เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: pira ที่ มีนาคม 15, 2009, 11:18:06 PM



หัวข้อ: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: pira ที่ มีนาคม 15, 2009, 11:18:06 PM
เซฟทีคัท

พอดีได้อ่านกระทู้ของสมาชิก เรื่องให้ระวังอุปกรณ์ไฟฟ้าชอร์ต
จึงอยากติดตั้ง  เซฟทีคัท  เพื่อแก้ไขป้องกันในเรื่องไฟฟ้าชอร์ต
ไม่ทราบว่า  ท่านใดพอมีคำแนะนำเกี่ยวกับอุปกรณ์ดังว่ามานี้หรือไม่ครับ
ตลอดจนถึงกับความคุ้มค่าของอุปกรณ์ กับเงินที่จ่ายไปในยุคที่ต้องระวังการใช้จ่าย
ขอบคุณกับคำตอบล่วงหน้าครับ   :)


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: charoen ที่ มีนาคม 16, 2009, 12:52:35 PM
  การติดตั้งเซฟทีคัท  จะตัดเวลาไฟช๊อตในระบบไฟฟ้าหรือไฟดูดตัวเรา แต่ไม่ได้เป็นเครื่องป้องกันนะครับ
 การที่จะให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ระบบไฟฟ้าต้องป็นแบบ 3 สาย  คือมีสายไฟ (PHASE),
  สาย นิวตรอนและสายดิน (GROUND) แต่ทั้งนี้การเดินสายไฟฟ้าต้องได้มาตราฐาน ไม่เช่นนั้นถ้ามีจุดไหนรั่ว
  ลงดินเครื่องจะตัด หรือเปิดได้สักพักก็จะตัดโดยเฉพาะจุดที่ติดตั้งในที่มีความชื้น หรือโดนฝน เช่นไฟรั้ว.ไฟสนาม
  ซึ่งการตรวจสอบจะทำได้ลำบาก จึงต้องป้องกันตั้งแต่เริ่มเดินสายไฟฟ้าครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: thitipun-รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 01:13:23 PM
  การติดตั้งเซฟทีคัท  จะตัดเวลาไฟช๊อตในระบบไฟฟ้าหรือไฟดูดตัวเรา แต่ไม่ได้เป็นเครื่องป้องกันนะครับ
 การที่จะให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ระบบไฟฟ้าต้องป็นแบบ 3 สาย  คือมีสายไฟ (PHASE),
  สาย นิวตรอนและสายดิน (GROUND) แต่ทั้งนี้การเดินสายไฟฟ้าต้องได้มาตราฐาน ไม่เช่นนั้นถ้ามีจุดไหนรั่ว
  ลงดินเครื่องจะตัด หรือเปิดได้สักพักก็จะตัดโดยเฉพาะจุดที่ติดตั้งในที่มีความชื้น หรือโดนฝน เช่นไฟรั้ว.ไฟสนาม
  ซึ่งการตรวจสอบจะทำได้ลำบาก จึงต้องป้องกันตั้งแต่เริ่มเดินสายไฟฟ้าครับ

ใช่ครับ ถ้าเป็นบ้านเก่าจะมีปัญหามาก กรณีมีปัญหาส่วนมากจะปรับมาที่ direct ทำให้ไม่มีผลต่อการป้องกัน จะให้ดีติดตั้งสายกราวด์เฉพาะจุดที่ตัวอุปกรณ์ดีกว่าครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 16, 2009, 01:25:29 PM
แนะนำ แบบ เซอร์กิต เป็นจุด ๆ ไป จะดีกว่า รวมทั้งระบบครับ



หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ต่อครับ ที่ มีนาคม 16, 2009, 02:48:06 PM
ถ้ารวมทั้งระบบ แนะนำให้ทำตั้งแต่แรกครับ

ตู้เย็น แอร์ เครื่องปั๊มน้ำ ไฟสนาม ปลั๊กต่างๆ เดินไฟให้ดีๆ ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพครับ

ไม่งั้นจะประสบปัญหาไฟตัดบ่อยๆอย่างที่หลายๆท่านบอกครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 07:50:04 PM
ไม่น่าเรียกว่า เซฟทีคัตนะครับ....เหมือนเราเรียกผงซักฟอกว่า "แฟ้บ"

หรือเรียกการถ่ายเอกสารว่า "ซีร็อกซ์"

เซฟทีคัต เป็นชื่อยี่ห้อหนึ่งเท่านั้น

ไอ้เจ้าตัวนี้มันมีชื่อเต็มว่า Ground Fault Interrupter Switch หรือเรียกสั้น ๆ ว่า F.I. Switch หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Earth Leakage Switch  หมายถึง สวิตช์ที่ตัดวงจรออกเมื่อมีการรั่วลงดิน  เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากกระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน

มันจะตัดเมื่อมีกระแส "รั่วลงดิน" เท่านั้นนะครับ

ถ้าท่าน เท้าแห้ง มือแห้ง ยืนบนยางรถยนต์แห้ง ๆ ที่เป็นฉนวน อย่างดี แต่ "ดันทะลึ่ง" ดันเอามือ 2 ข้าง ไปจับสายไฟ 220 โวลต์ ข้างละเส้น กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวท่านจนท่าน "สอบชิงทุนไปนอกโลก" โดยที่เจ้า F.I. Switch ไม่ว่าจะยี่ห้อใด ก็ตาม จะไม่ตัดวงจรเลย

มันจะตัดวงจรเมื่อกระแสไหลผ่านตัวท่านลงดินจนมีค่ามากพอที่มันจะทำงานเท่านั้น เราเรียกค่านั้นว่า ค่ากระแสรั่ว  ซึ่งมักมีค่าระหว่าง 5-30 mA 

บางยี่ห้อนำเซอร์กิตเบรคเกอร์ชนิดมีปุ่มหรือกระเดื่อง "Test" อยู่ด้านล่าง มาเป็นตัวตัดวงจรเมื่อกระแสรั่ว มันจึงทำหน้าที่ได้ 2 อย่างคือ ตัดเมื่อไฟรั่วลงดิน กับ ตัดเมื่อใช้กระแสเกินพิกัด ซึ่งยี่ห้อ "เซฟทีคัต"ก็เป็นยี่ห้อหนึ่งในหลาย ๆ ๆ  ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้





 






 





หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 08:06:39 PM
ข้อเสียของการใช้ F.I. Switch แบบตัวเดียวตัดทั้งบ้าน โดยเฉพาะแบบที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มความไวในการตัดของค่ากระแสรั่ว เช่นที่ 5 mA นั้น คือ เมื่ออากาศชื้นตามสภาพอากาศของประเทศสยามเรา  จะมีการรั่วของกระแสไฟฟ้าผ่านฉนวนของสายไฟฟ้าไปทั่วบ้านในปริมาณต่ำมาก ๆ ๆ ๆ ๆ  ซึ่งเป็นปกติ แต่บางครั้งความไวของมันทำให้ F.I. Switch ทำงาน ตัดไฟ ทั้งบ้าน ทั้ง ๆ ที่ระบบของเราปกติ  พอตัดวงจรออกหมดแล้วสับ F.I. Switchg-มันก็ต่อวงจร แต่พอเราค่อย ๆ ต่อวงจรย่อยในบ้านเราทีละวงจร พอโยกต่อเบรคเกอร์วงจรย่อยหลาย ๆ วงจรเข้ามันก็จะตัดอีก ต้องปรับค่ากระแสรั่วให้สูงขึ้นมันจึงไม่ตัด

ข้อแนะนำ
ควรติดตั้งระบบสายดินที่สมบูรณ์แบบในระบบไฟฟ้าเพื่อการป้องกันที่ดีที่สุด แต่หากจะใช้ F.I. Switch ควรใช้เฉพาะกับเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอย่าง ๆ ไปเท่านั้นเช่น เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น แล้วเลือกซื้อแบบที่ตัดวงจรที่กระแสรั่ว 15 mA ซึ่งจะราคาตัวละประมาณ 500กว่าบาทเท่านั้นทั้งนี้ต้องใช้ร่วมกับระบบสายดินด้วย

มาตรฐานการป้องกันไฟดูดเมื่อกระแสรั่วลงดินที่ดีที่สุดคือติดตั้งระบบสายดินที่ถูกต้อง ส่วน F.I.Switch ควรเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมระบบสายดินเป็นจุด ๆ เท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องทำน้ำอุ่นทุกเครื่องจะเขียนว่า ให้ติดตั้งสายดินเพราะหากไม่ติดตั้งสายดินและเกิดไฟรั่วขณะอาบน้ำ "ได้สอบชิงทุนไปนอกโลก" แน่นอน

