เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

อยากทราบว่าถ้าต้องการให้มารังวัด ที่ดินที่เราเช่าวัดร้างอยู่ เนี่ยจะต้องติดต่อที่ใครอย่างไรครับ

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

ด้วยความเคารพ

เหมือนจะกรมศาสนาก่อนครับ เมื่อเรียบร้อยแล้วต้องไปที่ ที่ดินครับ  :D

คือประมาณว่า เดิมที่เดียว สมมตินะครับ ที่บ้่านเช่าที่ดินวัดร้างประมาณ ๑ ไร่ ๑ งาน แล้วมีทางสาธารณะข้าง ๆ ที่ แต่ปรากฎว่า

ในปัจจุบัน ผู้เช่าที่อยู่ตรงข้ามก็ยึดเอาที่ดินซึ่งเป็นทางสาธารณะ(ทางสาธารณะที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว) เข้ารวมเป็นที่ของตนเอง

และมีการเคลื่อนย้ายหลักหิน แบบนี้ต้องดำเนินการอย่างไรได้บ้างครับ

ด้วยความเคารพครับ

ทางสาธารณะประโยชน์ แม้ไม่ได้ใช้ทางดังกล่าวนานเท่าใด ก็ไม่ทำให้ทางดังกล่าว สิ้นหรือพ้นสภาพจากทางสาธารณะ
ประชาชนทุกคนยังมีสิทธิ์ร่วมใช้ทางดังกล่าวได้ และบุคคลใดจะยึดถือเพื่อตนก็ไม่ได้เช่นกัน อีกทั้งไม่ว่าครอบครองนานเท่าใด สักร้อยปี
ก็ไม่ทำให้ทางสาธารณะกลายเป็นที่ดินของเอกชนได้

สามารถแจ้งเทศบาล หรือ อบต หรือเจ้าหน้าที่อำเภอ ได้ครับ

ตามนาสิงห์กลิ้งว่าเลยครับ ที่ดินหรือสิ่งของที่เป็นสาธารณะประโยชน์ยังไงก็ยังเป็นสาธารณะประโยชน์อยู่วันยังค่ำ  แจ้ง อบต.หรือเทศบาลในพื้นที่ให้ดำเนินการเลยครับ  ;D

        อ้าว รู้เรื่องการเช่าดินวัดด้วย
นึกว่ารู้แต่เรื่องปลาวัด........ ::005:: ::005::

ส่วนการรังวัดที่วัดนั้น แม้จะเป็นวัดร้างก็ตาม เป็นเรื่องของกรมศาสนาหรือสำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติ ฝ่ายสำรวจและรังวัดที่ดิน 
ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ปกครองดูแล  รักษา เป็นผู้ดำเนินการครับ เราไม่มีอำนาจไปขอให้เจ้าพนักงานที่ดินมาทำการรังวัดจำนวนเนื้อที่ดินได้ครับ

ลองไปติดต่อ หรือขออนุญาต ผ่านทางสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดให้มารังวัด ตรวจสอบ หรือมอบอำนาจ ดูครับ

คิดว่าน่าจะเป็นทางที่อยู่ในที่ดินของวัด น่าจะต้องแจ้งกับทางกรมศาสนา หรือวัดที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ครับ แต่ถ้าเป็นที่วัด ก็คงทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ แล้วถ้าทางเส้นนั้นอยู่ในที่วัด แล้วไม่มีใครใช้ ทางคนเช่าอีกคนเอาไปใช้เอง อย่างมากก็อาจจะแจ้งทางวัดว่า เขาได้เอาที่ดินในส่วนนี้ไปใช้แล้ว แต่ถ้าเป็นทางสาธารณะจริง เขาก็คงเอาไปใช้ไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะตรวจสอบเรื่องเขตที่ดิน ถ้าเป็นที่สาธารณะก็อาจจะเข้าไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินก็ได้ครับ ไม่ทราบว่าที่ดินอยู่ในเขตกรุงเทพฯหรือเปล่าครับ ถ้าอยู่ลองส่งรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินให้ผม เดี๋ยวจะลองดูที่ตั้งที่ดินจากระวางที่ผมพอมีอยู่ครับ แต่ต้องเป็นในเขตกรุงเทพฯเท่านั้นครับ ตจว.ยังไม่มีข้อมูลครับ

