เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

 :)ตามหัวข้อครับจะมีผลต่อข้าราชการพลเรือนที่ขอปืนได้สะดวกที่เป็นซี สูงๆๆ สงสัยคราวนี้ คงจะยากขึ้น
 ::004::

  ตามข่าว นี้ของ nation ครับ

08:46 น.


นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะยกเลิกระบบซีของข้าราชการ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ.2551 นั้นว่า กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.51 โดยมีบทเฉพาะกาลว่าจะต้องจัดตำแหน่งของข้าราชการทั้งหมดที่เป็นระบบซีเข้าสู่ระบบใหม่ ซึ่งแยกไว้ 4 ประเภท คือ ประเภทบริหาร ประเภทอำนวยการ ประเภทวิชาการ และประเภททั่วไป ให้ได้ภายใน 1 ปี คือ ก่อนวันที่ 25 ม.ค.52 โดยในวันนี้ (11 ธ.ค.) ถือเป็นวันดีเดย์ที่จะมีการปรับเปลี่ยน ให้ข้าราชการพลเรือนทุกระดับทั่วประเทศประมาณ 370,000 คน เข้าสู่ระบบใหม่ โดยตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม กระทรวง จะอยู่ในประเภทบริหาร ประมาณ 1,000 ตำแหน่ง , ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง หรือ หัวหน้าหน่วยงานที่ต่ำกว่ากรม หรือตำแหน่งที่เคยรับเงินบริหารระดับกลาง ระดับต้น หรือระดับสูงอยู่ จะจัดอยู่ในประเภทอำนวยการ ประมาณ 4,500 ตำแหน่ง , ตำแหน่งที่ต้องปฏิบัติ โดยผู้ที่ต้องใช้ความรู้ทางด้านปริญญา จะมาจัดอยู่ในประเภทวิชาการ ประมาณ 220,000-230,000 ตำแหน่ง , ส่วนที่เหลือจะจัดอยู่ในประเภททั่วไป กว่า 130,000 ตำแหน่ง

ส่วนระบบการขึ้นเงินในระบบใหม่นั้นจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.52 ซึ่งจะขึ้นเงินเดือนเป็นระบบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพราะจะเป็นเครื่องกระตุ้นการบริหารผลงานบริหารจัดการของข้าราชการ โดยในอนาคตจะทำให้สามารถขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการได้ถึง 8-12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

นายปรีชา กล่าวอีกว่า วันนี้ ในเวลา 10.00 น. สำนักงาน ก.พ.จะจัดเจ้าหน้าที่ไปพบปลัดหรือรองปลัดกระทรวงที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์การปรับเปลี่ยน นำบัญชีดังกล่าวไปมอบให้ เพื่อให้อธิบดีหรือปลัดกระทรวงที่รับบัญชีไปตรวจและออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการทั้งหมดภายในกรมนั้นๆ ให้ดำรงตำแหน่งที่กำหนดขึ้นใหม่ตามกฎหมายใหม่ภายใน 30 วัน

...รุปร่างหน้าตาโดยย่อของระบบใหม่ครับ
http://www.ocsc.go.th/ocsccms/uploads/File/power%20point%202(1).pdf (http://www.ocsc.go.th/ocsccms/uploads/File/power%20point%202(1).pdf)

มีข้อดี/ข้อเสียอย่างไรบ้างครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ  ::012::

รอฟังด้วยคนครับ  ;D

..... ต้องติดตามศึกษากันต่อไปว่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติหรือไม่  เพราะระบบซีของข้าราชการนั้นเริ่มใช้กันมานานพอสมควรตั้งแต่ พ.ศ. 2518 โน้น ถ้าจำไม่ผิดนะครับผม  พวกกันบางคนก็ว่าดี  บางคนก็ทำหน้างง ๆ ด้วยเพราะไม่เข้าใจในระบบ  ขอให้ได้รับเงินครบก็พอทำนองนั้น  .... พอดีตัวเองไม่ได้เป็นข้าราชการกับเขาเลยไม่ค่อยตามติดสักเท่าไร ....  แต่คิดว่าคงจะดีเพราะว่าคิดกันมานานมากแล้วได้โอกาสดีแล้วครับ วันนี้ ....

