็ได้รับการท้วงติงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำจากคัมภีร์ไบเบิ้ล อาจเป็นชนวนสงครามศาสนายุคใหม่ขึ้นมาได้ เพราะในทัศนะของชาวมุสลิม มีแต่พระอัลเลาะห์เจ้าเท่านั้นที่จะประทาน Infinite Justice ได้ ในที่สุดจึงต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Operation Enduring Freedom ! หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: ป้อมทอง พรานชุมไพร ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 01:28:46 AM ทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดี...............แต่พวกคลั่งศาสนา มักจะใช้ศาสนาและความเชื่อ
ที่ผิดเพี้ยนจากหลักศาสนามาเป็นตัวสนับสนุนในการทำสงคราม....หรือทำลายเผ่าพันธุ์ หรือศาสนาอื่น หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 01:50:09 AM :P ใช้ศาสนาเป็นทั้งเครื่องมือและข้ออ้าง....:P
หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 04:42:05 AM ;D เชื่อว่า ทุกศาสนามีแกนที่เป็นอันเดียวกันคือ "ความดี" ครับ ;D
หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: NPD ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 07:53:19 AM เมื่อสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ..ทำไมถึงได้ขัดแย้งกัน...หรือว่าเป็นเพราะความเชื่อ...ความเชื่อที่ปราศจากการกลั่นกรองแบบมีเหตุผลต่างหาก...ที่ทำให้คนขัดแย้งกัน... :'( :'( :'(
หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: vuttichai ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 08:03:31 AM ดีใจที่เกิดมานับถือศาสนาพุทธ ไม่มีสาสนาใดดีกว่านี้อีกแล้ว. :-X
หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 08:43:15 AM ดีใจที่เกิดมานับถือศาสนาพุทธ ไม่มีสาสนาใดดีกว่านี้อีกแล้ว. :-X เราคุยกันในเรื่องที่เราชอบเหมือนๆกันนะครับ อย่าให้ความแตกต่างตามลัทธิความเชื่อ เป็นกำแพงปิดกั้นความสามัคคีของคนในชาติเลย :( >:( เอามาเปรียบเที่ยบว่าอะไรดีกว่ากัน มันไม่จบหรอกครับ รังแต่จะเป็นจุดเริ่มต้นความแตกแยกของคนในชาติ หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: Don Quixote ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 09:43:50 AM สงครามครูเสดนี่ยุ่งมากครับ ถ้ามองปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลักเป็น 3 เรื่อง การเมือง (ขยายอำนาจ) เศรษฐกิจ และศาสนา เรื่องศาสนามีผลน้อยที่สุด แต่นำมาพูดมากที่สุด
ฝรั่งเข้าไปรบยึดเมืองได้ก็ทำตัวเป็นเจ้าแบบแขก กินอยู่แถวนั้นเลย ไปๆ มาๆ การรบช่วงหลังๆ กองทัพแต่ละข้างมีฝรั่งและแขกปนกัน บางทีแขกตีกันเองยกทัพมาล้อมเมืองแขกที่โดนล้อมก็ไปเรียกฝรั่งมาช่วย หรือขู่แขกอีกพวกว่าจะยกเมืองให้ฝรั่ง บางทีแขกก็หักหลังกันเองบอกข่าวลับให้ฝรั่งที่รบกับแขกอีก บางทีหักหลังหนีกลางแปลงปล่อยให้แขกอีกพวกโดนฝรั่งไล่ฆ่า พวกฝรั่งก็รบกันเองจนยุ่ง ที่น่าสนใจคือแขกมักมองว่าแขกกลุ่มอื่นเป็นภัยคุกคามมากกว่าฝรั่ง ที่จริงเรื่องนี้ลามไปถึงเขตอียิปต์ด้วย แบ่งผู้เกี่ยวข้องเป็นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็ตีกันเอง 1. ฝรั่งจากยุโรป ฝรั่งเศส อิตาเลี่ยน เยอรมัน อังกฤษ ที่จริงก็ตีกันเองพรเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ขากลับบ้านก็โดนเจ้าพูดเยอรมันจับไปขังเรียกค่าไถ่ 2. ฝรั่งโรมันตะวันออกที่คอนสแตนติโนเปิล 3. อาหรับที่เรียกรวมๆ กันว่าพวกซีเรียนในเขตอิสราเอล ปาเลสไตน์ และตะวันออกกลางปัจจุบัน 4. เติร์ก ซึ่งเป็นพวกตระกูล เซลจุก หรือเรียกว่าเซลจุดเติร์ก สมัยนั้นเป็นเจ้าครองเมืองใหญ่ๆ ใน อิรักอยู่ เช่น แบกแดด และโมซูล นอกจากนี้ก็มีเติร์กพวกอื่นๆ อีก 5. อียิปต์ บางที่พวกที่รบกันในตะวันออกกลางก็เรียกอียิปต์มาช่วย บางทีฝรั่ง หรือเติร์กก็บุกเข้าไปในอียิปต์ 6. อื่นๆ เช่น เคิร์ด ซาลาดินก็เป็นเคิร์ด แต่แรกเริ่มเป็นทหารรบให้เติร์ก แนะนำหนังสือครับ The Crusades through Arab eyes ดูชื่อเรื่องเหมือนมีอคติมากแต่ที่จริงเขียนเป็นกลางดีมากครับ แสดงความพิศดารของหลายๆ ฝ่ายได้ดี มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลอื่นให้ค้นเพิ่มได้ด้วย ผมได้มาจาก คิโนคุนิยะ เอมโพเรียม ครับ ลิงค์หนังสือที่ amazon.com http://www.amazon.com/gp/reader/0805208984/ref=sib_dp_pt/102-7115867-3755334#reader-page หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:51:16 AM สงครามครูเสด