ขอขอบคุณ ท่านสิงห์กลิ้ง , ท่าน soveat , ท่าน cobra และท่าน คมขวาน มากครับ จะลองดำเนินการดู

เพราะถ้าเอาแบบเป็นเรื่องกันจริง ๆ ตัวผมเองก็คิดว่า ผู้ที่บุกรุกต้องมีความผิดหลายสถานแน่ครับ

เพียงแต่ยังไม่มีใครไปดำเนินการการเช่าที่ดินวัดร้าง แต่เดิมที ตาผมเป็นผู้ติดต่อขอเช่าเพื่ออยู่อาศัยและทำกิน

และผู้ที่บุกรุกเดิมใช้ ที่ดินของบริเวณวัดร้างประกอบอาชีพ ไม่สุจริตเท่าที่ควร เปิดเป็นที่ขายบริการทางเ...ศ

แต่ด้วยความที่ แม่ผมไม่ใคร่อยากเป็นเรื่องเป็นราวอะไรกับใครมากนัก ประกอบกับ เรายังไม่เดือดร้อนมากถึงขั้น

อยู่อาศัยด้วยกันไม่ได้ ท่านก็เลยปล่อยเลยตามเลย

แต่ปัจจุบัน เขาบอกจะปิดซอยบ้านผมครับ โดยบอกว่า เป็นบริเวณที่เขาขอเช่าไว้ด้วย ผมเองก็ยัง ง งู ๒ ตัวอยู่เลยครับ

ผ่านมา กว่า ๓๐ ปี เราเข้า - ออก ทางนี้เป็นประจำ ไหงกลายเป็นบุกรุกที่เขา ซะงั้น แสดงว่า บุกรุกเขาหรือไงหว่า

ยิ่งเมื่อก่อน ปากทางเข้าบ้านผมเอง มีรถบัสแบบรถประจำทาง ขสมก. ของในกรุงเทพฯ จอดชิดด้านหนึ่งไว้

รถบรรทุกแก๊ส ๑๐ ล้อ ยังวิ่งสวนได้เลย ปัจจุบัน อย่าว่าแต่ รถยนต์เลยครับ แค่รถจักรยานยนต์ ถ้าไม่ระวัง

แฮนด์รถก็แทบจะเกี่ยวกันอยู่แล้วครับ

ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

ด้วยความเคารพ

ท่าน cobra ครับ ทางสาธารณะเดิมก็เป็นทางเกวียน ที่ไว้ให้ชาวบ้านสัญจรเพื่อที่จะลงไปที่ท่าน้ำได้ (ที่ดินติดกับแม่น้ำครับ)

แต่ปัจจุบันถูกล้อมรั้วเข้าไปอยู่ในเขต ของผู้เช่าที่กล่าวไปแล้วครับ

สำหรับข้อมูลเรื่องรายละเอียดของขนาดที่ดินที่เช่านั้นจะลองไปค้นดูกับ แม่ครับแล้วจะมานำเสนอครับ

ขอบคุณครับ

ด้วยความเคารพ

ในกรณีทางสาธารณะประโยชน์
ในกรณีทางนั้นอยู่ในเขตเทศบาล หรือ อบต หน่วยงานนั้นๆมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ที่บุกรุก เข้าครอบครองได้ตามกฎหมาย
ซึ่งผู้บุกรุกไม่อาจอ้าง การไม่ได้ใช้ทางดังกล่าว หรือการครอบครอง ขึ้นต่อสู้ได้
เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ผู้บุกรุก ทำการบุกรุกทางสาธารณะจริง เทศบาล หรือ อบต จะเป็นผู้ดำเนินการฟ้องขับไล่ รื้อถอนได้ตามกฎหมายครับ

แต่หากแจ้งไปแล้ว ร้องเรียนไปแล้ว เรื่องนิ่งเฉย ถ้าการปิดทางนั้นทำให้เราเดือดร้อนเป็นพิเศษ (คือใช้อยู่ประจำแต่การปิดทำให้เราต้องไปใช้ทางอื่น)
เราสามารถเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่และให้เปิดทางสาธารณะได้เช่นกันครับ ถือว่าเราเป็นผู้ได้รับความเสียหายพิเศษและุูถูกโต้แย้งสิทธิในการใช้ทางสาธารณะ

