เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: Ultraman Taro #รักในหลวง# ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 04:27:50 AM



หัวข้อ: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: Ultraman Taro #รักในหลวง# ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 04:27:50 AM
ผมเริ่มกลัวๆแล้วเหมือนๆกัน กับโรคนี้ ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่เสียชีวิตก็เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน

อยากรู้ว่าถ้ามีอาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจที่โรงพยาบาล


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: zerosocool ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 05:53:38 AM
เท่าที่ทราบ มา ก็ถ้าเป็นไข้ แล้วทานยาปกติ ไข้ไม่หายในสองวันก็ไปหาหมอได้เลยครับ ระวังไว้ดีกว่า   :OO :OO :OO

แค่ คิดเล่นๆ ถ้าคนเป็นไข้ แล้วก็ไปหาหมอ แค่ในเมือง สัก 2000 คน  ผมว่า รพ. ใหญ่ ในเมืองก็คงรับมือไม่ไหวแน่ๆ ไหนจะผู้ป่วยอื่นๆอีกมากมาย 

เมื่อวานพาพ่อไปตรวจร่างกาย หมอบอกว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไป รพ. เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นอ่ะไรบ้าง หมอยังกลัวเลยครับ บอกให้ใส่ผ้าปิดจมูกไว้เวลาอยู่ในที่ สาธารณะ ออกกำลังให้ร่างกายแข็งแรงเข้าไว้ ให้ร่างกายแข็งแรง 


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: ชยันโต ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 08:10:58 AM
เคยค้นข้อมูลทางเน็ต  เขาบอกว่าผิวเป็นผื่นจ้ำๆสีน้ำเงิน +พร้อม ไอ หอบ อาเจียน ท้องเสีย เพลียหมดเรี่ยวแรง + ไข้สูงกว่า ๓๘ องศาขึ้นไป
เช่น ๓๙ ๔๐ อย่างนี้บ่งว่าใช่ 
แต่เคยไปถามแพทย์ บอกว่าหากไข้สูง ทานยาหลายวันไม่หายสักที+มีอาการหอบเหนื่อยผิดปกติที่จะเป็นไข้ธรรมดา  นั่นละ ๒๐๐๙
อาการเหมือนหวัดธรรมดาตอนเริ่มต้น  แต่หากไข้สูงหอบมากๆเป็นสัญญาณว่าจะลงปอด ระวังไว้ 
และที่ตายๆกันก็เพราะมันลงปอดนั่นเอง หมอว่ามานะครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: RUGER ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 08:15:30 AM
     เท่าที่ทราบคือ อาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ครับ  

         คือมีไข้สูง  / ปวดเนื้อปวดตัว  /  ไอ,จาม   ถ้า ไข้ไม่ลดภายใน 2 วันต้องรีบไปตรวจ

     การที่จะทราบว่าเป็น  2009 หรือไม่ ต้องมีการเพาะเชื้อด้วยครับ  

     เท่าที่ทราบราคาค่าเพาะเชื้อแต่ละโรงพยาบาล  ไม่เท่ากัน ที่โรงพยาบาลปทุม 1700

     ส่วนยา ทามีฟู  เม็ดละ  250  คุณหมอแจ้งว่าต้อง ทานติดต่อกันประมาณ 10 เม็ด


      ปล. เท่าที่่  หาข้อมูลมา  ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ร้อยละ  90 หายเองได้

อาจจะมีรายที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น เบาหวาน หอบหืด ซึ่งอาการจะรุนแรง 

    


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: indojeen@รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 08:50:15 AM
    เท่าที่ทราบคือ อาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ครับ  

         คือมีไข้สูง  / ปวดเนื้อปวดตัว  /  ไอ,จาม   ถ้า ไข้ไม่ลดภายใน 2 วันต้องรีบไปตรวจ

     การที่จะทราบว่าเป็น  2009 หรือไม่ ต้องมีการเพาะเชื้อด้วยครับ  

     เท่าที่ทราบราคาค่าเพาะเชื้อแต่ละโรงพยาบาล  ไม่เท่ากัน ที่โรงพยาบาลปทุม 1700

     ส่วนยา ทามีฟู  เม็ดละ  250  คุณหมอแจ้งว่าต้อง ทานติดต่อกันประมาณ 10 เม็ด


      ปล. เท่าที่่  หาข้อมูลมา  ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ร้อยละ  90 หายเองได้

อาจจะมีรายที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น เบาหวาน หอบหืด ซึ่งอาการจะรุนแรง 

    

ตามนั้นครับ  ผู้ที่มีโรคประจำตัว  หรืออ้วน  รางกายไม่แข็งแรงต้องระวังเป็นพิเศษ



หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 10:38:29 AM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: โป้ง*กันบอย - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 10:47:20 AM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ

ยินดีด้วยครับพี่

หลานหายป่วยแล้ว

ส่วนตัวผมไม่กลัว....จะกลัวก็แต่ลูกๆจะเป็นครับ


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 10:50:12 AM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ
ขอบคุณครับ

ยินดีด้วยครับพี่

หลานหายป่วยแล้ว

ส่วนตัวผมไม่กลัว....จะกลัวก็แต่ลูกๆจะเป็นครับ


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: hare ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 10:55:40 AM
คำแนะนำกระทรวงสาธารณสุข
เรื่อง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น1)
ฉบับที่ 8 
วันที่ 9 กรกฎาคม 2552
--------------------------

ปัจจุบันการแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น 1) ได้แผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว  โดยโรคมีความรุนแรงปานกลาง ประเทศไทยส่วนใหญ่พบในกรุงเทพฯและปริมณฑล  และมีรายงานมากกว่า 60 จังหวัดแล้ว ขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา รองมาเป็นคนวัยทำงาน

คำแนะนำทั่วไป
ประชาชนทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจโรคที่ถูกต้อง ไม่ตื่นตระหนก รู้วิธีการป้องกันตนเองไม่ให้ติดเชื้อ  โดยการติดตามข้อมูลคำแนะนำต่างๆ จากกระทรวงสาธารณสุข  รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  รับประทานอาหารมีประโยชน์ ผัก ผลไม้ ไข่ นม  นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง หมั่นล้างมือบ่อยๆ  หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และฝึกนิสัยไม่ใช้มือแคะจมูก ขยี้ตา หรือจับต้องใบหน้า ถ้าจำเป็นควรใช้กระดาษทิชชูจะปลอดภัยกว่า ดูแลตนเองหรือคนในครอบครัวที่ป่วยได้  และป้องกันไม่แพร่เชื้อให้คนรอบข้าง  โดยการหยุดเรียน  หยุดงาน  ปิดปากจูกเวลาไอจามด้วยกระดาษทิชชู  สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่กับผู้อื่น  และหมั่นล้างมือบ่อยๆ  ซึ่งจะช่วยควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด  และลดผลกระทบด้านต่างๆ ได้มากที่สุด
ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ จะมีอาการป่วยใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นทุกปี  คือมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล  เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย  มีรายงานอาการสมองอักเสบน้อยมาก (4-5 ราย) 
ผู้ป่วยส่วนใหญ่  (95%) มีอาการเล็กน้อย  จะมีอาการทุเลาขึ้นตามลำดับ คือ ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น และหายป่วยภายใน 5-7 วัน จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
ผู้ป่วยน้อยราย (5%) ที่มีอาการป่วยรุนแรงซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิต คือ ไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน ซึมหรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียนมาก ไอมากจนเจ็บหน้าอก เกิดปอดบวม (หายใจถี่ หอบ เหนื่อย) พบว่าส่วนใหญ่ (70% ของผู้ป่วยน้อยราย) เป็นกลุ่มผู้ที่มีภาวะเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัวเรื้อรัง (โรคปอด หอบหืด  โรคหัวใจ  โรคเลือด ไต เบาหวาน ฯลฯ)  ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ (โรคมะเร็ง ฯลฯ)  โรคอ้วน  หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี  เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี  อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยส่วนหนึ่ง (30% ของผู้ป่วยน้อยราย) มีอาการรุนแรง แต่ไม่สามารถสอบสวนหาภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงและผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง  จึงต้องรีบไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐหรือโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ทันที

การดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงที่บ้าน
หากผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูงมาก ตัวไม่ร้อนจัด ไม่ซึมหรืออ่อนเพลียมาก  และพอรับประทานอาหารได้  สามารถดูแลรักษาตัวที่บ้านได้  โดยปฏิบัติดังนี้
•   ผู้ป่วยควรหยุดเรียน หยุดงาน  และพักอยู่กับบ้านหรือหอพัก ไม่ออกไปนอกบ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังวันเริ่มป่วย หรือหลังจากหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ 
•   แจ้งสถานศึกษาหรือที่ทำงานทราบ เพื่อจะได้เฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และป้องกันควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที
•   ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซทามอล (ห้ามใช้ยาแอสไพริน)  และยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ตามคำแนะนำของเภสัชกร  หรือสถานบริการทางการแพทย์ หรือคำสั่งของแพทย์
•   ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส  ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นพบเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ต้องรับประทานทานยาให้หมดตามที่แพทย์สั่ง 
•   เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำสะอาดอุ่นเล็กน้อยเป็นระยะ  โดยการเช็ดแขนขาย้อนเข้าหาลำตัว  เน้นการเช็ดลดไข้บริเวณหน้าผาก  ซอกรักแร้  ขาหนีบ  ข้อพับแขนขา  และใช้ผ้าห่มปิดหน้าอกระหว่างเช็ดแขนขา  เพื่อไม่ให้หนาวเย็นจนเสี่ยงเกิดปอดบวม หากผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น ต้องหยุดเช็ดตัว และห่มผ้าให้อบอุ่น   
•   ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด
•   พยายามรับประทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ให้พอเพียง
•   นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก
•   หากอาการป่วยรุนแรงขึ้น  เช่น ไข้ไม่ลดลงภายใน 3 วัน ซึมหรืออ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารไม่ได้  อาเจียนมาก ไอมากจนเจ็บหน้าอก หายใจถี่ หอบ เหนื่อย ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

การแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ ในบ้าน

•   ผู้ป่วยควรนอนแยกห้อง ไม่ออกไปนอกห้องจนกว่าจะหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ 
•   รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น หากอาการทุเลาแล้ว  อาจรับประทานอาหารร่วมกันได้  แต่ต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
•   ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
•   ปิดปากจมูก เวลาไอ จาม  ด้วยกระดาษทิชชู แล้วทิ้งทิชชูลงในถังขยะ และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล  หรือน้ำและสบู่บ่อยๆ
•   ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นด้วยการสวมหน้ากากอนามัย
•   ผู้ดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย
•   คนอื่น ๆ ในบ้าน  ควรอยู่ไกลจากผู้ป่วยประมาณ 1-2 เมตร  หรืออย่างน้อยประมาณหนึ่งช่วงแขน

แหล่งข้อมูลการติดต่อเพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

1.   กรุงเทพมหานคร  ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร  โทรศัพท์ 0 2245 8106,  0 2246 0358 และ 0 2354 1836
2.   ต่างจังหวัด  ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

ติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข   www.moph.go.th (http://www.moph.go.th)  และหากมีข้อสงสัย ติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 0 2590 3333  และศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์  กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์  0 2590 1994  ตลอด 24 ชั่วโมง

ตามนี้ครับ  ;D


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: godsira รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 01:17:36 PM
UP กระทู้ครับ

มีกระทู้ น่าสนใจใน Pantip ครับ
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8060907/A8060907.html (http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8060907/A8060907.html)


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: vichai01++รักในหลวง++ ที่ กรกฎาคม 10, 2009, 09:28:25 PM
UP กระทู้ครับ

มีกระทู้ น่าสนใจใน Pantip ครับ
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8060907/A8060907.html (http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8060907/A8060907.html)

ขอบพระคุณมากครับ ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: * ต้น * ที่ กรกฎาคม 11, 2009, 01:36:41 AM
อ่านแล้วน่ากลัวจริงๆครับ


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: RUGER ที่ กรกฎาคม 11, 2009, 03:15:19 AM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ

  หายป่วยแล้วยินดีด้วยครับพี่  ..... ::014::


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: todsagun ที่ กรกฎาคม 11, 2009, 05:06:58 AM
อธิบายยังไงดี..?
เอาง่ายๆก็คือ..

ไข้หวัด2009..
มันก็เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดธรรมดา..เรานี่แหล่ะ..

ปัญหาที่เกิดก็คือ..

เชื้อไวรัสตัวนี้..
เป็นเชื้อไวรัสใหม่ที่ร่างกายของมนุษย์บนโลกนี้..ยังไม่รู้จัก..
จึงทำให้..ร่างกายของเรา..ไม่รู้จะสร้างภูมิคุ้มกันแบบไหนไปสู้กับมัน..

ปกติ..เชื้อแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย..
ร่างกายของเราก็จะมีระบบป้องกัน..
โดยมีหน่วยสวาท..พร้อมอาวุธครบมือ..(เม็ดเลือดขาว+ยาจากแพทย์)
ส่งไปรบ..แบบอัตโนมัติ..

กรณีถ้าร่างกายเรามีข้อมูลผู้บุกรุก..อยู่ในแฟ้มประวัติ..
มันก็จะง่ายในการจัดขั้นตอน..การจัดกำลังรบ..(ภูมิคุ้มกันของร่างกาย)
จัดอาวุธ(จัดยา)..เพื่อให้ได้เปรียบในการต่อสู้..

แต่ถ้าผู้บุกรุก..ไม่เคยมีในแฟ้มประวัติ..หรือไม่รู้จัก..
ร่างกายของเรา..ก็ไม่รู้จะจัดหน่วยรบติดอาวุธประเภทไหนไปออกรบ..
โอกาสที่จะชนะเปอร์เซนต์ก็จะน้อยลง..

สำหรับสาเหตุของการเสียชีวิต..ของผู้ป่วยส่วนมาก..
เกิดจากโรคประจำตัวที่มีอยู่แล้ว..แล้วมาติดเชื้อเพิ่ม..