Conquest by Crusade : Age of Faith, Ann Fremantle เขียน จิรกรณฑ์ เสวตรวิทย์ และ บาทหลวงซีมอน, C.Ss.R. แปล/เรียบเรียง ในสงครามที่มนุษย์เคยขับเคี่ยวกันมาทั้งหมด ไม่มีครั้งใดที่กระทำด้วยความเร่าร้อนมากกว่าในนามของความเชื่อ และในบรรดา สงครามศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ ไม่มีครั้งใดที่นองเลือด และยืดเยื้อเท่าสงครามครูเสดในสมัยกลางของชาวคริสต์ สงครามครูเสดครอบงำจิตใจคนในสมัยกลางเป็นเวลาถึง 200 ปี จากปลายศตวรรษที่ 11 จนถึงปลายศตวรรษที่ 13 สงครามครูเสดเริ่มต้นด้วยความเร่าร้อนที่ระเบิดขึ้นอย่าง รุนแรง แต่ลงเอยด้วยความยุ่งเหยิงและมายาภาพที่ถูกทำลาย มีแรงกระตุ้นหลายอย่างอยู่เบื้องหลังสงครามครูเสด ความตั้งใจที่ได้ประกาศออกมาในตอนเริ่มต้น คือยึดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของคริสตชนในกรุงเยรูซาเล็มกลับมาจากการควบคุมของมุสลิมนอกศาสนานั้น ฟังดูแล้วก็ไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะแม้ว่าผู้แสวงบุญทั้งหลายจะถูกรังควานจากภาษีต่างๆ พวกเขาก็แทบไม่ถูกกีดขวางที่จะไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ มีความตั้งใจอื่นๆ ที่อยู่เบื้องหลังการประกาศสงครามศาสนานี้ด้วย นั่นก็คือ ศาสนจักรแห่งโรมมองเห็นโอกาสที่จะแผ่ขยายไปสู่เขตอิทธิพลของคู่แข่งขันที่สำคัญ คือศาสนจักรกรีก ออร์โธดอกซ์ บรรดากษัตริย์และขุนนางศักดินาของยุโรปตะวันตก เห็นโอกาสแห่งดินแดนใหม่ๆ และความร่ำรวยใหม่ๆ พวกขุนนางหวังที่จะพบทางออกสำหรับพวกบุตรหลานที่เกกมะเหรก พวกพระสงฆ์นักบวชหวังที่จะหาสถานที่ที่จะส่งพวกเหลือขอชอบก่อความวุ่นวายไปปล่อย นักรบสงครามครูเสดเองก็มีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนสำนึกถึงรางวัลในการรบซึ่งพระศาสนจักรให้สัญญา ไม่ว่าจะเป็นการละเว้นโทษสำหรับบาปที่ผ่านมาและเลื่อนการชำระหนี้ออกไป แต่นักรบครูเสดหลายคนก็ป่าเถื่อนโหดร้าย หลายคนข่มขืนและปล้นสดมภ์คริสตชนด้วยกันและกระทำการโหดร้ายอย่างสุดบรรยายต่อศัตรู มีการเลื่อยศพเพื่อเอาทอง และบางครั้งเอาเนื้อมาทำอาหารรับประทาน ซึ่งพวกเขาพบว่าอร่อยกว่า นกยูงใส่เครื่องเทศ ตามที่ผู้บันทึกเหตุการณ์ในสมัยนั้นเขียนไว้ อย่างไรก็ตาม ความเชื่ออย่างซื่อๆ และการมีความเคารพศรัทธาอย่างลึกล้ำต่อดินแดนที่พระคริสตเจ้าเคยย่างพระบาท ก็เป็นแรงผลักดันของนักรบสงครามครูเสดจำนวนมาก เช็คสเปียร์บรรยายถึงความรู้สึกนี้ด้วยคำพูดของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 กษัตริย์นักรบของอังกฤษ เรามีความฝังใจและพันธะที่จะต่อสู้ เพื่อขับไล่คนป่าเถื่อนเหล่านี้จากผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนที่พระบาทอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่เมื่อพันสี่ร้อยปีที่แล้วทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของชาวเรา ได้ทรงก้าวดำเนิน นักรบสงครามครูเสดกู้แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้ แต่รักษาไว้ไม่ถึงร้อยปี จุดมุ่งหมายของพวกเขาล้มเหลว เช่นเดียวกับความฝันที่จะขยายอำนาจของฝ่ายตะวันตกไปสู่ตะวันออก เมื่อพวกเขายุติ ชาวมุสลิมก็กลับมาตั้งมั่นในดินแดนที่เคยมีการสู้รบรุนแรง จักรวรรดิไบเซนไทน์แห่งศาสนจักรตะวันออกอ่อนแอลงจนเกือบพินาศ และยุโรปก็หวนกลับเข้าสนใจเรื่องภายในของตนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่า สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นเช่นเดิม หน้าต่างสู่โลกได้ถูกเปิดออกแล้ว และสภาพการณ์ทุกอย่างของชีวิตในยุคสมัยกลางก็ได้รับผลกระทบ แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางเช่นนี้ไม่สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้เมื่อสงครามครูเสดเริ่มต้น ชนวนเหตุโดยตรงของสงครามครูเสดคือการคุกคามทางทหารต่อเมืองคอนสแตนติโนเปิล ปราการทางตะวันออกของชาวคริสต์ เมืองนี้ตั้งขึ้นโดยคอนสแตนติน จักรพรรดิโรมันองค์แรกที่กลับใจมาเป็นคริสต์ ผู้สืบราชสมบัติต่อจากคอนสแตนติน บนบัลลังก์แห่งไบเซนไทน์ต้องรับมือกับผู้รุกรานทุกพวกจากเอเชีย พวกไบเซนไทน์เรียกผู้รุกรานเหล่านี้ว่า ซาราคีโนส (Sarakenos) แปลว่า ชาวตะวันออก และคำว่า ซาราเซ็น (Sarasen) ก็ได้กลายเป็นคำที่ทำให้เกิดมโนภาพนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง พวกผู้รุกรานเหล่านี้พวกหลังสุด ดุร้ายที่สุดและเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาด้วย คือพวกเซลจุก เติร์ก (Seljuk Turk) ในปี ค.ศ.1071 พวกเขาตีชาวไบเซนไทน์นับพันๆ แตกพ่ายในการรบใกล้แมนซีเคอร์ท (Manzikert) อันเป็นการเริ่มต้นบุกลึกเข้ามาสู่ดินแดนเอเชียไมเนอร์ พวกเซลจุก เติร์กได้ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรไบเซนไทน์ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ในปี ค.