เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 04:23:19 PM



หัวข้อ: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 04:23:19 PM
 ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 04:24:34 PM
 ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 04:34:30 PM
ช้างเผือกช้างแรกของรัชกาลที่ 9

 

ช้างเผือกตามตำราคชลักษณ์นั้นแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท และมีลักษณะอันเป็นมงคล ๗ ประการ คือ มีตาขาว เพดานขาว เล็บขาว ผิวหนังสีขาวหรือสีหม้อใหม่ ขนขาว ขนหางยาว และอัณฑโกศสีขาวหรือสีหม้อใหม่

คือ ๑.ช้างเผือกเอก เรียกว่า สารเศวตร หรือ สารเศวตพรรณ เป็นช้างเผือกที่มีลักษณะถูกต้องสมบูรณ์ตามตำราคชลักษณ์และมีลักษณะพิเศษ คือ ร่างใหญ่ ผิวขาวบริสุทธิ์ สีดุจสีสังข์ เป็นช้างมงคลคู่บ้านคู่เมือง

๒.ช้างเผือกโท เรียกว่า ปทุมหัตถี มีผิวสีชมพูดูคล้ายสีกลีบดอกบัวแดงแห้ง เป็นช้างมงคลเหมาะแก่การศึก

๓. ช้างเผือกตรี เรียกว่า เศวตรคชลักษณ์ มีสีดุจใบตองอ่อนตากแห้ง เป็นช้างมงคล ใครผู้ใดพบเห็นช้าง ที่มีลักษณะดี เด่นไปจากช้างทั่วไปในป่า หรือที่ใดก็ตาม พระราชบัญญัติ รักษาช้างป่า ต้องทำการแจ้งให้ทางการทราบ

เพื่อที่ทางสำนักพระราชวังจะจัดตั้งผู้ชำนาญคชลักษณ์ ไปตรวจสอบ ดูลักษณะของช้าง ภายนอกจะต้องได้สัดส่วน ทั้งขนาดหัว ลำตัว หาง ขา หู ความโค้ง ของกระดูกสันหลัง ต่อไปดูที่สีผิวของตัวช้างว่ามีสีอะไร ถ้าเป็นลูกช้าง บางครั้งจะแลไม่เห็นสีที่แท้จริงของตัวช้าง ต้องเอามะขามเปียกประมาณ 3-4 กิโลกรัม ใส่กระป๋องใหญ่ เคล้ากับน้ำให้ละลาย แล้วนำมาทาตัวช้างให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งเช้าจึงทำการล้างออก ก็จะแลเห็นสีที่แท้จริงของผิวช้าง การล้างนี้ ห้ามใช้ผงซักฟอก สบู่ เพราะในตัวช้างมีกลิ่นตัวอยู่ ถ้าใช้ผงซักฟอก หรือสบู่ล้าง อาจทำลายกลิ่นจริงๆ ของช้างเสียหมด

นอกจากนี้ ไม่ควรใช้แปรงขนแข็ง มาขัดผิว เพราะจะทำให้ขนที่ผิวหลุดไปหรือผิวอาจเกิดแผลได้ ใช้กาบมะพร้าวถู ได้อย่างเดียว การตรวจคชลักษณ์ มีทั้งหมดด้วยกัน ๑๑ ประการ ถ้าตรวจพบเกินกว่าครึ่ง ไม่จำเป็นต้องครบทั้ง ๑๑ ประการและดูลักษณะนิสัย เห็นกิริยาของช้างว่าดี (เช่น การเดิน การนอนมีกิริยาเรียบร้อย การไม่กินน้ำ และอาหารร่วมกับช้างอื่นๆ ฯลฯ) ก็สามารถตัดสินได้ว่าช้างดังกล่าว เป็นช้างสำคัญ

ช้างเผือก จะนับเป็นช้าง

ช้างบ้าน จะนับเป็นเชือก

ช้างป่า จะนับเป็นตัว



รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่ทรงครองราชย์ ช้างเผือกช้างแรกที่มาสู่พระบารมีคือ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ

ต่อจากนั้น ก็มีช้างเผือกใหม่อื่นๆ ได้ขื้นระวางสมโภชอยู่เรื่อยๆ จนถึงปี 2521 รวมทั้งสิ้น 10 ช้าง หลังจากนั้น แม้จะพบช้างเผือก และช้างสำคัญคู่พระบารมีอีกถึง 11 ช้าง ก็มิได้โปรดเกล้าฯให้มีพิธีขึ้นระวางอีก เพียงแต่ทรงรับช้างเหล่านั้นไว้เป็นช้างสำคัญ


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 04:42:16 PM
        ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
บวก ๑ ครับ


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 05:19:23 PM
 ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 06:33:19 PM
(http://i222.photobucket.com/albums/dd29/sig_surath/royal-elephant1.jpg)
::014::

(http://i222.photobucket.com/albums/dd29/sig_surath/royal-elephant.jpg)
 ::014::

(http://i222.photobucket.com/albums/dd29/sig_surath/DSCF4125.jpg)
 ::014::

ช้างในรูปเป็นช้างเผือกซึ่ง
เกิดในป่าเขตจังหวัดกระบี่ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2494 ถูกคล้องได้ที่ บ้านหนองจูด ตำบลดินอุดม อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่เมื่อ พ.ศ. 2499 โดยนายแปลก ฟุ้งเฟื่องและนายปลื้ม สุทธิเกิด(หมอเฒ่า) เป็นลูกช้างติดแม่อยู่ในโขลงช้างป่า พร้อมกับช้างอื่นๆ อีก 5 เชือกคือ พังสาคร พลายทอง พังเพียร พังวิไล และพังน้อย  โดยในตอนนั้นพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ได้ชื่อว่า "พลายแก้ว" มีความสูง 1.60 เมตร เมื่อพระราชวังเมือง (ปุ้ย คชาชีวะ)ได้ตรวจสอบคชลักษณ์แล้วพบว่าเป็นช้างสำคัญ จึงนำมาเลี้ยงไว้ที่สวนสัตว์ดุสิต เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

พลโทบัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยได้นำช้างพลายแก้วขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เพื่อประกอบพิธีขึ้นระวางเป็นช้างต้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้กำหนดพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างเผือกประจำรัชกาล ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 เป็นปีที่ 13 ในรัชกาลปัจจุบัน

พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เติบโตขึ้นโดยการดูแลขององค์การสวนสัตว์ ที่สวนสัตว์ดุสิต และมีอาการดุร้ายมากขึ้นจนควาญช้างควบคุมไม่ได้ จึงต้องจับยืนมัดขาทั้งสี่ไว้กับเสา เป็นที่เกรงกลัวของบุคคลทั่วไป จนกระทั่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถมีพระราชเสาวณีย์ โปรดเกล้าฯ ให้นำพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เข้าไปยืนโรงในโรงช้างต้น ภายในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานซึ่งอยู่ตรงกันข้ามถนน เมื่อ พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชได้บันทึกไว้ว่า

ในขณะที่นำคุณพระจากสวนสัตว์ดุสิตไปยังสวนจิตรลดา ซึ่งเพียงแต่มีถนนคั่นอยู่สายเดียวนั้น คุณพระก็อาละวาดอย่างหนัก ไม่ยอมออกเดิน เอางวงยึดต้นไม้จนต้นไม้ล้ม จนแทบจะหมดปัญญาเจ้าหน้าที่

กว่าจะนำคุณพระจากเขาดินไปถึงประตูสวนจิตรลดา ซึ่งมองเห็นกันแค่นั้น ก็กินเวลาหลายชั่วโมง ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากถือปลายเชือกที่ผูกไว้กับขาคุณพระทั้งสี่ขา คอยลากคอยดึง และดูเหมือนจะต้องใช้รถแทรกเตอร์เข้าช่วยขนาบข้าง เสี่ยงอันตรายกันมากอยู่ แต่ในที่สุดก็นำคุณพระไปยังประตูพระราชวังได้

พอได้ก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณพระราชวัง คุณพระก็เปลี่ยนไปทันที จากความดุร้ายก็กลายเป็นความสงบเสงี่ยม เดินอย่างเรียบร้อยไปสู่โรงช้างต้น และเข้าอยู่อย่างสงบเรื่อยมา

 
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชโรงช้างต้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547 ณ โรงช้างต้น วังไกลกังวล ทรงพระราชทานอ้อยแก่ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯปัจจุบัน พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ย้ายไปยืนโรง ณ โรงช้างต้น วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเคลื่อนย้ายคุณพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เมื่อวันที่ 17-18 มีนาคม พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพระราชพิธีสมโภชโรงช้างต้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549 ทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้จัดสร้าง คชาภรณ์ หรือเครื่องทรงช้างต้นชุดใหม่ พระราชทานแก่พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เนื่องจากคชาภรณ์ชุดเดิมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ เมื่อ พ.ศ. 2502 มีสภาพเก่า และมีขนาดเล็กเกินไป โดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม รับสนองพระบรมราชโองการจัดสร้างเครื่องคชาภรณ์ชุดใหม่ ด้วยงบประมาณ 4 ล้านบาท ใช้ทองคำ 96.5 % หนักกว่า 5,953 กรัม ประกอบด้วย

ผ้าปกพระพอง ทำด้วยผ้าเยียรบับ
ตาข่ายแก้วกุดั่น ทำด้วยทองคำ ร้อยลูกปัดเพชรรัสเซีย จำนวน 810 เม็ด
พู่หู จำนวน 1 คู่ ทำจากขนจามรีนำเข้าจากทิเบต
พระนาศ หรือผ้าคลุมหลัง ทำจากผ้าเยียรบับ
กันชีพ ทำด้วยผ้าสักหลาดปักดิ้น
เสมาคชาภรณ์ หรือ จี้ทองทำรูปใบเสมา เขียนลายนูนรูปพระมหามงกุฎครอบอุณาโลม
สร้อยเสมาคชาภรณ์ หรือสร้อยคอทองคำ
พานหน้า พานหลัง ทำด้วยผ้าถักหุ้มผ้าตาด
สำอาง ทำจากโลหะผิวทอง

ในหลวงพระราชทานนามแก่ช้าง ว่า

'' พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนามนาคบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกทลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาต สยามราษฎรสวัดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรบพิตรสารศักดิเลิศฟ้า ๚ ''

  ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 07:14:39 PM
เสมาคชาภรณ์ที่ในหลวงพระราชทานให้กับพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในการนี้
พระองค์ทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้จัดสร้าง "คชาภรณ์" หรือเครื่องทรงช้างต้นชุดใหม่
พระราชทานแก่ช้างเผือกสำคัญคู่พระบารมีประจำรัชกาลที่ 9 คือ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ
ซึ่งเป็นช้างเผือกช้างแรกที่ได้รับการสมโภชและขึ้นระวางเป็นช้างต้นประจำรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 11
พฤศจิกายน พ.ศ.2502 โดยสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) รับสนองพระบรมราชโองการ
จัดสร้างเครื่องคชาภรณ์ชุดใหม่ให้กับพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ในปีพ.ศ.2549
กรมศิลปากร จัดสร้างคชาภรณ์ชุดใหม่ของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ช้างเผือกคู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เสร็จเรียบร้อย หลังใช้เวลานาน 3 เดือน สร้างคชาภรณ์ทองคำน้ำหนักเกือบ 6 กิโลกรัม เตรียมทูลเกล้าฯ ถวาย ส่วนพรรคปชป.นิมนต์พระครึ่งหมื่น เจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวง ในวโรกาสครองราชย์ครบ 60 ปี
          กรมศิลปากร ได้จัดสร้าง "คชาภรณ์" หรือ "เครื่องทรงช้างต้น" ชุดใหม่ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มีรับสั่งให้กรมศิลปากรจัดสร้างเพื่อพระราชทานแก่ "พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ" ช้างเผือกคู่พระบารมี เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี นั้น เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายธนชัย สุวรรณวัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ เปิดเผยว่า จะนำไปทดลองความเรียบร้อยที่พระราชวังไกลกังวล ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
          สำหรับ คชาภรณ์ชุดใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นทองคำ 96.5 เปอร์เซ็นต์ ฝังพลอยและลงยา น้ำหนักทองคำ รวม 391.6625 บาท หรือ 5,953.27 กรัม ประกอบด้วย ผ้าปกกระพองทำด้วยผ้าเยียรบับ ตาข่ายแก้วกุดั่นทำด้วยทองคำ พู่หูทำด้วยทองคำบุดุน พระนาดทำด้วยผ้าเยียรบับ กันชีพ ทำด้วยผ้าสักหลาดปักดิ้น เสภาคชาภรณ์ทำด้วยทองคำลงยา พานหน้าพานหลัง ทำด้วยผ้าถักหุ้มผ้าตาด และสำอาง โลหะผิวสีทอง
          ทั้งนี้ การจัดสร้างคชาภรณ์ชุดใหม่นี้ถือเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาช้างอาจจะล้มไปก่อน แต่ช้างองค์นี้ขึ้นระวางและจัดสร้างคชาภรณ์ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แต่ปัจจุบันอายุ 47 ปีมาแล้ว และเครื่องคชาภรณ์ที่จัดสร้างไว้มีขนาดเล็กเกินไปไม่เหมาะสม
          "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งจะจ่ายพระราชทรัพย์เอง แต่กรมศิลปากรขอพระบรมราชานุญาตใช้เงินกองทุนถวาย และเริ่มทำงานเหมือนการตัดสูท เดินทางไปหัวหิน ไปวัดขนาด อาศัยควาญช้างวัดให้เสร็จเรียบร้อยก็มาออกแบบ มาทดลองแบบร่างและไปทดลองตัวอีกครั้งและก็มาตัดของจริง ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จใช้เวลา 3 เดือน และจะนำไปทดลองจริงอีกครั้ง ถ้าไม่ต้องแก้ไขก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งทั้งหมดใช้งบประมาณกว่า 4 ล้านบาท เนื่องจากราคาทองคำเพิ่มจากที่ตั้งไว้บาทละ 8,000 บาท เพิ่มเป็น 12,500 บาท ซึ่งทุกขั้นตอนของการจัดสร้างคชาภรณ์ชุดใหม่จะจดบันทึกในจดหมายเหตุและทำเป็นหนังสือ" ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ กล่าว
          สำหรับพระนามเต็มของ พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ที่ได้รับพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ "พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรพิตรสารศักดิเลิศฟ้า" เป็นช้างเผือกที่เข้ามาสู่พระบารมีของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นช้างแรก เป็นพระยาช้างที่ 1 ในรัชกาลที่ 9 ที่ได้รับการน้อมเกล้าฯ ถวาย เมื่อปี 2501 ปัจจุบันอายุประมาณ 60 ปี เท่ากับปีครองสิริราชสมบัติ
          ปชป.นิมนต์พระครึ่งหมื่นสวดถวายพระพร
          วันเดียวกันนี้ นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี แต่สถานการณ์ต่างๆ ในบ้านเมือง ณ วันนี้ค่อนข้างจะเป็นที่กังวลของประชาชนโดยทั่วไป ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความกังวลถึงสถานการณ์บ้านเมืองต่าง ๆ มากมาย จึงได้ตกลงกันว่าในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดพระมหาธาตุ จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั่วภาคใต้ ประมาณ 5,000 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
          "โอกาสนี้จะมี นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค มาร่วมเป็นประธานในงานพิธีดังกล่าว และมี ส.ส.ในเขตพื้นที่ และบัญชีรายชื่อ ร่วมถึงประธานสาขาพรรคและสมาชิกพรรค ก็จะได้รณรงค์กันเข้าร่วมในการปฏิบัติธรรมถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในวันที่ 2 มิถุนายน เวลา 16.00 น."
          นอกจากนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะมีการแถลงอีกครั้งหนึ่งว่าวันใดที่ ส.ส.และอดีต ส.ส.ของพรรคจะไปร่วมปฏิบัติธรรมที่พุทธมณฑล เพื่อถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ให้พระองค์ท่านทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และจะได้เป็นที่สบายพระราชหฤทัยของพระองค์ท่านว่าพสกนิกร รวมทั้ง ส.ส.ทุกคนพร้อมที่จะถวายชีวิตทั้งหมดแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 07:19:20 PM
ดุลยเดชพาหนฯ  ในเบื้องต้นอธิบดีกรมศิลปากรได้มอบหมายให้  สำนักช่างสิบหมู่  เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดสร้างเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นให้เป็นไปตามแบบแผนราชประเพณี  ในการนี้  ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ได้กำหนดให้  กลุ่มประณีตศิลป์และการช่างไทย  เป็นผู้จัดสร้าง  ขั้นตอนดำเนินงานดังนี้


๑.      สำรวจและรวบรวมข้อมูล  เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ


๒.      เขียนแบบ  ออกแบบ  และขยายแบบเท่าจริง


๓.      จัดทำต้นแบบขนาดเท่าจริงด้วยวัสดุผสม




ภาพตัวอย่างส่วนประกอบคชาภรณ์

         เมื่อจัดสร้างเครื่องยศคชาภรณ์ฯ  ต้นแบบเป็นชุดลำลองเสร็จแล้ว  ในวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙  อธิบดีกรมศิลปากรได้นำคณะช่างไป ณ โรงช้างต้น  พระราชวังไกลกังวล  จ.ประจวบคีรีขันธ์  เพื่อทดลองแต่งเครื่องคชาภรณ์ชุดลำลอง  เมื่อทดลองแต่งและปรับสัดส่วนได้ตามขนาดร่างกายของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ  จนดูเหมาะสมงดงามดีแล้ว  ได้วัดขนาดงาทั้ง ๒ ข้าง  เพื่อจัดทำวลัยงาเพิ่มเติม  ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสรับสั่ง  และก่อนที่คณะทำงานจะเดินทางกลับ  อธิบดีกรมศิลปากรได้มอบผ้าปกกระพองลำลองไว้กับ นายวุฒิ  สุมิตร  รองราชเลขาธิการ  และนายวุฒิได้มอบหางจามรีสีขาว  ซึ่งเอกอัครราชทูตไทย  ประจำประเทศเนปาล  จัดหาส่งมาเพื่อให้กรมศิลปากรใช้ทำพู่หู  และพู่ประดับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์  แทนของเดิมซึ่งชำรุดและเก่ามาก


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: แจ็ค ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 07:19:53 PM

.... เป็นกระทู้วิชาการดีมากเลยครับผม  ได้ความรู้ใหม่ ๆ ขอบคุณครับผม ...


