
"สัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อนในทะเลไทยถูกกวาดขึ้นมาด้วยเรืออวนลากเข้าสู่
โรงงานปลาป่นและป้อนให้กับธุรกิจอาหารสัตว์ของท่านเจ้าสัว สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้
กับท่าน แต่อาชีพประมงอื่นๆ ในประเทศกำลังล้มละลาย คนกินปลากำลังถูกสถานภาพ
แกมบังคับให้หมดทางเลือก เสมือนบริษัทในเครือของท่านกำหนดให้กินแต่ไก่ขาว หมูขุน
ปลานิล/ปลาทับทิมที่ท่านสามารถควบคุมได้เบ็ดเสร็จทั้งราคา อาหาร ยา พ่อพันธุ์แม่พันธุ์
ฯลฯ แล้วสังคมไทยจะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างไร"
บรรจง นะแส
www.facebook.com/bnasaeนายกสมาคมรักษ์ทะเล
------
ขอร้องเจ้าสัวซีพีสักเรื่องได้ไหมครับ
ข้อเสนอข้อเรียกร้องให้บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ของเจ้าสัวซีพี คุณธนินทร์ เจียรวนนท์ ให้
เลิกซื้อปลาป่นจากเรืออวนลากของสมาคมรักษ์ทะเลไทย ที่ได้เสนอต่อบริษัทในเครือฯ ไปเมื่อ
หลายเดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับในทางหลักการว่าจะนำเรื่องนี้ไปพิจารณา แต่นี่ก็เนิ่นนาน
มาเกือบปีแต่ก็หายไปในสายลม ไม่ยี่หระต่อความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เป็นชาวประมงหลาย
แสนครอบครัวที่ต้องใช้ทรัพยากรพันธุ์สัตว์น้ำในการประกอบอาชีพ รวมไปถึงประชาชนคนไทย
ที่บริโภคอาหารโปรตีนจากทะเลจำพวกกุ้งหอยปูปลา ที่จำเป็นต้องร้องขอท่าน ก็เพราะว่าถึงวันนี้
ทะเลไทยวิกฤตสุดๆ ในเรื่องพันธุ์สัตว์น้ำในทะเล ที่บริษัทในเครือของท่านมีส่วนสำคัญในการ
ทำลาย คือการใช้ปลาป่นจากเรืออวนลากในธุรกิจอาหารสัตว์ของท่าน
ใครๆ ในสังคมไทยและสังคมโลกก็รู้ว่าคุณธนินทร์ เจียรวนนท์ ท่านเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง
ของประเทศไทย (จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์) อีกทั้งนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ว่า
ท่านเป็น 1 ใน 25 ของเอเชีย ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพล และเป็นคนเดียว
ของประเทศไทยที่ได้รับการจัดอันดับความร่ำรวยที่สุดในประเทศมาตั้งแต่ปี 2553 ในปัจจุบันท่าน
ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มีชื่อเสียงเป็น
ที่รู้จักดีว่า เป็นบริษัทชั้นนำของโลกและของเอเชียที่ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดใน
โลก เครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังมีบริษัทในเครือกว่า 200 บริษัท มีการลงทุนในต่างประเทศถึง 20
ประเทศ พนักงานกว่า 2 แสนคน และมียอดขายรวมกันทุกกลุ่มธุรกิจรวมมากกว่า 6 แสนล้านบาท
ความมั่งคั่งร่ำรวยของท่านไม่มีใครปฏิเสธในความรู้ความสามารถ ความขยันหมั่นเพียรตลอดถึง
ฝีมือทักษะในการบริหารจัดการองค์กร แต่ในโลกปัจจุบันความร่ำรวยมั่งคั่งบนความอดอยากยาก
แค้นของผู้อื่นหรือการดำเนินธุรกิจที่ปราศจากความรับผิดชอบ จะต้องได้รับการท้วงติง ตรวจสอบ
จากสาธารณะมากขึ้นเช่นกัน
เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ควบรวมบริษัทย่อยๆ ในเครือ 10 บริษัทเป็นบริษัทใหญ่ 1 บริษัทเพื่อ
ประกอบธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมและอาหารในประเทศไทยในชื่อบริษัทซีซีเอฟ (ประเทศไทย)
จำกัด (มหาชน) (CCFTH) ไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 ถึงวันนี้บริษัทซีพีเอฟถือหุ้นทั้ง
ทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 50.00 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วของบริษัทนั้น
และมีบริษัทที่ซีพีเอฟมีอำนาจควบคุม จำนวนทั้งสิ้น 127 บริษัท ซีพีเอฟได้จำแนกธุรกิจตามประเภท
ของสินค้าออกเป็น 3 ธุรกิจหลัก คือ 1) ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) 2) ธุรกิจการเลี้ยงสัตว์ (Farm)
ได้แก่ การเพาะพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า และการแปรรูปเนื้อสัตว์พื้นฐาน และ 3) ธุรกิจ-
อาหาร (Food) ได้แก่ การผลิตสินค้าเนื้อสัตว์กึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร
พร้อมรับประทาน ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนตามตรอกซอกซอยในประเทศนี้ เราก็พบกับธุรกิจของ
ท่าน ไปตามพื้นที่ชนบทเราก็จะพบกับเกษตรกรที่อยู่ในการควบคุมดูแลของท่าน วันนี้มีคำถามว่า
เกษตรกรเหล่านั้นมีความมั่งคั่งร่ำรวยไปกับท่านกี่มากน้อย???