ศ.1073 จักรพรรดิไมเกิลที่ 7 แห่งไบเซนไทน์ ร้องขอชาวคริสต์ตะวันตกให้ช่วย ทั้งที่เมื่อ 19 ปีก่อน ศาสนจักรตะวันออกและศาสนจักรตะวันตกได้แตกแยกกันอย่างสุดขีดจากการถกเถียงเรื่องข้อความเชื่อ จักรพรรดิไมเกิลได้ส่งผู้แทนทางการทูตเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 7 ซึ่งให้การต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี แต่พระองค์ก็มีภาระเต็มมือในการต่อสู้กับศัตรูของการปฏิรูปพระศาสนจักรในเวลานั้น แล้วตลอดระยะเวลาสามในสี่ของศตวรรษต่อมา พวกเซลจุก เติร์กได้ดำเนินการบุกรุกต่อไปในดินแดนยุทธศาสตร์อื่นๆ พวกเขายึดป้อมนิเชอาอันเก่าแก่ และจากที่นั่น เพียงข้ามช่องแคบ บอสฟอรัสก็จะถึงคอนสแตนติโนเปิล จักรพรรดิไบเซนไทน์อีกองค์หนึ่ง คือ อาเล็กซีอุส คอมเนนุส ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ไปยังพระสันตะปาปาอูร์บันที่ 2 อาเล็กซีอุสหลักแหลมกว่าจักรพรรดิ ไมเกิล ในสาส์นของพระองค์ที่ส่งไปยังโรม พระองค์ไม่ได้เน้นถึงอันตรายต่อบัลลังก์ของพระองค์ แต่เน้นถึงความจำเป็นร่วมกันของคริสตชนทั้งในศาสนจักรตะวันตกและตะวันออก ที่จะต้องช่วยกันขับไล่ผู้บุกรุกชาวมุสลิมออกไปจากดินแดนดั้งเดิมของชาวคริสต์ พระสันตะปาปาสนองตอบในการประชุมสภาสังคายนาที่แคลร์มองต์ ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในเดือน พฤศจิกายน 1095 ผู้มาประชุมมีทั้งพระคาร์ดินัล พระสังฆราชและขุนนางทั้งหลาย ส่วนพวกชาวบ้านธรรมดาชุมนุมอยู่ที่ลานนอกวัด หลังจากพิจารณาเรื่องราวอื่นๆ แล้ว พระสันตะปาปาอูร์บันก็ออกมาข้างนอก พระองค์ต้องการให้ทุกคนได้ยินสิ่งที่พระองค์จะกล่าว ตามคำบอกเล่าที่ตกทอดมา พระองค์เริ่มว่า สิ่งที่นำพวกเรามาที่นี่ ก็คือภยันตรายที่กำลังคุกคามเราและผู้มีความเชื่อทุกคน จากอาณาบริเวณของกรุงเยรูซาเล็ม และจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล เรื่องราวที่น่ากลัวได้ปรากฏออกมา มีชนเผ่าที่ถูกสาป ชนเผ่าที่ห่างไกลจากพระเจ้าได้รุกรานดินแดนของชาวคริสต์ และได้ทำลายล้างพวกเขาด้วยดาบ การปล้นสดมภ์ และไฟ ต่อจากนั้นพระสันตะปาปาได้จาระไนการกระทำที่บ้าคลั่งของพวกเติร์ก ไม่ว่าจะเป็นการทำลายวัดหรือใช้วัดเพื่อพิธีทางศาสนาของมุสลิม การทุราจารต่อพระแท่นบูชา การข่มขืนบรรดาสตรีชาวคริสต์ การทรมานและสังหารพวกผู้ชาย พระองค์บอกเล่าชนิดไม่ละเว้นรายละเอียด พระองค์เล่าว่าเทคนิคอย่างหนึ่งของชาวเติร์กในการทรมานเหยื่อ คือเจาะสะดือของเหยื่อ แล้วลากปลายลำไส้ออกมามัดไว้กับเสา ต่อจากนั้น โบยตีเหยื่อซึ่งพยายามหนีทุรนทุรายไปรอบๆ เสา จนที่สุดไส้พุงไหลออกมา และเหยื่อล้มลงกับพื้นสิ้นใจ พระสันตะปาปากล่าวต่อว่า ดังนั้น ภารกิจแก้แค้นต่อความผิดเหล่านี้ และพันธกิจที่จะนำดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับมาจะเป็นหน้าที่ของใคร ถ้าไม่ใช่ของพวกท่าน? จงก้าวบนหนทางไปสู่ที่อันศักดิ์สิทธิ์ แย่งชิงดินแดนนั้นคืนมาจากชนเผ่าที่เลวร้าย ยังมีวาทะปลุกเร้าจิตใจอื่นๆ เพื่อสร้างผลในการลุกฮือขึ้นก่อการ พระสันตะปาปาอูร์บันเตือนผู้ฟังของพระองค์ว่าแผ่นดินที่พวกเขากำลังจะไป เต็มไปด้วยนมและน้ำผึ้งเป็นดังสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ส่วนดินแดนที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้น อึดอัดคับแคบเกินไปสำหรับประชาชนของพวกท่าน โดยเฉพาะอาหารการกินที่ฝืดเคือง และสำหรับชาวฝรั่งเศส ซึ่งกำลังเดือดร้อนจากภาวะอดอยากขาดแคลนที่กำลังแผ่ขยายไปทั่วในปีนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่พูดได้ตรงจุดและทำให้เกิดผล เมื่อพระสันตะปาปาอูร์บันกล่าวจบลง เสียงโห่ร้องก็ดังประสานกระหึ่มจากมหาชน เดอุส โวลท์! เดอุส โวลท์! (Deus volt! Deus volt! พระเป็นเจ้าทรงประสงค์! พระเป็นเจ้าทรงประสงค์!) เสียงสนั่นสนับสนุนที่เกิดขึ้นอย่างเป็นไปเองเกินความคาดคิด ทำให้พระสันตะปาปาประกาศอย่างที่พระองค์ก็ไม่ได้คาดคิดก่อนว่า พระเป็นเจ้าทรงประสงค์จะเป็นเสียงโห่ร้องในสนามรบกับศัตรู และผู้ชายทุกคนที่รับเอาภารกิจเสี่ยงอันตรายอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะต้องติดสัญลักษณ์ไม้กางเขนไว้บนอาภรณ์ของเขา ฟูลเชอร์แห่งชาร์ต (Fulcher of Chartres) ซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย ได้เล่า อย่างปีติว่า โอ เป็นการเหมาะสมอะไรเช่นนั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดีแก่พวกเราที่จะได้เห็นไม้กางเขนเหล่านั้น ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกันไป หลายคนในกลุ่มตัดเสื้อคลุมของตัวเอง เอาผ้ามาทำเป็นกางเขนติดใส่ชุดแต่งกายตน สัญลักษณ์นี้ในไม่ช้าก็แพร่หลายเป็นที่ปฏิบัติตามของคนจำนวนมากมายหลายพันคนทั่วตะวันตก บัดนี้ ผู้คนได้รับผลกระทบเต็มๆ ของการประกาศชวนเชื่อที่เผยแพร่อย่างฉลาดเชี่ยวชาญและพากเพียร นอกจากการเทศน์ปลุกเร้าของบรรดาพระสงฆ์และนักเทศน์แล้ว ก็มีใบปลิว แผ่นกระดาษ หนังสือต่างๆ ที่บรรจงบรรยายพฤติกรรมที่น่าเกลียดน่ากลัวของพวกมุสลิม แม้กระทั่ง ศิลปะการวาดภาพก็ถูกนำมาใช้ ภาพวาดชาวเติร์กดุจปีศาจกำลังเหยียบย่ำไม้กางเขนแพร่หลายจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:52:12 AM นักรบครูเสดชาวนา
