เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

กก.แรงงานฯยันค่าแรงขั้นต่ำ 421 บาทต่อวัน

         กลุ่มแรงงานยืนยันอัตราค่าแรงขั้นต่ำปี 2554 ซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างกลางนัดประชุมเพื่อพิจารณากันในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ ว่าจะต้องอยู่ที่ 421 บาทต่อวัน เพราะเป็นตัวเลขที่เหมาะสมกับค่าครองชีพ และเป็นธรรมสำหรับผู้ใช้แรงงานมากที่สุด


         ในการแถลงข่าว "คัดค้านเลขล็อกค่าจ้างขั้นต่ำ ยืนยันค่าจ้างต้องเป็นธรรม" ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยบอกว่า การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตั้งแต่ปี 2544 มีความเหลื่อมล้ำมาโดยตลอดโดยขณะนี้ค่าจ้างสูงสุดอยู่ที่ 206 บาทต่อวันในเขตกรุงเทพฯและสมุทรปราการ ส่วนอัตราค่าจ้างต่ำสุดอยู่ที่ 151 บาทต่อวันในจังหวัดพิจิตร และ แพร่ ซึ่งมีความแตกต่างกันถึง 55 บาท/วัน

       โดยการปรับค่าจ้างของที่ผ่านมารัฐบาลไม่คำนึงถึงฝีมือแรงงานประสบการณ์การทำงานและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของแรงงาน โดยข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีที่จะปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 250 บาทต่อวัน ยังไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงเรื่องค่าครองชีพ และ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของแรงงานได้ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลและคณะกรรมการค่าจ้างกลางทบทวน และ ปรับค่าจ้างในอัตราที่เท่ากันทั่วประเทศโดยตัวเลขที่เหมาะสมและสอดคล้องกับค่าครองชีพที่แท้จริงของคนงานคือ 421 บาทต่อวัน

         ผลการสำรวจล่าสุดของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยจากกลุ่มผู้หญิงโรงงาน 300 คนพบว่า แรงงานหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปร้อยละ 20 ไม่ยอมแต่งงานเพราะมีปัญหาที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ส่วนร้อยละ 50 แต่งงานแต่มีบุตรเพียงคนเดียวเพราะไม่สามารถดูแลสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับครอบครัวได้ ขณะที่บางครอบครัวประสบปัญหาครอบครัวแตกแยกทำให้ต้องเลี้ยงลูกเพียงคนเดียวและอีกร้อยละ 30 ตัดสินใจแต่งงานมีลูก 2 คน

        คณะกรรมการค่าจ้างกลาง หรือ บอร์ดค่าจ้างจะมีการประชุมกันในวันที่ 9 ธันวาคมนี้เพื่อพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2554ตามที่คณะอนุกรรมการวิชาการ และ กลั่นกรองค่าจ้างเสนอมาก่อนหน้านี้


ref: http://www.thaipbs.or.th/s1000_obj//lite/html/news_detail.asp?content_id=283885 (http://www.thaipbs.or.th/s1000_obj//lite/html/news_detail.asp?content_id=283885)


 :) เห็น อบต. ขึ้นเงินเดือนเพิ่ม 100% เลยเอาบ้าง......

ปวดหัวครับ

                         เอาให้ผ่าน ๒๓๐ ก็หรูแล้ว  ......  เหอะๆ

เตรียมตัวรับมือกับราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกันด้วยครับ

รับรองข้าวยำ ขึ้นแน่ ครับ จากจานละ 8 บาท เป็น 10 บาท :~)

น้อยกว่าเงินเดือนผมนิดนึง... ;D

ลองค้นกูเกิ้ลดูเงินเดือนพนักงานทำความสะอาด(แม่บ้าน)ดู จะพบว่าเงินเดือนไร่เรี่ยกับเงินเดือนข้าราชการ ป.ตรี บรรจุใหม่ครับ... แสดงว่าระบบมันผิดพลาดแล้ว...

จะแก้ไขอย่างไรก็ขอให้พิจารณาเรื่องความเป็นธรรมในสังคม, และประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายด้วยนะครับ... นายสมชายเชื่อว่าทุกอย่างในสังคมผ่านการกลั่นกรองกันมาหลายชั่วอายุคน ในที่สุดมันจะไปถูกเคี่ยวงวดจนตกผลึกออกมาเป็นกฎหมายนะครับ...

ดังนั้นนายสมชายเชื่อว่าหากบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพแล้ว ปัญหาส่วนใหญ่ ไม่เว้นเรื่องประสิทธิภาพการผลิตของสังคม และการกระจายรายได้ จะถูกแก้ไข... คืออยากบอกว่ามันมีคนกลุ่มหนึ่งที่ส่วนน้อย แต่เป็นใหญ่ในสังคม ดูดกินทรัพยากร จนคนจนเหลือแต่ซากครับ...

  ปัญหาของคนไทยในตอนนี้คือในสายตาผู้ที่มีความรู้เท่าหางอึ่งแบบผม  พร้อมที่จะเป็นผู้รับอย่างเดียวครับ อ.นายสมชาย ไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้  เรียกร้องอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำสี่ร้อยกว่าบาทถามว่าคุณพร้อมที่จะรับผลจากการที่รัฐขึ้นเงินค่าตอบแทนให้หรือยัง และหากหน่วยงานอื่นยกตัวอย่างง่ายๆข้าราชการนี่แหละ ขอขึ้นเงินเดือนอีก100%จากที่ได้รับอยากจะถามว่าคนกลุ่มอื่นในสังคมจะยอมรับได้หรือไม่ เดี๋ยวก็ต้องมีออกมาบ่นอีกว่าทำงานเช้าชามเย็นชามไม่คุ้มค่าจ้าง  แต่ไม่มองว่าหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคนในสังคมมันต่างกัน  เมืองไทยมันวางระบบผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นที่ให้การเมืองมานำหน้าและมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนและราชการ และเราๆเองก็เป็นคนปล่อยให้ระบบแย่ๆแบบนี้เป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ค่านิยมมาจนถึงทุกวันนี้  ต้องแก้ที่คนก่อนครับถึงจะสามารถแก้ไขภาพรวมได้...

