เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
มิถุนายน 15, 2025, 02:25:47 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: " พระนักเทศน์... นักโทษประหาร... เพชฌฆาต "  (อ่าน 15511 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 02:56:35 PM »

คมชัดลึก : "พระนักเทศน์นักโทษประหาร" เป็นฉายาที่ พระมหานันทา นนฺทปญฺโญฺ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ อ.เมือง จ.นนทบุรี



 บอกว่าไม่อยากรับและก็ไม่อยากเป็น ซึ่งชื่อนี้อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูของนักฟังเทศน์ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่พระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงอะไรมากนัก แต่ท่านกลับเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในหมู่นักโทษเด็ดขาดของเรือนจำบางขวาง นักโทษบางคนมีโอกาสฟังเทศน์ของท่านเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกเลย

 จากประสบการณ์เดินเข้าออกคุกบางขวางนับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ เมื่อครั้งยังเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส มีคำพูดหนึ่งของนักโทษมักพูดให้ได้ยินอยู่เสมอๆ ว่า "ถ้าผมไม่ติดคุก ผมคงไม่มีโอกาสฟังเทศน์และปฏิบัติธรรม" ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับพระมหานันทา ขณะเดียวกันท่านก็พูดไว้อย่างน่าคิดว่า

 "วันนี้เรามีโอกาสฟังเทศน์ปฏิบัติธรรมก็จงทำเสีย อย่าบอกว่าไม่ว่างหรือไม่มีเวลา เพราะท่านอาจจะว่างและมีเวลาก็ต่อเมื่อไปอยู่ในเรือนจำเสียแล้ว และอาตมาไม่อยากเทศน์ให้ใครฟังเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต"

  ทุกวันนี้พระมหานันทายังเดินเข้าคุกบางขวางเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในช่วงวันสำคัญทางศาสนาและเทศกาลสำคัญๆ ของปี จนกลายเป็นว่า อาตมาเป็นส่วนหนึ่งของคุกบางขวางไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะกรรมในอดีตชาติที่เคยสร้างมากับนักโทษจึงต้องมาเทศน์โปรดกันถึงในคุกเช่นนี้ การเทศน์โปรดนักโทษทั่วๆ ไปอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่เทศน์โปรดนักโทษประหารนี่สิเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ เห็นเขาเป็นๆ ตอนเข้าทางประตูหน้าพอรุ่งเขามาที่วัดเป็นร่างไร้วิญญาณ

 กิจนิมนต์ครั้งสุดท้ายที่พระมหานันทา ถูกนิมนต์ไปเทศน์เพื่อไปโปรดนักโทษประหาร คือ เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ในครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่นักโทษประหารถูกประหารชีวิตโดยวิธีการใช้เข็มฉีดยาเป็นครั้งแรกที่เรือนจำบางขวาง  จากนั้นก็ไม่มีการประหารอีกเลย โดยในครั้งนั้นมีการประหารชีวิต ๔ คน คือ น.ช.พนม ทองช่างเหล็ก คดีฆ่าคนตาย  น.ช.บุญลือ นาคประสิทธิ คดียาบ้า น.ช.พันพงษ์ สินธุสังข์ และ น.ช.วิบูลย์ ปานะสุทธ

  ?คนทั่วๆ อาจจะไม่รู้การได้มีชีวิตและลมหายใจอยู่บนโลกทุกวันนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง แต่นักโทษประหารที่รอคำสั่งประหารเกือบ ๑๐๐ คน เขาจะมีความสุขอย่างยิ่งอยู่ ๒ วัน คือ วันเสาร์และวันอาทิตย์ ตั้งแต่ ๑๖.๐๐ น.ของเย็นวันศุกร์ถึง ๐๘.๐๐ น.ของเช้าวันจันทร์ จากนั้นอีก ๕ วัน ก็ต้องใช้ชีวิตที่ต้องรอลุ้นว่าคำสั่งประหารจะตกอยู่ที่ใคร?พระมหานันทากล่าว

 พร้อมกันนี้ พระมหานันทายังบอกด้วยว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่มีต่อนักโทษประหาร ตั้งแต่ปีมหามงคล ๒๕๔๖ มาถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้รับกิจนิมนต์ไปเทศน์โปรดนักโทษประหารเลยสักรายเดียว  ซึ่งหมายถึงหลังจากโปรดนักโทษประหาร ๔ รายด้วยการฉีดยาก็มีกิจนิมนต์อีกเลย และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็มักจะอธิษฐานจิตเสมอๆ ว่า ขออย่าให้เจ้าหน้าที่เรือนจำบางขวางสงฎีกามานิมนต์อีกเลยตลอดทั้งชีวิต เมื่อไม่ต้องเทศน์ประตูผีที่เคยเปิดปีละหลายๆ ครั้งก็ถูกปิดตายไปด้วย ถ้าเป็นไปได้อยากโบกปูนปิดประตูนี้เสียเลย

 อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ไปเทศน์โปรดนักโทษประหาร พระมหานันทา บอกว่า สิ่งที่นักโทษประหารมีเหนือกว่าคนปกติทั่วๆ ไป คือ ตายแบบรู้ตัวรู้วันเวลา ปกติแล้วคนทั่วๆ จะตายแบบไม่รู้ตัว หรือเรียกว่าตายแบบไม่มีสติ แต่นักโทษประหารตายอย่างมีสติ รู้กำหนดลมหายใจจะสิ้นเมื่อไร การที่รู้ตัวก่อนตายทำให้สามารถเตรียมตัวก่อนตาย สามารถทำกิจอะไรก่อนตายได้ เขียนจดหมายบอกลา ฝากคำพูด และแบ่งทรัพย์สมบัติได้ ส่วนคนที่ตายแบบไม่รู้ตัวเลยนั้น ร้อยทั้งร้อยไม่เคยเตรียมอะไรไว้เลย ดังนั้นคนเราจึงควรตั้งชีวิตอยู่บนความไม่ประมาทเพราะความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามตัวเราตลอดเวลา

 เทศน์ให้นักโทษประหารฟังมันเป็นบทพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่ากรรมนั้นมีจริง ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้าชาตินี้กรรมก็ตามทัน นักโทษบางคนหนีอาญาแผ่นดินกว่า ๑๐ ปี แต่ก็ถูกจับประหารชีวิตเพื่อชดใช้กรรม ถ้ากรรมไม่มีเขาต้องหนีกรรมพ้น เขาต้องไม่ถูกประหารเมื่อเรามีโอกาสฟังพระเทศน์ก็จงรีบฟัง ถ้าตั้งใจฟังก็จะเกิดปัญญา หากนำหัวข้อธรรมะไปปฏิบัติชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนได้อยู่เมืองสวรรค์ ถ้าไม่ฟังเทศน์นอกจากไม่เกิดปัญญาแล้วอาจจะนำพาชีวิตไปสู่นรกได้ ฉันได้ยินนักโทษพูดเสมอว่า นี่ถ้าไม่ติดคุกคงไม่ได้ฟังเทศน์ ไม่มีโอกาสได้สวดมนต์ และปฏิบัติธรรม หากเข้าวัด ฟังเทศน์และปฏิบัติธรรมตั้งแต่อยู่นอกคุก วันนี้คงไม่ต้องมานั่งฟังเทศน์ในคุกคนส่วนใหญ่มักอ้างว่าไม่มีเวลา

 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเปลี่ยนวิธีการประหารจากการประหารชีวิตด้วยวิธีการใหม่คือ การแทนวิธีการประหารชีวิต แบบเดิมนั่นคือวิธีการยิงเป้าซึ่งใช้มา ๖๘ ปี แต่ประเด็นเทศน์ยังคงเดิม คือ เทศน์เรื่องกฎแห่งกรรมอย่างเดียว หัวข้อธรรมอื่นคงไม่มีประโยชน์อะไร เริ่มจากการให้ศีลก่อน ที่สำคัญคืออย่าไปซ้ำเติมนักโทษ ต้องเทศน์ให้อยู่ในกรอบของพระ ต้องไม่อิงกฎหมาย ต้องอิงธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องกรรม สิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้ตอนท้าย คือ การอโหสิกรรม ต่อผู้คุม ผู้ประหาร เพื่อให้หมดเวรกรรมต่อกัน

?เหตุของการตายไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือตกนรก แต่มันอยู่ที่การกำหนดจิตก่อนชีวิตจะดับ เมื่อจิตของเราผ่องใส จิตมีสติ สุคติเป็นที่หวังในเบื้องหน้าดังพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติเป็นที่หวังได้? พระมหานันทา กล่าวทิ้งท้าย
 
เรื่อง -  ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
 
 
  บันทึกการเข้า  

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 08, 2011, 03:48:15 PM โดย pasta » บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 02:58:42 PM »


คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร



กลับมานำเสนอนวนิยายดีๆ น่าสนใจแก่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวโอเคฯ อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ ยุทธ บางขวาง ตั้งใจเสนอชีวิตนักโทษประหารในเรือนจำ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและรับรู้ถึง

คำสารภาพสุดท้ายของนักโทษประหาร




เรื่องจริง ! จากประสบการณ์ตรงของ พี่เลี้ยง นักโทษประหาร วาระสุดท้ายก่อนก้าวสู่หลักประหาร ความจริงที่พวกเขา"คาย"ออกมา

สำหรับนาทีสุดท้ายของนักโทษประหาร พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง จริง เท็จ อย่างไร มีเพียงไม่กี่คนที่ได้ยินหนึ่งในนั้นคือ... พี่เลี้ยง นักโทษประหาร

เพราะสัญชาตญาณดิบ เลือดเย็น อารมณ์ชั่ววูบ รัก โลภ โกรธ หลง หรือกรรมเก่า อุทาหรณ์จากหลักประหารเพื่อเตือนสติทุกครั้งที่คิดจะกระทำผิด

นอกจากจะมาแนะนำหนังสือน่าอ่านแล้ว วันนี้ ยังขอนำเสนอบรรยากาศก่อนการประหารชีวิตในเรือนจำ เพราะมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศดังกล่าวถึง 2 ครั้งในเรือนจำกลางบางขวาง ทั้งการประหารชีวิตด้วยปืนครั้งสุดท้าย และการประหารชีวิตด้วยการฉีดยาครั้งแรก




วันนั้น ยังคงจำได้ไม่ลืม ท้องฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส เริ่มด้วย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวนักโทษประหารออกมาจากแดนคุมขัง โดยนักโทษบางคนถึงกับหมดเรี่ยวแรง ต้องหิ้วปีกมาเพื่อเขียนพินัยกรรมหรือโทรศัพท์สั่งเสียญาติ จากนั้น เจ้าหน้าที่นำอาหารมื้อสุดท้าย ยังจำได้เลยว่าเป็นต้มข่าไก่ เขียวหวานลูกชิ้นปลากราย แกงหน่อไม้ และยังมีขนมหวานอีกหลายอย่าง มาให้นักโทษได้รับประทาน ซึ่งบรรยากาศขณะนั้น มันเหมือนมีก้อนอะไรเหนียวๆ บางอย่างอยู่ในลำคอ ไม่สามารถกลืนลงไปได้ หดหู่เหลือเกิน

ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้อ่านฎีกาและนำนักโทษไปฟังพระเทศน์ก่อนจะขึ้นรถส่งวิญญาณ (รถไฟฟ้าที่ใช้ในสนามกอล์ฟ) ไปสู่แดนประหาร แต่ก่อนถึงแดนประหาร เจ้าหน้าที่ได้นำนักโทษแวะกราบไหว้ศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเรือนจำ ขณะนั้นเอง ท้องฟ้าจากที่เคยสดใส กลับมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก ในทันตา (เรื่องจริงๆ นะไม่ได้โอเว่อร์) เหมือนฟ้าดินกำลังรับรู้ (พูดแล้วขนลุก)



เมื่อเสร็จการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่นำนักโทษเข้าสู่หลักประหาร ซึ่งเป็นลักษณะเป็นไม้กางเขนมีความสูงขนาดไหล่ มัดนักโทษด้วยด้ายดิบ ให้ยืนหันหน้าเข้าหลักประหารที่มีไม้นั่งคร่อม ป้องกันไม่ให้นักโทษยืนตัวงอ หรือเข่าอ่อน ข้อมือทั้งสองผูกมัดติดกับหลักประหารในลักษณะประนมมือ กำดอกไม้ธูปเทียนไว้ โดยเจ้าหน้าที่ นำฉากประหารที่มีเป้าวงกลมติดอยู่กับฉาก พร้อมตั้งเล็งให้เป้าอยู่ตรงจุดกลางหัวใจของนักโทษ ห่างจากด้าน หลังผู้นักโทษประมาณ 1 ฟุต เพื่อกำบังมิให้เจ้าหน้าที่ผู้ลั่นไกปืนเห็นตัวนักโทษ แท่นปืนประหารตั้งอยู่ ห่างจากฉากประหารประมาณ 4 เมตร

เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ โดยโบกธงสีแดง ผู้ทำหน้าที่ลั่น ไกปืน (เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าภายในห้องขณะประหารนะ ทางเรือนจำให้รออยู่ที่ศาลาหน้าแดนประหารเท่านั้น) จากนั้น คณะกรรมการประหารชีวิตได้ร่วมกันตรวจสอบจนแน่ใจว่านักโทษถึงแก่ความตายอย่างแท้จริง แล้ว เจ้าหน้าที่จัดพิมพ์ลายนิ้วนักโทษประหารเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันว่าไม่ประหารชีวิตผิดตัว





นั่นคือการประหารด้วยปืน ครั้งสุดท้าย แต่เราก็ได้รับโอกาสอีกครั้งที่จะให้เข้าชมการประหารด้วยการฉีดยา ซึ่งขั้นตอนตั้งแต่เบิกตัวนักโทษจนถึงการกราบไหว้สิ่งศักดิ์นั้น เหมือนการประหารด้วยปืนทุกประการ แต่ที่แตกต่างคือการนำเข้าแดนประหาร การฉีดยา เจ้าหน้าที่จะปิดตานักโทษด้วยผ้าดำ รวมทั้งให้นักโทษถือดอกไม้ธูปเทียนไหว้ โดยหันหน้าไปทางวัดแพรกใต้ที่อยู่ติดแดนประหาร

จากนั้นนำนักโทษเข้าอาคารฉีดสารพิษ โดยยังคงล่ามโซ่ตรวนไว้และให้นักโทษนอนบนเตียงประหารชีวิต ซึ่งมีผ้าขาวสำหรับห่อศพวางรองอยู่ และทำการขึงแขนนักโทษให้ติดกับเตียงทั้ง 2 ข้างในท่ากางแขน และนำเข็มฉีดยาปักไปที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง และทำการฉีดยาจำนวน 3 เข็ม เข็มที่ 1 คือยานอนหลับ เข็มที่ 2 เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ และเข็มที่ 3 คือยาหยุดการเต้นของหัวใจ ก่อนให้แพทย์และให้คณะกรรมการประหารชีวิต มาช่วยตรวจ

ต่อจากนั้น จะนำนักโทษที่เสียชีวิตแล้วใส่ในโลงเย็น ความเย็น –18 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ก่อนให้แพทย์ตรวจเป็นครั้งสุดท้าย และให้ญาติรับไปบำเพ็ญกุศล โดยขั้นตอนทั้งหมด ใช้เวลาประมาณ 25 นาที




วันนี้ อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหดหู่เศร้าใจไปหน่อย แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์ ว่า การตัดสินใจเลือกชีวิตที่ผิดพลาด ผลสุดท้ายจะจบลงอย่างไร  เร่งทำความดีจะดีกว่า เพื่ออนาคตที่สดใสต่อไป เริ่มจะเขียนอะไรไม่ออกล่ะ เพราะยังรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้า ไม่ลืม (แต่ชีวิตเรายังอยู่นะ ต้องดำเนินต่อไป เพราะพระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก และยังตกลับไปทางทิศตะวันตก)




 
โดย หัวผักกาด

 
 
 
กลับไปที่ www.oknation.net
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 03:02:56 PM »

Edit TitleEdit Detail
กุดหัวนักโทษคนสุดท้าย

วัดบางมักกะสัน “วัดดิสหงสาราม”

ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กทม.

แกะรอยโดย “ทรัมย์”

...................................

ความสุข ความทุกข์-ความเจริญและความเสื่อม...

