|
หัวข้อ: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: NAPALM ที่ ธันวาคม 19, 2010, 11:03:27 AM ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ
ผมยกมาจากหนังสือ ๑๔๐ ปี ท่านอาจารย์ใหญ่ของพระป่าสยาม พระอรหันต์ที่คนไทยได้เห็นตัวจริง "ไม้ซกงก หกพันง่า กะปอมก่าแล่นขึ้น มื้อละฮ้อย กะปอมน้อยแล่นขึ้น มื้อละพัน ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อ ๆ" และ "หวายซาววาหยั่งลง บ่เห็นส้น ลึกบ่ตื้นคำข้าว หย่อนลงกะเถิง" หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: Peerapat - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 19, 2010, 11:06:54 AM คนปลายด้ามขวานขอเข้ามารอรับความรู้จากพี่ๆชาวอีสานด้วยคนครับ ;)
หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: ชายเจษฎ์ ที่ ธันวาคม 19, 2010, 11:17:18 AM อ่านเสร็จแล้วมึนตึ๊บเลยครับ ::012:: มานั่งรอด้วยคน ;D
หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: ทิดเป้า ที่ ธันวาคม 19, 2010, 11:47:16 AM ::005::
"ไม้ซกงก หกพันง่า ไม้ที่ตั้งเก่เด่ หกพันกิ่ง กะปอมก่าแล่นขึ้น มื้อละฮ้อย กิ้งก่า(ตัวใหญ๋) วิ่งขึ้น วันละร้อย กะปอมน้อยแล่นขึ้น มื้อละพัน กิ้งก่าตัวเล็กๆ วิ่งขึ้น วันละพัน ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อ ๆ" ตัวไหนมาไม่ทัน ก็วิ่งขึ้นด้วยทุกๆวัน และ "หวายซาววาหยั่งลง บ่เห็นส้น หวายยาว 20 วา ยั่งลง ไม่ถึง ( ไม่ถึง ไม่ทัน แบบลิบลับ ขาดลอย ไม่เห็นฝุ่น) ลึกบ่ตื้นคำข้าว หย่อนลงกะเถิง จะลึกแค่ไหน(จะลึกจะตื้นแค่ไหน) คำข้าว ก็หย่อนลงถึง ::005::ผมคนแคลิฟอร์เนียร์ อาจแปลผิดพลาดหน่อยครับ หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ ธันวาคม 19, 2010, 11:52:01 AM คำข้าว หมายถึงอะไรครับ ::014::
หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: Sig228-kolok ที่ ธันวาคม 19, 2010, 11:55:09 AM คำข้าว หมายถึงอะไรครับ ::014:: อันร่างกาย มนุษย์ สมุฏฐาน คืออาหาร ค้ำชู จึงอยู่ได้ อาหารคือ "คำข้าว" ของชาวไทย หรือชาติไหน เช่นกัน สำคัญจริง หากมนุษย์ ทั่วโลก โศกสลด ! อาหารหมด ทั่วกัน สำคัญยิ่ง ข้าวเผือกมัน ไทยซึ่ง เคยพึ่งพิง ก็หยุดนิ่ง ทำแต่ แค่พอกิน ความเดือดร้อน ทั่วโลก วิปโยคหนัก อาหารหลัก พินาศ จนขาดวิ่น โอ้พระคุณ ข้าวไทย ในธรณิน ขออย่าสิ้น ข้าวไทย ในโลกเลย เพียงมีบุญ เป็นอาหาร ท่านอย่าหวั่น เอาบุญนั้น เป็นอาหาร ทานกันได้ ไม่มีบุญ อาหารนี้ เหมือนมีภัย กินไม่ได้ กายไม่รับ อับจนบุญ อาหารดี ที่อร่อย พอย่อยได้ จะต้องใช้ ไฟธาตุดี ที่เกื้อหนุน เพราะสังขาร