(http://www.pixnice.com/upload/files/4zywtgmn3dyinrmdouix.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/)

                ก พ ร.    ย่อมาจาก  "   กูพึ่งรู้   "

เผยเงินประจำตำแหน่ง ขรก.ระบบใหม่ทุกระดับ 7 อัตราตั้งแต่ 3,500-21,000 บาท มีผลบังคับใช้ทันที
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1229001059&grpid=00&catid=00

ข่าวเพิ่มครับ
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 21:05:02 น.  มติชนออนไลน์


ก.พ.ยันโละ"ซี"ไม่กระทบสิทธิขรก. กรมบัญชีกลางอ้างการเมืองป่วน แก้ระเบียบไม่ทันให้ใช้ของเดิมไปก่อน

ก.พ.ยันโละซีไม่กระทบสิทธิ ขรก. เล็งออกเกณฑ์รองรับเลื่อนขั้นเงินเดือนปีละ 2 ครั้ง กรมบัญชีกลางเร่งปรับปรุง กทม.-ออกระเบียบรองรับ อ้างการเมืองป่วนทำให้ออกมาบังคับใช้ไม่ทัน ให้รับสิทธิประโยชน์-ผลตอบแทนตามเดิมไปก่อน ส่วนที่จะได้เพิ่มเติมให้จ่ายย้อนหลัง

 

นายนนทิกร กาญจนจิตรา รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ถึงการยกเลิกระบบจำแนกตำแหน่งแบบซี 11 ระดับ ว่า ภายหลัง ก.พ.จัดส่งเจ้าหน้าที่ไปพบผู้บริหารส่วนราชการต่างๆ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบบัญชีมาตรฐานกำหนดตำแหน่งตามลักษณะงาน 4 ประเภทให้ ได้แก่ ประเภทบริหาร อำนวยการ วิชาการ และทั่วไป ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับดียิ่ง แต่สิ่งที่ข้าราชการหลายคนยังกังวลคือเรื่องสิทธิผลประโยชน์ เพราะบางคนจ่อจะเลื่อนซีอยู่แล้ว ดังนั้น ก.พ.ขอยืนยันว่าข้าราชการทุกคนจะไม่เสียสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ระบบแท่งยังมีความยืดหยุ่นสูง ข้าราชการสามารถเติบโตและโอนย้ายระหว่างสายงานทั้ง 4 แท่งได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถ และการเพิ่มทักษะ


นายนนทิกรกล่าวว่า ในเร็วๆ นี้จะมีการออกกฎ ก.พ.ว่าด้วยการประเมินผลงานและการเลื่อนขั้นเงินเดือน เพื่อรองรับการบัญชีเงินเดือนใหม่ของข้าราชการ ซึ่งมีถึง 4 บัญชี ซึ่งโดยปกติสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบฯเพื่อใช้เลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการปีละ 6 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น สิทธิประโยชน์ตรงนี้ก็จะคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ข้าราชการจะได้รับการเลื่อนขึ้นเงินเดือนปีละ 2 ครั้ง ในเดือนเมษายน และเดือนตุลาคม เฉลี่ยครั้งละ 3 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ข้าราชการแต่ละคนในแต่ละแท่งอาจได้รับการขึ้นเงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ต่างกัน โดยผู้บังคับบัญชาในฐานะผู้ประเมินผลงานของข้าราชการในกรม/กองนั้นๆ อาจกำหนดตัวชี้วัดในการปฏิบัติราชการขึ้นมา ข้าราชการที่มีผลงานดี มีความสามารถสูง ย่อมมีสิทธิได้รับการขึ้นเงินเดือนในเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าคนอื่นๆ แต่เมื่อคิดค่าเฉลี่ยแล้วตัวเลขต้องล็อคอยู่ที่ 6 เปอร์เซ็นต์ตามที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้