เช่นกัน แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้หรือไม่ได้รับความเดือดร้อนในการปิดทางดังกล่าว คงต้องรอหน่วยงานของรัฐ อบต เทศบาลเท่านั้นครับ
ซึ่งอาจหันไปใช้ช่องทางร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือหน่วยงานที่รับเรื่องร้องเรียนก็ได้ครับ

ขอบคุณครับท่านสิงห์กลิิ้ง

ด้วยความเคารพ

ท่านเมเจอร์ครับ ความหมายที่ผมบอกหมายถึงว่าทางเส้นนั้นเป็นทางที่อยู่ในพื้นที่ของวัดหรือเปล่าครับ หรือว่าเป็นทางสาธารณะ ผมเกรงว่าจะเป็นทางที่ใช้กันมานาน แต่อยู่ในเขตที่ดินของวัดครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่ใช่ทางสาธารณะ นอกเสียจากมีหนังสือยกให้เป็นทางสาธารณะครับ แล้วท่านไม่ไ้ดทำสัญญาเช่ากับทางวัดอย่างเป็นทางการหรือครับ หรือถ้านานแล้ว ผมว่าน่าจะไปทำใหม่นะครับ จะได้เป็นการยืนยันไปด้วยว่าเราได้เช่าที่ดินในบริเวณนี้อยู่ครับ แต่ถ้ารังวัดตรวจสอบพื้นที่ที่ใช้อยู่ก็สามารถทำได้เองครับ แต่จะทราบเพียงขนาดพื้นที่ที่เราเช่า จะไม่ทราบถึงทางสาธารณะครับ

ที่ดินวัดร้างที่เช่าจะเป็นลักษณะชายธงครับ ประมาณนี้

(http://image.ohozaa.com/ia/i9rd9.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=992bb0cd176c3e1ec1df963b074f3445)

เดิมที่เดียวที่วัดร้าง ตาผมเช่าตั้งแต่เส้นแดง ถึง เส้นน้ำเงิน ยอมเสียสละให้เป็นถนนประมาณ ๒ - ๓ งานเพื่อเป็นทางสาธารณะ  ส่วนทางด้านขวา จากเส้นน้ำเงิน ถึงเส้นดำ เป็นทางสาธารณะเดิมอยู่ในเขตที่ดินวัดร้างครับ เป็นทางเกวียน แต่ปัจจุบัน โดนยึดโดย ทำแนวรั้วชิด ไม่สิ ทับเส้นเขตแดนสีน้ำเงินตลอดแนวครับ ทั้ง ๆ ที่ จริง ๆ แล้ว ระหว่างเส้นน้ำเงินกับทางเกวียนจะมีเนื้อที่ยาวโดยตลอด ห่างจากแนวเส้นน้ำเงินประมาณ ๑ เมตรครับ ตอนนี้เขายึดแนวรั้วผมเป็นรั้วเขาเรียบร้อย

ด้วยความเคารพ

ก็แสดงว่าทางเกวียนอยู่ในเขตที่วัด ต้องให้เจ้าหน้าที่ของกรมศาสนามาดำเนินการครับ

ขอถามเพิ่มเติมนะครับ

(http://upic.me/i/f0/47untitled.jpg)


ตามภาพนี้ ที่ดินที่คุณตาเช่านั้น ในครั้งแรก คือบริเวณที่เป็นเส้นสีดำทั้งหมดใช่ไหมครับ
ต่อมาภายหลังเช่าแล้วคุณตา ยกเว้นที่บริเวณที่พ้นสีเทา ไว้ ให้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะหลักใช่ไหมครับ

ผมเดาว่าที่ข้างเคียงที่บุกรุก คือตามเขตเส้นสีน้ำเงิน น่าจะอยู่บริเวณตามภาพใช่ไหมครับ

หากใช่

ผมมองว่าในเรื่องนี้น่าจะเป็นการพิพาทโต้แย้งเรื่องการครอบครองที่ดินตามสิทธิการเช่าระหว่างผู้เช่าที่วัดด้วยกันเอง ในการครอบครองที่ดินที่เช่าครับ
ซึ่งกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องบุกรุกที่วัด เพราะผู้ที่มาทำรั้งกั้นทางเกวียนนั้น ก็เป็นผู้เช่าที่วัดเช่นกัน
ในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องแจ้งให้สำนักงานพระพุทธศานาแห่งชาติทราบ และปรึกษาว่ามีทางแก้ไขอย่างไรได้บ้าง
สั่งห้ามรุกล้ำและให้รื้อรั้วได้หรือไม่อย่างไร

