
บทความจากกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสท์ ให้แง่คิดที่เกี่ยวกับการเมือง ลองอ่านกันดูครับ.....
ท่านขุนน้อย
16 สิงหาคม 2550 กองบรรณาธิการ
ชัยชนะ...หรือความฉิบหาย???
อันที่จริง....โดยเม็ดสกรีนบริเวณพื้นผิวหน้าของคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น....ก็ออกไปทางขาวๆ ซีดๆ ตามปกติอยู่แล้ว มันถึงได้มีส่วนรองรับขับคิ้วให้ดูเข้ม ดวงตาสดใสบริสุทธิ์ คิกขุ อาโนเนะ จนได้สมญาว่า... หล่อใหญ่ หรือ หล่อดอก กันมาตั้งแต่ต้น...จะให้หน้าดำเขลอะๆ ขละๆ จมูกไหวพะเยิบพะยาบ ตาขวาง หางตก ตลอดเวลาอย่างสไตล์ น้าหมัก นั้น...มันคงคนละบุคลิก...ด้วยเหตุนี้...การกล่าวหาว่า อภิสิทธิ์หน้าซีดทันที...ที่รู้ว่าผมเป็นหัวหน้าพรรค ต้องเรียกว่า... น้าหมัก...ท่านช่าง....ทำไปได้!!!
-------------------------------------------------
นอกจากนั้น...ถ้าหากพูดถึงความกลัว...ความวิตกกันจริงๆ แล้ว ใครต่อใครเขาคงไม่ได้ถึงกับกลัว น้าหมัก กันซักเท่าไหร่ แต่โดยส่วนใหญ่...น่าจะหนักไปทางกลัว คนที่อยู่เบื้องหลัง น้าหมักกันมากกว่า อย่างคนที่มีบุคลิกเขลอะๆ ขละๆ หน้าดำตลอด ไม่เคยขาวเคยซีดเอาเลย...ทั้งๆ ในระหว่างที่เคยน้ำตาเล็ด ขี้มูกโป่ง เพราะถูกลักโคไปเป็นล้านๆ ตัว หรือถูกถีบออกไปจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อครั้งอดีต ผู้ชื่อว่า ดร. สมศักดิ์ เทพสุทิน ดุษฎีบัณฑิตด้านการตีไก่เป็นต้น...ที่ได้ออกมาแสดงถึงความวิตก ในระหว่างเปิดอก-เปิดใจ กับพิธีกรรายการข่าวโทรทัศน์ว่า...ถ้าหากผู้ที่อยู่เบื้องหลังน้าหมัก...ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่หยุดต่อท่อ ต่อสาย โอกาสที่พรรคไทยรักไทยฉบับพลังประชาชน อาจจะกวาดที่นั่ง ส.ส.เข้ามาในระดับ สามารถจัดตั้ง รัฐบาลพรรคเดียว ก็ยังมีความเป็นไปได้...

---------------------------------------------------
แต่ก็อย่างว่า...ข้อวิเคราะห์ของ ดร. สมศักดิ์ นั้น...จะไปถือเป็นจริง เป็นจัง มากนักก็คงไม่ได้ เพราะถึงแม้นว่าโดยบุคลิกลักษณะของท่านผู้นี้...จะสะท้อนความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะในแง่ขนาดความยาว-ความคมของเขี้ยว ความหนาของเกล็ดที่แตกลายงาเป็นชั้นๆ แกว่งปีกไหวพะเยิบพะยาบอยู่ในแวดวงการเมืองมานานพอ ที่จะรู้ลึก รู้แจ้ง ในเรื่องกลเม็ดเด็ดพรายต่างๆ กันไม่น้อย...แต่ก็นั่นแหละ ความรู้ ความเชี่ยวชาญในลักษณะเช่นนี้...น่าจะออกมาในแนว ศิลปินพื้นบ้าน กันเป็นหลัก คือเป็นความรู้ ความเชี่ยวชาญที่มีลักษณะพิเศษเป็นการเฉพาะ แต่ไม่ได้มีความครอบคลุม กว้างขวางในระดับสากล หรือในระดับที่สามารถจะนำเอามาใช้เป็นมาตรฐานในการมองการเมืองในภาพรวมได้ชัดๆ...พูดง่ายๆ ว่า...ออกมาในแนว ไมโคร ไบโอติก...ไม่ใช่แบบ แม็คโคร โลตัส คาร์ฟูร์...อะไรประมาณนั้น....
----------------------------------------------------
เพราะคำว่า การเมือง...หรือ การเอาบ้าน-เอาเมือง นั้น...ในแง่ภาพรวมแล้ว...มันคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ อยู่ในสนามเลือกตั้ง หรือการเสียบ-การล้างกันในระบบรัฐสภาแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ อีกเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความรู้สึก หรือค่านิยมทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ที่แทรกซึมอยู่ในกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลไกข้าราชการ กลไกธุรกิจ-เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะกลไกกองทัพ ฯลฯ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ความหมายของคำว่าการเมือง...ถูกขยายความให้ดูละเอียด ลึกซึ้ง มีความประณีตยิ่งขึ้น มากไปกว่าการดูด การอม ความหื่นกระหายในการผสมพันธุ์ กันแบบหยาบๆ-ง่ายๆ อย่างความพยายามผสมพันธุ์ข้ามสปีชีส์ การตัดต่อพันธุวิศวกรรม จนเกิดสภาพการเมืองจีเอ็มโอ.เช่นในทุกวันนี้...