ทุกสิ่งทุกอย่างได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะนานแสนนานสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่คนรุ่นปู่รุ่นย่า ตา ทวด ก็ยังจำภาพของการประหารชีวิต “นักโทษคนสุดท้าย” อันเป็นการทำตามกฎหมายโบราณรุ่นคุณปู่คุณทวด

บริเวณหลังวัดบางมักกะสัน ฝั่งซ้ายของคลองแสนแสบ กรุงเทพฯ

วันนั้นเป็นวันประหารชีวิตด้วยการฟันคอ หรือที่เรียกกันในยุคนั้นว่า กุดหัวนักโทษ ซึ่งเป็นคนสุดท้าย มันเป็นอดีตที่หวาดเสียวในยุคสุดท้ายก่อนจะเริ่มมีการประหารด้วยการยิงเป้า...

ผู้เป็นนักโทษ ที่ตกเป็นเหยื่อข่าวและถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ ที่กล่าวเช่นนี้ ด้วยผู้ถูกประหารแทนที่จะเป็นชาย แต่กลับกลายเป็นหญิงชื่อ “ทองเลื่อน” นางเป็นคนโชคร้ายและโชคดีไปพร้อม ๆ กัน เพราะนางต้องโทษแประหารที่ประวัติศาสตร์กรุงสยามได้บันทึกไว้โดย ราชทัณฑ์สยาม ว่า

“เชือดคอ แม่ผัวจนถึงแก่ความตายอย่างทารุณ”

ตอนเช้าของวันประหาร วัดบางมักกะสัน คลองแสบแสบ บรรยากาศมืดครึ้ม เหมือนมีเมฆหมอกลอยคลุม ดูซึมเศร้าครึ้มเหมือนฝนจะหยาดเม็ด

ริมคลองแสบแสบฝั่งซ้าย ตรงลานดินอันกว้างใหญ่หลังวัดถูกจัดขึ้นเป็นลานประหาร โดยมีหลักไม้ขนาดใหญ่ปักอยู่กลางดินสูงราว 1 เมตร และมีขนาดย่อม ๆ อีก 3 หลักค้ำหลักใหญ่เอาไว้

ใกล้จะ 10 โมงเช้า เจ้าหน้าที่ของเรือนจำนายหนึ่งได้มาตรวจสภาพ เมื่อเห็นว่าใช้ได้แล้วจึงเดินกลับไป

11.30 น. ผู้คนขณะนี้ได้มารุมเบียดเสียด ตื่นเต้นที่จะได้เห็นการตัดหัวขั้วแห้งในอีกไม่นานนัก

แล้วทุกคนก็เงียบกริบ หัวใจเต้นแรง

การประหารชีวิตด้วยดาบนี้ เมื่อทางเรือนจำเบิกตัวนักโทษผู้ต้องประหารมาแล้ว ก็จะพันธนาการด้วยโซ่ตรวน มีทหารและพระธำมรงค์ควบคุมมาอย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการแย่งนักโทษ

ในอดีตนั้น การคมนาคมด้วยทางรถ ทางบกแทบจะไม่มีเลย จึงต้องอาศัยเรือเป็นพาหนะ นักโทษประหารจึงต้องถูกนำไปสู่หลัก ตะแลงแกง

ที่วัด นักโทษจะถูกนำไปบนศาลา มีการนิมนต์พระมาเทศน์ให้ผู้ต้องประหารฟัง แล้วเลี้ยงอาหารมื้อสุดท้าย

มีเสียงฮือฮา พึมพำกันในหมู่ประชาชนผู้รอเฝ้าดูการประหาร เมื่อมีเรือสำปั้นขนาดใหญ่ลำหนึ่งเข้ามาจอดเทียบท่าน้ำหลังวัด แล้วเสียงนั้นก็เงียบกริบ หัวใจทุกดวงเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ภาพของผู้หญิงที่จะต้องถูกกุดหัวนั้นเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างใหญ่โตอ้วนท้วน  กำลังก้าวขึ้นบันไดท่าน้ำช้า ๆ

ตำรวจในเครื่องแบบ 2 นายขนาบข้างซ้ายขวาเหมือนกลัวเธอจะหนี เจ้าหน้าที่เรือนจำเดินตามมาติด ๆ

หญิงผู้ต้องโทษหรือนาง ทองเลื่อน ไว้ผมยาวรุงรัง นุ่งห่มด้วยผ้าขาวทั้งชุด อาการอยู่ในลักษณะสำรวม สงบเยือกเย็น ท่าทางของนางในขณะนั้น เหมือนหรือยิ่งกว่า แม่ชีสูงอายุที่ถือศีลเคร่ง ภาวนาบรรพชาก่อนบวช

ขาทั้งสองถูกพันธนาการด้วยห่วงเหล็กและโซ่ตรวนที่แสนหนัก ช่วงที่ต้องย่างก้าวนั้น นางต้องดึงเชือกที่ผูกติดโซ่ตรวนเอาไว้

เบื้องหลังจากหญิงผู้ต้องโทษนั้น มีหญิงชราวัย 60 เศษรูปร่างผอมบางใบหน้าซีดเผือด ดวงตาโรยฉายแววสิ้นหวังหมดอาลัยตายอยาก ในอ้อมแขนของนางมีทารกแรกเกิดนอนซุกตัวอยู่ในเบาะเก่า ๆ ซึ่งหญิงชราอุ้มอยู่

ขณะที่นักโทษหญิงก้าวพ้นศาลาท่าน้ำคลองแสบแสบ เดินก้าวช้า ๆ เพื่อเข้าสู่หลักประหาร สายตาทุกคู่ของผู้ที่รอดูอยู่มองตามนางด้วยความสลดหดหู่ ทุกคนไม่มีอาการแสดงความชิงชังในแววตา หรือปฏิกิริยาแต่อย่างใด

ตรงกันข้าม ทุกคนเกิดความเศร้าสลด หดหู่ เห็นอกเห็นใจนางที่ต้องรับเคราะห์เช่นนี้ สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ก็คือ ทารกซึ่งอยู่ในเบาะที่หญิงชรามารดาของผู้ต้องโทษนั้นคือ ลูกของตัวนักโทษประหารเอง ชีวิตคนไทยบ่งบอกถึงความรู้สึกของลูกซึ่งดูแลแม่ที่ชราแล้ว กับลูกน้อยที่ต้องเลี้ยงไปจนเติบใหญ่

ไม่มีใครรู้ว่านางทุกข์ระทมใจแค่ไหน เมื่อลูกทารกที่แม่อุ้มเดินตามนางสู่ลานประหาร ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า นางจะต้องจบชีวิตลงด้วยการเป็นผีหัวขาด

ขณะเดียวกัน นางก็ถูกผู้ควบคุมพาขึ้นไปบนศาลาวัด ซึ่งอยู่ห่างหลักประหารไม่มากนัก นางนั่งฟังพระเทศน์ให้ฟังจนจบ เจ้าหน้าที่ ๆ ทำงานอยู่ได้นำอาหารมื้อสุดท้ายมาให้

มีแกงเผ็ดหมู ตะพาบน้ำ ปลาย่าง ผักต้ม และกล้วยบวชชี ของหวานซึ่งนางโปรดปรานมาก ทางเรือนจำได้จัดให้ตามความประสงค์ทุกอย่างที่นางต้องการ ตลอดเวลาที่นางนั่งบริโภคท่ามกลางสายตาผู้มารอดูภาพ นาทีระทึกใจ ดูนางมีความสุขกับอาหารมื้อสุดท้ายอย่างเอร็ดอร่อย

นางกินไปคุยไป หลายครั้งที่หันไปพูดกับผู้ที่รู้จักมักคุ้น ซ้ำยังกล่าวอย่างปลงตก ยอมรับสภาพว่า

“ถึงแม้จะต้องตาย ถึงจะถูกกุดหัว ก็ไม่กลัวไม่เสียดายชีวิตหรอก คนเราเกิดมาต้องตายทุกคนจะช้าเร็วเท่านั้น...เสียดายแค่เพียงไปหลงเชื่อความยุติธรรมว่ามีจริงเท่านั้นเอง”

ก็ไม่รู้ว่านางหมายถึงอะไร ?...ปริศนานี้ผู้มีปัญญาน่าจะเข้าใจได้เอง

หลังจากอาหารมื้อนั้นเรียบร้อยอิ่มหมีพีมันแล้ว พระสงฆ์ก็ได้เทศนากล่าวถึงอะไรที่เป็นบาปบุญ คุณ โทษ และการให้อภัย นางประนมมือฟังเทศน์ด้วยอาการสงบ เมื่อพระเทศน์จบ นางก็ถวายดอกไม้ ธูปเทียนแก่พระสงฆ์...