โปรดสังเกตุว่า การไฟฟ้าบังคับให้ต้องมีระบบบสายดินในบ้านที่ขอไฟใหม่ แต่ไม่บังคับให้ติด F.I.Switch




หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 08:31:56 PM
ไม่น่าเรียกว่า เซฟทีคัตนะครับ....เหมือนเราเรียกผงซักฟอกว่า "แฟ้บ"

หรือเรียกการถ่ายเอกสารว่า "ซีร็อกซ์"

เซฟทีคัต เป็นชื่อยี่ห้อหนึ่งเท่านั้น

ไอ้เจ้าตัวนี้มันมีชื่อเต็มว่า Ground Fault Interrupter Switch หรือเรียกสั้น ๆ ว่า F.I. Switch หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Earth Leakage Switch  หมายถึง สวิตช์ที่ตัดวงจรออกเมื่อมีการรั่วลงดิน  เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากกระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน

มันจะตัดเมื่อมีกระแส "รั่วลงดิน" เท่านั้นนะครับ

ถ้าท่าน เท้าแห้ง มือแห้ง ยืนบนยางรถยนต์แห้ง ๆ ที่เป็นฉนวน อย่างดี แต่ "ดันทะลึ่ง" ดันเอามือ 2 ข้าง ไปจับสายไฟ 220 โวลต์ ข้างละเส้น กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวท่านจนท่าน "สอบชิงทุนไปนอกโลก" โดยที่เจ้า F.I. Switch ไม่ว่าจะยี่ห้อใด ก็ตาม จะไม่ตัดวงจรเลย

มันจะตัดวงจรเมื่อกระแสไหลผ่านตัวท่านลงดินจนมีค่ามากพอที่มันจะทำงานเท่านั้น เราเรียกค่านั้นว่า ค่ากระแสรั่ว  ซึ่งมักมีค่าระหว่าง 5-30 mA 

บางยี่ห้อนำเซอร์กิตเบรคเกอร์ชนิดมีปุ่มหรือกระเดื่อง "Test" อยู่ด้านล่าง มาเป็นตัวตัดวงจรเมื่อกระแสรั่ว มันจึงทำหน้าที่ได้ 2 อย่างคือ ตัดเมื่อไฟรั่วลงดิน กับ ตัดเมื่อใช้กระแสเกินพิกัด ซึ่งยี่ห้อ "เซฟทีคัต"ก็เป็นยี่ห้อหนึ่งในหลาย ๆ ๆ  ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้








ใช่เลยครับ ที่บ้านใช้ไฟ ๓ Phase ติดตั้ง ยี่ห้อ เซฟทีคัท ระดับ ๕,๑๕, ๒๕ mA  และ่ต่อตรง โดยมีเบรคเกอร์ แยก
อุปกรณ์ อีก ๒๔ จุด ไว้ใช้สำหรับตัดไฟแยกเป็นจุด ๆ กรณี ต้องยุ่งเกี่ยวกับไฟ  แต่เมื่อเกิดไฟลัดวงจร
ไฟรั่ว ไฟดูด เครื่องจะตัดไฟดับทั้งบ้าน  จะต้องไป ผลัก F.I. Switch..

ผมเคยถูกไฟจากเครื่องทำน้ำร้อนดูด ขณะเผลอฉีดน้ำเพื่อทำความสะอาด
แรงดูด รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยโดน ตัวกระตุกชา และ เซฟทีคัท ตัดทันทีช่วยเอาไว้ ตอนนั้นตั้งไว้ที่ ๑๕ mA

เวลาหน้าฝน อากาศชื้น ถ้าเผลอตั้งไว้ที่ ๕ mA  เซฟทีคัท จะตัดประจำ.  ;D


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: J ที่ มีนาคม 16, 2009, 10:17:57 PM
ขออนุญาตจขกท.ถามเพิ่มเติมด้วยครับ
1.breaker ทำงานอย่างไรครับ 
2.แล้วกรณีเราถูกไฟดูด เบรกเกอร์จะทำงานไหมครับ
3.ไฟไหม้ทีเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรนี่เบรกเกอร์จะช่วยป้องกันได้ไหมครับ ::014::


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 16, 2009, 10:58:47 PM

circuit breaker หมายถึง อุปกรณ์ที่ทำงาน เปิดและปิดวงจรไฟฟ้า แบบไม่อัตโนมัติ แต่สามารถเปิดวงจรได้อัตโนมัติ ถ้ามีกระแสไหลผ่าน เกินกว่าค่าที่กำหนด โดยไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น




ฟิวส์กับเบรคเกอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เหมือนกัน คือ ตัดตอนระบบไฟฟ้าออกจากโหลด เมื่อโหลดมีค่ากระแสเกินพิกัด ของอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ที่ฟิวส์และเบรคเกอร์

ฟิวส์และเบรคเกอร์ ใช้หลักการตรวจจับที่เหมือนกัน คือ การตรวจจับเฉพาะกระแส ( ไม่พูดถึงอุปกรณ์ตัวพ่วงต่างๆที่อยู่ที่เบรคเกอร์
under Voltage , Shunt trip )


ฟิวส์แตกต่างจากเบรคเกอร์ตรงที่ ฟิวส์เมื่อทำการตัดวงจรออกแล้ว ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ ต่างจากเบรคเกอร์ ตรงที่สามารถ รีเซ็ท ค่าแล้วสามารถใช้งานได้ต่อไปอีก
ข้อดีของฟิวส์ คือ การให้ความเสถียรภาพ ในการตัดวงจรได้ดีกว่า เบรคเกอร์ ฉะนั้นในการออกแบบระบบที่ต้องการเสถียรภาพในการตัดวงจร ค่อนข้างสูง จึงต้องมีการนำเอาฟิวส์มาต่อร่วมกับเบรคเกอร์ โดยมีการ Co-ordinate กัน ให้เบรคเกอร์ทำการตัดวงจรก่อน แต่ ถ้า เบรคเกอร์ไม่ตัด ฟิวส์จะทำหน้าที่ตัดวงจรเอง


ไฟดูด ถ้ากระแสเกิน ก็ตัดครับ  แต่ ตัวเรา รับกระแส ไปก่อนแล้ว
ไฟไหม้ ที่เกิดจากการลัดวงจร   เบรกเกอร์ตัดครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: indojeen@รักในหลวง ที่ มีนาคม 16, 2009, 11:16:31 PM
แต่ละท่านอธิบายมาพอสมควร

ไอ้ตัวที่เจ้าของกระทู้  ผมว่าไม่สมราคาที่จ่ายครับ

เอาแค่ตัวนี้  เหลือเฟือครับ

http://www.pu14.com/Home/square-d


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: pira ที่ มีนาคม 16, 2009, 11:32:16 PM
ขอขอบคุณทุกท่านกับคำตอบ และข้อเสนอแนะ
ขออนุญาตเรียนถามต่อครับว่า
ถ้าสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า  ที่วางสายผ่านหน้าบ้านเป็นแบบ 2 เส้น
จึงเดาว่า เป็น 2 เฟส  ดังนี้ ถ้าเดินสายไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นแบบ 3 เส้น
จะสอดคล้องกันกับ 2 เฟสของการไฟฟ้าหรือไม่ครับ   :)


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: indojeen@รักในหลวง ที่ มีนาคม 17, 2009, 12:12:27 AM
ขอขอบคุณทุกท่านกับคำตอบ และข้อเสนอแนะ
ขออนุญาตเรียนถามต่อครับว่า
ถ้าสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า  ที่วางสายผ่านหน้าบ้านเป็นแบบ 2 เส้น
จึงเดาว่า เป็น 2 เฟส  ดังนี้ ถ้าเดินสายไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นแบบ 3 เส้น
จะสอดคล้องกันกับ 2 เฟสของการไฟฟ้าหรือไม่ครับ   :)

ภายในบ้านถ้าเป็นแบบสองเพสก็ไม่มีปัญหาครับ
เพราะเดินสามเส้น  อีกเส้นต่อลงดินซะ  เดี่ยวนี้ขออนุญาติ
สร้างบ้าน หรือขอไฟใหม่  เค้าบังคับให้มีกราวน์ดดินแล้วครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 17, 2009, 11:14:53 AM
บ้านอยู่อาศัยทั่วไปหรือกิจการขนาดเล็กเช่นร้านก๋วยเตี๋ยว หรือร้านสะดวกซื้อจะเป็นระบบไฟฟ้าแบบ 1 เฟส 2 สาย 220 โวลต์ ครับ