แก้ที่ปลายเหตุ   คุมราคาน้ำมัน  ของกินของใช้ประจำวันให้ได้ก่อนเถอะครับ......

  สลากบนดิน เขียนใบล่ะ 40 บาท คู่ละ 80 บาท  แต่ขายกัน 100-120 บาท ไม่ออกมาแก้ ถุ....ย ::013:: ::013::

ซื้อของในห้าง ยังลดราคาต่ำกว่าราคาที่ติดในกล่อง  ยังมาบอกให้เราเลิกซื้อของห้างหันมาซื้อโชห่วย

โชห่วย ก็ซื้อของจากห้างที่ขายปริมาณเยอะๆราคาก็ถูกลง แต่ก็มาขายเท่าเดิมหรือลดนิดหน่อย :~) :~)

ยากครับ สามร้อยนายจ้างยังไม่ยอมเลย

ถ้าราคาที่ว่า รับรองว่าพังทั้งระบบ

มีคนได้จริง แต่มีคนตกงานสามสิบเปอร์เซนต์

เพราะคงรายจ่ายเท่าเดิม ลดคน ตกงาน

สมัครงาน เดี๋ยวนี้ รับ ปวช. มากกว่า ม.๖ หรือ ป.ตรี

แล้วการศึกษาของเรา จะไปทิศทางใดกัน

แบบเรียน ก็เปลี่ยนไปเปลียนมา

ยังมีระบบ แอดมิชชั่น (Admission)  A-NET  O-NET  กันอีก ให้ปวดหัว

 
แรงงานราคาถูก คนเถื่อน ต่างด้าว เข้าเมืองผิดกฎหมาย จะทะลักเข้ามามากขึ้น ด้วยครับ

ถ้ามีการขึ้นค่าแรงคนงานสูงขนาดนั้น ;D

โรงงานต่างต่าง คงย้ายการลงทุนไปที่อื่น :)

ส่วนที่ ย้ายไม่ได้ ก็ต้องรัดเข็มขัด คนที่ทำงานดีคงไม่เดือดร้อน
คนงานที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็จะต้องถูกบีบ ลด ปลด ออก
เพื่อคุมค่าใช้จ่าย

แรงงานไทย จะไม่เป็นที่ต้องการของนายจ้าง
สุดท้าย คนที่ได้ประโยชน์ เป็นแรงงานต่างด้าว ;D

เชื่อมั้ยว่า แรงงานเข็นผักที่ตลาดไท ค่าแรงวันละ 400บาท(พม่านะครับ)
ค่าแรง คนเข็นของส่งที่ตลาดมหานาค เที่ยวละ 20 บาทถ้าเยอะหนัก ตามตกลง
ค่าแรง เขมร แถวบ้านผม ขั้นตำ 250 แต่ มีข้าว 3 มื้อ

ปัจจุบันหาคนไทยทำงานใช้แรงงานยากที่ร้านผม
ปัจจุบันจ่ายวันละ 350 มีข้าวกิน 2 มื้อ เบี้ยขยัน 1000/เดือน
เงินช่วยค่าเช่าห้อง 500-1000/เดือน รวมแล้วตก 11000 ต่อคนได้ ::012::

ค่าแรงผมเดือนละ 15000 เอง ::005::

แรงงานไทยที่ว่าแพงน่ะ หาคนก็ไม่ได้นะครับ, คนใช้บ้านนายสมชายคนสุดท้ายเงินเดือน 7000 กว่าบาทกินอยู่เสร็จ มีข้าวสามมื้อ มันยังไม่อยู่เลยครับ... ก่อนไปมันพูดทำนองว่าเงินเดือนน้อย ไม่คุ้มทำงานหนัก... โหย... อีนี่...

  ถ้าค่าแรงสูงแบบนี้ จะเหลือแค่แรงงานฝีมือที่ยังพอมีงานทำ ส่วนระดับแรงงานทั่วไปมีปัญหาแน่ครับ ไม่นับโรงงานขาดทุนจนต้องปิดกิจการ ก็ต้องมีการนำเข้าเครื่องจักร
มาใช้แทนกำลังคน ซึ่งตอนนี้เครื่องจักรจากจีน ก็มีคุณภาพและมาตรฐานดีขึ้นมาก
  โดยส่วนตัวผมว่าการขึ้นค่าแรงหรือเงินเดือนไม่ได้แก้ปัญหาความยากจนได้นะครับ เท่าที่ทำงานรับเงินเดือนมาเกือบ20ปี การขึ้นเงินเดือนก็เพื่อให้คนมีเงินกลับมาซื้อของและใช้บริการต่างๆเพื่อที่จะได้มีชีวิตไปทำงานต่อ วนเวียนไปอย่างนี้จนเกษียณ

ดีนะเราใช้แต่แรงงานในครอบครัว  ตัวเองทำหลายตำแหน่งตั้งแต่ผจก.,พนักงานขาย,ยันยาม ::005::

  ถ้าค่าจ่างสูงขนาดนี้  เจ้าของกิจการ,โรงงาน จะอยู่ได้อย่างไรครับ   อีกอย่างครับผมว่าเงินเดือนจะพอๆกับ ป.ตรีรับราชการเลยนะครับ  ;D ;D

เป็นการแก้ที่ปลายเหตุชัดๆครับ   ลองมองอีกด้านทำไมไม่ปรับค่าครองชีพมาสู่ค่าแรงขั้นต่ำบ้าง  เฮ้อ ::004::   เพราะยิ่งขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสูงมากค่าครองชีพก็จะขึ้นตาม ::004::

