หัวข้อ: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 03:57:09 PM อกอีแป้นจะแตก...... ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เอาสมองส่วนไหนมาคิด ประกาศขึ้นทะเบียน พืชสมุนไพรพื้นบ้านเป็นวัถุอันตราย ::009:: .... ปลาดุกย่างสะเดาน้ำปลาหวานกินมาแต่เล็กแต่น้อย พริก ขิงข่า ตะไคร้ ขมิ้นชัน ฯลฯ เป็นเครื่องเทศและอาหารของไทยมาช้านาน มิหนำซ้ำเกษตรกรเอามาสกัดเป็นยาปราบศัตรูพืชแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม... ดันมาประกาศเป็นวัตถุอันตรายซะงั้น..... ท่าน กินแต่อาหารฝรั่ง ไม่เคยแตะอาหารไทยรึ ? หรือว่ากินปุ๋ย ยาฆ่าแมลงของฝรั่งมังค่า จนหน้ามืด สมองฝ่อ............... ::006:: ::010:: ::010:: ::010:: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1234270769&grpid=00&catid=04 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เวลา 19:59:08 น. มติชนออนไลน์ เอ็นจีโอต้านขึ้นทะเบียน"สะเดา-ขิง-ข่า-พริก"วัตถุอันตราย กรมแพทย์ไทยฯเตรียมถกรมว.สธ.เสนอครม.ยกเลิก เอ็นจีโอสมุนไพรเตรียมแถลงข่าวคัดค้านขึ้นทะเบียน 13 พืชสมุนไพร เป็น "วัตถุอันตราย" กังขาหวังกีดกันทางการค้า ส่งเสริมสารเคมีมาใช้ในงานเกษตร จี้เร่งชี้แจงให้ชัดก่อนปชช.ตื่น แนะถ้าให้ดียกเลิกไปเลย ขณะที่รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯเตรียมหารือรมว.สธ.เสนอครม.ทบทวนหรือยกเลิก รมช.สธ.เล็งหารืออธิบดีแพทย์แผนไทยกรณี13สมุนไพร เครือข่ายหมอพื้นบ้าน เครือข่ายด้านการเกษตร และเครือข่ายฐานทรัพยากรอาหาร เตรียมแถลงเรียกร้องให้ นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงถึงเหตุผลที่ขึ้นทะเบียนสมุนไพร 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตราย ขณะที่นายมานิตย์ นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า จะต้องหารือกับอธิบดีการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกก่อน ซึ่งเบื้องต้นทราบว่า สมุนไพรทั้ง 13 ชนิด เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน ด้านนายแพทย์ประพจน์ เภตรากาศ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก บอกว่า ประกาศดังกล่าว จะกระทบต่อวิถีชีวิตคนไทย และอุตสาหกรรมครัวเรือนและการส่งออก นอกจากนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่เคยเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานราชการ ภาคเกษตร หรือประชาชน ที่มีบทบาทในการส่งเสริมการใช้พืชทั้ง 13 ชนิด ดังนั้น จึงเตรียมหารือนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวน หรือยกเลิกการประกาศฉบับนี้ เอ็นจีโอค้านขึ้นทะเบียน13พืชสมุนไพรเป็นวัตถุอันตราย ภายหลังจากที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี 13 ชนิด ได้แก่ 1.สะเดา 2. ตะไคร้หอม 3.ขมิ้นชัน 4.ขิง 5.ข่า 6.ดาวเรือง 7.สาบเสือ8.กากเมล็ดชา 9.พริก 10.คื่นฉ่าย 11.ชุมเห็ดเทศ 12.ดองดึง และ13.หนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข. ทำให้เกิดกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเครือข่ายเอ็นจีโอ โดยตั้งข้อสังเกตว่าจะเป็นการกีดกันพืชสมุนไพรไทย และจะเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้สารเคมีในอาหารมากขึ้น นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี กล่าวเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ถึงเรื่องเดียวกันนี้ ว่า เจตนาของการขึ้นทะเบียนสามารถดูได้หลายมุมมอง หากมองในแง่ดีก็อาจเพื่อต้องการควบคุมพืชที่มาสกัดเหล่านี้ให้มีคุณภาพดี ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้และผู้บริโภค แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็อาจจะเพื่อต้องการกีดกันการใช้สมุนไพรมาสกัดเป็นสารกำจัดวัชพืช โดยปล่อยให้มีการใช้สารเคมีทั่วไป ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเป็นการผลักดันของผู้เสียผลประโยชน์บางส่วนแอบแฝงหรือไม่ เช่น พวกกลุ่มบริษัทยาฆ่าแมลงต่างๆ นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า อีกทั้งตัวระเบียบเองก็ยังเขียนไว้อย่างกว้างๆ ไม่ชัดเจน ไม่ได้เจาะจงว่าใช้เฉพาะสกัดมาทำวัชพืช หรือใช้ในการรับประทาน ในส่วนของกระบวนการนั้นก็ไม่มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกรหรือกลุ่มผู้ใช้พืชสมุนไพร "ทางเครือข่ายของเราจึงเกิดความสงสัยในเจตนาการขึ้นทะเบียนครั้งนี้ว่ามีวัตถุประสงค์อื่นใดแฝงอยู่หรือไม่ ซึ่งเป็นการกีดกันการใช้สมุนไพรอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระเบียบที่กว้างครอบคลุมเกินไป หรือกระบวนการการขึ้นทะเบียนที่ไม่รอบคอบทำให้เครือข่ายเกินข้อกังขา" นายวิฑูรย์ กล่าว ด้านนายวีระพงษ์ เกรียงสินยศ ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวเรื่องเดียวกันนี้ ว่า รู้สึกแปลกใจกับประกาศดังกล่าวมาก จริงๆ ไม่ควรที่จะมีออกมาด้วยซ้ำ เป็นเรื่องตลก และคิดว่าน่าจะมีวาระซ่อนเร้น ถึงความไม่ชอบมาพากล และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนในกรมวิชาการเกษตรกำลังรับใช้ใครอยู่หรือเปล่า ตนก็ไม่แน่ใจ อย่างไรก็ตาม ก่อนการแถลงข่าวในวันที่ 11ก.พ. เครือข่ายหมอพื้นบ้าน เครือข่ายด้านการเกษตร และเครือข่ายฐานทรัพยากรอาหาร ก็จะมีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาประมวลสถานการณ์ ความรู้ความเข้าใจ และองค์ประกอบต่างๆ มาหารือกันก่อนที่จำนำเสนอ ตั้งข้อสังเกตผ่านสื่อมวลชนต่อไป ผู้จัดการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวต่อว่า ประกาศดังกล่าว สร้างความตกใจ หวาดวิตก ต่อสังคมมาก โดยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร และผู้บริโภค การที่ออกมาบอกเช่นนี้ น่าจะมีการชี้แจงให้ชัดเจนว่า ในพืชแต่ละชนิดที่ระบุไปนั้น มีสารประกอบตัวไหนเป็นสารอันตราย ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ยึดหลักการเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีเกษตรแบบพึ่งตนเองมาใช้ในการเพาะปลูก พืชต่างๆ เหล่านี้ มีส่วนไปควบคุมแมลง และกำจัดศัตรูพืชซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อคนต่อพืชด้วยซ้ำ จึงคิดว่าควรยกเลิกประกาศไปเลย ขณะที่ น.ส.ทัศนีย์ วีระกันต์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) กล่าวว่า การจัดแถลงข่าวคัดค้านการขึ้นทะเบียนพืช 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตราย ลงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม โดยคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้ความเห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเป็นวัตุอันตราย ซึ่งประกอบด้วย 1. สะเดา 2. ตะไคร้หอม 3.ขมิ้นชัน 4.ขิง 5.ข่า 6.ดาวเรือง 7.สาบเสือ8.กากเมล็ดชา 9.พริก 10.คื่นฉ่าย 11.ชุมเห็ดเทศ 12.ดองดึง และ13.หนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข. น.ส.ทัศนีย์ กล่าวว่า คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีการจัดประชุมเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2551 เพื่อเสนอให้ขึ้นทะเบียนพืชทั้ง 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย และในวันที่ 3 กุมภาพันธุ์ มีการขึ้นทะเบียน ซึ่งการขึ้นทะเบียนพืชทั้ง 13 ชนิดนี้ทำให้เกิดความสับสนกับทั้งผู้บริโภคและเกษตรกรที่นำพืชบางตัวมาใช้ในการกำจัดศัตรูพืช ยังมีบางชนิดที่นำมาทำสมุนไพร การประกาศเช่นนี้ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าพืชเหล่านี้จะสามารถนำมาใช้ได้อีกหรือไม่ ผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวอีกว่า การประกาศเช่นนี้จะกระทบกับประชาชนโดยตรง ต่อไปจะมีการเข้ามาควบคุมพืชทั้ง 13 ชนิด ซึ่งจะทำให้เกิดความยุ่งยากต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และทำลายระบบเกษตรกรรมแบบยั่งยืน ดังนั้นคณะกรรมการวัตถุอันตรายต้องออกมีชี้แจงและระบุว่าสารตัวใดบ้างที่เป็นอันตราย ทั้งนี้ เครือข่ายหมอพื้นบ้าน เครือข่ายด้านการเกษตร และเครือข่ายฐานทรัพยากรอาหารจะมีการแถลงคัดค้านการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทั้ง 13 ชนิด ในวันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) 912 ซ.งามวงศ์วาน 31 ซอยย่อย 7 ถ.งามวงศ์วาน อ.เมือง จ.นนทบุรี หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:06:41 PM ตายห้าแล้ว กินข่าตะใคร้ใบมะกรูดมาตั้งแต่สามขวบ จนสาสิบแล้ว สงสัยตายก่อนแก่แหงๆ :~)
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:18:36 PM อย่าไปคิดมาก ทุกวันนี้ มีเรื่องจะให้ตาย ได้มากมาย
อยู่กันไม่ถึง ๑๐๐ ปี ทั้ง สารเคมี ภาวะทางเสียง ฝุ่นละออง คิดกันไป คิดกันให้ตาย มันก็แก้ไม่ได้ เพราะมันไม่จริงจัง หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: นายขม รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:28:13 PM สงสัยท่านรัฐมนตรี ไม่เคยกินพืชแบบนี้เลยไม่เคยได้รับสารพิษ ร่างกายก็เลยพัฒนาซะสมองไม่มีที่อยู่ ::009::
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:29:17 PM เวรกรรม อีกหน่อยเขาคงห้ามเรากินข้าวหอมมะลิแน่เลย
แต่ผมสงสัยอย่าง ทำไมเป็น รมต. อุตสาหกรรมออกมาห้ามหรือว่าข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด สะเดา ปลูกข้าง โรงงานไฟฟ้าถ่านหินที่หาที่สร้างไม่ได้.......คิดการณ์ไกลจริงๆท่านรมต.อุตฯ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: อรชุน-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:32:03 PM คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้ประกาศให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี 13 ชนิด ได้แก่ 1.สะเดา 2. ตะไคร้หอม 3.ขมิ้นชัน 4.ขิง 5.ข่า 6.ดาวเรือง 7.สาบเสือ8.กากเมล็ดชา 9.พริก 10.คื่นฉ่าย 11.ชุมเห็ดเทศ 12.ดองดึง และ13.หนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข.
ไอ้พวกปัญญาอ่อน หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:37:39 PM อย่าไปคิดมาก ทุกวันนี้ มีเรื่องจะให้ตาย ได้มากมาย ถ้าประกาศขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุอันตรายแล้ว.......... ชาวบ้านจะสกัดเอาสารสะเดา ตะไคร้หอมมาเป็นยาปราบศัตรูพืช โดยพลการได้หรือครับ อาจารย์ยอด ?อยู่กันไม่ถึง ๑๐๐ ปี ทั้ง สารเคมี ภาวะทางเสียง ฝุ่นละออง คิดกันไป คิดกันให้ตาย มันก็แก้ไม่ได้ เพราะมันไม่จริงจัง .... ขึ้นชื่อว่าวัตุถุอันตราย ต้องมีการจัดการและควบคุม แล้วเกษตรกรจะทำอย่างไร สกัดเองไม่ได้ ไม่ปลอดภัย ต้องไปซื้อยาฆ่าแมลงผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมมาใช้แทนหรือครับ ? ........ ตามี กำลังปีนเก็บสะเดามาลวกกินกับลาบเนื้อ จนท. สาธารณะสุขผ่านมาพอดี เฮ้ยๆๆ ลุง อย่าเก็บมากินมันมีพิษ เป็นวัตุอันตรายตามประกาศกระทรวงฯ ลุงต้องซื้อผักกาดขาวฉีดยา โฟลิดอลล์ ฆ่าแมลงตายเรียบมากินกับลาบ จึงจะปลอดภัย......................... ::009:: .... ถ้ามันเป็นแบบนี้หละครับ จะทำอย่างไร ? กรณีตัวอย่าง ฟิล์มรถยนต์ก็ทราบๆกันอยู่ ชาวบ้านร้านช่องเสียเงินเสียทอง ลอกกันวุ่นวาย จับปรับกันครึกโครม สุดท้าย ::009:: ::012:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นงิ้ว ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:41:56 PM ดีนะ ที่ลูกเนียง ลูกตอ หน่อเหรียง ไม่โดนไปด้วย ไม่งั้นคนด้ามขวาน ตายกันเหม็ดฉาดเลย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:45:21 PM ดีนะ ที่ลูกเนียง ลูกตอ หน่อเหรียง ไม่โดนไปด้วย ไม่งั้นคนด้ามขวาน ตายกันเหม็ดฉาดเลย น่าจะอยู่ในข่าย แว่วว่าเป็นยาคุมกำเนิดชั้นดี ;D นีถ้าสกัดเป็นยาฆ่าแมลงได้คงไม่รอดเหมือนกัน...........หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: SingCring ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:48:14 PM เอ้อ........ไม่มีเรื่องอื่นให้ทำ ให้คิดแล้วหรือ :P :P
ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี13 ชนิด ได้แก่ 1.สะเดา 2. ตะไคร้หอม 3.ขมิ้นชัน 4.ขิง 5.ข่า 6.ดาวเรือง 7.สาบเสือ8.กากเมล็ดชา 9.พริก10.คื่นฉ่าย 11.ชุมเห็ดเทศ 12.ดองดึง และ13.หนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย คราวนี้ โครงการโอท๊อปของหมู่บ้านที่จะผลิตน้ำพริกขายแบบใส่กระปุกลำบากแน่ เพราะน้ำพริกซึ่งมีพริกเป็นส่วนผสม เป็นวัตถุอันตราย ::007:: ::007:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:53:25 PM อย่าไปคิดมาก ทุกวันนี้ มีเรื่องจะให้ตาย ได้มากมาย อยู่กันไม่ถึง ๑๐๐ ปี ทั้ง สารเคมี ภาวะทางเสียง ฝุ่นละออง คิดกันไป คิดกันให้ตาย มันก็แก้ไม่ได้ เพราะมันไม่จริงจัง มันเป็นเรื่องของการขัดขากันแบบ หาน้ำหนักทางเหตุผลไม่ได้ครับพี่ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Been ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 04:57:44 PM ส่งสัยแ_มันให้รับทานแต่ขยะ สมองมันเลยคิดได้แค่นี้ ::003:: ทีนี้ต้มข่าไก่ของโปรดผม ได้ขึ้นชื่อแน่ๆเลยว่าใส่ วัตถุอันตราย ::010:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Ultraman Taro #รักในหลวง# ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:01:35 PM เวรจริงๆเลยพวกนี้สงสัยว่าไปเก็บกดอะไรมา เบื่อจริงๆเลยพวกนักการเมืองไร้สมอง เมื่อไหร่ประเทศไทยจะมีคนดีๆ เก่ง มาบริหารมั่งเนี่ย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นงิ้ว ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:06:36 PM ดีนะ ที่ลูกเนียง ลูกตอ หน่อเหรียง ไม่โดนไปด้วย ไม่งั้นคนด้ามขวาน ตายกันเหม็ดฉาดเลย น่าจะอยู่ในข่าย แว่วว่าเป็นยาคุมกำเนิดชั้นดี ;D นีถ้าสกัดเป็นยาฆ่าแมลงได้คงไม่รอดเหมือนกัน...........เป็นหมันก็ดีซิพี่ไม่ต้องใช้มีชัย นี่จ้ำที่ไรป่องทุกที อิอิ สงสัยกะให้บ้านเรากินพิซซ่า กินแซนวิซมั้งถึงจะดีไม่มีโรค หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: submachine -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:10:21 PM เค้าหมายถึง กลิ่นไม่อยากให้หันหน้าเข้าหากันครับ
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นงิ้ว ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:12:43 PM เค้าหมายถึง กลิ่นไม่อยากให้หันหน้าเข้าหากันครับ หันหลังยิ่งไปกันใหญ่เลยครับพี่ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:13:09 PM เค้าหมายถึง กลิ่นไม่อยากให้หันหน้าเข้าหากันครับ ไม่หันหน้ามาไม่เป็นไร หันหลังมาก็แจ่ม... ::007::หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:14:24 PM เค้าหมายถึง กลิ่นไม่อยากให้หันหน้าเข้าหากันครับ ไม่หันหน้ามาไม่เป็นไร หันหลังมาก็แจ่ม... ::007::::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:15:40 PM เค้าหมายถึง กลิ่นไม่อยากให้หันหน้าเข้าหากันครับ ไม่หันหน้ามาไม่เป็นไร หันหลังมาก็แจ่ม... ::007::::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:16:37 PM เค้าหมายถึง กลิ่นไม่อยากให้หันหน้าเข้าหากันครับ ไม่หันหน้ามาไม่เป็นไร หันหลังมาก็แจ่ม... ::007::::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ::007:: ;) ว้ายยยย...ตัวเองก๊อ... หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: flyingkob-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:18:05 PM ฟังข่าวช่อง NBT เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นั้นมีการโยนไปที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ชงเรื่องขึ้นไป คาดว่ารายละเอียดการโต้ตอบคงจะได้เห็นในข่าวเร็วๆนี้
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: boon(เสือไบ) ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:21:18 PM บ้ากันไปใหญ่แล้วรัฐมนตรีบ้านเรา อีกหน่อยต่างประเทสเขาบ้าจี้ตามรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยขึ้นมา
ห้ามสินค้า10อย่างที่ว่าส่งเข้าประเทศเขา ท่านรัฐมนตรีคงยิ้มชื่นใจในผลงานที่ท่านทำ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:22:40 PM อาหารพวกนี้ห้ามกินกันนะครับ..... มันมีวัตถุอันตรายเป็นผักเคียง สะเดาเอย ตระไคร้เอย ฯลฯ :OO :P
(http://www.pixnice.com/upload/files/zim2gtykwofmytim5jqj.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/) (http://www.pixnice.com/upload/files/2tmijyy4oqoyk0kbnvd0.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/) (http://www.pixnice.com/upload/files/zzg0mjn0mdlyuyjzenmr.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/) หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นงิ้ว ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:25:14 PM อาหารพวกนี้ห้ามกินกันนะครับ..... มันมีวัตถุอันตรายเป็นผักเคียง สะเดาเอย ตระไคร้เอย ฯลฯ :OO :P (http://www.pixnice.com/upload/files/zim2gtykwofmytim5jqj.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/) (http://www.pixnice.com/upload/files/2tmijyy4oqoyk0kbnvd0.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/) (http://www.pixnice.com/upload/files/zzg0mjn0mdlyuyjzenmr.jpg) (http://www.pixnice.com/upload/) ห้ามให้ตายผมก็ไม่เชื่อครับ แค่เห็นรูปก็น้ำลายไหลแล้ว หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:33:23 PM ตายห้าแล้ว กินข่าตะใคร้ใบมะกรูดมาตั้งแต่สามขวบ จนสาสิบแล้ว สงสัยตายก่อนแก่แหงๆ :~) .....ตื่นเช้ามาก็กินแต่ อเมริกัน เบรคฟาด ที่บริวารจัดหาให้ทุกเช้า เลยลืม.......ของตัวเอง ::006:: คงต้อง กินอิฐ กินหิน กินปุน กินทราย กันแล้วล่ะ ;D หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:33:41 PM ห้ามให้ตายผมก็ไม่เชื่อครับ แค่เห็นรูปก็น้ำลายไหลแล้ว เอ้า... ไม่เชื่อ รมต. อุตฯ แล้วจะเชื่อใครหละคร้าบ............. ลาบเป็ดหน้าปากซอยเจ้าโปรดของผม จะงดขายลาบเป็ดผสมวัตถุอันตรายหรือปล่าว ยังไม่รู้.... เย็นนี้แวะดูหน่อย จิบรีฯ ซักแบน อันตรายสองเท่า.......... ;Dหัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:35:26 PM หาเรื่องให้นักข่าวมีงานทำหล่ะมั้งครับ คิดได้ยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ..GlockGlack.. ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:38:05 PM :P ทุย... ถุย... :P
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: powerboy ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:39:01 PM เฮ้อ เมืองไทย รัฐมนตรีแต่ละคน ดีกันเหลือเกิน
