เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 01:44:20 PM



หัวข้อ: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 01:44:20 PM

เป็นเรื่องเล่าที่ผม Coppy มาอีกทีครับ ^_^"


          ธรณีสูบลูกทรพีไล่ฆ่าแม่

จากบันทึกของคุณอนุชาติ อินทรพรหม

เมื่อราว ๕๐ ปีผ่านมาที่ลพบุรี สมัยที่บ้านเมืองยังไม่เจริญเช่นทุกวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ทำนา

เลี้ยงชีวิต  ณ เชิงเขาสะพานนาค มีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งที่ท้ายหมู่บ้านมีกระต๊อบหลังคามุงแฝกหลังหนึ่ง

เป็นที่อยู่อาศัยของ ๔ ชีวิต มีหญิงชราผู้เป็นแม่ ลูกชาย - ลูกสะใภ้ และหลานน้อย ลูกชายชื่อทอง

เป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหร้าย มุทะลุดุดัน ชอบเล่นการพนัน ติดสุรายาเสพติด วันๆการงานไม่ทำ

เอาแต่ดื่มสุราหาเล่นการพนัน แม่กับเมียจะลำบากอย่างไรก็ช่าง

ผู้เป็นเมียจึงออกไปทำไร่หาเลี้ยงครอบครัวทุกวันปล่อยให้แม่ผัวกับลูกน้อยเฝ้าบ้าน

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง ย่ากับหลานอยู่ด้วยกันสองคน

ย่าแก่แล้วจึงงกๆเงิ่นๆด้วยความชราตามหลานไม่ค่อยจะทัน หลานน้อยก็แสนซนคอยลักหนีไปเที่ยว

อยู่เรื่อย ตะวันบ่ายคล้อยผู้เป็นย่าจัดแจงเข้าครัวหุงหาอาหารไว้คอยลูก ย่ากำลังทำครัวเพลิน

หลานน้อยได้โอกาสหนีไปเล่นน้ำในโอ่งข้างล่าง น้ำมีเพียงครึ่งโอ่งหลานน้อนจอมซนจะตักน้ำมาเล่น

แต่ตักไม่ถึงจึงปีนปากโอ่งพยายามตักน้ำให้ได้ บังเอิญพลาดหัวทิ่มลงไปในโองดิ้นขลุกขลักอยู่

จะขึ้นก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ออกทุรนทุราย ฝ่ายย่าอยู่ในครัวได้ยินเสียงหลานดิ้นจึงรีบออกมาดู

เห็นแต่เท้าโผล่ออกมาจึงรีบคว้าหลานขึ้นจากโอ่ง อนิจจา....สายเกินไปเสียแล้วเด็กน้อยขาดใจตาย

เสียแล้ว หญิงชราตกใจแทบสิ้นสติ ได้แต่กอดศพหลานร้องไห้คร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ

เพื่อนบ้านเดินทางผ่านมาจึงแวะเข้าไปดูเห็นหญิงชรากอดศพหลานร้องไห้อยู่ สอบถามดูก็รู้สาเหตุ

จึงให้คนไปตามเอาลูกชายลูกสะใภ้ของหญิงชราให้กลับมาบ้าน


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 01:46:06 PM

ที่วงการพนันเจ้าทองร่ำสุราได้ที่เข้าเล่นการพนันกำลังเสียอารมณ์ไม่ดี

พอมีคนไปส่งข่าวว่าลูกชายตายจึงรีบกลับบ้านด้วยความเสียใจ มาถึงบ้านเห็นแม่กับเมียร้องไห้

อยู่ข้างศพลูกชายท่ามกลางเพื่อนบ้าน เจ้าทองยิ่งเสียใจบวกด้วยความเมาและอารมณ์เสียจากพนัน

จึงเอะอะตึงตังตะคอกถามแม่ด้วยเสียงอันดังถึงสาเหตุที่ลูกของตนทำไมจึงตกน้ำตาย

ผู้เป็นแม่เห็นเจ้าทองเอะอะขึงขังเสียงดังก็ใจคอไม่ค่อยดี ปากคอสั่นจับต้นชนปลายไม่ถูก

เพื่อนบ้านจึงเล่าให้ฟังแทน เมื่อรู้เรื่องแทนที่เจ้าทองจะระงับยับยั้งอารมณ์กลับมีโมโหโทสะเพิ่มขึ้น

