มาฆบูชา กับความป่วยไข้ของชาวพุทธ โดยท่านขุนน้อย ไทยโพส
http://www.thaipost.net/news/250213/70074จันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์...ตรงกับวัน มาฆบูชา อันถือเป็นวันสำคัญทางศาสนาของ ชาวพุทธ โดยทั่วไป ส่วนบรรดา ชาวพระ ที่อาศัยร่มเงาศาสนาพุทธมาโดยตลอด จะมีส่วนช่วยสนับสนุน ส่งเสริม หรือกลับมีส่วนล้างผลาญ ทำลาย เบียดเบียน หรือบิดเบือนพระศาสนา หรือไม่ อย่างไร นั่นคงถือเป็นเรื่องของ เจ้ากู หรือ เจ้ามึง ต้องไปว่ากันเอาเอง...
-------------------------------------------
แม้ว่าโดยเนื้อแท้ หรือโดยตัวของพระศาสนานั้น จะอยู่ยง คงทน ดำเนินต่อเนื่องมาโดยตลอด 2,500 กว่าปี ชนิดไม่เคยได้ป่วย ได้ไข้ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับวันสำคัญทางศาสนาในปีนี้ บรรดาผู้รับใช้พระศาสนา หรือบรรดา ชาวพระ จำนวนไม่น้อย ชักจะออกอาการเจ็บไข้ ได้ป่วย ไปแล้ว หลายต่อ หลายราย จะด้วยเหตุอันเนื่องมาจาก การติดเชื้อไวรัสบางชนิด หรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ แต่เรียกว่า...หลายต่อ หลายราย
ออกอาการยับเยิน เพราะ พายับ พาให้ล้มป่วยกัน ระเนระนาด ไล่มาตั้งแต่ระดับยอดถึงฐาน ตั้งแต่ชั้นพระสังฆราชา ไปยันถึงชั้นพระครู เจ้าคุณ เจ้ากู ก็แทบไม่มีข้อยกเว้น...
-----------------------------------------
ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้...จึงถือเป็นเรื่องสอดคล้อง เหมาะสม เอามากๆ ที่สำนักสำรวจวิจัยความคิดเห็น อย่างเช่นสำนักนิด้าโพล ท่านไปหยิบเอาความคิด ความเห็น ของผู้คนที่มีต่อพระศาสนา มาใช้เป็นประเด็นในการสะท้อน ภาพอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เนื่องในวาระวันมาฆบูชา พอให้เกิดแง่มุม อันเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมได้บ้าง และจากผลสำรวจในหัวข้อ วันมาฆบูชาและศาสนากับชาวพุทธ จากกลุ่มตัวอย่างต่างๆ ได้ข้อสรุปออกมาว่า บรรดาผู้เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ โดยส่วนใหญ่ จำนวนถึง 67.64 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่ได้รับการสอบถาม คือผู้ที่ไม่ทราบเอาจริงๆ ว่า วันมาฆบูชานั้นมีความสำคัญ หรือมีเหตุการณ์สำคัญต่อพุทธศาสนา อย่างไรบ้าง...
-------------------------------------------
มีอยู่เพียง 32.36 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่พอทราบๆ อยู่บ้างว่า ในวันที่ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 เมื่อ 2,500 กว่าปีที่แล้ว เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ โดยมีพระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย อันเป็นพระสงฆ์ผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือเป็นพระภิกษุที่เรียกๆ กันว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา แต่ไม่ว่าสัดส่วนของผู้ที่ทราบ หรือผู้ที่ไม่ทราบ จะมีจำนวนแตกต่างกันไปในระดับไหน ที่แน่ๆ ก็คือ...ในจำนวนประมาณ 78.93 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสำรวจ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้คนในสังคมไทยที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ ในทุกวันนี้ โดยส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่ห่างไกลจากพระศาสนา และเหินห่างไปจากการปฏิบัติธรรม ยิ่งขึ้นทุกที...
----------------------------------------
แน่ล่ะว่า...ถ้าหากพฤติกรรมของผู้คนโดยส่วนใหญ่ในสังคมไทย เป็นไปอย่างที่ผู้ตอบแบบสำรวจ จำนวนถึงกว่า 78 เปอร์เซ็นต์ ได้สรุปเอาไว้จริงๆ สิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถนำไปใช้เป็นคำตอบ ให้กับคำถามในเรื่องอื่นๆ ได้อีกเยอะแยะ มากมาย ไม่ว่าเรื่องของการทุจริต ประพฤติมิชอบ ในวงการการเมือง ข้าราชการ วงการนักธุรกิจ นักวิชาการ ปัญญาชน สื่อมวลชน ฯลฯ ว่าเหตุใดมันถึงได้มีแต่เพิ่มขึ้นๆ อันเป็นเหตุให้ผู้คนในสังคมในแทบทุกแวดวงการ มีแต่เสื่อมลงๆ เพราะด้วยเหตุแห่งการห่างเหินจากศาสนา จากธรรมะนั้น สุดท้ายแล้ว...มันย่อมนำไปสู่ผลแห่งความเสื่อม ความวินาศ ในแต่ละชนิดได้เสมอๆ อย่างเช่นที่อภิมหาพระอย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยสรุปเอาไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ ประมาณว่า ศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาจะวินาศ นั่นเอง...
