เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน

สนทนาภาษาปืน => หลังแนวยิง => ข้อความที่เริ่มโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:10:39 PM



หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:10:39 PM
เครดิตของคุณวศินสุข......ที่รวบรวมไว้จากในเวปพันทิปครับ.... ::014::

ยาว....แต่ทําให้พอเข้าใจแก่นของปัญหา.....ที่มีมาแต่ประวัติศาสตร์.....

จะเข้าใจปัญหาของ3จังหวัด...(ในอดีตเรียก4จว.ชายแดน)..ต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ครับ....


##############################################################################################################



“สุโขทัย” เป็นราชธานีแห่งแรกของไทย กินอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศแถมยังรวมเอาคาบสมุทรมลายูเข้ามาไว้ด้วย ซึ่งที่จริงแล้วหลักฐานทางประวัติศาสตร์มิได้เป็นเช่นนั้น หากแต่ดินแดนแถบคาบสมุทรมลายูมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ก่อนอาณาจักรสุโขทัยเกือบ ๑,๐๐๐ ปี (อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ แต่มีการขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีแถบเมืองปัตตานีว่ามีการตั้งรกรากของผู้คนตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๑๐๐๐ หรือ ๑๑๐๐) ในยุคอาณาจักรศรีวิชัย
 

ในหนังสือ “รัฐปัตตานี ใน ศรีวิชัย” ของสำนักพิมพ์มติชน ที่คัดมาต่อไปนี้ บอกเรื่องราวของ “ศรีวิชัย” ไว้ว่า

จุดเริ่มต้น มาจากการที่ ศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ (Georges Coedes) เป็นผู้คิดค้นบัญญัติคำว่า “ศรีวิชัย” ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ จากการอ่านศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ซึ่งมีศักราชกำกับว่า พ.ศ. ๑๓๑๘ (ศิลาหลักนี้ยังถกเถียงกันเรื่องแหล่งดั้งเดิมว่าอยู่ที่วัดเสมาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือวัดหัวเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีกันแน่) ระบุข้อความที่กล่าวถึง “พระเจ้ากรุงศรีวิชัย” เมื่อนำไปพิจารณาประกอบกับบันทึกของหลวงจีนอี้จิงที่เดินทางมาศึกษาพระธรรมวินัยเมื่อ พ.ศ. ๑๒๑๔ ที่ชิลีโฟชิ (Shih-Li-Fo-Shih) แล้วแปลความว่า ชิลีโฟชิ คือ ศรีวิชัย และยังได้ให้ข้อสันนิษฐานอย่างมั่นใจว่า ศรีวิชัยเป็นอาณาจักรหนึ่งที่มีอำนาจทางการเมืองมั่นคง มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ครอบคลุมหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณตอนใต้ของคาบสมุทรมลายูตลอดขึ้นมาถึงดินแดนบางส่วนของคาบสมุทร โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมือง ปาเล็มบัง (Palembang) เกาะสุมาตรา สมมุติฐานของศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเกือบทั่วโลกมีความสนใจต่อการเป็น “อาณาจักรศรีวิชัย” อันใหญ่ยิ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


มีนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีจำนวนมากมีความเห็นสอดคล้องกับข้อเสนอของศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ แต่ก็มีนักปราชญ์หลายท่านคัดค้าน (มีรายละเอียดในคำนำหนังสือรายงานการสัมมนาเรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดีศรีวิชัย ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ ๒๕-๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๕ จัดพิมพ์โดย กองโบราณคดี กรมศิลปากร พฤศจิกายน ๒๕๒๕ หน้า ก.-ข.) เช่น ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี ทรงเชื่อว่า ศูนย์กลางของศรีวิชัยน่าจะอยู่บนคาบสมุทรบริเวณอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี (และ/หรือมีขอบเขตถึงบริเวณอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช)

ต่อมามีนักวิชาการหลายท่านเสนอหลักฐานและความเห็นเพิ่มเติมว่า ศรีวิชัยมิได้มีศูนย์กลางที่แน่นอนและถาวร แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามความเข้มแข็งของผู้นำของแต่ละท้องถิ่นที่สามารถควบคุมอำนาจทางการเมืองและการค้า ดังนั้นศูนย์กลางของศรีวิชัยอาจจะอยู่ทั้งที่บริเวณหมู่เกาะหรือบนคาบสมุทรมลายู (รายงานการสัมมนาฯ โดย กองโบราณคดี กรมศิลปากร. ๒๕๒๕) จากการสัมมนาจึงมีข้อเสนอจากนักวิชาการสถาบันต่าง ๆ ร่วมกันว่าปัญหาของศรีวิชัยแบ่งได้เป็น ๒ ประเด็นใหญ่ ๆ คือ

๑. รูปแบบทางการเมือง เมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่บนคาบสมุทรหรือบนหมู่เกาะก็ตาม ต่างก็มีความสัมพันธ์กันในทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ในลักษณะที่เป็นสมาพันธรัฐที่มีศูนย์กลางทางอำนาจเปลี่ยนแปลงไปตามความผันแปรทางการเมืองและเศรษฐกิจ

๒. รูปแบบทางศิลปวัฒนธรรม เมืองต่าง ๆ เหล่านี้มีวัฒนธรรมร่วมกันบางประการ ได้แก่ การนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งแสดงออกด้วยรูปแบบทางศิลปกรรมที่เรียกว่า “ศิลปกรรมแบบศรีวิชัย”


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:12:50 PM
ยาวหน่อยนะครับ.....ค่อยๆอ่าน...ผมจะค่อยๆโพสท์...


##########################################################################################################


“ศรีวิชัย” จึงไม่ใช่ชื่ออาณาจักรที่มีศูนย์กลางของอำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจและการเมืองอยู่เมืองใดเมืองหนึ่งแต่เพียงเมืองเดียว แต่ “ศรีวิชัย” เป็นชื่อกว้าง ๆ ทางศิลปะและวัฒนธรรมของกลุ่มบ้านเมือง หรือแว่นแคว้น หรือรัฐน้อยใหญ่ ที่มีวัฒนธรรมบางประการร่วมกัน เช่น การนับถือพระพุทธศาสนาในลัทธิมหายานที่แสดงออกด้วยรูปแบบทางศิลปกรรมที่เรียกกันว่า “ศิลปกรรมแบบศรีวิชัย”

รองศาสตราจารย์ ดร. ธิดา สาระยา (อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย) อธิบายเสนอความสำคัญของ “ทวารวดี” ในฐานะรัฐที่มีอำนาจทางทะเลร่วมสมัยกับ “ศรีวิชัย” ว่า “นครปฐมเกิดขึ้นในช่วงสมัยของความมั่งคั่งของเศรษฐกิจการค้าภาคพื้นทะเลของอาณาจักรศรีวิชัย มหาอำนาจทางการค้าในทะเลชวา เชื่อมโยงการค้าตั้งแต่น่านน้ำมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ให้เป็นผืนเดียวกัน นักเดินทางชาวอาหรับต่างกล่าวถึงความมั่งคั่งรุ่งเรืองของมหาราชาแห่งซาบัค คือ ศรีวิชัย แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีการค้นคว้าแสดงหลักฐานทางโบราณคดีที่กำหนดที่ตั้งและศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยในทะเลชวาอย่างแน่นอนได้ ต่างกันกับในบริเวณอ่าวไทยที่พบเมืองท่าใหญ่ ๆ หลายแห่ง โดยเฉพาะเมืองนครปฐม ที่ปรากฏร่องรอยของหลักฐานทางโบราณคดี อันมีนัยถึงความซับซ้อนของบ้านเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองโบราณบนภาคพื้นสยามประเทศก่อนสมัยอยุธยา”

(คัดบางส่วนจากบทความเรื่อง “แหลมทองคาบสมุทรไทยมีรัฐปัตตานี” โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ)

ภาพนี้เป็นภาพแผนที่ Nova Tabula Insularum Javae, Sumatrae, Borneonis... โดย โยฮาน ธีโอดอร์ เดอ บราย และ โยฮาน อิสราเอล เดอ บราย พิมพ์ครั้งแรกที่กรุงแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๔๑ หรือประมาณ ๔๐๖ ปีที่แล้ว (พิมพ์ซ้ำในปีถัดมา)  มีขนาด ๔๓ x ๓๗ ซม. ปรากฏในหนังสือ Petits voyages ภาคที่ ๒ ภาพนี้ระบุตำแหน่งของ "ปัตตานี" ไว้ด้วย (คัดภาพนี้จากหนังสือ "ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:15:23 PM

ภาพต่อมาเป็นภาพแผนที่ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย Vincenzo Coronelli และ Jean Baptise Nolin เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ (ภาพจากหนังสือ Early Mapping of Southeast Asia โดย Thomas Suarez, 1999)
(คัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน "ศรีวิชัย")



หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:16:38 PM

ส่วนที่ว่าในสมัยศรีวิชัยจะเรียกดินแดนบริเวณนี้ว่าอย่างไรนั้น ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ ถึงแม้จะมีเอกสารต่างประเทศยืนยันชื่อบ้าน นามเมือง และแว่นแคว้น หรือรัฐต่าง ๆ ที่อยู่ตามชายทะเลและหมู่เกาะของภูมิภาคอุษาคเนย์ รวมถึงท้องถิ่นคาบสมุทรภาคใต้อยู่ด้วย แต่ก็ไม่อาจระบุตำแหน่งบ้านเมืองหรือแว่นแคว้น หรือรัฐเหล่านั้นได้แน่นอน เพราะยังไม่มีหลักฐานมากและมั่นคงพอ ส่วนที่มีผู้รู้เสนอว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ก็เป็นเรื่องของการ “สันนิษฐาน” ที่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และรอหลักฐานอื่นมาสนับสนุนอีกมาก

ส่วนเรื่องของการล่มสลายของอาณาจักรศรีวิชัยจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี่เพราะจะกินเนื้อที่มากเกินไป

ในคราวนี้จะได้พูดถึงพื้นที่ทางกายภาพบริเวณที่ปัจจุบันนี้เรียกว่า “ปัตตานี”

จังหวัดปัตตานี เป็นจังหวัดที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลทางตะวันออก มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดสงขลาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กับจังหวัดนราธิวาสทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ และกับจังหวัดยะลาซึ่งอยู่ในพื้นแผ่นดินภาคใต้

ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล ที่ราบลุ่มต่ำระหว่างหุบเขา สลับกันไปกับทิวเขาใหญ่น้อยซึ่งกั้นเขตแดนปัตตานีออกจากสงขลา ไทรบุรี และนราธิวาส เปรียบเทียบบริเวณอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้ดังนี้
๑. ตรงชายฝั่งทะเลมีอ่าวปัตตานี และมีลำธารหลายสายมาออกทะเล ได้แก่ ลำน้ำปัตตานี ลำคลองท่าเรือ ลำน้ำยะหริ่ง และแม่น้ำสายบุรี สภาพเหล่านี้ทำให้ปัตตานีเหมาะแก่การเป็นที่จอดเรือ
๒. ลำน้ำปัตตานี เป็นลำน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาตอนกลางของพื้นแผ่นดินใหญ่ ตอนที่จะไปติดต่อดินแดนเขตรัฐไทรบุรีของประเทศมาเลเซียทางใต้ ไหลผ่านที่ราบลุ่มตามหุบเขามายังที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล ก่อให้เกิดบริเวณที่จะทำการเพาะปลูกและเป็นแหล่งที่ตั้งชุมชนได้
๓. บริเวณอำเภอเมืองปัตตานี อำเภอยะหริ่ง และอำเภอยะรัง เป็นที่ราบลุ่มซึ่งเกิดจากการตื้นเขินของทะเล ทำให้เกิดเนินทรายและสันทรายมากมาย เหมาะแก่การที่จะตั้งแหล่งชุมชนอาศัยที่มีขนาดเป็นบ้านเมืองใหญ่โต

เหตุผลทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ ทำให้ปัตตานีกลายเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่งในภาคใต้ มีชุมชนที่เป็นบ้านเมือง มีพัฒนาการสืบเนื่องมาหลายยุคหลายสมัย แบ่งได้เป็น ๒ บริเวณคือ

บริเวณแรก อยู่ตามชายฝั่งทะเลติดกับอ่าวปัตตานี ตั้งแต่เขตอำเภอเมืองปัตตานีไปทางทิศตะวันออก ผ่านไปยังอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ แล้วหักลงทางใต้ ไปยังอำเภอสายบุรี ชุมชนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ ตั้งอยู่บนสันทายใกล้ ๆ กับลำน้ำสายเล็กสายใหญ่ที่ไหลไปออกทะเล
เมืองสำคัญคือ เมืองปัตตานี ตั้งอยู่บริเวณสันทรายในเขตบ้านบานา (แปลว่าในเมือง) มีศาสนสถานสำคัญสร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ มัสยิดกรือเซะ พบเศษเครื่องปั้นดินเผาหลายยุคหลายสมัยกระจายกันอยู่มากกว่าที่อื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียง เมืองรอง ๆ ลงมา เช่น เมืองยะหริ่งและเมืองสายบุรี ก็ตั้งอยู่ในเขตสันทรายที่อยู่ต่อเนื่องไปทางตะวันออกและทางใต้
สิ่งที่เป็นหลักฐานแสดงความเก่าแก่ของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่งก็คือบริเวณที่ฝังศพชาวมุสลิม ซึ่งหลายแห่งเป็นของที่มีการสืบเนื่องกันหลาย ๆ สมัย และแต่ละแห่งตั้งอยู่ในแหล่งที่เป็นชุมชน

บริเวณที่สอง อยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดินใหญ่ ห่างจากฝั่งทะเลไปทางใต้ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เป็นเนินทรายสลับกับสันทรายในเขตอำเภอยะรัง ไปต่อกับเขตอำเภอมายอและเขตอำเภอเมือง จังหวัดยะลา มีร่องรอยลำน้ำเก่าไหลผ่าน และอยู่ห่างจากลำน้ำปัตตานีปัจจุบันมาทางตะวันออกราว ๘ กิโลเมตร ในเขตนี้มีชุมชนโบราณกระจายกันอยู่หลายแห่ง มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๘ ขึ้นไป หรือเป็นชุมชนก่อนสมัยการแพร่หลายของศาสนาอิสลาม


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:18:06 PM

ภาพซากสถูปบ้านจาเละ ที่ชุมชนโบราณยะรัง จังหวัดปัตตานี (คัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน "ศรีวิชัย")