มาช่วงนี้ ทุกคนที่มาเฝ้าดูการประหาร ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยเวทนาสงสาร เมื่อนางเอื้อมมือไปรับทารกซึ่งนอนอยู่ในเบาะจากหญิงชรามาให้นมจากนางเป็นครั้งสุดท้าย

เสร็จแล้วนางก็กอดจูบลูกน้อยเป็นการอำลา ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงวินาทีนั้นว่าหัวใจผู้เป็นแม่แทบแตกสลาย ผู้คนที่จับตาดูร่ำไห้ออกมา โดยเฉพาะผู้หญิงด้วยกันรู้ซึ้งดีว่า ความรัก ความผูกพันทางสายเลือดที่มีต่อลูกนั้นมันยิ่งใหญ่แค่ไหน

ตอนนี้มารดานักโทษซึ่งอุ้มทารกเดินตามร้องไห้โฮ ด้วยความรันทด หลายคนถึงกับเบือนหน้าหนีจากภาพสะเทือนใจ

และแล้ว ช่วงนาทีอันสุดตื่นเต้น หวาดเสียว ระทึกใจใกล้เข้ามาถึงเมื่อเจ้าหน้าที่เรือนจำพานางเข้าหลักประหาร ซึ่งนางเดินตามไปด้วยอาการปกติโดยดี ไม่มีอาการหวาดกลัวหรือห่วงใยใด ๆ ทั้งสิ้นจากโลก

เจ้าหน้าที่ให้นางลงนั่งยังพื้นที่หลักประหารโดยให้นางเหยียดขาไปด้านหน้าในท่านั่ง หลังมัดติดหลักประหาร ส่วนมือมัดประนมไว้แค่อก แล้วเอาดอกไม้ธูปเทียนยัดใส่ไว้ในมือ เอาผ้าผูกปิดตา ใช้เชือกมัดร่างนางติดกับหลักประหาร มือทั้งสองที่ประนมมืออยู่ ตรงข้อมือมีเชือกมัด 2 ข้อมือติดกัน (บางรายก็ไม่ปิดตา) แล้วเอาดินเหนียวอุดที่ช่องรูหูทั้งสองข้าง

เป็นการสะกดไม่ให้เห็นไม่ให้ได้ยิน เพื่อสมาธิของนาง ดอกไม้ธูปเทียนในมือนั้นเป็นการยินดีรับกรรมทุกอย่าง

ทันใดนั้นก็มีเสียงพิณพาทย์บรรเลงเพลง ธรณีกรรแสง ติดตามด้วยเพลงพญาโศก เสียงปี่เป่าดังฟังโหยหวน บรรดาฝูงชนเงียบกริบ สายลมก็ไม่พัดไหวติง บางคนใจเต้นระทึก ส่วนมือสังหารทำพิธีบวงสรวงเทพยดาอารักษ์ ด้วยเครื่องสังเวย หัวหมู บายศรี ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว และเหล้าขาวที่ศาลเพียงตา

เมื่อชุมนุมเทวดาแล้วก็กล่าวประกาศให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานในการที่ทำหน้าที่ประหารชีวิตนักโทษว่า ทำตามหน้าที่ ขอให้อย่ามีเวรกรรมต่อกันเลย เสียงปี่มอญ ปี่ชวา โหยหวนด้วยเพลงธรณีกรรแสง

เพชฌฆาตที่จะลงดาบนั้น จะมี 2 คน แต่งตัวนุ่งผ้าแดงทั้งคู่ รูปร่างล่ำสัน เนื้อตัวสักลงยันต์อักขระทั้งหน้าหลัง มีมงคลสวมศีรษะ หน้าตาน่ากลัว  เรียกกันว่า ดาบที่ 1 และ ดาบที่ 2

ช่วงนั้นฝูงชนเงียบ หลายคนอยากเห็นชัด ๆ  ถึงกับลงทุนปีนขึ้นไปนั่งบนต้นไม้ บ้างก็ใจฝ่อเหมือนกันเมื่อเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอาปูนแดงที่กินกับหมากมาป้ายที่คอทำเครื่องหมายจุดตายของการลงดาบ

เพชฌฆาตดาบที่ 1 ร่ายรำปรากฏร่างขึ้นทางประตูด้านหลัง ใช้ผ้าขึงทำม่าน พร้อมด้วยดาบขาววาววับ คมกริบกระชับอยู่ในมือ กวัดแกว่งดาบอย่างชำนิชำนาญ

ไม่เพียงเท่านั้น เพชฌฆาตอีกคนหนึ่งได้ปรากฏร่างขึ้น แต่งกายเหมือนคนแรก รวมทั้งท่าร่ายรำ

ทั้งสองรำดาบใกล้นักโทษหญิง หมุนเวียนไปมารอบ ๆ นางซึ่งนั่งประนมมือมัดแน่นไว้กับหลักเสา ดาบในมือฟาดฟันอากาศส่งเสียงเฟี้ยวฟ้าว ตอนนี้ฝูงชนที่มามุงดูเกิดอาการเครียด

บางทีเพชฌฆาตสืบเท้าเข้าไปเหมือนจะลงดาบ แต่กลับชะงัก แล้วถอยห่างไปอีก

ภาพเช่นนี้ทำเอาไทยมุงทั้งหลายอยู่ในสภาพตาเบิกกว้างไม่ยอมกระพริบ บางคนยืนใจลอยสะดุ้งเมื่อเพื่อน ๆ เอามือจี้ที่สะเอว แล้วเอามือลูบที่ต้นคอด้านหลัง

และแล้ววินาทีภาพที่ทุกคนเอาใจจดจ่อก็มาถึง นักโทษจ้องดูเงาเพชฌฆาตที่ร่ายรำดาบอยู่เบื้องหน้าที่ผ้าดำปิดตา และไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยว่า ทางเบื้องหลังนั้นมือดาบสังหารกำลังย่องเงียบกริบเหมือนแมวเตรียมตะครุบนกกระจอก ดาบในมืออันขาววับคมกริบ แล้วฟาดคมลงที่ปูนแดงหมายเอาไว้...สุดแรง และรวดเร็ว

ฉับพลัน...เสียงร้องกรี๊ด!! อันเป็นอาการแสดงความตกใจอย่างสุดขีดของไทยมุงกลบเสียงปี่ที่บรรเลงซึมเศร้าประกอบการประหารหยุดลงทันที...กรรมลงมือชำระความ ตอนภาคมนุษย์แล้ว

จะเป็นกรรมเก่า –กรรมใหม่ ก็สุดเดาได้

ภาพที่สร้างความหวาดเสียว ตกตะลึงพรึงเพริด ก็คือศีรษะของนักโทษหญิง ห้อยตกลงไปแนบกับอก โดยที่ยังไม่หลุดจากบ่า เลือดจากเส้นเลือดใหญ่ พุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ ดุจน้ำพุ เสื้อผ้าสีขาวถูกเลือดสีแดงเข้มเปียกชุ่ม

ผ้าผูกตาเลือนหลุด ดวงตาจากศีรษะที่ถูกฟันไม่ขาดกลอกกลิ้ง หนังตากระพริบติด ๆ กัน แขนขามีอาการสั่นกระตุกอยู่ครู่หนึ่งก็หยุด

เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ มือดาบคนที่ 2 ก็ปราดเข้ามารวบผมนักโทษดึงให้ตึง ใช้คมดาบปาดส่วนหนังที่ยังไม่ขาดให้หลุดออกจากบ่า ยกชูให้ทุกคนมองเห็นเป็นสักขีพยาน

การถอดโซ่ตรวนที่แสนหนักจากขาทำแบบง่าย ๆ  ก็คือ ใช้ขวานฟันขาให้ขาด เสียงดัง โพล๊ะ!!

