หัวข้อ: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2011, 08:39:36 PM อนติมานี แปลว่า ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น
กระด้างก็จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอะไร ท่านเปรียบเอาไว้อย่างนั้น กิริยาที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเครื่องหมายที่บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจที่ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่าเวลาโกรธ จิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิด ปกติไป หยาบขึ้น ถ้าจิตใจราบเรียบ ก็จะอ่อนโยนอ่อนหวาน คือ ไม่มีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถูก ดูแคลนผู้อื่น ในเรื่องอริยวังสะ ปฏิปทา ปฏิปทาของผู้ที่เดินตามอริยวงศ์ มี 4 ข้อ คือ 1. สันโดษด้วยอาหาร ถ้าเป็นพระก็คืออาหารบิณฑบาต ถ้าเป็นฆราวาส ก็คืออาหารทั่วไป 2. สันโดษในจีวร หรือเสื้อผ้า 3. สันโดษในที่อยู่อาศัย หรือเสนาสนะ 4. ยินดีในภาวนา ตอนสุดท้าย ท่านจะบอกไว้ทุกข้อว่า แม้จะเป็นผู้สันโดษอย่างนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน เมื่อได้ก็ไม่หมกมุ่น ไม่ติดอยู่ในปัจจัยที่ได้นั้น และไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะคุณธรรมอันนั้น เนวตฺตานุกฺกํเสติ โน ปรํ วมฺเภติ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่ออกไปบิณฑบาต แล้วก็ได้บิณฑบาตเต็มบาตร ยังได้รับนิมนต์วันรุ่งขึ้นอีก กลับมาวัดก็มาดูหมิ่นภิกษุที่มีลาภน้อย มีอาหารน้อย ไม่เหมือนตัว พระพุทธเจ้าก็เปรียบว่าเหมือนแมลงกุดจิขี้ ที่มันกินอุจจาระจนเต็มท้อง แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆหอบติดหน้าท้องไว้อีก ไปไหนก็หอบไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแสดงเพื่อไม่ให้ภิกษุหรือใครก็ตาม ที่จะยกตนข่มผู้อื่นหรือดูหมิ่นผู้อื่น เป็นข้อหนึ่งในสันตบท หรือธรรมที่เป็นไปเพื่อสันตบท เพื่อจะไม่ดูหมิ่นผู้อื่น แม้ในคุณสมบัติที่ตนมี ไม่ต้องพูดถึงไม่มีคุณสมบัติ มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วยคือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้ อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ชาติํ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณญฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆบ้างมันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น อาจารย์ทองขาวเล่าว่า มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วยคือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้ อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ชาติํ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณญฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆบ้างมันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น อาจารย์ทองขาวเล่าว่า มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด ถ้าเธอเห็นคหบดีมั่งคั่งสมบูรณ์ เห็นพระราชามหากษัตริย์ เห็นใครต่อใคร ขอให้คิดว่าอย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ถ้าไปเห็นคนยากจนเข็ญใจ คนทุพพลภาพ กำพร้ายากจน ก็ให้นึกว่าอย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว โดยที่สุดแม้จะไปเห็นสุนัขขี้เรื้อน อย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว มันเพื่อนเก่าเราทั้งนั้น ข้างบนข้างต่ำเราเคยเป็นมาแล้ว ก็เลยไม่ริษยาและก็ไม่ดูหมิ่นดูถูกใคร อาจารย์ทองขาวเล่าว่า ได้ทราบว่า สมเด็จพระ พุทธาจารย์โตท่านเดินไปผ่านเจอสุนัขนอนขวางทาง ท่านบอกว่าพ่อเจ้าประคุณเอ๊ยขอลูกผ่านไปหน่อยเถอะ คนก็ว่า เอ้า ทำไมไปทำอย่างนั้นล่ะ ท่านก็บอกว่า ไม่แน่หมาตัวนี้อาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ นี่ก็แสดงว่าท่านก็ไม่มีอติมานะ มีอยู่คราวหนึ่ง ที่วัดของท่าน ตอนเย็นๆก็จะเตะตะกร้อ ชาวบ้านไปฟ้องท่านก็เฉย มาวันหนึ่ง ท่านเข้าวังได้จีวรผ้าไหมมา ตอนเย็นท่านก็เอาผ้าไตรใส่พานไปไว้กลางวงตะกร้อเลย แล้วกราบ บอกว่าโอ๊ย พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย เตะตะกร้อสวยเหลือเกิน ลูกไม่มีอะไรจะให้รางวัล ขอถวายไตร ตั้งแต่นั้นพระเลิกเตะตะกร้อเลย นี่คือเอาชนะด้วยอุบาย บางคนก็ดูถูกคนยากคนจน เห็นคนจนก็เหยียดหยาม ถ้าคนที่คิดเป็น เขาก็จะคิดว่าเขาอาจมีดี มีความพยายามเหนือเราก็ได้ แต่เนื่องจากเขาทำงานทีหลัง หรือไม่มีมรดกจากบรรพบุรุษก็ได้ ฉะนั้นเขาก็ยังยากจนอยู่ คิดได้อย่างนี้ก็ไม่ดูถูกคนจน ยิ่งรวยนี่คนจนเป็นฐานให้เขา ได้อาศัยแรงงานคนจนเป็นฐานให้ทำอะไรต่ออะไรได้ ถ้าคนรวยเท่าเขาหมดแล้ว จะไปจ้างใคร ถ้าคิดเป็นจะมองอะไรได้เห็นชัด ปัญหาอยู่ตรงที่คิดไม่ออกเพราะกิเลสตัวนี้มันปิดหูปิดตาหมด บางคนเกิดมาสวย ก็หลงตัวเองแล้วก็ดูหมิ่นคนขี้เหร่ แต่ถ้าเขาคิดเป็น เขาต้องคิดว่า เออ คนขี้เหร่ดี มันทำให้เราดูสวยยิ่งขึ้น และเขาก็อาจมีคุณสมบัติอื่นๆเหนือเราก็ได้ มันอยู่ที่ความคิดเป็น ถ้าคิดเป็นแล้ว กิเลสตัวนี้จะลดลงได้ง่าย เพราะในสังคมเราต้องมีคนทุกจำพวก คนกวาดถนน คนขนขยะ ทำอะไรทุกอย่าง คนขับรถเมล์ คนขับแท็กซี่ คนเป็นนายกฯ ต้องหลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะไปอยู่ตรงไหน เท่านั้นเอง แต่ว่าทุกคนก็ทำหน้าที่ให้สังคมนี้อยู่ได้ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ ถ้าเขาทำหน้าที่ได้ดีที่สุด อันนั้นแหละคือเกียรติของเขา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสรุปเอาไว้ว่า คนจะดีหรือเลวเพราะชาติตระกูลก็หามิได้ คนจะดีหรือเลวก็เพราะการกระทำของตน น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ ชาติตระกูลก็เหมือนกัน บางคนก็เกิดในตระกูลต่ำ แต่ว่าเขาเป็นบุคคลอาชาไนยได้ เหมือนไฟที่เกิดจากเชื้อที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น การคิดเป็น และการไม่ดูหมิ่นผู้อื่นจึงสำคัญ ในสมัยพุทธกาล พระอุบาลีก็เป็นช่างตัดผม ท่านราธะก็เป็นคนยากจน พระยสะก็เป็นลูกเศรษฐี แต่เข้ามาบวชแล้วก็กลมกลืนกัน ท่านไม่มีความรังเกียจกันว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น เข้ามาบวชแล้วละลายพฤติกรรมหมด ท่านเข้าถึงหัวใจของ พุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าเองก็ต้องการปกครองสงฆ์ให้เป็นแบบอย่างของสังคม เป็นสังคมตัวอย่าง จึงไม่ให้มีวรรณะ เหลือแต่ความเป็นสมณศากยบุตร ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เกียรติของมนุษย์เป็นสิ่งที่สูงสุดซึ่งใครจะเหยียดหยามไม่ได้ อย่างคนที่ไม่มีอะไรเลย ขี้เมาหยำเป โดยคุณธรรมแล้วเขาไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าลองไปขับรถชนเขาเข้าสิกฎหมายเอาเรื่อง ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหนือเชื้อชาติ เหนือสิ่งอื่นใดก็มีความเป็นมนุษย์ ต้องให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ ถึงเขาจะเป็นอะไรไม่เป็นอะไร แต่ศักดิ์ศรีที่เขามีอยู่ ก็คือความเป็นมนุษย์ ปัจจุบัน มีคำว่าสิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด แต่ทางพุทธเรากว้างกว่านั้นอีก คือเวลาแผ่เมตตา จิตจะแผ่กว้างออกไปถึงสัตว์โลกทุกชนิด บอกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราแผ่ออกไปจนถึงสัตว์ทุกชนิดทุกจำพวก ไม่ควรจะเบียดเบียนกัน ให้อยู่เป็นสุข ในกรณียเมตตสูตร มีอยู่ตอนหนึ่งที่พูดเอาไว้ดีที่ว่า น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติ มญฺเญถ กตฺถจิ นํ กิญฺจิ คนอื่นไม่ควรจะข่มเหงคนอื่นในที่ใดๆเลย พฺยาโรสนา ปฏิฆสญฺญา นาญฺญฺมสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยย ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่ผู้อื่น เพราะความโกรธ ความเคียดแค้นชิงชัง ฉะนั้น เราควรจะสวดเมตตสูตรกัน จะทำให้เรามองเห็นคนอื่นมีคุณค่าเหมือนกันหมด เราใช้คำว่าสัตว์ทั้งหลาย คือทั้งหมดใน 31 ภูมิ ตัวเองรักสุขเกลียดทุกอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น ก็ไม่ควรจะไปรังเกียจรังแกทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติตามฐานะของเขา เช่น มีคนใช้อยู่ในบ้าน ก็ให้เกียรติตามฐานะของเขา ไม่ใช่จะไปยกมือไหว้เขา แต่ว่าเราให้เกียรติที่เขาเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าให้ ให้ทานโดยเคารพ แม้แต่ให้กับสัตว์เดรัจฉาน ก็ให้ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ด้วยความเอื้ออาทร ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา ไม่ใช่ต้องไปเคารพสุนัขอะไรทำนองนั้น ให้โดยเคารพ คือว่ามีจิตใจอ่อนโยน เอื้ออาทรต่อมัน ให้โดยเคารพคือให้ด้วยเมตตา เอื้ออาทรว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน มีนายทหารหญิงคนหนึ่ง ตอนเช้าหุงข้าวใส่ถุงมาเต็มเลย ขับรถมาเผื่อจะเจอสุนัขที่ไหนบ้าง ถ้าเจอก็จอดรถเอาข้าวไปให้กิน แสดงว่าใจดี ใจถึง ทำได้ยาก นานๆจะมีสักคน นโปเลียนเป็นคนที่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์มากเลย ท่านอาจจะมาจากระดับต่ำ ท่านเข้าใจมนุษย์ดีพอสมควร ท่านจะให้เกียรติคนที่ทำงานหนัก พวกกรรมกร เป็นต้น ไปเยี่ยมโรงงานก่อนจะกลับ ท่านจะโค้งให้คนงานเป็นการอำลา หรือแม้เวลาเดินอยู่ในวัง ถ้ามีคนแบกของหนักผ่านมา