ระบบไฟฟ้าแรงต่ำในบ้านเราจะมีเพียง 2 ระบบเท่านั้นคือ

1. ระบบ 1 เฟส 2 สาย 220 โวลต์ ประกอบด้วยสายนิวตรอล (Neutral)หรือ N  และ Line หรือ L โดยสาย N จะใช้สายสีขาวหรือเทาเสมอ (ยกเว้นช่างชาวบ้านมักเข้าใจผิดมานานนับศตวรรษ "ทะลึ่ง" ใช้สีดำเป็นสาย N )  ส่วนสาย L เป็นสายที่มีไฟ จะใช้สี "ดำ" เสมอ อันนี้ก็ยกเว้นช่างชาวบ้านหลายคนด้วยที่ใช้สีเทาแล้วยังดื้อเถียงคอเป็นเอ็นอีก 

2. ระบบ 3 เฟส 4 สาย  380/220 โวลต์ ประกอบด้วย สายนิวตรอล  สาย L1 สาย L2 และสาย L3 หากวัดแรงเคลื่อนไฟฟ้าระหว่าง สาย L เส้นใดเส้นหนึ่งกับสาย N จะได้ 220 โวลต์ แต่ถ้าวัดแรงเคลื่อนระหว่าง L ด้วยกันจะวัดได้ 380 โวลต์

ทั้งนี้สาย N นั้นการไฟฟ้าจะต่อลงดินไว้ที่ตรงหม้อแปลงไว้แล้ว มันจึงไม่มี่ไฟ "จับได้ กอดได้  จูบได้ อมได้ ไฟไม่ดูด"  ส่วนสาย L นั้นมีไฟ 220 โวลต์เมื่อเทียบกับสาย N หรือเทียบกับ "ดิน"

ถ้าเรามีระบบสายดินที่สมบูรณ์ของเราเอง จะทำให้ระบบไฟ 1 เฟสของเรามี 3 สาย คือ L, N และ E  หรือในระบบไฟ 3 เฟส จะมี 5 สายคือ L1, L2, L3, N และ E

การมีระบบสายดินที่สมบูรณ์ทั้งระบบ  ก็เพียงพอที่จะป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่วผ่านตัวเราลงดินแล้วครับ

   
   
     




 


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ENOLA GAY ที่ มีนาคม 17, 2009, 07:00:31 PM
เพื่อนๆตอบได้ละเอียดดีครับ ผมเพิ่มเติมให้อีกนิดๆหน่อยๆนะครับ

เราอาจจะจัดลักษณะการตัด ( Trip ) ได้จาก 3 สาเหตุหลักๆที่ใกล้ตัวการใช้งานแบบบ้านอยู่อาศัยได้ดังนี้

1) ตัดเมือกระแสเกิน  เนื่องจากอุปกรณ์กินกระแสมากผิดปรกติ ซึ่งทางวิศวกรรมเรียก Over-load
2) ตัดเมื่อกระแสเกิน  เนื่องจากการลัดวงจร  ทางวิศวกรรมเรียก Short Circuit
3) ตัดเมื่อเกิดไฟรั่ว ( Earth Leak หรือ Ground Fault )

Over-load กับ Short Circuit ดูเหมือนจะคล้ายกัน เพราะตัดเมื่อกระแสเกิน  แต่ก็ต่างกัน กล่าวคือ 

Overload จะเกินไม่มาก เช่น CB ( Circuit Breaker ) 10 A. หากกระแสเกินเป็น 15 A จะใช้เวลาประมาณ 1 นาทีจึงจะตัด หากเกินสูงขึ้นไปถึง 20 A. ก็จะตัดในเวลาที่เร้วขึ้นคือประมาณ 10 วินาที  ลักษณะ Overload นี้มักจะเกิดขึ้นในกรณี อุปกรณ์ไฟฟ้ามีความผิดปรกติจนกินกระแสเกินสเปคของอุปรณ์นั้นๆ  ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆเช่น เลื่อยไฟฟ้า  หากเราป้อนชิ้นงานเข้าไปมากๆ จะทำให้เลื่อยเกิดอาการ Overload ทำให้ดึงกระแสเกินจากปรกติ เป็นอันตรายทั้งกับอุปกรณ์และสายไฟ  หรือกรณีเปิดปั้มน้ำแล้วเกิดท่อดูดน้ำดูดโดนก้อนกรวดเข้าไปติดในใบพัด เป็นต้น   การที่ Overload ไม่ตัดเร็วเพราะ กระแสไม่ได้สูงขึ้นมากจนต้องรีบตัด อีกทั้งอาการ Overload อาจจะเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วหายไป เค้าจึงออกแบบให้การทำงานเป็นเช่นนี้ครับ  ผิดกับ ...

Short Circuit  กรณีนี้กระแสจะพุ่งขึ้นเร็วมาก เกิดจากการที่ขั้ว Line และ N มาลัดวงจรเจอกันโดยไม่ผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆเลย ตามบ้านอาจสูงถึง 6,000 - 10,000 A. ในเสี้ยววินาที  ตามโรงงานอาจถึง 35,000 - 65,000 A.   จึงต้องรีบตัดให้เร็ว  หากกระแสเกินขึ้นไปถึง 5 เท่า ของพิกัด CB ตัวนั้น เช่น CB 10 A. หากพบกระแสเกินไปจนถึง 50 A. CB จะตัดภายในเวลาเพียง 0.01 วินาทีเท่านั้นครับ  หากหลายเท่ากว่านี้ก็จะสั้นลงเหลือ 0.005 วินาที  เพราะหากช้า สายไฟไหม้ ตามมาด้วยบ้านไฟไหม้ครับ

อุปกรณ์ใน CB ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนนึงทำหน้าที่ตัด Overload ( มักใช้ Bi-Metal เป็นตัวสั่งให้ตัด )  อีกส่วนทำหน้าที่ตัด Short Circuit ( ตัวเล็กๆใช้อุปกรณ์คล้าย Soleniod และตัวใหญ่ใช้ Solid state หรือ Electronic สั่งตัด)

* การกำหนดขนาด Ampere ของ CB ซึ่งเรียกกันว่า Amp trip นั้น ต้อง ... ต้อง  ไม่มี Amp trip สูงกว่าค่าที่สายไฟฟ้าในวงจรนั้นทนได้  มิฉะนั้น  สายไฟจะไหม้ก่อนที่ CB จะตัด

ส่วนการตัดเมื่อไฟรั่วนั้น  ปัจจุบัน ใครที่ยังไม่ตายเพราะถูกไฟดูดต้องถือว่ามีโอกาสป้องกันตัวเองได้ง่ายขึ้น เพราะอุปกรณ์มีให้หาใช้ได้แพร่หลาย หาง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก  การไฟฟ้าฯเองก็ได้ออกกฎให้บ้านที่ปลูกสร้างใหม่ต้องมีสายดินแล้ว  ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองเรื่องที่ว่ามา ในประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าตื่นตัวและบังคับใช้มาเป็นหลายสิบปีก่อนนี้แล้วครับ

ผมเคยไปสัมนาในต่างประเทศเมื่อสัก 10 กว่าปีก่อน  มีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายประเทศ  ถึงตอนที่เค้าเสวนากันเรื่องระบบ Grounding หรือสายดินของแต่ละประเทศ  ทุกประเทศก็เล่าให้ฟังว่าของตนเป็นระบบไหน  พอถึงตาผม  ...  รู้ว่าตอบไปก็อายเค้า แต่ก็เลี่ยงไม่ได้  จำต้องบอกไปว่า  ไม่มีสายดิน  โห แต่ละคนตาลุกด้วยความแปลกใจ เพื่อนชาวสิงคโปร์บอก อือ ค่าของชีวิตคนในประเทศคุณช่างน้อยจริงๆนะ น่าเสียดาย  ฮ่าๆๆ

อย่างที่เพื่อนๆกล่าวมาถูกต้องแล้วครับ  ให้ดีต้องมีทั้งสายดิน และ อุปกรณ์ตัดไฟดูด  ( Earth Leak Circuit Breaker )  เสริมอีกนิดว่า แท่งกราวน์ ( Ground Rod ) ควรยาวไม่น้อยกว่า 8 ฟุตนะครับ  เชื่อว่าเกือบทุกบ้านยาวไม่ถึง  บ้านผมเองก็จำไม่ได้ว่าตอนนั้นช่างใส่ขนาดไหนให้ แต่ก็เชื่อว่าไม่ถึง เร็วๆนี้จะหา 8 ฟุตมาซ้ำลงไปอีกต้นครับ

