http://www.deepsouthwatch.org/index.php?l=content&id=65ศูนย์เฝ้าระวังเชิงองค์ความรู้สถานการณ์ภาคใต้ (IDSW)
ตอนที่ 1.จากปล้นปืน สู่เสียงเพรียกหาปืนในสถานการณ์ใต้
"พวกเราต้องการปืน!"
สวัสดิ์ ยืนยง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 4 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย หนึ่งในแกนนำม็อบชาวไทยพุทธหน้าที่ว่าการอำเภอสะบ้าย้อย จ.สงขลากว่า 1 พันคนที่เดินทางมายื่นหนังสือให้ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและแก้ไขกรณีปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมาพูดเสียงดังฟังชัด
เขาบอกว่า ได้ยื่นข้อเรียกร้องไปจำนวน 6 ข้อ ประเด็นหลักคือเรื่องการคัดค้านไม่ให้ถอนกองกำลังทหารพรานและตำรวจตระเวนชายแดนที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในบ้านควนหรัน ซึ่งเกิดกรณีการยิงเด็กปอเนาะเมื่อคืนวันที่ 17 มีนาคม นอกจากนั้นข้อเรียกร้องส่วนใหญ่คือความต้องการให้ฝ่ายรัฐอำนวยความยุติธรรม รวมทั้งการบังคับใช้กฏหมายให้บังเกิดความเท่าเทียมกันระหว่างคนไทยนับถือศาสนาพุทธและอิสลาม
แต่ข้อเรียกร้องที่น่าสนใจคือข้อที่ 5 ที่ระบุว่าให้ทางราชการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันตนเองของชาวบ้านและข้อที่ 6 ที่มีเนื้อหาว่า ให้ความอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและผ่อนปรนในการพกพา
สวัสดิ์อธิบายว่าข้อที่ 5 นั้นเขาให้ทางราชการจัดซื้อจัดหาอาวุธมอบให้กับชาวบ้าน ส่วนข้อที่ 6 นั้นมีความหมายว่า ให้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนโดยถูกกฏหมาย ช่วยอำนวยความสะดวกในการฝึกซ้อมการใช้อาวุธปืนและผ่อนปรนทางข้อกฏหมาย อนุญาตให้ประชาชนสามารถพกพาอาวุธปืนได้
ผู้ใหญ่บ้านแกนนำม็อบให้ภาพว่า เหตุที่เขาต้องรวบรวมชาวบ้านขึ้นมาเรียกร้องแก่ทางการ นั่นก็เพราะประมวลจากความต้องการของชาวบ้านไทยพุทธในพื้นที่ซึ่งระบุตรงกันว่า มาตรการปราบปรามและเฝ้าระวังเหตุของเจ้าหน้าที่ยังคงหละหลวมอยู่ ในขณะที่การบังคับใช้กฎหมายก็ยังกระทำอย่างไม่เอาจริงเอาจัง ข้อพิสูจน์คือเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่ไม่ห่างกัน
เขาบอกว่าคนไทยพุทธเสียชีวิตมากกว่ามุสลิมหากเทียบตามสัดส่วนของประชากร แม้ตัวเลขการเสียชีวิตของชนทั้งสองศาสนิกมีอัตราใกล้เคียงกัน นั่นเป็นที่มาของข้อเรียกร้องการขออาวุธเพิ่มในการป้องกันตัวเองและอำนวยความสะดวกและผ่อนปรนในการขออนุญาตและพกพาอาวุธปืนแก่ "ผู้บริสุทธิ์"
ข้อเรียกร้องหาปืนของชาวไทยพุทธในอำเภอสะบ้าย้อย จึงเป็นสัญญาณล่าสุดที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายหันมาให้ความสนใจต่อ "เสียงเพรียกหาปืน" ของคนในพื้นที่กันอย่างจริงจังอีกครั้ง
เหตุการณ์ปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อค่ำคืนของวันที่ 4 มกราคม 2547 ทำให้ปืนกว่า 300 กระบอกในคลังแสงของค่ายปิเหล็งหายไป ทัศนะของรัฐต่อการปล้นปืนครั้งนั้นคือการเย้ยอำนาจรัฐอย่างใหญ่หลวงที่สุด นำไปสู่การนำกำลังทหารลงมาเพิ่มใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อตามล่าหาปืนที่ถูกปล้นไป กระทั่งปัญหาไฟใต้ได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่าไปเป็นจำนวนมาก นับเป็นปฐมบทของการปรับเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เน้นให้ประชาชนมีความเข้มแข้งปกป้องตนเองได้
ปืนจำนวนมากหลากชนิดถูกส่งลงมากระจายอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านนโยบายรัฐที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อเอื้อให้ประชาชนสามารถครอบครองและใช้อาวุธปืน อาทิโครงการสวัสดิการ โครงการจัดตั้งกองกำลังภาคประชาชน ฯลฯ รวมถึงการผ่อนปรนความเข้มงวดในการขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนสำหรับประชาชน
นาน 3 ปีอาวุธปืนจำนวนหลายสิบกระบอกถูกตามจนพบแต่ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปืนที่ถูกปล้น มีหลักฐานปรากฏว่าปืนบางกระบอกในจำนวนที่พบถูกนำไปใช้ในการก่อเหตุร้าย แต่ในขณะที่การก่อเหตุร้ายรายวันดำเนินไปอย่างเข้มข้น นอกจากการซุ่มยิงด้วยอาวุธปืนแล้ว การไล่ฟัน การวางระเบิด การเผา ก็กลายเป็นยุทธวิธีที่สำคัญของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ ปะทะกันระหว่างกองกำลังของฝ่ายรัฐและฝ่ายแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบยังเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง
การสูญเสียของประชาชน นับวันยิ่งทวีความรุนแรงและปริมาณความสูญเสียได้ก่อให้เกิดภาวะแห่งความหวาดกลัว และไม่มั่นใจว่าทหารและตำรวจจะปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของตนเองได้ ส่งผลให้ "เสียงเพรียกหาอาวุธปืน"เกิดขึ้นแทบทุกพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
กรณีของชาวบ้านไทยพุทธใน อ.สะบ้าย้อย นับเป็นกรณีศึกษาต่อเสียงเพรียกหาอาวุธปืนของประชาชนที่น่าสนใจ ที่ทำให้หลายฝ่ายอดเป็นห่วงต่อปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ เพราะชาวบ้านทั้งหมดรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคาม แต่กรณีการสังหารเด็กปอเนาะบำรุงศาสตร์ ที่บ้านควนหรัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้เคียงกัน พวกเขากลับไม่มีข้อมูลใดๆ เลย และต่างยอมรับว่า พวกเขาไม่กล้าที่จะเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุ และความรู้สึกลึกๆ เขาเชื่อว่าความรุนแรงทั้งหมดเกิดจากน้ำมือของคนมุสลิมด้วยกันเอง
ความต้องการต่ออาวุธปืนของชาวบ้านไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ได้ปรากฏชัดมานานแล้วในหลากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่มีคนไทยพุทธตั้งถิ่นฐานอยู่ หลังจากชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อของฝ่ายคนร้ายที่อยู่ในเงามืด หลังข้อเรียกร้องของชาวไทยพุทธใน อ.สะบ้าย้อย ก็มีเสียงตอบรับจากฝั่งรัฐว่าจะเพิ่มอาวุธปืนให้กับชาวบ้านใน 62 หมู่บ้านอีกว่าหนึ่งพันกระบอก จากเดิมที่มีอยู่แล้วประมาณ 900 กระบอกในจำนวนหมู่บ้านดังกล่าว
ชัดเจนว่าข้อเรียกร้องของชาวบ้านสะบ้าย้อยคือปรากฏการณ์ที่เป็นผลลัพท์ของภาวะความหวาดกลัว หวาดระแวง และความไม่ไว้เนื้อเชื่อมั่นต่อระบบการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตำรวจทหาร และยังเป็นผลที่บังเกิดขึ้นจากยุทธวิธี "สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว" ของฝ่ายแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ
แต่ในมุมของชาวบ้าน ความต้องการปืน ไม่ได้คำนึงถึงการตกหลุมพรางเป้าหมายของขบวนการความไม่สงบ เป็นความต้องการที่เกิดจากความเชื่อว่า อาวุธปืนคือที่พึ่งในยามที่ความเชื่อมั่นต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายรัฐลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย
ภาวะเช่นนี้ กำลังเป็นกระแสที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อสังคมไทยโดยรวมก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่า ฝ่ายรัฐควรจะกระจายอาวุธปืนจำนวนมากไปให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งของชาวไทยพุทธซึ่งเชื่อว่าเป็นเหยื่อโดยตรง สอดรับกับผลสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ที่ระบุว่า ชาวหาดใหญ่ซึ่งคยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในภาคใต้มาแล้วหลายครั้งต้องการให้รัฐบาลมอบปืนให้กับประชาชนใน 3 จังหวัด มากกว่านี้ เพื่อป้องกันตนเองและต่อกรกับฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตอนที่ 2. ปริมาณปืนชายแดนใต้ ดัชนีอำนาจรัฐ หรือชี้วัดความรุนแรง
การแพร่กระจายของอาวุธปืนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ พบว่ามีอยู่เป็นปริมาณมาก ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดปัตตานีจังหวัดเดียวระบุว่า มีปืนที่ถูกขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ทั้งปืนพกสั้นขนาด .38 ลงมาและปืนยาวประเภทลูกซอง มีมากกว่า 30,000 กระบอก