เพราะมิฉะนั้นคงต้องไปยุติข้อโต้แย้งกันในศาล หรือไม่ก็ทำใจ

กล่าวคือ ครั้งแรกก่อนที่จะเว้นให้เป็นทาง พื้นที่บริเวณที่ดินที่เป็นทางนั้น คุณตาเป็นผู้เช่า เพียงแต่ภายหลังได้เว้นไว้ให้เป็นทางเดิน
แม้ประชาชนเข้าออกประจำ ทางดังกล่าวก็ไม่ตกเป็นทางสาธารณะ เพราะคุณตามิใช่เจ้าของที่ดิน และการโอนหรือยกที่ดินบางส่วน ซึ่งเป็นที่ดินวัดนั้นต้องตรา้เป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น ถือว่าที่ดินบริเวณทางเกวียนเดิม ยังคงเป็นสิทธิของคุณตาอยู่ตามสัญญาเช่า

การที่ที่ดินข้างเคียงนำรั้วมากั้นที่ดินส่วนที่เป็นทางนั้น เมื่อเป็นผู้เช่าที่ดินวัดร้างเช่นกัน กรณีนี้จึงไม่ใช่เรื่องบุกรุกที่วัด
แต่เป็นเรื่องรบกวนการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดิน ที่เช่าของเรามากกว่า
ซึ่งจะต้องใช้สิทธิทางศาลในการระงับสั่งห้ามและรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำในที่ดินของเรา ที่เช่ากับทางวัด โดยผู้เช่า เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้เช่าที่ดินข้างเคียง

อนึ่ง แม้จะเป็นผู้เช่าที่ดินวัดก็ตาม แต่หากได้อยู่อาศัยและปลูกบ้าน ต้องถือว่าผู้เช่าเป็นเจ้าของบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อน รำคาญเป็นพิเศษ มีอำนาจฟ้องให้ขจัดความเดือดร้อนนั้นได้ และใช้สิทธิทางศาลระงับการรบกวนการครอบครองที่ดิน และให้รื้อถอนแนวรั้วที่รุกล้ำได้ครับ

เรียน ท่านนายสิงห์กลิ้ง ครับ

จากภาพ (ทำสวยกว่าผมอีก) ที่ ที่ตาผมสละให้เป็นทางสาธารณะ อยู่ทางด้านซ้ายครับ และฝั่งด้านซ้ายของเส้นแดงทั้งหมดเป็นที่ดินที่มีโฉนด

เดิมที เมื่อเข้าทางปากซอยแล้วหลังซอย จะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งได้ แต่สะพานได้ชำรุดและพังทลายลงเมื่อประมาณ ก่อนปี ๓๖ - ๓๗ 

แล้วทางการก็มิได้ซ่อมแซมเพื่อคืนสภาพ เหตุเพราะบริเวณใกล้ ๆ กันห่างไม่ถึง ๑๐๐ เมตร มีสะพานคอนกรีตขนาดใหญ่ คู่กันอยู่แล้ว เลยยกเลิกสะพานเดิม

(บริเวณที่ตาได้แบ่งที่ให้เป็นทางสัญจรไป ปัจจุบันเลยกลายเป็นซอยเข้ากลุ่มบ้าน เป็นทางตันไปแล้วครับ)

ส่วนบริเวณที่เป็นสีเทานั้น เดิม เป็นทางเกวียนสาธารณะอยู่ในเขตวัดร้างเช่นกัน และไม่มีสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัยเลย แต่ในปัจจุบัน ผู้เช่าข้างเคียง ได้มีการล้อมรั้ว ไม่สิ ยึดเอาแนวรั้วของฝั่งผมเป็นแนวกั้นระหว่างที่ของผู้เช่าค้างเคียงกับของตาผม ไปแล้ว ทั้ง ๆ ทีตาผมได้ล้อมแนวรั้วห่างจากทางเกวียน ประมาณ ๕๐ - ๑๐๐ ซม. (ว่าง่าย ๆ เป็นทางเดินเลาะรั้วได้เลยครับ) และผู้เช่าข้างเคียงได้แบ่งขายสิทธิ์การเช่าไปแล้วด้วย และบริเวณด้านปากซอยทางเข้า ก็ยังทวงสิทธิ์ว่าเป็นสิทธิ์เช่าของผู้เช่าข้างเคียง (ประมาณว่าจะปิดทางเข้าออกของกลุ่มบ้านผม) ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะเป็นสิทธิ์ของเขา เพราะจากลักษณะดังกล่าว ที่ก็จะเป็นจงอย ออกมาหน่อย เดียว ผิดปกติพิลึกไหมล่ะครับ