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:19:09 PM

เมืองโบราณที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี คือเมืองสำคัญของแคว้นลังกาสุกะ (ลังกาสุกะ เป็นชื่อเมืองหรือรัฐโบราณที่มีกล่าวถึงในวรรณคดีของชวาที่เรียกว่า “นครกีรติกามา” (Nagarakrtagama) ซึ่งกวีชื่อ ประปันจา เป็นผู้แต่งขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๐๘ ระบุว่าเป็นเมืองขึ้นของรัฐมัชปาหิต ตำนานมะโรงมหาวงศ์ หรือตำนานเมืองไทรบุรี กล่าวถึงลังกาสุกะว่าเป็นเมืองที่อยู่ภายในไม่ติดกับทะเล และเป็นเมืองที่ประทับของกษัตริย์มะโรงมหาวงศ์ จารึกที่ตันชอร์ในประเทศอินเดียกล่าวถึงเมืองไอลังกาโสกะ (Ilangasoka) พร้อม ๆ กันกับเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน เช่น ตามรลิงค์ (Tamralinya) และตาลัยตาโกลัม (Talaittakkolam) ว่าเป็นบรรดาเมืองที่พระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑ ทรงยึดครองได้ และเอกสารของชาวอาหรับก็กล่าวถึงลังกาสุกะเช่นกัน) ทั้งเมืองโบราณที่บ้านวัดและบ้านจาเละเป็นเมืองลังกาสุกะเดิมที่มีการสืบเนื่องกัน และมีอายุอยู่ในสมัยศรีวิชัย คือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔-๑๕ ลงมา

เมืองโบราณที่บ้านประแว คือเมืองลังกาสุกะในสมัยหลัง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเมืองปัตตานีที่สัมพันธ์กับตำนานมะโรงมหาวงศ์และตำนานเมืองปัตตานีที่กล่าวถึงการเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

การขุดค้นพระเจดีย์ที่บ้านจาเละ และข้อมูลที่ได้จากพระพิมพ์ ทำให้สามารถเลื่อนอายุของแคว้นและเมืองลังกาสุกะขึ้นไปถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔-๑๕ ร่วมสมัยเดียวกับศรีวิชัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลังกาสุกะคือศรีวิชัยในลักษณะที่เป็นเมืองราชธานี เพราะขณะนี้ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้แน่ชัด

เมื่อดูจากหลักฐานเอกสาร เช่น ตำนานและวรรณกรรมบ้าง ลังกาสุกะก็เป็นชื่อของบ้านเมืองในหลักฐานทางเอกสารว่ามีอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นรัฐที่สำคัญ มีกษัตริย์ปกครอง และมีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองกับรัฐและบ้านเมืองในเกาะชวาและเกาะอื่น ๆ ของอินโดนีเซีย นับเนื่องเป็นความสัมพันธ์ที่สืบเนื่องมาแต่สมัยศรีวิชัยก็ว่าได้

ในด้านความเชื่อทางศาสนา รัฐนี้นับถือพุทธศาสนานิกายเจติยาวาท (นับถือพระสถูปเจดีย์เป็นสำคัญ) สมัยอุยธยาตอนต้น เรื่องของตำนานเมืองปัตตานีและตำนานมะโรงมหาวงศ์ ซึ่งกล่าวถึงเมืองลังกาสุกะกับเมืองปัตตานี เป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนศาสนาจากศาสนาฮินดู-พุทธ มาเป็นอิสลาม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เมืองปัตตานีหรือรัฐปัตตานีนั้นเป็นรัฐอิสลามที่เก่าแก่ที่สุดในแถบอุษาอาคเนย์นี้ก็ได้

หลักฐานทางโบราณคดี เห็นได้จากร่องรอยของเมืองประแวที่มีศาสนสถานในลัทธิฮินดู มีบริเวณที่มีคูน้ำล้อมรอบที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวังของกษัตริย์แต่โบราณ เป็นเมืองภายในที่มีลำน้ำไปออกทะเลถึง ๒ สาย คือ ลำน้ำปัตตานีเก่า ไปออกทะเลที่บ้านกรือเซะ ร่วมกับลำน้ำยะหริ่ง ณ บริเวณปากน้ำ มีมัสยิดกรือเซะเป็นโบราณสถานทางลัทธิศาสนาอิสลาม อีกทั้งเป็นศูนย์กลางของเมือง ส่วนลำน้ำปัตตานีสายปัจจุบันก็ผ่านบริเวณเมืองประแวมาออกปากน้ำ มีเมืองปัตตานีสมัยกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ มีวังจะบังติกอ ที่เป็นวังของเจ้าเมืองแสดงให้เห็นเป็นพยานเช่นเดียวกัน

(เรียบเรียงบางส่วนจากบทความ “ศรีวิชัย” ในรัฐปัตตานี โดย รองศาสตราจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม อดีตอาจารย์ประจำภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการแสดงความมีอยู่จริงของชุมชนบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า ปัตตานี ซึ่งมีการสร้างบ้านแปลงเมืองนับเนื่องมาตั้งแต่สมัยโบราณก่อนสุโขทัยเป็นราชธานีของสยามประเทศเสียอีก


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:20:57 PM

“เมืองปัตตานี” ที่ปรากฏในบันทึก หรือตำนาน หรือปกรณัม ของต่างชาติ มีการกล่าวถึงด้วยนามต่าง ๆ กัน ตามแต่สำเนียงการออกเสียงของผู้ที่เป็นเจ้าของผลงานนั้น ๆ เช่น
๑. ชาวมลายูออกเสียงเป็น “ปตานี”
๒. ชาวอาหรับออกเสียง “Fathoni” (ฟาฏอนี)
๓. ชาวสยามออกเสียง “ปัตตานี” หรือ “ตานี”
๔. ชาวอินเดียออกเสียง “Patanam” หรือ “Patane”

ส่วนบันทึกของชาวตะวันตกเขียนเป็น “Patani”, “Patania”, “Patana”, “Patanij”, “Patany”, “Pattania”, “Pathanani”, “Pathane” และอื่น ๆ

สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของภาษามลายูถิ่นปัตตานีจะออกเสียงเหมือนกันทุกคนว่า “ปตานิง” “(Ptaning)”

ทีนี้ถ้าจะพูดถึงที่มาของชื่อเมืองปัตตานี ก็มีนักวิชาการพยายามค้นหา แต่เอกสารมลายูพงศาวดารปตานีเก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในปัจจุบันนี้ชื่อ Tarikh Fathani (ตาริค ฟาฏานี = ประวัติศาสตร์ปตานี) และคาดว่าเป็นเอกสารที่เขียนตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ระบุว่า เมื่อ ค.ศ. ๗๕๐ (พ.ศ. ๑๒๙๓) “มีราชาองค์หนึ่งชื่อ สัง ฌายา บังสา (Sang Jaya Bangsa) จากเมืองปาเล็มบัง (อยู่บนเกาะสุมาตรา) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยขณะนั้น ได้เข้ายึดครองอาณาจักรลังกาสุกะ (อธิบายที่มาแล้วในความเห็นข้างบน) จากราฌา มาหาบังสา (Raja Mahabangsa) จากนั้นกล่าวต่อไปอีกว่า สัง ฌายา บังสา ได้เลือกหมู่บ้านซึ่งมีทำเลดีสำหรับสร้างเมืองใหม่และตั้งชื่อเมืองนั้นตามชื่อพ่อเฒ่าที่ทำการเกษตรที่นั่น คือ โตะ ตานี (Tok Tani) เนื่องจากชาวบ้านเรียกท่านว่า เปาะ ตานี (Pak Tani) จึงทำให้การออกเสียงชื่อนี้กลายเสียงเป็น “ปตานี” (Patani) ในระยะต่อ ๆ มา”

นักวิชาการอิสลามในพื้นที่ เช่น บาบอดิง ตั้งข้อสังเกตว่า คำ “ปตานี” ใกล้เคียงกับคำ “Fathoni” ในภาษาอาหรับที่แปลว่า นักปราชญ์ หรือผู้ทรงความรู้ คำนี้มักปรากฏท้ายชื่อปราชญ์ มุสลิมผู้มีชื่อเสียงของปัตตานีหลายท่าน เช่น Sheikh Daud bin Abdullah al-Fathoni (พ.ศ. ๒๓๑๒ – ๒๓๙๐), ฯลฯ ข้อสังเกตนี้ได้รับการสนับสนุนเห็นด้วยจากท่านบาบอ ฌีฮาด และท่านยังได้เสริมว่า “ปัตตานี” ถ้าสะกดด้วยอักษรยาวีเป็นภาษาอาหรับ แปลว่า ประทุษร้าย หรือผู้ก่อความหายนะ ถ้าเป็นเช่นนี้ความหมายที่สอดคล้องกว่าน่าจะเป็นนักปราชญ์ เพราะคำว่า “ปราชญ์” สอดคล้องกับสมญานามที่กล่าวว่า “ปตานีดารุสสะลาม” (ปัตตานีเมืองแห่งสันติภาพ) ซึ่งเมืองใหญ่ที่ได้รับสมญานาม “ดารุสสะลาม” นอกจากปัตตานียังมีเมืองอาเจ็ฮ (เขตจังหวัดพิเศษ อาเจ็ฮ ในสุมาตราเหนือ ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) และบรูไนฯ (ประเทศบรูไนฯ ในปัจจุบัน)

อีกประการหนึ่ง วัฒนธรรมในการตั้งชื่อบ้านนามเมืองในอดีตมักเป็นชื่อ “พืชพันธุ์” หรือลักษณะเด่นที่เป็นปรากฏการณ์สำคัญของสถานที่นั้น ๆ การใช้นามบุคคลเป็นนามหมู่บ้านก็พอเห็นอยู่ แต่คงไม่ใช่นามของ “ราชอาณาจักร” อย่าง “ปัตตานี” ซึ่งถ้าจะเป็นนามบุคคลก็คงเป็นพระนามของพระมหากษัตริย์ หรือสายตระกูลมากกว่า

ประการสุดท้าย “ฟาฏอนี” เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความหมายและยืนยันความเป็นราชอาณาจักรอิสลามได้อย่างเหมาะสมที่สุด ทำนองเดียวกับวัฒนธรรมในการใช้ชื่อ ตำแหน่ง และชื่อผู้คนที่เป็นมุสลิมของปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรนี้ที่เปลี่ยนจากการนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสลาม เช่น พญาตูนาฆปา เปลี่ยนจากชื่อตำแหน่ง “พญาตู” หรือ “พญาท้าว” หรือ “ราฌา” (ราชา) เป็น “สุลต่าน” (Sultan) และเปลี่ยนพระนามเป็น “อิสมาอิล” (Ismail) คือสุลต่านอิสมาอิล (Sultan Ismail) และมีพระนามเต็มว่า “สุลต่าน อิสมาอิล ซิลลุลลอฮฺ ฟิล อาลัม” (Sultan Ismail Zillullah fil Alam – พ.ศ. ๒๐๔๓ – ๒๐๗๓) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระองค์ทรงเข้านับถือศาสนาอิสลามตามคำเชิญชวนของ เชคฺ ซัยยิด สาอิด (โตะ ปาสัย)

จากเหตุผลดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า “ปัตตานี” กลายเสียงจากคำว่า “ฟาฏอนี” ที่แปลว่า “ปราชญ์”

แต่หากจะนับย้อนหลังกลับขึ้นไปก่อนหน้าที่เมืองนี้จะชื่อ ปัตตานี ก็จะพบว่าดินแดนแถบนี้เป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักรฮินดู-พุทธ หรือ ฮินดู-ชวา ที่มีชื่อว่า “ราชอาณาจักรลังกาสุกะ” (ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี เคยแสดงความเห็นว่า คนไทยปัจจุบันอพยพมาจากดินแดนฮินดู-พุทธในอินโดนีเซีย) คำว่าลังกาสุกะ เคยอธิบายความไว้ในความเห็นข้างบนแต่จะขอขยายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเพื่อความกระจ่าง

ลังกาสุกะ เป็นชื่อเมือง (อิ) ลังคาโศกะ ซึ่งเป็นคำสันสกฤตคือ ลังคะ กับ อโศกะ แปลว่า “เมืองสหพันธรัฐแห่งอโศก” ปรากฏชื่อตามเอกสารจีนว่า หลังหยาชูว ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ และต่อมาเรียกผิดเพี้ยนไปในเอกสารอาหรับและมลายูในพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๒ ว่า ลังคะศุกา และลังกะสุกะ แล้วมาเพี้ยนเสียงในภาษาไทยโดยนักวิชาการไทยนำมาใช้ว่า ลังกาสุกะ เคยเป็นเมืองอิสระในภาคใต้ที่มีเอกราชในการปกครอง มีฐานะเป็นประเทศ และเป็นที่รู้จักในประชาคมโลก ที่กล่าวเช่นนี้เพราะได้ปรากฏชื่ออยู่ในแผนที่โลก มีความสัมพันธ์กับอีกสองรัฐ ได้แก่ ลิกอร์ หรือละคร (นครศรีธรรมราช) และสังขระ (สงขลา)

มิติประวัติศาสตร์จวบจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าอาณาจักรลังกาสุกะ และราชอาณาจักรปัตตานี ตั้งขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้ก่อตั้ง โดยยังไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันชัดเจน เท่าที่ปรากฏในบันทึกของนักเดินทางชาวจีนที่มีความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ในแถบอุษาคเนย์ในสมัยหนึ่ง ทราบว่าเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ๒ เมืองหลังหยาชูว (Lang-ya-shiu) หรือลังกาสุกะ ก็มีอยู่แล้ว จากหลักฐานนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ชาวยุโรปหลายท่านเชื่อว่า ลังกาสุกะ ตั้งอยู่ในบริเวณฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรมลายู คือระหว่างสงขลากับกลันตัน และมีเมืองหลวงตั้งอยู่ในบริเวณอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานีในปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:23:25 PM

ตั้งแต่คริสต์ศรวรรษที่ ๘ ลังกาสุกะมีท่าเรือที่สำคัญมากเพราะมีภูมิประเทศเหมาะสมสำหรับเทียบเรือและหลบมรสุม นอกจากนี้ ลังกาสุกะยังมีอำนาจในการควบคุมเส้นทางการค้าจากตะวันออกไปยังตะวันตกโดยผ่านทางคอคอดกระ และยังมีอำนาจควบคุมตั้งแต่บริเวณคาบสมุทรจนถึงอ่าวเบงกอล ทำให้ผู้คนดั้งเดิมในบริเวณนี้มีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กับชนต่างถิ่นที่ต่างเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ซึ่งเดินทางโดยเรือมาเพื่อค้าขายที่นั่น

กิจกรรมการเดินเรือและการค้าทางทะเลนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธ (หรือแม้แต่อิสลามในภายหลัง) หลั่งไหลเข้ามาสู่สังคมลังกาสุกะในสมัยนั้น พร้อม ๆ กับที่มีการถ่ายเทวัฒนธรรมอินเดียแบบฮินดูและวัฒนธรรมดั้งเดิมแบบชวาให้กับสังคมลังกาสุกะ จนกลายเป็นบ่อเกิดของเอกลักษณ์ “วัฒนธรรมฮินดู-พุทธ” และ “วัฒนธรรมฮินดู-ชวา” ในสังคมมลายูลังกาสุกะในช่วงต่อมา เห็นได้จากร่องรอยประติมากรรมที่เป็นศิลปกรรมในพุทธศาสนาแบบอมราวดี (ที่ปรากฏในชุมชนยะรัง จังหวัดปัตตานี) และมีแหล่งถ้ำศิลป และแหล่งถ้ำคูหาภิมุข ตำบลหน้าถ้ำ อำเมืองยะลา จังหวัดยะลา มีภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ ขวานหินลักษณะต่าง ๆ ที่บริเวณท่าสาบและท่าชี อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา มีมงกุฎสำหรับกษัตริย์ปัตตานีทรงสวม ฯลฯ รวมทั้งมีอาหารคาว-หวาน เช่น สะเต๊ะและรอเฌาะ (เต้าคั่ว) แบบชวา แกงการี (Curry) แกงเปรี้ยว (แกงสมรม) แบบอินเดีย โรตี ฯลฯ

ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำศิลป จังหวัดยะลา นับเป็นภาพเขียนสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในสยามประเทศ จากหนังสือ สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่ม ๑๕ โดย มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, ๒๕๔๒ (คัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน "ศรีวิชัย")


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:25:39 PM

เริ่มต้นของปัญหา....