ผู้รณรงค์ประกาศชวนเชื่อเรื่องสงครามครูเสดสามารถกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกศรัทธาแท้จริงได้ ความศรัทธานี้เริ่มมาจากการปฏิรูปศาสนจักรในศตวรรษก่อน ประชาชนจำนวนมากได้ก้าวออกจากสภาพแวดล้อมชีวิตที่คุ้นเคย และเดินทางแสวงบุญไกลๆ ไปยังสุสานของนักบุญเปโตรในโรม สุสานนักบุญยากอบในคอมพอสเทลา และนักบุญมาระโกในเวนิส หลายคนได้เดินทางต่อไปยังแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ผสานกับความร้อนรนในการแสวงบุญ การประกาศชวนเชื่อได้เร้าใจชาวคริสต์ตะวันตกถึงจุดเร่าร้อนสุดๆ ขณะที่คนในเมืองและพวกชนชั้นสูงกำลังวางแผนที่จะส่งกองทหารเป็นทางการ ประชาชนธรรมดาก็ลุกฮือขึ้นด้วยตนเอง มีบุคคลแปลกประหลาดผู้หนึ่งที่เป็นต้นเหตุของนักรบครูเสดชาวบ้าน คือ ปีเตอร์ ฤาษีแห่งอาเมียง (Amiens) เขาเหมาะจะอยู่ในกลุ่มพวกประกาศกสมัยเก่า ผมของเขายุ่งเป็นกระเซิง ตากรอกไปมา และพูดได้คล่องแคล่ว ผู้คนตามตลาดนิ่งฟังเขาเหมือนถูกสะกดจิต พวกเขาเชื่อว่าปีเตอร์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ปีเตอร์นับเป็นเลิศในฐานะผู้จุดไฟ บรรดาชาวไร่ชาวนาทั่วทั้งฝรั่งเศสและไรน์แลนด์ ทิ้งคราดไถออกรวมตัวกัน ในไม่ช้ากลุ่มชาวนาฝรั่งเศส 2 กอง และเยอรมัน 3 กอง ก็เริ่มหลั่งไหลไปยังหุบเขาดานูบ กองทัพชาวนานี้อาจนับได้ถึง 50,000 คนรวมทั้งคนในครอบครัวของพวกเขาทั้งหมด พวกเด็กเล็กๆ ในกลุ่มจะถามอย่างซื่อๆ เมื่อเดินทางไปถึงเมืองแต่ละเมืองว่า ใช่กรุงเยรูซาเล็มหรือเปล่า ในหมู่ชาวเยอรมัน ความฝังใจที่จะฆ่าคนนอกศาสนาทุกคนได้เกิดขึ้นก่อนที่ขบวนจะออกจากแผ่นดินของพวกเขาด้วยซ้ำ พวกยิวแห่งสเปเออร์ (Speyer) เมนซ์ (Mainz) วอร์ม (Worms) และเมืองอื่นๆ เป็นเป้าหมายที่รอพร้อมอยู่แล้ว อาร์คบิชอปแห่งโคโลนจ์ (Cologne)ให้ที่ลี้ภัยแก่ชาวยิวนับพันๆ ในทำเนียบของท่าน แต่พวกนักรบครูเสดชาวนาก็ใช้ขวานพังประตูเข้าไปและสังหารคนจำนวนมาก ไกลออกไปทางตะวันออก นักรบครูเสดชาวนาอีกกลุ่มมุ่งสายตาที่โกรธแค้นไปยังคลังเก็บข้าวสาลีที่บุลกาเรีย และพวกเขาตัดสินใจว่าชาวบุลกาเรียก็เป็นคนเลวร้ายด้วย ทว่า หลังจากต้องทนถูกสังหารหมู่และปล้นสดมภ์ พวกบุลกาเรียก็โจมตีกลับ พวกเขาเข่นฆ่า พวกมาจากตะวันตกเหล่านี้ขณะที่นอนหลับอยู่ข้างแคมป์ไฟ และทำให้บ่อน้ำทั้งหลายไม่สามารถดื่มได้ด้วยการโยนซากแกะเน่าลงไป ความเจ็บป่วยและความอ่อนเพลียยังเพิ่มความสูญเสียแก่นักรบครูเสดชาวนาด้วย ในที่สุด ก็เหลือเพียงคนกลุ่มเล็กน้อยที่มาถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปลายฤดูร้อนปี 1096 จักรพรรดิอาเล็กซีอุสพินิจพิจารณาผู้รอดชีวิตที่หิวโหยเหล่านี้ แล้วจัดการส่งพวกเขาลงเรือข้ามไปยังเอเชียไมเนอร์ ที่นั่น พวกเติร์กได้ห้ำหั่นพวกเขาลงทั้งหมด หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:53:06 AM สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง
ขณะที่สงครามครูเสดของพวกชาวบ้านจบลงอย่างน่าเศร้า สงครามครูเสดครั้งแรกของเจ้าผู้ครองนครทั้งหลายจบลงด้วยชัยชนะ ตอนต้นปี 1097 กำลังทหาร 4 กองทัพ ได้มาบรรจบกันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลโดยทางภาคพื้นดินและทางเรือ ในจำนวนนี้มีทั้งชาวฝรั่งเศส โปรวังซาล เฟลมิงก์ เยอรมัน ซิซีเลียน และที่น่าเกรงขามที่สุดก็คือพวกนอร์มัน พวกเขาเป็นนักสัญจรและนักต่อสู้โดยสัญชาตญาณ พวกนอร์มันที่สืบเชื้อสายของชาวนอร์เวย์โบราณเหล่านี้ ภายใต้การนำของกษัตริย์วิลเลียมผู้พิชิต ได้ปราบอังกฤษเมื่อ 30 ปีก่อน และเมื่อไม่นานก็ขับไล่พวกซาราเซ็นออกจากซิซีลี ในตอนสิ้นปี 1097 กองทัพครูเสดได้ยึดเอเชียไมเนอร์กลับมาให้จักรพรรดิอา-เล็กซีอุส และพวกเขาได้โจมตีต่อไปทางใต้เพื่อชัยชนะของพวกเขาเอง พวกเขาพิชิตได้เมืองใหญ่ๆ ของเอเดสซา ในอาร์เมเนีย อันทีโอค และทริโพลีในซีเรีย แล้วในวันที่ 15 กรกฎาคม 1099 ภายหลังการล้อมตีอยู่ห้าสัปดาห์ กองทัพครูเสดก็บรรลุถึงชัยชนะขั้นสุดท้ายคือกรุงเยรูซาเล็ม มีการรบสู้อย่างดุเดือด ถนนสายต่างๆ แดงฉานไปด้วยเลือด นักรบครูเสดได้ชิงเอาเมืองนี้จากพวกเติร์กสำเร็จ ล่วงถึงตอนกลางคืน ขณะที่เนื้อตัวยังอาบเลือดศัตรู นักรบครูเสดพนมมือและคุกเข่าภาวนาที่สุสานอันเคยวางพระวรกายของพระคริสต์ พวกเขา สะอื้นไห้ด้วยความปีติเหลือล้น นับแต่นั้นมา นามนักรบครูเสดก็ได้ให้มโนภาพที่น่ายกย่องชื่นชม เรื่องความกล้าหาญของพวกเขาไม่เป็นที่กังขา ชื่อผู้นำพวกเขาเป็นตำนานเล่าขานไปทั่ว อาทิ เจ้าชายชาวนอร์แมน โบเฮมอนด์ (Bohemond) และแทนเครด (Tancred) ก๊อดฟรีแห่งบุยยอง (Godfrey of Bouillon) และพี่ชายของพระองค์ บอลด์วินแห่งบูโลนย์ (Baldwin of Boulogne) เรย์มอนแห่งตูลูส (Raymond of Toulouse) แต่ก็มีความเป็นจริงซึ่งอาจทำให้ภาพสวยงามของนักรบครูเสดดูด้อยลง คือความอุ้ยอ้ายของนักรบในเสื้อเกราะที่ขี่คร่อมบนหลังม้า มือกำด้ามดาบหรือหอกเตรียมพร้อม อัศวินโดยเฉลี่ยสูงประมาณห้าฟุตสามนิ้ว ม้าของเขาเป็นต้นกำเนิดของม้าลากรถเพอเชอรอนสมัยใหม่ ท่าทางไม่องอาจนัก เสื้อเกราะที่เป็นแผ่นเหล็กแข็งยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่งหลังสงครามครูเสด พวกนักรบครูเสดสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์หรือผ้าลินิน ซึ่งมีวงแหวนเหล็กเล็กๆ เย็บติดไว้จำนวนมากเป็นเกราะป้องกันแทน นอกสนามรบ ความประพฤติของพวกครูเสดไม่ใช่แบบอย่างที่ควรยึดถือ พลเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิลรังเกียจนิสัยโง่ทึ่มของพวกเขา พวกนักรบครูเสดเหล่านี้แม้จะเป็นชาวเมือง แต่พวกเขาก็ต้องตื่นตะลึงไปกับเมืองคอนสแตนติโนเปิลอันอลังการ ในเวลานั้น ปารีส ลอนดอนและโรม มีสภาพที่เหนือกว่าตลาดใหญ่ๆ เพียงเล็กน้อย ส่วนคอนสแตนติโนเปิลมีถนนปูเรียบทั่วเมือง ยามค่ำคืนก็สว่างไสว มีร้านค้าอยู่เรียงราย มีสวนสาธารณะ โรงละคร มีสนามม้าหนึ่งแห่ง มีคฤหาสถ์ของเศรษฐี อาคารอยู่อาศัยของคนงาน โบสถ์ฮาเคีย โซเฟีย (Hagia Sophia) ที่งดงามจนไม่อาจเปรียบเทียบได้ และพระราชวังของจักรพรรดิ ซึ่งเพียบพร้อมด้วยหินอ่อน หินขัด เพชร พลอย ผ้าทอหรูหรา ความมั่งคั่งของคอนสแตนติโนเปิลเป็นสิ่งล่อใจอย่างยิ่ง และพวกครูเสด ก็ไม่ระงับใจที่จะปล้นและขโมย แอนนา คอมเนนา (Anna Comnena) พระธิดาของจักรพรรดิ ตราหน้าผู้มาสู่เมืองของเธอว่าเป็นพวกผมสีทองที่โหดเหี้ยม และ หิวเงินเสมอ พระบิดาของเจ้าหญิงไม่พอใจเช่นเดียวกัน พระองค์รู้สึกถึงอันตรายของพวกอนารยชนร่วม 50,000 คนที่มาถึงเมืองของพระองค์ พระองค์บังคับให้พวกผู้นำของพวกเขาปฏิญาณตนจงรักภักดีและปฏิญาณที่จะให้พระองค์เป็นผู้ครอบครองดินแดนที่พวกเขาอาจยึดได้ แต่ในไม่ช้า จักรพรรดิอาเล็กซีอุสก็กระทำสิ่งซึ่งพวกครูเสดถือว่าเป็นการทรยศ ในการล้อมรบที่เมืองนิเชอา พวกเติร์กกำลังจะยอมแพ้ แต่พระจักรพรรดิอาเล็กซีอุสได้ตกลงอย่างลับๆ กับศัตรูให้ยุติการสู้รบ จากนั้น พระองค์ก็สั่งให้กองทัพครูเสดเคลื่อนทัพต่อไป จริงๆ แล้ว ความคิดเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งแปลกประหลาดในความคิดของพวกไบเซนไทน์ เมื่อพวกครูเสดสำนึกถึงความจริงเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามจุดมุ่งหมายที่ฝังใจพวกเขาที่สุด นั่นคือ สร้างอาณาจักรของพวกเขาเองในตะวันออก การพิชิตกรุงเยรูซาเล็มเป็นความสำเร็จสูงสุดของภารกิจนี้ ในวันคริสต์มาส ปี 1100 อาณาจักรลาตินแห่งเยรูซาเล็มก็บังเกิดขึ้น รัฐคริสตชนอื่นอีกสามรัฐได้ถูกจัดตั้ง คือ มณฑลเอเดสซา (Edessa) อาณาเขตเจ้าผู้ครองนครอันทีโอค (Antioch) และมณฑลทริโพลิ (Tripoli) ทั้งสี่แห่งได้ประสานเป็นแนวปราการปกป้องเมืองท่าต่างๆ ตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ในยุโรป รัฐเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันว่า อูเตรอแมร์ (Outremer) ดินแดน โพ้นทะเล นับจากนั้นเกือบ 200 ปี อูเตรอแมร์เป็นฐานที่มั่นคงทางตะวันออกของชาวคริสต์ตะวันตก บรรดาเมืองท่าเรือต่างๆ ของอิตาลี คือ เวนิส เจนัว และพีซา ถูกใช้เป็นเส้นทางที่จัดหาเสบียงและลำเลียงทหารใหม่ ในอูเตรอแมร์เอง ค่ายทหารได้รับการป้องกันโดยคณะนักบวชใหม่สองคณะ คือ อัศวินฮอสปีทัลเลอร์ (Knights Hospitaller) และ อัศวินเท็มพลาร์ (Knights Templar ซึ่งเรียกชื่อตามพระวิหารของ กษัตริย์โซโลมอน ในกรุงเยรูซาเล็ม) มีพวกขุนนางหนุ่มเป็นจำนวนมากในคณะนักบวชนี้ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งนักรบและนักบวช พวกเขาขึ้นตรงต่อพระสันตะปาปา พวกเขาสามารถกระทำการใดๆ ข้ามศีรษะพวกผู้นำของอูเตรอแมร์ได้ บางครั้ง พวกเขาถึงกับกระทั่งทำสนธิสัญญากับพวกมุสลิมด้วย อูเตรอแมร์ได้สร้างผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความคิดของยุโรปโดยผ่านทางบุคคลที่มาตั้งถิ่นฐานในดินแดนนั้น