"กฎ ก.พ.ที่จะออกมาเป็นหลักเกณฑ์กว้างๆ เพื่อวางแนวทางในการปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่จะเปิดโอกาสให้ผู้บริหารส่วนราชการใช้ดุลพินิจในการวางเกณฑ์ประเมินผลงานภายใน ซึ่งตัวชี้วัดที่ทำจะใช้ประเมินคน แต่อาจมีความสอดคล้องกับตัวชี้วัดที่ใช้ประเมินผลการปฏิบัติราชการของแต่ละองค์กร ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ทั้งนี้ จะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวในการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนในเดือนเมษายน 2552Ž" รองเลขาธิการ ก.พ.กล่าว


นายมนัส แจ่มเวหา รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมบัญชีกลางจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข กฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการต่างๆ ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและการรับรองสิทธิของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงจากระบบซี เป็นระบบแท่ง แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ปัญหาทางการเมืองส่งผลให้การนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา ต้องล่าช้าออกไป


"ตอนนี้มีกฎหมายและระเบียบบางส่วนยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฎีกา และบางส่วนอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอ ครม. ทำให้ไม่สามารถใช้บังคับได้ทันภายในวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วยกฎหมาย 10 ฉบับ เช่น กฎหมายค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ค่าเช่าบ้านข้าราชการ ค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือน เงินการศึกษาบุตร เงินค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม" นายมนัสกล่าว และว่า กรมบัญชีกลางจึงได้เสนอกระทรวงการคลังกำหนดแนวทางให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ โดยให้รับค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์และค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังกล่าวในอัตราเดิม และหากมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์และค่าใช้จ่ายต่างๆ จะจ่ายเพิ่มในภายหลัง


นายชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ศธ.ได้จัดให้ข้าราชการพลเรือนในสังกัดเข้าสู่โครงการใหม่ที่ ก.พ.กำหนดเรียบร้อยแล้ว ในภาพรวมถือว่าเป็นระบบที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานของบุคลากรมีความก้าวหน้ามากขึ้น และเชื่อว่าระบบการขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์จะส่งผลให้มีความละเอียดในการพิจารณามากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะมีบุคลากรบางกลุ่มในสายงานประเภททั่วไปอาจรู้สึกว่าเสียเปรียบ แต่เรื่องนี้คงต้องรอดูกันต่อไป


นางศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล รองปลัด ศธ. กล่าวว่า จากประสบการณ์ของ ศธ.ที่มีการเปลี่ยนจากระบบซีมาเป็นวิทยฐานะสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นหน่วยงานแรกเมื่อปี 2547 ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไรมากนัก เพียงแต่การปรับตัวต้องใช้เวลาบ้าง แต่ก็ทำให้เกิดการสร้างผลงานใหม่ๆ


ด้านนายสานิตย์ พลศรี นายกสมาคมครูชนบท จ.ชัยภูมิ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ ก.พ.ยกเลิกระบบซี เพราะเคยยกเลิกในกลุ่มข้าราชการครูมาก่อนแล้ว ต่อไปจะได้เป็นระบบเดียวกันที่เกิดความเป็นธรรมทั้งประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนของข้าราชการครูที่มาใช้ระบบวิทยฐานะแทนซีถือเป็นแนวทางที่ดี เพราะทำให้ครูทุ่มเทกับการทำงานมากขึ้น จนทำให้เกิดความชำนาญและเชี่ยวชาญในงานที่ปฏิบัติอยู่มากขึ้นด้วย


นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า การยกเลิกระบบซีน่าจะทำให้การทำงานของข้าราชการและระบบราชการดีขึ้น เพราะไม่ได้ถูกตีกรอบว่าในแต่ละปีจะได้เลื่อนขั้น ได้เงินเดือนเพิ่มเท่าใด ทุกอย่างเป็นไปตามความสามารถ เท่ากับเป็นการปลดล็อคการทำงานที่เดิมจะมี 1-2 ขั้นเป็นตัวกำหนด แต่ระบบนี้จะสามารถจูงใจให้ข้าราชการทุ่มเทกับการทำงานได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับการประเมินผลงาน ผลตอบแทน และคุณภาพงานที่จะยุติธรรมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากสามารถปรับฐานเงินเดือนข้าราชการให้ใกล้เคียงหรือเทียบเท่าเอกชนก็น่าจะทางออกที่ดี 

           เช่นกันครับท่านสงสัยจะขอยาก มาก มาก เลยใช่ไหม........................เศร้า..........