ปัญหาโลกแตกครับ  ::012::

แรงงานคนไทยมีการศึกษาดีเกินกว่าจะยอมรับค่าแรงวันละ ๒๐๐  แต่งานที่มีให้ทำมันก็มีแต่ค่าแรงน้อยๆ ใช้แรงกับเวลามากๆใช้สมองไม่มาก  ก็มีต่างด้าวที่ยินดีรับทำอย่าง พวกพม่าที่กินข้าวเป็นกาละมัง กับซอสภูเขาทอง ตามด้วยโรยผงชูรสครึ่งถุง  แต่คนไทยบางคนยอมอดอย่างเสือ ยอมทำอาชีพบาปบ้าง ดีกว่าไปนั่งข้างๆพม่ามอญเจี้ยเปิง    :OO

ถ้ายอมให้มีการปรับค่าแรงครั้งนี้เป็นจริง  ไม่ช้าก็เร็วทุกภาคส่วนคงขยับกันไปหมด  แต่คงไม่ได้แนวหน้ากระดานหรอก   ดูๆไป ผมว่ามันจะคล้ายๆเหมือนแนวคิดของเจ้าสัวซีพี  เกี่ยวกับทฤษฎีสองสูงที่แกเผยแพร่อยู่พักนึง ก็ไม่รู้จะหัวหรือก้อย

ถ้าค่าแรงสูงมาก จะมีคนตกงานเพิ่มขึ้น แรงงานที่มีความสามารถคุ้มค่าก็จ้างต่อไป ในส่วนพวกที่ ด้อยประสิทธิภาพก็ต้องคัดออกไป
กำลังการผลิตที่ลดลงก็หันลงทุนในเครื่องจักรผลิตอัตโนมัติแทน
ดูตามโรงงานในประเทศที่ค่าแรงสูง จะใช้คนคุมเครื่องจักรในการผลิดมากกว่า ใช้คนผลิต

ถ้าค่าแรงขึ้นตามที่ว่า ค่าครองชีพต้องสูงตามไปด้วย ทุกส่วนที่ต้องใช้แรงงานจะมีต้นทุนมากขึ้น
ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้นตามไป  สิ่งที่ตามมา คือรายได้ไม่พอกับรายจ่ายของแรงงาน
แถมด้วย ราคาสินค้าที่แพงขึ้นตามต้นทุนใหม่ โดยปรกติแล้วราคาสินค้าขึ้นแล้วไม่ลด ;D

เงินนะอยากได้...แต่เคยคิดไม๊  ฝีมือมีอยู่แค่ใหน ทุกวันนี้ทำงานไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายเลย.....เวลาจะเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงมักจะอ้างว่า.....ค่าครองชีพสูง ขอถามหน่อย..วันๆนึงมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง  ตื่นเช้าขึ้นมาก็ซื้อกับข้าวกับปลา...(อันนี้ไม่เท่าไหร่) ไม่กี่สิบบาท(ประเภทต้นหอมผักชี พริกมะนาว แตงกวา เอาไว้ตำน้ำพริกข้าวสานเอามาจากบ้านแล้ว)...ก่อนทำงาน..บาวแดง..ขวด บุหรี่..ซอง พักกินข้าวกลางวัน ก็กินของตอนเช้า เริ่มงานบ่าย บาวแดง..ขวด  พอเลิกงานตอนเย็น ตบท้ายด้วย เบียร์ เหล้าขาว.....ถ้าเมาพรุ่งนี้ก็หยุดงาน..1 วัน ในระหว่างวันที่ไม่ได้ทำงาน ก็อาจมีการ...ถอน ลองดูสิครับ...ค่าแรงที่ได้จะพอกินกันไม๊ ตูเป็นเถ้าแก่ตูยังไม่ใช้เงินแบบนี้เลย......นี่คือวงจรชีวิตของคนงานก่อสร้างจำนวนมากที่หลงใหลกับสิ่งเหล่านี้.....ที่ดีๆก็มี..แต่น้อย (วงอื่นไม่รู้นะ)

ประชานิยม รึเปล่าครับ 

มีสิทธิเรียกร้องก็เรียกกันไปครับ

มีสิทธิจะพิจารณาขึ้นให้ได้ก็ทำกันไปครับ

แต่สุดท้ายจะมีคนจ้างหรือเปล่า....อีกเรื่องนึง

ถ้าค่าแรงขึ้นตามนี้ ผมจะเลิกจ้างคนงานครึ่งนึงครับ แล้วเอาเครื่องจักรเข้ามาแทน บ้านเมียก็ด้วย .... คุ้มกว่า งานเร็วกว่า เรื่องน้อยกว่า

ถ้าค่าแรงขนาดที่ว่านี้เป็นจริง ผมว่าเจ๊งกันเป็นแถวครับ ไม่ใช่แต่โรงงานนะครับ
โรงงานยังลดแรงงานแล้วเพิ่มเครื่องจักรเข้ามาแทน  แต่อาชีพรับเหมาก่อสร้างหรืออาชีพอีกหลายอาชีพ
ที่ใช้แรงงานคนเป็นหลัก คิดในแง่หลักความเป็นจริงนะครับ ค่าวัสดุเท่าเดิมค่าแรงแพงขึ้น แต่ผู้ว่าจ้างให้ราคาเท่าเดิม
เพราะเคยทำเท่านี้  แล้วถ้าค่าแรงขั้นต่ำ 421 บาท แล้วค่าแรงระดับฝีมือจะต้องเป็นเท่าไหร่ครับ :~)

 ค่าแรงทำหมูเพื่อนผมวันละ 280-350 เทศกาลต่างๆที่ต้องทำหมูเพิ่มได้ 450 แถมอาหารฟรีไม่มีคนไทยทำเลยครับ

 พวกบอกงานหนักทำไม่ไหว ทำไมพม่า,ลาว เค้าทำได้. . .. .