ท่านก็หลีกทางให้ มีคนบอกว่าหลีกให้เขาทำไม เขาเป็นคนงาน ท่านบอกไม่ได้ เขาทำงานหนัก คนทำงานเป็นคนมีเกียรติเสมอ หลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านเดินทางไปใต้ ท่านนั่งรอรถไฟอยู่ คนงานที่กวาดทำความสะอาดอยู่ที่สถานีรถไฟ บ่นบอกว่า พวกนี้มาทำให้สกปรก ทิ้งข้าวทิ้งของเต็มไปหมด น่าเบื่อหน่าย หลวงพ่อก็ถามว่า โยม เขาจ้างโยมมาทำอะไร เขาตอบว่า มาทำความสะอาด หลวงพ่อก็บอกว่า แล้วถ้าพวกนี้เขาไม่มาทำสกปรกไว้ เขาจะจ้างโยมมาทำงานไหม นี่ท่านจี้จุดดี ทำให้เขาระลึกถึงเรื่องนี้ได้ ท่านปัญญา สมัยที่ไปพม่ากับท่านโลกนาถ ไปขอพักที่วัดพระไทยด้วยกันไม่ให้พัก เลยไปพักที่วัดพระจีน พระจีนต้อนรับดี ที่หลับที่นอนดี ตื่นเช้ามาเลี้ยงข้าวต้มดี พอจะลากลับ ท่านยกมือไหว้ เพื่อนพระด้วยกันบอก อ้าว ไหว้ได้ยังไง เขาเป็นพระจีน ท่านบอกว่า ไม่ได้ไหว้พระจีน ไหว้คุณธรรมของท่าน พระไทย ไม่ให้พักเลย อย่าว่าแต่จะเลี้ยงข้าวต้ม ท่านปัญญาท่านมีคำพูดที่คมๆ เวลามีอะไรเกิดขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เห็นแล้วอ่าน ผมคิดว่าดีจึงนำมาฝากครับ / pasta ::014:: :VOV: หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2011, 08:43:36 PM ขอบคุณครับน้าอรรถ + ::002::
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: Sticker ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2011, 08:49:00 PM ::014:: ::002:: ::002::
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: รักปืน-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2011, 08:51:50 PM ขอบคุณครับ+ ::002::
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: อนัตตา ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2011, 10:13:37 PM คำพูดของคนฆ่าคนได้ง่ายยิ่งกว่าหอกดาบมีดปืน พระพุทธองค์ท่านจึงกำหนดให้เป็นหนึ่งในกรรมที่ควรละเว้นคือวจีกรรม ::014::
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2011, 05:09:00 AM ขอบคุณครับน้าอรรถ + ::002:: ::014:: ::002:: ::002:: ขอบคุณครับ+ ::002:: คำพูดของคนฆ่าคนได้ง่ายยิ่งกว่าหอกดาบมีดปืน พระพุทธองค์ท่านจึงกำหนดให้เป็นหนึ่งในกรรมที่ควรละเว้นคือวจีกรรม ::014:: ขอบคุณครับผม ::014:: หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 06:38:18 PM ดีครับ ;D ;D ;D ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: ณัฏฐ์ ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 06:45:26 PM ขอบคุณครับกับบทความที่ดีมีประโยนช์ + ครับ
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: sig_surath7171 ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 08:25:34 PM อนติมานี แปลว่า ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น กระด้างก็จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอะไร ท่านเปรียบเอาไว้อย่างนั้น กิริยาที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเครื่องหมายที่บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจที่ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่าเวลาโกรธ จิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิด ปกติไป หยาบขึ้น ถ้าจิตใจราบเรียบ ก็จะอ่อนโยนอ่อนหวาน คือ ไม่มีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถูก ดูแคลนผู้อื่น ในเรื่องอริยวังสะ ปฏิปทา ปฏิปทาของผู้ที่เดินตามอริยวงศ์ มี 4 ข้อ คือ 1. สันโดษด้วยอาหาร ถ้าเป็นพระก็คืออาหารบิณฑบาต ถ้าเป็นฆราวาส ก็คืออาหารทั่วไป 2. สันโดษในจีวร หรือเสื้อผ้า 3. สันโดษในที่อยู่อาศัย หรือเสนาสนะ 4. ยินดีในภาวนา ตอนสุดท้าย ท่านจะบอกไว้ทุกข้อว่า แม้จะเป็นผู้สันโดษอย่างนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน เมื่อได้ก็ไม่หมกมุ่น ไม่ติดอยู่ในปัจจัยที่ได้นั้น และไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะคุณธรรมอันนั้น เนวตฺตานุกฺกํเสติ โน ปรํ วมฺเภติ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่ออกไปบิณฑบาต แล้วก็ได้บิณฑบาตเต็มบาตร ยังได้รับนิมนต์วันรุ่งขึ้นอีก กลับมาวัดก็มาดูหมิ่นภิกษุที่มีลาภน้อย มีอาหารน้อย ไม่เหมือนตัว พระพุทธเจ้าก็เปรียบว่าเหมือนแมลงกุดจิขี้ ที่มันกินอุจจาระจนเต็มท้อง แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆหอบติดหน้าท้องไว้อีก ไปไหนก็หอบไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแสดงเพื่อไม่ให้ภิกษุหรือใครก็ตาม ที่จะยกตนข่มผู้อื่นหรือดูหมิ่นผู้อื่น เป็นข้อหนึ่งในสันตบท หรือธรรมที่เป็นไปเพื่อสันตบท