ผมคิดว่าการยกเลิก ระบบซี เป็นการบังคับไม่ให้ข้าราชการขัดขืนได้อีกทางหนึ่งครับ
เพราะระบบเดิมหากคิดจะเอาผิดต้องสอบสวนกันยาว  :OO

ถ้าทำแล้วดีจริงก็ไม่มีปัญหา  ::002::


แต่ถ้าการเมืองเข้ามายุ่มย่ามเป็นตัวตั้งตัวตีไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  บอกตามตรงไม่ค่อยมั่นใจ เพราะกลัวจะมีอะไรในก่อไผ่   ;D

อิอิ ตำแหน่งผมโดนยุบ ครับ

กระทรวงกลาโหมจะมาใช้เงินเดือน 4 กลุ่มนี้ด้วยหรือไม่ครับ

ขออธิบายแบบคนไม่ค่อยจะมีความรู้ซักนิดนะครับ
ข้าราชการแบบเดิมนั้น เราจะมีตำแหน่งต่าง ๆ รวม ๆ กันแล้วก็ประมาณ 400 กว่าสายงาน(ตำแหน่ง,อาชีพ) ซึ่งจะมีสายงานที่เริ่มจาก ซี 1 สำหรับผู้ที่จบ ม.ปลาย หรือเทียบเท่า ซี 2 สำหรับผู้ที่จบในระดับอนุปริญาหรือเทียบเท่า และ ซี 3 สำหรับผู้ที่จะในระดับ ป.ตรี
ผู้ที่เริ่มสายงานในระดับ 1 จะไปได้ถึงระดับ ซี 3
ผู้ที่เริ่มสายงานในระดับ 2 จะไปได้ถึงระดับ ซี 5
ผู้ที่เริ่มสายงานในระดับ 3 จะไปได้ถึงระดับ ซี 6 (จะมี 6 บริหาร กับ 6 ว. )
ในสายบริหาร
ระดับ 6-8 จะเป็นหัวหน้าของหน่วยงานนั้น ๆ (โดยที่ลูกน้องไม่มีสิทธิที่จะได้ซีมากกว่าหัวหน้า เช่นถ้านายอำเภอเป็นระดับ 8  เกษตรอำเภอก็จะได้แค่ 7 )
ในสาย ว.
จะเลื่อนไหลไปเรื่อย ๆ เช่นไป 6 ว. 7 ว. 8 ว. และมีสิทธิที่จะกลับไปเป็นสายบริหารภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้
ไม่ว่าคุณจะจบอะไรมา คุณจะทำในตำแหน่งใด เงินเดือนในตอนเริ่มต้น และการขึ้นเงินเดือนเงินเดือนที่จะได้ รวมถึงเงื่อนไขในความก้าวหน้าก็จะเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้ง 400 กว่าตำแหน่ง(อาชีพ หรือสายงาน)
ขั่นเงินเดือน จะมีอยู่ 1 ขั่น 1 ขั่นครึ่ง และ 2 ขั่น คิดเป็นร้อยละของผู้ที่ได้ในระดับ 2 ขั่นคือ 15% ของประชากรข้าราชการทั้งหมด อีก 80% จะเป็น 1 ขั่นครึ่ง(คือพวกความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏทำงานไปเรื่อย ๆ )  ส่วนที่เหลือจะเป็นพวกมาสาย ทำงานไม่ค่อยจะเสร็จ เป็นนิจ พวกนี้จะได้ แค่ 1 ขั่น
เงินที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี 1 ขั่นจะประมาณ 3%  1ขั่นครึ่งจะอยู่ที่ 4.5% และ 2ขั่นจะอยู่ที่ประมาณ 6 %
แม้ว่าเงินที่จะเพิ่มในแต่ละปีนั้นแทบจะไม่ต่างกันเลยในระดับเดียวกัน แต่ก็จะมีผลในเรื่อง การขยับไปข้างหน้า เช่น
ในระดับ 1 2 หรือ 3  จะขึ้นเป็นระดับ 2 3 และ 4  จะต้องทำงาน 2 ปี  ก็จะได้เพิ่มซีอีก 1 ซี
แต่พอจะขยับเป็น 3 4  และ 5 มีเงื่อนไขวางอยู่ว่า จะต้องครองตำแหน่งในซีก่อนหน้านั้นอย่างน้อย 2 ปี และมีเงินเดือนไม่น้อยกว่าซีที่จะขยับขึ้นไป (ซึ่งจะห่างกันอยู่ 4 ขั่นเงินเดือน) ดังนั้นในทางทฤฎีคนที่ขยันจะได้ 2 ขั่นติดต่อกัน 2 ปี ก็จะไปครองตำแหน่งที่สูงกว่าคนที่ได้ 1ขั่นครึ่งก่อนอยู่ประมาณ 1 ปี และจะอยู่ก่อนพวกไม่เอาไหนอยู่ 2 ปี เขาก็มีสิทธิที่จะได้ตำแหน่งนอกระดับควบ(คือซีมากกว่าในสายงานเริ่มต้น) ก่อน และอาจจะเป็นผู้บริหารก่อน
ในระบบเดิมจึงมี 6 บริหาร และ 6 ว.