 คนงานร้านขายส่งแถวประตูน้ำได้เงินเดือน + คอมฯ มีแต่ สาระวัน หลวงพระบาง พวกนี้ได้เงินเก็บกับส่งให้ที่บ้าน

 เย็นกลับห้องนอนพรุ่งนี้ทำงานใหม่ คนไทยชอบ RCA , ทะเลาะกับแฟนไม่มีอารมณ์ขาย . ... ..

 

 

ลูกหลานเอ้ย ไม่ต้องเรียนสูง ๆ กันแล้ว

ไม่ต้องดิ้นรนเข้ากรุงเทพ  สอบรัฐบาล  เอกชนอะไร 

ยาม(วุฒิ ม.3) ได้ 8000บาท/เดือน พอๆกับ ป.ตรีบรรจุเลยครับ  :~)

ถ้าได้จริงผมจะย้ายโรงงานไปฝั่งพม่าแล้วครับ

421 บาท/วัน
ถ้าเป็นแรงงานฝีมือ/มีความชำนาญในสายงานอาชีพของตน+ขยัน ผมว่าเหมาะสมครับ ::014::
มองจากมุมของบ้านที่มีลุงประกอบอาชีพขายแรงงานตั้งแต่หนุ่มยันอายุ 50 กว่า ๆ ที่ต้องดิ้นรน อ่าน พูด เขียนภาษาอังกฤษ เพราะค่าแรงเมืองไทยมันไม่เหมาะสมกับฝีมือ/ความชำนาญ + ความขยันของลุง
แต่ถ้าเป็นแรงงานไร้ฝีมือ/ไม่มีความชำนาญ และไม่ขยัน+แสวงหาความรู้ ผมว่าพังทั้งระบบครับ ::004::

มายืนยันตามที่เจ้ากวางว่าครับ เป็นแบบนั้นจริง ๆ  ::004::

คนไทยถ้าใช้แรงงานไร้ฝีมืออย่างเดียวไม่เรียนรู้ฝีมือเพิ่มเติมผมว่าแพงไปถ้าขวนขวายเสียหน่อยก็ไม่ต้องง้อค่าแรงขั้นต่ำหรอก
ง่ายๆเลย ไปถามช่างเชื่อมที่เชื่อมท่อตามโรงงานปิโตรเคมีทั้งหลายดูซิ รายได้อาจมากกว่าวิศวกรโรงงานหลายคนเลย
 ถ้าเชื่อมใต้น้ำเก่งนะ...รายได้หายห่วง

ทุกปัญหาเริ่มที่ "คน" ... ถ้ายังไม่มีใครมีวิสัยทัศน์ ในการวางแผนสำหรับสร้าง "คน"

............ ต่อไปในอนาคต  "ประเทศนี้ ลำบากแน่"  :OO

ทุกวันนี้ "คน"หลงใหลไปกับวัตถุและสิ่งมอมเมา  ละทิ้ง "ชีวิตและจิตวิญญาณ" มุ่งหน้าเข้าเมือง

ไปขายแรงงาน บางคนก็ขายแม้กระทั่ง "ชีวิต"  ::004::

.... สะท้อนใจทุกครั้ง เวลาดูรายการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เห็นเค้ายังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม

ไม่ว่าประเทศจะพัฒนาไปขนาดไหน  ... "คน" ก็ยังรักและภูมิใจในความเป็น "ญี่ปุ่น" ของตัวเอง

บางท้องถิ่น กลายเป็น "สัญลักษณ์" ด้านการท่องเที่ยวไปเลย  ::002::

... เหลียวกลับมาดู Thailand ... เมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ล้วนมีแต่ "น้องนางบ้านนา มุ่งหน้ามารูดเสา"

...................  Thailand Only  :~)

หลากหลายด้านของชีวิตครับ  ;D

 "น้องนางบ้านนา หนุ่มบ้านนอก มุ่งหน้ามาเตรียมอุดม จบมหาวิทยาลัย ออกไปเป็นประชากรคุณภาพของชาติมีเยอะแยะไป"

สังคมไม่เลวร้ายเกินไปหรอกครับ ไม่งั้นล่มสลายแล้ว

   ::014::

พวกเชื่อมท่อใต้น้ำเงินเดือนสามแสนบาทขึ้น ไม่รวมเงินเพิ่มอย่างอื่นครับ...

ใช่ครับ ในทางกลับกันผมว่าเด็กที่เกิดแล้วโตในเมื่องใหญ่กลับมีแนวโน้มในการศึกษาแย่ลงเรื่อยเรื่อย
เนื่องจากค่ารองชีพที่สูง การแข่งขันในเมืองที่มีสูงกว่า และพ่อแม่ที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อส่งเสีย จนละเลย
การเอาใจใส่ให้ความรัก  เป็นเหตุให้เด็ก ติดเพื่อน และ วัตถุครับ :)

ลองสังเกตู เด็กสมัยนี้ หูจะติดมือถือ  บางคนเดินฟุตบาทริมถนน นิ้วก็จิ้มบีบีไปพราง :)

เท่าที่ลองอ่านดู ท่านที่เป็นระดับ เจ้าของบริหารส่วนใหญ่ปวดหัวเรื่องแรงงานทั้งนั้น
โดยเฉพาะแรงงานสายวิชาชีพ ช่างเฉพาะทาง แรงงานฝีมือ
เพราะเด็กปัจจุบัน เน้นแต่ สายสามัญ เรียนจบ ป.ตรี หางานทำ จนตอนนี้  ป.ตรี จะเทียบเท่า ม.3 ในอดีต