ทั้งโกงกิน ถ้าโกงกินไม่เป็นก็ไม่ฉลาด เฮ้อ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: makarms ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:49:45 PM อะจ๊ากกกกก........... :OO
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 05:56:20 PM บ้านผมที่ตจว. ปลูกไว้หลายสิบกอจะโดนบุกทำลายแบบเป็ดไก่ไข้หวัดนกไหมครับ
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: SingCring ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 06:00:35 PM บ้านผมที่ตจว. ปลูกไว้หลายสิบกอจะโดนบุกทำลายแบบเป็ดไก่ไข้หวัดนกไหมครับ น่าจะต้องขอใบอนุญาตครับ เพราะมีวัตถุอันตรายไว้ในครอบครอง ::005:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นงิ้ว ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 06:08:36 PM บ้านผมที่ตจว. ปลูกไว้หลายสิบกอจะโดนบุกทำลายแบบเป็ดไก่ไข้หวัดนกไหมครับ น่าจะต้องขอใบอนุญาตครับ เพราะมีวัตถุอันตรายไว้ในครอบครอง ::005:: สงสัยงานนี้ประเทศจะเจริญฮวบๆละครับ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 06:10:33 PM ปลูกม้าห้อ ไว้ทำยาดองนิดหน่อยไม่รู้จะผิดกฎหมายรึเปล่า :OO
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: cups ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 06:11:10 PM สงสัยท่านรัฐมนตรี ไม่เคยกินพืชแบบนี้เลยไม่เคยได้รับสารพิษ ร่างกายก็เลยพัฒนาซะสมองไม่มีที่อยู่ ::009:: +1ครับผมว่าแกคงไม่ชอบกินและเขี่ยทิ้งไว้ข้างจาน พอมีอำนาจวาสนาเลยออกคำสั่งแปลกๆเพื่อที่เวลาแกกินอาหารจะได้ไม่มีใครใส่มาในอาหารที่แกจะกินมั้งครับ คำเตือน: ควรกินอาหารให้ครบหมู่เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบโดยเฉพาะผักและผลไม้สด จะได้ไม่มีความคิดแปลกๆเกิดขึ้นในสมอง หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Choro - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 06:29:11 PM :~) :~) :~) คิดได้งั้ยฟะ ตายละ !!! ต่อไปคงไม่ได้กินอีกแล้ว ลาก่อน ปลาจ่อมที่รัก
(http://www.khonkaenlink.info/upload/uploads/c73f0c2b9d.jpg) (http://www.khonkaenlink.info/upload) หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: พราน ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 07:20:33 PM สร้างเงื่อนไขครับ อะไรที่ต้องขออนุญาตผลประโยชน์ก็จะตามมา ::004::
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: สามก๊ง รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 07:21:28 PM พืชเหล่านี้อาจนำไปสกัดเป็นอาวุธเคมีชีวภาพ ฆ่าล้างเผ่าพันธ์มวลหมู่มนุษยชาติทั้งโลกก็ได้นะครับ ท่าน รมต.(ไร้สาระมาตั้งแต่เกิด)
จึงต้องประกาศเป็นวัตถุอันตราย เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน ;D หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 07:22:12 PM ขอให้เป็นเพียงผิดพลาดทางการสื่อสารหรือแปลข้อมูลคลาดเคลื่อนเถอะ ..... มันเป็นไปไม่ได้ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 07:51:06 PM ไม่คิดส่งออกสร้างรายได้ให้ประเทศ ยังจะมาทำเรื่องอีก
แบบนี้เข้าสำนวนที่ว่า "มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ" หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 07:57:36 PM ไอ้บ้า ::006::
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ..GlockGlack.. ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 08:07:30 PM น้ำลายของ รมต. คนนี้น่ากลัวกว่าเยอะ :P
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: คนแปลกหน้า - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 10:27:00 PM เหลือเชื่อ.......ประเทศไทยมี....เป็นรมว.
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: หนวดหิน ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2009, 10:37:11 PM รมต.ของนายกฯเทพๆ คิดแบบนี้ก็เป็นเหมือนกันเหรอ คิดพิเรณฑ์ๆแบบนี้นึกว่าจะมีแต่สมัยทักษิณฯ กลุ่มฯเชียร์ผิดหวังแย่เลย หลังๆนี่โดนไปหลายเรื่องแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: R2D2 ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 12:02:27 AM งงเล็กน้อย..พืชผักทุกชนิดมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรทั้งนั้น สะเดากินแล้วหลับสบายดีมาก ขนาดที่เราบริโภคกันอยู่ไม่น่าจะมีอันตรายนะคับ..ผมว่า
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 12:14:45 AM รมต.ของนายกฯเทพๆ คิดแบบนี้ก็เป็นเหมือนกันเหรอ คิดพิเรณฑ์ๆแบบนี้นึกว่าจะมีแต่สมัยทักษิณฯ กลุ่มฯเชียร์ผิดหวังแย่เลย หลังๆนี่โดนไปหลายเรื่องแล้วเนี่ย ผมเชียร์ครับ ไม่เห็นผิดหวังเลย ......55 ผิดก็ต้องโดนด่า โกงก็ต้องโดนจับ ไม่ใช่หนี่แล้วอ้างว่าตัวเองโดนแกล้ง พวกไม่ยอมรับความจริง เป็นพวกไม่เคารพกฎหมายบ้านเมืองของตัวเอง ถ้าคนที่เข้าข้างทักกี้เป็นเจ้าหน้าที่ ก็เท่ากับหนุนหลังนักโทษหนีคดี หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Pter ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 12:27:12 AM รมต.ของนายกฯเทพๆ คิดแบบนี้ก็เป็นเหมือนกันเหรอ คิดพิเรณฑ์ๆแบบนี้นึกว่าจะมีแต่สมัยทักษิณฯ กลุ่มฯเชียร์ผิดหวังแย่เลย หลังๆนี่โดนไปหลายเรื่องแล้วเนี่ย ผมเชียร์ครับ ไม่เห็นผิดหวังเลย ......55 ผิดก็ต้องโดนด่า โกงก็ต้องโดนจับ ไม่ใช่หนี่แล้วอ้างว่าตัวเองโดนแกล้ง พวกไม่ยอมรับความจริง เป็นพวกไม่เคารพกฎหมายบ้านเมืองของตัวเอง ถ้าคนที่เข้าข้างทักกี้เป็นเจ้าหน้าที่ ก็เท่ากับหนุนหลังนักโทษหนีคดี คริคริ ::005:: ถูกใจ ::002:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 01:23:16 AM บ้านผมที่ตจว. ปลูกไว้หลายสิบกอจะโดนบุกทำลายแบบเป็ดไก่ไข้หวัดนกไหมครับ น่าจะต้องขอใบอนุญาตครับ เพราะมีวัตถุอันตรายไว้ในครอบครอง ::005:: แล้วสิ...............ช่วยไม่ได้ทำตัวไม่น่ารักเอง หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 01:45:21 AM อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 06:24:31 AM แต่อย่างน้อย ประกาศฉบับนี้ ก็สร้างความรู้สีกที่ไม่ดีกับผู้ทราบข่าวไม่น้อยนะครับพี่
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 07:38:57 AM อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ อย่างนี้ชาวบ้านก็ไม่สามารถ ผลิตสารฆ่าแมลงหรือกำจัดวัชพืชจากสมุนไพรไทยพื้นบ้านเองใช่มัยครับ ดูแหมือนเอื้อผลประโยชน์ให้กับนายทุนอีกแล้ว น่าจะทำประชาพิจารณ์ก่อนประกาศใช้นะครับ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: บ่าวอู๋ ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 08:38:35 AM เอ้าแล้ว... ต้ม ลาบ ก้อย จะทำยังไงดี
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: EAK1980 รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 09:55:29 AM อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ อย่างนี้ชาวบ้านก็ไม่สามารถ ผลิตสารฆ่าแมลงหรือกำจัดวัชพืชจากสมุนไพรไทยพื้นบ้านเองใช่มัยครับ ดูแหมือนเอื้อผลประโยชน์ให้กับนายทุนอีกแล้ว น่าจะทำประชาพิจารณ์ก่อนประกาศใช้นะครับ ผมรอดูพวกNGO ว่าจะมาตอบอย่างไร ชอบโวยวายดีนัก ::008:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 10:33:22 AM อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ ฮั่ว กะเจ้าของบริษัทเคมีภัณฑ์ หรือเปล่า ??? ลืมนึกถึง เจตนารมย์ของกฎหมาย ว่าจะออกมาช่วยคน หรือออกมาจับผิดทุกคนกันแน่ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 10:41:45 AM อีกหน่อยเมล็ดน้อยหน่าที่เขานำมาโขลกผสมน้ำทำยาฆ่าเหาให้กับเด็กก็คงโดนไปด้วยแน่เลย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Choro - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 10:51:11 AM เมื่อวานฟังใหม่อีกรอบ ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ต่อไปชาวบ้านที่คิดค้นได้เอง ก็คงผลิตเองไม่ได้หรือถ้าได้
เป็นการเพิ่มภาระให้คนจนหรือเปล่า หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 10:53:22 AM ผมว่า น่าจะให้ ทั่น ได้รับประทาน ไก่ย่างไม้ยี่โถ บ้าง จะได้รู้ว่าอะไรกินได้อะไรกินไม่ได้
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: JUNGLE ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 10:57:46 AM รมต. งี่เง่าครับ... คิดได้ไง... แบบนี้ผลถือว่าลืมกำพืดตัวเอง... เนรคุณต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษครับ...
