เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
สิงหาคม 25, 2025, 05:03:50 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: +++อนามัยโลกห่วงคนฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ 1 ล้าน+++  (อ่าน 770 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
PHAPHOOM
Full Member
***

คะแนน 86
ออฟไลน์

กระทู้: 188



« เมื่อ: กันยายน 09, 2012, 07:36:44 AM »

+++อนามัยโลกห่วงคนฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ 1 ล้าน+++

องค์กรอนามัยโลก เผยตัวเลขคนฆ่าตัวตายแต่ละปีสูงขึ้น หรือเฉลี่ยปีละราว 1 ล้านคน
หรือคนฆ่าตัวตายทุกๆ 40 วินาที มากกว่าการเสียชีวิตจากสงครามและฆาตกรรมรวมกัน…

เผยคนไทยฆ่าตัวตายกว่า3.5พันคนต่อปี
 น่าห่วงโจ๋เฉลี่ย170ราย อีสานมากสุด

เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลาซา กรมสุขภาพจิต จัดงานโครงการตลาดนัดรณรงค์ความรู้แก่ประชาชน เนื่องในวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก (World Suicide Prevention Day) ตรงกับวันที่ 10 กันยายนของทุกปี ภายใต้หัวข้อ "คนไทยยุคใหม่ กำลังใจเกินร้อย" 

นพ.ทวี ตั้งเสรี รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในวันที่ 10 กันยายนของทุกปี สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายนานาชาติ ร่วมกับองค์การอนามัยโลก กำหนดให้เป็นวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก เพื่อให้ประชากรตระหนักถึงปัญหา การฆ่าตัวตายว่าสามารถป้องกันได้ โดยพบว่า แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั่วโลกปีละ 1 ล้านคน หรือเฉลี่ย 1 คนในทุกๆ 40 วินาที และจะส่งผลต่อคนรอบข้างผู้ตายอีก 10-20 ล้านคน ในประเทศไทยแต่ละปีมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ มากกว่า 3,500 คน และปีล่าสุด 2554 มีคนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 3,873 คน คิดเป็น 6.03 รายต่อประชากรแสนคน และสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราฆ่าตัวตายอยู่ที่ 5.9 รายต่อประชากรแสนคน

สำหรับสถานการณ์ฆ่าตัวตายที่น่าเป็นห่วง เมื่อวิเคราะห์ตามกลุ่มช่วงอายุ พบว่า กลุ่มวัยรุ่นถือว่่าน่าห่วงที่สุด โดยระหว่างปี 2550-2554 พบว่า มีวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 852 คน หรือเฉลี่ย 170 คนต่อปี และเฉพาะปี 2554 พบว่า วัยรุ่นอายุระหว่าง 15-19 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ อยู่ที่ 3.43 รายต่อประชากรแสนคน

ทั้งนี้วัยรุ่นชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าวัยรุ่นหญิง 3 เท่า แต่วัยรุ่นหญิงจะพยายามทำร้ายตนเองมากกว่าวัยรุ่นชายเป็น 3 เท่าเช่นกัน จากสถิติพบว่า ร้อยละ 51.1 ของวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตาย อยู่ในช่วงระหว่างศึกษา ร้อยละ 25.1 ไม่ได้เรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา และประกอบอาชีพรับจ้าง และเกษตรกรรม

โดยรูปแบบการฆ่าตัวตายมักเกิดแบบกะทันหัน เมื่อพบภาวะวิกฤต มากกว่าเกิดจากปัญหาสุขภาพจิต เช่น ปัญหาการเรียน ความรัก โดยพบว่า ร้อยละ 16.8 ที่ฆ่าตัวตายจะมีประวัติเคยทำร้ายตัวเองมาก่อน
 
"เมื่อพิจารณาเป็นรายภาคจะพบว่า ภาคอีสานมีการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นมากกว่าภาคอื่นๆ ส่วนจังหวัดที่มีวัยรุ่นฆ่าตัวตายสูงสุด 5 อันดับแรก คือ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี เชียงราย และเชียงใหม่ สำหรับวัยรุ่นในเขต กทม. มีอัตราการฆ่าตัวตายคิดเป็นร้อยละ 2.9 ของวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตายทั้งหมดการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ หากคนในครอบครัวหมั่นสังเกตพฤติกรรม"

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1346920028&grpid=03&catid=19&subcatid=1904

+++วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก+++

องค์การอนามัยโลก รายงานตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับสถิติ การฆ่าตัวตาย พบว่า ในแต่ละปีทั่วโลกจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคน โดยเฉลี่ยแล้วจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คนในทุก 40 วินาที และทุก ๆ 1 รายที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ มักจะมีญาติใกล้ชิดอีกกว่า 20 รายพยายามฆ่าตัวตายตาม