ในทางกลับกัน เด็กที่เรียนสาย อาชีพ กำลังขาดแคลน

บางทีผู้ใหญ่เรานี่แหละที่ชี้นำค่านิยมหัวดีต้องเรียนสายสามัญเท่านั้นถึงจะเก่ง สายอาชีพเป็นของพวกหัวไม่ดี
เก่งจริงครับๆไม่เถียง เพราะเด็กเก่งให้เรียนอะไรก็เรียนได้เรียนจบ...แต่คนละเรื่องกะเวลาทำงาน
เจอมาจริงๆครับ เช่นจบวิศวกร งานมันก็ต้องเจอบ้างหนักๆโรงงาน แต่ไม่เอาจะอยู่ออฟฟิส พอโรงงานที่ระยองสร้างเสร็จต้องไปอยู่ก็ไม่ไป
ลาออกไปหางานใหม่ บางคนไม่ชอบวิชาชีพที่เรียนมาทำไปสักพักไม่ชอบลาออกไปทำอย่างอื่น ไม่กีวันมานี้ก็มีจริงมาถามผมบอก
จบวิศวกร...ช่วยหางานให้หน่อย แต่ ไม่อยู่โรงงาน ไม่ไประยอง ต้องการงานออฟฟิสในกรุงเทพเท่านั้น ผมดูสาขาที่เขาจบแล้ว
เหมาะมากเลยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ระยองมีเยอะและขาดแคลนสาขานี้อย่างมาก....แต่เฮ้อ ฟังเงื่อนไขเขาแล้วอยากเอาทุนที่เขาเรียนจบ
ไปให้เด็กที่ต้องการจริงๆมากเลย

   บางคนไม่ชอบมือเลอะไม่ทำเลย โบ้ยไปว่าเป็นหน้าที่ของช่างเทคนิคตนเองเป็นถึงวิศวกรทำไม่ได้
ตนเองมีหน้าที่ คิด วิเคราะห์ ออกแบบ แก้ปัญหา ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะคิดแบบนี้แต่...พอให้ทำงานแบบนั้นเข้าจริงก็ทำไม่ได้อีก
 ฝ่อ หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ไม่กล้าตัดสินใจ มีอะไรวิ่งเข้าหานายฝรั่ง นายญี่ปุ่นตลอด อยู่โรงงานมาหลายปี
พอกระบวนการผลิตมีปัญหาแก้ไม่ออกวิเคราะห์ไม่ได้เพราะไม่เคยสนใจลงไปสัมผัสจริงๆเลย
ได้แต่เอาข้อมูลมาเข้าเอ็กเซลพริ้นท์ส่งเจ้านายไปวันๆ  คนเหล่านี้ทำให้นายจ้าง และช่างเทคนิคผิดหวังครับ
 เพราะเขาก็คาดหวังว่า จ้างวิศวกรมาก็เพื่อจะมาเติมเต็มในสิ่งที่ช่างเทคนิคเขาขาดได้ แต่แล้วก็พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย

 ประเทศไทยยังต้องการตลาดวิศวกรตัวจริง และ ช่างเทคนิค มือทองอีกมากมายครับ

สวัสดีครับ
               ถ้าขึ้น นายจ้าง ก็หาวิธีรับมือได้ในที่สุด (ส่วนใหญ่ ฉลาด)
               แล้ว ลูกจ้าง ละ
               จะรับมือ กับการขึ้น ที่มีผลต่อเนืองกระทบ มาอย่างไร
               ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้าง ราคาของสูงขึ้น และอื่นๆ
               ลูกจ้างที่มีฝีมือ ฉลาด ก็รอดเหมื่อนเคย
               ที่ไร้ฝีมือ ก็เหมื่อนเร่งวันตาย  

                      :'(

พวกนี้มันก็รวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ อ้างว่าเป็นคน"ส่วนใหญ่"แล้วก็เรียกร้องแบมือขอโน่น ขอนี่, หากไม่ให้มันก็จะป่วนอย่างโน้นอย่างนี้ เผาอย่างโน้นเผาอย่างนี้ แล้วก็"น้อยใจไม่มีใครเหลียวแล"... กลายเป็นปัญหาการเมืองไปอีกเปลาะนึงครับ...

นำแรงงานต่าวด้าวเข้ามาทำแทนแค่นี้นายจ้างก็รอดตัวแล้วครับ พวกนี้ค่าแรงได้เดือนละหกเจ็ดพัน ก็ดีใจแล้วครับโอทีให้หลังสามทุ่มก็ได้ครับ แล้วแรงงานพวกนี้สามารถพัฒนาตัวเองให้มีฝีมือมากกว่าคนไทยได้ด้วยนะครับไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่แรงงานไร้ฝีมือนะครับ ส่วนแรงงานไทยก็ถ้าไม่กู้เงินไปนอกก็ตกงานเพิ่มปัญหาสังคมเข้าไปอีกเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้ขื้นค่าแรงนะครับแต่ผมอยากให้ปรับขื้นให้มันสมเหตุสมผลดูถึงผลได้ผลเสียของทุกฝ่ายด้วย เพราะตอนนี้แรงงานไทยเราก็ถูกต่างด้าวเข้ามาแย่งงานอยู่แล้ว แล้วจะเอาค่าจ้างแรงงานตัวนี้มาทำให้แรงงานบางส่วนต้องตกงานอีก ผมว่ามันเป็นผลร้ายมากกว่าครับ ผมเคยไปร่วมสัมนาเรื่องปัญหา แรงงาน เค้าบอกว่าคนไทยต้องพัฒนาตัวเองไปเป็นผู้ประกอบการ แต่ผมคิดไปอีกอย่างว่าแล้วมันจะเป็นกันได้ทุกคนหรือแล้วถ้าเป็นผู้ประกอบการกันหมดสินค้าที่ผลิตออกมาจะระบายหรือขายได้หมดหรือ แล้วจะมีงานป้อนสถานประกอบการที่เพิ่มมากขื้นหรือครับ พิมพ์ไปก็ชักเลอะเทอะไปเรื่อยแล้วผมพอแค่นี้ดีกว่าครับ

เห็นด้วยครับ ว่ามีหลากหลายด้าน ขออภัยที่หยิบยกแต่ด้านไม่ดี

แต่ด้านที่ดีอยู่แล้ว คงไม่น่าเป็นห่วง ... และภาวนาให้ด้านที่ดีนั้น

มีมากกว่าด้านไม่ดี .............