ปรุงแต่งกาย ใช้ค้ำจุน ก็ด้วยบุญ หนุนนำ จากทำบุญ หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ ธันวาคม 19, 2010, 12:15:48 PM คำข้าว หมายถึงอะไรครับ ::014:: อันร่างกาย มนุษย์ สมุฏฐาน คืออาหาร ค้ำชู จึงอยู่ได้ อาหารคือ "คำข้าว" ของชาวไทย หรือชาติไหน เช่นกัน สำคัญจริง หากมนุษย์ ทั่วโลก โศกสลด ! อาหารหมด ทั่วกัน สำคัญยิ่ง ข้าวเผือกมัน ไทยซึ่ง เคยพึ่งพิง ก็หยุดนิ่ง ทำแต่ แค่พอกิน ความเดือดร้อน ทั่วโลก วิปโยคหนัก อาหารหลัก พินาศ จนขาดวิ่น โอ้พระคุณ ข้าวไทย ในธรณิน ขออย่าสิ้น ข้าวไทย ในโลกเลย เพียงมีบุญ เป็นอาหาร ท่านอย่าหวั่น เอาบุญนั้น เป็นอาหาร ทานกันได้ ไม่มีบุญ อาหารนี้ เหมือนมีภัย กินไม่ได้ กายไม่รับ อับจนบุญ อาหารดี ที่อร่อย พอย่อยได้ จะต้องใช้ ไฟธาตุดี ที่เกื้อหนุน เพราะสังขาร ปรุงแต่งกาย ใช้ค้ำจุน ก็ด้วยบุญ หนุนนำ จากทำบุญ +๑ ขอบคุณครับ ::014:: หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: เด่นพงษ์ - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 19, 2010, 06:05:25 PM ประมาณว่า...
จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง..เปรียบหวายยาว 20 วายังหย่อนไม่ถึงก้นบึ้ง แต่คำข้าวที่เรากินเข้าไปก่อนถึงกระเพาะอาหารต้องผ่านหัวใจ..จึงเหมือนมันตื้นนิดเดียว คติธรรม..จะว่าลึกก็ลึกสุดๆ..จะว่าตื้นก็นิดเดียว จึงมาถึงแก่นของการภาวนา..ว่าเหตุเกิดที่ใจ..และดับได้ด้วยใจ หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ ธันวาคม 19, 2010, 06:14:11 PM (http://www.dhammasavana.or.th/pic_upload/pic_no_1096_rp.jpg)
เป็นปริศนาธรรม ภาษาอีสาน ครับ มหาปุญโญวาท 7 : ริ้วรอยแห่งการเวลา 8 ๒๔. ไม้ซกงก “ไม้ซกงก หกพันง้า กะปอมก่าแล้นฮื้นมื้อละห้อย กะปอมน้อยแล้นฮื้นมื้อละพัน โต๋มาบ่ทันแล้นฮึ้นนำทุกมื้อ” ใจยากหยุ้ง ควายหลายโต๋จั้งจ่อง โต๋หนึ่งข้องง้าคอง โต๋สองข้องง้าขาม โต๋สามข้องง้ามี้ โต๋สี่ข้องง้าหว้า โต๋ห้าข้องง้าบก โต๋หกข้องง้าแต้ ไผ๋สิมาซ้อยแก้ควายข้อยจั่งสิไป จิตเดิมแท้เป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวอับหมองเพราะอุปกิเลสเป็นผู้จะมาปกคลุมห่อหุ้ม เหมือนขี้เมฆปิดบังพระอาทิตย์ กิเลสทั้งหลายมิใช่ของจริง เป็นของปลอม ตา – หู – จมูก – ปากลิ้น – กาย – ใจ หากไม่มีกิเลสเข้าเจือเข้าแทรกก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น เป็นอายตนะในอยู่เช่นนั้น รูป แสงสี – เสียง – กลิ่น – รส – ถูกต้อง – นึกคำนึง หากไม่มีกิเลสเจือแทรกก็จะเป็นอยู่เช่นนั้น เป็นอายตนะนอก – เป็นของนอกอยู่เช่นนั้นไม่ก่อทุกข์ก่อโทษอันใดได้หรอก