ชี้หน้าด่าแม่อย่างเดือดดาลว่าไม่ดูแลหลานให้ดี แม่ได้แต่ตกใจกลัวตัวสั่น

เจ้าทองลืมตัวขาดสติยับยั้งชั่งใจกระชากมีดเหน็บอยู่ข้างฝาบ้านตรงเข้าไปหมายจะฆ่าแม่ให้ตาย

ด้วยความแค้น เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์เห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขัดขวางจับกุมไว้ พร้อมว่ากล่าวเตือนสติ

แต่เจ้าทองหน้ามืดตาลายเสียแล้วออกแรงสะบัดดิ้นจนหลุดกระโจนเงื้อมีดเข้าหาแม่

หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงออกวิ่งหนีจากบ้าน ไอ้ลูกเนรคุณยังไม่ลดละไล่กวดตามแม่ไปติดๆ

อย่างไม่ลดละ หญิงชราวิ่งกระเซอะกระเซิงหนีตาย ดีแต่เจ้าทองยังไม่สร่างเมาดีจึงวิ่งเปะปะตามแม่

ไม่ค่อยจะทัน เพื่อนบ้านเห็นเหตุการณ์พยายามจะขัดขวางแต่ถูกเจ้าทองป่ายมีดวืดวาดเข้าใส่

ต่างก็กระเจิดกระเจิงออกไปทุกทิศ เจ้าทองออกตามแม่ไปอย่างกระชั้นชิด

หญิงชราเห็นท่าไม่ดีจึงหนีเข้าวัดหวังพึงคุณพระคุณเจ้าให้ช่วยด้วยเป็นเขตอภัยทาน

เข้าไปหาสมภารที่กุฏิร่ำร้องให้ช่วยสงเคราะห์แก่สัตว์ผู้ตกยาก สมภารเข้าขวางหมายเตือนสติพยายาม

เทศนาสั่งสอนให้รู้จักชั่วดีว่า การฆ่าพ่อฆ่าแม่นั้นเป็นบาปมหันต์ พ่อแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงเรามา

กว่าจะเติบโตแสนจะลำบาก แต่เจ้าทองหาได้เชื่อฟังไม่กลับตรงเข้าไปผลักท่านสมภารจนเซถลา

ตรงเข้าไปจะฆ่าแม่ที่แอบอยู่ข้างหลังอีก


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 01:47:45 PM

หญิงชราอาศัยจังหวะที่เจ้าทองยังช้าอยู่วิ่งออกจากกุฎิหมายเข้าไปที่โบสถ์ปิดประตู

เจ้าทองออกวิ่งตามไปติดๆหวุดหวิดจวนเจียน หญิงชราก้าวขาเข้าโบสถ์ เจ้าทองเงื้อมีดหมายจะฆ่า

ฟ้าดินก่อปาฏิหารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าข้างคนดีลงโทษคนชั่ว ฉับพลันพื้นดินที่เจ้าทองเหยียบอยู่

พลันก็แยกออกจากกันเหมือนทานน้ำหนักคนชั่วไม่ไหว ลูกทรพีตกใจสุดขีดร่างร่วงลงไปในรอยแยก

มีดหลุดจากมือสร่างเมาโดยฉับพลันแถมแผ่นดินนั้นกลับหนีบตัวเอาไว้ เจ้าทองพยายามดิ้นให้หลุด

แต่ดินนั้นยังคงดูดเจ้าทองลงไปเรื่อยๆ ยิ่งดิ้นยิ่งดูดเจ้าทองตาสว่างได้คิดถึงบาป-บุญว่ามีจริง

ตนเจอบาปกรรมตามทันจึงเกิดความกลัวแหกปากร้องเรียกให้คนช่วยเสียงดังลั่นสนั่นหวั่นไหว

ด้วยกลัวตาย หญิงชราผู้เป็นแม่หนีเข้าโบสถ์ได้ก็ปิดประตูรอดตาย แต่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยของเจ้าทอง

ก็แปลกใจแง้มประตูออกดู เห็นเจ้าทองถูกธรณีสูบก็ตกใจเข้าใจทุกอย่างทันที ด้วยสัญชาตญาณ