 ทุกวันนี้ได้ 200 +  คนขายเหล้าเบียร์ บุหรี่ ก็รวยแย่อยู่แล้วครับ ถ้าได้ 421 บาท คนขายส่งคงไม่มองเบนซ์แล้ว

 
 แล้วก็ให้สหภาพแรงงานมาช่วยปิดถนน ติดลำโพงเครื่องขยายเสียง เพื่อให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนไปด้วยครับ   
 
 

งานทางด้านปิโตรเลี่ยมมีผลตอบแทนค่อนข้างดี เมื่อเปรียบเทียบกับงานทั่วๆไปครับ แต่โอกาสค่อนข้างน้อยครับ รับครั้งนึงไม่กี่คนครับ ส่วนมากดึงคนจากบริษัทอื่นครับ

 บางคนเข้ามาแล้วเจองานหนักเหมือนที่พี่ว่า ทำไม่ได้ ลาออก เปลี่ยนงาน สอบประเมินผลไม่ผ่านบ้างครับ

การเมือง ........ เป็นเรื่องของทุกคน

อะไรแปลว่าการเมืองอ่ะครับ ......... ผมไม่เข้าใจ

อยากจะให้ช่างเทคนิคมีรายได้สูงกว่าวิศวะครับ

  ต้องที่ประเทศแถวๆยุโรปครับ รายได้ไม่ต่างกันมากนักเป็นเท่าสองเท่าหรือหลายเท่าแบบเมืองไทย
เว้นแต่ลักษณะงานแตกต่างกันไป โอกาสก็ต่างกัน

ไม่ใช่ รปภ.ได้เงินเพิ่มขึ้น แต่ป.ตรี ได้น้อยลงครับ
เงินน้อยกว่า8,000คงอยู่ลำบากค่าครองชีพค้ำคออยู่

มีเยอะเลยครับพวกแบบนี้ ที่ผมสังเกตุในคณะของผม พวกหน่อมแน้มๆ อยากเรียนวิศวะ เพราะได้เงินเดือนเยอะๆ  แต่ไม่กล้าสู้งาน กลัวเลอะกลัวสกปรก



ใช่ครับ ผมเห็นด้วย ถ้าเงินเดือนช่างเทคนิคให้เยอะขึ้นก็ดี ผมจบ ปวช.3  แล้วมาต่อวิศวะ ไม่ต่อปวส. เหตุผลหนึ่งเพราะเงินเดือนมันน้อยนี่แหละ  ::014::

  เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ยากพอๆกะ น้ำไหลจากที่ต่ำไปสู่ที่สูงนั่นแหละ

เท่าที่สังเกตุดูที่ผ่านมา ๓ ปีแล้ว บริษัทที่ผมทำงานอยู่รับวิศวะจบ ป.โท ทั้งนั้นเลย ป.ตรีไม่ได้เข้ามาเลยครับ แต่ตำแหน่งช่างมันเถอะอย่างผม ยังคงรับ ปวส. ครับ

ครับพี่ ยากครับ ตราบใดที่ยังใช้วุฒิการศึกษามาเป็นตัวกำหนดในการรับเข้าทำงาน โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถที่แท้จริงในการทำงาน

  พูดแบบรวมๆทั่วไปครับว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าเพราะวุฒิการศึกษาแต่มันอยู่ที่เนื้องานครับ
งานแบบหนึ่งเหมาะกับวุฒิการศึกษาแบบหนึ่งไปเอาวุฒิการศึกษาที่ไม่ใช่มาทำก็ไม่ได้ครับ
ถ้าเรามองจากมุมมองของเราออกไป เช่นเราคิดว่า เราทำงานมากกว่า หนักกว่า ยากกว่า ทำไมรับน้อยกว่า แต่งานที่เราทำมันเป็นงานที่เอา
คนวุฒิการศึกษาเท่าเรามาทำที่ไหนก็ได้ แต่กับอีกงานเราเห็นเขาทำงานน้อยกว่า เบากว่า นั่งออฟฟิส ติดแอร์จิบกาแฟเย็นสบายแถมรับมากกว่า
  นั่นไม่ใช่ความอยุติธรรมหรือสองมาตรฐาน มันคือความจริงครับ คนๆนั้นอาจเป็นระดับมันสมอง คิด วางแผน ออกแบบ แล้วเอาไปให้คนอีกระดับ
วุฒิการศึกษานำไปปฏิบัติทำออกมาเป็นชิ้นงาน แล้วจะให้คนคิดงาน รับน้อยกว่าคนทำงานหรือครับ มันเป็นไปไม่ได้

  ความรู้ต่างกัน ความคิดก็ต่างกัน เหมือนอย่างที่ท่านที่นับถือในนี้ได้กล่าวไว่ว่า เบี้ยก็คิดอย่างเบี้ย ขุนก็คิดอย่างขุน และนิทานไทยโบณาณที่เล่าถึง
ขบวนเสด็จ ที่มาจอดเรือหน้าวัดแล้วเจ้านายได้ยินหมาลูกอ่อนร้องแล้วใช้ให้ฝีพายไปดู ฝีพายก็วิ่งกลับไปกลับมาไม่รู้กี่รอบจึงจะได้คำตอบให้เจ้านายครบ
 กับใช้ให้หัวหน้าไปดู ครั้งเดียวกลับมารายงานทุกอย่างครบ

 เราต้องเปรียบเทียบ กรณีที่เหมือนกันทุกอย่างครับจึงจะเปรียบกันได้ เช่น หมอนั่นวุฒิการศึกษาเท่ากับเรา ทำงานหน้าที่เหมือนกับเรา ผลงานออกมาเหมือนกับเรา
อายุงานเท่าเรา แล้วทำไมเราได้น้อยกว่า อย่างนี้เราค่อยคุยกะหัวหน้า ถ้ารับไม่ได้ก็ เปลี่ยนหัวหน้าครับ
.