ตอนนี้ก็กำลังรอ โอกาสดี ๆ เพื่อจะไปติดต่อที่ สถานที่ที่เกี่ยวข้องดู ตามที่ท่านสมาชิกแนะนำ เพราะถ้าเป็นวันธรรมดา ก็ติดงานราชการครับ คงต้องรอเวลาอีกสักหน่อย

ยังไงก็ขอขอบคุณในความกรุณาทุกความเห็นครับ ผลการดำเนินการเป็นอย่างไรจะมาแจ้ง+สอบถาม+ขอคำแนะนำเพิ่มเติมครับ

ด้วยความเคารพครับ

ปล.สำหรับหนังสือสัญญา ก็ให้พ่อค้นหาให้อยู่ครับ เพราะเป็นสัญญาเก่านานมาก คงต้องใช้เวลาหน่อย ประกอบกับช่วงนี้กำลังสร้างปรับปรุงต่อเติมบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ เคลื่อนที่หมดเลยครับ

งานเข้าแล้วครับ ท่านสิงห์กลิ้ง หาหนังสือสัญญาพบแล้วครับ

ในนั้นบอกกว่า มีพื้นที่เช่า ๓ งาน ๖๐ ตารางวา แล้วบอกแค่ว่า ทิศเหนือจดอะไร ทิศตะวันออกจดอะไร ทิศใต้จดอะไร ทิศตะวันตกจดอะไร แค่นั้นครับ

ไม่ได้มีการตีแปลนไว้ให้เห็นด้วย ว่ารูปร่างของพื้นที่เป็นอย่างไร   อย่างนี้แล้วจะมีผลต่อการติดต่อรังวัดหรือไม่ครับ

ด้วยความเคารพ

ถึงจะมีสัญญาเช่าจากทางวัดก็จริง แต่เราไม่มีอำนาจที่จะทำการรังวัดครับ ต้องให้เจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์นั้นเป็นผู้ขอทำการรังวัดสอบเขตเองครับ

ขอบคุณครับ ท่านJOYHUNTER

ในความหมายของผม หมายความว่า ถ้าให้เจ้าหน้าที่จากสำนักพุทธฯ ที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าเช่าที่ดินวัดร้าง มาทำการตรวจสอบรังวัดที่ดินโดยพ่อผมครับ

(ที่ผ่านมาตาเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เช่า แต่โอนให้พ่อผมเป็นผู้เช่าต่อ) ในสัญญายังระบุ แค่ ๑ ม.ค.๑๖ ถึง ๓๑ ม.ค.๑๖ แสดงว่าเช่าแค่เดือนเดียวเองหรือ แต่พออ่านลงมาอีก กลับบอกว่า

คิดค่าเช่าไร่ละ ๔๐ บาทต่อปี รวมต้องจ่าย ๓๖ บาท ต่อปี งงครับ (ตัวแดง)

ด้วยความเคารพครับ

โดยปกติแล้ว ในสัญญาเช่าจะระบุจำนวนปีใว้ด้วย เช่นให้เช่ามีกำหนด 1 ปี นับจากวันที่ 1 มกราคม 2553 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2553 ตรงตัวแดงน่าจะพิมพ์ผิดครับ

ปัจจุบันจ่ายค่าเช่ากันอย่างไรครับ

เรียนท่าน JOYHUNTER และ ท่านสิงห์กลิ้งครับ

ท่าน JOYHUNTER ครับ ตรงตัวแดง ผมพิมพ์ถูกครับ แต่ไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่ที่ พิมพ์สัญญาจะพิมพ์ผิด(พิมพ์ด้วยพิมพ์ดีด)หรือเปล่า ผมเองก็ลองอ่านตรวจสอบหลายเที่ยวแล้วครับ ผมถึง งง ไงครับทำไมสัญญา ระบุ แค่เดือนเดียวเอง