สิ่งแรกที่ผู้มาอยู่ใหม่ได้สัมผัส คือความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ชอบพวกไบเซนไทน์ และพวกนั้นก็ไม่ชอบพวกเขาเช่นเดียวกัน ประการต่อมาคือ พวกเขากลับชอบชาวมุสลิมอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ชีวิตเคียงข้างกันฉันมิตรอยู่บ่อยๆ ความประพฤติของพวกมุสลิมได้เปิดตาชาวคริสต์ตะวันตก เช่นเดียวกับวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีของพวกเขา และแม้กระทั่งการพักอาศัยอยู่ในที่ที่มีแสงแดดเจิดจ้า ก็ทำให้ชาวตะวันตกผู้มาจากสังคมที่มีบ้านเรือนแง้มหน้าต่างนิดหน่อยกันอากาศหนาวเย็น เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ไม่ค่อยซักและไม่ได้อาบน้ำบ่อย รู้สึกท่วมท้นด้วยความยินดี ในบรรดาสิ่งของพื้นเมืองที่ชาวคริสต์ตะวันตกอ้าแขนรับอย่างรวดเร็วด้วยความพึงพอใจ คือ พรมเปอร์เซีย ม่านที่ปักดิ้นเงินดิ้นทอง เครื่องเรือนที่ประดับด้วยหอยมุก และหน้าต่างกว้างใหญ่ที่มองเห็นสวนดอกไม้และทะเลสีน้ำเงิน และยังมีมากกว่านั้น พวกเขามีน้ำที่ไหลรินจากท่อ ท่อระบายน้ำเสียสมัยโรมันก็ยังคงใช้ได้ บริการทางแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เครื่องยาที่ทำจากแยมดอกกุหลาบและครีมเครื่องเทศ ก็น่าพึงพอใจมากกว่าไขมันของแมวและทากเคี่ยวที่ใช้กันในตะวันตก หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:53:55 AM สงครามครูเสดครั้งที่สอง (1147-1148)
ฟัลเชอร์แห่งชาร์ต (Fulcher of Chartres) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ได้สรุปสภาพการณ์ว่า ผู้ที่เป็นชาวโรมันหรือฝรั่งเศสได้กลายเป็นชาวกาลิลีหรือปาเลสไตน์... พวกเราได้ลืมถิ่นกำเนิดของเราแล้ว การตัดขาดจากอดีตนี้แจ้งชัดจนกระทั่งเมื่อเกิดสงครามครูเสดครั้งที่สองในปี 1147 และนักรบครูเสดล้มเหลว ก็มีการกล่าวโทษว่าเกิดจากการสนองตอบที่เย็นชาของอูเตรอแมร์ สงครามครูเสดครั้งใหม่เกิดขึ้นจากความพ่ายแพ้ของเอเดสซา ฐานรักษาการณ์ทางเหนือของอูเตรอแมร์ เซ็งกี (Zengi) หัวหน้าชาวมุสลิมจากโมซูล (Mosul) ผู้มีกองทัพเข้มแข็ง มุ่งหมายที่จะรวบรวมดินแดนชาวมุสลิมในพื้นที่ชายฝั่งทะเล พวกอูเตรอแมร์ไม่รู้ร้อนรู้หนาวนักต่อการคุกคามนี้ แต่คริสตชนในตะวันตกกลับลุกฮือขึ้นเพราะเกรงกลัวว่าชาวมุสลิมจะรุกรานต่อไป สงครามครูเสดครั้งที่ 2 มีกษัตริย์สอง พระองค์เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ คือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส และพระเจ้าคอนราด ที่ 3 แห่งเยอรมัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมผู้คนให้ร่วมในกองทัพครูเสด คือ นักบุญเบอร์นาร์ดแห่งแคลร์โว (Bernard of Clairvaux) ซึ่งเป็นบุคคลฝ่ายศาสนาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเวลานั้น นักบุญเบอร์นาร์ด กระทำการคล้ายดั่งพระสันตะปาปาอูร์บันที่ 2 ในสงครามครูเสด ครั้งแรก ท่านเป็นฤาษีคณะซีสเทอร์เซียน ซึ่งถือเคร่งครัดมาก คณะนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยผลสืบเนื่องจากการปฏิรูปพระศาสนจักร แม้ว่าท่าน จะสละโลก แต่ความปรีชา-ฉลาดของท่านและความพยายามไม่ลดละในการปกป้องความถูกต้องเที่ยงแท้ของศาสนา ได้ทำให้ท่านเป็นที่ปรึกษาของพระสันตะปาปาและบรรดากษัตริย์ เมื่อท่านจับจ้องสายตาสีน้ำเงินแวววาว ไปที่กษัตริย์คอนราด และพูดถึงวันพิพากษาอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งรอคอยผู้ที่เพิกเฉยต่อการแบกกางเขน จักรพรรดิแห่งเยอรมนีก็ไม่มีทางเลือก นักบุญเบอร์นาร์ดไม่สงวนถ้อยคำ แม้รู้ว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนักรบครูเสดเป็นขโมย ฆาตกรหรือพวกตลบแตลง ท่านก็ยังชื่นชมต่อการจากไปของพวกเขา ยุโรปมีความยินดีที่พวกเขาจากไป และปาเลสไตน์ยินดีที่ได้รับพวกเขา พวกเขามีประโยชน์ทั้งสองทาง ทั้งในการไม่อยู่ที่นี่และการไปอยู่ที่โน่น แต่สงครามครูเสดครั้งที่ 2 ก็ไม่บรรลุผลอะไรเลย กองทัพครูเสดไม่ได้แม้แต่พยายามที่จะยึดเอเดสซากลับมา และภายหลังจากเวลาสองปีที่ไร้ประโยชน์ สงครามครูเสดก็สลายตัว เหตุสำคัญอย่างหนึ่งคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปตะวันออก พวกครูเสดชาวอังกฤษและเฟลมิชได้แยกออกนอกทางเพื่อยึดลิสบอนคืนจากพวกมัวร์ ส่วนพวกครูเสดแซ็กซั่นและเดนมาร์กแยกออกไปอ้อมผ่านเทือกเขาเอลป์เพื่อปราบพวกชาวเว็นต์ ถ้อยแถลงของพระสันตะปาปาที่ว่าการรบสู้เหล่านี้ถือเป็นสงคราม ครูเสดด้วย ทำให้คริสตชนงงงวยและผิดหวัง พวกเขาคิดว่า การทำสงครามครูเสดคือการปลดปล่อยกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น