ครับพี่ เข้าใจแล้วครับ

ต้องคิดให้ออกนอกกรอบ "ค่าแรงขั้นต่ำ" ให้ได้ก่อนครับ

นิยามของค่าแรงขั้นต่ำ  คือ ค่าจ้างแรงงานไร้ฝีมือให้พอประทั้งเลี้ยงชีพในแต่ละวัน  โดยไม่สนใจว่าคุณภาพแรงงานนั้นจะสร้างผลิตผลได้มากเท่าค่าแรงที่ได้รับหรือไม่  

เช่น รับบาลกำหนดอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 200 บาท/วัน
 นาย ก. ในเวลา 1 วันทำงาน สามารถผลิตสินค้าให้นายจ้างมีมูลค่า  150 บาท นายจ้างก็จำต้องจ้างในราคา 200 บาท  ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือแรงงานให้มีรายได้พอเพียงต่อการดำรงชีพ ทั้งนี้ส่วนที่เกินมา 50 บาท ถือว่าเป็นสวัสดิการที่ทางสังคมจัดสรรให้
แต่ถ้านาย ก สามารถสร้างผลผลิตได้  มากกว่า 200 บาท / วัน เช่น  ผลิตสินค้าได้ 300 บาท/วัน   นาย ก จะต้องออกจากเกณฑ์ อัตราค่าแรงขั้นต่ำ  โดยอัตราค่าจ้าง จะอยู่ที่การต่อรองระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง  ถึงขั้นนี้ถือได้ว่า นาย ก. ไม่ได้อยู่ในกรอบแรงงานไร้ฝีมือแล้วครับ  เป็นแรงงานฝีมือ โดยอัตราค่าจ้างที่แท้จริง เมื่อหารเฉลี่ยโดยเปรียบเที่ยบอาจจะสูงหรือต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลประกาศไว้ก็ได้  

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไมได้เป็นอย่างนั้น ทันที่ที่มีการประกาศอัตรค่าแรงขั้นต่ำใหม่  แรงงานฝีมือ เช่น อาจารย์  วิศวะกร  ผู้บริหาร  จะรีบเอาเครื่องคิดเลขมาคำนวณเงินเดือนของตนเองทันที่ว่า  รายได้ของตนเองเมื่อเปรียบเที่ยบกะอัตราค่าแรงขั้นต่ำ สูงหรือต่ำกว่าอย่างไร ถ้าสูงก็จะดูว่าสูงกว่าแค่ไหน  ทั้งๆที่แรงงานฝีมือ ต่างมีรายได้ในรูปที่ไม่เป็นตัวเงินอีกมาก เช่นวันหยุด สวัสดิการต่างๆ

ที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานเป็นห่วงกันมากคือ ส่วนการจ้างงานในภาครัฐ จะคิดเอาอัตราแรงงานขั้นต่ำเป็นหลักในการเปรียบเที่ยบ  ทำให้ระบบค่าจ้างแรงงานในตลาดแรงงานเสียไป  อย่างเช่นรายได้ของทหารเกณฑ์ ที่ปรับปรุงโดยเปรียบเที่ยบค่าแรงขั้นต่ำ  ในสายตาของนักเศรษฐศาสตร์แรงงาน ไม่อยากให้มีการเปรียบเที่ยบเช่นนี้   เงินตอบแทนจะสูงหรือต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำก็ว่ากันตามความเหมาะสมด้วยเหตุผลนั้นๆ แต่อย่าเอาเกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำมาเป็นตัวเปรียบเทียบ   ไม่เช่นนั้นแล้วระบบค่าจ้างในตลาดแรงงานจะเกิดช่องว่างในรายได้เงินเดือน ในหมู่ลูกจ้างทั่วไปอย่างในแรงงานฝีมือ  พนักงานบริษัทมักจะมีเงินเดือนต่ำกว่า พนักงานรุ่นพี่มาก ทั้งๆที่เนื้องานความรับผิดชอบแตกต่างกันไม่มาก และอายุงานก้ต่างกันไม่มาก(อย่างที่พวกๆเราชอบบ่นกัน  :D)  สร้างความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้

ถ้าคิดให้ออกนอกกรอบ ก็ต้องพัฒนาแรงงานไร้ฝีมือ ให้เป็นงานที่มีฝีมือ แล้วอัตราค่าจ้างแรงงาน  ขึ้นอยู่กะฝีมือและการต่อรองระหว่างแรงงาน-นายจ้าง  ถ้านายจ้างมีความต้องการสูง แรงงานก้รู้ตัวเองดีว่ามีความสามารถเพียงพอ ก็สามารถมีค่าแรงสูงตามความต้องการตลาด ในทางกลับกัน ถ้าแรงงานไม่มีความสามารถมากนัก ก็จะไม่กล้าเรียกร้องค่าจ้างแรงงานที่สูงเกินจริง  

ที่นักเศรษฐศาสตร์แรงงานเป็นห่วง... ว่าจะเอาไปเทียบกับการจ้างแรงงานในภาครัฐเช่นทหารเกณฑ์ นั้น...