นี่เป็นสถิติเฉพาะของจังหวัดปัตตานีและเป็นปืนที่ขออนุญาตอย่างถูกกฏหมาย มีทะเบียนถูกต้อง ซึ่งไม่รวมอาวุธปืนอีกจำนวนมากของฝ่ายปราบปรามอย่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนได้โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากนายทะเบียน
รวมถึงอาวุธปืนที่ทางราชการมอบให้กับ "หน่วยจัดตั้ง" ในภาคประชาชน อาทิ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน (อรบ.) อาสาสมัครหมู่บ้าน (อสม.) ฯลฯ และ "กองกำลังพิเศษ" อื่นๆ ที่มีอีกมากมาย ที่ทางตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองได้จัดตั้งขึ้นตามความต้องการของแต่ละหน่วยงาน เพื่อช่วยเสริมกำลังในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่
ทางฟากจังหวัดนราธิวาส ซึ่งปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ข้อมูลจากสำนักงานปกครองจังหวัดระบุว่า มีตัวเลขจำนวนอาวุธปืนอยู่ในมือประชาชนขณะนี้มากกว่า 45,000 กระบอก ส่วนใหญ่เป็นปืนพกสั้น และสถิติที่ประชาชนมายื่นคำขอใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนยังสูงถึงเดือนละ 100 รายต่อเดือน ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับจำนวนอาวุธปืนถูกกฏหมายของจังหวัดยะลา
"ความต้องการปืนของประชาชนยังมีอยู่มาก แต่ปัญหาก็คือปัจจุบันราคาปืนค่อนข้างแพง ส่วนใหญ่คนที่มาขอใบอนุญาตจึงยังเป็นข้าราชการและผู้มีฐานะ หรือเป็นผู้นำท้องถิ่น ส่วนประชาชนทั่วไปยังมีอาวุธปืนอยู่น้อย ยิ่งในอำเภอรอบนอกที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นแทบทุกวันคนยิ่งไม่มีเงินไปซื้อหาอาวุธ เพราะเขาไม่มีเงิน ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ แต่ความต้องการของเขายังมีอยู่มาก" มะซอรี มะ เจ้าหน้าที่กองทะเบียนอาวุธปืน สำนักงานปกครองจังหวัดนราธิวาสกล่าว
จากข้อมูลดังกล่าว มะซอรียังแสดงความเห็นว่า จำนวนปืนในจังหวัดนราธิวาสจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ตราบใดที่ความไม่สงบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ และที่สำคัญคือ ตัวเลขนี้ไม่ได้รวมกับปืนที่ไม่มีทะเบียน หรือ "ปืนเถื่อน" ที่คาดว่า มีเป็นจำนวนมหาศาลที่ทะลักทะลายเข้ามาสู่มือของประชาชนทั้งฝ่ายผู้บริสุทธิ์และฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ
ดูเหมือนการยื่นขอใบอนุญาตเพื่อครอบครองอาวุธปืนจะเข้มงวด กวดขันเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ แต่กรณีของประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาจมีกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากนั้น เมื่อแหล่งข่าวจากสำนักงานปกครองจังหวัดปัตตานีรายหนึ่งระบุว่า "เดี๋ยวนี้ใครขอก็ได้เกือบหมด"
เขาระบุเหตุผลว่า ในสถานการณ์ความรุนแรงที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อล้มตายมากมาย อำนาจรัฐไม่สามารถปกป้องคุ้มครองประชาชนได้ ปืนจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ต้องเลือกใช้ปกป้องคุ้มครองตนเอง แม้จะรู้ว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธจะใช้ได้ไม่ดีเท่ากับเจ้าหน้าที่และฝ่ายคนร้าย แต่หากมีปืนอยู่ข้างๆ ก็จะรู้สึกอุ่นใจ
ในขณะที่ นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีก็ยอมรับว่าทางรัฐไม่ได้อิดออด ถ้าประชาชนจะขอ(ปืน) มา เพราะว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องการความปลอดภัยของตนเองและครอบครัวเป็นอันดับแรก เพราะสถานการณ์รุนแรงขึ้น ปืนคือความต้องการเป็นอันดับแรก
แต่สำหรับการควบคุมอาวุธปืนมิให้นำไปใช้ในทางที่ผิด ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีระบุว่า ทางฝ่ายปกครองมีมาตรการควบคุมจำนวนกระสุนปืน และจะมีการบันทึกตัวเลขกระสุนสำหรับผู้ที่ครอบครองอยู่แล้ว
เขาบอกว่าถ้าประชาชนอยากได้ปืน ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายอำเภอ แต่หากทำตามระเบียบการที่วางไว้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอนุญาตให้ครอบครองได้ ระเบียบการที่ว่าคือ ให้ดูจากความจำเป็นสำหรับการใช้ปืน ดูจากอาชีพ ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เคยมีอยู่แล้วกี่กระบอก ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดี ดูจากความประพฤติ ให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับรอง และสุดท้ายให้ดูขนาดปืนที่ยื่นขออนุญาตว่า มีความเหมาะสมในการใช้อย่างไร