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 11:25:28 AM อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ อ่านประกาศก่อนครับว่า เขาเขียนว่าอย่างไร........... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF นักข่าวเอย ชมรมแพทย์เอย...... ตำรวจแถวนี้เอย เต้นจนไม่อ่าน...... หน้าสุดท้าย ในตาราง เขาเขียนว่า " ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก แล้วก็จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่ง พรบ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เขาบอกว่า.... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณท์ที่กำหนด.......... แปลง่ายๆว่า ประกาศฉบับนี้ควบคุมเฉพาะการเอาสมุนไพรเหล่านี้มาทำยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฯลฯ ..........จะต้มกิน ทำยา ทำอาหาร ไม่เกี่ยวกับประกาศฉบับนี้........ อย่างนี้ชาวบ้านก็ไม่สามารถ ผลิตสารฆ่าแมลงหรือกำจัดวัชพืชจากสมุนไพรไทยพื้นบ้านเองใช่มัยครับ ดูแหมือนเอื้อผลประโยชน์ให้กับนายทุนอีกแล้ว น่าจะทำประชาพิจารณ์ก่อนประกาศใช้นะครับ ผมรอดูพวกNGO ว่าจะมาตอบอย่างไร ชอบโวยวายดีนัก ::008:: นี่ครับ... พรบ. พระราชบัญญัติ วัตถุอันตราย พ .ศ. 2535 http://www.diw.go.th/law/haz35.html อ่านกันดีๆ....... เอาแค่สองอย่างหลักที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรโดยตรงที่จำเป็นต้องทำยาฆ่าแมลงใช้เอง.......... -ผลิต หมายความว่า ทำ เพาะ ปรุง ผสม แปรสภาพ ปรุงแต่ง แบ่งบรรจุ หรือ รวมบรรจุ -มีไว้ในครอบครอง หมายความว่า การมีไว้ในครอบครองไม่ว่าเพื่อตนเองหรือ ผู้อื่น และไม่ว่าจะเป็นการมีไว้เพื่อขาย เพื่อขนส่ง เพื่อใช้ หรือเพื่อประการอื่นใดและรวมถึงการทิ้งอยู่ หรือปรากฏอยู่ในบริเวณที่อยู่ในความครอบครองด้วย เพราะถ้าประกาศเป็นวัตถุอันตราย จะต้องมีการควบคุมและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์....... มาตรา 18 วัตถุอันตรายแบ่งออกตามความจำเป็นแก่การควบคุม ดังนี้ (1) วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด มาตรา 21 ผูผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ต้องปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบที่ออกตามมาตรา 20(1) (2) และ (3) มาตรา 20 ให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโดยความเห็นของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา (1) กำหนดองค์ประกอบ คุณสมบัติและสิ่งเจือปน ภาชนิบรรจุ วิธีตรวจและ ทดสอบภาชนะ ฉลาก การผลิต การนำเข้า การส่งออก การขาย การขนส่ง การเก็บรักษา การกำจัด การ ทำลาย การปฏิบัติกับภาชนะของวัตถุอันตราย การให้แจ้งข้อเท็จจริง การให้ส่งตัวอย่าง หรือการอื่นใด เกี่ยวกับวัตถุอันตรายเพื่อควบคุม ป้องกัน บรรเทา หรือระงับอันตรายที่จะเกิดแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงสนธิสัญญาและข้อผูกพันระหว่างประเทศประกอบด้วย (2) กำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบสำหรับการดำเนินการ อย่างหนึ่งอย่างใดตาม (1) (3) กำหนดเกณฑ์ค่าคลาดเคลื่อนจากปริมาณที่กำหนดไว้ของสารสำคัญในวัตถุ อันตราย แล้วถ้า รมต. ประกาศห้ามผลิตเพื่อใช้เองหละ ? ทั้งยาฆ่าแมลง ปุ๋ยชีวภาพ แชมพูสระผม ฯลฯ จากวัตถุอันตรายเหล่านี้หละ ? จะโดนอะไร........... มาตรา 71 ผู้ใดไม่ปฎิบัติตามมาตรา 21 มาตรา 22 วรรคสาม มาตรา 41 หรือมาตรา 43 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จำคุกไม่เกินหกเดือน ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเชียวนะครับ...... :OO "อย่าแค่บอกว่า ทำใช้เองในไร่นาตนเองได้ครับไม่ผิด" ฟันธงยังไม่ได้ครับ...... หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: fink ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 11:28:33 AM เวรล่ะ.................ตอนปีใหม่นี่เราทำวัตถุอันตรายไปแจกเหรอนี่
ของชอบซะด้วย . . . . . . . . . . . . . . . . . ไอ่บ้า ::009:: ::009:: ::009:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 11:50:21 AM อีกหน่อยเมล็ดน้อยหน่าที่เขานำมาโขลกผสมน้ำทำยาฆ่าเหาให้กับเด็กก็คงโดนไปด้วยแน่เลย ไม่แก่จริงไม่รู้สูตรนี้นะเนี่ย ::007:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 11:56:14 AM อีกหน่อยเมล็ดน้อยหน่าที่เขานำมาโขลกผสมน้ำทำยาฆ่าเหาให้กับเด็กก็คงโดนไปด้วยแน่เลย ไม่แก่จริงไม่รู้สูตรนี้นะเนี่ย ::007:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 12:17:41 PM กินมาจนอายุ 27 เพิ่งรู้ว่าอันตรายครับ งงเช่นกัน อิอิ ;D
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 12:21:21 PM กินมาจนอายุ 27 เพิ่งรู้ว่าอันตรายครับ งงเช่นกัน อิอิ ;D ครูแหงกินวัตถุอันตราย จนอายุหายไป 10 ปีเลยหรือครับ ? ;Dหัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 12:34:29 PM ไม่อยู่แล้วประเทศไทย ไปกินส้มตำให้ตายๆไปเลยดีกว่า
หัวข้อ: Re: ถอนประกาศพิลึกพืช13 ชนิด หลังทำคนไทยตื่นตระหนก !!? เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 01:59:07 PM http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=123224
.... นั่นไง ถอนซะแล้ว ไม่ศึกษาผลกระทบ ไม่ทำความเข้าใจกับประชาชน ไม่เข้าใจวิถีชาวบ้าน ถ้ายังดื้อดึงอยู่ก็เกินไปหน่อย......... ::001:: ::001:: ::010:: ถอนประกาศพิลึกพืช13 ชนิด หลังทำคนไทยตื่นตระหนก [12 ก.พ. 52 - 12:07] นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าววันนี้ (12 ก.พ.)ถึงการประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช 13 ชนิดที่ไม่ผ่านกรรมวิธี ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เป็นวัตถุอันตรายประเภท 1ว่า ไม่ได้เป็นการทำลายวิถีชีวิตของชาวบ้าน แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้มีการหลอกลวงเกษตรกร เพราะในปัจจุบันมีการหลอกลวงเรื่องการใช้สารชีวภาพ กำจัดศัตรูพืชมากถึง 90% โดยประกาศฉบับนี้จะควบคุมเฉพาะพืชสมุนไพรมาแปรรูปเป็นสารกำจัดและควบคุมทำลายแมลศัตรูพืช อีกทั้งกรมวิชาการเกษตรต้องการลดการนำเข้าสารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืชที่มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดความสับสนกับการออกประกาศของคณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรม ที่กำหนดให้พืชสมุนไพร 13 ชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นวัตถุอันตราย จนเกิดความตื่นตระหนก ทั้งนี้ เป็นเพราะขาดการทำความเข้าใจระหว่างหน่วยงาน ประกาศฉบับนี้ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนหรือบริษัทต่างชาติ เพื่อลดความสับสนของสังคม วันนี้ได้ทำหนังสือเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ทบทวนวิธีการประกาศโดยมีข้อเสนอให้ถอนรายชื่อพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดออกมาก่อน นายสมชาย และว่า จะไม่มีการระบุว่าเป็นวัตถุอันตราย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก รวมทั้งถอนร่างในส่วนของกรมวิชาการเกษตร ที่ต้องให้เกษตรกรแจ้งการผลิตและนำเข้าพืชทั้ง 13 ชนิด ออกมาก่อน เพื่อนำกลับมาพิจารณาใหม่ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: SingCring ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 02:01:28 PM อาเมน
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Chayanin-We love the king ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 02:37:15 PM ยังไม่ทันหายหงุดหงิดกับ สกอ. เกี่ยวกับการแอ็ดมิสชั่น
ก็มีข่าวทำนอง ....นี้ออกมาอีกแล้ว ว่า จะประชดชีวิตด้วยสมุนไพรอันตรายซักหน่อย หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 03:06:15 PM อีกหน่อยเมล็ดน้อยหน่าที่เขานำมาโขลกผสมน้ำทำยาฆ่าเหาให้กับเด็กก็คงโดนไปด้วยแน่เลย ไม่แก่จริงไม่รู้สูตรนี้นะเนี่ย ::007:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Hang ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 03:09:48 PM กินมาจนอายุ 27 เพิ่งรู้ว่าอันตรายครับ งงเช่นกัน อิอิ ;D ครูแหงกินวัตถุอันตราย จนอายุหายไป 10 ปีเลยหรือครับ ? ;Dอีกหน่อยก็คงตายไปเพราะกินพริกนี่แหละ เวร ครับ เวร หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: น้าพงษ์...รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 03:10:40 PM .. >:(..คิดได้ไง.กินมาแต่เด็ก.ป่านนี้มิตายแล้วเร๊อะ.. ::006::
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: SingCring ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 05:39:06 PM กำลังคุยเรื่องนี้ที่ช่อง ๓ ครับ
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ป๊อกแมน ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 07:34:15 PM http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=123224 ว้า... แค่อุ่นเครื่องก็ถอยซะแล้ว กำลังจะเริ่มมันเลยครับ.... นั่นไง ถอนซะแล้ว ไม่ศึกษาผลกระทบ ไม่ทำความเข้าใจกับประชาชน ไม่เข้าใจวิถีชาวบ้าน ถ้ายังดื้อดึงอยู่ก็เกินไปหน่อย......... ::001:: ::001:: ::010:: ถอนประกาศพิลึกพืช13 ชนิด หลังทำคนไทยตื่นตระหนก [12 ก.พ. 52 - 12:07] นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าววันนี้ (12 ก.พ.)ถึงการประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช 13 ชนิดที่ไม่ผ่านกรรมวิธี ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เป็นวัตถุอันตรายประเภท 1ว่า ไม่ได้เป็นการทำลายวิถีชีวิตของชาวบ้าน แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้มีการหลอกลวงเกษตรกร เพราะในปัจจุบันมีการหลอกลวงเรื่องการใช้สารชีวภาพ กำจัดศัตรูพืชมากถึง 90% โดยประกาศฉบับนี้จะควบคุมเฉพาะพืชสมุนไพรมาแปรรูปเป็นสารกำจัดและควบคุมทำลายแมลศัตรูพืช อีกทั้งกรมวิชาการเกษตรต้องการลดการนำเข้าสารเคมีที่ใช้กำจัดศัตรูพืชที่มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดความสับสนกับการออกประกาศของคณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรม ที่กำหนดให้พืชสมุนไพร 13 ชนิด เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นวัตถุอันตราย จนเกิดความตื่นตระหนก ทั้งนี้ เป็นเพราะขาดการทำความเข้าใจระหว่างหน่วยงาน “ประกาศฉบับนี้ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนหรือบริษัทต่างชาติ เพื่อลดความสับสนของสังคม วันนี้ได้ทำหนังสือเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ทบทวนวิธีการประกาศโดยมีข้อเสนอให้ถอนรายชื่อพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดออกมาก่อน” นายสมชาย และว่า จะไม่มีการระบุว่าเป็นวัตถุอันตราย เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก รวมทั้งถอนร่างในส่วนของกรมวิชาการเกษตร ที่ต้องให้เกษตรกรแจ้งการผลิตและนำเข้าพืชทั้ง 13 ชนิด ออกมาก่อน เพื่อนำกลับมาพิจารณาใหม่ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2009, 11:42:50 PM ผมอยากจะบอกว่า ประกาศเรื่องนี้มีมาตั้งแต่ปี 2546 แล้ว......