นายสมชายมองแบบชาวบ้านนะครับ ว่าแรงงานถือเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งในกระบวนการผลิต และผลผลติตจากกระบวนการผลิตจะต้องเอาไปขายในตลาดได้ในราคาที่แข่งขันกันได้... สมมติว่าเราจะผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง เมื่อเอาราคาที่คิดว่าจะขายได้(ผ่านกระบวนการ Positioning แล้วมีช่องว่างให้ 4P ของสินค้านี้อยู่ในตลาดโดยมีกำไรคุ้มค่า)...

แล้วเราก็เอาราคาต่อหน่วยต่อจำนวนขั้นต่ำ มาเข้าเกียร์ถอยหลังออกมาเป็นแผนการผลิต, แผนการตลาด, แผนการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ... อีตรงนี้มันก็ออกมาเป็นค่าแรงขั้นต่ำที่อยู่ในต้นทุนครับ ค่าแรงแพง ต้นทุนสินค้าก็จะแพงตามไปด้วย, แล้วค่าแรงเองก็อยู่ในระบบดีมานด์ซัพพลายด์เหมือนกัน, วิธีนี้คือหา"มูลค่า"ค่าแรงมาจากมูลค่าเพิ่มของสินค้า...

พอมาพูดเรื่องดีมานด์ซัพพลายด์ของค่าแรงปุ๊บ... มันก็เอาเรื่องทหารเกณฑ์มาเทียบไม่ได้ครับ เพราะทหาร"โดนเกณฑ์"ไม่ใช่เส้นดีมานด์ตัดกับซัพพลายด์ แล้วออกมาเป็นจุดที่เหมาะสมครับ...

การคิดคำนวณ"มูลค่า"ค่าแรงนอกจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าแล้ว มีวิธีที่สองคือคิดจาก"มูลค่าที่หายไป หากไม่มีแรงงานนั้น"... วิธีนี้มีหลักการคล้ายกับเบี้ยประกันครับ, เช่นเงินเดือนนักกฎหมายเชี่ยวชาญสัญญาก่อสร้างในวงการน้ำมัน(Oil & Gas) จะมีเงินเดือนแพงมาก(เกินสองแสนบาท), อันนี้เกิดจากมูลค่าความเสียหายที่จะเกิด หากไม่ได้นักกฎหมายที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอย"ปิดช่องโหว่"เอาไว้ล่วงหน้า...

ที่นายสมชายเขียนมาข้างบน ก็อยากจะบอกว่า ค่าแรงงานนั้นมันจะอยู่ในเรื่องดีมานด์ซัพพลายด์, แล้วมันจะถูกม้วนเข้ามาอยู่ในระบบนี้ตลอด ไม่เว้นแม้แต่เงินเดือนข้าราชการ(ที่ไม่โดนเกณฑ์)... แล้วปัญหามันเกิด จนจะเป็นปัญหาการเมืองก็คือแรงงานระดับไร้ฝีมือนี่แหละ ที่ไม่มีใครต้องการ แต่มีจำนวนมากพอที่เรียกร้องผลประโยชน์จากรัฐบาลให้ได้...

คอยดูนะครับ หากรัฐบาลแก้ตรงนี้ไม่ได้ จะกลายเป็นประเด็นทางการเมืองอีก... เพราะคนกลุ่มนี้ถนัด"ขอ"อย่างเดียวครับ...

เรื่องแรงงานส่วนเกินนี้มีตัวอย่างการแก้ปัญหาในประวัติศาสตร์หลากวิธีครับ(ชักคิดถึงคุณต๊อกฯ - ดอนคิโฮเต้)... เช่นจีนโบราณเอาไปสร้างกำแพงใหญ่, อียิปต์เอาไปสร้างปิรามิด ฯลฯ คือทหารมันแยะ แล้วทำอะไรไม่เป็นซักอย่างนอกจากไล่ตีกัน เลยหาอะไรให้ทำไม่ให้ว่างงานครับ...

   ชอบคำตอบนี้ครับ+ให้ ::007:: ::007:: ::007::
มันฮา ตรงที่คนมากมายเกินไปไม่รู้เอาไปทำอะไรดี เข้าท่าครับๆ บ้านเราน่าจะลองเอาแรงงานที่เหลือแทนที่จะมาแบมือขอทุก 1 พฤษภา
เอาไปทำอะไรๆ ที่เข้าขั้น เมกกะโปรเจค ได้นะครับ

ขอบคุณครับ, ทอนแล้วครับ...

ปัญหามันเกิดอีตรงคนกลุ่มนี้มันมีจำนวนหนึ่งที่พัฒนาไม่ได้นี่ซิครับ(บัวใต้น้ำ)... โหย...

นึกถึงตอนไปเที่ยวเขมรครับระหว่างทางที่นั่งรถไปประเทศเขาคงมีโครงการอะไรสักอย่างประชาชนมากมายมาขุดถนนกันเป็นแถว ย๊าว ยาว
มีจอบ มีเสียมนี่แหละครับเข้าแถวขุดกันไป

  ตอนเด็กๆบ้านผมก็เคยเห็นเขามีโครงการขุดคลองเพื่อการเกษตร ชาวบ้านยังไปรับจ้างขุดดินจากทางการอยู่เลยจอบเสียมนี่แหละ เรือขุด รถขุด รถแบคโฮ
ไม่มี  แต่พอไม่นานนัก คลองเส้นเดิมนี่แหละ ใช้เรือขุดครับ ใบจักรขุดควงสว่าน ส่งท่อทิ้งบนฝั่งทั้งน้ำทั้งดิน ทั้งสายเสร็จไวในพริบตา

ตรงนี้แหละครับ ที่ผมอยากพูดถึง  พี่สมชายสรุปได้สั้นกระทัดรัด  ::002::