เพื่อจะไม่ดูหมิ่นผู้อื่น แม้ในคุณสมบัติที่ตนมี ไม่ต้องพูดถึงไม่มีคุณสมบัติ มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วยคือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้ อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ชาติํ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณญฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆบ้างมันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น อาจารย์ทองขาวเล่าว่า มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วยคือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้ อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ชาติํ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณญฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆบ้างมันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น อาจารย์ทองขาวเล่าว่า มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด ถ้าเธอเห็นคหบดีมั่งคั่งสมบูรณ์ เห็นพระราชามหากษัตริย์ เห็นใครต่อใคร ขอให้คิดว่าอย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ถ้าไปเห็นคนยากจนเข็ญใจ คนทุพพลภาพ กำพร้ายากจน ก็ให้นึกว่าอย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว โดยที่สุดแม้จะไปเห็นสุนัขขี้เรื้อน อย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว มันเพื่อนเก่าเราทั้งนั้น ข้างบนข้างต่ำเราเคยเป็นมาแล้ว ก็เลยไม่ริษยาและก็ไม่ดูหมิ่นดูถูกใคร อาจารย์ทองขาวเล่าว่า ได้ทราบว่า สมเด็จพระ พุทธาจารย์โตท่านเดินไปผ่านเจอสุนัขนอนขวางทาง ท่านบอกว่าพ่อเจ้าประคุณเอ๊ยขอลูกผ่านไปหน่อยเถอะ คนก็ว่า เอ้า ทำไมไปทำอย่างนั้นล่ะ ท่านก็บอกว่า ไม่แน่หมาตัวนี้อาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ นี่ก็แสดงว่าท่านก็ไม่มีอติมานะ มีอยู่คราวหนึ่ง ที่วัดของท่าน ตอนเย็นๆก็จะเตะตะกร้อ ชาวบ้านไปฟ้องท่านก็เฉย มาวันหนึ่ง ท่านเข้าวังได้จีวรผ้าไหมมา ตอนเย็นท่านก็เอาผ้าไตรใส่พานไปไว้กลางวงตะกร้อเลย แล้วกราบ บอกว่าโอ๊ย พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย เตะตะกร้อสวยเหลือเกิน ลูกไม่มีอะไรจะให้รางวัล ขอถวายไตร ตั้งแต่นั้นพระเลิกเตะตะกร้อเลย นี่คือเอาชนะด้วยอุบาย บางคนก็ดูถูกคนยากคนจน เห็นคนจนก็เหยียดหยาม ถ้าคนที่คิดเป็น เขาก็จะคิดว่าเขาอาจมีดี มีความพยายามเหนือเราก็ได้ แต่เนื่องจากเขาทำงานทีหลัง หรือไม่มีมรดกจากบรรพบุรุษก็ได้ ฉะนั้นเขาก็ยังยากจนอยู่ คิดได้อย่างนี้ก็ไม่ดูถูกคนจน ยิ่งรวยนี่คนจนเป็นฐานให้เขา ได้อาศัยแรงงานคนจนเป็นฐานให้ทำอะไรต่ออะไรได้ ถ้าคนรวยเท่าเขาหมดแล้ว จะไปจ้างใคร ถ้าคิดเป็นจะมองอะไรได้เห็นชัด ปัญหาอยู่ตรงที่คิดไม่ออกเพราะกิเลสตัวนี้มันปิดหูปิดตาหมด บางคนเกิดมาสวย ก็หลงตัวเองแล้วก็ดูหมิ่นคนขี้เหร่ แต่ถ้าเขาคิดเป็น เขาต้องคิดว่า เออ คนขี้เหร่ดี มันทำให้เราดูสวยยิ่งขึ้น และเขาก็อาจมีคุณสมบัติอื่นๆเหนือเราก็ได้ มันอยู่ที่ความคิดเป็น ถ้าคิดเป็นแล้ว กิเลสตัวนี้จะลดลงได้ง่าย เพราะในสังคมเราต้องมีคนทุกจำพวก คนกวาดถนน คนขนขยะ ทำอะไรทุกอย่าง คนขับรถเมล์ คนขับแท็กซี่ คนเป็นนายกฯ ต้องหลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะไปอยู่ตรงไหน เท่านั้นเอง แต่ว่าทุกคนก็ทำหน้าที่ให้สังคมนี้อยู่ได้ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ ถ้าเขาทำหน้าที่ได้ดีที่สุด อันนั้นแหละคือเกียรติของเขา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสรุปเอาไว้ว่า คนจะดีหรือเลวเพราะชาติตระกูลก็หามิได้ คนจะดีหรือเลวก็เพราะการกระทำของตน น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ ชาติตระกูลก็เหมือนกัน บางคนก็เกิดในตระกูลต่ำ แต่ว่าเขาเป็นบุคคลอาชาไนยได้ เหมือนไฟที่เกิดจากเชื้อที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น การคิดเป็น และการไม่ดูหมิ่นผู้อื่นจึงสำคัญ ในสมัยพุทธกาล พระอุบาลีก็เป็นช่างตัดผม ท่านราธะก็เป็นคนยากจน พระยสะก็เป็นลูกเศรษฐี แต่เข้ามาบวชแล้วก็กลมกลืนกัน ท่านไม่มีความรังเกียจกันว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น เข้ามาบวชแล้วละลายพฤติกรรมหมด ท่านเข้าถึงหัวใจของ พุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าเองก็ต้องการปกครองสงฆ์ให้เป็นแบบอย่างของสังคม เป็นสังคมตัวอย่าง จึงไม่ให้มีวรรณะ เหลือแต่ความเป็นสมณศากยบุตร ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เกียรติของมนุษย์เป็นสิ่งที่สูงสุดซึ่งใครจะเหยียดหยามไม่ได้ อย่างคนที่ไม่มีอะไรเลย ขี้เมาหยำเป