เดี๋ยวมาต่อเรื่องตัวตัดไฟดูดอีกนิดนึงครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: J ที่ มีนาคม 17, 2009, 07:35:32 PM
กระทู้นี้ได้อ่านง่ายได้ความรู้จริงๆครับ ขอบคุณทุกท่านครับ ::014::
ขออนุญาตจขกท.ถามคุณenola gayครับว่าground rodจำเป็นต้องวางแนวดิ่งหรือไม่ครับ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าground ของเราใช้ได้หรือไม่ครับผมเคยถามผู้รับเหมาว่าจะรู้ได้ไงเขาบอกว่าต้องใช้เครื่องวัดพิเศษต้องไปขอยืมจากไฟฟ้าจังหวัดจริงหรือครับ  :-\อืม......หรือว่าให้ภรรยาลองเอานิ้วเปียกๆแหย่ปลั๊กไฟดู ถ้าไม่ตายแสดงว่าผู้รับเหมาเป็นคนซื่อสัตย์ ::008::


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ENOLA GAY ที่ มีนาคม 17, 2009, 08:01:11 PM
กระทู้นี้ได้อ่านง่ายได้ความรู้จริงๆครับ ขอบคุณทุกท่านครับ ::014::
ขออนุญาตจขกท.ถามคุณenola gayครับว่าground rodจำเป็นต้องวางแนวดิ่งหรือไม่ครับ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าground ของเราใช้ได้หรือไม่ครับผมเคยถามผู้รับเหมาว่าจะรู้ได้ไงเขาบอกว่าต้องใช้เครื่องวัดพิเศษต้องไปขอยืมจากไฟฟ้าจังหวัดจริงหรือครับ  :-\อืม......หรือว่าให้ภรรยาลองเอานิ้วเปียกๆแหย่ปลั๊กไฟดู ถ้าไม่ตายแสดงว่าผู้รับเหมาเป็นคนซื่อสัตย์ ::008::

ต้องปักแนวดิ่งครับ  การตรวจความสมบูรณ์ของ Ground rod ทางกายภาพก็ดูว่ามันฝังแน่นมั๊ย สายที่ต่อยังแน่นอยู่มั๊ย  แต่ที่สำคัญคือในทางไฟฟ้าครับ  เครื่องวัดที่ว่าเรียก Ground Tester หรือ Earth Resistance Tester ครับ  ในชุดของอุปกรณ์มีแท่งโลหะตัวนำมา 2 แท่ง  นำไปปักห่างจาก Ground rod ระยะ 5- 10 ม. จะมีสายไฟจากเครื่อง 3 เส้น ต่อไปยังแท่งโลหะที่ว่าทั้งสองแท่ง และที่ Ground rod เพื่อให้เครื่องอ่านค่าครับ  ดูจะยุ่งยากสำหรับบ้านเรือนทั่วไป ยิ่งห้องแถวยิ่งไม่รู้จะไปปักอีก  2 แท่งที่ไหน  ส่วนใหญ่แล้วจะถูกใช้กับโครงการพวกโรงงาน อาคารสูงครับ  ถ้าไม่มีเจ้าตัวนี้  อาจใช้วิธีนี้ครับ

1) ใช้มิเตอร์ ตั้งการวัด OHM  ขั้วนึงจับที่ Ground อีกขั้วจับที่แป๊บน้ำ ค่ายิ่งใกล้ศูนย์ยิ่งดีครับ  แต่ถ้ามันไม่กระดิกเลยแสดงว่ากราวน์หลุดแล้วครับ  หรือ

2) ใช้มิเตอร์ ตั้งการวัด Volt  ปลดสาย N ออกจาก Ground ซึ่งมักถูกต่อกันที่ตู้จ่ายไฟ ( Load Center, Panel board ) ซึ่งอาจจะยุ่งยากอีกนิด  ขั้วนึงต่อที่ L อีกขั้วต่อที่ Ground  ถ้าอ่านค่าแรงดันได้ 220 V ก็อนุมานได้ว่า Ground ยังดีอยู่ครับ  ( ห้ามสัมผัสจับโดนขั้วใดขั้วหนึ่งนะครับ จะโดนดูดเอาครับ  แต่ข้อแรกสัมผัสได้ไม่อันตรายครับ )

เป็นเรื่องเล่าขานกันอย่างติดตลก(ร้าย)ว่า  บางงานหากวิศวกรผู้ตรวจรับงานไม่เท่าทันผู้รับเหมา  ก่อนที่จะทำการตรวจค่ากราวน์  ผู้รับเหมาจะหาสารละลายกรดอ่อนๆเทแถวๆรอบๆแท่งกราวน์ เพื่อให้ได้ค่าที่ดีขึ้น ทดสอบผ่านฉลุย  แต่นานๆเข้ามันก็แย่ลง  น่าเกลียดมากครับพวกนี้  ;D


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ มีนาคม 17, 2009, 09:49:13 PM
อุปกรณ์พวกนี้ไม่น่าใช้ครับ   ผมต้องขับรถไปบ้านญาติเพื่อเปิดสวิชท์บ่อยๆ   มันอาจดีเกินไปฟ้าผ่าใกล้ๆก็ตัดไฟรั่วนิดหน่อยก็ตัด    ถ้าเรารีเซ็ทเป็นก็ไม่เป็นไรครับ   แต่มันกวนใจจังอีตอนไม่รู้ทำไมมันตัด


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ENOLA GAY ที่ มีนาคม 18, 2009, 01:30:57 AM
อุปกรณ์พวกนี้ไม่น่าใช้ครับ   ผมต้องขับรถไปบ้านญาติเพื่อเปิดสวิชท์บ่อยๆ   มันอาจดีเกินไปฟ้าผ่าใกล้ๆก็ตัดไฟรั่วนิดหน่อยก็ตัด    ถ้าเรารีเซ็ทเป็นก็ไม่เป็นไรครับ   แต่มันกวนใจจังอีตอนไม่รู้ทำไมมันตัด

ขอบคุณคุณ lek มากเลยครับที่เล่าประสบการณ์นี้มา ทำให้ผมนึกเรื่องนึงออก และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆด้วยครับ

เรื่องมีอยู่ว่า อุปกรณ์ตัดเมื่อไฟดูดพวกนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท  เรียกว่า  Class  มี Class AC  และ Class A

กรณีที่คุณ lek ประสบพบมามีความเป็นไปได้สูงว่าเป็น Class AC ครับ  จึงเกิด Nuisance Trip ( ตัดทั้งๆที่ไม่ได้เกิดปัญหาขนาดเท่าที่ควรจะตัด หรือ ตัดไวเกินไป )  ซึ่งอุปกรณ์ Class AC จะราคาถูกกว่า Class A  ดังนั้น เพื่อความเที่ยงตรงกว่า จึงแนะนำให้เลือก Class A ครับ  นอกจากตัวอักษรที่ระบุ Class แล้ว  ดูได้จากสัญลักษณ์ดังนี้ครับ


(http://img106.imageshack.us/img106/2526/classaf.jpg) (http://img106.imageshack.us/my.php?image=classaf.jpg)



(http://img106.imageshack.us/img106/2549/classa.jpg) (http://img106.imageshack.us/my.php?image=classa.jpg)



ทีนี้มาเพิ่มเติมอีกหน่อยเรื่อง Earth Leak Protection Device

อุปกรณ์พวกนี้ก็จะมีหน้าตาคล้าย CB ( Circuit Breaker ) ครับ  แต่จะมีข้อสังเกตนิดนึงที่แตกต่างคือ มักจะมีปุ่มสีเหลืองเพิ่มขึ้นมา  ไว้สำหรับ Test ทดสอบว่ายังตัดได้ไหม  เวลาเรากดปุ่มเหลืองนี้ ตัวอุปกรณ์จะจำลองสถานการณ์ไฟรั่วให้ตัวเอง หากตัวมันทำงานเรียบร้อยดี มันก็จะตัด ( Trip ) ให้เราเห็นทันทีครับ  ในทางกลับกัน  หากกดแล้วมันเฉย  อันตรายแล้วครับ  สมควรเปลี่ยนตัวใหม่ให้เร็วที่สุด  ที่พูดมานี้ ท่านที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นคงพอจะคุ้นๆว่า เครื่องของเราก็มีปุ่มให้กด Test เหมือนกันนี่  ใช่ครับ  ทำงานเหมือนกัน มีหน้าที่เหมือนกันกับที่ผมเพิ่งเล่ามาเลยครับ

