ในการใช้อำนาจของศาลปกครองนั้น ศาลจะชี้ขาดได้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่แน่ชัดว่าการกระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร กล่าวคือ
เป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ การกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามแบบขั้นตอน การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการนั้น การกระทำโดยไม่สุจริต การกระทำที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม การกระทำที่มีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น การกระทำที่สร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร และการกระทำที่เกิดจากการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งการกระทำนั้นอาจเป็นการออกกฎ เช่น พระราชกฤษฏีกา ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ หรือการออก คำสั่ง เช่น คำสั่งอนุญาต คำสั่งแต่งตั้ง เป็นต้น ศาลปกครองมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนหรือสั่งห้ามการกระทำทางปกครองของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่จะไม่มีอำนาจสั่งบังคับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้ดุลพินิจสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่ง
กล่าวโดยสรุปก็คือ ศาลปกครองมีอำนาจตรวจสอบการใช้ดุลพินิจสั่งการของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่าได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ชอบ ศาลปกครองมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือสั่งห้ามการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น แต่จะไม่ก้าวล่วงเข้าไปใช้ดุลพินิจแทนฝ่ายบริหาร เช่น กรณีที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่สั่งไล่ข้าราชการออกจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองจะสั่งเพิกถอนคำสั่งไล่ออกจากราชการนั้น แต่จะไม่ก้าวล่วงเข้าไปสั่งให้ข้าราชการที่ถูกไล่ออกจากราชการกลับเข้ารับราชการ คงเป็นหน้าของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบที่จะดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป
โดย รศ. ดร. โภคิน พลกุล รองประธานศาลปกครองสูงสุด อ้างอิงจาก
ศาลปกครองกับขอบเขตการใช้อำนาจของฝ่ายปกครอง