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 07:25:44 PM
         ต่อมาเมื่อกรมศิลปากรได้รับทราบจาก นายวุฒิ  สุมิตร  รองราชเลขาธิการว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณทอดพระเนตรและพิจารณาแบบจำลองแล้ว  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้ดำเนินการสร้างได้ตามรูปแบบที่ทำลำลองไว้นั้น  คณะช่างจึงเริ่มต้นดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ มีรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้วัสดุและวิธีการสร้าง  ดังต่อไปนี้



         ผ้าปกกระพอง  ทำด้วยผ้าเยียรบับลายทองพื้นแดง  เย็บเป็นแผ่นรูปทรงคล้ายกลีบบัว  ชายขอบผ้าทำเป็นริ้วลายทองพื้นเขียวอยู่ด้านใน  พื้นแดงอยู่ด้านนอก ๒ ริ้ว  ขลิบริมด้วยดิ้นเลื่อม  ขนาดความกว้างของผ้าตรงรูปฐานกลีบบัว  ยาว ๘๒ ซ.ม.  ความยาวจากฐานกลีบบัวจรดปลายปลายแหลมของกลีบบัวยาว ๕๕ ซ.ม.  ส่วนฐานของกลีบบัวเชื่อมต่อกับตาข่ายแก้วกุดั่น


         ตาข่ายแก้วกุดั่นหรืออุบะแก้วกุดั่น  ทำด้วยลูกปักแก้ว (เพชรรัสเซีย) เจียระไน  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๒ ม.ม. จำนวน ๘๑๐ เม็ด เจาะรูตรงกลาง  ร้อยด้วยสายทองคำถัก  แบบที่เรียกว่า  สร้อยหกเสา  เริ่มต้นทำเป็นตาข่ายโดยการร้อยลูกปัดแก้ว จำนวน ๙ ลูก  แล้วผูกเป็นจุดเชื่อมตาข่าย  ร้อยลูกปัดแก้วอีก ๙ ลูกผูกติดกับฐานกลีบบัวผ้าปกกระพองเป็นช่วง ๆ รวม ๙ ช่วงเรียงไปตลอดความยาวของฐานกลีบบัว  แถวที่ ๒ เริ่มต้นจากกึ่งกลางของช่วงแรกซึ่งเป็นจุดเชื่อมร้อยลูกปัด ๙ ลูก แล้วผูกไว้ทำต่อไปเช่นนี้ให้เป็นตาข่ายรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว  หรือที่เรียกกันว่า  อุบะหน้าช้าง  มีความยาวด้านละ ๑๐๐ ซ.ม. เท่ากันทั้งสองด้าน  ระยะจากปลายยอดสามเหลี่ยมถึงฐานกลีบบัว  กว้าง ๘๗ ซ.ม.  จุดที่สายทองคำถักร้อยลูกปัดแก้วประสานตัดกันเป็นตาข่าย  ทุกจุดประดับด้วยดอกลายประจำยามทองคำประดับพลอยสีเขียว  สีแดง  และสีขาว  ขนาดกว้างด้านละ ๕ ซ.ม.  ห้อยด้วยพวงอุบะทองคำประดับพลอยสีแดง  และสีขาว  ยาว ๑๐ ซ.ม. มีจำนวนรวม ๔๗ จุด  และยังได้เพิ่มอุบะที่ตาข่ายแก้วเจียระไนตรงจุดที่ต่อกับผ้าปกกระพองอีก ๒ แถว


         พู่หู  ทำด้วยขนหางจามรีสีขาวบริสุทธิ์  เป็นเครื่องประดับทรงพู่ใช้ห้อยจากผ้าปกกระพอง  ลงมาอยู่ส่วนหน้าของใบหูทั้งสองข้าง  ในการประกอบเป็นตัวพู่  หรือลูกพู่  เบื้องต้นต้องทำแกนด้วยผ้าขาวเป็นรูปดอกบัวตูม  มีเชือกหุ้มผ้าตาดทองต่อจากขั้วแกน  เพื่อใช้ผูกกับผ้าปกกระพอง  ต่อจากนั้นเย็บขนจามรีประกอบเข้ากับแกนที่เตรียมไว้  จำนวน ๒ พู่  พู่หรือลูกพู่นี้เมื่อเย็บขนจามรี เสร็จแล้วจะมีรูปทรงคล้ายดอกบัว  มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ส่วนที่กว้างที่สุด ๒๖ ซ.ม.


         ผ้าคลุมพู่  ทำด้วยผ้าเยียรบับรูปดาวหกแฉก ใช้คลุมบนขั้วพู่จามรี  โดยเจาะรูตรงกลางเพื่อใช้เป็นที่ร้อยเชือก  ขอบผ้าริมนอกขลิบด้วยผ้าตาดทอง  ริมในขลิบด้วยผ้าสีแดง


         จงกลพู่  เป็นส่วนที่ใช้ครอบบนขั้วพู่ทับอยู่บนผ้าคลุมพู่  ทำด้วยทองคำบุดุนลงยาสีเขียว  และสีแดง  ทำเป็นลายดอกบัวคว่ำ  ปลายกลีบดอกบานออกเล็กน้อย  ลักษณะรูปทรงคล้ายกรวย  ตัวจงกลพู่ยาว ๑๒ ซ.ม. ปากจงกลพู่เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๘.๐๒ ซ.ม.  โคนจงกลพู่เจาะรูเป็นที่ร้อยเชือกจากขั้วพู่  เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง ๑.๐๘ ซ.ม.  ความยาวของพู่หูจากปลายจงกลถึงปลายแหลมของตัวพู่ประมาณ ๕๒ ซ.ม.  เส้นรอบวงของพู่ประมาณ ๗๖ ซ.ม.