ศาสนาอิสลามเข้ามาในปัตตานีและความนิยมวัฒนธรรมอิสลาม (พ.ศ. ๒๐๔๓ – ๒๓๗๕)
การล่มสลายของอาณาจักรมัชปาหิตเมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๑ นับว่าเป็นโอกาสอันสำคัญที่ทำให้นักการศาสนาอิสลามในปัตตานีเผยแผ่แนวคิดของศาสนาอิสลามให้ชาวปัตตานีได้สะดวกขึ้น และประสบความสำเร็จสูงสุดเมื่อนักการศาสนาอิสลามจากเมืองปาสัย (Pasai) อย่างชีค ซาอิด (สาอิด) สามารถโน้มน้าวกษัตริย์ราชวงศ์ศรีวังสา ชื่อ พญาตูอินทิรา แห่ง โกตามัฮลีฆัยแห่งนี้ (ปัจจุบันเข้าใจว่าอยู่ ณ บริเวณบ้านจาเละ ตำบลปาราแว อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และสุสาน (กุโบ) ของ ชีค สาอิด ปรากฏอยู่ที่หมู่ ๒ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี) ให้ยอมนับถือศาสนาอิสลามได้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๔๓ และทรงเปลี่ยนพระนามเป็น สุลต่าน อิสมาอิล ซาฮฺ ซิลลุลลอฮฺ ฟิล อาลัม (พระศพของพระองค์ฝังอยู่บ้านปาเระ บราโหม (ปาเระงอฮง) ตำบลบารโหม อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี) นับแต่นั้นมาปัตตานีจึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับกันในนาม “ปตานีดารุสสะลาม” หรือ ปัตตานี นครแห่งสันติภาพ

ก่อนหน้าที่กษัตริย์แห่งปัตตานีจะทรงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามนั้น ปรากฏว่าราษฎรของพระองค์ได้เปลี่ยนเป็นมุสลิมมาก่อนประมาณ ๓๐๐ ปี แต่การที่ทรงเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้ประชาชนชาวปัตตานีทยอยกันเป็นมุสลิมมากขึ้น

หลังจากที่ศาสนาอิสลามได้เข้าไปแทนที่ศานาพุทธในราชสำนักแล้ว ทำให้โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของปัตตานีโดยรวมค่อย ๆ กลายสภาพ กล่าวคือ กลายจากสภาพความเป็นสังคมมลายูที่แฝงด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมผสมชวาและฮินดู-พุทธ เป็นสังคมมลายูที่ยึดเกาะกับวัฒนธรรมอิสลามมากขึ้น ขณะเดียวกันกับที่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ช่วยส่งเสริมให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการค้ากับจีน ญี่ปุ่น อาหรับ และประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ ฮอลันดา และโปรตุเกส

ปัตตานียุคนี้ต้องเผชิญกับปัญหาบ้านเมือง ทั้งการจลาจลภายใน และเกิดจากการรุกรานของศัตรูภายนอกจนเป็นสงครามระหว่างประเทศหลายครั้ง ทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหายและผู้คนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ไม่เว้นแม้แต่ศาสนสถานอย่างเช่น มัสยิด ซึ่งเป็นสาธารณสถานสุดท้ายของผู้ที่มีศาสนา มัสยิดกรือเซะที่สวยงามในสมัยนั้นก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากผู้คน เพราะโดนเผาทำลายถึงสองครั้ง มีการกวาดต้อนผู้คนปัตตานีไปเป็นทาสผู้ใช้แรงงานให้กับสยาม ในฐานะเชลยสงครามถึงสี่ระลอก

ครั้งแรกสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ ครั้งที่สองเกิดจากสงครามกอบกู้เอกราช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๔ ซึ่งมีตึงkuลามีดีนเป็นผู้นำ ครั้งที่สามเกิดจากสงครามกอบกู้เอกราชเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ซึ่งมีดาโต๊ะ ปังกาลัน เป็นผู้นำ และครั้งที่สี่เกิดจากการสงครามกอบกู้เอกราชเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ โดยมีตนku สุหลง เป็นผู้นำ สงครามครั้งนี้เรียกว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้าย

สภาพดังกล่าวทำให้ผู้คนมุสลิมในสังคมและวัฒนธรรมปัตตานีโดยรวม เกิดความหวาดผวาและสับสนกับอนาคตของตน ต่อมาเมื่อวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานเข้า ผู้คนที่นั่นก็เกิดการปรับตัวมากขึ้น และเกิดการผสมผสานที่หลากหลายและกลมกลืนกันไปตามกระแสของการเมือง การปกครอง และศาสนาสำคัญสองศาสนา คือ อิสลาม และพุทธ



หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:27:39 PM
วิถีชีวิตของชาวปัตตานีในฐานะผู้เป็นเจ้าของนครรัฐได้เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากความเป็นฮินดู-พุทธ เป็นผู้ที่มีความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๔๓ ต่อจากนั้นมา ปัตตานีจึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “ราชอาณาจักรมลายู-อิสลาม” แบ่งได้เป็น ๓ ระยะ ดังนี้

๑. ปัตตานีสมัยการปกครองของราชวงศ์ศรีวังสา (พ.ศ. ๒๐๔๓-๒๒๒๙) ยุคนี้เริ่มตั้งแต่ปฐมกษัตริย์ปัตตานีนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่ง ฮีกายัต ปตานี ระบุว่าเป็นสุลต่าน อิสมาอิล ชาหฺ (พ.ศ. ๒๐๔๓-๒๐๗๓) ต่อจากนั้นมีรัชทายาทขึ้นครองราชย์สมบัติอย่างต่อเนื่องอีกแปดพระองค์ ในจำนวนนี้มีกษัตริย์สี่พระองค์สุดท้ายเป็นสตรี ได้แก่ Raja (H) ijau (พ.ศ. ๒๑๒๗-๒๑๕๙) Raja Biru (พ.ศ.๒๑๕๙-๒๑๖๗) Raja Ungu (พ.ศ.๒๑๖๗-๒๑๗๘) และ Raja Kuning (พ.ศ. ๒๑๗๘-๒๒๒๙)

ปัตตานีในสมัยการปกครองของกษัตริย์ทั้งสี่พระองค์สุดท้ายกล่าวกันว่าเป็น “ยุคทอง” ของปัตตานี

ในฐานะนครรัฐ ปัตตานีมีบุคลิกภาพสง่างามด้วยคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เปรียบประดุจอาภรณ์ประดับชื่อและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นอารยสถาน และอารยชน ปัตตานีในยุคนี้ร่ำรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่า มีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมที่ช่วยกันเสริมสร้างให้ “ปัตตานี” เป็น “แหลมบุปผชาติ” (Negeri Tanjung Bunga) ที่ทรงพลังและมีอำนาจทางการเมืองสอดประสานกับรัฐประศาสนศาสตร์อันชาญฉลาดของนางพญาแห่งศรีมหาวังสาทั้งสี่ ปัตตานีจึงรุดหน้าก้าวสู่ระดับนานาชาติเคียงบ่าเคียงไหล่ญี่ปุ่น และมีมิตรประเทศทางการค้าทั้งยุโรป อาหรับ และเอเชียมากมาย

ปัตตานีเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๑ กลายเป็นแหล่งสินค้าผ้าไหมและได้รับสมญานามว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าผ้าไหมชั้นนำนอกเหนือจากกวางตุ้ง และเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ปัตตานี (กรือเซะ) ได้รับสมญานามว่า เป็นเมืองท่าพี่น้องกับเมืองฮิราโดะ ประเทศญี่ปุ่น

เรื่องเดียวกันนี้ในหนังสือ ฌารัฮ กือราฌาอัน มลายู ปตานี (Sejarah Kerajaan Melayu Patani) ระบุว่า ราฌาอีเฌา (Raja Ijau) แห่งราชอาณาจักรปัตตานีได้ส่งคณะทูตานุทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจการค้ากับกษัตริย์ญี่ปุ่นถึงสองครั้ง คือ พ.ศ. ๒๑๔๒ และ พ.ศ. ๒๑๔๙ ขณะนั้นศูนย์กลางการค้าแห่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่เมืองฮิราโดะ (ใกล้เมืองนางาซากิปัจจุบัน) จากเมืองนั้นบรรดาเรือสินค้าญี่ปุ่นจะบรรทุกสินค้าต่าง ๆ เดินทางมุ่งสู่เมืองปัตตานีอย่างไม่ขาดสาย

บันทึกทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นกล่าวว่า การส่งเรือสินค้าจากญี่ปุ่นเข้ามาค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และไทย ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๔๗-๒๑๗๖ ว่ามีถึง ๓๔๓ ลำ เฉพาะที่เข้ามาค้าขายกับอยุธยาและปัตตานีรวมกันถึง ๖๗ ลำ และเมื่อพุทธศตวรรษที่๒๓ มีเรือจากไทย คือจากอยุธยาและปัตตานีนำสินค้าไปขายกับญี่ปุ่นหลายครั้ง ได้แก่ พ.ศ. ๒๒๒๒-๒๒๖๖, ๒๒๖๗, ๒๒๘๓, ๒๒๙๐, ๒๒๙๑, ๒๒๙๔ และ ๒๒๙๙

นอกจากนี้ เครื่องปั้นดินเผาจากเตาเผาโบราณพื้นบ้านซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๓ “บ้านดี” ตำบลบาราโหม อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี (ซึ่งพบแล้วรวม ๖ เตา) ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผาเนื้อดินธรรมดา มีทั้งประเภทเคลือบและไม่เคลือบและตกแต่งด้วยลายประทับซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓ เครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้พบที่ประเทศญี่ปุ่นด้วย คือ ที่เมืองท่านางาซากิ เกาะกิวชู ซึ่งเป็นย่านที่อาศัยของชาวดัตช์ และที่บ้านนายยาโอะ ซึ่งเป็นพ่อค้าในย่านตลาดโบราณของเมืองนางาซากิ

นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานอื่นๆ ที่บ้านดีอีก เช่น พบเหรียญจีนที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากัน ทั้งนี้ เพราะว่าบ้านดีเคยเป็นเมืองท่าและเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาเพื่อการส่งออกในสมัยนั้น หลักฐานดังกล่าวนี้เป็นการแสดงถึงความเจริญทางการค้าของปัตตานีทั้งสิ้น (ชื่อ “บ้านดี” ได้จากคำบอกเล่าว่า เมื่อครั้งที่สุลต่าน มุซัฟฟัร ชาห์ เสด็จกลับจากการเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ได้พระราชทานทาสที่เป็นเชลยศึกของพม่าซึ่งเป็นชาวล้านช้าง ๑๐๐ คน และสาวไทยอีกหนึ่งคน เมื่อถึงปัตตานี พวกทาสเหล่านี้มีที่ให้อยู่ต่างหาก พวกเขานับถือศาสนาพุทธ จึงสร้างกุฏิในบริเวณของตน ต่อมาจึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านดี” (ชาวบ้านที่พูดภาษามลายูออกเสียงเป็น กือดี (Kedi))

(เรียงเรียงจากเรื่อง ปตานี ดารุสสะลาม (มลายู-อิสลาม ปตานี) สู่ความเป็น “จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส” โดย รัตติยา สาและ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา)

ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพขบวนเสด็จของพระราชินี "รอยอฮีเยา" Raja (H) ijau (พ.ศ. ๒๑๒๗-๒๑๕๙) แห่งปัตตานี จากหนังสือ Indiae Orientalis Pars Octava Navigationes Qvinqve...(ฉบับละติน) โดย โยฮาน ธีโอดอร์ เดอ บราย และ โยฮาน อิสราเอล เดอ บราย พิมพ์ที่กรุงแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๕๐ (ปรากฏครั้งแรกในหนังสือ Achter Theil der Orientalische Indien... พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๔๙) จาคอบ ฟาน เน็ก แม่ทัพเรือชาวดัตช์กล่าวถึงพระองค์ว่า "ทรงปกครองบ้านเมืองอย่างร่มเย็นเป็นสุข...ราษฎรต่างชื่นชอบการปกครองของพระองค์มากกว่าในรัชกาลที่ผ่านมา อีกทั้งสินค้าข้าวของต่าง ๆ ได้มีราคาถูกลงเป็นอย่างมาก (อ้างถึงใน Anthony Reid. Southeast Asia in the Age of Commerce 1450-1680 (New Haven : Yale University of Chicago Press, 1988), p.171) (จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:29:43 PM

ภาพนี้เป็นภาพ "การเข้ามาปัตตานีของชาวดัตช์" จากหนังสือ Achter Theil der Orientalische Indien...พิมพ์ครั้งแรกที่กรุงแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๔๙ Achter Theil der Orientalische Indien.. หรือ Petits voyages ภาคที่ ๘ ได้รวบรวมบันทึกการเดินทางมายังอุษาคเนย์ของนักสำรวจชาวดัตช์จำนวน ๘ คน อาทิ จาคอบ ฟาน เน็ก (Jacob van Neck) คอร์เนลิส แคลสซูน (Cornelis Claeszoon) แจน ฮารเมินส์ซูน บรี (Jan Harmenszoon Bree) และสตีเวน ฟาน เดอ ฮาเกน (Steven van der Hagen) เป็นต้น (Donald F. Lach and Edwin J. van Kley. Asia in the Making of Europe : A Century of Advance, Volume III : Book One. (Chicago : University of Chicago Press, 1993), p.516) พร้อมภาพพิมพ์ลายเส้นจำนวน ๑๘ ภาพ เป็นภาพเกี่ยวกับปัตตานี ๔ ภาพ ขนาด ๑๓ x ๑๗ ซม. โดยประมาณ (ไม่มีภาพกรุงศรีอยุธยาหรือเมืองอื่น ๆ ของสยามในบันทึกชุดนี้) ภาพแรกคือ ภาพการประหารชีวิตผู้ต้องโทษคดีชู้สาว ภาพที่สองคือภาพขบวนเสด็จของพระราชินีแห่งปัตตานี (ภาพข้างบน) ภาพที่สามคือภาพการคล้องช้าง และภาพสุดท้ายคือภาพการเข้ามาปัตตานีของชาวดัตช์ (ที่เห็นข้างล่าง) (จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:31:06 PM