แต่หากเมื่อใดมีกิเลสตัณหามาเจือมาแทรกมาเชื่อมต่อแล้วก็เป็นฟืนเป็นไฟลุกลามไปใหญ่โตมากนัก อายตนะ นอกในนี้มีอยู่ ๖ ก็เป็น ๑๒ ในระหว่างเชื่อมต่อกันอีก ๖ ก็เป็น ๑๘ อายตนะ ๑๘ อาการ นี้เป็นของเก่ามีมาประจำโลกคือมีมากประจำผู้เกิดมา ใครเกิดมาไม่บอดไม่หนวกไม่วิการก็จะต้องมีอยู่มีไว้มีมาแต่ก่อนพุทธะอีก ทีนี้ในคนผู้ไม่รู้จักแล้วเกิดมาก็มามัวเมา ตาได้ดูรูปแสงสีก็เมา หูได้ยินเสียงก็เมา จมูกได้กลิ่นก็เมา ปากลิ้นได้รสก็เมา กายได้ถูกต้องสัมผัสก็เมา ใจได้นึกคิดคำนึงก็เมา เมา แล้วหลง – หลงแล้วมืด มืดแล้วหามาเติมใส่ เมามืดเมาหลงใหล จึงว่าเป็นโง่โมห์เมามืดหลงในของเก่า เห็นของเก่าว่าดีน่าตื่นเต้นยินดีน่าเร้าอกเร้าใจ ดังนี้ก็ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นสุดได้ - ตาก็ตั้งหน้าตั้งตาดูไป ดูเท่าไหร่ก็ดูไปเถอะ ดูได้ก็แต่ยินดีและยินร้ายเท่านั้นเอง หากพอใจก็ยินดียินได้ไหลหลง หากไม่พอใจก็บ่นว่า ไม่เอาไม่ชอบ ส่งไปหารูปแสงสี ส่งออกไปนอก ดิ้นรนหาแต่อันที่พอใจชอบใจสุขใจดูแล้วก็อยากดูอีก - เสียง ก็ฟังไปเถ๊อะ เสียงมนุษย์ผู้หญิง/ เสียงมนุษย์ผู้ชาย/ เสียงสัตว์เดรัจฉาน เสียงยินดีเสียงยินร้าย ฟังไปเทอะก็หมายเอาแต่อาการพอใจยินดี และไม่พอใจไม่ยินดีเท่านั้น ฟังได้ก็ไม่รู้จักอิ่มหรอก ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ไม่มีที่เก็บฟังแล้วก็อยากฟังอีก - เรื่อง รสชาติ อาหารการอยู่กิน ขบฉันลิ้มรสลิ้มลอง ก็เอาเทอะกินแต่น้อยคุ้มใหญ่ก็ไหลหลงมัวเมาไปอย่างนั้นแหละ รสไม่อร่อยไม่ถูกใจไม่ถูกกิเลสก็บ่นก็ว่า เสาะสรรหาแต่รสอันถูกปากถูกลิ้นมากินมาดื่ม หากรวมลงได้ที่ใจ ก็จบลงได้ จะรวมลงได้ก็เพราะที่ใจ ก็เพราะใจ ที่สุดคือใจ ที่สุดโลกคือตัวใจนี้เอง อะไรก็ตามถ้าเรามาเข้ามามันจบมันสิ้น/ หากแตกออกไปมันไม่จบไม่สิ้นเสาะหาทุกข์เสาะหาสุขอยู่เสมอไป โลกไม่มีที่สิ้นที่สุด ธรรมะมีที่สิ้นสุด มีจุดจบ เพราะมีที่ลง คือมีใจเป็นที่ลง – ลงที่ใจนี้แห่งเดียว เราปฏิบัติก็ เพื่อให้รู้ให้รวมลงที่กายใจนี้ เพื่อให้รู้ใจของตน ว่าเป็นส่วนโลกว่าเป็นส่วนธรรมะ ว่าเป็นแต่อายตนะ/ ว่าเป็นแต่โลก เมื่อรู้นอกรู้ในก็เป็นกลาง คือใจนี้เป็นกลางต่อสิ่งทั้งปวงหมด บุญบาปก็ตามแต่เรื่อง ดีชั่วก็ตามแต่เรื่อง ตัวของตัวเป็นกลางก็เปลื้องโทษทุกข์ใดๆ ได้ ขอให้ทำตนให้เป็นกลางอยู่เสมอๆ คือ รักก็เอาไว้อย่างหนึ่ง ชังก็เอาไว้อย่างหนึ่ง ดีก็เอาไว้อย่างหนึ่ง ชั่วก็เอาไว้อย่างหนึ่ง โกรธเกลียดก็เอาไว้อย่างหนึ่ง ไม่โกรธก็เอาไว้อย่างหนึ่ง โลกก็ตั้งไว้ตามโลก/ ธรรมะก็ตั้งไว้ตามธรรมะ อย่าให้เป็นข้าศึกแก่กัน – ใจเป็นกลาง