ในระบบใหม่ จะรวมเอางานที่คล้าย ๆ กันมาเป็นตำแหน่งเดียวกันจาก 400กว่า สายงาน(ตำแหน่ง,อาชีพ) จะเหลือประมาณ 200 กว่า โดยจับไปใส่ไว้ในพวกใหญ่ ๆ เช่นกลุ่มทั่วไป กลุ่มอาชีพ กลุ่มบริหาร และกลุ่มอำนวยการ เป็นต้น โดยสามารถใช้บัญชีเงินเดือนที่ต่างกันได้ใน 200 กว่าสายงาน(ตำแหน่ง,อาชีพ) เช่น หมอ กับนิติกร แต่ก่อนจะต้องใช้ฐานเงินเดือนเดียวกัน แต่เมื่อเปลี่ยนระบบ เงินเดือนในการเริ่มต้นอาจจะไม่เท่ากันก็ได้ เพื่อเป็นการป้องกันเหตุสมองไหล
เงินที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี จะเลิกจากระบบขั่นเงินเดือน เป็นระบบร้อยละ คือคนที่ทำงานดี ทุ่มเทให้กับงาน อาจจะได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 ส่วนพวกไม่เอาถ่านอาจจะได้แค่ร้อยละ 3 เท่าเดิมเป็นต้น
เงินเพิ่มในแต่ละปี จะแบ่งเป็นย่อย ๆ ได้อีก 3 ระดับ ในระดับที่เลยระดับปฏิบัติงานจะแบ่งย่อยได้อีก 2 ระดับ โดยกำหนดเงื่อนไขว่าการที่คุณจะก้าวขึ้นมาอีกแท่ง (ระดับ) จะต้องมีอัตราเงินเดือนไม่น้อยกว่าที่กำหนด และมีระยะเวลาการทำงานไม่น้อยกว่าที่กำหนด  ดังนั้นจึงหมายความว่าพวกที่ขยันทุ่มเทให้กับงานจะมีโอกาศที่จะก้าวหน้าเร็วขึ้น
ข้อดีอีกประการคือบางครั้งผู้ที่อยู่ในสายวิชาการ อาจจะไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหาร แต่ในระบบเดิมบีบให้ทุก ๆ คนมุ่งไปที่สายบริหาร แต่ในระบบใหม่สายวิชาการ สายปฏิบัตงาน อาจจะมีเงินเดือนเท่า ๆ กับสายบริหารเลยก็เป็นไปได้
ความก้าวหน้า ผู้ที่ขยันทุ่มเทให้กับงานจะมีโอกาศไปได้เร็วกว่าแต่ก่อน ส่วนผู้ที่ไม่ค่อยจะเอาถ่าน อาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นในการที่จะก้าวหน้า
ในระบบความเป็นธรรมในการพิจารณา แต่เดิมทุก ๆ เรื่องจะมีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (เรียกถูกหรือเปล่าหว่า) หรือ กพ. เพียงคณะเดียว แต่ในระบบใหม่จะมีคณะกรรมการที่เป็นหน่วยงานอิสระ มาช่วยให้ความเป็นธรรมต่อข้าราชการที่อาจจะถูกนักการเมือง ผู้บังคับบัญชา กลั่นแกล้งในการพิจารณาความดีความชอบในแต่ละปี และมีวิธีประเมินที่หลากหลายและเป็นธรรมมากขึ้น จากที่มีแค่วิธีประเมินแค่แบบเดียว
สิ่งที่ประชาชนจะได้รับคือ การบริหารที่อาจจะดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ข้าราชการมีความเป็นมืออาชีพในสายงานของต้นมากขึ้น ได้ข้าราชการที่เก่ง (แทนที่จะไปเจอคนเก่งในเอกชน)
สรุปจากความเข้าใจก็ได้ประมาณนี้ครับ แฮ่ ๆ เหนื่อย ;D
ปล.กว่าทุกอย่างจะเข้าที่ กว่าจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ปีขึ้นไป ส่วนผมปีหน้าโน้นครับถึงจะเป็นแท่งกับเขา นี่ยังไม่ได้อธิบายเรื่องการยุบรวม ซีไปเป็นแท่งนะครับ
ลืมบอกไปอีกอย่าง สมัยก่อนผมเกิด เรามีข้าราชการชั่นตรี(1-2) โท(3-4)  เอก(5-6) และพิเศส(7-11) ครับ ปู่แท้ ๆ ของผมเป็นข้าราชการชั่นโทครับ โรงพักระดับอำเภอมีรองสารวัต เป็นหัวหน้า สภอ. ดาบมีแค่ไม่กี่คน จ่านับหัวได้ หมู่กับพลตำรวจจะแยะครับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยคือสมัยนั้นนายร้อยเวลาเป็นเหมือนคนเป็นฝีที่รักแร้เวลาเดิน ไม่งั้นไม่สมศักดิ์ศรีนายร้อยครับ อันนี้ปู่ผมอีกคนที่เป็นทหารท่านว่าอย่างนั้น :D