-----------------------------------------------
การที่บุคคลผู้หนึ่งมี เงิน เป็นอำนาจ...และพยายามที่จะใช้อำนาจนั้นๆ อย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะผ่านการเมืองในระบบ หรือนอกระบบก็แล้วแต่ อันที่จริง...ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากบุคคลอีกผู้หนึ่งที่เคยมี ปืน เป็นอำนาจ และอำนาจปืนที่ว่านั้น...น่าจะยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง คงทน ยิ่งกว่าอำนาจเงินในขณะนี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่โดยค่านิยมทางสังคม สายใยทางวัฒนธรรม ประเพณี ที่สอดแทรกอยู่ในกลไกต่างๆ อย่างประณีต ลึกซึ้งนี่เอง...เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง...แทนที่คนอย่าง พลเอก สุจินดา คราประยูร ผู้ซึ่งมีกองทัพทั้งกองทัพอยู่ในมือ มี ส.ส.เสียงข้างมากในสภาครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถที่จะสั่งการกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ที่ยังคงหลงเหลือ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬลงไปได้ไม่ยากนัก....แต่เมื่อคำนึงถึงภาพรวมทางการเมือง ตามวิถีทางการเมืองแบบ...ไทยๆ...จนสามารถมองเห็นถึงความฉิบหายของบ้านเมืองอยู่ตรงหน้าชัดๆ...ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันถึงข้อยุติกันโดยดุษณี...
-------------------------------------------------
ด้วยเหตุนี้...การดิ้นรนต่อสู้ ความพยายามใช้อำนาจเท่าที่ตัวเองมีอยู่ อย่างถึงที่สุด....โดยไม่ได้สนใจถึงความฉิบหายใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองกันเลยนั้น...นอกจากมันจะเป็นอะไรที่ขัดกับลักษณะความเป็นไทยๆ แล้ว เพียงแค่เริ่มต้นคิดกันในแนวนี้....ก็คงต้องเรียกว่า...มีแต่แพ้...กับแพ้เท่านั้น โอกาสที่จะเรียกสิ่งที่ตัวเองได้มาจากการดิ้นรนต่อสู้กันในลักษณะเช่นนี้ว่า...ชัยชนะ...มันแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย อย่างมากที่สุด...ก็เป็นเพียงแค่การแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ในการสร้างความฉิบหายให้กับผู้อื่น หรือให้กับชาติบ้านเมือง ได้รุนแรงมากน้อยขนาดไหนเท่านั้นเอง...
-----------------------------------------------------
เอาเถอะ...ถึงแม้นจะลองจินตนาการวาดภาพ...ให้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน แห่เข้ามาสู่สภา หลังการเลือกตั้งใหม่กันในระดับ 400-500 คน...มันก็ยังต้องตั้งคำถามกันอีกต่อไปนั่นแหละว่า แล้วจะจัดตั้งรัฐบาล ขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน ให้เกิดความสงบ มั่นคง ความมีสันติ กันด้วยวิธีไหน??? จะทำอย่างไรที่จะไม่ให้ประชาชนกับประชาชน...ต้องปะทะเข่นฆ่ากันและกันตั้งแต่จุดเริ่มต้น หรือตั้งแต่ยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลเลยด้วยซ้ำ จะใช้อำนาจความเป็นรัฐบาล บีบบังคับให้ทหารฝ่ายตน ออกไปยิงประชาชนฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก จนทหารกับทหารอาจจะต้องหันมายิงกันเองกันในท้ายที่สุดหรือไม่? อย่างไร???
-------------------------------------------------
อันที่จริง...ก็อย่างที่ตัวผู้อยู่เบื้องหลัง น้าหมัก เองนั่นแหละ...เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ชัดเจนว่า ทันทีที่ได้เห็นนายทหารผู้ก่อการในคณะปฏิวัติเข้าเฝ้าฯ...ต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตัวเองก็รู้ได้โดยทันทีว่า...ทุกสิ่งทุกอย่าง.... จบ ลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่เหตุที่มันยังก่อให้เกิดความวิตกกังวล กับใครต่อใครในทุกวันนี้...ก็คือเอาเข้าจริงๆ แล้ว ไอ้ที่ว่าจบนั้น...มันจะจบจริง...หรือไม่จริงนั่นเอง ยิ่งถึงขั้นกำหนดวางตัวคนอย่าง น้าหมัก เอาไว้ในฐานะหัวหน้าพรรคกันเลยนั้น แค่คิดถึงภาพ น้าหมัก ต้องเผชิญหน้ากับม็อบ ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีด้วยแล้ว ก็เรียกได้ว่า...มีแต่ฉิบหายกับฉิบหายลูกเดียวเท่านั้น...เพราะไอ้ความที่ไม่เคยหน้าซีดเอาเลย มีแต่หน้าดำ หน้าแดงแม้นจะเห็นศพใครต่อใครกองทับกันเป็นสิบๆ ถูกแขวนคอใต้ต้นมะขามสนามหลวง...แกก็ยังเฉยๆ...ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย...แล้วยังงี้...ใครเขาจะปล่อยให้แพ้กันทั้งประเทศได้ง่ายๆ....
-----------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จากสุนทโรวาท อิหม่าม อาลี... "สิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความเลวร้าย...ก็คือการแสดงความก้าวร้าวต่อคนดี...."