ใจเป็นตัวเจตนากรรม คือ ระวังก็ใจ ผู้ระวังก็ใจ ก็มาระวังในกาย วาจา ใจ นี้เองหล่ะ ก็สรุปตกลงว่า ตัวเราระวังตัวเอง/ ตัวเองสำรวมตนเอง - กลิ่น ก็เหมือนกันปรุงแต่งเข้า ให้หอมหวนชวนดอมดม ประทาฉาบไล้ชโลมเข้า กายนี้มันบูดมันเน่า เอากลิ่นมากลบมาฝัง น้ำหอมต่างๆ แป้งฝุ่นแป้งหอมเครื่องดับกลิ่นชนิดต่างๆ แม้อาหารการอยู่กินก็มีทั้งกลิ่นมีทั้งรส - การสัมผัสถูกต้อง แตะต้องทางกายก็เช่นกันหล่ะ ชอบใจก็หลงก็เมาไม่ชอบใจก็ไม่เอา - ธรรมารมณ์ ความนึกคำนึงก็เช่นกันหล่ะ มันส่งไปตามอาการเมาหลงของ ตา – หู – จมูก – ปากลิ้น – กาย, ส่งไปตาม รูปแสงสี – เสียง – กลิ่น – รส – สัมผัสใดๆ ความคิดคำนึงนี่เป็นเรื่องของใจเป็นอารมณ์ของใจมีกิเลสตัณหาอุปาทาน ออกไปดำริแต่ใจ เมาออกไปแต่ใจกิเลสหลงออกไปแต่ใจมีกิเลส มีผู้เข้ารำพึงแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ โลกนี้กว้างขวางนัก โลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ที่สิ้นสุดจุดปลายของโลกไม่มี” “พรามหมณ์...! เราตถาคตตรัสว่า มี” “มีอย่างใดมีที่ไหน ?” “มีที่กายยาววา หนาคืบ กว้างศอกกำมือ” นี้เอง “อันนี้ที่สิ้นที่สุดมีอยู่ตรงนี้” พราหมณ์เฒ่าชี้เข้าหารูปตัวกายตนเอง “ใช่แล้ว มหาพราหมณ์มีอยู่ที่นี่เอง” เมื่อรักก็ออกไปแต่ใจ/ เมื่อชังก็ออกไปแต่ใจ/ เมื่อหลงก็ออกไปแต่ใจ/ ยินดียินร้ายล้วนแล้วแต่ออกไปแต่ใจจากใจนี้ ใจที่ส่งออกไปหาอายตนะผัสสะต่างๆ นั้นหาที่สิ้นสุดมิได้ ใจแตกกระจายจึงเป็นโลก ตนระวังตนเอง/ ตนรักษาตนเอง เพราะ กายก็ตัว วาจาก็ตัว ใจก็ตัว อายตนะใน ตา หู จมูก ปากลิ้น กายใจ ก็เป็นอาการของตัว อายตนะนอก รูปแสงสี – เสียง – กลิ่น – รส – ผัสสะ นึกคิดคำนึง ก็ไปแต่ใจออกไปพัวพันติดยึด ด้วยอำนาจของอวิชชาความไม่รู้จักตัว ด้วยอำนาจของความโง่เขลาครอบงำ อายตนะใดๆ จึงเป็นข้าศึกแก่ตัว ชอบใจ ปรารถนา อยากได้ อยากมี ยินดีชอบใจเกินเหตุ เกินประมาณก็ให้ได้ทุกขโทมนัส ปฏิฆะคับแค้นแน่นใจ เศร้าโศก ทุกข์ใจเสียใจ หาไม่ก็ไม่ชอบ เกลียดหน่าย นี้ก็เป็นทุกข์เป็นยากอัดอั้นตันใจ ดังนั้นจึงให้รู้ว่าอะไรแท้ อะไรปลอม อะไรเป็นกะปอมก่า/ อะไรเป็นกะปอมน้อย ใจยินดี – ใจหลงเป็นของปลอม จึงให้มีสติควบคุมจิตของตน เราปฏิบัติเพื่อที่จะอบรมกาย วาจา ใจของตน ก็ ให้ทำให้รักษาที่กาย วาจา ใจ ของตนให้มีเรียบร้อยดีงาม ให้สงบให้รู้เรื่องของตน กิริยาใจมันคิดมันไปอย่างใดก็ให้สงบก็ให้รู้เรื่องของตน กำจัดกิเลสมิให้ฟุ้งมิให้เฟ้อ ให้สงบลงในที่ใจที่เป็นกลาง กิเลสของปลอม ให้ระวังให้ดี เพราะ ตัวใหญ่วิ่งขึ้นวันละร้อย ตัวน้อยวิ่งขึ้นวันละพัน ตัวที่มาไม่ทันก็วิ่งขึ้นทุกวัน