สาเหตุอีกประการหนึ่งเป็นเรื่องเงินทอง สันตะสำนักมีค่าใช้จ่ายสำหรับพันธกิจต่างๆ เช่น การจัดหาผู้แทนทางการทูตไป ประจำในดินแดนคริสต์ในตะวันออก ดังนั้น พระศาสนจักรจึงเริ่มขายพระคุณการุณย์ (indulgence) ซึ่งจะผ่อนผันหรือยกเลิกการรับโทษของวิญญาณในไฟชำระ ในตอนแรก พวกครูเสดซื้อหรือรับเอาการผ่อนผันนี้สำหรับคนในครอบครัวและเพื่อนที่ล่วง-ลับไปแล้ว ต่อมา การจ่ายเงินนี้ก็ซื้อสิทธิ์ไม่ต้องไปรบในสงครามครูเสด จึงมีคนที่ยอมจ่ายเงินเพื่อให้คนอื่นไปรบแทนตัวเอง หรือให้เงินตามที่กำหนดแก่พระศาสนจักร ซึ่งจะหาคนมาทำหน้าที่แทน การปฏิบัติเช่นนี้ที่แพร่หลายไปทั่วได้ทำให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องสงครามครูเสดอย่างมาก ประชาชนเริ่มเห็นว่าสงครามครูเสดเป็นเรื่องน่ารำคาญที่แทรกเข้ามาในชีวิต หรือเป็นเรื่องอันตรายเกินไป และพวกเขามีเหตุผลดีทีเดียว เพราะความเสียหายก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:54:47 AM สงครามครูเสดครั้งที่สาม (1189-1193)
ภายหลังการล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าของบรรดากษัตริย์ในปี 1149 ก็มีสงครามครูเสดที่สำคัญๆ อีก 6 ครั้ง และขนาดเล็กๆ อีกหลายครั้ง แต่ความสำเร็จและเจตนารมณ์ของสงครามครูเสดอย่างครั้งแรกไม่เกิดขึ้นอีกเลย สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ทำได้ใกล้เคียงที่สุดก็เพียงปลุกเร้าอารมณ์ของประชาชน ในปี 1187 ผู้นำพวกซาราเซ็นคนใหม่ ซาราดิน (Saladin) ผู้เลื่องชื่อในความกล้าหาญ ได้ยึดกรุงเยรูซาเล็มโดยประกาศเป็น จิฮัด (jihad สงครามศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม) การตอบโต้ครูเสดนี้เขย่ายุโรปจนถึงราก และทำให้ผู้นำที่เข้มแข็งที่สุด 3 คน คือ พระเจ้าเฟรเดริค บาร์บารอสซ่า (Frederick Barbarossa แห่งเยอรมนี) ฟีลิป โอกุสตุส(Philip Augustus) แห่งฝรั่งเศส และริชาร์ด ใจสิงห์ (Richard the Lion-heart) แห่งอังกฤษ ออกเดินทางสู่เยรูซาเล็ม แต่พวกพระองค์ไม่บรรลุผลอะไร พระเจ้าเฟรเดริคจมน้ำตายในสายน้ำภูเขาอันเยือกเย็นในเอเชียไมเนอร์ พระเจ้าฟีลิปกลับบ้าน ส่วนพระเจ้าริชาร์ด ในไม่ช้า ก็ได้ทำข้อตกลงกับซาลาดิน ซึ่งทำให้อาณาจักรลาตินลดลงเหลือเพียงพื้นที่ชายฝั่งจากไทระถึงจัฟฟา บางที สิ่งที่ถูกจดจำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับสงครามครูเสดครั้งนี้ คือความสง่างามที่พระเจ้าริชาร์ดและซาลาดินแสดงออกต่อกันท่ามกลางการรบที่โหดร้าย ซึ่งซาลาดินดูจะเหนือกว่า เช่น ในการสู้รบที่จัฟฟา เมื่อทราบว่าม้าของพระเจ้าริชาร์ดถูกฆ่าตาย ซาลาดินก็ส่งคนนำม้าใหม่สองตัวมาให้ทันที ซาลาดินยังยอมให้ชาวคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็มออกไปจากเมืองพร้อมทรัพย์สินของพวกเขาได้ และเขาอนุญาตให้ชาวคริสต์มาเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายต่อไปอย่างเสรี ถ้าพวกเขามาโดยไม่มีอาวุธ สงครามครูเสดครั้งที่สี่ (1201-1204) สงครามครูเสดทั้งหลายที่ต่อจากครั้งที่ 3 ไม่เป็นที่ยอมรับเพิ่มมากขึ้น พระสันตะปาปาอินโนเซ็นท์ ที่ 3 พยายามเทศน์ประกาศสนับสนุนสงครามครูเสดครั้งที่ 4 กระนั้น นักรบครูเสดก็ไปไม่ถึงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ผู้ปกครองเล่ห์กระเท่ของเมืองเวนีสได้หันเหให้ไปสู่จุดมุ่งหมายทางการค้าแทน ชาวเวนีสและพวกครูเสดร่วมมือกันยึดซาราในคาลเมเซีย เมืองท่าที่เป็นคู่แข่งซึ่งมีประชาชนเป็นชาวคริสต์ทั้งหมด ต่อจากนั้น พวกเขาก็ไปล้อมและปล้นสดมภ์กรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี 1204 ดังนั้น ความผูกพันอะไรที่อาจยังคงมีอยู่ระหว่างชาวคริสต์ตะวันออกและตะวันตก บัดนี้ ถูกทำลายสิ้น พระสันตะปาปาเองก็เสียหน้าเพราะไม่สามารถควบคุมการกระทำที่เลวทรามนี้ได้ หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:55:32 AM สงครามครูเสดของพวกเด็ก
แปดปีต่อมา ในปี 1212 ได้เกิดการรณรงค์เข้าสู่สงครามครูเสดของเด็กๆ 2 ครั้ง เด็กชาวนาชาวฝรั่งเศสอายุ 12 ปีคนหนึ่ง ชื่อ สตีเฟินแห่งคลอย (Stephen of Cloyes) ยืนยันว่าพระคริสตเจ้าทรงปรากฏองค์แก่เขาในขณะที่เขากำลังเฝ้าแกะ พระองค์ทรงสั่งเขาให้จัดเตรียมเด็กๆไปรบสงครามครูเสดที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกผู้ใหญ่ได้ยินแล้วพากันหัวเราะ แต่มีวัยรุ่นชาวฝรั่งเศสประมาณ 30,000 ทำตามการเรียกร้องของสตีเฟิน พวกเขาเดินทางผ่านเข้าไปในมณฑลมาร์ซัยย์ (Marseilles) ที่นั่น พวกเข้าคาดหวังว่าพระเป็นเจ้าจะทรงกระทำดังที่เคยทำกับโมเสส คือจะแยกน้ำออกเพื่อให้พวกเขาเดินข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์โดยรองเท้าไม่เปียก แต่พวกผู้ค้าทาสได้หลอกลวงเด็กเหล่านี้ให้ขึ้นเรือและขายพวกเขาให้แก่พวกซาราเซ็นในอาฟริกาเหนือและอียิปต์ นักรบครูเสดเด็กๆ ชาวเยอรมัน 20,000 กว่าคนในปีเดียวกันก็ไปไม่ไกลกว่าอิตาลี บางคนตุหรัดตุเหร่กลับบ้านและถูกบังคับใช้แรงงานโดยพวกชาวนาที่ได้เคยเยาะเย้ยการออกเดินทางของพวกเขา เด็กหญิงบางคนจบลงในซ่องโสเภณีเมืองโรม หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: พลายแก้ว ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 10:58:33 AM สงครามครูเสดอื่นๆ