เสมาคชาภรณ์ สร้อยคอ และวลัยงา



         เสมาคชาภรณ์  เป็นจี้หรือเครื่องประดับรูปใบเสมาสำหรับร้อยสายสร้อยผูกคอ  ขนาดกว้าง ๑๑.๐๕ ซ.ม. ยาว ๑๔.๐๕ ซ.ม.  ทำด้วยทองคำลงยา  ด้านหน้าบุดุนเป็นรูปพระราชลัญจกร  พระมหามงกุฎอุณาโลม  ยอดพระมหามงกุฎเปล่งรัศมี  ด้านข้างพระมหามงกุฎกระนาบด้วยลายช่อดอกลอยใบเทศ  มีลายประดับรับส่วนล่าง  กรอบใบเสมาบุดุนเป็นลายรูปพญานาค ๒ ตัว ใช้หางเกี้ยวกัน  ส่วนบนของใบเสมาตีปลอก บุ ดุนลายลวดลายลงยา  มีลูกปัดทองทรงกลมกลวงสำหรับสอดร้อยด้วยสายสร้อยทองคำ  ลูกปัดทั้งสองมีขนาดกว้าง ๒ ซ.ม. ยาว ๒ ซ.ม.




         สร้อยคอ  หรือสายสร้อยผูกคอทำด้วยทองคำ  เป็นรูปห่วงเกลียวมีเส้นผ่าศูนย์กลาง  สายเกลียวประมาณ ๑.๑ ซ.ม.  ความยาวของสายสร้อย ๒๘๕ ซ.ม.




         ตาบ หรือ ตาบทิศ  เป็นเครื่องประดับติดอยู่กับพานหน้า และพานหลัง  ทำด้วยทองคำบุดุนฉลุลายดอกประจำยามประดับพลอยสีเขียว  สีแดง  และสีขาว  รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  กว้างยาวด้านละ ๗ ซ.ม.  สำหรับประดับพานหน้า  ส่วนที่อยู่ใกล้กับไหล่ ๒ ข้าง และประดับพานหลัง  ส่วนที่อยู่ใกล้ตะโพก ๒ ด้าน  รวม ๔ ดอก




         วลัยงา หรือ สนับงา  เป็นเครื่องประดับงา  ใช้สวมงาทั้ง ๒ ข้าง ๆ ละ ๓ วง  รวม ๖ วง  ทำด้วยทองคำบุดุนประดับพลอยสีเขียว  สีแดง  และสีขาว




         สำอาง  เป็นห่วงคล้องอยู่ส่วนท้ายช้างใต้โคนหาง  เพื่อยึดกับพานหลัง  ทำด้วยทองเหลืองชุบทอง มีลายประดับทำด้วยวิธีพิมพ์แกะลายบริเวณที่เป็นรูปขอ  ก่อนนำไปหล่อ  ขนาดสำอาง กว้าง ๓๓ ซ.ม.  ยาว ๓๖ ซ.ม.




         ทามคอ  พานหน้า  พานหลัง  โยงพานหลัง  และสายรัดประคน  ทำด้วยผ้าถักแบบสายพานหุ้มด้วยผ้าตาดทอง  มีห่วงโลหะชุบทองเป็นตัวเกี่ยวประสานผูกด้วยเชือกหุ้มผ้าตาดทองทุกเส้น


พนาศ



         พนาศ  เป็นผ้าคลุมหลังช้าง  รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  ทำด้วยผ้าเยียรบับ  ท้องผ้า  เป็นลายทองพื้นเหลือง  ตามสีประจำวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ล้อมด้วยผ้าตาดทองพื้นแดงด้านหลังผ้าเยียรบับต้องใช้ผ้าซับกาวรีดทับเพื่อไม่ให้ริมผ้าหลุด  ชายขอบผ้าชั้นนอกทั้ง ๔ ด้านขลิบด้วยดิ้นทอง ๒ ชั้น  และปิดทับรอยต่อของผ้าตาดเป็นขอบชั้นในส่วนชายผ้า ๒ ด้านที่ห้อยลงมาอยู่ข้างท้องช้างนั้น  ตรงกลางท้องผ้าติดคันชีพ  ทำเป็นกระเป๋าผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม  ขนาดกว้าง ๒๙ ซ.ม.  ยาว ๓๖  ซ.ม.  ขลิบริมด้วยดิ้นทองทั้ง ๔ ด้าน  ตรงกลางปักลายพระราชลัญจกรพระมหามงกุฎอุณาโลมด้วยไหมเหลือง  ที่คันชีพทั้ง ๒ ข้าง  ติดเม็ดดุมทำด้วยแก้วเจียระไนสายคล้องดุมทำด้วยทองคำ  ขอบชายผ้าต่อจากคันชีพลงไปมีผ้าระบายซ้อน ๓ ชั้น  แต่ละชั้นขลิบด้วยดิ้นทองตกแต่งด้วยตุ้งติ้งประกอบชายผ้าทั้ง ๓ ชั้น


         เครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นชุดใหม่ที่สร้างเสร็จนี้  มีส่วนที่ทำด้วยทองคำน้ำหนักรวม  ๕,๙๙๓.๒๗ กรัม  หรือประมาณ  ๖  กิโลกรัม


พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ



         เมื่อคณะช่างดำเนินการสร้างเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้น  สำหรับพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ตามแบบเรียบร้อยแล้ว  วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ อธิบดีกรมศิลปากรได้นำคณะทำงาน  พร้อมด้วยเครื่องยศคชาภรณ์ฯ ชุดใหม่ไป ณ โรงช้างต้น  พระราชวังไกลกังวล  เพื่อทดลองแต่งให้พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ  พร้อมทั้งตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นรายชิ้นให้ครบถ้วน  จนกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องยศคชาภรณ์ช้างต้นที่งดงาม  แต่งได้เหมาะสมกับร่างกายที่สมบูรณ์ใหญ่โตของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ  ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกประการ



หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: ชัยบึงกาฬ รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 07:37:09 PM
ขอบคุณครับ ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: lek ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 07:46:58 PM
ขอบคุณครับท่าน


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: อ้วน 008 รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 08:43:16 PM
ขอบคุณในความรู้มากครับ
ขอรบกวน ช่วยแก้ให้ด้วยครับ รัชการที่ 9


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 08:53:34 PM
+๑  ขอบคุณครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: นายขม รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 09:25:42 PM
ขอบคุณครับ +๑ ครับ


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: NaiMai>รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 10:53:07 PM
 ::002::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 10:56:57 PM
ภาพช้างสำคัญในรัชการที่9 ครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: soveat ชุมไพร ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 10:58:07 PM
 ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: ^-^ภูพาน~รักพ่อหลวง^-^ ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 08:10:35 AM
 ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่9
เริ่มหัวข้อโดย: Choro - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 09:04:07 AM
ขอบคุณครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชการที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: นิ น น า ท ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 02:08:57 PM

  เป็นความรู้ที่มีคุณค่ายิ่งครับ แล้วก็..ขออนุญาตนิดหนึ่งนะครับ

 

  จาก พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 

  รัชกาล

  คำแปล

  น. เวลาครองราชสมบัติแห่งพระราชาองค์หนึ่งๆ.

  โดยอนุโลมใช้หมายถึงองค์พระมหากษัตริย์ในรัชกาลนั้น ๆ เช่นรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต้น.


  ขอบคุณมากครับ


 


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 02:47:05 PM
ช้างไทยในแต่ละรัชกาล
            ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ปกครองมานานหลายรัชสมัย ซึ่งในการปกครองแต่ละรัชสมัยนั้นก็ได้มีช้างเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการปกครองตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งปัจจุบันช้างถือว่าเป็นสัตว์ที่ช่วยเสริมบารมีของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตามความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงเสวยราชย์เป็นพระยาช้างที่มีบุญบารมีมากว่า 500 ชาติ จึงถือได้ว่าช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทยเลยก็ว่าได้
กรุงสุโขทัย
ในศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวว่าพระเจ้ารามคำแหงมหาราชได้ชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด และยังมีอีกตอนที่กล่าวถึงช้างเผือกตัวโปรดของพระเจ้ารามคำแหงมหาราชที่ชื่อรุจาครี ซึ่งช้างเผือกตัวนี้ทรงให้แต่งด้วยเครื่องคชาภรณ์ แล้วทรงนำราษฎรออกบำเพ็ญกุศลตามพระอารามในอรัญญิกเมื่อครั้งที่ทรงครองกรุงสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยา
            ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีช้างเผือกที่มีลักษณะพิเศษที่นำมาเป็นสัตว์คู่บารมีของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล
• ในสมัย สมเด็จพระอินทราชาที่ 2 ได้ช้างเผือกมา 1 เชือก
• ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชได้ปรากฏช้างเผือกที่ชื่อพระฉัททันต์ขึ้น
• ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรัชสมัยเริ่มต้นที่ให้ความสำคัญกับช้างเผือกมากที่สุด พร้อมทั้งยังมีช้างเผือกประจำรัชกาลนี้ถึง 7 เชือก คือ พระคเชนทโรดม พระรัตนากาศ พระแก้วทรงบาศ ช้างเผือกพังแม่และพังลูก พระบรมไกรสร พระสุริยกุญชร
• ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ได้ช้างเผือกมา  2  เชือก คือ พระอินทร์ไอยราวรรณ และ เจ้าพระยาบรมคเชนทรฉัททันต์
• ในสมัยสมเด็จพระมหาบุรุษ( พระเพทราชา) ได้ช้างเผือกมา 2 เชือก คือ พระอินทรไอราพต และ พระบรมรัตนากาศ
• ในสมัยสมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 ( พระเจ้าเสือ ) ได้ช้างเผือกชื่อ พระบรมไตรจักร
• ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่  3 ( พระบรมโกศ )ได้ช้างเผือกมา 6 เชือก คือ พระวิเชียรหัสดิน พระบรมราชนาเคนทร พระบรมวิไชยคเชนทร พระบรมกุญชร พระบรมจักรพาลหัตถี พระบรมคชลักษณ์

กรุงธนบุรี
            สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ช้างพังเผือก ได้เมื่อครั้งนำกองทัพกรุงไปล้อมเมืองฝาง เจ้าฝางหนีพาช้างไปด้วย กองทัพติดตามได้ลูกช้างนำมาถวาย