โดยคุณธรรมแล้วเขาไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าลองไปขับรถชนเขาเข้าสิกฎหมายเอาเรื่อง ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหนือเชื้อชาติ เหนือสิ่งอื่นใดก็มีความเป็นมนุษย์ ต้องให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ ถึงเขาจะเป็นอะไรไม่เป็นอะไร แต่ศักดิ์ศรีที่เขามีอยู่ ก็คือความเป็นมนุษย์ ปัจจุบัน มีคำว่าสิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด แต่ทางพุทธเรากว้างกว่านั้นอีก คือเวลาแผ่เมตตา จิตจะแผ่กว้างออกไปถึงสัตว์โลกทุกชนิด บอกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราแผ่ออกไปจนถึงสัตว์ทุกชนิดทุกจำพวก ไม่ควรจะเบียดเบียนกัน ให้อยู่เป็นสุข ในกรณียเมตตสูตร มีอยู่ตอนหนึ่งที่พูดเอาไว้ดีที่ว่า น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติ มญฺเญถ กตฺถจิ นํ กิญฺจิ คนอื่นไม่ควรจะข่มเหงคนอื่นในที่ใดๆเลย พฺยาโรสนา ปฏิฆสญฺญา นาญฺญฺมสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยย ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่ผู้อื่น เพราะความโกรธ ความเคียดแค้นชิงชัง ฉะนั้น เราควรจะสวดเมตตสูตรกัน จะทำให้เรามองเห็นคนอื่นมีคุณค่าเหมือนกันหมด เราใช้คำว่าสัตว์ทั้งหลาย คือทั้งหมดใน 31 ภูมิ ตัวเองรักสุขเกลียดทุกอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น ก็ไม่ควรจะไปรังเกียจรังแกทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติตามฐานะของเขา เช่น มีคนใช้อยู่ในบ้าน ก็ให้เกียรติตามฐานะของเขา ไม่ใช่จะไปยกมือไหว้เขา แต่ว่าเราให้เกียรติที่เขาเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าให้ ให้ทานโดยเคารพ แม้แต่ให้กับสัตว์เดรัจฉาน ก็ให้ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ด้วยความเอื้ออาทร ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา ไม่ใช่ต้องไปเคารพสุนัขอะไรทำนองนั้น ให้โดยเคารพ คือว่ามีจิตใจอ่อนโยน เอื้ออาทรต่อมัน ให้โดยเคารพคือให้ด้วยเมตตา เอื้ออาทรว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน มีนายทหารหญิงคนหนึ่ง ตอนเช้าหุงข้าวใส่ถุงมาเต็มเลย ขับรถมาเผื่อจะเจอสุนัขที่ไหนบ้าง ถ้าเจอก็จอดรถเอาข้าวไปให้กิน แสดงว่าใจดี ใจถึง ทำได้ยาก นานๆจะมีสักคน นโปเลียนเป็นคนที่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์มากเลย ท่านอาจจะมาจากระดับต่ำ ท่านเข้าใจมนุษย์ดีพอสมควร ท่านจะให้เกียรติคนที่ทำงานหนัก พวกกรรมกร เป็นต้น ไปเยี่ยมโรงงานก่อนจะกลับ ท่านจะโค้งให้คนงานเป็นการอำลา หรือแม้เวลาเดินอยู่ในวัง ถ้ามีคนแบกของหนักผ่านมา ท่านก็หลีกทางให้ มีคนบอกว่าหลีกให้เขาทำไม เขาเป็นคนงาน ท่านบอกไม่ได้ เขาทำงานหนัก คนทำงานเป็นคนมีเกียรติเสมอ หลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านเดินทางไปใต้ ท่านนั่งรอรถไฟอยู่ คนงานที่กวาดทำความสะอาดอยู่ที่สถานีรถไฟ บ่นบอกว่า พวกนี้มาทำให้สกปรก ทิ้งข้าวทิ้งของเต็มไปหมด น่าเบื่อหน่าย หลวงพ่อก็ถามว่า โยม เขาจ้างโยมมาทำอะไร เขาตอบว่า มาทำความสะอาด หลวงพ่อก็บอกว่า แล้วถ้าพวกนี้เขาไม่มาทำสกปรกไว้ เขาจะจ้างโยมมาทำงานไหม นี่ท่านจี้จุดดี ทำให้เขาระลึกถึงเรื่องนี้ได้ ท่านปัญญา สมัยที่ไปพม่ากับท่านโลกนาถ ไปขอพักที่วัดพระไทยด้วยกันไม่ให้พัก เลยไปพักที่วัดพระจีน พระจีนต้อนรับดี ที่หลับที่นอนดี ตื่นเช้ามาเลี้ยงข้าวต้มดี พอจะลากลับ ท่านยกมือไหว้ เพื่อนพระด้วยกันบอก อ้าว ไหว้ได้ยังไง เขาเป็นพระจีน ท่านบอกว่า ไม่ได้ไหว้พระจีน ไหว้คุณธรรมของท่าน พระไทย ไม่ให้พักเลย อย่าว่าแต่จะเลี้ยงข้าวต้ม ท่านปัญญาท่านมีคำพูดที่คมๆ เวลามีอะไรเกิดขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เห็นแล้วอ่าน ผมคิดว่าดีจึงนำมาฝากครับ / pasta ::014:: :VOV: +1 ขอบคุณครับคุณ Pasta ที่เตือนสติ โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ ''ฆ่าความโกรธได้ ก็อยู่เป็นสุข'' ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน พยายามชนะใจตนเองอยู่ครับ ยังคงร้อนแต่ไม่เย็น แค่ร้อนน้อยลงกว่าแต่ก่อนพอสมควร หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 08:44:55 PM ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: M 60 - 7 รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 10:26:24 PM ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: chatphisit ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 10:39:18 PM ::014:: +1 ด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2011, 11:43:37 PM ดีครับ ;D ;D ;D ขอบคุณมาก