เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

เมื่อปีที่ผ่านมากระทรวงสาธารณะสุขเอาอาหารไปตรวจ 56000กว่าตัวอย่าง  พบยาฆ่าแมลงตกค้างในพริกชี้ฟ้ากับผักชี แต่ที่น่าตกใจคือสารเร่งเนื้อแดง "สารเร่งเนื้อแดง พบในเนื้อหมูทั้งหมด "  บ้านญาติภรรยาเลี้ยงหมูอยู่แกเล่าว่าถ้าเอาเศษอาหารมาเลี้ยงหมูจะมีมันมากราคาไม่ดีสู้อาหารสัตว์ยี่ห้อ...ไม่ได้  หมูไม่มีมันมากราคาดี  ผมว่าทางกระทรวงน่าจะเอาพวกอาหารสัตว์ไปตรวจบ้างน่าจะดีครับ อาจจะเจอสารเร่งเนื้อแดงจากต้นทางเลยก็ได้

ทราบจากเพื่อนที่เลี้ยงหมูอยู่แถว นครปฐมว่า เขาใช้กันมานานแล้วครับ

หากจะให้ปลอดภัยคงต้องเลี้ยงหมูเอง  ;D

ถูกต้องครับ ต้องแก้ที่ต้นทาง ::014::

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ   คิดแล้วก็เหมือนกรรมของชาวบ้านจริงๆ  สารเร่งเนื้อแดง พบในเนื้อหมูทั้งหมดนี้ ชัดๆไปเลยกันอยู่ในอาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงหมูนั่นแหละครับ

ก็เหมือนปืนพกของพวกเรา9มม.ลูกดก  เกิดคราวร้ายมาตำรวจเจอท่านยัดข้อหามีแมกเกิน10นัด  :~) ก็มันมาแบบนี้ตั้งแต่ซื้อมา  ถ้าจะว่าผิดมันก็ผิดตั้งแต่คนเซ็นให้นำเข้ามาแล้ว

บอกได้คำเดียวครับ  กรรม :~)

ครับ พี่สน
บ้านเราก็อย่างนี้แหละครับ
ดูสิว่า ข่าวจะเงียบในกี่วัน

เหมือนเหตุ เพลิงไหม้ที่ซานติก้าผับ
ตำรวจ ออกตรวจตรา สถานบริการ
บอกอย่าให้คนเข้าใช้บริการแออัดเกิน
ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่ออกมาตรวจ
ใช่มั้ยครับ   และ มาตรการ จะใช้ได้ผลหรือเปล่า
อย่างที่พูด.....

อาหหารหมูสำเร็จรูปที่ใช้กัน ก็มีสารเร่งเนื้อแดงอยู่แล้วครับ

อ๋อย...ตัดหมูออกจากเมนูอีกอย่างแล้วจะเหลืออะไรให้กินล่ะครับเนี่ย  ปลาก็ก้างเยอะ มื้อกลางวันนี้แม่ละอ่อนทำเนื้อย่างน้ำตกเนื้อฟายเคี้ยวแทบไม่ไหวครับ

สารเร่งเนื้อแดงเกษตรกรผู้เลี้ยงจะสั่งซื้อเป็นถัง 20 กก.ใช้ผสมในสูตรอาหาร

ใช้แล้วทำให้หมูมีเนื้อแดงมาก.....ไม่อ้วนมีไขมันมากเกินไป....ซึ่งหมูที่อ้วนเกษตรกร

เรียกว่า"หมูน้ำ"ราคาถูกกว่าหมูเนื้อ.....ในการเลี้ยงหมูตามฟาร์ม....ต้องเร่งการเจริญเติบโต

ของหมูให้เต็มที่.....แต่การจะหาสูตรอาหารที่เหมาะสมหมูกินแล้วเปลี่ยนเป็นเนื้อแดงมันยาก

เกษตรกรต้องเปลี่ยนวัตถุดิบอาหารสัตว์ไปตามราคาวัตถุดิบตัวที่ต่ำที่สุดเพื่อต้องการกำไร

ก็เลยเกิดสูตรสำเร็จมียานำเข้าจากเช็คโกฯมาผสมอาหารแล้วหมูโตเร็วเนื้อแดงมาก

แต่มันมีข้อเสียอยู่บ้างตรงที่หมูกินอาหารผสมยาเร่งเนื้อแดงแล้วจะช็อคตายได้ง่าย

...กรรมของหมู.... ::012::

กรรมของคนที่ซื้อมาทานด้วยครับ...