อุปกรณ์พวก CB หรือ Earth Leak Protection ในขนาดหรือระดับที่ใช้ตามบ้าน แบ่งตามกายภาพหรือรูปลักษณ์จะมี 2 แบบอีก คือแบบ Plug-in และแบบ Din rail

ในตามบ้านทั่วไปผมเชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 80-90 % เป็นแบบ Plug-in ครับ  ท่านลองดูตู้ไฟในบ้าน ถ้าเป็นยี่ห้อ Square-D นั่นฟันธงไปเลยว่าเป็นแบบ Plug-in    คือตัว CB หรือ Earth Leak จับกดลงไปในฐานได้เลย     แต่แบบ Din rail จะคล้องตัวมันกับรางที่เรียกว่าราง DIN Rail แล้วเดินสายกันอีกที ส่วนตัวผมชอบ DIN ครับ เพราะถ้าเราขันสกรูให้แน่น มันค่อนข้างแน่นอน แต่แบบ Plug-in มันเสียบลงไปแล้วอาศัยแรงสปริงหนีบไว้ ใช้ไปนานๆ ความร้อนที่เกิดขึ้นมีผลครับ  แรงกดหายไป เกิดการอาร์ค เสียหายได้เหมือนกัน  ก่อนเกิดเหตุร้ายแรงอาจส่งเสียงหึ่งๆแบบเสียงฮัมให้ได้ยินก่อน  เมื่อมีโอกาสเข้า Home Pro หรือร้านไฟฟ้าลองขอเค้าดูก็จะพอเข้าใจครับ


เลยไปโน่น  กลับมาที่ Earth Leak ดีกว่านะครับ  อุปกรณ์นี้แบ่งได้อีกครับ คือ แบบที่มี CB ในตัว กับ ไม่มี CB ในตัว

จำได้นะครับว่า CB ทำหน้าที่อะไร  ... ตัดเมื่อกระแสเกิน ( Overload และ Short circuit )  ดังนั้น Earth Leak ที่มี CB ในตัวก็จะครอบคลุม 3 หน้าที่เลย คือ ตัดเมื่อ

1) กระแสเกินอันเนื่องมาจาก Overload
2) กระแสเกินอันเนื่องมาจาก Short Circuit
3) ไฟรั่ว

อันนี้มีชื่อเรียกกันได้หลายแบบ เช่น RCBO ( Residual Current Operated Circuit Breaker ) หรือ ELCB ( Earth Leak Circuit Breaker )  จะเห็นได้ว่ามักจะมีคำว่า Circuit Breaker ปนอยู่ด้วยเพราะตัวมันรวมเอา CB เข้าไว้ด้วยกัน  และแน่นอน ต้องแพงกว่าแบบที่ไม่มี CB ในตัว


ส่วน Earth Leak ที่ไม่รวม CB ไว้ในตัวก็จะตัดต่อเมื่อ ไฟรั่ว  เท่านั้นครับ มักจะถูกเรียกว่า RCD ( Residual Current Device )


แล้วจะเลือกใช้อย่างไร  ?

นึกภาพตู้ไฟของท่านนะครับ  สมมติว่าท่านไม่เคยใช้ RCD หรือ ELCB มาก่อนเลย  เจ้า CB ทั้งหลายในตู้ไฟของท่านก็จะทำหน้าที่ตัดเมื่อกระแสเกินให้อยู่แล้ว ( ภาวนาขอให้ช่างใส่ให้ถูกขนาดก็แล้วกัน อิอิ )  ตัดประเด็นหน้าที่ของ CB ไปก่อนเพราะมีอยู่แล้ว     มองย่อยลงไปในสาขา หรือ วงจร หรือ Branch circuit ... สมมติว่าตัวที่จ่ายไฟไปยังปลั๊กไฟทั้งบ้าน ( บางบ้านอาจจะแบ่งเป็นวงจร 1 = ปลั๊กชั้นล่าง,   วงจร 2 = ปลั๊กชั้นบน  ด้วยจุดประสงค์ว่า หากไฟช็อตชั้นล่างก็ให้ตัดแต่ชั้นล่าง  ช็อตชั้นบนก็ตัดแต่ชั้นบน จะได้ไม่วูบไปพร้อมๆกันทั้งหลัง แถมยังรู้ได้ด้วยว่าต้นเหตุที่ช็อตอยู่ชั้นไหน )  หากเราต้องการจะเพิ่มความสามารถในการ "ตัดเมื่อไฟรั่ว" เราก็เพิ่มแต่ RCD โดยต่อหลัง CB ก็ได้แล้วครับ  ( ต้องรื้อตู้ไฟกันหน่อย )

หรืออย่างเครื่องทำน้ำร้อนแบบก๊อกผสม เช่นของ SIEMENS หรือ Stiebel Eltron มักจะไม่มี RCD มาให้เหมือนเครื่องทำน้ำอุ่นของ Panasonic ...ฯลฯ  เราก็อาจจะซื้อเจ้า RCB ไปติดดักหน้าก่อนไฟฟ้าจ่ายเข้าเครื่องฯก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องไปรื้อตู้ไฟ

ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่เพื่อนๆแนะมาว่าไม่น่าติด RCD ไว้คุมทีเดียวทั้งบ้าน เพราะอุปกรณ์แต่ละตัว แต่ละจุด อาจจะรั่วได้จุดละเล็กละน้อย พอรวมๆกัน 15 mA อาจจะไม่อยู่ ตัดเรื่อย เราก็ต้องเพิ่มขึ้นไป หรือหงุดหงิดเข้าตั้งที่ Direct แย่เลย ไม่ตัดเลย ถึงคราวเคราะห์ก็สอบชิงทุนไปนอกโลกเลย ( ขอยืมใช้นะครับ อิอิ )

เมื่อเราแยก RCD จุดละตัว โชนละตัว เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นละตัว ทำให้เราเลือกค่ากระแสรั่วให้ตัดได้ต่ำ อันนำมาซึ่งความปลอดภัยสูงสุด หาซื้อต่ำได้เท่าไหร่ยิ่งดีครับ ตลาดบ้านเราหาได้ต่ำถึง 6 หรือ 10 mA ครับ  รอให้รั่ว 30 mA ผมว่าไม่ตายเพราะไฟดูดก็อาจจะตายเพราะกระตุกจนหัวฟาดพื้นครับ

หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะครับ   


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ธำรง ที่ มีนาคม 18, 2009, 06:05:30 AM

ขอบคุณทุกความรู้ โดยเฉพาะคุณENOLA GAYครับ
อยากรู้ว่าการกระเพื่อมของแรงดันไฟฟ้ามีผลให้Earth Leak Circuit Breakerทำงานผิดปกติด้วยหรือไม่ครับ
เมื่อสองเดือนก่อนผมมีปัญหาตัดบ่อยจนต้องปรับเป็นDirectไว้ ว่าจะรอวันว่างมาตรวจสอบ
พอการไฟฟ้ามาเปลี่ยนยกหม้อแปลงใหม่ในหมู่บ้าน(แทนตัวเดิมที่เข้าใจว่ารวน) ปัญหาผมหมดไป ใช้งานได้เป็นปกติ
เกือบได้รื้อสายไฟทั้งบ้านแล้ว  :<<



หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: หลวงริน - รักในหลวง ที่ มีนาคม 18, 2009, 06:32:09 AM
ได้ความรู้มากเลยสำหรับคนกำลังปลูกบ้านเช่นผม

บวก 1 ให้ทุกคำถามและทุกคำตอบทุกท่านครับ :D


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: กบ ที่ มีนาคม 18, 2009, 07:56:04 AM
ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ในตอนเช้าของวันที่ 18 มีนาคม 07.30 น.ก่อนเข้าทำงาน


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: cups ที่ มีนาคม 18, 2009, 09:08:17 AM
บ้านผมเดินสามสาย มีเซอกิตเบรคเกอร์แยกเป็นโซนๆ และติดเซฟทีคัทด้วย ปัญหาก็คือถ้าฝนตกหนักๆเซฟทีคัทจะตัดเอง ต้องเปลี่ยนเป็นต่อตรงจนกว่าฝนจะหยุดตกจึงเปลี่ยนกลับ น่ารำคราญพอควร แต่ก็ปลอดภัยดี


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: Footballmania ที่ มีนาคม 18, 2009, 11:35:18 AM
groung rod มีการวางหลายแบบครับ ทั้งแบบแนวดิ่ง แนวนอน และ แบบวงแหวน

ส่วนระบบไฟที่หน้าบ้าน เป็นแบบ 2 เส้น กับ ระบบสายดิน(3 เส้น) ไม่เกี่ยวกันครับ

เพราะสายดิน(สายที่ 3) จะแยกที่ตู้ Load Center ในบ้านเรา


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: jakrit97 - รักในหลวง - ที่ มีนาคม 18, 2009, 02:26:36 PM
บ้านผมเดินสามสาย มีเซอกิตเบรคเกอร์แยกเป็นโซนๆ และติดเซฟทีคัทด้วย ปัญหาก็คือถ้าฝนตกหนักๆเซฟทีคัทจะตัดเอง ต้องเปลี่ยนเป็นต่อตรงจนกว่าฝนจะหยุดตกจึงเปลี่ยนกลับ น่ารำคราญพอควร แต่ก็ปลอดภัยดี

บ้านผมก็เป็นเหมือนกันครับ และยังหาไม่พบว่าชื้นตรงไหน ....