และประกาศเก่าที่ว่า ระบุว่าพืชเหล่านี้เป็น วัตถุอันตรายชนิดที่ 2..... ฉบับนี้แก้ไขเพิ่มเติมและเปลี่ยนเป็นชนิดที่ 1..... ชนิดที่ 1 กับ 2 ต่างกันอย่างไร..... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่ วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดด้วย วัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ได้แก่ วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครองต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดด้วย ถ้าอ่านดีๆ จะพบว่า ไอ้ประกาศฉบับนี้ มันลดความแรงของประกาศฉบับก่อนครับ..... วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 บังคับอ่อนกว่า ชนิดที่ 2......... (ไม่ต้องแจ้งการครอบครอง แค่การมีอยู่ต้องจัดเก็บ ดำเนินการ ตามข้อกำหนด) จุดประสงค์ของประกาศ คือ กำหนดประเภท วิธีการควบคุมการจัดเก็บ...เคลื่อนย้าย ผลิต ฯลฯ เช่น อะไรเป็นชนิดที่ 1 2 3 4 หรือ ห้ามนำเข้าใกล้เปลวไฟระยะ 50 เมตร ห้ามเก็บในที่ร้อน....ห้ามสะเทินกรด ห้ามกระเทือน.... ฯลฯ เป็นต้น (........เขาไม่ได้ห้ามทำ แต่เขาให้ทำให้มีมาตรฐาน ถ้าทำแบบไม่มีมาตรฐาน ก็ผิดกฎหมาย.......เอาง่ายๆ คุณมีโกดังเก็บพริกเพื่อเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ถ้าคุณจัดเก็บไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน เกิดไฟไหม้ คนที่ได้รับไอพริก ควันพริกทรมาณไหม อันตรายไหม..........จึงมีการกำหนดว่าสารตัวใดอาจทำให้เกิดพิษได้ และควรจะมีการจัดเก็บ ข้อควรระวัง ข้อห้ามอย่างไรต่อไป......) คำว่าวัตถุอันตราย ฟังดูน่ากลัว......แต่อยากจะบอกว่า ลูกเหม็นที่เราใช้กัน เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 2 เราใช้กันที่บ้าน.....ไม่มีปัญหาอะไร.....แต่ถ้าคุณจะผลิตโรงงานลูกเหม็น คุณโดน ประกาศฉบับนี้ บังคับเต็มตัว..... . . . . เรื่องของเรื่องก็คือ คนอ่านประกาศไม่เข้าใจสาระของประกาศ ก็เต้น โหม ประโคมข่าว..... สุดท้ายก็ตีความต่างจากสาระสำคัญของมัน จนกลายเป็นอีกเรื่อง.... ฝ่ายค้านได้ที ก็ยกมาตี ทั้งๆที่ ประกาศฉบับแรกก็รัฐบาลเดิมของคนนั่นแหละที่ทำ ไอ้คนประกาศก็บ้าจี้ แทนที่จะชี้แจง ทำความเข้าใจ ดันกลัวโดนด่า หาเรื่องถอนมันซะเลย.... . . . . เฮ้อ..... หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Bird ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2009, 12:40:46 AM ^
^ ที่รอฟังอยู่ ก็คือคำอธิบายเจตจำนง และความหมายที่ชัดเจนเช่นนี้แหละครับ ขอบคุณ ตาโอ้ค ... + ครับ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: bigbang ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2009, 07:47:32 AM อ่อนประชาสัมพันธ์ไม่อธิบายผลดีผลเสียเป็นขั้นตอน กับ ตีโพยตีพายไม่ฟังให้ชัดเจนก่อน
เป็นของคู่กันสำหรับคนไทยตลอดมา ครับ หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: SDH2th ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2009, 09:10:31 PM 8)...บางที...ของที่มีส่วนดี...ก็เลยเสียไปเลยเพราะ...เอาอคติ...เข้ามาตัดสิน...
...เข้าทำนอง...ไอ้ฟัก...ถูกสังคมตัดสินว่า..เอาเมียพ่อมาทำเมีย...ไปแล้ว... :OO ...สังคมแห่งการเรียนรู้...สังคมแห่งปัญญา...จึงเป็นสังคมในอุดมคติของมนุษยชาติ... ::014:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 10:19:13 AM คนมันชั่ว คิืดถึงผลประโยชน์ตน ยังมาหน้าด้าน ให้ความเห็นใน TV ประมาณมันสุจริตใจ.
การกระทำ คือเครืองชี้เจตนา. ผลประโยชน์ในที่ลับตกได้แก่ใคร มันนั่นแหละ คืออีแอบตัวนั้น. ::002:: ยังมาบิดเบือน อ้างว่ากระทำตามกฎหมาย ::006:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: bkt ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 11:19:56 AM ด้วยความเคารพนะครับพีๆ แม่ง รมต.มันเอาส้น.................................คิดครับ
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 05:24:02 PM อ๊ากส์....ในอาหารมีพิษ ...เจ้าวางยาพิษข้า... :'(
;Dฮ่าๆ ฮ่า ฮ่า.. ;D.เจ้าเสียรู้ข้าจนได้ เซี่ยงเส้าหลง... เจ้าโดนพิษ ลีปลี ข่า ตะไคร้ ละลายกระดูกของข้าแล้ว เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินครึ่งชั่วยาม ..เจ้า เด๊ดสะมอเร่ แน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า 555 ;D มีเพียงราชาพิษปัจฉิมเท่านั้นที่มียาถอนพิษช่วยเจ้าได้ เขาคือ ร.ม.ต.อุจจาหกรรม ไทยแลนด์ เท่านั้น 55555 ;D หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 06:36:12 PM ทำไปได้ ::005::
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: พลปืน ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 06:44:40 PM มีอย่างงี้ด้วยหรือนั่น ของพวกนี้กินมาแต่เล็กแต่น้อยไม่เห็นเป็นไรเลย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 09:24:26 PM ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่า ระดับผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายการเมือง จะด้อยประชาสัมพันธ์เช่นนี้ แต่เหมือนจงใจให้ข่าวที่อึมครึมมากกว่า โดยมีนัยแฝง .... ถ้าไม่มีแรงต้านก็ถือโอกาสตีกินยาวๆไปเลย
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: MP 436 ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2009, 09:54:24 PM ทำไมมันเป็นอย่างงี้ไปได้ ???
หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: STeelShoTS ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2009, 05:33:38 PM ไม่ทราบว่าเท็จจริงอย่างไร.... ฟังหูไว้หู
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000017320 เบื้องหลังคำประกาศอัปยศ ประหารอนาคตสมุนไพร - ทำลายเกษตรวิถีธรรมชาติ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กุมภาพันธ์ 2552 15:00 น. สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ****พลันที่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตรายปี 2535 ตีพิมพ์เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 โดยประกาศให้พืชสมุนไพรจำนวน 13 ชนิดกลายเป็นวัตถุอันตราย คนไทยทุกคนที่ชื่นชอบต้มยำกุ้ง หลงใหลรสชาติของยอดสะเดาน้ำปลาหวาน และชงใบชุมเห็ดเทศดื่มแทนน้ำชาเพื่อบรรเทาโรคเบาหวานและลดไขมันในเส้นเลือด ล้วนแล้วแต่ตั้งคำถามว่า กฎหมายที่มุ่งควบคุมการใช้เคมีเกษตรซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพของคนไทย และสะสมพิษภัยในสิ่งแวดล้อมจนถึงขั้นวิกฤตินั้น ได้ถูกนำมาใช้อย่างฉ้อฉลเพื่อประหัตประหารอนาคตของสมุนไพรไทยซึ่งมีคุณอนันต์อย่างเลือดเย็นได้อย่างไร ? ที่มาและเบื้องหลังของประกาศฉบับอัปยศนี้ ต้องไม่ใช่มาจากบรรดานักวิชาการที่ขลุกอยู่ในห้องแล็บซึ่งผู้บริหารบางคนโยนบาปไปให้อย่างแน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น 1. เงามืดในกรมวิชาการเกษตร ผู้ที่สามารถทำเรื่องใหญ่และแยบยลขนาดนี้ได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนแรกคือนักการเมืองใหญ่ที่วนเวียนยึดกุมอำนาจในกระทรวงเกษตรฯมาอย่างช้านานจนสามารถวางโครงข่ายคนของตัวเองยึดกุมหน่วยงานในกระทรวงนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อีกคนคืออดีตข้าราชการใหญ่ที่ผันตัวเองมาเป็นนักการเมือง ทั้งสองคนนี้มีสายสัมพันธ์ล้ำลึกกับบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ที่ควบคุมการค้าเมล็ดพันธุ์และเคมีการเกษตรของโลก ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้บริหารในกรมสำคัญของกระทรวงแห่งนี้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองและอดีตข้าราชการที่แสวงหาประโยชน์ทำงานใกล้ชิดกับบรรษัทข้ามชาติและบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศ มาโดยตลอด ***นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนปัจจุบัน ตระหนักดีว่า ตนเองก้าวข้ามหัวข้าราชการดีๆ นับสิบนับร้อยคนมาดำรงตำแหน่งนี้ได้เพราะใคร? ทั้งๆ ที่ ถูกสอบสวนในคดีกล้ายาง 90 ล้านต้น และนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในขณะนั้น เตรียมชื่อคนอื่นเพื่อมาดำรงตำแหน่งนี้อยู่แล้ว แต่อิทธิพลของนักการเมืองผู้ใกล้ชิด นายใหญ่ อีกคนมีพลังมากพอที่จะทำให้นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ยอมเกลี้ยกล่อมให้นายสมศักดิ์ เปลี่ยนใจ เพื่อลงนามในคำสั่งแต่งตั้งที่ตนเองลำบากใจในที่สุด ทำไมกรมวิชาการเกษตรจึงมีความสำคัญมากมายถึงขนาดนั้น ? เมื่อสองทศวรรษที่แล้ว ผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตรได้ ต้องเป็นคนในกรมและเป็นนักวิชาการแท้ๆ ที่มีความสามารถและมีภาพลักษณ์ทางวิชาการ กระทรวงทบวงกรมที่มีผลประโยชน์มากและยั่วน้ำลายนักการเมืองทุจริตและข้าราชการจอมโกงคือตำแหน่งผู้บริหารในกรมชลประทาน และกรมส่งเสริมการเกษตร เสียมากกว่า เพราะสองหน่วยงานที่ว่าเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างด้วยเม็ดเงินมหาศาล แต่ขณะนี้สภาพการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง นักการเมืองและข้าราชการจอมโกงได้ทำให้กรมวิชาการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่มีนักวิชาการที่ซื่อสัตย์ต้องมีภาพพจน์ที่แปดเปื้อนเพราะมีโครงการฉาวโฉ่เต็มไปด้วยผลประโยชน์มหาศาลผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเซ็ลทรัลเล็บ โครงการกล้ายาง 90 ล้านต้น โครงการพืชสวนโลก รวมทั้งการผลักดันฝ้ายและมะละกอจีเอ็มโอ จนมาถึงการประหารอนาคตของสมุนไพรไทยอย่างเลือดเย็น เพื่อประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ กรมวิชาการเกษตร กลายเป็นกรมเกรดเอ เพราะกลายเป็นกรมที่จะกำหนดทิศทางและวางกติกาในการใช้เมล็ดพันธุ์และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรษัทเคมีเกษตรข้ามชาติ (Multinational Agro-Industries) สามารถพัฒนาพืชจีเอ็มโอที่กำหนดทางพันธุกรรมได้ว่า เมื่อปลูกเมล็ดพันธุ์ของตนแล้วจะต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตัวเองกำหนดได้ กรมนี้เป็นผู้ดูแล พ.ร.บ.กักพืช ซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยว่าจะให้พืชจีเอ็มโอปลูกได้ในเชิงพาณิชย์หรือไม่ และกรมนี้ยังเป็นผู้ควบคุมการอนุมัติสารเคมีกำจัดพืชทุกชนิดว่าจะให้นำมาขายได้หรือไม่ ภายใต้หลักเกณฑ์อะไร ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาล 2. เงาทะมึนของบรรษัทข้ามชาติ รายงานการวิจัยของกลุ่มเฝ้าระวังบรรษัทเมื่อปี 2007 ระบุว่า มอนซานโต้ และซินเจนต้า คือสองยักษ์ใหญ่ด้านเคมีเกษตรที่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากกิจการด้านเคมีเกษตรและเมล็ดพันธุ์ของโลกมอนซานโต้ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งด้านเมล็ดพันธุ์นั้น ครอบครองตลาดเมล็ดพันธุ์คิดเป็นรายได้ประมาณ 160,000 ล้านบาท/ปี และเป็นยักษ์ใหญ่เคมีเกษตรอันดับ 5 ครอบครองตลาด 120,000 ล้านบาท/ปี ในขณะที่คู่แข่งของพวกเขาคือซินเจนตานั้น เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเมล็ดพันธุ์อันดับ 3 มีรายได้จากการขายเมล็ดพันธ์ 65,000 ล้านบาท/ปี แต่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเคมีเกษตรอันดับ 2 ครอบครองสัดส่วนการตลาดสูงถึง 230,000 ล้านบาท/ปี ใกล้เคียงกับไบเออร์ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่หมายเลขหนึ่ง ***บรรษัทเหล่านี้ได้รวมตัวกันจัดตั้งสมาคมที่เกี่ยวกับสารเคมี และเทคโนโลยีชีวภาพ โดยดึงเอาอดีตข้าราชการใหญ่ที่มีอิทธิพลทางนโยบายมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ หรือเป็นที่ปรึกษา เพื่อผลักดันนโยบายที่ตนประสงค์ทั้งที่ทำอย่างเปิดเผยและไม่เปิดเผย ****สำหรับในประเทศไทย ข้อมูลปี 2551 ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุว่า ผลประโยชน์จากเคมีเกษตรนั้นมีมูลค่าสูงนับแสนล้านบาทเช่นเดียวกัน โดยแบ่งเป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 18,566 ล้านบาท และปุ๋ยเคมี 78,944 ล้านบาท สำหรับตลาดเมล็ดพันธุ์พืชในเมืองไทยนั้น ถ้าหากบริษัทข้ามชาติเหล่านี้สามารถผลักดันเมล็ดพันธุ์ลูกผสมหรือพันธุ์พืชจีเอ็มโอเข้ามาเปิดตลาดได้เป็นผลสำเร็จ นักวิชาการจากกลุ่มเอฟทีเอว็อทช์คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าตลาดสูงมากกว่า 100,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่าผลประโยชน์จากสารเคมีการเกษตรและเมล็ดพันธุ์จะมียอดขายรวมกันหลายแสนล้านบาท นี่คือผลประโยชน์มหาศาลที่บริษัทเหล่านี้จะได้รับ ! ผลประโยชน์มหาศาลนี้ย่อมเกาะเกี่ยวกับอำนาจทางการเมือง ดังนั้นจึงมีเรื่องร่ำลือกล่าวหากันว่า ในระหว่างการเลือกตั้งซ่อมวุฒิสมาชิกวุฒิสภาเมื่อปี 2544 นั้น มีรายงานข่าวว่า ผู้สมัครเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกคนหนึ่งได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนเงินสูงเป็นหลักสิบล้านบาทจากบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ทั้งนี้เพื่อตอบแทนที่ได้ผลักดันนโยบายปลูกพืชจีเอ็มโอและเป็นกระบอกเสียงในการปกป้องการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างเปิดเผยทั้งๆ ที่กระแสสังคมเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ในอนาคตอันใกล้ บรรดาบรรษัทข้ามชาติ และบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศจะกระโจนเข้ามาสู่การลงทุนเพื่อปลูกพืชพลังงานและพืชอาหารในพื้นที่มหาศาล เม็ดเงินจำนวนหลายหมื่นล้านบาทจนถึงหลายแสนล้านบาท จากตะวันออกกลาง จีน และประเทศอุตสาหกรรมอื่นๆ จะหลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทยและภูมิภาคนี้ กรมวิชาการเกษตร ในอนาคตจะมีบทบาทในการกำหนดพื้นที่ ชนิดของพืช และมาตรฐานของพันธุ์พืช สำหรับรองรับการลงทุนมหาศาลดังกล่าว แค่กล้ายาง 90 ล้านต้นยังทำให้ข้าราชการขี้โกงและนักการเมืองขี้ฉ้ออิ่มเอมได้ขนาดนี้ แล้วการลงทุนหลายหมื่นล้านบาทจนถึงหลักแสนล้านบาทในอนาคตจะหอมหวลขนาดไหน ? นี่คือเหตุผลเบื้องหลังที่ต้องผลักดันคนของตัวเองเพื่อกุมอำนาจ สืบทอดอิทธิพล กลบเกลื่อนบาดแผลในอดีต และวางแผนโครงการใหญ่ๆ ในอนาคต 3. ขจัดนักเกษตรกรรมยั่งยืนให้พ้นทางเอานักส่งเสริมจีเอ็มโอเข้ามาแทน ย้อนกลับไปเมื่อปี 2542 ขณะที่นายชนวน รัตนวราหะ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้เขียนตำรา เกษตรกรรมยั่งยืน และศรัทธาในวิถีเกษตรกรรมที่ไม่ใช้สารเคมี คือผู้ได้รับคาดหมายว่าจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เนื่องจากอาวุโสสูงสุดและมีความเหมาะสมในทุกด้าน แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หลายคนคาดการณ์ **** การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมคณะเพื่อไปดูงานพืชจีเอ็มโอที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับคณะผู้บริหารของบริษัทข้ามชาติ และข้าราชการคนสำคัญคนหนึ่งในกระทรวงเกษตรก่อนหน้าการแต่งตั้งอธิบดีคนใหม่ได้ไม่นาน อธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนใหม่พลิกผันกลายเป็นชื่อของ นายอนันต์ ดาโลดม สมใจ นายธีรยุทธ กันตรัตนากุล เพื่อนสนิทของเขาซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้บริหารคนสำคัญของบริษัทมอนซานโต้ ประเทศไทย และกำลังผลักดันให้มีการปลูกทดลองฝ้ายจีเอ็มโอ นายธีรยุทธ เสนอให้กระทรวงเกษตรจัดตั้งกองทุนฝ้ายมูลค่า 1,800 ล้านบาท เพื่อใช้เงินภาษีของประชาชนซื้อเมล็ดพันธุ์ฝ้ายจีเอ็มโอจากบริษัทแจกจ่ายแก่เกษตรกร แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลวลง เมื่อถูกองค์กรภาคประชาชนร้องเรียนว่า การแต่งตั้งกรรมการทดสอบและส่งเสริมฝ้ายจีเอ็มโอเป็นไปโดยไม่ชอบเพราะมีการแต่งตั้งนายธีรยุทธ และพนักงานของมอนซานโต้รวม 3 คนเป็นคณะกรรมการด้วย มิหนำซ้ำยังพบว่าฝ้ายจีเอ็มโอซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบว่ามีพิษภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมหรือไม่ หลุดลอดออกไปปลูกในพื้นที่เกษตรกรรม นายเนวิน ชิดชอบ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในขณะนั้นไหวตัวทัน รีบชิงแต่ตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวน ประกาศขึงขังว่าจะเอาคนผิดมาลงโทษ แต่เรื่องราวทั้งหลายแหล่กลับเงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ***มิหนำซ้ำ ชื่อของ ธีรยุทธ กันตรัตนากุล ผู้บริหารยักษ์ใหญ่ของบรรษัทข้ามชาติ อดีตผู้อำนวยการองค์การสวนยาง ซึ่งถูก ป.