ท่าน สิงห์กลิ้งครับ สำหรับการจ่ายค่าเช่าที่จ่ายกันเป็นรายปีครับ เดิมทีสัญญาระบุว่า ให้เช่าเป็นที่ทำกินและอยู่อาศัย แต่ปัจจุบัน รูปแบบของการทำกินเช่น ปลูกไร่ แปลงผัก ฯลฯ ทำให้เหตุของการเช่าเปลี่ยนไป ฉะนั้นปัจจุบันก็ต้องปรับค่าเช่าจากเดิม (เดิมจริง ๆ นะครับ) ปีละประมาณ ๑๒ บาท รุ่นตา ปีละ ๓๖ บาท รุ่นพ่อ(พ.ศ.๑๖)  ปัจจุบัน ปีละ ๗๐๐ บาทกว่า ครับ

สำหรับการจ่ายค่าเช่า ก็ไปจ่ายกันที่ สำนักงานพุทธศาสนาที่จังหวัดครับ

ด้วยความเคารพ

ขอดูสัญญาหน่อยได้มั้ยครับ แสดงว่าต้องมีสัญญาแนบท้าย เรื่องการต่อสัญญา ;D

ตอนนี้ ขลุกขลักเรื่องการนำไฟล์,ภาพถ่าย อัพโหลดครับ เอาไว้วันจันทร์ ผมจะนำมาปรึกษาอีกครั้งครับ

ด้วยความเคารพ

ปล.ใช้เครื่องที่ทำงานครับ ที่บ้าน ยาจก ไม่มีอินเตอร์เน็ตครับ กลัวงานตามไปที่บ้าน เพราะตั้งใจแต่แรกแล้ว เมื่ออยู่บ้าน ขอทุ่มเทให้ครอบครัวครับ

เท่าที่เคยเจอลักษณะของสัญญาเช่าที่ดินของวัดส่วนใหญ่จะทำแค่ปีแรกครับ จากนั้นเขาก็จะใช้รายละเอียดตามในสัญญานั้น จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นปรับอัตราค่าเช่า เปลี่ยนตัวผู้เช่า หรือมีการไปทำประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ครับ แต่เช่าแค่ 1 เดือนน่าจะมกีการพิมพ์ผิดนะครับ คิดว่าถ้าท่านเมเจอร์ติดต่อที่สำนักงานพุทธฯให้มาทำการรังวัดใหม่ก็น่าจะได้นะครับ ส่วนรูปแผนที่ในอดีตอาจจะไม่มีการขึ้นรูปไว้ก็ได้นะครับ แต่น่าจะมีการบอกระยะไว้นะครับว่าแต่ละด้านมีความยาวเท่าไร ลักษณะจะคล้ายกับเอกสารที่ดินในสมัยก่อน เช่นใบ ส.ค.1  แต่ถ้าไปทำใหม่ก็น่าจะมีการขึ้นรูปไว้ครับ ผมว่าท่านเมเจอร์ลองปรึกษาที่สำนักพุทธดูครับ เพราะเขาก็ต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่ เหมือนอย่างที่ดินของสำนักทรัพย์สินฯ ก็จะมีหน่วยงานที่เขาทำเกี่ยวกับการรังวัดพื้นที่ที่เช่าครับ   

ขอบคุณครับท่าน cobra เป็นอย่างที่ท่านสิงห์กลิ้งบอกไว้ครับ คือสัญญาจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นปัจจุบันก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนข้อมูลหลักในสัญญาครับ

เช่นเปลี่ยนผู้เช่า เปลี่ยนสิทธิ์ทำนองนั้นครับ

ด้วยความเคารพ

เพิ่มเติม ข้อมูลครับ ท่านสิงห์กลิ้ง ท่านJOYHUNTER  ท่านcobra เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมามีการมารังวัดที่ดินไปแล้วครับ

แต่มากันเฉพาะเจ้าหน้าที่รังวัดเท่านั้น คนที่เป็นผู้คุมไม่ได้มาด้วย เลยไม่ได้สอบถามในเรื่องรายละเอียด แต่ลองคุยกับเจ้าหน้าที่

ก็ได้ความคร่าว ๆ ว่า จะทำรังวัดเขียนแปลน แนบท้ายสัญญาเช่าครับ สังเกตจากที่เขามาทำการรังวัด ผมว่าน่าจะเป็นการสำรวจ

การใช้พี้นที่ถือครองจริงมากกว่า และถ้าเป็นอย่างนั้นบริเวณที่ผมถูกรุกที่ ก็ต้องเสียไปอย่างนั้นหรือครับ

ด้วยความเคารพ