ขอบคุณครับกับบทความที่ดีมีประโยนช์ + ครับ อนติมานี แปลว่า ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น กระด้างก็จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอะไร ท่านเปรียบเอาไว้อย่างนั้น กิริยาที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเครื่องหมายที่บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจที่ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่าเวลาโกรธ จิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิด ปกติไป หยาบขึ้น ถ้าจิตใจราบเรียบ ก็จะอ่อนโยนอ่อนหวาน คือ ไม่มีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถูก ดูแคลนผู้อื่น ในเรื่องอริยวังสะ ปฏิปทา ปฏิปทาของผู้ที่เดินตามอริยวงศ์ มี 4 ข้อ คือ 1. สันโดษด้วยอาหาร ถ้าเป็นพระก็คืออาหารบิณฑบาต ถ้าเป็นฆราวาส ก็คืออาหารทั่วไป 2. สันโดษในจีวร หรือเสื้อผ้า 3. สันโดษในที่อยู่อาศัย หรือเสนาสนะ 4. ยินดีในภาวนา ตอนสุดท้าย ท่านจะบอกไว้ทุกข้อว่า แม้จะเป็นผู้สันโดษอย่างนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน เมื่อได้ก็ไม่หมกมุ่น ไม่ติดอยู่ในปัจจัยที่ได้นั้น และไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะคุณธรรมอันนั้น เนวตฺตานุกฺกํเสติ โน ปรํ วมฺเภติ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่ออกไปบิณฑบาต แล้วก็ได้บิณฑบาตเต็มบาตร ยังได้รับนิมนต์วันรุ่งขึ้นอีก กลับมาวัดก็มาดูหมิ่นภิกษุที่มีลาภน้อย มีอาหารน้อย ไม่เหมือนตัว พระพุทธเจ้าก็เปรียบว่าเหมือนแมลงกุดจิขี้ ที่มันกินอุจจาระจนเต็มท้อง แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆหอบติดหน้าท้องไว้อีก ไปไหนก็หอบไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแสดงเพื่อไม่ให้ภิกษุหรือใครก็ตาม ที่จะยกตนข่มผู้อื่นหรือดูหมิ่นผู้อื่น เป็นข้อหนึ่งในสันตบท หรือธรรมที่เป็นไปเพื่อสันตบท เพื่อจะไม่ดูหมิ่นผู้อื่น แม้ในคุณสมบัติที่ตนมี ไม่ต้องพูดถึงไม่มีคุณสมบัติ มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วยคือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้ อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ชาติํ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณญฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆบ้างมันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น อาจารย์ทองขาวเล่าว่า มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนที่เห็นคนไม่เป็นคนใช่คนไม่ ก็คือว่าเมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วยคือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วย บางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้ อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะว่าเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา ชาติํ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย จรณญฺจ ปุจฺฉ ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆบ้างมันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น อาจารย์ทองขาวเล่าว่า มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ 5 ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด ถ้าเธอเห็นคหบดีมั่งคั่งสมบูรณ์ เห็นพระราชามหากษัตริย์ เห็นใครต่อใคร ขอให้คิดว่าอย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ถ้าไปเห็นคนยากจนเข็ญใจ คนทุพพลภาพ กำพร้ายากจน ก็ให้นึกว่าอย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว โดยที่สุดแม้จะไปเห็นสุนัขขี้เรื้อน อย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว มันเพื่อนเก่าเราทั้งนั้น ข้างบนข้างต่ำเราเคยเป็นมาแล้ว ก็เลยไม่ริษยาและก็ไม่ดูหมิ่นดูถูกใคร อาจารย์ทองขาวเล่าว่า ได้ทราบว่า สมเด็จพระ พุทธาจารย์โตท่านเดินไปผ่านเจอสุนัขนอนขวางทาง ท่านบอกว่าพ่อเจ้าประคุณเอ๊ยขอลูกผ่านไปหน่อยเถอะ คนก็ว่า เอ้า ทำไมไปทำอย่างนั้นล่ะ ท่านก็บอกว่า ไม่แน่หมาตัวนี้อาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้ นี่ก็แสดงว่าท่านก็ไม่มีอติมานะ มีอยู่คราวหนึ่ง ที่วัดของท่าน ตอนเย็นๆก็จะเตะตะกร้อ ชาวบ้านไปฟ้องท่านก็เฉย มาวันหนึ่ง ท่านเข้าวังได้จีวรผ้าไหมมา ตอนเย็นท่านก็เอาผ้าไตรใส่พานไปไว้กลางวงตะกร้อเลย แล้วกราบ บอกว่าโอ๊ย พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย เตะตะกร้อสวยเหลือเกิน ลูกไม่มีอะไรจะให้รางวัล ขอถวายไตร ตั้งแต่นั้นพระเลิกเตะตะกร้อเลย นี่คือเอาชนะด้วยอุบาย บางคนก็ดูถูกคนยากคนจน เห็นคนจนก็เหยียดหยาม