.... ด้วยความเคารพ ท่านที่รับราชการครูทุกท่านครับผม .... เราเห็นการช่วยเหลือเช่นนี้ทุกปี แต่อยากมีคำถามกลับบ้างว่าโรงเรียนเหล่านี้ก็สังกัดกับกระทรวงศึกษามิใช่หรือ ยิ่งช่วงนี้มีพื้นที่การศึกษาเขตขยายอำนาจเข้ามาดูแลใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น อบต. แต่ทำไมปัญหาพวกนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ทุเลาเบาบางลงบ้างเลย เห็นตามภาพแล้วคนที่มีอำนาจเป็น ผอ. เขตพื้นที่การศึกษา เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้ ในเมื่อพื้นที่เดียวกัน จังหวัดเดียวกัน แต่อาจจะอยู่ไกลปืนเที่ยงหน่อย การคมนาคมไม่สะดวก แต่ก็น่าจะเป็นเหตุผลให้ได้รับงบการพัฒนามากขึ้นมิใช่หรือครับผม ... หรือแม้อย่างน้อย ๆ ก็ให้มันดูดีกว่าที่เห็นในภาพหน่อย ..... กราบขอโทษนะครับ ผมไม่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ความคิดความอ่านอาจจะไม่ถูกจุด เนื่องเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้บริจาคของให้กับโรงเรียนอยู่บ่อย ๆ เช่น เมื่อปีที่แล้วก็หาหม้อหุงข้าวที่หุงจากแก็สขนาด 8 หรือ 10 ลิตร จำไม่ได้แล้ว มอบให้กับโรงเรียนหนึ่งที่ อ. ปง จ. พะเยา ..... ด้วยความเคารพ ....
อาคารเรียนหลังหนึ่งใช้เงินเท่าไรในการสร้าง งบประมาณหลักที่ได้รับมีอยู่เท่าไร จำนวนโรงเรียนที่ต้องการอาคารจำนวนกี่โรง งบประมาณสนับสนุนได้รับมาเท่าไร
สมมติ ปีนี้ได้รับเงินมาหนึ่งล้านบาท สร้างอาคารละสองแสน ได้เท่ากับห้าอาคาร โรงเรียนในความรับผิดชอบมีสามสิบโรงก็เท่ากับปีนี้ได้ไปห้าโรง และการรับงบประมาณต้องดูจากจำนวนเด็กนักเรียน เพราะไม่อย่างนั้นโรงเรียนใหญ่ ๆ จะบริหารงบประมาณลำบาก เหมือนเรามีตังค์อยู่หนึ่งร้อยบาทต้องเลี้ยงดูลูกสิบคน กับ เรามีตังค์อยู่หนึ่งร้อยบาทต้องเลี้ยงดูลูกสามคน
งบประมาณที่ได้มาต้องบริหารให้ทั่วถึง ซื้อหนังสือ ซื้ออุปกรณ์ อาหารกลางวัน ค่าซ่อมบำรุง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ฯลฯ เหมือนเราได้รับเงินเดือนเดือนละหลักพันบาท หลักหมื่นบาท หลักแสนบาท การใช้จ่ายในการดำรงชีวิตจะต่างกัน และนอกจากงบประมาณแล้วอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหารคนนั้นว่าจะเร่งสร้างเร่งพัฒนาในด้านใด เหมือนคนเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นแหละบางคนอยากพัฒนาด้านเทคโนโลยี บางคนอยากพัฒนาด้านเกษตรกรรม บางคนอยากพัฒนาด้านวิชาการ ฯลฯ