 ::004:: ::004:: ::004::สารเร่งเนื้อแดง ได้แก่ สารซาลบูทามอล และสารเคลนบูเทอรอล
เป็นตัวยาสำคัญในการผลิตยาบรรเทาโรคหอบหืด มีการนำไปผสมในอาหารสำหรับเลี้ยงหมู
เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของหมู ช่วยทำให้กล้ามเนื้อขยายใหญ่ขึ้นและมีไขมันน้อย
อันตรายจากสารเร่งเนื้อแดง
      อาจจะทำให้มีอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศรีษะ หัวใจเต้นเร็ว ผิดปกติ กระวน
กระวาย วิงเวียนศรีษะ บางรายมีอาการเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการทางจิตประสาท และ
เป็นอันตรายมากสำหรับคนที่มีความไวต่อสารนี้ เช่น ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ผู้ป่วย
โรคเบาหวาน และโรคไฮเปอร์ไธรอยด์ รวมทั้งทารกและหญิงมีครรภ์
ข้อแนะนำในการเลือกซื้อเนื้อหมูที่ปลอดสารเร่งเนื้อแดง
เลือกซื้อเนื้อหมูที่มีสีแดงธรรมชาติ มีมันหนาบริเวณสันหลัง
เมื่ออยู่ในลักษณะตัดขวาง มีมันแทรกระหว่างกล้ามเนื้อเห็นได้ชัดเจน ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มี
สารเร่งเนื้อแดงซึ่งจะมีสีแดงเข้มกว่าปกติ และเมื่อหั่นทิ้งไว้เนื้อหมูจะมีลักษณะค่อนข้างแห้ง  ::012:: ::012::

ขอบคุณครับ...

อย่างไรผมก็คงต้องกินหมูครับ...

ให้เลิกกินหมู แย่แน่ครับ...:D

ผมว่าน่าจะเริ่มจากผู้บริโภคครับ  หมูเนื้อแดงได้ราคา กว่าหมูติดมัน คนกลัวอ้วนไม่ค่อยกินมันหมู(หมูติดมัน)ทำให้คนเลี้ยงต้องพยายามเลี้ยงหมูให้มีไขมันน้อย  ถ้าคนหันมากินหมูแบบที่เค้าเลี้ยงตามบ้านสมัยก่อน อีกหน่อยฟาร์มก็คงไม่ใช้เองครับ 

สมัยก่อน จะใช้เศษอาหารที่เหลือจากการกิน ผสมกับรำข้าว และผักตบชวาสับ หรือหยวกกล้วยสับ นี่แหละคืออาหารหมูสมัยก่อน
สมัยก่อนเนื้อหมูจะไม่ค่อยแดง  แต่ถ้าหมูแก่ (แม่หมู) นั้นแหละค่ะ เนื้อถึงจะแดง คนสมัยก่อนจะไม่ค่อยซื้อเนื้อหมูที่มีสีแดง เพราะมันจะเหนียว
สีที่นิยมคือสีชมพู จะเข้มจะอ่อนก็แล้วแต่รสนิยม ของคนซื้อ บางคนก็ไม่ชอบสีชมพูอ่อนเพราะเข้าใจว่าเป็นหมูค้างคืน หรือแช่เย็น แต่จริง ๆ แล้วมันคือเนื้อของหมูที่อายุน้อย ดังนั้นวิธีที่จะทำให้หมูอายุน้อยมีเนื้อเป็นสีชมพูเข้ม คือต้องให้มันวิ่งทุกวัน เนื้อมันก็จะกลายเป็นสีชมพูเข้ม

ห้ามใครเถียงด้วย เพราะบ้านดิฉันประกอบอาชีพตั้งแต่ มีเล้าเลี้ยงหมู มีโรงฆ่าสัตว์ และมีเขียงขายหมู ด้วย  ;)
แต่ถ้าถามเรื่องของหมูปัจจุบัน ไม่ทราบจริง ๆ เพราะเลิกทำหมูมานานแล้ว โรงฆ่าสัตว์ก็ยกให้เทศบาลเช่า เขียงหมูก็ยกให้ญาติ ๆ แบ่ง ๆ กันหากิน

สวัสดีปีใหม่ครับ
ถามพี่ หมอ rute ครับว่าสารตัวนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนแล้วเกิด ผลอย่างไรครับ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
ขอบคุณครับ

                                                                     สารเร่งเนื้อแดง

                                                              (สารกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์)

                                เป็นเคมีภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เป็นยารักษาโรคหอบหืดในคน แต่ผู้เลี้ยงสุกรได้รับคำแนะนำหรือชักจูงใจในทางที่ผิด โดยนำสารกลุ่มนี้มาผสมในอาหารสัตว์ น้ำ ดื่มและอื่นๆ สำหรับการเลี้ยงสุกรเพื่อลดไขมันหรือเพิ่มปริมาณเนื้อแดงในซากสุกร ซึ่งการกระทำเช่นนี้ เป็นการใช้เคมีภัณฑ์ที่ผิดวัตถุประสงค์ และไม่ถูกต้องตามคุณสมบัติของสารเคมีภัณฑ์ชนิดนี้นอกจากนี้ยังเป็นการทรมานสัตว์ที่ขาดเหตุผลและความจำเป็น  เนื่องจากสารกลุ่มนี้มีผลต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด หลอดลม กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น ถ้าสารในกลุ่มนี้มีการตกค้างในเนื้อสุกรก็จะมีผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ เป็นต้น ซึ่งประเทศไทย และต่างประเทศได้ห้ามใช้สารกลุ่มนี้ในการผลิตอาหารสัตว์โดยเด็ดขาด ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2525 มาตรา 6(5) , 57