๒. ปัตตานีสมัยการปกครองของราชวงศ์กลันตัน (พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๗๒) ปัตตานียุคนี้มีปฐมกษัตริย์เป็นเชื้อสายทางรัฐกลันตัน ทรงพระนาม Raja Bakal (พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๓๓) และมี Along Yunus (พ.ศ. ๒๒๖๙-๒๒๗๒) ขึ้นครองราชย์เป็นองค์สุดท้ายรวมเป็น ๘ พระองค์

ในช่วงนี้ผู้คนปัตตานีอยู่ในสภาพย่ำแย่ เพราะมีการทำสงครามกับสยามหลายครั้งอันเนื่องจากความพยายามกอบกู้เอกราชของผู้นำปัตตานีในสมัยนั้น และนอกจากนั้น ยังมีการทำสงครามระหว่างพี่น้องเพื่อแย่งชิงอำนาจก็บ่อยครั้ง เช่น เมื่อครั้งที่เกิดสงครามกรณีการปลงประชนม์อาลง ยูนุส (Along Yunus) นั้น “เมืองปัตตานีมีความวุ่นวายมาก ผู้คนเจ็บป่วย และไร้จริยธรรม” ซึ่งในระหว่างที่ปัตตานีกำลังง่วนกับการแก้ปัญหาทางการเมืองนั้น สยามก็ไม่สงบเหมือนกันเพราะต้องทำสงครามกับพม่า และทั้งสยามกับพม่าก็มีความหวังที่จะช่วงชิงปัตตานีอยู่เหมือนกัน อันเกิดจากแนวคิด ๓ ประการ ได้แก่ ประการแรก ศักดิ์ศรี หรือเกียรติยศทางการเมือง (Political Prestige) ประการที่ ๒ แนวคิดเชิงสังคมเศรษฐกิจในการที่จะรวบรวมพลังคนและพลังทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบ และประการที่ ๓ เป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ (Economical Strategic) เพื่อจะได้มีอำนาจควบคุมบริเวณคอคอดกระซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอ่าวเบงกอลกับอ่าวไทย

สภาพดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวปัตตานีต้องประสบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ และสร้างความกดดันให้กับบรรดาพ่อค้าต่างชาติ คนเหล่านี้จึงได้พยายามหาที่ทำการค้าใหม่ที่ปลอดภัยและมั่นคงกว่า พวกขุนนางเก่าและสามัญชนจำนวนมากพากันหนีไปอยู่ในรัฐกลันตันโดยอาศัยเส้นทางบก และทางทะเลทิศตะวันออก

อย่างไรก็ตาม สภาพของสงครามที่ผ่านมาหลายครั้งนั้น ก็ไม่สามารถระงับความศรัทธาของผู้คนปัตตานีที่กำลังสนใจศาสนาอิสลามได้สำเร็จ ความจริงข้อนี้เห็นได้ชัดเจนจากปรากฏการณ์เมื่อย่างเข้าพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ปัตตานี มีชื่อเสียงมากในฐานะที่เป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมอิสลามและเป็นศูนย์กลางแห่งวรรณกรรมแนวอิสลามซึ่งทำให้เกิดนักปราชญ์ทางศาสนาอิสลาม (อูลามา) ระดับแนวหน้าหลายท่าน มีการสร้างผลงานทางด้านการเขียนและแปลคัมภีร์ศาสนาอิสลามที่มีสมรรถภาพสูงร่วมร้อยเล่ม มีมัสยิดที่สวยงามหลายแห่ง และยังมีปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนา) ที่มีชื่อเสียงเหลือไว้ให้เห็นหลายแห่ง

(คัดตันตอนและปรุงใหม่จากหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย รัตติยา สาและ พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๔๔ (โครงการย่อยภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งมีศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.))


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:33:15 PM

๓. ปัตตานีสมัยก่อนเป็นเจ็ดหัวเมือง (พ.ศ. ๒๓๑๙-๒๓๕๑) การสิ้นพระชนม์ของอาลง ยูนุส (Along Yunus) หรือ Yang Di Pertuan เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๒ ถือว่าเป็นการสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์กลันตันที่มีต่อปัตตานีระยะหนึ่ง และเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้บัลลังก์ของราชสำนักมลายู-อิสลามปัตตานีต้องว่างลงนานถึง ๔๗ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๓๑๙ จึงได้มีการแต่งตังให้ สุลต่าน มูฮัมหมัด (Sultan Muhammad) ปกครองปัตตานีต่อมา

มาถึงยุคนี้ ดินแดนปัตตานีก็ยังคงเป็นสนามรบเหมือนเก่า และเป็นยุคแห่งการปราบปรามหัวเมืองมลายูอย่างจริงจัง

เมื่อย่างเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น สยามสามารถปราบปัตตานีในสมัยสุลต่านมูฮัมหมัดได้สำเร็จ สุลต่านมูฮัมหมัดได้รับบาดแผลจากกระสุนปืนและสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ สงครามครั้งนี้ชาวบ้านรุ่นปู่ย่าตายายเล่าต่อ ๆ กันมาว่าโหดร้ายมาก เรื่องนี้คงไม่มีใครสมัยนี้สามารถยืนยันได้ว่าเท็จหรือจริง แต่เหตุการณ์ณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีเล่าไว้ในบันทึกของ Light ซึ่งก็น่าที่จะเชื่อถือได้ (หนังสือ Light ถึง G.G., 12 September, 1786, SSR, 2, 281 (FWCP 13 December 1786) บันทึกไว้ว่า “….the Siamese General is extirpating Pattany (patani) all the men, children and old women, he orders to be tired and thrown upon the grounds and then trampled to death by elephants” (ภาษาอังกฤษตอนนี้ไม่ยากเท่าไร ผู้อ่านน่าจะแปลออก ขอไม่แปลนะครับ)

สงครามครั้งที่สองเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๔ เป็นกรณีสงครามเพื่อการกู้เอกราช ซึ่งนำโดยตึงku ลามิดดีน และได้รับความช่วยเหลือจาก sheikh Ahmad Kamal จากนครเมกกะ ซึ่งเดินทางมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเคดาห์ การณ์นี้นัยว่า สุลต่าน อับดุลลอฮฺ แห่งเคดาห์ ทรงรู้เห็นด้วย สุดท้าย ตึงku ลามิดดีน ถูกจับตัวส่งไปบางกอก (กรุงเทพฯ) และสิ้นพระชนม์ที่นั่น

สงครามครั้งที่สามเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. ๒๓๕๑ เป็นกรณีการกอบกู้เอกราชปัตตานี ซึ่งนำโดย ดาโต๊ะ ปึงกาลัน (Datuk Pengkalan) สงครามครั้งนี้ปัตตานีแพ้พ่ายและดาโต๊ะ ปึงกาลัน สิ้นพระชนม์

หลังสงครามครั้งนี้ สยามจึงต้องปรับโครงสร้างปกครองหัวเมืองปัตตานีใหม่ ดังนั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงได้มีพระบรมราโชบายโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งเมืองปัตตานีออกเป็นเจ็ดหัวเมืองดังต่อไปนี้
๑. เมืองปัตตานี
๒. เมืองยะลา (ปัจจุบันเป็นจังหวัดยะลา)
๓. เมืองยะหริ่ง (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดปัตตานี)
๔. เมืองระแงะ (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส)
๕. เมืองราห์มัน (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดยะลา)
๖. เมืองสายบุรี (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดปัตตานี)
๗. เมืองหนองจิก (ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดปัตตานี)

สังเกตว่าไม่มีจังหวัดสตูลเลยนะครับ

ภาพข้างล่างเป็นภาพแผนที่ราชอาณาจักรมลายู-อิสลาม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ จากหนังสือ Umat Islam Patani; Sejarah dan Politik โดย Mohd. Zamberi A.Malek, HIZBI, Shah Alam, 1993 (คัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน "ศรีวิชัย")


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:34:10 PM

๔. ปัตตานีสมัยแยกเป็นเจ็ดหัวเมือง (พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๔๔๔) หลังจากสงครามไทย-ปัตตานีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ในกรณีปราบขบถซึ่งมีดาโต๊ะ ปึงกาลันเป็นผู้นำแล้ว จึงได้มีการแบ่งแยกหัวเมืองมลายูอย่างปัตตานีเป็น “เจ็ดหัวเมือง” ได้แก่ ยะลา (ฌาลอ/Jalor) ยะหริ่ง (ฌิริง/Jering หรือฌามบู/Jambu) ระแงะ (Rengeh หรือลึแฆ็ฮ/Legeh) ราห์มัน (Rahman หรือรามัน/Raman) สายบุรี (Saiburi หรือตะบูลัน/Taluban) และหนองจิก (Nongchik หรือ เตาะฌง/Tok Jong)

แต่ละเมืองดังกล่าวมีฐานะเป็นเมืองระดับสาม ซึ่งต้องขึ้นกับเมืองสงขลา เจ้าเมือง (ราฌอ นึฆึรี/Raja Negeri) แต่ละเมืองเหล่านี้ต้องได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากรัฐบาลสยามที่กรุงเทพฯ เมืองใดที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธก็ส่งเจ้าเมืองที่นับถือพุทธศาสนาไปปกครอง และเมืองที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมก็ใช้ผู้ปกครองที่เป็นมุสลิม (คนมุสลิมปัตตานีเรียกคนไทยพุทธว่า “ออแร สีแย” (คนสยาม) คือเป็นผู้ที่มีเชื้อสายหรือเชื้อชาติไทยและนับถือศาสนาพุทธ และจะเรียกตนเอง (มุสลิม) ว่า “ออแร นนายู” (คนมลายู) คือเป็นผู้ที่มีเชื้อสายหรือเชื้อชาติมลายูและนับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นใครที่เรียกพวกเขาว่า “ออแร สีแย” จึงเกิดปฏิกิริยาทางลบได้)

ในสมัยนี้ฝ่ายสยามได้เริ่มย้ายชาวไทยพุทธเข้าไปอยู่ในเจ็ดเมืองเหล่านี้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความสมดุลแห่งอำนาจ และป้องกันการคุมคามจากชาวพื้นเมืองซึ่งไม่พอใจรัฐบาล ความขัดแย้งระหว่างประชาชนเจ็ดหัวเมืองกับรัฐบาลสยามเกิดขึ้นบ่อย เจ้าเมืองบางคนแอบสะสมอาวุธและไพร่พลเพื่อไว้ต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล ระยะทางอันห่างไกลจากเมืองหลวง (กรุงเทพฯ) มีส่วนช่วยอย่างมากในการเปิดโอกาสให้เมืองเหล่านี้มีอิสระในการปกครองตัวเอง และคงจะสะดวกในการทำการอื่นด้วย ดังนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) จึงเกิดสงครามเพื่อกอบกู้เอกราชปัตตานีอีกครั้งหนี่งเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔-๒๓๗๕

สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของเจ้าเมืองทั้งเจ็ดและสุลต่าน อะหมัด ตาฌุดดีน (Sultan Ahmad Tajuddin) แห่งเคดาห์ โดยได้รับการสนับสนุนทางด้านกำลังทหารจากเมืองกลันตันและตรังกานูในฐานที่เมืองเหล่านี้มีความสัมพันธ์ต่อกันโดยทางเครือญาติ และเป็นความร่วมมือในลักษณะแผนซ้อนแผน ทำให้สงขลาไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปราบปรามลงได้ ในที่สุดทางกรุงเทพฯ จึงต้องส่งกำลังทหารมาสนับสนุนอีก ๓๐๐,๐๐๐ คน โดยมีเจ้าพระยาพระคลัง ว่าที่สมุหกลาโหม (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพ และปราบได้สำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕

เลิกจากสงครามครั้งนี้ ปัตตานีจึงเป็นเวทีแห่งการ “ไต่สวน” อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ “ผู้คนปัตตานีต้องตกเป็นเหยื่อรับบทลงโทษอย่างทารุณและโหดเหี้ยมที่สุด”

หลังจากสงครามครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงใช้พระบรมราโชบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้แบ่งไทรบุรี (เคดาห์) ออกเป็น ๔ เขต ได้แก่ เมืองเปอร์ลิส สตูล ไทรบุรี และkuบังปาสู โดยให้ขึ้นต่อนครศรีธรรมราช และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเจ้าเมืองทุกเมือง

การปกครองปัตตานีทั้งเจ็ดเมืองก็ทำนองเดียวกัน โดยให้ขึ้นกับสงขลา และถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้นานหลายสิบปี (พ.ศ. ๒๓๕๑-๒๔๔๙) กว่าจะได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการปกครองอีกครั้งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) โดยทรงเลิกระบบเดิมและใช้ระบบ “มณฑลเทศาภิบาล” แทน ทั้งนี้ โดยกระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎข้อบังคับที่เรียกว่า “กฎข้อบังคับการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ” เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๔


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:36:05 PM

“ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”
ความพยายามในการสร้างบรรยากาศให้แก่คนไทยที่ต่างศาสนา วัฒนธรรม และภาษา ให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมีความสุขแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยหรือรอมชอมนั้น เป็นอุดมการณ์หนึ่งของพระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อย่างต่อเนื่องมาตลอด

แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวชี้บอกถึงที่มาของนโยบายว่า “มีความขัดแย้งมาก่อน”

ความจริงแห่งอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ปรากฏเป็นกุศโลบายทั้งที่เป็นพระราชดำรัส และพระราชหัตถเลขาที่ฝ่ายปกครองบ้านเมืองต้องยึดเป็นแนวปฏิบัติตลอดมา สาระดี ๆ ที่บ่งบอกถึง “ความรอมชอม” และ “ความขัดแย้ง” นั้น มีดังต่อไปนี้

๑. ในปี พ.ศ. ๒๓๕๑ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชดำริว่า เมืองปัตตานีมีอาณาเขตกว้างขวาง ปกครองไม่ทั่วถึง และเกิดการกบฏแข็งเมืองขึ้นบ่อย ๆ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งอาณาเขตเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง  คือ เมืองปัตตานี เมืองหนองจิก เมืองยะหริ่ง เมืองสายบุรี เมืองยะลอ เมืองรามัน และเมืองระแงะ แต่ละเมืองมีพระยาเมืองปกครอง โดยคำนึงว่า “เมืองใดมีคนพุทธมากก็ให้คนไทยพุทธเป็นพระยาเมือง เมืองใดมีคนไทยอิสลามมาก ก็ให้คนอิสลามเป็นพระยาเมือง” ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โอนเมืองทั้ง ๗ นี้ จากความดูแลของเมืองนครศรีธรรมราชไปขึ้นอยู่ในความดูแลของเมืองสงขลา