มาถึงตอนนี้ผู้เข้าชมหลายคนถึงกับเป็นลมหน้ามืด เพราะสุดหวาดเสียว หลายรายที่ปีนต้นไม้ขึ้นไปดูเกิดอาการมือไม้อ่อน ตีนอ่อน พลัดหล่นจากต้นไม้เอาดื้อ ๆ

ดูเป็นการทารุณ แต่มันเป็นการตอบโต้กับนักโทษที่ได้สร้างกรรมเอาไว้

สำหรับรายนางทองเลื่อน ต่อเมื่อศีรษะได้ถูกกุดจากบ่าแล้ว ร่างและหัวของเธอก็ถูกฝังลงในหลุมซึ่งขุดเตรียมเอาไว้ ณ ป่าช้าประจำวัดที่ประหารนั้น

การประหารชีวิตด้วยการลงดาบในสมัยแรก ๆ เพื่อต้องการให้ราษฎรได้รู้ว่า การทำความชั่ว สร้างแต่กรรมและเวร เป็นการกระทำที่ไม่น่าเอาเยี่ยงย่าง ซึ่งปรากฏว่าการประหารชีวิตจึงต้องทำกันอย่างเปิดเผย มีราษฎรมาดูกันเป็นจำนวนมาก

แต่ต่อมา การประหารทำกันอย่างเงียบ ๆ โดยปกปิดไม่ให้ราษฎรรับรู้...สาเหตุไม่เปิดเผย อาจเป็นได้ที่จับแพะ ฆ่าแพะ ปล่อยคนผิดให้ลอยนวลเพื่อรับสินบน รวบรัดปิดสำนวนเอาความดีความชอบ เอาเงิน..

.แล้วไง!! บั้นปลายไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงกรรมจะยังตามผู้นั้นไม่ทัน แต่ทายาทกรรมยังอยู่

โคตรใครก็โคตรใคร ทำกรรมอย่างไรไว้ โคตรนั้น...ก็ต้องรับเป็นทายาทกรรมอยู่ดี!!

ปี พ.ศ.2507 คนงานขุดท่อระบายน้ำก็ได้ขุดพบโครงกระดูกจำนวนมากที่ตรงนั้น คือบริเวณ ห้าแยกพลับพลาไชย...ในอดีตที่ตรงนั้นก็คือ วัดโคก เป็นตะแลงแกงแดนประหารแห่งหนึ่ง ในจำนวน 2 ใน 3 แห่ง

กรรมที่ต้องกุดหัวนี้ มีบันทึกสุดท้ายแค่อำแดงทองเลื่อนเท่านั้น ว่าเป็นนักโทษกุดหัวคนสุดท้าย แต่เท่าที่ไปสืบเสาะมาว่ายังปรากฏหลักฐานการกุดหัวอีกหลายท้องที่ตามวัดต่าง ๆ เช่นวัดใหม่ยายนุ้ย ถนนวุฒากาศ ตำบลตลาดพลู และวัดข้างเคียง ตลอดจนจังหวัดต่าง ๆ ของทุกภาคในเมืองไทย  แต่นั่นไม่บันทึกเป็นหลักฐาน จึงไม่ขอยืนยันคำเล่าลือที่สืบทอดกันมาว่าจริงแท้แน่นอน แค่ไหน...หรือไม่!!

                                                                    *   *   *

* ภาพประกอบ เพื่อการศึกษาให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง เรียน“ขออภัยทาน” จากผู้สร้างภาพยนตร์และทีมงาน “สุริโยทัย”  ทุกท่านด้วยครับ

ธงชัย เรืองจันทึก  12 เมษายน 53

(หลักประหารที่ตรึงผู้ถูกประหาร คนโบราณเรียกกันว่า หลัก กากะเยีย)

............................................

 

 

ShareThis
 




 แสดงความคิดเห็น
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 03:10:35 PM »



 



 "บุญเพ็งหีบเหล็ก" เป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย
 "บุญเพ็ง" เป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย ของกรุงรัตนโกสินทร์



ชื่อของ (บุญเพ็งหีบเหล็ก) ผู้ซึ่งกลายเป็นตำนานฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่ายัดหีบแล้วถ่วงน้ำนับครั้งไม่ถ้วน
คดีโหดสะเทือนขวัญที่สุดแล้วสำหรับคนไทยในสมัยนั้นในขณะที่ต่างประเทศให้ความสนใจถึงขนาดตั้งฉายาว่า(The Murderer Iron Box)
ย้อนรอยชีวิตฆาตกร
หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ช่วงนั้นได้มีการประหารนักโทษสำคัญท่านหนึ่ง ซึ่งที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "บุญเพ็ง" ซึ่งก่อคดีฆ่าคน ตายหลายชีวิต และศพที่ "บุญเพ็ง" ฆ่านั้นก็ได้นำมาใส่หีบเหล็ก แล้วโยนทิ้งน้ำทุกครั้ง

 

ซึ่งนับว่า "บุญเพ็ง" เป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย ของกรุงรัตนโกสินทร์ บุญเพ็งเดิมเป็นชายหนุ่มรูปงามนักเป็นที่เลื่องลือ และกล่าวขาน เขากำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับตายาย ชื่อตาสุก และยายเพียร ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมา

แต่ หนุ่มบุญเพ็ง ไม่เอาไหน งานการไม่อยากทำ โดยปล่อยให้ตายาย ไปทำนาตามประสา ส่วนตัวเองกลับสนใจวิชาทางด้านไสยศาสตร์เวทมนต์และ ได้ไปขอเรียนวิชาอาคม กับ ตาไปล่ สัปเหร่อวัดไผ่เคาะ ผู้มีวิชาดี ทาง กำจัดภูตผี ปีศาจ และทำเสน่ห์ยาแฝด และหมอดู บุญเพ็งเรียนจบครบหลักสูตรวิชาไสยศาตร์ประเภทมนต์ดำฝังรูปฝังรอย พร้อมวิชาหมอดู

นอกจากเขาจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น เขายังมีกิริยานอบน้อม เจรจาพาทีไพเราะ จนสาวๆ ทั้งหลายทอดสายตาให้ วิชาที่บุญเพ็งเรียนมา เป็นวิชาที่ไม่ให้คุณใคร และตาสุก ยายเพียรตระหนักดี แกคอยห้ามปราม ต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากบุญเพ็งเท่าที่ควร

ต่อมาเขาได้เติบโตเป็นหนุ่ม ถูกตายายดุด่า ห้ามปรามไม่ให้เล่นวิชาไสยศาสตร์ เขาจึงทนไม่ไหว และมุ่งหน้าเข้าสู่บางลำพู ที่บางกอก (กรุงเทพฯ) มาตั้งสำนักหมอผี อยู่ในสวน ใกล้คลองบางลำภู เปิดสำนักดูหมอสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต รับทำเมตตามหานิยม เสน่ห์ยาแฝด และไสยศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นมีคนมาหาแวะเวียนมากมาย

บุญเพ็งมีคนรักชอบพอมากมายเนื่องจากเป็นคนรูปร่างดี พูดจาไพเราะอ่อนหวาน กับอีกด้าน ก็มีคนไม่ชอบอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ศัตรูก็ไม่น้อย ที่สำนักของเขามีหีบเหล็กโบราณ อยู่ถึง ๗ ใบ ช่วงนั้นผู้หญิงได้ไปติดพัน ไปหาตอนกลางคืน และนั่งคุยจนดึกดื่น ก็ต่างตกเป็นทาสสวาทของเขาทั้งสิ้น นานวันเข้าผู้หญิงคนนั้นก็หายไปอย่างลึกลับ ไร้ร่องรอย พร้อมกับหีบเหล็กที่หายไปทีละ ๑ ใบ พฤติกรรมของเขา ที่เล่นบทรักกับผู้หญิงอย่างซาดิสม์ ทารุณ จนขาดใจตาย แล้วเขาจะใช้มีดสับศพเป็นท่อนๆ ยัดใส่หีบเหล็ก นำไปทิ้งลงคลองย่านบางลำภูเพื่อทำลายหลักฐานซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่สุดเหี้ยมโหดในสมัยนั้น
ก็มีผู้หญิงคนแล้วคนเล่าที่ต้อง มาสังเวยชีวิตให้กับบุญเพ็ง คนสุดท้ายเป็นคุณนาย ที่สามีทอดทิ้ง รูปร่างดี แต่งกายทองเต็มตัว บุญเพ็งก็เสพสมแล้ว กลายเป็นขาประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง หญิงคนนั้นก็เกิดตั้งท้อง ยื่นคำขาดให้บุญเพ็งรับผิดชอบเป็นเมียอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งบุญเพ็งจะบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา

ดังนั้นเขาจึงต้อง ฆ่าหญิงคนนั้นเสีย แล้วนำศพหั่นเป็นท่อน ๆ ยัดลงหีบนำไปทิ้งลงคลองอีกเช่นเคย "และเป็นหีบใบสุดท้ายที่มี" ซึ่งหลังจากนั้นเริ่มระแคะระคาย บุญเพ็งจึงลี้ภัยที่รู้ว่าจะมาหาตัว หนีไปบวชเป็นพระที่วัดแถวอยุธยา หลังจากนั้นซึ่งไม่รู้ว่าเป็น กรรมเวรอะไร ทำให้บุญเพ็งต้องสึกออกมาเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงที่หมายปอง และคืนนั้นเองที่ ยังไม่ทันจะได้ถึงสวรรค์ ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับไว้อย่างละม่อมในข้อหา ฆ่าคนตายอย่างเหี้ยมโหด เรื่องราวทั้งหมดสืบเนื่องมาจากได้มีชาวบ้านไปทอดแห แล้วเจอหีบทั้ง ๗ ใบ ในนั้นมีซากศพเป็นท่อน ๆ อยู่ในหีบทุกใบ จึงต้องโทษ และถูกตัดสิน โดยการประหารชีวิต เป็นการลงโทษที่หนักที่สุด ซึ่งในช่วงประหารชีวิตนั้นได้มีผู้คนมากมายมาดูการประหารชีวิต แต่ว่าไม่มีญาติของบุญเพ็งเลยสักคน แม้กระทั่งเจ้าสาวซึ่งยังไม่ทัน จะส่งตัวเข้าห้องหอ ก็ไม่มา

แต่.. มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยครับ เนื่องจากระหว่างที่นายเพ็งจะถูกประหารเนี่ย

ในช่วงประหารชีวิตนั้นเอง เพชฌฆาต รำดาบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ลงดาบอันคบกริบลงบนคอ แทนที่คอจะ ขาดเลือดพุ่งกระฉูด กลับกลายเป็นว่า คมดาบนั้นไม่ได้ระคายเคืองผิวเลย จนเพชฌฆาตพูดว่า "มึงมีอะไรดี ให้เอาออกเสียเถอะ" หลังจากนั้นเพชฌฆาต ก็เอาพระเขวี้ยงทิ้งไปในกอไผ่

คราวนี้รำดาบใหม่ ดาบหน้ารำจนบุญเพ็งเคลิ้มเผลอ ทันใดนั้นดาบหลังฟันดัง
ฉับ!!!! คราวนี้ คอขาด หัวกระเด็น จนเลือดพุ่งกระฉูด ผู้คนที่มาดูต่างร้องวี้ดว้ายระงม
เพราะ................ว่าๆกันว่า ขณะที่ศีรษะถูกคมดาบของเพชฌฆาตฟันฉับนั้น ในช่วงวินาทีสั้นๆ ชาวบ้านหลายคนได้เห็นมุมปากของบุญเพ็ง ขมุบขมิบเหมือนท่องคาถาอะไรสักอย่าง

ซึ่งว่ากันว่า อาจจะเป็นไพ่ตาย คุณไสยครั้งสุดท้ายของเขาเผื่อจะป้องกันชีวิตของเขาได้ครับ

ศพของบุญเพ็ง หีบเหล็ก ถูกนำไปฝังไว้ในป่าช้านั้นเอง จนภายหลังญาติมาจัดการเผาศพตามพิธี และกล่าวกันว่า รอยสักช่วงแผ่นหลัง ของเขา เผาไฟไม่ไหม้ ญาติเก็บกระดูกใส่เจดีย์ไว้ข้างอุโบสถ์วัด จนช่วงหลังเจดีย์ถูกรื้อออก ทางวัดภาษี จึงได้ให้ช่างปั้นรูปปั้นจำลอง ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ตั้งไว้ในศาลเล็ก ๆ ติดกับวิหาร ซึ่งเป็นอนุสรณ์ว่า เขาเป็นนักโทษประหารคนสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิ.ย.๒๔๗๕ ศาลลุงบุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้มีคนไปกราบไหว้บูชา เสี่ยงโชคลาง และเข้าใจว่าวิญญาณของเขายังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จนถึงทุกวันนี้เพื่อไถ่บาปอีกนับร้อนนับพันปี

นับว่าเขาคือ นักโทษคนสุดท้ายที่ได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการบั่นศีรษะ

และบุญเพ็ง คือ ฆาตกรฆ่าหั่นศพคนแรกของเมืองสยาม
สิ่งที่ทำให้บุญเพ็ง หีบเหล็ก ได้กระทำความผิดนั้น มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ
*กิเลส* ในจิตใจของเขานั่นเอง
มนต์ดำ คือของนอกรีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักคำสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นสิ่งที่คอยผูกมัดมนุษย์ด้วยความกลัว ความโลภ ความหลง
และสิ่งที่เขาได้รับเป็นผลตอบแทนจากกรรมของเขา จะเป็นบทเรียนที่สำคัญให้แก่นักเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำนอกรีต

ภาพการประหารของบุญเพ็งครับ

  

ณ. ลานประหาร

 

เพชรฆาต กำลังรำดาบ

 

เพชรฆาต ฟันดาบ คอขาดร่องแร่ง ห้อยอยู่บนตัก ของบุญเพ็ง
 
=========================================================

 
 
 
 

 
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 09, 2011, 09:54:00 AM โดย pasta » บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 03:13:46 PM »

3นักโทษประหาร...ในบันทึก'เพชฌฆาต'
 Share6 Share   
 ภาพประกอบข่าวคมชัดลึก : ในบรรดานักโทษที่ "เชาวเรศน์ จารุบุณย์" เพชฌฆาตคนสุดท้าย ทำหน้าที่ประหารชีวิต 55 คน มีอยู่ 3 คนที่เป็นที่จดจำมากที่สุด ไม่เฉพาะในด้านความโหดเหี้ยมทารุณผิดมนุษย์มนาเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของความรู้สึกรันทดหดหู่ อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของศาล...อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

โฆษณาโดย Google
ดาวน์โหลด Google Chrome
ไม่บันทึกประวัติการเบราส์ของคุณ ด้วยโหมดไม่เปิดเผย
www.google.co.th/chrome
 นักโทษประหารรายแรกที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ คือ น.ญ.สมัย ปานอินทร์ ผู้ต้องขังคดียาเสพติด สมัยเป็นนักโทษรายสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าและยังเป็นนักโทษหญิง 1 ใน 3 คนที่ถูกประหาร นับตั้งแต่มีโทษประหารชีวิตเมื่อปี 2478-2546 จากนักโทษถูกประหารทั้งสิ้น 319 ราย สมัยมีคดีติดตัวมากถึง 13 คดี ทั้งคดียาเสพติด ลักทรัพย์ หรือรับของโจร

 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2537 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 15 ถนนรามอินทรา เขตบางเขน กรุงเทพฯ พบเฮโรอีน 4,471 กรัม รวม 5 ถุง และเฮโรอีนบรรจุหลอดอีก 2,800 หลอดเตรียมจำหน่าย พร้อมด้วยเงินสดอีก 214,800 บาท ขณะเดียวกันสามารถจับกุมผู้ร่วมกระทำผิดได้ทั้งหมด 6 คน หนึ่งในนั้นคือ สมัย ปานอินทร์ การสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่จากพยานหลักฐานที่ปรากฏบ่งชัดว่า สมัยมีส่วนร่วมในคดีค้ายาเสพติดครั้งนี้ด้วย ศาลพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาประหารชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2542

 น.ญ.สมัย ถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหารเวลา 17.50 น. มัดมือด้วยด้ายดิบสีขาวและนำผ้าสีน้ำเงินติดเป้าตาวัวมาบังร่างไว้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตั้งศูนย์ปืนทำหน้าที่ปรับตั้งศูนย์ให้ตรงกับหัวใจ ขึ้นลำกล้องปืนกลเอชเค เอ็มพี5 จากนั้นเชาวเรศน์ก็มาทำหน้าที่เพชฌฆาต กระสุน 1 ชุด 7 นัดตรงเข้าสู่หัวใจสิ้นใจตายทันทีคาหลักประหาร