ฟัง ๆ ดู เหมือนคนคนเดียวเป็นคนกำหนดชะตาขององค์กรต่าง ๆ เลยใช่ไหม และอีกปัญหาหนึ่งก็คือโรงเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนขยายโอกาสไม่สามารถนำระบบบุคลากรแบบมหาวิทยาลัยมาใช้ได้ เพราะติดอยู่ตรงตำแหน่งอัตราบุคลากรและงบประมาณ ครูเลยต้องทำหน้าที่ธุรกรรมต่าง ๆ นอกเหนือจากงานการสอนได้ ในขณะที่ครูในระดับมหาวิทยาลัยจะเน้นการสอนกับครูประจำชั้นเป็นหลัก จึงสามารถพัฒนาขอบข่ายได้ แต่ระดับโรงเรียนพอครูสอนเสร็จก็ตอ้งทำหน้าที่ธุรกรรมต่าง ๆ ด้วย ลองเปลี่ยนให้มีเจ้าหน้าที่ธุรการฝ่ายต่าง ๆ แทนที่จะใช้ครูทำดูซิ ผมรับรองเลยว่าการศึกษาของไทยดีขึ้นแน่นอน แต่ใช่ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะไม่รู้ว่าครูต้องทำโน้นทำนี่ รู้แต่ไม่รู้ทำไมไม่ยอมแก้ปัญหา และอีกอย่างก็คือไอ้พวกนักวิชาการทั้งหลายที่คอยเสนอแนะทั้งหลายนั้นแหละ แทนที่จะถามคนปฏิบัติว่าดีไหมไม่ดีไหมไม่ถาม คิดนะใคร ๆ ก็คิดได้เพราะคิดแล้วสั่งให้คนอื่นทำไม่ได้ทำเอง นักวิชาการส่วนใหญ่จะเหมือนกับ FWD ที่สร้างปากกาเพื่อให้เขียนบนกระดาษได้บนอวกาศแทนที่จะใช้ดินสอเขียนนั่นแหละ บางครั้งบางอยากทำเรื่องง่ายให้ยาก เรื่องยาก ๆ กลับไม่คิดทำ
สรุปก็คือ แก้ พรบ.การศึกษาก่อน สำหรับความคิดเห็นผมถ้าอยากให้มีงบเพิ่มก็ให้ยุบโรงเรียนให้เหลือตำบลละ ๑ โรงก็พอ โรงเรียนจะได้ใหญ่ขึ้นพัฒนากันได้เต็มที่ เพราะการคมนาคมสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ส่วนในพื้นที่กันดารก็ที่ห่างไกลความเจริญจริง ๆ ก็ควรมีโรงเรียนไว้สำหรับประชากรที่นั่นแม้จะทำให้กลายเป็นตำบลหนึ่งมีมากกว่าหนึ่งโรงเรียน แต่นั่นแหละจะเอาตำแหน่ง ผอ. โรงเรียนเล็ก ๆ ที่ถูกยุบมาจะให้บริหารอย่างไรในโรงเรียนเดียวแต่มีสอง ผอ. ส่วนครูถ้าย้ายมารวมกันก็จะทำให้ครูทำงานได้เบาลง เรียกง่าย ๆ ว่าทุ่มสุดตัวได้กว่าเดิม เหมือนเราสร้างบ้านของเรามีคนงานห้าคน พอนำมาจากแคมป์อื่นอีกห้าคนรวมกันเป็นสิบคนก็จะทำให้ทำงานได้ดีขึ้น ส่วนคนคุมงานทั้งสองคนต้องตกลงกันว่าจะเอายังไง
แต่ต้องแก้ในมาตราอื่น ๆ ด้วย เมื่อแก้กฎหมายแล้วเราก็ทำตามกฎหมาย แต่ถ้าไม่แก้บางทีมันก็ติดข้อกฎหมายทำให้ทำอะไรที่ขัดแย้งต่อกฎหมายไม่ได้ เพราะมันคือระบบราชการซึ่งต้องยึดระเบียบเป๊ะ ๆ
อย่าว่าแต่ พรบ. การศึกษาเลย พรบ.อื่น ๆ กฎหมายอื่น ๆ ที่สมควรแก้ไข ไม่รู้เหมือนกันทำไมไม่แก้ไข พอมองไปมองมาก็ลงที่นักการเมืองอีก เพราะบางส่วนเข้าไปทำอย่างอื่นไม่ได้เข้าไปแก้ไขปัญหาทางที่แท้จริง
ประเทศไทยเลยเป็นอย่างทุกวันนี้ก็เพราะกฎหมายยังไม่ได้รับการแก้ไขพัฒนาในหลาย ๆ ฉบับไปในทางที่ควรจะเป็น
เฮ้อ คุยไปก็เท่านั้น เพราะคนที่มีอำนาจไม่ได้มาเห็น ไม่ได้มาอ่าน ไม่ได้นำไปแก้ เหมือนเป่าสากเลยนิ

และผมพูดเท่าที่ผมไม่รู้เรื่องต่าง ๆ ในทุก ๆ ด้านของปัญหา ซึ่งถ้าผมรู้ผมอาจไม่พูดอย่างนี้