หมายความว่ามันแทรกซึมอยู่ในตัวของเรา ในจิตของเราตลอด ไม่ว่าใครๆ พระก็ตาม เณรก็ตาม ชีก็ดี คฤหัสถ์ฆราวาสก็ดี มีอยู่ในใจ แทรกอยู่ในใจ เป็นของที่เราสั่งสมมานานแต่อเนกชาติ ต้องใส่ใจถึงจะชัยชนะให้สะอาดได้ ต้องระวัง ระวังอยู่ทุกขณะ ระวังอยู่ทุกเวลา ข้อความข้อใคร่ครวญนี้ อัตตโนบันทึกขึ้นภายหลัง จากได้ฟังภาษิตของ องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จาก ผอบวาจาขององค์หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ เมื่อขณะจัดจังหันถวายอยู่ศาลาหอฉัน องค์ท่านปรารภว่า “ ไม้ซกงก หกพันง้า กะปอมก่า แล้นฮึ้นมื้อละฮ้อย กะปอมน้อย แล้นฮึ้นมื้อละพัน โต๋มาบ่ทัน แล้นฮึ้นนำคู้มื้อๆ” http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=683 (http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=683) ไม้ซกงก ได้แก่ตัวของเรานี่ล่ะ ร่างกายของเรานี่แหละ หกพันง่า หมายถึง อายตนะทั้ง 6 นั่นเอง ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) กะปอมก่า คือ กิเลสตัวใหญ่( รัก โลภ โกรธ หลง ) อันแก่กล้านั่นล่ะ แล่นขึ้นมื้อละฮ้อย (มื้อละร้อย) มันวิ่งขึ้นใจคนเราวันละร้อย กะปอมน้อยแล่นขึ้นมื้อละพัน คือ กิเลสที่มันเล็กน้อย ก็วิ่งขึ้นสู่ใจ วันละพัน ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อๆ กิเลสที่ไม่รู้ไม่ระวัง ก็จะเกิดขึ้นทุกวันๆ หวายซาววาหยั่งลง บ่เห็นส้น ลึกบ่ตื้นคำข้าว หย่อนลงกะเถิง การแสวงหาธรรมนั้น ถ้าเราจะซาวหา (ค้นหา) ยิ่งหาก็ยิ่งไกล ยิ่งจะไม่เห็น แต่นี่หาเข้ามา ลึกบ่ตื้นคำข้าวหย่อนถึง หาตรงที่คำข้าวหย่อนลงไปถึงนี่แหละ ตรงท่ามกลางอกนั่นแหละ แสวงหาธรรมจะไปค้นหาตามแบบตามตำรายิ่งหาก็ยิ่งไกล http://www.pantown.com/board.php?id=30284&area=3&name=board7&topic=46&action=view (http://www.pantown.com/board.php?id=30284&area=3&name=board7&topic=46&action=view) หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: Peerapat - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 20, 2010, 03:13:16 AM พอเข้าใจแล้วครับ ความรู้ทั้งนั้นเลย ขอบพระคุณมากครับ ::002:: ::014::
หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: NAPALM ที่ ธันวาคม 20, 2010, 09:58:59 PM ขอขอบคุณทุกคำตอบ ทุกความเห็น ครับผม.............
หัวข้อ: Re: ธรรมคติพระอาจารย์มั่น วานท่านสมาชิกเวปบอร์ดชาวอีสาน ขยายความให้หน่อยนะครับ เริ่มหัวข้อโดย: สหายแป๋ง คนดง ที่ ธันวาคม 20, 2010, 10:38:11 PM อยากจะอธิบายครับแต่ผมมึน(เมา)ไม่เหมาะแก่การสนทนาธรรมหลวงพ่อท่าน ::014:: ::014:: ::014::
|