ส่วนความเห็นของ พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ยังมองว่า มาตรการในการอนุญาตและพกพาปืนของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงอยู่ในมาตรฐานปกติ มีขั้นตอนการขออนุญาตต่อฝ่ายปกครองเหมือนทั่วไป ส่วนคนที่จะพกพาก็ต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งไม่น่าจะเกิดปัญหาใดๆ
อย่างไรก็ตามผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ยังอดหวั่นวิตกไม่ได้ว่าการที่ประชาชนในพื้นที่ครอบครองอาวุธปืนไว้เป็นจำนวนมากก็เป็นดาบสองคมเช่นเดียวกัน เพราะหากไม่สามารถควบคุมการใช้ให้รัดกุมก็จะทำให้ควบคุมพื้นที่ได้ยาก
เมื่อมองถึงความสำคัญของอาวุธปืน กระแสความต้องการของคนไทยพุทธมีมากกว่า ด้วยเหตุผลที่บอกว่าตนเองคือเหยื่อ ถูกคุกคามเอาชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน ฝ่ายรัฐไม่สามารถปกป้องคุ้มครองพวกเขาได้ ฉะนั้น "ปืน" จึงเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่เขาเลือกจะเชื่อและหยิบมาใช้ อย่างที่ ลุงริ่น สดศรี บอกว่า คนไทยพุทธในตำบลเปียน อ.สะบ้าย้อย ถึงกับท่องคำขวัญว่า "หลับเถิดตำรวจจ๋า ชาวประชาชนจะคุ้มภัย" แปลงจากคำขวัญ "หลับเถิดชาวประชา ตำรวจกล้าจะคุ้มภัย" ของกรมตำรวจในอดีตให้ได้ยินได้ฟังมานานแล้ว
สะท้อนถึงความไม่วางใจในการป้องกันและดูแลของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างชัดเจนที่สุด
ทั้งที่ในอดีต อาวุธปืน เปรียบดัง "ดัชนีอำนาจรัฐ" เนื่องจากรัฐเป็นฝ่ายหยิบยื่นปืนให้กับประชาชน แต่เมื่อฉายภาพปัจจุบัน ปริมาณของปืนกลับสวนทางกับนิยามในอดีตอย่างสิ้นเชิง เมื่อปริมาณของปืน บ่งบอกถึงความอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพของอำนาจรัฐ
ประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ อดีตกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ครูจังหวัดจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ความเห็นว่า ความต้องการปืนเกิดจากความล้มเหลวของรัฐ ที่ไม่สามารรถปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้ และเป็นตัวชี้ระดับความรุนแรงของสถานการณ์
เขาบอกว่าการครอบครองและพกพาอาวุธปืนของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน ยังไม่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นการอนุญาตในทางปฏิบัติ แต่ในทางกฏหมายยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกคนไม่สามารถใช้ปืนตามอำเภอใจได้
แต่กรณีของฝั่งชาวมุสลิมนั้น จะมีปรากฏปฏิกิริยาต่อปืนในอีกทางหนึ่ง พวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธอาวุธปืนเป็นส่วนใหญ่ เพราะเชื่อว่าปืนคือสิ่งที่จะนำอันตรายมาสู่ตน ในอดีตหน่วยจัดตั้งภาคประชาชนอย่าง ชรบ.เคยแห่แหนนำปืนไปคืนให้ทางการมาแล้ว เพราะเกิดกรณีการถูกปล้นอาวุธปืนจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบ และยังถูกทางราชการตั้งข้อสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายแนวร่วมด้วย แต่คนมุสลิมอีกส่วนหนึ่งก็ยังต้องการอาวุธปืนไว้สำหรับป้องกันตนเองเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะคนที่ทำงานราชการ หรือมีบทบาทอยู่กึ่งกลางระหว่างรัฐและประชาชน
ประสิทธิ์บอกว่าจุดอ่อนสำคัญ 2 ประการสำหรับประชาชนผู้ถือปืนคือ เสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายของฝ่ายผู้ก่อการและความไม่สันทัดในการใช้อาวุธปืน เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ เมื่อถูกโจมตี คนเหล่านี้ก็มักจะใช้ปืนไม่ทัน ท้ายที่สุดก็ต้องเสียไปทั้งคนและปืน
ซึ่งจุดนั้นก็จะอันตรายไปอีกขั้น เพราะปืนของคนบริสุทธิ์ จะถูกนำมาสังหารคนบริสุทธิ์ล้มตายอีกมากมายดังที่เกิดขึ้นทุกวันนี้