กรุงรัตนโกสินทร์
• รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ช้าง 10 เชือก คือ พระบรมไกรสร ( บวรสุประดิษฐ) พระบรมไกรสร ( บวรบุษปทันต์ ) พระอินทรไอยรา พระเทพกุญชร พระบรมฉัททันต์ พระบรมนัขมณี พระบรมคชลักษณ์ ( อรรคคเชนทร์ ) พระบรมนาเคนทร์ พระบรมคชลักษณ์ ( อรรคชาติดามพหัตถี ) พระบรมเมฆเอกทนต์
• รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีช้าง 6 เชือก คือ พระยาเศวตกุญชร พระบรมนาเคนทร์ พระบรมหัศดิน พระบรมนาเคนทร์ ( คเชนทรธราธาร ) พระยาเศวตไอยรา พระยาเศวตคชลักษณ์
• รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้างเผือกอยู่ 20 เชือก คือ พระบรมคชลักษณ์ พระบรมไอยรา พระบรมนาเคนทร์ พระบรมเอกทันต์ พระยามงคลหัสดิน พระยามงคลนาคินทร์ พระบรมไกรสร พระบรมกุญชร พังหงษาสวรรค์ พระนัขนาเคนทร์ พระบรมไอยเรศ พระบรมสังขทันต์ พระบรมคชลักษณ์ ( ศักดิสารจุมประสาท ) พระบรมนขาคเชนทร์ พระนาเคนทรนขา พระบรมทัศนขา ช้างพลายสีประหลาด พระบรมศุภราช พระยามงคลคชพงศ์ ช้างพลายกระจุดดำ
• รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้าง 15 เชือก คือ พระบรมนัขสมบัติ พระวิมลรัตนกิริณี พระบรมคชรัตน พระวิสูตรรัตนกิริณี พระพิไชยนิลนัข พระพิไชยกฤษณาวรรณ พระศรีสกลกฤษณ์ พระมหาศรีเศวตวิมลวรรณ ช้างพังเผือกเอก พระเศวตสุวรรณาภาพรรณ ช้างพัง เผือกเอก พระเทวสยามมหาพิฆเนศวร ช้างสีประหลาด เจ้าพระยาปราบไตรจักร พระยาไชยานุภาพ
• รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีช้าง 19 เชือก คือ พระเศวตวรวรรณ พระมหารพีพรรณคชพงษ์ พระเศวตสุวภาพรรณ พระเทพคชรัตนกิริณี พระศรีสวัสดิเศวตวรรณ พระบรมทันตวรลักษณ์ พระเศวตวรลักษณ์ พระเศวตวรสรรพางค์ พระเศวตวิสุทธิเทพา พระเศวตสุนทรสวัสดิ์ พระเศวตสกลวโรภาศ พระเศวตรุจิราภาพรรณ พระเศวตวรนาเคนทร์ ช้างพลายเผือกเอก พระศรีเศวตวรรณิภา พระเศวตอุดมวารณ์ ช้างพลายสีประหลาด  2 เชือก เจ้าพระยาไชยานุภาพ
• รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ช้าง พระเศวตวชิรพาหะ
• รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ช้าง พระเศวตคชเดชน์ดิลก



หัวข้อ: Re: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: hangseri - รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 02:53:29 PM
ขอบคุณมากครับ


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: JUNG KO ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 03:03:07 PM
ช้างต้น  หมายถึง  ช้างที่ได้รับการขึ้นระวางเป็นช้างหลวงส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์  ในสมัยโบราณได้แบ่งช้างต้นออกเป็น  ๓  ประเภท  ดังนี้
    ๑.ช้างศึกที่ทรงออกรบ
    ๒.ช้างสำคัญซึ่งมีลักษณะเป็นช้างมงคลตามตำราคชลักษณ์  แต่ไม่สมบูรณ์หมดทุกส่วน
    ๓.ช้างเผือกซึ่งมีลักษณะถูกต้องตามตำราคชลักษณ์อย่างสมบูรณ์
     ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์  การศึกที่ต้องใช้กองทัพช้างในการสงครามหมดความสำคัญลง  ช้างศึกที่ควรขึ้นระวางเป็นช้างต้นก็ไม่มีความจำเป็นจึงคงเหลือเพียงช้างต้น  ที่หมายถึงช้างสำคัญและช้างเผือก  ซึ่งหากพบก็จะมีการประกอบพระราชพิธีรับสมโภชและขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้น  ด้วยถือตามพระราชประเพณีที่ว่า  ช้างเผือกนั้นเป็นหนึ่งในรัตนะ  ๗  สิ่งซึ่งคู่บารมีขององค์พระมหากษัตริย์  โดยรัตนะทั้ง  ๗  นี้มีชื่อเรียกว่า  สัปตรัตนะ  อันได้แก่  จักรรัตนะ(จักรแก้ว)  หัตถีรัตนะ(ช้างแก้ว)  อัศวรัตนะ(ม้าแก้ว)  มณีรัตนะ(มณีแก้ว)  อัตถีรัตนะ(นางแก้ว)  คหปติรัตนะ(ขุนคลังแก้ว)  ปริณายกรัตนะ(ขุนพลแก้ว)
                                    
 
กำเนิดช้างมงคล
   จากตำราพระคชศาสตร์  ได้กล่าวถึงการกำเนิดช้างมงคล  และแบ่งช้างมงคลเป็น  ๔  ตระกูล   ตามนามแห่งเทวะผู้ให้กำเนิด  คือ
    ๑. ช้างตระกูลพรหมพงศ์  พระพรหมเป็นผู้สร้าง  ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีย่อมให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางวัตถุและวิทยาการต่างๆ
    ๒.  ช้างตระกูลอิศวรพงศ์  พระอิศวรเป็นผู้สร้าง  ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีบ้านเมืองจะมีความเจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์และอำนาจ
     ๓.  ช้างตระกูลวิษณุพงศ์  พระวิษณุ(พระนารายณ์)เป็นผู้สร้าง  ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีย่อมมีชัยชนะแก่ศัตรู  ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล  ผลาหารธัญญาหารจะบริบูรณ์
     ๔.  ช้างตระกูลอัคนีพงศ์  พระอัคนีเป็นผู้สร้าง  ช้างตระกูลนี้เมื่อมาสู่พระบารมีบ้านเมืองจะเจริญด้วยมังสาหารและมีผลในทางระงับศึก  อันพึงจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นแล้ว  ทั้งมีผลในทางระงับความอุบาทว์ทั้งปวง  อันเกิดแก่บ้านเมือง
 
คติความเชื่อเกี่ยวกับช้างเผือก
      ตามคติความเชื่อทั้งในศาสนาพราหมณ์  และพุทธศาสนาถือว่าช้างเผือกเป็นสัตว์ที่สูงด้วยมงคลทั้งปวง  เป็นสัญลักษณ์ทั้งธัญญาหาร  ภักษาหาร  ผลาหาร  และพระบารมีเกริกไกรอันยิ่งใหญ่แก่แผ่นดิน  และจะเกิดขึ้นด้วยบุญญาบารมีแห่งองค์พระจักรพรรดิ  แห่งแคว้นประเทศนั้น  ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อได้พบช้างเผือกเวลาใด  ประชาราษฎร์ก็จะแซ่ซ้องสาธุการน้อมเกล้าฯ  ถวายด้วยเป็นรัตนะแห่งพระองค์
 