ผมเคยจับสายไฟเปลือย ๆ เพราะคิดว่าได้ยกเซอร์กิตเบรคเกอร์แล้วครับ (กระตุกแรงดี หัวใจเกือบหยุดเต้นเหมือนกัน ดีที่มีเซฟ-ที-คัท ตัวที่เกือบเผาบ้านผมนั่นล่ะ ช่วยไว้) ... เรื่องของเรื่องคือปลั๊กที่จะซ่อมมันไม่ได้ใช้เซอร์กิตเบรคเกอร์เดียวกับไฟเพดานครับ .... ตรงนั้นเป็นห้องที่ต่อเพิ่ม ช่างจั๊มไฟมาจากคนละที่  :-\ ....


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 18, 2009, 02:37:17 PM
ครับ..........
ถ้า มีเวลา ก็ จั้ม ดักไว้ครับ
หา ไลต์ ดีดี ก่อนตัดต่อ นะครับ
บ้านใหม่ ยังไม่ใคร่มีปัญหา
บ้านเก่า บางที ต่อมั่ว
ดึงเส้นนั้นเส้นนี้ มาใช้
ประมาณว่า ใกล้ๆไหน เอานั้น
เล่นเอาปวดหัว เหมือนกัน


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ENOLA GAY ที่ มีนาคม 18, 2009, 04:36:01 PM
groung rod มีการวางหลายแบบครับ ทั้งแบบแนวดิ่ง แนวนอน และ แบบวงแหวน

ส่วนระบบไฟที่หน้าบ้าน เป็นแบบ 2 เส้น กับ ระบบสายดิน(3 เส้น) ไม่เกี่ยวกันครับ

เพราะสายดิน(สายที่ 3) จะแยกที่ตู้ Load Center ในบ้านเรา

ขอบคุณครับ คุณ ART@GUN เลยได้เคาะสนิมไปด้วย ขออนุญาตขยายความเพิ่มเติมให้เพื่อนๆไปด้วยเลยนะครับ

โดยคัดจากบทความของ ผศ. ประสิทธิ์ พิทยพัฒน์ ครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลักดินแบบต่างๆมีหลายแบบ ที่นิยมใช้มี 4 แบบคือ

1) หลักดินแบบแนวดิ่งหรือแท่งดิน  ( Ground Rod )

     เป็นหลักดินที่ใช้แท่งตัวนำตอกลงไปในดิน  นิยมใช้มากที่สุด  เพราะราคาถูกและติดตั้งง่าย  แท่งดินต้องมีคุณสมบัติดังนี้

     -  ยาวไม่น้อยกว่า 2.4 m.
     -  เส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า  16 mm.

(http://img21.imageshack.us/img21/5166/groundingpage1image0001.jpg) (http://img21.imageshack.us/my.php?image=groundingpage1image0001.jpg)


2) หลักดินแบบรัศมี   ( Radial Electrode )

    เป็นหลักดินที่ตัวนำวางในแนวราบ  ฝังใต้ดิน และต้องการคุณสมบัติดังนี้

    -  ฝังอยู่ในดินลึกประมาณ  0.5 - 1.0 m.
    -  ตัวนำทองแดงยาวไม่น้อยกว่า  6  m.
    -  ตัวนำทองแดงขนาดไม่น้อยกว่า  35  sq.mm.

(http://img21.imageshack.us/img21/7407/groundingpage2image0001c.jpg) (http://img21.imageshack.us/my.php?image=groundingpage2image0001c.jpg)


3) หลักดินแบบวงแหวน  ( Ring Electrode )

    หลักดินแบบนี้จะฝังอยู่รอบอาคารและต้องมีคุณสมบัติเหมือนหลักดินแบบรัศมีคือ

    -  ฝังอยู่ในดินลึกประมาณ  0.5 - 1.0 m.
    -  ตัวนำทองแดงยาวไม่น้อยกว่า  6  m.
    -  ตัวนำทองแดงขนาดไม่น้อยกว่า  35  sq.mm.


(http://img21.imageshack.us/img21/4774/groundingpage4image0001.jpg) (http://img21.imageshack.us/my.php?image=groundingpage4image0001.jpg)


4) หลักดินแบบฐานราก หรือ หลักดินที่หุ้มด้วยคอนกรีต  ( Foundation Electrode or Concrete Encased Electrode )

    หลักดินแบบนี้ใช้ตัวนำฝังอยู่ในฐานรากคอนกรีตของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีเหล็กเสริม( Reinforcing Bar )อยู่ด้วย  หลักดินแบบนี้ต้องการคุณสมบัติดังนี้

    -  ตัวนำต้องหุ้มด้วยคอนกรีตหนาไม่น้อยกว่า 50 mm. ใกล้ส่วนล่างของฐานรากซึ่งสัมผัสอย่างดีกับดิน

(http://img21.imageshack.us/img21/6236/groundingpage3image0001.jpg) (http://img21.imageshack.us/my.php?image=groundingpage3image0001.jpg)



-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: J ที่ มีนาคม 18, 2009, 07:41:26 PM
+1ครับคุณEnola gay  ::002::


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ENOLA GAY ที่ มีนาคม 19, 2009, 01:30:53 AM
+1ครับคุณEnola gay  ::002::


ขอบคุณครับ ขอบคุณท่าน จขกท.และทุกๆท่านที่มีส่วนช่วยให้ผมได้เคาะสนิมด้วยครับ   :D




กระทู้นี้ได้อ่านง่ายได้ความรู้จริงๆครับ ขอบคุณทุกท่านครับ ::014::
ขออนุญาตจขกท.ถามคุณenola gayครับว่าground rodจำเป็นต้องวางแนวดิ่งหรือไม่ครับ แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าground ของเราใช้ได้หรือไม่ครับผมเคยถามผู้รับเหมาว่าจะรู้ได้ไงเขาบอกว่าต้องใช้เครื่องวัดพิเศษต้องไปขอยืมจากไฟฟ้าจังหวัดจริงหรือครับ  :-\อืม......หรือว่าให้ภรรยาลองเอานิ้วเปียกๆแหย่ปลั๊กไฟดู ถ้าไม่ตายแสดงว่าผู้รับเหมาเป็นคนซื่อสัตย์ ::008::

สงสารคนเอานิ้วแหย่ครับ  อย่าเลยครับ   ตายแน่ๆ  ลองดูที่คุณ  birdwhistle  เขียนไว้สิครับ

ไม่น่าเรียกว่า เซฟทีคัตนะครับ....เหมือนเราเรียกผงซักฟอกว่า "แฟ้บ"

หรือเรียกการถ่ายเอกสารว่า "ซีร็อกซ์"

เซฟทีคัต เป็นชื่อยี่ห้อหนึ่งเท่านั้น

ไอ้เจ้าตัวนี้มันมีชื่อเต็มว่า Ground Fault Interrupter Switch หรือเรียกสั้น ๆ ว่า F.I. Switch หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Earth Leakage Switch  หมายถึง สวิตช์ที่ตัดวงจรออกเมื่อมีการรั่วลงดิน  เพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดจากกระแสไฟฟ้ารั่วลงดิน