                                                                  สารกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ ได้แก่

 

-ซัลบูทามอล (Salbutamol)                          -ซิมบูเทอรอล(Cimbuterol)                         -เคลนบูเทอรอล(Clenbuterol) 

-มาเพนเทอรอล(Mapenterol)                     -แรคโตพามีน(Ractopamine)                     -เคลนเพนเทอรอล(Clenpenterol)

-ไซมาเทอรอล(Cimaterol)                           -คาบูเทอรอล(Cabuterol)                           -มาบิลเทอรอล(Mabuterol)     

-ทูโลบูเทอรอล(Tulobuterol)                       -โบรโมบูเทอรอล(Bromobuterol)                -เทอบูตาลีน(Terbutaline)

สารกลุ่มเบต้าาอะโครนิสท์เป็นสารที่มีอันตรายต่อระบบต่างๆของร่างกาย เช่น กระตุ้นการทำงานของหัวใจ กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ อาการหวาดกลัว กระวนกระวาย หัวใจเต้นถี่ หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ นอนไม่หลับ งง สับสน ความยากอาหารลดลง คลื่นไส้อาเจียน กล้ามเนื้อสั่นพริ้วโดยเฉพาะบริเวณมือ และขา นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงต่อระบบไหลเวียนของโลหิต ำให้ความดันเลือดต่ำ เวียนศรีษะเป็นลม หากได้รับสารนี้ในปริมาณมากๆ อาจทำให้เสียชีวิตทันที

^
^
^


น้องหมอบัวช่วยตอบไปแล้วนะครับ...:D

ผมเริ่มเป็นห่วงน้องโอ :VOV:

ผมเน้นเนื่อวัวครับ   

เข้ามาอ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพครับ
ขอบคุณพีอภิสิทธิ์ครับ ::014::

ขอบคุณครับที่กรุณาให้ความรู้ครับ ต่อไปจะรับประทานอะไร คงต้องละเอียดถี่ถ้วนสักหน่อย

ทำไงได้ครับทุกอย่างเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ว่าเนื้อสัตว์หรือพืชผัก แต่ก่อนกินแต่น้ำมันหมูน้ำมันมะพร้าวมาทำกับข้าวแต่ไม่เห็นมีใครเป็นอะไรมากมาย แต่เดี๋ยวนี้อย่างน้อย3ใน10คนจะตายด้วยมะเร็งหรือโรคอันเนื่องจากความอ้วน แต่ก่อนเวลาจะทำน้ำมันหมูก็ไปตลาดเลือกซื้อมันหมูที่เลี้ยงกับเศษข้าวต้มกับรำกับต้นบอนเป็นอาหารหมูมาเยอะๆนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วพาไปเจียวเตาถ่านไฟอ่อนๆ จนได้น้ำมันไปใส่ขวดโหลตั้งไว้นานๆก็จะเป็นไขเวลาจะใช้ก็ตักไปอุ่นในกะทะก่อน ส่วนกากก็ไปทำกับข้าวได้หลายอย่างตอนเด็กๆชอบกินมาก เนื่องจากไม่มีกับข้าวอะไรให้เลือกมากนัก

เมื่อก่อนบ้านแฟนเคยเป็นฟาร์มเลี้ยง  จังหวัดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกรุงเทพ
ผู้เลี้ยงทราบว่าสารตัวนี้ต้องห้าม..........แต่  ถ้าไม่ใช้  คนจับ ( พ่อค้าคนกลาง )
จะกดราคาว่าหมูมีมันเยอะ ( เผลอ ๆ ไม่ยอมซื้อ ) บางรายจับเอาไปก่อน
ขายได้เป็นเงินถึงค่อยกลับมาจ่าย   เหมือนคนเลี้ยงต้องง้อคนจับ  :-[

ยอมมาจับเหมือนเป็นบุญคุณ  ไม่มาจับ  หรือ จับช้าค่าอาหารไม่ใช่น้อย
ก่อนจับ 1 คืน งดให้อาหาร  รีดน้ำหนัก  หักเครื่องใน  กระดูก......เหลือราคาหน้าฟาร์ม  60  กว่า  :P

มีข่าวนี้ออกมา...

น้องโอน่าจะปลอดภัยขึ้นนะครับพี่...::005::

..ขอบคุณครับ... ::002::