ขออภัย  แล้วข้าราชการบำนาญล่ะครับ
การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ กระทบหรือเปล่า

เห็นเน้นกันแต่เรื่องขึ้นเงินเดือน ค่าตอบแทน และเงินประจำตำแหน่งกันจริง ถ้าพูดในฐานะ ขรก.ก็ถือว่าดีครับ เพราะรายได้นั้นน้อยจริงๆ สู้รัฐวิสาหกิจไม่ได้เลย แถมสวัสดิการยังใกล้เคียงกันอีก เมื่ออยู่กันอย่างยากลำบากหนี้สินรุงรังจะให้ ขรก.รู้สึกดีมีเกียรติในงานที่ทำได้อย่างไร รัฐคงเริ่มมองเห็นแล้วว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่ๆอยากทำงานราชการน้อยลง จึงเอาเรื่องรายได้ต่างๆมาล่อ งานราชการจะเป็นที่น่าสนใจก็ต่อเมื่อเกิดวิกฤตเศรฐกิจทีอย่างเช่นในช่วงเวลานี้เพราะได้รับผลกระทบน้อย แต่จริงๆอยากให้ปรับปรุงระบบให้มีความกระชับคล่องตัวกว่าที่เป็นอยู่ประกอบกับมีการประเมินผลงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ และรักษาเกียรติของข้าราชการ ไม่ให้มาว่าทำงานเช้าชามเย็นชามได้

 :)ขึ้นเงินเดือนเป็น % ประเมินตามผลงานไม่แคล้ว เด็กๆๆใคร เหมือนเดิมครับ :~)

::002::เห็นด้วยเต็มๆครับ +1ให้พี่ครับ