ของความเป็นแม่เกิดความเป็นห่วงกลัวลูกจะตาย ลืมไปแล้วว่าเพิ่งถูกลูกทรพีคนนี้ไล่ฆ่า

จนเอาชีวิตแทบไม่รอดมาหยกๆ ( นี่แหละหนอ ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ) รีบเปิดประตูโบสถ์

ถลาออกมาดูลูกทันที เจ้าทองเห็นแม่ออกมาหา ถึงกับน้ำตาร่วงร้องไห้โฮด้วยสำนึกผิด

กราบเท้าแม่สารภาพผิด หญิงชราคว้าแขนลูกชายหมายจะดึงให้พ้นจากพื้นดินที่ดูด

แต่ก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ผู้เป็นแม่หมดปัญญาก็ไปขอร้องให้พระในวัดมาช่วย

พอดีชาวบ้านตามมาทันนางก็ขอให้ช่วยลูกชั่วของตนให้พ้นภัย


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 01:48:57 PM

ท่านสมภารให้ชาวบ้านทำขันธ์ ๕ ให้เจ้าทองขอขมาโทษแม่และฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ที่ได้กระทำชั่วล่วงเกินแม่ และขอให้แม่ธรณียกโทษให้ หญิงชราผู้เป็นแม่ยกโทษอโหสิกรรมให้

ชาวบ้านจึงช่วยกันฉุดเอาเจ้าทองขึ้นจากดิน แต่ไม่ว่าจะฉุดกระชากลากดึงอย่างไรก็หาขยับเขยื้อน

ไม่มีแต่จะจมลงๆ ชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาเป็นขุดดินออก

แต่แปลกประหลาดอัศจรรย์เหมือนสวรรค์ลงโทษซ้ำ ดินนั้นกลับแข็งเหมือนเหล็กจนจอบเสียมที่ขุด

กระเด็นดีดออกมาโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมยกโทษให้

ในที่สุดก็จนปัญญาที่จะช่วยเจ้าทองได้แม่และเมียจึงได้นิมนต์ท่านสมภารให้เทศนาโปรดเจ้าทอง

เป็นครั้งสุดท้าย เจ้าลูกทรพีสำนึกผิดฟังเทศน์ด้วยอาการสงบน้ำตานองหน้า ร่างก็จมลงเรื่อยๆ

เจ้าทองทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืน ก็สิ้นใจตายพร้อมกับร่างจมลงหมดแผ่นดินก็ปิดเหมือนเดิม
ท่ามกลางความโศกเศร้าสังเวชใจของชาวบ้านที่พบเห็น


*-* เรื่องนี้คุณอนุชาติ อินทรพรหม บอกว่าได้รับฟังจากแม่และญาติผู้ใหญ่อีกที เหตุการณ์นี้คงเตือนสติท่านผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย *-*


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: yod - รักในหลวง ครับ ที่ ธันวาคม 03, 2009, 01:53:16 PM


ขอบคุณครับ พี่ Nattapol   


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ ธันวาคม 03, 2009, 02:23:32 PM

       เคยอ่านแล้ว  ได้อ่านอีกก็รู้สึกดีเหมือนเดิม ..... ขอบคุณครับ



หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ ธันวาคม 03, 2009, 02:58:14 PM
ขอบคุณครับ  ::014::


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: นายรัก-รักในหลวง- ที่ ธันวาคม 03, 2009, 03:15:41 PM
 ::004:: ::004:: ::004:: คนเนรคุณชาติ ทำไมไม่มีอย่างนี้มั่งน้อ  ::014:: ::014:: ::014::


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: ธนัท รักในหลวง ที่ ธันวาคม 03, 2009, 03:34:04 PM
อ่านแล้วหันมามองคนยุคสมัยนี้ ก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
ประเภทเมาเหล้า เมายา สร้างความเดือดร้อน สร้างความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ..ชีวิต..
ให้แก่คนรอบข้างไม่เว้นแม้กระทั่งบุพการี ที่เฝ้าฟูมฟัก...พร่ำสั่งสอนอบรมตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย
ก็ยังมีให้เห็น ให้ได้ยินอยู่เสมอ  ::004::


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: korpat ที่ ธันวาคม 03, 2009, 03:34:41 PM
ขอบคุณครับ ::014::