มันจะตัดเมื่อมีกระแส "รั่วลงดิน" เท่านั้นนะครับ

ถ้าท่าน เท้าแห้ง มือแห้ง ยืนบนยางรถยนต์แห้ง ๆ ที่เป็นฉนวน อย่างดี แต่ "ดันทะลึ่ง" ดันเอามือ 2 ข้าง ไปจับสายไฟ 220 โวลต์ ข้างละเส้น กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวท่านจนท่าน "สอบชิงทุนไปนอกโลก" โดยที่เจ้า F.I. Switch ไม่ว่าจะยี่ห้อใด ก็ตาม จะไม่ตัดวงจรเลย

มันจะตัดวงจรเมื่อกระแสไหลผ่านตัวท่านลงดินจนมีค่ามากพอที่มันจะทำงานเท่านั้น เราเรียกค่านั้นว่า ค่ากระแสรั่ว  ซึ่งมักมีค่าระหว่าง 5-30 mA 

บางยี่ห้อนำเซอร์กิตเบรคเกอร์ชนิดมีปุ่มหรือกระเดื่อง "Test" อยู่ด้านล่าง มาเป็นตัวตัดวงจรเมื่อกระแสรั่ว มันจึงทำหน้าที่ได้ 2 อย่างคือ ตัดเมื่อไฟรั่วลงดิน กับ ตัดเมื่อใช้กระแสเกินพิกัด ซึ่งยี่ห้อ "เซฟทีคัต"ก็เป็นยี่ห้อหนึ่งในหลาย ๆ ๆ  ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้



ขอบคุณทุกความรู้ โดยเฉพาะคุณENOLA GAYครับ
อยากรู้ว่าการกระเพื่อมของแรงดันไฟฟ้ามีผลให้Earth Leak Circuit Breakerทำงานผิดปกติด้วยหรือไม่ครับ
เมื่อสองเดือนก่อนผมมีปัญหาตัดบ่อยจนต้องปรับเป็นDirectไว้ ว่าจะรอวันว่างมาตรวจสอบ
พอการไฟฟ้ามาเปลี่ยนยกหม้อแปลงใหม่ในหมู่บ้าน(แทนตัวเดิมที่เข้าใจว่ารวน) ปัญหาผมหมดไป ใช้งานได้เป็นปกติ
เกือบได้รื้อสายไฟทั้งบ้านแล้ว  :<<


ขออภัยที่ตกหล่นครับ   ถ้าการกระเพื่อมที่หมายความว่า ค่าแรงดันขึ้นๆลงๆ  ถ้าไม่ขึ้นมากจนเกินไปก็ไม่มีผลหรอกครับ  แต่ในทางปฏิบัติในยุคนี้แล้ว  มันมีอะไรบางอย่างที่มารบกวนให้การทำงานผิดเพี้ยนครับ  จึงมี Class A ขึ้นมาช่วยให้เที่ยงขึ้นไงครับ

รูปแบบของคลื่นไฟฟ้า ( Wave form ) ที่เดิมๆ(ถูกผลิตหรือปั่นออกมาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า)ที่ควรจะเป็นก็คือคลื่นแบบ Sine wave ครับ  ใช่แล้วครับ รูป Sine สวยๆค่อยๆโค้งขึ้นไปทางค่าบวกแล้วค่อยๆโค้งลงไปค่าลบ กลับไปกลับมา  คลื่น Sine อย่างที่เราเรียนตรีโกณในสมัยมัธยมนั่นแหละครับ  แต่พอกระแสไฟฟ้าถูกจ่ายออกมา  มันต้องเดินทางไปไกล  ผ่านถนนหนทางไปจนเข้าบ้านท่าน  วันดีคืนร้าย  ฝนฟ้าคะนอง ฟ้าลงใกล้ไกล อาจมีผลทำให้รูปคลื่นผิดเพี้ยนไปในห้วงสั้นๆ  ตรงนี้ก็ทำให้การทำงานของอุปกรณ์ตัดไฟรั่ว(หรือแม้แต่เครื่องเสียงแพงๆ อุปกรณ์เครื่องใช้อิเลคทรอนิคส์)ผิดเพี้ยนไปได้   พอถึงบ้านเข้าไปจ่ายพลังงานให้อุปกรณ์ต่างๆในบ้าน  เดี๋ยวนี้ทุกแห่งหนก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ดิจิตอล ซึ่งมักจะมีภาคจ่ายไฟแบบที่ภาษาวิศวกรรมเรียก Switching Power Supply ( แบบเดียวกับในคอมพ์หรือเครื่องชาร์จมือถือ สังเกตมั๊ยครับว่า มันรับไฟได้ตั้งแต่ 100 V ไปจนถึง 240 V โดยไม่ต้องพึ่งหม้อแปลงเหมือนสมัยก่อน )  อุปกรณ์พวก Switching นี้ก็สร้างของอย่างนึงที่เรียกว่า Harmonic ออกมา ทำให้คลื่น Sine สวยๆของเราผิดเพี้ยนไปได้อีก  มากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของการรบกวนเหล่านี้ ซึ่งเรียกกันว่า Transient ครับ  พูดไปก็คล้ายๆกับน้ำใสๆโดนตะกอนทำให้ขุ่น  การมองผ่านลงไปในน้ำก็ผิดเพี้ยนไป  อุปกรณ์ตัดไฟรั่วก็เช่นกันครับ  ทำงานผิดพลาดได้  จึงแนะนำให้ใช้ Class A ครับ   ซึ่งนอกจากความเป็น Class A แล้ว  บางยี่ห้อยังคุยถึงคุณสมบัติในการปกป้องตนเองจากการรบกวนต่างๆได้มากกว่าคนอื่นก็มีครับ 

กรณีทำงานผิดพลาดจาก Transient นี้อาจจะเป็นคนละกรณีกับที่เพื่อนๆบอกว่า ชอบตัดตอนฝนตก  กล่าวคือ  หากช่วงที่ฝนตก อุปกรณ์ไม่ได้ตัดเพราะการเกิด Transient   ก็แสดงว่าความชื้นในจุดใดจุดหนึ่งของสายไฟฟ้าเกิดความชื้นจนไฟรั่วจริงๆ  อุปกรณ์ก็ต้องตัดครับ  ซึ่งถือว่าเค้าทำงานถูกต้อง แต่สายไฟหรือเครื่องไฟฟ้าของเราต่างหากที่ผิด

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า " ตรงไหน? "

ถ้าท่านมี RCD แยกหรือซอยเป็นส่วนๆ  ตัวไหนตัด ก็วงจรหรือส่วนนั้นแหละครับ  ซึ่งความที่เราซอยหรือแยกโซนไว้ จะทำให้เหลือที่ให้หาไม่กว้างเกินไป  แต่ที่หงุดหงิดกันจนต้องปรับไปที่ Direct จนเสียของก็เพราะเราใช้ตัวเดียวคุมทั้งบ้าน แค่จุดไหนจุดเดียวรั่ว ตัวนี้ตัดก็ดับทั้งบ้าน  ใครรวยบ้านใหญ่ก็หากันเหนื่อยกว่าคนจนบ้านเล็ก  วิธีหาก็คือ

ให้ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งบ้าน(ทั้งถอดปลั๊ก ทั้งปิดสวิชท์)ให้หมดก่อน  แล้วสับ RCD หรือ Safe-T-Cut ขึ้น  ทีนี้ก็ค่อยๆไล่เปิดทีละดวง ทีละตัว  ทันทีที่ท่านไปเปิดถูกเจ้าตัวแสบเข้าเมื่อไหร่ RCD ก็จะตัด  เป็นอันรู้กันแล้วว่า ใครแสบ !