 "จริงๆ แล้วผมไม่อยากพูดถึงนักโทษประหารเท่าไรนัก ไม่อยากตอกย้ำญาติของผู้ถูกประหาร แต่วันนั้นรู้เพียงว่าหดหู่ใจมาก เมื่อรู้ว่าสมัยต้องการพบลูกก่อนเข้าหลักประหาร หรืออย่างน้อยก็ขอพูดโทรศัพท์กับลูก เพื่อตกลงเรื่องการจัดงานศพหลังถูกประหารชีวิตแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากผิดระเบียบปฏิบัติ ทำได้เพียงให้เขาเขียนจดหมายถึงลูก ซึ่งใจความนั้นก็หดหู่มากเหมือนกัน เนื้อหาเกี่ยวกับความห่วงหาอาทรลูกๆ เจ้าหน้าที่หลายคนสงสาร บางคนถึงกับขอถอนตัวเลยด้วยซ้ำ" เชาวเรศน์ เล่า

 สำหรับนักโทษประหารรายที่ 2 คือ น.ช.พันธ์ สายทอง ต้องโทษในคดีฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวัย 4 ขวบในห้องน้ำของโรงเรียน เป็นนักโทษที่มีความโหดเหี้ยมมากที่สุดคนหนึ่ง ในชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้นศาล น.ช.พันธ์ ยังคงปากแข็งให้การปฏิเสธและกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการปรักปรำเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ก่อนจะเสียชีวิตก็ยังพร่ำบ่นอยู่เช่นนั้น

 เวลาบ่ายโมงตรง วันที่ 5 กรกฎาคม 2539 มีคนพบศพน้องอ้อมนักเรียนชั้นอนุบาล 1/1 โรงเรียนแห่งหนึ่งในซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ในสภาพนั่งพิงผนังห้องน้ำที่แยกออกไปจากตัวอาคารเรียนไม่ไกลนัก จากการตรวจสอบสภาพร่างกายพบว่า เด็กเคราะห์ร้ายถูกบีบคอจนเขียวช้ำ อวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืนจนฉีกขาดและมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา จากสภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุชุดสืบสวนสันนิษฐานว่า เด็กเคราะห์ร้ายดิ้นรนทุรนทุรายก่อนเสียชีวิต เนื่องจากรองเท้ากระเด็นไปคนละทิศคนละทาง และเชื่อว่าคนร้ายน่าจะจับเด็กกดน้ำด้วย

 พล.ต.ต.ธวัชชัย พรหมประสิทธิ์ ผบก.น.ธนฯ ได้สั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสืบหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ รวมถึงสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ผู้ที่พบศพคนแรก ผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงแม่ครัวของโรงเรียนอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง หนึ่ง คือเหยื่อเป็นเด็กนักเรียนอนุบาลอายุเพียง 4 ขวบ สอง พฤติกรรมที่คนร้ายกระทำไปอย่างโหดเหี้ยมเกรงจะมีผู้ตกเป็นเหยื่ออีก

 ผลการสืบสวนสอบสวนได้เบาะแสผู้ต้องสงสัยคือ "พันธ์ สายทอง" อายุประมาณ 30 ปี เป็นคนพื้นเพในวัดบางบำหรุ มีประวัติพัวพันยาเสพติดและที่สำคัญเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียง 7 วันเท่านั้น โดยมีพยานหลายคนพบเห็นนายพันธ์ท่าทางมีพิรุธป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้โรงเรียนก่อนเกิดเหตุ และแล้วในที่สุดความพยายามของตำรวจก็สัมฤทธิผล เมื่อสามารถติดตามจับกุมพันธ์ได้ที่ตรอกบ้านพานถม แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพฯ จากการสอบสวนนายพันธ์ให้การปฏิเสธ แต่มีพยานแวดล้อมชี้ตัวยืนยัน ประกอบกับผลตรวจหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ทั้งคราบอสุจิ เลือดที่เปื้อนเสื้อ รวมถึงขนเพชรระบุได้ว่าเป็นของนายพันธ์ สายทอง

 คดีนี้พนักงานสอบสวนและอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ศาลพิจารณาแล้วพิพากษาตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิต เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2542 ก่อนถูกตัดสินนายพันธ์ยังคงมีอาการเป็นปกติ กระทั่งรู้ตัวว่าต้องโทษประหารก็ถึงกับเข่าอ่อนมือไม้ไม่มีเรี่ยวแรง

 สำหรับนักโทษประหารรายที่ 3 คือ น.ช.เดชา สุวรรณสุก ผู้ต้องขังคดีฆ่าข่มขืนน้องนุ่น ลูกเลี้ยงวัย 4 ขวบอย่างทรมาน โดยเหตุการณ์สุดสะเทือนใจครั้งนี้เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับคดีของพันธ์ สายทอง คือเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 มีผู้พบศพน้องนุ่นเสียชีวิตอยู่ในห้องพักไม่มีเลขที่ของโรงงานแห่งหนึ่งย่านสุวินทวงศ์ กรุงเทพฯ ผลการชันสูตรศพพบว่า เด็กหญิงเคราะห์ร้ายเสียชีวิตอยู่ในสภาพนอนหงายอยู่บนหมอน ตามใบหน้าและร่างกายมีรอยฟกช้ำดำเขียว สวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีแดงลายดอก ตามตัวไม่พบบาดแผลของมีคม แต่ที่อวัยวะเพศมีรอยฟกช้ำ และมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดและทวารหนัก ใกล้กันพบขวดยาหม่องวางอยู่ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเด็กหญิงถูกข่มขืนและฆ่าตายอย่างทรมาน

 สอดคล้องกับการตรวจพิสูจน์ของแพทย์นิติเวช ยืนยันว่าน้องนุ่นถูกข่มขืนจนอวัยวะเพศฉีกขาดจนถึงทวารหนัก ในช่องคลอดพบน้ำอสุจิฝังอยู่ บริเวณแก้มขวามีรอยฟันกัด ใบหน้าและลำตัวมีรอยเขียวช้ำ สาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงเกิดจากสมองบวม มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง และเสียเลือดมากจากอวัยวะเพศที่ฉีกขาด

 จากการสอบปากคำพยานหลายๆ คนทำให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเชื่อว่า "เดชา สุวรรณสุก" ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการเสียชีวิตของน้องนุ่น จึงเชิญตัวมาสอบสวน เบื้องต้นเดชาให้การปฏิเสอ้างว่า วันเกิดเหตุมีลูกชายอีกคนของเขาอยู่กับน้องนุ่นตามลำพัง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าน้องนุ่นมีอาการผิดปกติ เลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศ สาเหตุเชื่อว่าน่าจะเกิดจากลูกชาย จากการสอบถามลูกชายปฏิเสธจึงไปซื้อยาแก้อักเสบมาให้น้องนุ่น กระทั่งวันรุ่งขึ้นถึงได้ทราบว่าน้องนุ่นเสียชีวิตแล้ว

 ภายหลังการสอบปากคำเสร็จสิ้น ตำรวจได้นำตัวเดชาไปตรวจร่างกายพบว่า บริเวณอวัยวะเพศของเขามีแผลถลอก ซึ่งพ่อเลี้ยงอำมหิตอ้างว่าเกิดจากการช่วยตัวเองสำเร็จความใคร่เมื่อวันก่อน อย่างไรก็ตามตำรวจยังพบร่องรอยขีดข่วนบริเวณมือซ้ายและหน้าอก จึงนำตัวไปตรวจเลือดพิสูจน์ดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับน้ำอสุจิที่พบในช่องคลอดของเด็กหญิงเคราะห์ร้าย ระหว่างขั้นตอนการเจาะเลือดท่าทางของเดชาอยู่ในอาการตื่นกลัว หวาดวิตก และร้องไห้อยู่ตลอดเวลา แต่ยังปากแข็งปฏิเสธถึงเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นกับลูกเลี้ยง

 ต่อมาอีก 6 วันให้หลัง เดชาก็เปิดปากรับสารภาพอย่างหมดเปลือกว่า สาเหตุที่ลงมือข่มขืนลูกเลี้ยง เพราะวันเกิดเหตุมีอาการเมาสุรา บวกกับความแค้นที่ภรรยาหนีไปอยู่กับชายอื่น ทั้งที่กำลังตั้งครรภ์ จึงลงมือข่มขืนน้องนุ่นทั้งทางอวัยวะเพศและทางทวารหนัก ก่อนจะพาเข้าไปล้างคราบเลือดในห้องน้ำแล้วมานำมานอนอยู่บนเตียงจุดที่เสียชีวิต

 น.ช.เดช สุวรรณสุก ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2542 เวลา 17.45 น. ด้วยปืนกลเอชเค เอ็มพี5 รวม 8 นัด เสียชีวิตคาหลักประหาร !?!