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:21:13 PM

ผู้ต้องธรณีสูบในพุทธประวัติ

1. พระเทวทัต

 
พระเทวทัต ในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร

ที่มาเป็นพระพุทธเจ้า และเป็นลูกของลุง พระพุทธเจ้าเองพระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธเจ้ามานานหลายชาติ

อดีตชาตินานมาแล้วนั้นพระเทวทัตเป็นพ่อค้าวานิช มีจิตละโมบทุจริตและในชาตินั้น พระพุทธองค์ได้เสวยพระชาติ

เป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต

วันหนึ่ง หญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยาก มีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย

พระเทวทัตเห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูก

แต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้ ในเวลาเดียวกันนั้น

พระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ามาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง

สร้างความโกรธแค้นให้แก่พระเทวทัตเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้อง

นำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจน

เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือ ๑ เม็ด เท่ากับ ๑ ชาติ จึงตามเบียดเบียน

พยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วน


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:22:36 PM

เรื่อยมาจนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนจะที่จะมาตรัสรู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คือได้เสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระเทวทัตได้มาเกิดเป็นพระพราหมณ์นามว่า “ ชูชก ” จนกระทั่งมาถึง

พระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้านับตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้า

ทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน เมื่อบวชแล้วได้โลกีย์ญาณ มีความชำนาญในอภิญญา

สามารถนิรมิตกายเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงเกิดความกำเริบใจเพราะอกุศลกรรมเข้าสนับสนุน ใช้ฤทธิ์แปลงกายเป็นพระศาสดา

กล่าวให้ร้ายในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ ว่ายังอนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่ถูกนำมาถวายเป็นพระกระยาหาร

และก็เริ่มต้นสร้างความเลื่อมใสด้วยการฉันมังสวิรัติ ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ยินยอมให้พุทธสาวกปฏิบัตินั้นคือความเสื่อม


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:24:21 PM

มิเพียงเท่านั้น ยังลวงเจ้าชายอชาติศัตรูให้กบฏต่อพระราชบิดาแล้วตั้งตัวเองเป็นพระราชา

พระเจ้าอชาติศัตรูนั้นเคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ แต่เมื่อถูกพระเทวทัตลวงก็ตัด อุปนิสัยแห่งมรรคผลเบื้องต้นเสีย

ทำตัวเองไปสู่ความพินาศอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นทำกรรมหนักปลงพระชนม์พระราชบิดา พระเทวทัตเองก็คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์

แล้วจะตั้งตนเป็นพระศาสดาเสียเอง อกุศลกรรมที่พระเทวทัตก่อขึ้นตั้งแต่ต้น คือส่งนายขมังธนูเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์

ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง “ นาฬาคีรี ” จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์

ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์ให้เห็นความมัวหมองในพรหมจรรย์ ของพระพุทธองค์ ขณะเดียวกันพระเทวทัต

ได้หันมาฉันมังสวิรัติเป็นการโอ้อวดพรหมจรรย์ที่สูงกว่า ความเลวร้ายของพระเทวทัตนั้นหนักหนา

จนแผ่นดินที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออก และสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี ยืนเสวยอกุศลวิบากอีกนานเท่านาน

จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้



หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:29:05 PM

2. นันทมานพ

นันทมานพมิได้ทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ทำร้ายสาวกของพระพุทธองค์ คือพระ “ อุบลวรรณาเถรี ” พระอุบลวรรณาเถรี

เป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ ออกบวชตั้งแต่อายุ ๑๖ มีความสวยงามมาก ซึ่งก่อนนั้นที่เป็นฆราวาสความสวยเป็นที่เลื่องลือ

และเป็นที่หมายปองของพระราชาคหบดี และมหาเศรษฐีมากมาย แต่พระอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส เห็นเป็นทุกข์จึงออกบวช

เป็นภิกษุณี เมื่อบวชได้ไม่นานก็บรรลุอรหัตผลมีฤทธิ์มาก แต่ว่านันทมาณพมีความต้องการด้านกามราคะฝังแน่นในใจมาช้านาน

วันหนึ่งนันทมานพทราบว่า พระอุบลวรรณาเถรีจำพรรษาอยู่ในป่า ในกระท่อมเล็ก ๆ ด้วยจิตอันฝังแน่นด้วยราคะตัณหานันทมาณพ