------------------------------------------
อย่างไรก็ตาม...ในขณะที่สำนักสำรวจวิจัยอย่างนิด้า ไปหยิบเอาเรื่องศาสนา เรื่องธรรมะ มาใช้เป็นประเด็น ในการสำรวจตรวจสอบอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้คน เนื่องในวันสำคัญทางศาสนาอย่างวันมาฆบูชา สำนักสำรวจวิจัยบางสำนัก อย่างเช่นสำนักสวนดุสิตโพล ของอาจารย์ สุขุม แสวงทรัพย์ หรือ เฉลยทรัพย์ ก็จำไม่ได้ถนัดซะแล้ว กลับถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่จะต้องออกสำรวจ ตรวจสอบ ความรู้สึกผู้คนในระยะนี้ ในประเด็นว่าด้วยเรื่อง ประชาชนคิดเห็นอย่างไรกรณีไฟจะดับในเดือนเมษายน เรียกว่า...ไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจ ในเรื่องพระ เรื่องเจ้า เรื่องศาสนา เรื่องธรรมะ กันอีกต่อไปแล้ว มุ่งโฟกัสไปที่อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้คนที่มีต่อรัฐบาล ว่าจะรู้สึกอย่างไร ต่อการที่รัฐบาลออกมากล่าวอ้างว่า ไฟฟ้าอาจจะตก หรืออาจจะดับ เพราะพม่าคิดจะหยุดส่งแก๊สมาให้ไทยปั่นไฟฟ้าในวันที่ 4-12 เมษายน จนต้องหันมารณรงค์ให้ผู้คน ช่วยๆ กันประหยัดพลังงาน ถึงขั้นต้องถอดเสื้อ ถอดผ้า ถอดสูท ให้เห็นเป็นตัวอย่าง...
------------------------------------------
และก็แน่ล่ะว่า...ลองขึ้นชื่อว่า
สวนดุสิตโพล ขึ้นชื่อว่า แสวงทรัพย์ หรือ เฉลยทรัพย์ ซะอย่าง!!! ผลสำรวจย่อมออกมาในแนวที่แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้งเอาไว้ทั้งคืน คือสรุปว่า ประชาชนส่วนใหญ่กว่า 43.45 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ต่างมีความเชื่อมั่น ศรัทธา อย่างสุดจิต สุดใจ ว่า ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลชุดนี้ ยังไงๆ ทุกสิ่ง ทุกอย่างคงไม่ถึงกับก่อให้เกิดความทุกข์ยาก เดือดร้อน อะไรมากมายนัก หรือเชื่อว่ารัฐบาล ย่อมสามารถที่จะควบคุม ดูแล สถานการณ์ต่างๆ เอาไว้ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ นี่...ต้องเรียกว่า ช่างเป็นผลสำรวจที่เหมาะสม สอดคล้อง กับสถานการณ์ขณะนี้ซะเหลือเกิน ได้ฟังข้อสรุปเช่นนี้แล้ว แทบอยากจะร้องเพลงออกมาว่า ลิ้นหนึ่งอย่างนี้...วจียังตามไม่ค่อยจะทัน หากมีร้อยจะให้ทั้งร้อยเสกสรร เพ้อรำพันเอ่ยคำว่าเลียร์เอย...อะไรประมาณนั้น...
----------------------------------------
เอาเป็นว่า...ภายใต้ภาวะที่ผู้คนในสังคมไทย ออกจะเหินห่างธรรมะ เหินห่างพระศาสนา ดังที่นิด้าโพลได้สรุปเอาไว้ ก็คงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่สำนักวิจัยอย่างดุสิตโพล จะผ่าเหล่า ผ่ากอ ออกมาในแนวนี้ และคงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เหมาะสม สอดคล้องกัน กับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง ที่คนดีๆ คนที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีธรรมะ มีจริยธรรม อย่างคุณ มานิจ สุขสมจิต ท่านตัดสินใจลาออก จากการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้ทันเวลา ไม่งั้นอาจต้องล้มป่วย ไม่ต่างอะไรไปจากพวกพระสงฆ์องคเจ้า ไม่รู้กี่รูป ต่อกี่รูป ที่ต่างพากันยับเยินในช่วงวันมาฆบูชา อันเนื่องมาจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกันนั่นแหละ จะเรียกว่าไวรัสสอพลอ หรือไวรัสอะไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันกำลังก่อให้เกิด ความเสื่อม แพร่ระบาดไปแทบทุกๆ วงการ...