--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็น
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 04:23:50 PM »

น่ากลัว ครับ สำหรับ คนที่รู้เวลาตายของตัวเอง เศร้า

พวก ค้ายาเสพติด น่่าจะถูกประหาร บ้างนะครับ ที่เห็นๆ นานๆที  ไหว้

+1ให้น้าอัต ครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 04:39:15 PM »

น่ากลัว ครับ สำหรับ คนที่รู้เวลาตายของตัวเอง เศร้า

พวก ค้ายาเสพติด น่่าจะถูกประหาร บ้างนะครับ ที่เห็นๆ นานๆที  ไหว้

+1ให้น้าอัต ครับ  ไหว้


ขอบคุณครับอาศักดา   อย่าท้อ... 
 เยี่ยม หลงรัก หลงรัก หลงรัก
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #7 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 04:57:49 PM »

+1 ครับ  นักโทษคงไม่อยากให้เทศน์จบ.....  Grin
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 07:54:39 AM »

+1 ครับ  นักโทษคงไม่อยากให้เทศน์จบ.....  Grin


ขอบคุณครับผม  ไหว้
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #9 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 09:22:07 AM »

เสียวมาก

อย่าก่อกรรมกันอีกเลยมนุษย์เอ๋ย
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
birdwhistle...รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 218
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1293


« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 02:15:14 PM »

ก่อนจะย้ายมาอยู่ปากเกร็ด ผมอยู่เขตวัฒนาครับ  ตั้งแต่ยังไม่มีเขตวัฒนา

ตั้งแต่ยังเป็น ตำบลคลองเตย  อำเภอพระโขนง  พอแบ่งเป็นเขต ตอนแรกก็อยู่เขตคลองเตย

ช่วงที่ผมย้ายมาปากเกร็ดไปไม่ถึง 1 ปี ก็แยกจากเขตคลองเตย เป็นเขตวัฒนา

ที่เอ่ยถึงเขตวัฒนาเพราะ "วัดภาษี" ซอยเอกมัย23 เมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่สุขุมวิท ผมไปบ่อยครับ

วัดภาษี แดนประหาร บุญเพ็ง หีบเหล็ก  ซึ่งตอนแรกก็เป็น เจดีย์ใส่กระดูก "บุญเพ็ง หีบเหล็ก"

ปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายบ้าน ทางวัดจึงรื้อทำเป็นศาล ลุงบุญเพ็ง

มีประวัติ รูปภาพการดำเนินคดี และการประหารชีวิต ติดไว้ให้ชม เพื่อเตือนใจผู้คนให้ระลึกว่า แม้จะมีคาถาอาคมแกร่งกล้าเพียงใด ในที่สุดก็หนีไม่พ้นกฏแห่งกรรม

ที่จำได้ก็คือ กรมพระราชอาญา ตัดสินประหารชีวิต นายบุญเพ็งเมื่อ 12 ส.ค. 2462

และกำหนดวันประหารคือ  19 ส.ค. 2462

ซึ่งแดนประหารที่ทางการกำหนดไว้ในสมัยนั้น ก็จะมีทั้ง วัดมักกะสัน วัดภาษี และอีกหลายที่ โดยนายบุญเพ็งโดนประหารที่ วัดภาษีแห่งนี้ เมื่อ 19 ส.ค. 2462

และนางปริก คือเหยื่อรายสุดท้ายของ บุญเพ็ง
 
บันทึกการเข้า

เมื่อมั่งมี มิตรมากมาย มาหมายมอง  
เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา
ไม่มั่งมี มิตรมากมาย ไม่มีมา
แม้มอดม้วย มิตรหมูหมา ไม่มามอง
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 02:46:01 PM »

ก่อนจะย้ายมาอยู่ปากเกร็ด ผมอยู่เขตวัฒนาครับ  ตั้งแต่ยังไม่มีเขตวัฒนา

ตั้งแต่ยังเป็น ตำบลคลองเตย  อำเภอพระโขนง  พอแบ่งเป็นเขต ตอนแรกก็อยู่เขตคลองเตย

ช่วงที่ผมย้ายมาปากเกร็ดไปไม่ถึง 1 ปี ก็แยกจากเขตคลองเตย เป็นเขตวัฒนา

ที่เอ่ยถึงเขตวัฒนาเพราะ "วัดภาษี" ซอยเอกมัย23 เมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่สุขุมวิท ผมไปบ่อยครับ

วัดภาษี แดนประหาร บุญเพ็ง หีบเหล็ก  ซึ่งตอนแรกก็เป็น เจดีย์ใส่กระดูก "บุญเพ็ง หีบเหล็ก"

ปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายบ้าน ทางวัดจึงรื้อทำเป็นศาล ลุงบุญเพ็ง

มีประวัติ รูปภาพการดำเนินคดี และการประหารชีวิต ติดไว้ให้ชม เพื่อเตือนใจผู้คนให้ระลึกว่า แม้จะมีคาถาอาคมแกร่งกล้าเพียงใด ในที่สุดก็หนีไม่พ้นกฏแห่งกรรม

ที่จำได้ก็คือ กรมพระราชอาญา ตัดสินประหารชีวิต นายบุญเพ็งเมื่อ 12 ส.ค. 2462

และกำหนดวันประหารคือ  19 ส.ค. 2462

ซึ่งแดนประหารที่ทางการกำหนดไว้ในสมัยนั้น ก็จะมีทั้ง วัดมักกะสัน วัดภาษี และอีกหลายที่ โดยนายบุญเพ็งโดนประหารที่ วัดภาษีแห่งนี้ เมื่อ 19 ส.ค. 2462

และนางปริก คือเหยื่อรายสุดท้ายของ บุญเพ็ง
 
ก่อนจะย้ายมาอยู่ปากเกร็ด ผมอยู่เขตวัฒนาครับ  ตั้งแต่ยังไม่มีเขตวัฒนา

ตั้งแต่ยังเป็น ตำบลคลองเตย  อำเภอพระโขนง  พอแบ่งเป็นเขต ตอนแรกก็อยู่เขตคลองเตย

ช่วงที่ผมย้ายมาปากเกร็ดไปไม่ถึง 1 ปี ก็แยกจากเขตคลองเตย เป็นเขตวัฒนา

ที่เอ่ยถึงเขตวัฒนาเพราะ "วัดภาษี" ซอยเอกมัย23 เมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่สุขุมวิท ผมไปบ่อยครับ

วัดภาษี แดนประหาร บุญเพ็ง หีบเหล็ก  ซึ่งตอนแรกก็เป็น เจดีย์ใส่กระดูก "บุญเพ็ง หีบเหล็ก"

ปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะย้ายบ้าน ทางวัดจึงรื้อทำเป็นศาล ลุงบุญเพ็ง

มีประวัติ รูปภาพการดำเนินคดี และการประหารชีวิต ติดไว้ให้ชม เพื่อเตือนใจผู้คนให้ระลึกว่า แม้จะมีคาถาอาคมแกร่งกล้าเพียงใด ในที่สุดก็หนีไม่พ้นกฏแห่งกรรม

ที่จำได้ก็คือ กรมพระราชอาญา ตัดสินประหารชีวิต นายบุญเพ็งเมื่อ 12 ส.ค. 2462

และกำหนดวันประหารคือ  19 ส.ค. 2462

ซึ่งแดนประหารที่ทางการกำหนดไว้ในสมัยนั้น ก็จะมีทั้ง วัดมักกะสัน วัดภาษี และอีกหลายที่ โดยนายบุญเพ็งโดนประหารที่ วัดภาษีแห่งนี้ เมื่อ 19 ส.ค. 2462

และนางปริก คือเหยื่อรายสุดท้ายของ บุญเพ็ง
 
ขอบคุณครับผม  ไหว้
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.242 วินาที กับ 21 คำสั่ง