ในปี 1229 สงครามครูเสดที่ประหลาดที่สุดได้เกิดขึ้น นั่นคือ เป็นสงครามครูเสดที่ไม่มีเลือดตกยางออกเพราะตกลงกันได้ทางการทูต ทั้งนี้โดยความสามารถของจักรพรรดิเฟรเดริค ที่ 2 (Frederick II) แห่งเยอรมนี กษัตริย์ผู้ซึ่งในขณะนั้นถูกพระสันตะปาปาประกาศขับออกจากศาสนา จักรพรรดิเฟรเดริคเป็นพระนัดดาของจักรพรรดิบาร์บารอสซา พระองค์เป็นคนพิเศษโดดเด่นในยุคของพระองค์ในทุกๆ ด้าน พระองค์ได้รับการศึกษาอย่างดีเลิศ พระองค์พูดได้ 6 ภาษา รวมทั้งภาษาอาหรับ พระองค์ได้รับการขนานนามว่า สตูปอร์ มุนดี (stupor mundi) อัศจรรย์ของโลก พระองค์ถูกกล่าวหาว่ามีความสงสัยในข้อความเชื่อทางศาสนจักร การเย้ยหยันอำนาจของพระสัน-ตะปาปาอยู่บ่อยๆของพระองค์ เป็นสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าถึงการเป็นผู้นำรัฐชนิดใหม่ที่มีความเป็นอิสระ จักรพรรดิเฟรเดริกเชื่อเรื่องการเจรจา เมื่อกองทัพของพระองค์มาถึงดินแดนตะวันออก พระองค์ได้เยี่ยมเยียนสุลต่านแห่งอียิปต์ฉันมิตร และดังนั้น โดยปราศจากการสู้รบแม้แต่ครั้งเดียว พระองค์ก็ได้กรุงเยรูซาเล็ม เบ็ธเลเฮมและนาซาเร็ธ กลับมาโดยการทำสนธิสัญญา อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของจักรพรรดิเฟรเดริคสำหรับอาณาจักรชาวคริสต์ก็มีอายุสั้น พวกซาราเซ็นยึดกรุงเยรูซาเล็มกลับไปในปี 1244 สงครามครูเสด 2 ครั้งต่อมาโดยกษัตริย์นักบุญหลุยส์ ที่ 9 (Louis IX) แห่งฝรั่งเศส จบลงด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วยโรคบิด ในปี 1291 กำลังของอิสลามยึดอาเคอ (Acre) ปราการสุดท้ายของชาวคริสต์ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และนั่นเป็นการสิ้นสุดอย่างสิ้นเชิงของสงครามครูเสด น้อยคนในยุโรปเศร้าเสียใจกับการจบลงของสงครามครูเสด ผลดีของการติดต่อสัมพันธ์กับอารยธรรมอิสลามและไบเซนไทน์เห็นได้เด่นชัดในทุกแห่ง ชาวเวนีสดัดแปลงเทคนิคการทำแก้วของไทระ คนในหมู่บ้านชาวฝรั่งเศสเลี้ยงหนอนไหมและทอผ้าไหมที่วาวเป็นมันตามแบบอย่างของพวกตะวันออก ชาวไร่ปลูกต้นพลัมจากดามัสคัสและต้นอ้อยจากทริโปลี อบเชย กานพลู ลูกจันทน์เทศให้เครื่องชูรสแก่การปรุงอาหารของชาวยุโรป พวกสตรีใช้กระจกเงาแทนแผ่นโลหะขัด พวกผู้ชายพึงพอใจกับการอบไอน้ำ แต่มีการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐานที่สำคัญกว่า ตระกูลศักดินาพบว่ารายได้และสถานภาพของพวกตนลดลง เพราะใช้เงินสนับสนุนการไปรบสงครามครูเสด พวกเขาจำเป็นต้องขายสิทธิ์เมืองและให้อิสรภาพแก่พวกทาส เมืองต่างๆ ขยายใหญ่โตและมีเสรีชนใหม่ๆ อ้างสิทธิ์ของตน เศรษฐกิจไม่ได้วางอยู่บนการแลกเปลี่ยนและบริการ แต่อยู่ที่เงิน พ่อค้าแข่งขันกับขุนนางในเรื่องศักดิ์ฐานะ พวกมีอาชีพค้าขายและช่างฝีมือเจริญรุ่งเรือง โครงสร้างของสังคมสมัยกลางอยู่ในภาวะกดดัน แบบแผนของชีวิตเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ สงครามครูเสดถูกลืม ตะวันตกหันมาหมกมุ่นกับการผจญภัยใหม่ในดินแดนของตนเอง ที่มาข้อมูล: เว็บไซด์มิซซังโรมันคาทอลิกกรุงเทพ http://www.catholic.or.th ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม [ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ] หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 02:30:58 PM ซู๊ดดดดดยอดครับคุณพลายแก้ว ;D
หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่ง_รักในหลวงมากครับ ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 03:50:05 PM ;D ขยันพิมพ์จังนะครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: HanumanA ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 04:56:08 PM สงครามศักดิ์สิทธิ์ตรงไหนเนี่ย?
เอาศาสนามาอ้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ตามที่ตัวต้องการ พวกคลั่งศาสนาโดยที่ไม่ลืมตามองดูความเป็นจริง แต่ไม่เคยรู้หลักคำสอนที่แท้จริงของศาสนา ไร้สาระสิ้นดี หัวข้อ: Re: เอาประวัติมหาสงครามโลกมาให้อ่านกันครับ เริ่มหัวข้อโดย: tomtom2548 ที่ กรกฎาคม 18, 2005, 05:24:33 PM ขอบคุณ คุณพลายแก้ว
|