เจ้าพระยาปราบไตรจักร (พลายหอม) ในรัชกาลที่ ๓ - ๔
 
เจ้าพระยาปราบไตรจักร
งาช้าง ขนาด สูง ๒๙๙ ซม. และ สูง ๒๓๘ ซม. หนา ๔๔.๕ ซม. และ หนา ๔๕.๕ ซม
อายุสมัย รัตนโกสินทร์ ช้างพลายหอมจันได้มาจากเมืองด่านซ้าย ได้รับการขึ้นระวางประกอบพระราชพิธีสมโภช และพระราชทานนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร พลายหอมจันมีรูปร่างงาม มีงายาวไขว้จนถึงดิน ในขณะที่เข้าขบวนใดก็ตาม จะต้องทำพื้นยกเตรียมไว้ เวลาเดินต้องแหงนคอขึ้น เพื่อไม่ให้งาครูดกับพื้น เมื่อหยุดเดิน ก็ยืนบนแท่นที่เตรียมไว้  เอางาพักบนพื้นดิน  งาช้างพระยาปราบไตรจักร เคยจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร  และได้นำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ช้างต้นวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๕  
 
แส้หางช้างพลายศรีประหลาด  
 เมืองเชียงใหม่       
งาพระยาช้างต้น (จากซ้ายไปขวา)  
 งา พระเทพกุญชร  รัชกาลที่ ๑
 งา พระเศวตกุญชร  รัชกาลที่ ๒
 งา พระบรมฉัททันต์ รัชกาลที่ ๓

 
พ่อหมอเฒ่า (ปฏิยะ) ทำด้วยสำริด ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น เข้าใจว่าเดิมเป็นรูปเคารพอยู่ในกรมพระคชบาล ปัจจุบันจัดแสดงอยู่  ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ช้างต้น
    กว้าง ๓๕ ซม. สูง ๔๔ ซม.
    สมัยรัตนโกสินทร์
    ทำจากสำริด
    กรมช้างต้นกระทรวงวัง ส่งให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติช้างต้นวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๗๒    
หนังช้างเผือกดอง เข้าใจว่าเป็นหนังช้าง
เผือกเอก ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามหามาลา  กรมขุนบำราบปรปักษ์ทรงคล้องได้ ที่บ้านนา แขวงนครนายก พ.ศ.๒๔๐๗ แต่ล้มเสียก่อนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสียดายมากโปรดเกล้าให้เอาหนังดองไว้ ฯ
 

โรงช้างต้นเก่า  ในพระราชวังดุสิต ข้างรัฐสภา  ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ   ช้างต้นเป็นช้างเผือกโท คล้องได้ที่ป่าดงกระมุง แขวงเมืองสมบุกสมบุญ เจ้ายุติธรรมนครจำปาศักดิ์  น้อมเกล้าฯถวาย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๘ วันพุธ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๗ปีกุน จ.ศ.๑๒๓๗ รูปจำลองนี้จำลองขึ้นเพื่อนำทูลเกล้า ฯ ถวายเพื่อทอดพระเนตร และมีคำสั่งโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง จารึกชื่อความเป็นมา ลงบนแท่นหินอ่อน หรือฐานของรูปหุ่นช้างเป็นของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ช้างต้นมาแต่เดิม
นำมาจัดแสดงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๕  

ในอดีตยามสงคราม กษัตริย์จะอัญเชิญพระชัยหลังช้างออกนำกระบวนทัพเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่กองทัพ


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: Tืa์M๊ ┇รัnใuxaวJ ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 05:51:00 PM
พระเศวตสุรคชาธารฯ หรือ คุณพระเศวตฯ เล็ก เป็นช้างพลายเผือก เกิดในป่าตำบลการอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จราชดำเนินทรงประกอบพิธีสมโภชขึ้นระวาง ที่จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2511 พระราชทานนามว่า

พระเศวตสุรคชาธาร บรมนฤบาลสวามิภักดิ์
ศุภลักษณเนตราธิคุณ ทศกุลวิศิษฏพรหมพงศ์
อดุลยวงศ์ตามพหัตถี ประชาชนะสวัสดีวิบุลยศักดิ์
อัครสยามนาถสุรพาหน มงคลสารเลิศฟ้า ๚
เครดิต จาก wikipedia ครับ

ซึ่งมีอนุสาวรีย์ที่สนามโรงพิธิช้างเผือก จังหวัดยะลาครับ 


(http://img301.imageshack.us/img301/8000/96926310.jpg) (http://img301.imageshack.us/i/96926310.jpg/)

(http://img301.imageshack.us/img301/4269/76763095.jpg) (http://img301.imageshack.us/i/76763095.jpg/)



หัวข้อ: Re: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: bluebunny รักในหลวง ที่ พฤศจิกายน 25, 2009, 05:40:37 AM
ขอบคุณค่ะ เป็นกระทู้ที่ดีมากเลย +1 ค่ะ ชอบตอนที่เล่าถึงพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ ไม่ยอมให้พาเดิน แต่พอเข้าในเขตพระราชฐานก็เปลี่ยนเป็นสงบลง อ่านแล้วรู้สึกประทับใจค่ะ


หัวข้อ: Re: ช้าง รัชกาลที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: ...อภิสิทธิ์ ... ที่ พฤศจิกายน 27, 2009, 12:23:37 PM
เครื่องทรงใหม่ใช้ทอง 5953กร้ม  (เกือบหกกิโล)  ปัจจุบันแค่ค่าทอง 7321200(เจ็ดล้านสามแสนกว่า) นี่ไม่นับค่าแรงระดับอาจารย์   :OO :OO