ความรุนแรงของปัญหาดังกล่าวทำให้องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ วันที่ 10 กันยายน ของทุกปีเป็น วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก หรือ World Suicide Prevention Day โดยประกาศเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2003 หรือ พ.ศ. 2546 ในแต่ละปีจะมีคำขวัญเพื่อการรณรงค์ในมิติต่าง ๆ

ในปีนี้องค์การอนามัยโลกกำหนดคำขวัญวันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกไว้ว่า Suicide Prevention across the Globe : Strengthening Protective Factors and Instilling Hope

ถอดความเป็นภาษาไทยว่า การป้องกันการฆ่าตัวตายทั่วโลก : เพิ่มปัจจัยปกป้องและให้พลังแห่งความหวัง

ข้อมูลการฆ่าตัวตายของ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2554 มีคนไทยฆ่าตัวตายทั้งสิ้น 3,873 ราย แยกเป็น ชาย 2,985 คน และหญิง 888 คน คิดเป็น 6.03 คนต่อประชากรแสนคน

เป็นที่น่าสังเกตว่า 10 จังหวัดที่มีสถิติคนฆ่าตัวตายสูงสุดเป็นจังหวัดภาคเหนือตอนบนและภาคเหนือตอนล่างแทบทั้งสิ้น ดังต่อไปนี้ ลำพูน ระยอง เชียงใหม่ น่าน เชียงราย พะเยา เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ แพร่ และอุตรดิตถ์ คงมีเพียงเมืองชายทะเลตะวันออกระยองจังหวัดเดียวที่สอดแทรกขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2

เสียดายจากข้อมูลไม่ได้ให้รายละเอียดว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาอะไรบ้าง...Huh

ทว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกและคนไทยฆ่าตัวตายล้วนเกิดจากการเป็น โรคซึมเศร้า มาก่อนแทบทั้งนั้น แต่เชื่อหรือไม่ว่าอัตราการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังในไทย มีเพียงร้อยละ 3.94

แสดงว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 100 คน จะเข้าถึงบริการได้รับการรักษาเพียง 3 คน…!!!

เป็นผลให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรงจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า...!!!

หากปัญหาโรคซึมเศร้าไม่ได้รับการแก้ไข อาจพบว่าสังคมไทยจะมีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในอนาคต

เทียบกับอัตราฆ่าตัวตายของโลกค่าเฉลี่ยไม่เกิน 6.5 คนต่อประชากรแสนคน อัตราเสี่ยงมีค่าอยู่ระหว่าง 6.5-13 และอัตราฆ่าตัวตายสูงมีค่ามากกว่า 13 คนต่อประชากรแสนคน

ประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ อัตราการฆ่าตัวตายอยู่ในเกณฑ์สูงมาก เช่น ญี่ปุ่น มีสถิติอยู่ที่ 24.1 คน ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ศรีลังกา 21.6 คน สหรัฐอเมริกา 10.5 คน สวีเดน 13.5 คนต่อประชากรแสนคน

นับว่ายังเป็นข่าวดีอยู่บ้างที่ในรอบ 7 ปีมานี้ สถิติการฆ่าตัวตายของไทยไม่ถึง 6.5 ต่อประชากรแสนคน อาจจะมีช่วงหลัง วิกฤติต้มยำกุ้ง ในปี 2542 ที่มีอัตราฆ่าตัวตายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 8.6 ต่อประชากรแสนคน แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ลดลงตามลำดับ ในข่าวดีก็ยังมีข่าวร้ายปนอยู่บ้างเช่นกัน เนื่องจากข้อมูลบ่งชี้ว่า ช่วงอายุขัยของคนที่ฆ่าตัวตายยังคงมีสูงในช่วงอายุตั้งแต่ 20-59 ปี ซึ่งคนวัยนี้ถือเป็นประชากรใน วัยทำงาน ที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวม

อย่างไรก็ดีว่าที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ที่ได้ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เข้ามารับตำแหน่ง แม้ว่าจะมีประสบการณ์ในกรมนี้ไม่นานนัก แต่ด้วยชั่วโมงบินและวิสัยทัศน์ ก็น่าจะนำข้อมูลมาใช้บริหารจัดการปัญหาและป้องกันการฆ่าตัวตายให้ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ได้ไม่ยากนัก


ที่มา  http://www.dailynews.co.th/article/632/153669

บันทึกการเข้า

*** ดูถูกคนอื่น เท่ากับดูถูกตนเอง ***
แปจีหล่อ
Hero Member
*****

คะแนน 6324
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8253



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 09, 2012, 09:52:05 AM »

วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก แปลกดีเนาะไม่เคยรู้เลยครับว่ามีวันนี้ด้วย คนเค้าจะไปสบายแล้วก็ยังไม่ให้เค้าไปอีก
บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.075 วินาที กับ 21 คำสั่ง