ป.ช. ตั้งกรรมการสอบสวนในข้อหาแทรกแซงเรื่องราคายาง กลับได้ดิบได้ดีเมื่อนายเนวิน ชิดชอบ ผลักดันให้กลายเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร จำกัด (เซ็นทรัลแล็บ) ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวฉาวโฉ่เช่นเดียวกัน และเป็นหนึ่งในคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เข้ามาตรวจสอบและส่งเรื่องต่อให้ ป.ป.ช.สอบสวนต่อหลังจาก คตส.หมดวาระลง ในขณะที่กระทรวงเกษตรฯ ของไทย ไม่อาจหาหลักฐานเอาผิดกับการทุจริตเกี่ยวกับเรื่องฝ้ายจีเอ็มโอได้ แต่กรณีเดียวกันที่เกิดในประเทศอินโดนีเซียนั้น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง (Securities and Exchange Commission) พบหลักฐานว่า บริษัทมอนซานโต้ได้ติดสินบนเจ้าหน้าที่ระดับสูงอินโดนีเซียระหว่างปี 2540-2545 เพื่อให้มีการอนุญาตปลูกฝ้ายจีเอ็มโอในประเทศดังกล่าว บริษัทมอนซานโต้ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 1.5 ล้านบาทแก่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีในข้อหาสนับสนุนคอรัปชั่น ***ในขณะที่ในประเทศไทย กลุ่มคนสีเทาในแวดวงเกษตรยังคงโลดเล่นในสนามทางการเมือง หมุนเวียนสับเปลี่ยนเข้าไปเป็นบอร์ดบริหารของคณะกรรมการชุดต่างๆ ภายในกระทรวงเกษตรฯ และข้ามไปยังรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงอื่นๆ ทั้งที่มีประวัติถูกสอบสวนในเรื่องทุจริต บางคนได้รับการยกย่องให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่นของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อันเก่าแก่ นี่เป็นความอ่อนแอของสังคมไทยโดยแท้ 4. ล้ม พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน ฟื้นนโยบายปลูกพืชจีเอ็มโอ ในช่วงรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ จุลลานนท์ เป็นช่วงเวลาการต่อสู้อย่างถึงพริกถึงขิงระหว่างบรรษัทข้ามชาติ กับขบวนการเกษตรกรรมตามวิถีธรรมชาติ และแน่นอนว่าฝ่ายขบวนการเกษตรกรรมยั่งยืนและผู้ผลักดันให้เกิดระบบอาหารที่ปลอดภัยกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ร่วมกับเครือข่ายอโศก และขบวนการเกษตรกรรมอินทรีย์ ภายใต้การสนับสนุนทางวิชาการของ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ผลักดัน พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน โดยให้มีการจัดเก็บภาษีจากสารเคมีการเกษตรที่ทำให้เกิดอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บริโภคเพื่อนำมาสนับสนุนเกษตรกรที่ทำเกษตรกรรมที่คำนึงถึงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่นายอานันต์ ดาโลดม อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตรและวุฒิสมาชิกจากสุราษฎร์ธานี ที่มีนายสมชาย ชาญณรงค์กุลเป็นลูกน้องคนสนิท รวบรวมบริษัทค้าปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรทั่วประเทศ เดินหน้าออกมาคัดค้านการผลักดันกฎหมายดังกล่าวอย่างเต็มสูบ โดยอ้างว่าเกษตรกรจะเป็นผู้เดือนร้อนจากมาตรการดังกล่าว จนในที่สุด นายธีระ สูตะบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งไม่นิยมผักอินทรีย์แต่ชอบพืชจีเอ็มโอมากกว่าสบโอกาสแช่เข็งร่างกฎหมายดังกล่าว จนรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หมดวาระไปในที่สุด *** ในระยะเวลาเดียวกันนั้น นายอนันต์ ดาโลดม ยังเป็นหัวเรือใหญ่ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ซึ่งมีคณะกรรมการบริหารประกอบไปด้วยบริษัทเคมีเกษตรและจีเอ็มโอ เช่น มอนซานโต้ ดูปองต์ และซินเจนต้า ร่วมกับนายธีระ สูตะบุตร ผลักดันให้รัฐบาลสุรยุทธ์ เดินหน้าให้มีการอนุญาตปลูกทดลองพืชจีเอ็มโอในระดับไร่นาอย่างแข็งขัน พวกเขาทำสำเร็จไปชั้นหนึ่ง โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2551 ประกาศให้สามารถทดลองพืชจีเอ็มโอได้ แต่ด้วยแรงต่อต้านจากนายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้หาญกล้าประกาศใช้ซีแอลยา และแรงสนับสนุนจากเครือข่ายวิชาการและภาคประชาชน ทำให้มติคณะรัฐมนตรีครั้งนั้น มีข้อความต่อท้ายว่า การขออนุญาตปลูกทดลองพืชจีเอ็มโอสามารถทำได้ในสถานที่ราชการเท่านั้น อีกทั้งก่อนหน้าการทดลอง จะต้องมีรายงานผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อม เปิดให้มีการประชาพิจารณ์ และต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ องค์กรสาธารณประโยชน์ และภาควิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามของบรรษัทข้ามชาติไม่มีทางหมดสิ้นง่ายๆ คาดการณ์ว่า กลุ่มบรรษัทข้ามชาติจะอาศัยโอกาสที่มีอธิบดีกรมวิชาการเกษตรคนใหม่ ผลักดันให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโออีกครั้งในเร็วๆ นี้ 5. ทำลายอนาคตสมุนไพรไทย เพื่อผลประโยชน์ของบรรษัทข้ามชาติ คำประกาศที่ระบุให้พืชสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตราย ซึ่งหากใครนำไปใช้ผลิตเพื่อขายเป็นสารกำจัดศัตรูพืช และควบคุมการเจริญเติบโตของพืช โดยหากไม่ไปจดแจ้งจะมีความผิดถึงขึ้นติดคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาท นั้น สร้างผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อภาพลักษณ์ของสมุนไพร และต่อขบวนการเกษตรกรรมอินทรีย์ ซึ่งขณะนี้กำลังขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง และมีแนวโน้มจะสร้างผลกระทบแก่บรรดาอุตสาหกรรมเคมีข้ามชาติในอนาคตอันใกล้ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ปฏิเสธว่า เขาไม่ได้รู้ต้นสายปลายเหตุมาก่อน ที่กรมวิชาการเกษตรระบุให้พืช 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตราย เพราะเขาเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้ไม่นาน มีเหตุให้ควรตั้งคำถามกับบทบาทของเขาหลายประการ ประการแรก เขาไม่ทราบเลยหรือว่า ประกาศในราชกิจจานุเบกษานั้นตีพิมพ์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ในขณะที่ข้อคัดค้านของตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ในขณะที่เขาเข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ***ประการที่สอง เขาไม่ทราบเลยหรือว่า การชงเรื่องของกรมวิชาการเกษตรนั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสมัยนายธีรชัย แสนแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นักการเมืองที่มาจากกลุ่มการเมืองที่ผลักดันให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดี ***ประการที่สาม เขาลืมไปแล้วหรือว่าในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 สมาคมผู้ประกอบธุรกิจสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ที่มีนายอานันต์ ดาโลดม อดีตอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เจ้านายเก่าของเขา ผู้ซึ่ง เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมดังกล่าว ได้เข้าพบและมีการประชุมเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย การแก้ไขปัญหาสารกำจัดศัตรูพืชด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกาศควบคุมสารสมุนไพร 13 ชนิด ที่เขาอ้างว่าประกาศเพื่อมิให้เกษตรกรถูกหลอกลวงจากสารกำจัดศัตรูพืชด้อยคุณภาพ ? ประการที่สี่ เขาตอบคำถามได้หรือไม่ว่าทำไมต้องเร่งประกาศอย่างรวบรัด โดยใช้จดหมายเวียนขอความเห็นชอบแทนที่จะนัดประชุมตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น ? ***ประมาณการว่าหนึ่งในสี่ของเกษตรเริ่มหันมาใช้สมุนไพรเพื่อควบคุมแมลงเพื่อลดต้นทุนการผลิต และเหตุผลความปลอดภัย แนวโน้มนี้กำลังสร้างผลกระทบต่อตลาดสารเคมีการเกษตร สังคมไทยต้องจับตากระบวนการประหารอนาคตของสมุนไพรและเกษตรกรรมตามวิถีธรรมชาติครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพราะพวกเราไม่ได้ต่อสู้กับกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองสีเทาเท่านั้น แต่เรากำลังต่อสู้กับบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ยืนทมึนอยู่เบื้องหลังพวกเขาด้วย หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2009, 06:13:12 PM ขอบคุณมากครับ คุณ STeelShoTS..
เพราะ ข้าราชการบางคนที่ชั่ว และนักการเมืองบางคนที่เลว มันถึงได้่บังอาจ เร่งกระทำ โดยอาศัยช่องทางกฎหมาย บทความ ที่เป็นการสืบค้น และชี้ให้เห็นพฤติการณ์เลวทราม.. จะส่งผลให้มีการ เร่งจี้ไปทาง ปปช. เพื่อจะลากตัวมันออกมา.. จัดการมันตามกฎหมาย. ให้สมกับการกระทำเลวของมัน ::002:: หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2009, 06:42:17 PM มีอีกหนึ่งมุมมองครับ.....