ได้แฝงตัวแอบรออยู่จนถึงเช้า พระอุบลวรรณาเถรีออกบิณฑบาตแล้ว นันทมานพได้หลบเข้าไปแอบซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนในกระท่อม

เมื่อพระอุบลวรรณาเถรีกลับจากบิณฑบาต ยังมิได้ฉันข้าว นั่งพักสงบอยู่บนเตียง นันทมาณพได้ออกมาจากที่ซ่อนเข้าปลุกปล้ำ

พระอุบลวรรณาเถรีแม้นจะร้องหาคนช่วยก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ จึงกล่าวให้สติแก่นันทมาณพว่า

“ จงอย่าทำเช่นนี้ .. ความหายนะจะมาสู่ท่าน ”

นันทมาณพมิได้ฟังกลับปลุกปล้ำพระอุบลวรรณาเถรีจนสำเร็จความใคร่ดังใจปรารถนา

พอก้าวลงจากแคร่ก็ถูกแผ่นดินสูบตกลงสู่มหานรกอเวจีด้วยกรรมลามกนั้นหนักมาก


พระอุบลวรรณาเถรี ถูกวิจารณ์ว่าการสัมผัสเช่นนี้ พระอุบลวรรณาเถรีจะไม่มีความยินดีไม่ได้

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสบอกต่อพุทธสาวก... “ พระอรหันต์นั้นมิใช่ไม้ผุ ไม่มีกิเลส ไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตา

ที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็น เช่นนั้น ..”



หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:32:07 PM

3. นันทยักษ์

นันทยักษ์มิได้สร้างกรรมต่อพระพุทธองค์ แต่กระทำเบียดเบียนต่อพระสารีบุตร ผู้บำเพ็ญธรรม .. ครั้งนั้น นันทยักษ์

ผู้มีฤทธิ์เดชเหาะมาบนอากาศพร้อมด้วยเหมตายักษ์ เมื่อเหาะมาถึงตรงที่พระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ในอากาศธาตุ

ในบริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุนันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะ ด้วยในชาติปางก่อนนั้นนันทยักษ์

ได้อาฆาตพยาบาทพระเถระเอาไว้ จึงมีจิตคิดกระทำปาณาติบาตต่อพระสารีบุตรด้วยความพาลในสันดาน เหมตายักษ์ได้ทัดทาน

ให้ละเว้นเสีย แต่นันทยักษ์ก็มิฟัง เหาะขึ้นบนอากาศ ใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธแห่งตนฟาดลงบนศีรษะของพระสารีบุตร

ความแรงแห่งการฟาดนั้น สามารถพังภูเขาในคราวเดียวกันได้ถึง ๑๐๐ ลูก แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในนิโรธสมาบัตินั้น

หาได้รับอันตรายจากการประทุษร้ายของนันทยักษ์ไม่

เมื่อเห็นพระสารีบุตรมิได้รับอันตราย นันทยักษ์ก็บังเกิดเพลิงเร่าร้อนในอารมณ์ กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

“ เราร้อน ... เราร้อน ” แล้วตกลงมาจากอากาศ แผ่นดินเปิดช่องดึงร่างของนันทยักษ์ หายลับตาไปในบัดดล

ดิ่งลงสู่มหานรกอเวจีอันลึกสุด


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:35:47 PM
4. นางจิญจมาณวิกา

นางจิญจมาณวิกาเบียดเบียนพระพุทธองค์โดยรับอาสาจากพวก “ ปริพาชก ” บุคคลในลัทธิอื่นที่มีจิตริษยา

ในลาภสักการะของพระพุทธองค์ จึงคิดกลั่นแกล้งด้วยการจ้างนางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้อง

ให้เขากลึงไม้นูนผูกรัดไว้ที่เอว แล้วก็ไปร้องบอกสมณะโคดมขณะนั่งประทับเทศนาว่า “ ท่านสมณะโคดม ”

จะมัวมานั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้กลับมิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย

จงไปตัดฟืนไว้เพื่อฉันดีกว่า เวลาคลอดแล้วลูกเราจะได้มิลำบาก ”

พระพุทธองค์ได้ทรงสดับ จึงหยุดเทศนาและกล่าวกับนางจิญจมาณวิกาว่า

“ ภัคคินี ดูก่อนน้องหญิงเรื่องที่เธอกล่าวนั้นคนอื่นเขามิได้รู้เรื่องด้วยดอกนะ จะมีเธอกับฉันเพียงสองคนเท่านั้นละที่รู้กัน ”