ถ้าคนที่คิดเป็น เขาก็จะคิดว่าเขาอาจมีดี มีความพยายามเหนือเราก็ได้ แต่เนื่องจากเขาทำงานทีหลัง หรือไม่มีมรดกจากบรรพบุรุษก็ได้ ฉะนั้นเขาก็ยังยากจนอยู่ คิดได้อย่างนี้ก็ไม่ดูถูกคนจน ยิ่งรวยนี่คนจนเป็นฐานให้เขา ได้อาศัยแรงงานคนจนเป็นฐานให้ทำอะไรต่ออะไรได้ ถ้าคนรวยเท่าเขาหมดแล้ว จะไปจ้างใคร ถ้าคิดเป็นจะมองอะไรได้เห็นชัด ปัญหาอยู่ตรงที่คิดไม่ออกเพราะกิเลสตัวนี้มันปิดหูปิดตาหมด บางคนเกิดมาสวย ก็หลงตัวเองแล้วก็ดูหมิ่นคนขี้เหร่ แต่ถ้าเขาคิดเป็น เขาต้องคิดว่า เออ คนขี้เหร่ดี มันทำให้เราดูสวยยิ่งขึ้น และเขาก็อาจมีคุณสมบัติอื่นๆเหนือเราก็ได้ มันอยู่ที่ความคิดเป็น ถ้าคิดเป็นแล้ว กิเลสตัวนี้จะลดลงได้ง่าย เพราะในสังคมเราต้องมีคนทุกจำพวก คนกวาดถนน คนขนขยะ ทำอะไรทุกอย่าง คนขับรถเมล์ คนขับแท็กซี่ คนเป็นนายกฯ ต้องหลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะไปอยู่ตรงไหน เท่านั้นเอง แต่ว่าทุกคนก็ทำหน้าที่ให้สังคมนี้อยู่ได้ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ ถ้าเขาทำหน้าที่ได้ดีที่สุด อันนั้นแหละคือเกียรติของเขา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสรุปเอาไว้ว่า คนจะดีหรือเลวเพราะชาติตระกูลก็หามิได้ คนจะดีหรือเลวก็เพราะการกระทำของตน น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ ชาติตระกูลก็เหมือนกัน บางคนก็เกิดในตระกูลต่ำ แต่ว่าเขาเป็นบุคคลอาชาไนยได้ เหมือนไฟที่เกิดจากเชื้อที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น การคิดเป็น และการไม่ดูหมิ่นผู้อื่นจึงสำคัญ ในสมัยพุทธกาล พระอุบาลีก็เป็นช่างตัดผม ท่านราธะก็เป็นคนยากจน พระยสะก็เป็นลูกเศรษฐี แต่เข้ามาบวชแล้วก็กลมกลืนกัน ท่านไม่มีความรังเกียจกันว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น เข้ามาบวชแล้วละลายพฤติกรรมหมด ท่านเข้าถึงหัวใจของ พุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าเองก็ต้องการปกครองสงฆ์ให้เป็นแบบอย่างของสังคม เป็นสังคมตัวอย่าง จึงไม่ให้มีวรรณะ เหลือแต่ความเป็นสมณศากยบุตร ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เกียรติของมนุษย์เป็นสิ่งที่สูงสุดซึ่งใครจะเหยียดหยามไม่ได้ อย่างคนที่ไม่มีอะไรเลย ขี้เมาหยำเป โดยคุณธรรมแล้วเขาไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าลองไปขับรถชนเขาเข้าสิกฎหมายเอาเรื่อง ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหนือเชื้อชาติ เหนือสิ่งอื่นใดก็มีความเป็นมนุษย์ ต้องให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ ถึงเขาจะเป็นอะไรไม่เป็นอะไร แต่ศักดิ์ศรีที่เขามีอยู่ ก็คือความเป็นมนุษย์ ปัจจุบัน มีคำว่าสิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด แต่ทางพุทธเรากว้างกว่านั้นอีก คือเวลาแผ่เมตตา จิตจะแผ่กว้างออกไปถึงสัตว์โลกทุกชนิด บอกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราแผ่ออกไปจนถึงสัตว์ทุกชนิดทุกจำพวก ไม่ควรจะเบียดเบียนกัน ให้อยู่เป็นสุข ในกรณียเมตตสูตร มีอยู่ตอนหนึ่งที่พูดเอาไว้ดีที่ว่า น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติ มญฺเญถ กตฺถจิ นํ กิญฺจิ คนอื่นไม่ควรจะข่มเหงคนอื่นในที่ใดๆเลย พฺยาโรสนา ปฏิฆสญฺญา นาญฺญฺมสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยย ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่ผู้อื่น เพราะความโกรธ ความเคียดแค้นชิงชัง ฉะนั้น เราควรจะสวดเมตตสูตรกัน จะทำให้เรามองเห็นคนอื่นมีคุณค่าเหมือนกันหมด เราใช้คำว่าสัตว์ทั้งหลาย คือทั้งหมดใน 31 ภูมิ ตัวเองรักสุขเกลียดทุกอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น ก็ไม่ควรจะไปรังเกียจรังแกทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติตามฐานะของเขา เช่น มีคนใช้อยู่ในบ้าน ก็ให้เกียรติตามฐานะของเขา ไม่ใช่จะไปยกมือไหว้เขา แต่ว่าเราให้เกียรติที่เขาเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าให้ ให้ทานโดยเคารพ แม้แต่ให้กับสัตว์เดรัจฉาน ก็ให้ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ด้วยความเอื้ออาทร ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา ไม่ใช่ต้องไปเคารพสุนัขอะไรทำนองนั้น ให้โดยเคารพ คือว่ามีจิตใจอ่อนโยน เอื้ออาทรต่อมัน ให้โดยเคารพคือให้ด้วยเมตตา เอื้ออาทรว่าเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน มีนายทหารหญิงคนหนึ่ง ตอนเช้าหุงข้าวใส่ถุงมาเต็มเลย ขับรถมาเผื่อจะเจอสุนัขที่ไหนบ้าง ถ้าเจอก็จอดรถเอาข้าวไปให้กิน แสดงว่าใจดี ใจถึง ทำได้ยาก นานๆจะมีสักคน นโปเลียนเป็นคนที่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์มากเลย