พระราชดำริดังกล่าวนี้มีขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์สงครามกอบกู้เมืองปัตตานี ซึ่งนำโดย ดาโต๊ะ ปึงกาลัน วิธีการนี้ฝ่ายปัตตานีรู้ดีว่าเป็นนโยบายการลดอำนาจทางด้านการบริหารและการปกครองของบรรดาเจ้าเมืองมลายูที่มีอยู่ขณะนั้น และกล่าวกันว่า “บารมีและอำนาจของเจ้าเมืองมลายูก็มีเหลืออยู่แค่ปลายนิ้วชี้ของกษัตริย์สยามเท่านั้น”

๒. เนื่องจากฝ่ายสยามได้ข้อมูลว่า หัวเมืองปัตตานีเคยได้รับการสนับสนุนอย่างลับ ๆ จากเยอรมนี เช่น ขายอาวุธร้ายแรงให้ชาวมุสลิมในปัตตานีเพื่อเป็นหัวหอกต่อต้านอังกฤษในหัวเมืองมลายู ดังนั้น ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) นักเรียนเก่าสำเร็จวิชาการทหารช่างจากเยอรมนีและมีภรรยาเป็นชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำบริเวณในตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชขณะนั้น ให้เป็นพระยาเดชานุชิต เข้ารับตำแหน่งเทศาภิบาล

๓. การรวมปัตตานีเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของมณฑลนครศรีธรรมราชที่ผู้คนมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน มักมีปัญหาขัดแย้งบ่อย ๆ นานตลอดระยะเวลา ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๙-๒๔๔๙) ที่พระยาสุขุมนัยวินิตมาเป็นข้าหลวงเทศาภิบาล (พระยาสุขุมนัยวินิต เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชคนแรก ซึ่งก่อนนั้นได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ เป็นข้าหลวงพิเศษไปจัดการเมืองสงขลา นครศรีธรรมราช และพัทลุงในนามพระวิจิตรวรสาส์น) ซึ่งโดยสภาพความเป็นจริงแล้ว ชาวเมืองในบริเวณเจ็ดหัวเมืองมีอาการรังเกียจข้าราชการไทยที่รัฐบาลส่งไปปกครองเป็นทุนเดิมมากอยู่แล้ว จนมีการขุดรอยเท้าทิ้ง หรือเอาไม้เรียวคอยเฆี่ยนเงาเวลาข้าราชการไทยเดินผ่าน ดังนั้น เมื่อมีการประกาศใช้ข้อบังคับการปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง ร.ศ. ๑๒๐ จึงเท่ากับไปเพิ่มและกดดันความรู้สึกของเจ้าเมืองมลายูให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น และแสดงอาการกระด้างกระเดื่อง ขัดขืนต่อข้อบังคับ

ดังนั้น เมื่อพระยาสุขุมนัยวินิตใช้อำนาจตามกฎหมายไทย โดยใช้ระบบศาลไทยกับชาวมุสลิมกลุ่มดังกล่าว จึงทำให้เกิดความขัดแย้ง เพราะกฎหมายไทยบางส่วนนั้นขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม นโยบายดังกล่าวนี้มุสลิมยอมรับไม่ได้ทั้งหมด จึงได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้สำเร็จราชการที่สิงคโปร์เพื่อขอความเป็นธรรม โดยชี้แจงว่า “ผู้ปกครองส่วนใหญ่นั้น มิได้เคยนึกคิดในหัวใจของพวกเขาว่าพวกมุสลิมจะฝ่าฝืนบทบัญญัติอิสลามทั้งในอดีตและปัจจุบัน บรรดากฎหมายต่าง ๆ จึงออกมาขัดแย้งกับบทบัญญัติอิสลามอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ผู้ปกครองบางคนมีความต้องการมิให้ผู้ใดฝ่าฝืนจิตใจของพวกเรา แต่ผู้ที่ออกกฎหมายนั้นกลับมิใช่ผู้ห้าม และไม่เคยศึกษาบทบัญญัติอิสลามเสียก่อนที่จะออกกฎหมายมาปกครองเรา” (อ้างจาก “อิสลามกับมุสลิม” โดย อัชซะฮีด อับดุลกอเดร เอาดะฮฺ หน้า ๕๓)

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างมุสลิมปัตตานีกับเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐ และมีส่วนที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น ทรงพิจารณาร่วมกันแล้ว มีพระราชดำริเห็นพ้องต้องกันว่า ควรที่จะส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ (ต้นราชสกุลยุคล) เจ้ากรมพลัมภัง กระทรวงมหาดไทย ไปเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช เนื่องจากพระองค์สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ด้วยทรงสำเร็จการศึกษาวิชารัฐศาสตร์การปกครอง วิชาประวัติศาสตร์ (เกียรตินิยม) ระดับปริญญาตรี และปริญญาโททางด้านภาษาอักษรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และทำให้พระองค์ทรงเข้าพระทัยสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการปกครองหัวเมืองมลายูของอังกฤษกับการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้ของไทยเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับข้าหลวงใหญ่สหพันธรัฐมลายูที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษมาก่อน แม้แต่เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิด) ก็ได้สมรสกับคุณหญิงเนื่อง ซึ่งเป็นคนในวังของพระมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนลพบุรีราเมศวร์ ซึ่งหากจะนับกันไปแล้วก็เปรียบเหมือนเครือญาติที่สนิทสนม ทำให้เข้าพระทัยวัฒนธรรมประเพณีอิสลามเป็นอย่างดี (การปกครองบริเวณ ๗ หัวเมืองต่าง ๆ ได้ถูกยกเลิกไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๙ จากนั้นจึงได้จัดตั้งมณฑลปัตตานีขึ้นตามระบบมณฑลเทศาภิบาล และใช้มาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ยกเลิกแล้วจัดเป็นระเบียบการปกครองที่บริหารราชการท้องถิ่นดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้)

(คัดตันตอนและปรุงใหม่จากหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย รัตติยา สาและ พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๔๔ (โครงการย่อยภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งมีศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.))


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:37:48 PM

เพื่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ปรากฏในมณฑลปัตตานี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงวางหลักรัฐประศาสโนบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ โดยพระราชหัตถเลขาที่ ๓/๗๘ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้

ข้อที่หนึ่ง ระเบียบหรือวิธีปฏิบัติการอย่างใดที่เป็นทางให้พลเมืองรู้สึกเห็นไปว่าเป็นการเบียดเบียน กดขี่ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกหรือแก้ไขเสียทันที การใดจะจัดขึ้นใหม่ต้องอย่าให้ขัดกับลัทธินิยมของอิสลามหรือยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี

ข้อสอง การกะเกณฑ์อย่างใด ๆ ก็ดี การเก็บภาษีอากรหรืออย่างใด ๆ ก็ดี เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมเทียบกันต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเมืองในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกันนั้นต้องเกณฑ์ ต้องเสียอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพิจารณาเทียบกันแต่เฉพาะอย่างต้องอย่าให้ยิ่งหย่อนกว่ากัน จนถึงเป็นเหตุเสียหายในการปกครองได้

ข้อสาม การกดขี่บีบบังคั้นแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาล เนื่องแต่การหมิ่นดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยฐานที่เป็นคนต่างชาติก็ดี เนื่องแต่การหน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ราษฎรเสียความสะดวกในการหาเลี้ยงชีพก็ดี พึงต้องแก้ไขระมัดระวังมิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรองรับผลตามความผิดโดยยุติธรรม ไม่ใช่สักแต่ว่าจัดการกลบเกลื่อนให้เงียบไปเสียเพื่อจะไว้หน้าสงวนศักดิ์ของข้าราชการ

ข้อสี่ กิจการใดทั้งหมดอันเจ้าพนักงานอันต้องบังคับแก่ราษฎร ต้องระวังอย่าให้ราษฎรต้องขัดข้องเสียเวลา เสียการในทางหาเลี้ยงชีพของเขาเกินสมควร แม้จะเป็นการจำเป็นโดยระเบียบการก็ดี เจ้าหน้าที่พึงสอดส่องแก้ไขอยู่เสมอเท่าที่สุดจะทำได้

ข้อห้า ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไปประจำตำแหน่งในมณฑลปัตตานี พึงเลือกเฟ้นแต่คนมีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้ตำแหน่งหรือส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว เมื่อจะส่งไปต้องสั่งสอนชี้แจงให้รู้ลักษณะทางการอันพึงประพฤติ ระมัดระวังโดยหลักที่ได้กล่าวในข้อหนึ่ง ข้อสาม และข้อสี่ข้างบนนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ในท้องที่พึงสอดส่องฝึกฝนอบรมกันต่อ ๆ ไปในคุณธรรมเหล่านั้น ๆ ไม่ใช่แต่คอยให้พลาดพลั้งลงไปก่อนแล้วจึงว่ากล่าวลงโทษ

ข้อหก เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดการวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ หรือบังคับการอย่างใดในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงสุขทุกข์ราษฎรก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง ถ้าไม่เห็นด้วยว่ามีมูลขัดข้องก็ควรหารือกับกระทรวงมหาดไทย แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวง ก็พึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย

(คัดจาก ดับไฟใต้ โดย พลโท กิตติ รัตนฉายา, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๖, หน้า๕๓-๕๕)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:39:33 PM
หลักรัฐประศาสนโนบายทุกข้อที่มีในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพื่อใช้ในการปกครองมณฑลปัตตานี (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) มีนัยแสดงให้เห็นถึงความเป็นลักษณะพิเศษทางสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่นั้น ซึ่งไม่ควรใช้นโยบายการปกครองแบบสูตรสำเร็จเหมือนที่ใช้กันอยู่ในพื้นที่อื่น ๆ

กลไกสำคัญที่จะทำให้นโยบายการปกครองเฉพาะนี้มีความเป็นไปได้ดีหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นสำคัญ ทั้งนี้ สามารถวัดได้จากสถานภาพและปรากฏการณ์ทั่วไปของสังคมในที่นั่น ซึ่งแน่นอนว่าจะมีดีทั้งหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะข้าราชการหลาย ๆ คน มีความแตกต่างระหว่างบุคคลและหลากหลายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีนิสัยชนิดทำดีต่อหน้านาย มีอคติ และเลือกปฏิบัติ
ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชาวมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อตัวและแสดงออกค่อย ๆ ชัดเจนอย่างต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่งเมื่อรัฐบาลไทยใช้นโยบาย “การสร้างชาติ” แบบ “รัฐนิยม” ในสมัย พันเอก หลวงพิบูลสงคราม หรือต่อมารู้จักกันในนาม “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” มีอุดมการณ์ที่จะนำประเทศไทยให้เข้าสู่ระดับของนานาอารยประเทศทั่วโลก  และให้ความสำคัญกับเชื้อชาติไทย ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในฐานะ "เจ้าของประเทศ" ซึ่งเห็นได้จากการประกาศใช้รัฐนิยมฉบับแรกที่ว่าด้วย “ใช้ชื่อประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ” เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และ “กำหนดให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย กำหนดให้เรียกคนสยามว่าคนไทย” เพื่อเน้นความถูกต้องตามเชื้อชาติและความนิยมของประชาชนชาวไทย

นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีผลต่อภาวะด้านจิตใจของมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนั้นรุนแรงอย่างมาก เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ขึ้นมาตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕

อิบรอฮีม ชุกรี ได้บันทึกปรากฏการณ์หลังจากการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติว่า เป็นการปกครองประเทศที่ใช้อำนาจรัฐ “บังคับ” ประชาชนมาก เช่น บังคับคนไทยทั้งหญิงและชายทุกคนแต่งกายแบบชาวตะวันตก และต้องสวมหมวก ต้องรับประทานอาหารด้วยช้อนและส้อม และต้องนั่งรับประทานอาหารกับโต๊ะและเก้าอี้ ห้ามผู้คนมลายูใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่งกายแบบมลายู ห้ามใช้นามบุคคลเป็นภาษามลายูหรืออาหรับ ห้ามใช้ภาษามลายู และห้ามนับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น ในสมัยนี้จึงได้ยกเลิกหน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม และบอกว่า “ศาสนาพุทธเท่านั้นเป็นศาสนาประจำชาติ” ยิ่งกว่านั้น มีการนำพระพุทธรูปไปวางในโรงเรียนต่าง ๆ ในอำเภอสายบุรี และมีการบังคับให้นักเรียนกราบไหว้พระพุทธรูป ข้าราชการมุสลิมที่มีเพียงส่วนน้อยนั้นถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อตัวจากภาษามลายู หรือชื่อภาษาอาหรับให้เป็นภาษาไทย ส่วนตำแหน่งหน้าที่ราชการในระดับสูงนั้น เป็นตำแหน่งต้องห้ามสำหรับมุสลิม

ปฏิบัติการของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและบีบคั้นภาวะจิตใจของมุสลิมผู้ถูกกระทำให้ละทิ้งสถานภาพของความเป็นมุสลิมและความเป็นมลายูให้หมดโดยสิ้นเชิง หากใครต่อต้านหรือขัดขืนก็จะถูกจับหรือปรับ และบางคนถูกตำรวจเตะและกระทืบ มีการดึงเสื้อคลุมของโต๊ะครูไปเหยียบย่ำบนพื้น แม่ค้าขายของมุสลิมในตลาดสดถูกทุบตีด้วยด้ามปืน เพราะสวมใส่เสื้อ “กบายา” และใช้ผ้าคลุมศีรษะ

นโยบายดังกล่าวนี้ เปิดโอกาสให้ชาวไทยพุทธและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นพุทธได้กระทำการทารุณ ดูถูกเหยียดหยามผู้คนมุสลิมและดูหมิ่นศาสนาอิสลามอย่างน่าเกลียดมาก

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ รัฐบาลโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยกเลิกตำแหน่ง “กอฎี” ที่มีอยู่ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ส่วนกฎหมายอิสลามที่ว่าด้วยครอบครัว (การสมรส การหย่า) และว่าด้วยมรดก ซึ่งมีใช้มาก่อนนั้นแล้ว ก็ให้ยกเลิกทั้งหมด โดยให้เปลี่ยนมาใช้กฎหมายไทยและใช้อำนาจศาลไทย

ต่อการกระทำดังกล่าวนั้น ได้มีกลุ่มบุคคลมุสลิมแนวหน้าพยายามต่อรองร้องเรียนต่อรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ ผ่านนักการเมืองไทยพุทธ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานีที่มุสลิมยอมรับ คือ ขุนเจริญวรเวชช์ (เจริญ สืบแสง) ซึ่งก็ได้รับการพิจารณาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
บรรยากาศทางการเมืองต่อจากนั้นก็เลวลงเรื่อย ๆ และรุนแรงที่สุดเมื่อ นายหะยีสุหลง (นามเต็ม คือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ บิดาของ นายเด่น โต๊ะมีนา สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดปัตตานี พ.ศ. ๒๕๔๓ – ปัจจุบัน) เป็นตัวแทนของชาวมลายูมุสลิมยื่นคำขอ ๗ ข้อ ต่อรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งพอที่จะสังเขปเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นได้ดังนี้ กล่าวคือ

เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ผู้นำชาวมุสลิมร่วมประชุมเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวกับศาสนาและสิทธิต่าง ๆ ของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ ๑๐๐ คน ที่ประชุมตกลงกำหนดคำขอ ๗ ข้อ ต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) ซึ่งรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จัดตั้งในวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อสืบสวนและเสนอแนะปรับปรุงสภาพการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่กำลังเป็นอยู่

สำหรับคำขอเกี่ยวกับศาสนาและสิทธิต่าง ๆ ของมุสลิมในครั้งนั้น มีดังนี้
๑. ขอให้ปกครอง ๔ จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่งโดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน ๔ จังหวัด
๒. การศึกษาในชั้นประถมต้น จนถึงชั้นประถม ๗ (สมัยนั้นประถมศึกษามีถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๗) ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
๓. ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน ๔ จังหวัดเท่านั้น
๔. ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ ๘๐
๕. ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
๖. ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีเอกสิทธิออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
๗. ให้ศาลรับพิจารณาตามกฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดาโต๊ะยุติธรรม) ตามสมควรและมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด

การรับเรื่องร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ในครั้งนั้น มีรวมทั้งสิ้น ๒๐ เรื่อง แต่มี ๑๒ เรื่อง ได้รับการพิจารณา และอีก ๘ เรื่อง ไม่มีหลักฐานบอกแน่ชัดว่าได้รับการพิจารณาหรือไม่

เฉพาะเรื่องคำขอ ๗ ข้อ ของกลุ่มนายหะยีสุหลงนั้น ก็มีการติดตามเรื่องหลังจากนั้นอีก ๔ เดือนถัดมา โดยการที่ขุนเจริญวรเวชช์ได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งก็ได้รับคำตอบให้ทราบว่ากำลังพิจารณาอยู่ สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ขอ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของนายหะยีสุหลง หลาย ๆ ระลอกต่อมา จนท่านต้องจบชีวิตลงแบบไม่มีสุสานพร้อมด้วยลูกชายคนโตและเพื่อนอีก ๒ คน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗

ที่น่าสนใจในเหตุการณ์นี้คือ หะยีสุหลงมีเพื่อนที่เป็นพุทธ คือ นายเจริญ สืบแสง (ขุนเจริญวรเวชช์) แม้แต่การว่าคดีความเมื่อคราวหะยีสุหลงถูกจับกุมก็ได้รับความช่วยเหลือด้วยดีจากทนายที่เป็นชาวไทยพุทธ คือ นายสำราญ อิมะชัย และนายยอด รัตนคณิต ซึ่งนายเจริญ สืบแสง เป็นผู้ติดต่อให้ เมื่อนายหะยีสุหลงและพวกอีก ๒ คนถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีในศาลที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ แล้ว ก็มีทนายไทยพุทธสมัครใจว่าความเป็นทนายจำเลยอีก ๓ คน โดยไม่คิดเงิน ได้แก่ นายน้อม อุประมัย นายพันธ์ อินทุวงศ์ และหลวงอรรถพรพิศาล

ความขัดแย้งระหว่างมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐปรากฏชัดเจนอีกเหตุการณ์หนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๙๐ เมื่อนายตำรวจไทยพุทธยศร้อยโท หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ถูกกลุ่มโจรของนายอาแว มะเซ็ง ลอบสังหาร โดยถูกกลุ่มโจรไปหลอกแจ้งความว่า มีการฆาตกรรมในหมู่บ้านปะลูกาสาเมาะ ตำบลปะลูกาสาเมาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ขอให้ไปชันสูตรศพ การปฏิบัติการของโจรครั้งนี้ทำให้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจโกรธแค้นมาก ชาวบ้านเล่าว่าชาวบ้านถูกบีบและบังคับให้บอกชื่อโจรผู้ก่อการดังกล่าวด้วยวิธีการที่ทารุณมาก และเมื่อไม่ได้คำตอบจึงกล่าวหาว่าชาวบ้านเลี้ยงโจรและให้ความสนับสนุนโจร ฝ่ายตำรวจจึงเผาหมู่บ้านให้วอดวายหมด ทำให้ชาวบ้าน ๒๕ ครัวเรือนไร้ที่อยู่อาศัย


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:41:06 PM
ในปีต่อมา คือ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ เกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับชาวดุซงยอ อำเภอระแงะ (ปัจจุบันผนวกเป็นอำเภอจะแนะ) จังหวัดนราธิวาส ร่วมพันคน ชาวบ้านเรียกว่า “ปือแร ดุซงญอ” (สงครามดูซงญอ) ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไทยเรียกว่า “กบฏดุซงยอ”

ในตอนต่อไปจะเล่าถึง “สงครามดุซงยอ” จากบันทึก ตำนาน และปกรณัมที่มีหลักฐานปรากฏในที่ต่าง ๆ นะครับ

ภาพข้างล่างเป็นภาพ "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" (จากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:42:43 PM
เรื่องของ “ดุซงญอ” นี้ เป็นประวัติการต่อสู้ของชาวมลายูมุสลิมกับเจ้าหน้าที่รัฐครั้งรุนแรงที่สุด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต ๓๐ ศพ และมีชาวบ้านเสียชีวิตหลายร้อยศพ และยังคงเป็นที่เล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้หากมีเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงเช่นในครั้งนั้น

บันทึกต่าง ๆ มีดังนี้

เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นในจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ก่อนที่รัฐบาลจะได้ทันลงมือดำเนินการอย่างไรเพื่อเป็นการแก้ปัญหา (การเรียกร้อง ๗ ข้อ ของชาวมลายูมุสลิม) กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานทางโทรเลขจากนราธิวาสว่า “คนไทยมุสลิมประมาณ ๑,๐๐๐ คน ได้เข้าโจมตีสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนกลันตัน มีการต่อสู้กันเป็นเวลา ๒ วัน และมีคนตายเป็นจำนวนกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป
(ปิยนาถ บุนนาค, นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๑๖). (กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๔, หน้า ๑๐๔-๑๐๕.)

Nik Anuar Nik Mahmud กล่าวถึงเหตุการณ์ดุซงญอว่า เป็นการลุกขึ้นสู้ (kebangkitan) ที่ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า แต่เกิดขึ้นกะทันหัน เนื่องจากในวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ฝ่ายตำรวจยิงปืนไปยังชาวบ้านที่กำลังมีงานบุญกันอยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่กลัวชาวบ้านจะตอบโต้จึงถอยกำลังกลับไปยังตันหยงมัส แต่ในการรายงานไปยังหน่วยเหนือ ฝ่ายตำรวจรายงานไปว่าได้มีกองโจรชาวมลายูจำนวน ๑,๐๐๐ คน กำลังเตรียมการเพื่อก่อการกบฏ
(Nik Anuar Nik Mahmud, Sejarah Perjuangan Melayu Patani, 1785-1954, (Bangi: Penerbit University Kebangsaan Malaysia, 1999), p.77. (In Malay))

ในวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ๖๐ นาย เข้ามาเสริมกำลังที่ตันหยงมัส ขณะที่ชาวบ้านดุซงญอก็เตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับตำรวจ ที่เชื่อกันว่ากำลังเตรียมการจะกวาดล้างชาวมลายู วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ รัฐบาลส่งเครื่องบินรบมาร่อนเหนือหมู่บ้านดุซงญอ เรือรบกลางทะเลบางนราก็ถูกสั่งให้เทียบท่าเรือเพื่อเตรียมส่งทหารมาสมทบกับกำลังตำรวจ วันที่ ๒๘ เมษายน เกิดการต่อสู้ครั้งร้ายแรงระหว่างชาวมลายูจำนวนราว ๑,๐๐๐ คน กับกองกำลังตำรวจที่หมู่บ้านดุซงญอ การต่อสู้เริ่มจากฝ่ายตำรวจสยามเข้าบุกโจมตีชาวมลายูที่ถูกทางการเชื่อว่ากำลังเตรียมการต่อต้านรัฐบาล การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไป ๓๖ ชั่วโมง ชาวบ้านก็ยอมแพ้ ผลการต่อสู้ทำให้ชาวมลายูทั้งที่เป็นสตรี ผู้ชรา และทารก เสียชีวิตเกือบ ๔๐๐ ศพ ส่วนตำรวจสยามเสียชีวิตประมาณ ๓๐ ศพ
(อิบรอฮีม ชุกรี, ประวัติราชอาณาจักรมลายูปะตานี หะสัน หมัดหมาน, มะหามะซากี เจ๊ะหะ และดลมนรรจน์ บากา (แปลและเรียบเรียง), (ปัตตานี: โครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, พฤศจิกายน ๒๕๔๑) หน้า ๕๔. ชุกรีระบุว่าเหตุการณ์ดุซงญอเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ และความรุนแรงดำเนินไปเป็นเวลา ๓๖ ชั่วโมง)

ข้อเขียนของ Mohd. Zamberi A. Malek มีรายละเอียดบางอย่างแตกต่างออกไป เขาได้อ้างรายงานของตนku มะห์มูด มะหายิดดีน ที่ระบุว่า เหตุการณ์เริ่มจากที่ชาวบ้านดุซงญอมารวมตัวกันประมาณ ๖๐-๘๐ คน และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าโจมตีกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว ชาวบ้านแตกกระจายและหนีไปตั้งหลักที่ตันหยงมัส รวมกำลังกันได้ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ก็ตัดสินในประกาศทำ “ญิฮาด” (การต่อสู้ยอมสละทุกสิ่งในหนทางของพระเป็นเจ้า) ชาวบ้านอ้างว่าตำรวจเป็นฝ่ายยิงเข้ามาในกลุ่มชาวบ้านก่อน เพราะคิดว่าชาวบ้านรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล เหตุการณ์เลวร้ายลงเมื่อชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเข้ามาสมทบด้วยเพราะโกรธแค้นที่ญาติพี่น้องของตนถูกทำร้าย ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรุงเทพฯ ส่งกำลังสามกองร้อยลงมาในพื้นที่ การปะทะกันเกิดขึ้นในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ระหว่างปะทะมีเครื่องบินของทหารอากาศไทย ๓ ลำ บินวนเวียนหาเป้าหมายชาวบ้าน มีรายงานด้วยว่ากองทัพเรือไทยนำเรือรบมาเทียบท่าที่อ่าวนราธิวาส มีข่าวลือว่ากองกำลังไทยต้องการกวาดล้างชาวมลายู “การโจมตีของตำรวจต่อชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธ” ในการปะทะกันนี้ ทำให้ชาวมลายูล้มตายประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ คน แต่ทางราชการกล่าวว่ามีเพียง ๓๐-๑๐๐ คนเท่านั้นที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ในขณะที่ฝ่ายตำรวจเสียชีวิต ๓๐ คน เหตุการณ์นี้รู้จักกันในนาม “สงครามโต๊ะเปรัก ดุซงญอ” (Perang Tok Perak Dusun Nyor) เพราะผู้นำคือตวนฮัจยีอับดุลเราะห์มาน เดิมเป็นชาวรัฐเปรัก และชาวบ้านเรียกกันว่า โต๊ะ เปรัก
(Mohd. Zamberi A. Malek, Umat Islam Patani: Sejarah dan Politik. (Shah Alam: Hizbi, 1993), pp. 210-211. (In Malay))

จากบันทึกข้างต้น อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

ประการแรก  กรณีดุซงญอนี้เรียกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะฝ่ายราชการเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “กบฏ” หรือ “การจลาจล” ขณะที่ไม่มีผู้ใดในฝ่ายนักวิชการมลายูมุสลิมที่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “กบฏ” ตรงกันข้าม คำภาษามลายูที่นำมาใช้เรียกเหตุการณ์นี้มีอย่างน้อยสองคำ คือคำว่า “Kebangkitan” หรือ “การลุกขึ้นสู้” กับคำว่า “Perang” ซึ่งแปลว่า “สงคราม”

ประการที่สอง ในขณะที่รายงานของทางราชการแสดงว่าเหตุการณ์ดุซงญอเป็นผลของการเตรียมการวางแผนต่อต้านรัฐบาลกรุงเทพฯ แต่ในฝ่ายมลายูมุสลิมกลับเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เกิดอย่างกะทันหันไม่ใช่ขบวนการที่มีเป้าหมายและการจัดองค์กรทางการเมืองตั้งแต่แรก

(จากบทความ ความเงียบของอนุสาวรีย์ลูกปืน : ดุซงญอ-นราธิวาส, ๒๔๙๑ โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
แต่ทำไมถึงเกิดเหตุปะทะกันขึ้นได้ ลองไปฟังจากปากคำของผู้อยู่ในเหตุการณ์ดูนะครับ

รัตติยา สาและ รายงานว่า ชาวบ้านเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ปือแร ดุซงญอ” (สงครามดุซงญอ) (คำวา “ปือแร” เป็นคำ ๆ เดียวกับคำว่า perang ในภาษามลายูที่แปลว่า “สงคราม” แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อ่านออกเสียงท้องถิ่นเป็น “ปือแร”) เป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้าใจผิด โดยอ้างผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่รายงานต่อรัฐบาลว่า การจลาจลเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด เนื่องจากมีการประชุมของชาวมลายูมุสลิมเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับไสยศาสตร์ คือพิธีอาบน้ำมันมนต์เพื่ออยู่ยงคงกระพัน ชาวบ้านเล่าว่า ตัวผู้นำพิธีกรรมนี้มีพลังภายในมาก ท่านถือศีลอดและนั่งท่องบทอัล-กุรอาน จนพื้นที่นั่งซึ่งเป็นปูนนั้น แตกเป็นรอยร้าว เป็นที่เกรงขามสำหรับผู้ที่ได้รู้เห็นเป็นอย่างมาก เล่ากันต่อมาว่าศิษย์ของท่าน ๑ คน สามารถนำผู้อ่านให้ปลอดจากอาวุธได้จำนวนเป็นสิบ (สังเกตว่าเหตุการณ์ตรงนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดปัตตานีเมื่อตอนต้นปีนี้ที่มีการกล่าวอ้างกัน) มีอดีตทหารเกณฑ์คนหนึ่ง (ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดสงขลา) ซึ่งถูกส่งตัวเข้าไปในบริเวณดังกล่าวยืนยันว่า “เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เป็นการกบฏ แต่เป็นความระแวงของฝ่ายบ้านเมืองว่าชาวบ้านกำลังซ่องสุมกำลังคนเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลและต้องการแบ่งแยกดินแดน”
(รัตติยา สาและ, การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส. (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. ๒๕๔๔), หน้า ๑๖๓.)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:46:07 PM

เหตุการณ์ดุซงญอเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยมากมาย แต่ที่สำคัญคือนับเป็นการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างฝ่ายราชการโดยเฉพาะกับฝ่ายตำรวจ และฝ่ายชาวบ้านมลายูมุสลิม ฝ่ายตำรวจตายไป ๓๐ นาย ในขณะที่หลักฐานจากฝ่ายที่มิใช่ราชการระบุว่าฝ่ายชาวบ้านเสียชีวิตมากกว่าฝ่ายราชการหลายเท่า