พระพุทธองค์ทรงกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจท่ามกลางความสงสัยของพุทธบริษัท

เรื่องนี้เดือดร้อนถึงพระอินทร์ที่ต้องทำหน้าที่รักษาผู้ทรงคุณธรรมสูงส่ง จึงทรงแปลงกายเป็นหนู

ไปกัดเชือกที่ผูกไม้ ทำให้ไม้ที่ผูกติดไว้เหมือนเช่นคนมีครรภ์นั้นหลุดตกลงมา

พุทธบริษัทเห็นมารยากล่าวให้ร้ายที่นางจิญจมานวิกา

กระทำต่อพระพุทธองค์ ดังนั้นก็ดุด่าไล่ขว้างด้วยก้อนหินและไม้ นางจิญจมาณวิกา ได้วิ่งหลบหนี

พอพ้นคลองจักษุของพระพุทธองค์ นางจิญจมาณวิกา ก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกมหาอเวจีด้วยกรรมอันหนักนั้น



นางจิญจมาณวิกาเมื่อชาติก่อนหน้านั้นนางเกิดเป็น นางอมิตตดา ภริยาของชูชกหรือพระเทวทัตในชาติเดียวกัน

กับที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:40:12 PM

5. พระเจ้าสุปปพุทธะ

พระเจ้าสุปปพุทธะเป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต เมื่อทราบว่าพระเทวทัต

ถูกธรณีสูบลงมหาอเวจีนรกก็มิสำนึกในบาปบุญคุณโทษ กลับมีจิตอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์ เพราะนอกจาก

จะทำให้พระเทวทัตต้องธรณีสูบ พระพุทธองค์ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธราธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นหม้าย

จึงกลั่นแกล้งพระพุทธองค์ด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งเสพเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์

จะออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ซึ่งทางนั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดำเนินไปได้

เมื่อเสด็จดำเนินผ่านไม่ได้เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะกับบริวารขวางอยู่วันนั้น พระพุทธองค์

ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน พระอานนท์จึงทูลถามอยากจะทราบโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะ

พระพุทธองค์จึงทรงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า

“ อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ ๗ วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป ”


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: Nat_usp ที่ ธันวาคม 03, 2009, 05:41:41 PM

เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะกลับไปถวายรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะก็มีจิตต้องการให้

พุทธฎีกาของพระพุทธองค์มิเป็นความจริง จึงขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีนายทวารป้องกันแข็งขัน

ทรงตรัสกับนายทวารที่มีร่างกายกำยำนั้นว่า “ ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเอาไว้ไม่มีใครทำโทษ

” โดยประกาศต่ออำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ไว้ดังนั้น เพื่อมิให้นายทวารทั้งหลายต้องโทษ

จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ วันนั้นปรากฏว่า ม้าแก้ว ซึ่งเป็นม้าทรงศึกที่พระเจ้าสุปปพุทธะโปรดปราน

อาละวาดกระทืบโรง ร้องเสียงดังมาก พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้า ด้วยอาการขาดสติจึง

ทรงลงจากปราสาทชั้น ๗ แต่ปรากฏว่านายทวารมิได้ขัดขวาง ด้วยคิดว่าเลยครบกำหนด ๗ วันแล้ว

พอพระเจ้าสุปปพุทธะย่างพระบาทเหยียบแผ่นดิน ก็ถูกพระธรณีสูบหายไปสู่มหานรกอเวจี

ตรงตามพุทธะฎีกาที่ตรัสไว้แก่พระอานนท์
 


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ ธันวาคม 03, 2009, 06:51:59 PM
กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่.............   ก็สอนใจ /ไม่รู้เด็กรุ่นใหม่เคยได้ยินหรือเคยดูหนังเรื่องนี้กันบ้างหรือเปล่า


หัวข้อ: Re: เรื่องของธรณีสูบ
เริ่มหัวข้อโดย: เมียหลวงสั่งถอย เมียน้อยสั่งลุย ที่ ธันวาคม 07, 2009, 08:07:25 PM
+1 ครับพี่สำหรับบทความดีๆ