ท่านอาจจะมาจากระดับต่ำ ท่านเข้าใจมนุษย์ดีพอสมควร ท่านจะให้เกียรติคนที่ทำงานหนัก พวกกรรมกร เป็นต้น ไปเยี่ยมโรงงานก่อนจะกลับ ท่านจะโค้งให้คนงานเป็นการอำลา หรือแม้เวลาเดินอยู่ในวัง ถ้ามีคนแบกของหนักผ่านมา ท่านก็หลีกทางให้ มีคนบอกว่าหลีกให้เขาทำไม เขาเป็นคนงาน ท่านบอกไม่ได้ เขาทำงานหนัก คนทำงานเป็นคนมีเกียรติเสมอ หลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านเดินทางไปใต้ ท่านนั่งรอรถไฟอยู่ คนงานที่กวาดทำความสะอาดอยู่ที่สถานีรถไฟ บ่นบอกว่า พวกนี้มาทำให้สกปรก ทิ้งข้าวทิ้งของเต็มไปหมด น่าเบื่อหน่าย หลวงพ่อก็ถามว่า โยม เขาจ้างโยมมาทำอะไร เขาตอบว่า มาทำความสะอาด หลวงพ่อก็บอกว่า แล้วถ้าพวกนี้เขาไม่มาทำสกปรกไว้ เขาจะจ้างโยมมาทำงานไหม นี่ท่านจี้จุดดี ทำให้เขาระลึกถึงเรื่องนี้ได้ ท่านปัญญา สมัยที่ไปพม่ากับท่านโลกนาถ ไปขอพักที่วัดพระไทยด้วยกันไม่ให้พัก เลยไปพักที่วัดพระจีน พระจีนต้อนรับดี ที่หลับที่นอนดี ตื่นเช้ามาเลี้ยงข้าวต้มดี พอจะลากลับ ท่านยกมือไหว้ เพื่อนพระด้วยกันบอก อ้าว ไหว้ได้ยังไง เขาเป็นพระจีน ท่านบอกว่า ไม่ได้ไหว้พระจีน ไหว้คุณธรรมของท่าน พระไทย ไม่ให้พักเลย อย่าว่าแต่จะเลี้ยงข้าวต้ม ท่านปัญญาท่านมีคำพูดที่คมๆ เวลามีอะไรเกิดขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เห็นแล้วอ่าน ผมคิดว่าดีจึงนำมาฝากครับ / pasta ::014:: :VOV: +1 ขอบคุณครับคุณ Pasta ที่เตือนสติ โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ ''ฆ่าความโกรธได้ ก็อยู่เป็นสุข'' ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน พยายามชนะใจตนเองอยู่ครับ ยังคงร้อนแต่ไม่เย็น แค่ร้อนน้อยลงกว่าแต่ก่อนพอสมควร ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ::014:: +1 ด้วยคนครับ ขอบคุณครับผม ::014:: หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: RMAY ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2011, 08:31:53 AM ขอบคุณครับ ::014::+1ครับ
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: Ro@d - รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2011, 01:50:50 PM อนติมานี แปลว่า ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น
กระด้างก็จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอะไร ท่านเปรียบเอาไว้อย่างนั้น กิริยา ที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเครื่องหมายที่บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจที่ ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่าเวลาโกรธ จิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิด ปกติไป หยาบขึ้น ถ้าจิตใจราบเรียบ ก็จะอ่อนโยนอ่อนหวาน คือ ไม่มีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถูก ดูแคลนผู้อื่น + แต้ม ๓๔๐ ให้ ครับ. :D หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: dignitua-รักในหลวง ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2011, 02:52:10 PM ผมแอบอ่านข้อความดีของคุณอรรถมาโดยตลอด ขออนุญาติ +1 ครับ.. ::002::
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2011, 05:35:01 PM ขอบคุณครับ ::014::+1ครับ อนติมานี แปลว่า ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น กระด้างก็จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีอะไร ท่านเปรียบเอาไว้อย่างนั้น กิริยา ที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเครื่องหมายที่บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจที่ ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่าเวลาโกรธ จิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิด ปกติไป หยาบขึ้น ถ้าจิตใจราบเรียบ ก็จะอ่อนโยนอ่อนหวาน คือ ไม่มีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถูก ดูแคลนผู้อื่น + แต้ม ๓๔๐ ให้ ครับ. :D ขอบคุณครับอาศักดา ::014:: กราบขอบคุณครับพี่ Ro@d ::014:: หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2011, 05:36:17 PM ผมแอบอ่านข้อความดีของคุณอรรถมาโดยตลอด ขออนุญาติ +1 ครับ.. ::002:: ขอบคุณครับคุณตั๊ว ::014::หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: ลุมพินี08 ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2011, 09:53:14 AM +1 ครับ Pasta
หัวข้อ: Re: + + + ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น + + + เริ่มหัวข้อโดย: pasta ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2011, 05:31:22 PM |