อุปมาดังว่า..
หน่วยสวาทที่ร่างกาย..ส่งมาต่อสู้กับ..โรคประจำตัวที่มีอยู่ก่อน..
การรบกำลังสูสี..

วันดีคืนดี..
โรคประจำตัวของผู้ป่วย..ก็มีเชื้อไวรัสที่ร่างกายไม่รู้จัก..
เข้ามาเป็นกำลังเสริม..ในการโจมตี..ตัวผู้ป่วยเอง..

ถ้าผู้ป่วย..มีกำลังใจดี..ร่างกายแข็งแรงมากพอ..
ก็อาจจะผลิตทหารกองหนุน..ส่งมาช่วยได้ทันเวลา..

แต่ถ้า..ผิดจากนี้..
ชัยชนะก็อาจจะตกแก่..กลุ่มผู้ก่อการร้ายและผู้บุกรุก..
ผลก็คือ..ผู้ป่วยเอง..อาจเสียชีวิตได้..

จากที่ทราบจากสื่อ..ในบ้านเรา..
ภายในหนึ่งปีครึ่ง..ต่อจากนี้..
ทุกคนในบ้านเรา..จะติดเชื้อตัวนี้โดยถ้วนหน้า..

อยู่ที่เรา..ต้องเตรียมตัวรับการก่อการร้ายนอกรูปแบบ..
โดยจัดการซ้อมรบให้มากขึ้น(ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง)..

ถ้าหน่วยทหารในร่างกายของเราแข็งแกร่ง..
ต่อให้ผู้บุกรุก..
จะมาแบบไหน..จะรู้จักหรือไม่..

ก็ขอให้มั่นใจได้ว่า..
ชัยชนะในการรบ..
อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน..

ปัจจุบัน..ผมใช้ชีวิตปกติ..
ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเชื้อตัวนี้..

แต่ดูแลตัวเองเพิ่มขึ้น..
โดยการออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง..
กินอาหารที่คิดแล้วว่า..น่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายและสะอาด..

ถ้าถามว่า..
เราป่วยมีอาการแบบไหน..จึงต้องไปตรวจ..?

ตอบง่ายๆหน่อย..ก็คือว่า..
เมื่อเรารู้สึกว่า..ร่ายกายมีอาการผิดปกติ..
เช่น..ไข้สูง..ปวดเมื่อยตามร่างกาย..เจ็บคอ..
ก็ควรรีบไปพบแพทย์..เพื่อติดอาวุธ(ยา)..ให้หน่วยรบ(ภูมิคุ้มกันของร่างกาย)
ในการจัดการกับผู้ก่อการร้าย(เชื้อแปลกปลอม)โดยเร็ว..!(ไม่ต้องรอสองวันสามวัน)


ข้อความทั้งหมด..เป็นแนวคิดส่วนตัว..
ที่ผม..มีต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้..
อาจจะถูกหรือผิดก็ได้..

ผู้อ่าน..โปรดใช้ดุลยพินิช..และวิจารณญาน..
ในการตัดสินใจที่จะประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเอง..นะครับ.. ::014::














หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กรกฎาคม 11, 2009, 04:05:46 PM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ


  หายป่วยแล้วยินดีด้วยครับพี่  ..... ::014::
ขอบคุณครับ ถ้าเด็กไข้สูงถึง 40 รีบพาส่งแพทย์ เลยครับ ก่อนเข้าปอดนะครับ


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: rute - รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 11, 2009, 05:21:37 PM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ


  หายป่วยแล้วยินดีด้วยครับพี่  ..... ::014::
ขอบคุณครับ ถ้าเด็กไข้สูงถึง 40 รีบพาส่งแพทย์ เลยครับ ก่อนเข้าปอดนะครับ

ยินดีด้วยที่หลานหายป่วยครับ...:D


หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับหวัด2009 ถ้าป่วยมีอาการแบบไหน จึงต้องไปตรวจ
เริ่มหัวข้อโดย: ART ที่ กรกฎาคม 11, 2009, 05:27:26 PM
ลูกผม เป็นมาแล้ว ไข้สูง 40 องศา ไม่ลงมีอาเจียร กินอาหารไม่ลง ปากแห้ง ให้น้ำเกลือ และหมอให้ยา ทามีฟู 5 วันเช้าเย็น หายแล้วครับนอน รพ.กรุงเทพครับ


  หายป่วยแล้วยินดีด้วยครับพี่  ..... ::014::
ขอบคุณครับ ถ้าเด็กไข้สูงถึง 40 รีบพาส่งแพทย์ เลยครับ ก่อนเข้าปอดนะครับ

ยินดีด้วยที่หลานหายป่วยครับ...:D
ขอบคุณครับคุณ หมอ rute    ::014:::VOV: แต่ยังไอ คอกแคกอยู่นะครับต้องให้ใส่ผ้าคาดปากเวลา ออกไปข้างนอกนะครับ ::005::