ปิยนาถ บุนนาค ใน นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๑๖ (๒๕๓๔) ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน ๒๔๙๑ มีคนตายเป็นจำนวนกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป (หน้า ๑๐๔-๑๐๕)

อิมรอน มะลูลีม ใน วิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่ารัฐบาลไทยกับมุสลิมในประเทศ (๒๕๓๘) ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕-๒๖ เมษายน ๒๔๙๑ มีผู้เสียชีวิต ๓๐-๑๐๐ คน (หน้า ๑๖๑)

แต่งานของ อิบรอฮีม ชุกรี นักประวัติศาสตร์มลายูมุสลิม ในงานเขียนเรื่อง ประวัติราชอาณาจักรมลายูปะตานี (๒๕๔๑) ระบุว่า เหตุการณ์รุนแรงนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๑ ดำเนินไปเป็นเวลา ๓๖ ชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตเป็นสตรี ผู้ชรา และทารก เกือบ ๔๐๐ คน ส่วนฝ่ายตำรวจไทยเสียชีวิตประมาณ ๓๐ คน (หน้า ๕๓-๕๔)

มูฮัมหมัด ซัมบารี เอ. มาเล็ก เขียนไว้ในหนังสือภาษามลายูเรื่อง Umat Islam Patani : Sejarah dan Politik (ประชาชาติอิสลามปะตานี : ประวัติศาสตร์และการเมือง) (๑๙๙๓) ระบุว่า การปะทะกันเกิดขึ้นในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๙๑ ทำให้ชาวมลายูล้มตายประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ คน ฝ่ายตำรวจเสียชีวิต ๓๐ คน ในขณะที่ทางราชการไทยกล่าวว่ามีเพียง ๓๐-๑๐๐ คนเท่านั้นที่บาดเจ็บและเสียชีวิต (pp.210-211)

Syed Serajul Islam ในบทความภาษาอังกฤษเรื่อง “The Islamic Independence Movements in Patani of Thailand and Mindanao of The Philippines” ตีพิมพ์ในวารสาร Asian Survey (1998) ระบุว่า จำนวนผู้เสียชิวตที่เป็นชาวมลายูมุสลิมในกรณีนี้คือ ๑,๑๐๐ คน (p.446, fn.9)

จากข้อมูลที่แตกต่างกันทั้งวันที่เกิดเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตนี้ไม่สำคัญเท่ากับคำถามทางวิชาการที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์สองข้อ คือ

ข้อแรก เหตุการณ์นี้ถูกจดจำอย่างไร? (สำหรับความทรงจำของฝ่ายราชการไทย เหตุการณ์นี้ถูกจดจำในฐานะ “กบฏ” หรือ “การจลาจล” ขณะที่ไม่มีนักวิชการมลายูมุสลิมผู้ใดเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “กบฏ” เลย แต่กลับเรียกว่า การลุกขึ้นสู้ หรือ สงคราม เหตุการณ์รุนแรงเรื่องเดียวกัน รับรู้ จดจำ และมองได้จากหลายมุมมอง ถ้าไม่เลือกมองมุมของราชการที่ดูจะครอบงำสังคมอยู่จะเห็น “ความจริง” เป็นเช่นไร

ข้อสอง วิธีการที่ผู้คนจดจำเหตุการณ์มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาที่สลับซับซ้อน อย่างปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเข้าใจวิธีการที่เหตุการณ์ถูกจดจำรับรู้กระทำได้ยาก หากไม่เห็นนัยทางสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ที่แฝงฝังอยู่ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากเหตุการณ์ดุซงญอ ทำให้ผู้คนหลบลี้หนีข้ามไปมาเลเซียนับพันคน เหตุการณ์ดุซงญอเป็นสัญลักษณ์แห่งการลุกขึ้นสู้ของผู้คนในปัตตานีต่อ “รัฐไทย” นับแต่นั้นมา แต่ในมุมของ “รัฐไทย” ส่วนหนึ่งเหตุการณ์ดุซงญอนี้ถูกจดจำไว้เป็น "อนุสาวรีย์รูปกระสุนปืน" (น่าแปลกที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุปะทะกัน คือ ตำบลจะแนะ อำเภอระแง จังหวัดนราธิวาส อนุสาวรีย์แห่งนี้ไม่มีเครื่องหมายหรือคำอธิบายใด ๆ แต่ได้ความจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นี่ว่า "เป็นอนุสาวรีย์ที่เก็บกระดูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตที่ดุซงญอ" แต่ไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ ว่า เก็บกระดูกของเจ้าหน้าที่ตำรวจกี่คน หรือใครบ้าง) คอลัมนิสต์มุสลิมท่านหนึ่งจึงได้ตั้งคำถามว่า ที่ทำเป็นอนุสาวรีย์รูปกระสุนปืนนี้ “เพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของเจ้าหน้าที่ที่สามารถปราบปรามประชาชนสำเร็จกระนั้นหรือ ?”
(อัฮหมัด สมบูรณ์ บัวหลวง, “ดูซงญอ ฤาคือกบฏ”, คำบรรยายใต้ภาพอนุสาวรีย์กระสุนปืน, หน้า ๗)

ภาพนี้เป็นภาพอนุสาวรีย์กบฎดุซงญอ ถ่ายโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๕

(บทความและภาพถ่ายคัดจากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:47:56 PM

การปิดฉากเหตุการณ์เลวร้ายหลาย ๆ เหตุการณ์ด้วยวิธีการแก้ปัญหาแบบ “ดับไฟชั่วคราว” เพื่อความอยู่รอดไปวัน ๆ ของ “ฝ่ายก่อการ” และผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนอย่างที่เป็นไปแล้วนั้น จึงเปิดโอกาสให้เกิด “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” หลายกลุ่มตามมาภายหลัง หลัง พ.ศ. ๒๔๙๗ และมีการจับกุมผู้นำในพื้นที่ด้วยข้อหาต่าง ๆ เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ มีการจับกุม นายหะยีอามีน โต๊ะมีนา (ฮาฌี มิง) ด้วยข้อหา “บ่อนทำลายชาติ” ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ รัฐบาลจับกุมครูเปาะสู วาแมดิซา ชาวบ้านท่าธง ตำบลท่าธง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ด้วยข้อหา “กบฎแบ่งแยกดินแดน”

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔, พ.ศ. ๒๕๑๕ มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาสบ่อยมาก ซึ่งชาวบ้านบอกว่าเป็นผลจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ราชการบางหน่วยงานเพื่อปราบปรามโจรผู้ร้ายที่ซ่องสุมอยู่ในหมู่บ้าน หลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของคำกล่าวหาและต้องหนีเข้าป่าไปร่วมขบวนการกับหน่วย บี.เอ็น.พี.พี., หน่วย บี.อาร์.เอ็น., หน่วยพูโล (PULO) และหลายคนถูกจับตัวเข้าร่วมขบวนการของคอมมิวนิสต์มลายา ที่มีอิทธิพลในพื้นที่อำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงปาดี อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา หรือไม่ก็เป็นผู้ก่อการร้ายเรียกค่าไถ่และเรียกค่าคุ้มครอง

บี.เอ็น.พี.พี. (BNPP = Barisan Nasional Pembebasan Patani/ = National Pront Liberation of Patani) เรียกเป็นภาษาไทยว่า “ขบวนการปลดแอกแห่งชาติปัตตานี” หรือ “แนวกู้เอกราชแห่งปัตตานี”

ดังนั้น เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ซึ่งนำโดยตึงku ฌาลัล นาเซ็ร (นายอดุลย์ ณ สายบุรี) ทายาทเจ้าเมืองสายบุรี โดยความเห็นชอบและความร่วมมือของอีกสามขบวนการแนวหน้า ได้แก่ ฆึมปัร (GEMPAR = Gabungan Melayu Patani Raya หรือ “แนวร่วมมลายูปัตตานียิ่งใหญ่”) บี.อาร์.เอ็น. (BRN = Barisan Revolusi Nasional หรือ “ขบวนการปฏิวัติแห่งประชาชาติ”) และพูโล (PULO = Patani United Liberation Organization/Pertubuhan Persatuan Pembebasan Patani หรือ “องค์การร่วมเพื่อกอบกู้อิสรภาพปัตตานี”) การปฏิบัติการช่วงแรกมักเป็นไปในรูปกองโจร ซึ่งนำโดย เปาะเย็ฮ หรือ นายดือเร็ฮ มะดีย็อฮ หรือ “เปาะเยะ” โดยยึดมั่นและศรัทธาว่า “การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งดินแดนปัตตานีกลับคืนมาจากไทยนั้น ย่อมมิอาจสำเร็จได้ด้วยการโปรยนานาดอกไม้ แต่จะต้องด้วยการโบยบินของบรรดากระสุนปืน” หลังจากเปาะเยะเสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ขบวนการนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “แนวร่วมอิสลามปลดแอกปัตตานี” หรือ Barisan Islam Pembebasan Patani (BIPP = บี.ไอ.พี.พี.)

เหตุการณ์ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๑๕ ซับซ้อนและวุ่นวายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ชาวบ้านบอกว่า ฝ่ายตรงกันข้ามกับเจ้าหน้าที่เตือนว่า ถ้าจะเดินทางผ่านถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ช่วงตั้งแต่ตลาดต้นไทร ตำบลปะลูกาสาเมาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส หลังเวลา ๔ ทุ่ม จนถึง ๖ โมงเช้า ต้องไม่ลืมเปิดไฟหน้ารถให้ต่ำ มีการห้ามใช้ไฟสูงอย่างรถของฝ่ายเจ้าหน้าที่ และจะต้องเปิดไฟในรถให้สว่าง เพื่อเป็นสัญญาณขอเปิดทางให้ผ่าน

ที่หมู่บ้านตือลาฆอ มือแด (บ้านทอน) ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส มีเจ้าหน้าที่ “ตำรวจมุสลิม” เข้าไปจับกุมผู้นำศาสนาซึ่งกำลังละหมาด โดยกล่าวหาว่าชายผู้เป็นเหยื่อคนนั้นมีส่วนสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับโจร ตัวอย่างนี้แสดงให้ทราบว่า “ความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่เป็นปัญหากับประชาชนชาวมุสลิมนั้น ไม่จำกัดเฉพาะ “คนพุทธ”

ที่หมู่บ้านมาแฮ บ้านอีโยะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส มีกลุ่มเจ้าหน้าที่จากหน่วยปราบปรามพิเศษ ได้เข้าไปทำลายทรัพย์สินของชาวบ้าน และข่มขู่ภรรยาของผู้ต้องสงสัยว่าเลี้ยงโจรและมีความเกี่ยวข้องกับคดีการจับตัวทนายชื่อดังในจังหวัดนราธิวาสซึ่งเป็นชาวพุทธเชื้อสายจีน ทำให้เหยื่อผู้นั้นต้องหนีเข้าป่า

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากวิธีการปราบปรามของเจ้าหน้าที่บางหน่วยที่ถูกส่งไปปฏิบัติการในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในบางหมู่บ้านสร้างความขยาดกลัวให้กับบรรดาคนหนุ่มสาวมาก เป็นเหตุให้ชายฉกรรจ์หลายคนต้องถอยออกจากหมู่บ้านไปตั้งหลักทำมาหากินในจังหวัดไกล ๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ ที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ ซึ่งก็มีหลายคนประสบผลสำเร็จ ได้กลับมาซื้อที่ดิน ซื้อสวนยาง และเปิดกิจการในพื้นที่บ้านเดิมเมื่อมั่นใจว่าเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

ปอเนาะพ่อมิ่ง บ้านพ่อมิ่ง ตำบลคอกกระบือ อำเภอปะนาเระ จังหวัดนราธิวาส ต้องกลายเป็นปอเนาะร้างชั่วคราว เพราะเกิดการฆ่าโต๊ะครูมะเต็ฮโดยชาวพุทธ และทำให้หะยีดอแมซึ่งเป็นเจ้าของปอเนาะต้องหนีออกไปต่างประเทศ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผู้ก่อการร้ายอย่างเซ็ง ท่าน้ำ ออกปฏิบัติการเพื่อล้างแค้น เหตุการณ์นี้สงบลงได้เพราะใช้คนกลางที่เป็นเพื่อนของฝ่ายชาวพุทธและชาวมุสลิมช่วยประนีประนอมให้

(คัดตัดตอนและปรุงใหม่จากหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย รัตติยา สาและ พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๔๔ (โครงการย่อยภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งมีศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.))

และแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็เกิดเรื่องใหญ่ซึ่งนำไปสู่การประท้วงใหญ่ที่ปัตตานีในเดือนธันวาคม ๒๕๑๘


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:52:40 PM

ผลลบของเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งอาจเกิดจากการปราบปรามของเจ้าหน้าที่  ชาวบ้านหลายรายต้องเป็นเหยื่อรองรับกระสุนแทนผู้ร้ายเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะกัน การซื้อหาข้าวปลาอาหารก็ต้องถูกจำกัดปริมาณ เพราะชาวบ้านถูกระแวงว่าจะเอาไปเลี้ยงโจร หรือไม่ก็คอมมิวนิสต์ ฝ่ายหลังก็ระแวงว่าจะเป็นสายให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านเลยตกที่นั่งลำบาก

ชาวบ้านที่ไปทำสวนในอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส หลายคนต้องหนีกลับมาอยู่ในหมู่บ้านเดิมเพราะกลัวจะถูกคนของกลุ่มโจร บี.อาร์.เอ็น. ฆ่า ฐานไม่ยอมเสียค่าคุ้มครอง ชาวบ้านบอกว่าในเขตป่าศรีสาคร ฝ่ายพูโลกำหนดให้จ่ายค่าคุ้มครองหักเป็นราคายางเดือนละ ๑ วัน แต่ถ้าเป็นฝ่าย บี.อาร์.เอ็น. ก็จะเรียกเก็บสัปดาห์ละ ๑ วัน

ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงที่หลายคนในพื้นที่ที่เกิดเหตุมิอาจจะปฏิเสธได้ หลายชีวิตต้องประสบกับเหตุการณ์นั้นโดยตรงยังมีชีวิตอยู่และสามารถลำดับเรื่องให้ฟังได้เป็นฉาก ๆ แค่อีกหลายชีวิตได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทายาทของคนกลุ่มหลังนี้มีหลายคนไม่ค่อยกล้าปริปากพูดถึงเหตุการณ์ร้ายซึ่งคนในครอบครัวของตนถูกกระทำ และมักจะบอกปัดเมื่อมีคนถามว่า “อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย มันน่ากลัว น่าโกรธและแค้นมาก” คำพูดทำนองนี้เหมือนยืนยันให้รับรู้ว่า “พวกเขามีความรู้สึกเก็บกด”

ความรู้สึกอย่างนี้มีส่วนสำคัญมากในอันที่จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันจิตวิญญาณของพวกเขาบางคนให้มีความกล้าพอที่จะให้ความร่วมมือกับกลุ่มบุคคลในบางขบวนการซึ่งมีอุดมการณ์เชิงลบต่อฝ่ายตรงกันข้ามหรือกลไกของรัฐ

ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่พวกเขามีโอกาสจะตอบโต้ได้ ก็จะลงมือปฏิบัติการทันที ทั้ง ๆ ที่เมื่อถามว่า : “พวกเปาะจิ (คุณน้า, อา) มีความมั่นใจแค่ไหนว่าวิธีการต่อสู้ของขบวนการเปาะจิจะประสบความสำเร็จ”
เปาะจิ ตอบว่า : “ถึงไม่มีความหวังมากมายนัก ขอให้ได้แสดงให้พวกเขารู้จักเราบ้างก็ดีกว่าปล่อยให้ฝ่ายเขาทำร้ายจิตใจเราอยู่แต่ฝ่ายเดียว”

เมื่อถามชาวบ้านว่ามีทัศนคติต่อการปราบปรามโจรของฝ่ายเจ้าหน้าที่อย่างไรบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นการกระทำที่ดี แต่ขอร้องว่าให้เป็นการกระทำกับโจรหรือผู้ร้ายตัวจริงเท่านั้น อย่าได้ทำร้ายและลงโทษผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ส่วนที่ไม่สามารถให้ความร่วมมืออย่างจริงจังได้ก็เพราะ

“ไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นใคร เพราะตำรวจบางคนก็เป็นเพื่อนกับโจร ชาวบ้านบางคนก็ไว้ใจกันไม่ได้ เพราะบางคนชอบที่จะได้คบค้าสนิทสนมกับคนมียศ มีสี ก็พยายามสร้างภาพให้เป็นที่ไว้วางใจของเจ้าหน้าที่บางคน และฉวยโอกาสปราบศัตรูส่วนตัวของตนโดยยืมมือเจ้าหน้าที่ บางทีก็ไม่ทราบว่าจะไปพึ่งใครดี” (เปาะลงมะ นราธิวาส)


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 06:54:39 PM
ความมีอคติระหว่างประชาชนชาวมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนจะผูกใจเจ็บมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็วัดได้จากปรากฏการณ์การใช้คำ “โต๊ะนา” หรือ “เป็นนาย” ในสังคมดังกล่าว

คำว่า “โต๊ะนา” นอกจากมีนัยของความเป็น “คนพุทธ” ก็ยังใช้เป็น “คำสรรพนามบุรุษที่สามเมื่อต้องการอ้างถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐในบริบทเชิงลบ” กล่าวคือ สำหรับมุสลิมบางกลุ่มนั้น “นาย” ถูกจำกัดความหมายเฉพาะความเป็นข้าราชการตำรวจและทหาร ซึ่งให้ภาพลักษณ์ลบที่มีแต่จะบั่นทอนจิตใจของผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากกว่าที่จะสร้างสรรค์

สืบเนื่องจากทัศนะทำนองดังกล่าว จึงทำให้มุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้รุ่นก่อน ๆ คือประมาณ ๔๐ ปีก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยส่งเสริมให้ลูกหลานรับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร เมื่อขอทราบเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่า

“ผมมีเพื่อนหลายประเภท เราคนทำมาหากินเลี้ยงชีพ และหาประโยชน์จากป่า ใครผ่านมาก็จ้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วยดี จะมัวแบ่งแยกว่าเป็นโจรหรือเป็นนาย เหมือนคนในตลาดเขาไม่ได้หรอก ถ้าลูกหลานของผมเป็นตำรวจ เป็นทหาร อย่างนั้นใครที่ไหนเขาจะกล้าคบกับผม เพราะว่าเขาต้องไม่กล้าไว้ใจผมแน่นอน...เป็นนายอย่างมุสลิมแบบเรา ๆ นี้จะไปได้สักกี่น้ำนัก...เสียมากกว่าได้...ดีไม่ดีก็ไปติดเหล้าเสียอีก....เรื่องละหมาด เรื่องการถือศีลอด คงต้องไกลห่างไปเรื่อย ๆ กระมัง ต่อไปก็คงไม่ต่างไปจากพวกโต๊ะนา ผมไม่เอาด้วยหรอก” (นายมะแซ)

คำพูดอย่างนี้นอกจากผู้พูดจะบอกว่าไม่ชอบความเป็นตำรวจและทหาร ก็ยังได้ยืนยันนัยของ “โต๊ะนา” อีกว่าเป็นบุคคลที่เขาไม่ประสงค์จะเป็น

(คัดตัดตอนและปรุงใหม่จากหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย รัตติยา สาและ พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๔๔ (โครงการย่อยภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งมีศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.))


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 07:00:28 PM
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นปูมหลังของประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ ตลอดจนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็น ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน เพื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร

ศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล (Department of History, University of Wisconsin-Madison) ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดว่า “การศึกษาประวัติศาสตร์ปัตตานีในภาษาไทยจนถึงปัจจุบันมีไม่มากนัก แทบทั้งหมดอยู่ในกรอบของตรรกะทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวมา....ส่วนด้านที่ไม่เข้ากรอบ ไม่ลงรอยกับประวัติศาสตร์แห่งชาติก็หลีกเลี่ยงหรือมองข้ามไปเสีย ภาพพจน์รวบยอด (trope) ของปัตตานีในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย คือ แขก-ประเทศราช-ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายภายใน-และชอบเป็นขบถ”

อีกตอนหนึ่งว่า “เรื่องราวภายในกรอบดังกล่าวถือว่าปัตตานีเป็นของสยามมาแต่ไหนแต่ไร การต่อสู้ให้พ้นอำนาจสยามจึงเป็น “ขบถ” อันไม่สมควรกระทำ และความสำเร็จของสยามในการกำราบปราบปรามจึงเป็นสิ่งที่น่ายินดี....”

“....เราเรียกปัตตานีว่าเป็น “แขก” จนคุ้นหูคุ้นปากทั้งในเอกสารชั้นต้นและในงานเขียนสมัยปัจจุบัน มิได้ตระหนักว่าเป็นคำดูแคลน “ผู้อื่น” จากมุมมองของผู้ที่คิดว่าตนเหนือกว่า (ไม่ว่าจะเป็นไทย สยาม หรือจีน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชนชั้นปกครอง “เจ๊ก” กับ “แขก” คือคำประเภทเดียวกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นอื่นที่ต่ำต้อยกว่า

ประวัติศาสตร์ปัตตานีที่เป็น “แขก” จึงเป็นประวัติศาสตร์ฉบับดูแคลนตั้งแต่ต้น”


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 07:03:32 PM
อาจารย์ธงชัยทิ้งท้ายว่า “วิชาประวัติศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ทำให้ประชาชนงมงาย ไม่ต้องคิด และทำให้ใจแคบต่อความแตกต่าง ไม่รู้จักจัดการความขัดแย้ง เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชากรให้รู้จักคิดและมีพลังทางปัญญาเพื่อเผชิญความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของโลก”

(คัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน “ศรีวิชัย” บทนำเกียรติยศ โดยอ้างจากเอกสารวิชาการ “เรื่องราวจากชายแดน สิ่งแปลกปลอมต่อตรรกะทางภูมิศาสตร์ของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย” (Stories from the Borders : The Anomalies in the Geographical Logic of Thai National History) โดย ธงชัย วินิจจะกูล (Department of History University of Wisconsin-Madison) เสนอต่อการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับภาคใต้เรื่อง “ประสบการณ์ถิ่นไทยทักษิณ : การปริวรรตทางสังคมในทัศนะประชาชน” ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ๑๓-๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ แล้วพิมพ์ซ้ำใน ศิลปวัฒนธรรม (ฉบับที่ ๑๒ ปีที่ ๒๓) เดือนตุลาคม ๒๕๔๕)
เช่นเดียวกับ “สุจิตต์ วงษ์เทศ” ได้ให้ความเห็นว่า “ประวัติศาสตร์ส่งผลให้ “วิถีคิด” กับ “วิธีคิด” ของรัฐบาลปฏิบัติต่อราษฎรสามจังหวัดภาคใต้เหมือนไม่ใช่ “คน” แต่เป็น “แขก” ที่หมายถึง “คนอื่น คนแปลกหน้า คนต่างชาติที่มาอาศัย”

แต่หลักฐานไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในบริเวณนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ก่อนยุคสุโขทัยนานมาก คือเป็นบ้านเมืองใหญ่ระดับรัฐที่มีการค้าทางทะเลกับดินแดนห่างไกลมาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ก่อนสมัยสุโขทัยราว ๘๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย

ที่สำคัญคือเป็นรัฐที่นับถือศาสนาฮินดู-พุทธ และเป็น “รัฐอิสระ” เกี่ยวข้องกับ “ศรีวิชัย” หรืออาจเป็น “ศรีวิชัย” ตัวจริงที่ประวัติศาสตร์ไทยไม่รู้จักแท้จริง....

หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีที่แท้จริงมีอย่างนี้ ยืนยันว่าคนสามจังหวัดภาคใต้และบริเวณต่อเนื่องที่นับถืออิสลามล้วนไม่ใช่ “แขก” แปลกหน้ามาอาศัยแผ่นดินนี้อยู่ แต่พวกเขาคือ “คน” มีรากเหง้าเป็นเจ้าของดั้งเดิมแท้จริงยิ่งกว่าคน “รัฐสุโขทัย” ที่ “ประวัติศาสตร์ไทย” บอกเองว่าอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต-น่านเจ้า คือ “ไม่ใช่คนดั้งเดิมของที่นี่”

(สยามประเทศไทย มติชนฉบับวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗)
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี มีใบบอกแจกจ่ายให้เข้าร่วมเวที “เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ” เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗ บางตอนมีว่า

“ปัญหาวิกฤตชายแดนใต้มีรากเหง้ามาจากความขัดแย้งระหว่างระบบราชการรวมศูนย์กับวัฒนธรรมท้องถิ่นซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า ๑๐๐ ปี

ความไม่เข้าใจและมายาคติระหว่างกันของเจ้าหน้าที่รัฐโดยทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธกับประชาชนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นที่เป็นมุสลิม มีส่วนขยายปัญหาความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดความรุนแรง

กลุ่มบุคคลและกองกำลังแห่งมิจฉาทิฏฐิในพื้นที่ (กาฟีร์) ได้ฉวยโอกาสจากปัญหารากเหง้าที่มิได้รับการแก้ไขและช่องว่างความไม่เข้าใจของสาธารณะและสังคมภายนอก ก่อสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองและผลประโยชน์ที่คับแคบเฉพาะคน เฉพาะกลุ่มเป็นระยะ ๆ ตลอดมา

ผลของความรุนแรงจากกลุ่มผู้ก่อสถานการณ์และจากมาตรการการปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนความไม่เข้าใจและทัศนคติแบบตะวันตกของสื่อมวลชน ได้ซ้ำเติมความเดือดร้อนทับถมความทุกข์ยากแก่ชุมชนท้องถิ่น และพี่น้องมุสลิมให้ตกอยู่ในฐานะจำเลยของสังคมหนักขึ้นทุกที

วิกฤตชายแดนใต้ครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความแตกร้าวทางสังคมอย่างรุนแรงภายในท้องถิ่น ชาวบ้านตกอยู่ในความหวาดผวา กลัวทั้งโจร กลัวทั้งทหาร-ตำรวจ กลัวการถูกจับอุ้ม-ฆ่า จากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด ประชาชนและภาครัฐหมดความศรัทธาเชื่อมั่นต่อกัน ไม่สามารถพึ่งพิงกันได้แล้ว ระหว่างประชาชนด้วยกันเองก็อยู่ในภาวะที่หวาดระแวงกันไปหมด เพราะไม่รู้ว่าจะถูกฆ่า ถูกทำร้าย เป็นเป้าหมายรายวันของกลุ่มใด”

(ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี ใบบอกเรื่องการรวมตัวเป็น “เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ” ของกลุ่มราษฎรอาวุโสกับองค์กรเอกชน เพื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแนวทางสันติวิธี และใช้ “กระบวนการทางปัญญาเพื่อแก้ปัญหาชายแดนใต้อย่างยั่งยืน”)
ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของ ศาสตราจารย์ พลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เคยพูดไว้ดังนี้

“การแก้ปัญหา ๓ จังหวัดภาคใต้ คิดอย่างไรก็ไม่ออก เพราะเราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ตัวที่เป็นปัญหาก็คือ การหลอกว่าตัวเขาเองเป็นคนไทย....

อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย...ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขา รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้ แต่ไม่ใช่ให้สิทธิเหนือคนที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดนี้...ที่เราดำเนินงานผ่านมาเริ่มต้นก็ผิดแล้ว คือบอกว่า “แขกเป็นไทย” การให้เขาพูดภาษาไทยจึงยากมาก.....”

(คำปราศรัยของ ฯพณฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งรับฟังการบรรยายสรุปของจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙ หลังจากเกิดเหตุการณ์การประท้วงที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งยืดเยื้อเป็นแรมเดือนตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๘ – ปลายเดือนมกราคม ๒๕๑๙ ซึ่งอาจารย์รัตติยา สาและ แห่งมหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา คัดข้อความนี้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกฯ (สกว. พิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔))

ข้อความและรูปถ่ายส่วนมากคัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน “ศรีวิชัย” ของสำนักพิมพ์มติชน โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นบรรณาธิการ


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 04, 2011, 07:06:09 PM
ยาวเหยียด......คร่าวๆแค่นี้ครับ......

ตัดต่อบ้างพอสมควร....ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต.....คงพอจะบอกรากเหง้าของปัญหาได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ...........


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: ~ Sitthipong - รักในหลวง ~ ที่ มกราคม 04, 2011, 08:16:41 PM
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/922/922/images/ha.jpg)

+๑  ครับ  กว่าจะอ่านจบนานเลยครับ  แต่ได้ความรู้เยอะเลยครับ   :VOV: ::014::

เมื่อก่อนได้อ่านหนังสือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฏ...หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ ก็พอได้ความรู้มาบ้าง   ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: ชัยบึงกาฬ รักในหลวง ที่ มกราคม 04, 2011, 09:26:09 PM
 ::014:: ::002:: ;D


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: Daimyo ที่ มกราคม 05, 2011, 12:08:51 AM
ลืมบอกไปว่า.....กระทู้นี้ให้กับครบรอบ7ปีที่มีการปล้นปืนจากกองพันฯครับ....


หัวข้อ: Re: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้
เริ่มหัวข้อโดย: จอยฮันเตอร์ ที่ มกราคม 05, 2011, 09:58:33 AM
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/922/922/images/ha.jpg)

+๑  ครับ  กว่าจะอ่านจบนานเลยครับ  แต่ได้ความรู้เยอะเลยครับ   :VOV: ::014::

เมื่อก่อนได้อ่านหนังสือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฏ...หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ ก็พอได้ความรู้มาบ้าง   ;D
หะยีสุหรง บิน อับดุลกาเคร์ มูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ หรือ "หะยีสุหรง โต๊ะมีนา" บิดาของ นาย เด่น โต๊ะมีนา นักการเมือง ชาวปัตตานี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดปัตตานี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

หลายสมัย