กรณีนี้ใช้ได้ผล หาเจอกันได้ง่ายเมื่อมีตัวแสบตัวเดียว  เป็นตัวการตัวเดียวเลยที่ทำให้ไฟรั่วเกิน 5, 10, หรือ 15 mA ตามที่เราตั้งไว้  แต่ถ้ามีตัวแสบหลายตัว เช่น เราตั้งไว้ 15 mA. แล้วมี 3 แสบ รั่วกันตัวละ 5 mA.  อย่างนี้ก็เหนื่อยหน่อยครับ ก็เอาแบบนี้ครับ  ปรับให้เหลือน้อยสุด เช่น เอาแค่ 5 mA เลย  แล้วใช้วิธีเดิม  ทีนี้เจอตัวไหนรั่ว 5 mA มันก็จะตัดเลยครับ

ภาพข้างล่างนี้เป็น RCD ที่ผมติดตั้งคั่นก่อนจ่ายไฟเข้าเครื่องทำน้ำร้อนครับ  ตัวนี้ที่มีปุ่มสีเหลืองๆเป็นแค่ RCD  ผมไม่จำเป็นต้องใช้ ELCB เนื่องจากที่ต้นทางก่อนสายไฟมาถึงห้องน้ำนี้ (ที่ตู้ Load Center) ผมมี CB ไว้แล้วครับ  ท่านอาจจะใช้วิธีเดียวกันนี้ก็ได้นะครับ  กลัวตัวไหนจะแสบ(รั่ว) ก็เอา RCD ไปติดตั้งดักไว้อย่างนี้ อย่าลืมนะครับ หา mA น้อยๆเข้าไว้เป็นปลอดภัยที่สุด  อ้อ ! ดูดีๆผมมีสาย Ground ด้วยนะครับ  2 ชั้นเลย ทั้งสายกราวน์ทั้ง RCD


(http://img166.imageshack.us/img166/4326/1010050.jpg) (http://img166.imageshack.us/my.php?image=1010050.jpg)  (http://img166.imageshack.us/img166/2955/1010051.jpg) (http://img166.imageshack.us/my.php?image=1010051.jpg)

หวังว่าคงช่วยได้บ้างนะครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: ธำรง ที่ มีนาคม 19, 2009, 05:41:25 AM
ขอบคุณคุณENOLA GAYครับ  ;D


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 19, 2009, 08:58:34 AM
สนับสนุนเรื่องติดตั้ง F.I.Switch หรือ RCD ไว้นอกตัวเครื่องทำน้ำอุ่นครับ

ปกติเครื่องทำน้ำอุ่นหลาย ๆ ๆ ๆ รุ่นนิยมติดตั้ง F.I.Switch หรือ RCD ไว้ในตัวเลย ทั้งนี้เพื่อง่ายในการติดตั้ง ซึ่งราคาเครื่องทำน้ำอุ่นนี้จะแพงกว่ารุ่นที่ไม่มีติดตั้งมาในตัว

หากมองถึงความปลอดภัยจริง ๆ แล้ว โอกาสที่จะเกิดไฟรั่วลงดินจากสายไฟที่ต่อเจ้าเครื่องทำน้ำอุ่นก่อนที่จะเข้า F.I.Switch หรือ RCD ที่ติดตั้งอยู่ในตัวเครื่องทำน้ำอุ่นก็ยังมี เช่นการที่โดนน้ำสาดเจ้าเครื่องไปโดนขั้วสาย Line ที่ต่อก่อนเข้า F.I.Switch ซึ่งหากมีการรั่วลงดินจากจุดนี้ F.I.Switch จะไม่ทำงาน

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือต่อ F.I.Switch แยกไว้นอกตัวเครื่องทำน้ำอุ่น เช่นที่บ้านผมเอามันไว้นอกห้องน้ำเลย แล้วยังมีระบบสายดินอีก

พูดถึงระบบสายดิน จากหลักดินเข้าสู่ Ground Terminal ในLoad Center แล้ว จะต้องมีสายต่อระหว่าง Ground Terminal ไปยัง Neutral Terminal ด้วย โดยขนาดของสายต้องไม่เล็กกว่าสายดิน และขนาดของสายดินที่เดินไปหลักดินต้องไม่เล็กกว่าสายเมนที่เข้าบ้าน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสายดินร่วมกับนิวตรอล

การต่อสายดินเข้ากับหลักดินที่ดีที่สุดควรใช้เชื่อมด้วยตัว Thermo Weld ซึ่งหลอมละลายทองเหลืองให้ประสานระหว่างสายดินกับหลักดิน โดยใช้ดินปืนผสมผงทองเหลือง  เจ้าตัว Thermo Weld มีขายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าย่านวรจักร  ผมสั่งซื้อ(ในราชการ)เมื่อ 4 ปีก่อน อันละ 450 บาท ที่จริงเดินดูอุปกรณ์ปืนหลังวังแล้วเดินเลยไปแถววรจักรอีกนิด ก็หาซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าได้แล้ว

ปกติเมื่อซื้อหลักดินมา เขาจะมี Split Bolt มาให้ด้วยสำหรับขันสายดินเข้ากับหลักดิน แต่เมื่อเราต้องทิ้งมันไว้ที่พื้นดิน บริเวณจุดต่อที่สายไฟถูกขันแน่นกับหลักดินนั้น นานไปจะไม่สนิทความต้านทานมากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพสายดินลดลง จนใช้การไม่ได้ในที่สุด   





 



หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 19, 2009, 09:36:45 AM
ผมขอสอบถามต่อครับว่า ผมสามารถใช้ผงเทอร์มิต (Thermite) เชื่อมหลักดินกับสายดินแทน Thermo Weld ได้หรือไม่ และให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกันหรือเปล่าครับ เพราะผมมีเพื่อนทำงานเกี่ยวกับงานโยธาสร้างสะพาน ถนน และทางรถไฟ มันเคยพาไปดูการเชื่อมรางรถไฟเห็นใช้ผงที่ว่านี่จุดไฟใส่แล้วรอให้ดับ ผมดูแล้วรางรถไฟหลอมเป็นชิ้นเดียวกันเลย :)


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ มีนาคม 19, 2009, 09:52:04 AM
ได้สิครับ  ใช้ของดีด้วย
ทั่วไป จะมาแบบลูกถ้วย ครอบ
จุด พรึบ หลอมเป็นเนื้อเดียว


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: birdwhistle...รักในหลวง ที่ มีนาคม 19, 2009, 09:53:14 AM
เกรงว่าอุณหภูมิมันจะสูงเกินไป เพราะการหลอมละลายเหล็กใช้อุณหภูมิที่สูงกว่า อีกทั้งขนาดรางรถไฟก็ยังใหญ่กว่าหลักดินและสายดินครับ  หากจะใช้คงต้องกำหนดปริมาณให้เหมาะสมนะครับ

การเชื่อมทองเหลือง คือการใช้ทองเหลืองเป็นตัวประสานระหว่างสายทองแดงกับเหล็กชุบทองแดงครับ ซึ่งอุณหภูมิที่ใช้ต่ำกว่าการเชื่อมเหล็ก  การเชื่อมทองเหลืองนี้ตัวสายดินและหลักดินอุณหภูมิไม่สูงถึงจุดหลอมหลอมละลาย  

ผมเคยเชื่อมทองเหลือง โดยใช้อ๊อกซี่-อะแซตทะลีน (ในงานสนาม ตจว.)  เพราะไม่สามารถหา Thermo Weld ได้  แต่ต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุด โดยเผาที่หลักดินก่อนพอเริ่มจะแดงก็เอาสายทองแดงไปเผาด้วยแล้วหยอดลวดเชื่อมทองเหลืองที่จุ่มฟลั้กซ์แล้วเข้ามาเป็นตัวประสาน ซึ่งก็ใช้การได้  

คุณ yod ครับ ลูกถ้วยนั่นแหละครับ Thermo weld แต่บางที ซื้อมาได้ของเก่าเก็บ มันจุดแล้วไม่พรึบ เสียฟรีก็เยอะ

ยังเคยคิดว่า น่าเอาลูกถ้วยเก่าที่ใช้แล้ว มาใส่ดินปืนผสมผงทองเหลืองเอง น่าจะถูกสตางค์กว่า


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: รพินทรนาถ -รักในหลวงและสยามประเทศ ที่ มีนาคม 19, 2009, 11:39:11 AM
ถ้าอย่างนั้นผมจะลองขอปันผง Thermite จากเพื่อนมาสักครึ่งขีด แล้วลองใช้ถ้วยดินเผาที่ใช้เพาะลูกกล้วยไม้มาใส่แล้วจุดไฟดูครับ ไม่รู้ว่างานนี้หลักดินกับสายดินจะเหลือสักแค่ไหนครับ


หัวข้อ: Re: เซฟทีคัท
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ มีนาคม 19, 2009, 01:05:06 PM
ถ้าอย่างนั้นผมจะลองขอปันผง Thermite จากเพื่อนมาสักครึ่งขีด แล้วลองใช้ถ้วยดินเผาที่ใช้เพาะลูกกล้วยไม้มาใส่แล้วจุดไฟดูครับ ไม่รู้ว่างานนี้หลักดินกับสายดินจะเหลือสักแค่ไหนครับ
งานพวกนี้น่าจัดอยู่ในงานบัดกรีแข็งก็เหมาะสมแล้ว    เพราะทองแดงจุดหลอมเหลวสูงมาก   คงไม่ถึงขั้นหลอมละลาย   http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2008/11/R7171657/R7171657.html   (http://topicstock.pantip.com/home/topicstock/2008/11/R7171657/R7171657.html)