กรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นหน่วยงานของรัฐ
มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีพิเศษตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษครับ
ซึ่งคดีพิเศษตามบัญชีท้าย ฯ ดังกล่าวต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
๑. คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ
๒. คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนความมั่งคงของประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ
๓. คดีความผิดทางอาญาทีมีลักษณะเป็นคดีความผิดข้ามชาติที่สำคัญหรือเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม
๔. คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สำคัญเป็นตัวการผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน
๕. คดีคามผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมิใชพนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะได้กระทำความผิดอาญา หรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา
ซึ่งการสืบสวน สอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว จึงต้องให้มีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ ไว้ทำการสืบสวน สอบสวน
และสรุปสำนวนคดีโดยเฉพาะ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗
แต่อย่างไร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษก็ยังมีหน้าที่และการสรุปสำนวนเหมือนกับ พนักงานสอบสวนแต่ละท้องที่ต้องรับผิดชอบ ในคดีอาญาทั่วไป
พูดง่ายๆ ว่าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ก็คือพนักงานสอบสวนทั่วไป
ซึ่งต้องสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ และสรุปสำนวน ลงความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่
แล้วส่งต่อให้พนักงานอัยการพิจารณาและลงความเห็นสมควรสั่งฟ้องหรือไม่อีกครั้งเหมือนกันครับ
ส่วนกรณี ความเห็นสั่งไม่ฟ้องนั้น เท่าที่ดูตามมาตรา ๓๔ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗
ซึ่งได้บัญญัติเรื่องกรณีที่พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ในคดีที่ดีเอสไอ มีความเห็นควรสั่งฟ้องไว้ว่า
" ในกรณีที่พนักงานอัยการหรืออัยการทหาร แล้วแต่กรณี มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีซึ่งได้สอบสวนโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ให้การทำความเห็นแย้งตาม มาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความ อาญาอื่นเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดี หรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง "
จากบทบัญญัติดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในกรณีที่พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี ดีเอสไอโดยอริบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีอำนาจเพียงทำความเห็นแย้ง เพื่อส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่อีกครั้ง
ดังนั้น ตามความเห็นของผม น่าจะต้องถือความเห็นของพนักงานอัยการเป็นหลักครับ
รอผู้รู้ท่านอื่นมาช่วยเสริมครับ