ความน่าสนใจอยู่ที่ ประกาศบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 มีการระบุเรื่องนี้ไว้แต่ใช้คำว่า "เช่น" แต่ฉบับ 2552 ใช้คำว่า "ได้แก่" และมีการเปลี่ยนแปลงชั้นจาก ชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่ 1 จึงต้องกลับมาดูแต่ต้นว่า ตอน 2546 นั้น ประกาศฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ใด และเมื่อเปลี่ยนแปลงข้อความตอน 2552 มีจุดประสงค์ใด.... คงต้องตีความจุดมุ่งหมายของประกาศก่อน.... ส่วนจะมีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่ คงต้องดูว่า ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ "ความคิดเห็นที่ 37 อืม เป็นข่าวที่น่าสนใจดี เพิ่งได้เห็นหลังจากที่ไปต่างจังหวัดหลายวัน เราคงต้องอ้างหลักการเดิมที่ว่า มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" "อยากดูว่าคนในชาตินั้นเป็นอย่างไร ให้ดูจากหนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุด" อย่าลืมตั้งสติทุกครั้งที่ได้รับข่าว เดี๋ยวนี้ข่าวเดียวกันต้องพยายามหาข้อมูลจากหลายแห่ง สื่อไม่ได้ลงรายละเอียดทุกประเด็น มักเขียนแต่ประเด็นที่ตนเองสนใจ และเข้าใจเท่านั้น จนบางครั้งสิ่งที่เข้าใจ อาจทำให้เป็นข่าวที่คลาดเคลื่อนได้ ประกาศที่เป็นปัญหา มีชื่อว่า ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 18 ง ราชกิจจานุเบกษา 3กุมภาพันธ์ 2552 หน้า 4 โดยมีนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศ ณ วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552 จากบางข่าวที่ออกว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 นั้น จึงน่าสงสัยว่าคืออะไร เป็นวันที่เริ่มมีการหารือหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ประกาศนี้ออกเมื่อ 29 มกราคม 2552 แน่นอน (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 3 กุมภาพันธ์ 2552 มีผลบังคับใช้ 4 กุมภาพันธ์ 2552) ดู http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2552/E/018/4.PDF และในประกาศดังกล่าวที่หน้าสุดท้าย เขียนว่า ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก จะเห็นว่าเฉพาะที่มีวัตถุประสงค์ ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช โดยมีเงื่อนไข คือ มีคุณสมบัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนด (กำลังรอประกาศและตรวจสอบข้อมูล) ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นอาหาร ก็จะไม่เข้าข่ายวัตถุอันตรายซึ่งจะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 แต่อย่างใด แต่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 แทน ผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่มีความก้ำกึ่งที่อาจอยู่ในความดูแลตามกฎหมายหลายฉบับ ก็ต้องดูวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์นั้นว่าใช้เพื่ออะไร และมีการปฏิบัติเพื่อให้เข้ากับหลักเกณฑ์ตามกฎหมายใดด้วย ยกตัวอย่างเช่น 1. วิตามิน อาจจะจัดเป็นยา (เข้าข่าย พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) อาหารโดยเป็นรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522) เครื่องสำอาง (พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2535) เป็นต้น 2. warfarin (วาร์ฟาริน) หากมีวัตถุประสงค์เพื่อกินป้องกันลิ่มเลือดอุดตัน ก็จะจัดเป็นยาอันตราย ตาม พ.ร.บ.ยา แต่ถ้าใช้เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดสัตว์กัดแทะ ก็จะเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 (ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ด้วยเหตุนี้ประเด็นเรื่องที่ใช้เป็นอาหารจึงหมดไป คงเหลือแต่ประเด็นที่ใช้เพื่อกำจัดศัตรูพืช ซึ่งรอความชัดเจนต่อไป แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 52 22:30:08 จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ - [ 11 ก.พ. 52 22:12:19 ]" "ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า เดิมประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 นั้นใช้คำว่า สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกัน กำจัดแมลง ศัตรูพืชและสัตว์ และเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 มีการตัดข้อความ (ไม่แน่ใจว่าจงใจหรือเปล่า แต่คิดว่าคงจะจงใจ เพราะว่าในฉบับที่ 3-5 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อความแต่อย่างใด) เป็น เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกัน กำจัดแมลง ศัตรูพืช โดยยังคงเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 เหมือนเดิม แต่ปัจจุบันจัดให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 กับวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้น อันไหนมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกว่ากัน ก็ต้องตอบว่า วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้นเข้มงวดน้อยกว่า เพราะ วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 เป็นวัตถุอันตรายที่ผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือไว้ในครอบครองต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด โดยไม่ต้องขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาต ส่วนวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นั้น เข้มงวดมากที่สุด เพราะอันตรายที่ห้ามมิให้ผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง (พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 มาตรา 43) โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว หากพิจารณาถึงประวัติศาสตร์ของประกาศก่อนหน้านั้นให้ดีมีข้อสังเกตคือ 1. เพิ่มความชัดเจนจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 ที่กำหนดสารสกัดจากพืชไว้อย่างกว้าง ๆ โดยใช้คำว่า เช่น แต่ประกาศในปัจจุบันเป็นการกำหนดพืชทั้ง 13 ชนิดแทน ซึ่งจะมีขอบเขตแคบกว่า 2. เดิมในปี พ.ศ.2546 กำหนดเพียงสารสกัดจากพืชเท่านั้น แต่ประกาศปัจจุบันให้รวมถึงผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซึ่งกินความหมายกว้างกว่า (ซึ่งต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียต่อไป) 3. เดิมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ปัจจุบันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ความเข้มงวดน้อยกว่า อาจจะขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป ว่าเลข 1 นี่มันต้องสุดยอดนะ แต่กฎหมายอ่านแล้วตีความได้อย่างนั้นจริง ๆ ไม่เชื่อดูคำอธิบายเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก็ได้ (ดู http://www.fda.moph.go.th/psiond/newweb/psiond-web/) 4. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่เคยมีประกาศตั้งแต่ พ.ศ.2546 แล้ว แต่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือมองเห็นข้อมูลนี้หรือเปล่า จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ - [ 11 ก.พ. 52 23:50:36 ] " "ความคิดเห็นที่ 39 ประเด็นซึ่งเกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิด จากที่ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้ 1. เพิ่มความชัดเจนจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 ที่กำหนดสารสกัดจากพืชไว้อย่างกว้าง ๆ โดยใช้คำว่า เช่น ซึ่งหมายความว่าสามารถเป็นพืชชนิดใดก็ได้โดยไม่จำกัดชนิด แต่ประกาศในปัจจุบัน ใช้คำว่า ได้แก่ และกำหนดพืชทั้ง 13 ชนิดแทน ซึ่งจะมีขอบเขตแคบกว่า 2. เดิมในปี พ.ศ.2546 กำหนดเพียงสารสกัดจากพืชเท่านั้น แต่ประกาศปัจจุบันให้รวมถึงผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซึ่งกินความหมายกว้างกว่า (ซึ่งต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียต่อไป) 3. เดิมเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ปัจจุบันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ความเข้มงวดน้อยกว่า 4. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่เคยมีประกาศตั้งแต่ พ.ศ.2546 แล้ว ซึ่งความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2538 เสียด้วยซ้ำ แต่ประกาศใน พ.ศ.2538 ได้ยกเลิกไป และใช้ฉบับ พ.ศ. 2546 แทนในปัจจุบัน แต่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือมองเห็นข้อมูลนี้หรือเปล่า ประเด็นที่ต้องพิจารณาถึงข้อดี ข้อเสีย มีดังนี้ เดิมประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2546 กำหนดเพียง สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกัน กำจัดแมลง ศัตรูพืชและสัตว์ และเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 แต่ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 กำหนดเป็นผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ ประกาศฉบับใหม่นี้มีความเข้มงวดมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องแยกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 การนำสารสกัดจากพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช ผลจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ฉบับนี้ส่งผลให้สารสกัดจากพืชซึ่งมิได้มีการปลี่ยนแลงทางเคมี เปลี่ยนสถานะซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งมีความเข้มงวดน้อยกว่ามาก กรณีที่ 2 การนำผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช ผลจากประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ส่งผลให้ชิ้นส่วนพืชซึ่งเดิมไม่ถูกกำหนดเป็นวัตถุอันตราย กลายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ซึ่งจะมีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีความยุ่งยากในการนำมาใช้งานมากขึ้น เป็นการเพิ่มภาระของเกษตรกร และอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายของเกษตรกรได้ การจะต่อสู้หรือถกเถียงในกรณีที่อาจจะเกิดขึ้น ต้องถกเถียงในกรณีที่ 2 จะมีความเหมาะสมมากกว่าการถกเถียงในประเด็นอื่น แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น อาจทำได้ดังต่อไปนี้ 1. ยกเลิกข้อความในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2552 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพรนี้เสียทั้งหมด เนื่องจากทำความเข้าใจได้ยาก หรือมีขั้นตอนที่อาจเกิดความยุ่งยาก แต่ทั้งนี้การยกเลิกต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในระยะยาวด้วย 2. ปรับแก้ข้อความจาก ชิ้นส่วนของพืช เป็น สารสกัดจากพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกันกำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก คื่นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก เพราะว่าการใช้ข้อความ ชิ้นส่วนจากพืช นั้นมีความหมายกว้างมาก ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการนำมาใช้ แต่หากแก้ไขเป็น สารสกัดจากพืช จะมีขอบเขตแคบกว่า ทั้งนี้อาจปรับลดจำนวนชื่อพืชดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม และการใช้คำว่า ได้แก จะทำให้ขอบเขตของพืชที่ใช้แคบลงกว่าการใช้คำว่า เช่น ด้วย ส่วนการกำหนดจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 นั้นเป็นการลดความเข้มงวดลงมาแล้ว จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติมากนัก และยังช่วยในการติดตามปัญหาในระยะยาวได้ด้วย ส่วนประเด็นที่ว่ามีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่นั้น หากมองในแง่ดี ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ประกาศที่ออกมาอาจเกิดจากการมองไม่รอบด้านเสียมากกว่า จากคุณ : ผู้สังเกตการณ์ - [ 13 ก.พ. 52 13:52:20 ]" หัวข้อ: Re: รมต.อุตสาหกรรม อย่ากินสะเดาน้ำปลาหวาน ปรุงอาหารอย่าใส่ พริก ข่า ตะไคร้ มันมีพิษ เริ่มหัวข้อโดย: หินเหล็กไฟ ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2009, 09:04:26 PM อ่านจนตาลายเลยครับ ::010:: ::010::
|