มีความจำเป็นที่จะต้องพูดกับท่านเจ้าสัวในประเด็นที่บริษัทในเครือของท่านยังไม่ยุติการนำปลาป่น
จากเรืออวนลากมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ (Feed) ก็เพราะว่าอุตสาห-
กรรมของท่านมีส่วนทำลายทำร้ายทะเลไทย ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรอิสระอย่างชาวประมงและคน
กินปลาอาหารธรรมชาติได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจของท่าน เครือเจริญโภคภัณฑ์มีนักวิจัย
มากมาย อยากให้พวกเขาได้ไปศึกษาที่นอกเหนือจากมิติทางธุรกิจบ้าง อย่างงานวิจัยที่กล่าวว่า
อ่าวไทยมีศักยภาพการผลิต (carrying capacity) ของสัตว์น้ำหน้าดินอยู่ที่ประมาณ 750,000 ตัน
ซึ่งต้องการการลงแรงประมงอวนลาก (fishing effort) อยู่ที่ 8.6 ล้านชั่วโมง (Muntana, Somsak,
1982) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา มีการจับสัตว์น้ำหน้าดินด้วยอวนลากเกินศักยภาพการผลิต
ของทะเล โดยปี พ.ศ. 2525 ผลผลิตของประมงอวนลากอยู่ที่ 990,000 ตัน ซึ่งเกินกว่ากำลังการ
ผลิตของทะเลกว่า 30% เป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่ง ของความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทะเล
ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2529 ผลผลิตของเรือประมงอวนลากลดลงเหลือ 648,560 ตัน ขณะที่ต้องลง
แรงทำการประมงถึง 11. 9 ล้านชั่วโมง
หรือให้ไปดูข้อมูลจากสถิติการทำประมงที่กรมประมงศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ปี 2504 ที่มีนำอวนลากเข้า
มาใช้ในประเทศไทยบอกไว้ว่า อัตราการจับสัตว์น้ำของอวนลาก อยู่ที่ชั่วโมงละ 297.6 ก.ก. ซึ่งส่ง
ผลให้ปริมาณการจับสัตว์น้ำจากอ่าวไทยพุ่งขึ้นมากหลายเท่าตัว หลายล้านตันต่อปี และเริ่มลดลง
เมื่อเวลาผ่านไป โดยในปี พ.ศ. 2525 อัตราการจับเหลือชั่วโมงละ 49.2 ก.ก. และเหลือเพียง
ชั่วโมงละ 22.78 ก.ก. ในปี พ.ศ. 2534 กระทั่งปี พ.ศ. 2552 งานวิจัยของโอภาส ชามะสนธิ และ
คณิต เชื้อพันธุ์ ระบุว่า ปี พ.ศ. 2549 อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของอ่าวไทยตอนบนเหลืออยู่เพียง
ชั่วโมงละ 14.126 ก.ก. ในขณะที่งานวิจัยเรื่ององค์ประกอบของผลผลิตอวนลากได้ พบว่า สัดส่วน
ของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องการมีเพียงร้อยละ 33.3 ที่เหลือเป็นปลาเป็ดร้อยละ 66.7
และร้อยละ 30.1 ของปลาเป็ดเป็นสัตว์ส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อน
สัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อนในทะเลไทยถูกกวาดขึ้นมาด้วยเรืออวนลากเข้าสู่โรงงานปลา
ป่นและป้อนให้กับธุรกิจอาหารสัตว์ของท่านเจ้าสัว สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับท่าน แต่อาชีพประมง
อื่นๆ ในประเทศกำลังล้มละลาย คนกินปลากำลังถูกสถานภาพแกมบังคับให้หมดทางเลือก เสมือน
บริษัทในเครือของท่านกำหนดให้กินแต่ไก่ขาว หมูขุน ปลานิล/ปลาทับทิมที่ท่านสามารถควบคุม
ได้เบ็ดเสร็จทั้งราคา อาหาร ยา พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ฯลฯ แล้วสังคมไทยจะพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่าง
ไร ในเมื่อฐานทรัพยากรของส่วนรวมถูกทำลายลงไป ท่านจะร่ำรวยมั่งคั่งแค่ไหนก็ไร้ศักดิ์ศรี ถ้าท่าน
ยังปล่อยให้มีการดำเนินธุรกิจที่ไปทำลายทรัพยากรและทำร้ายคนอื่นๆ เพื่อมุ่งควบคุมสรรพสิ่งไว้ใน
มือท่านแต่เพียงผู้เดียว เลิกเถิดครับท่านเจ้าสัว โดยเฉพาะการมีส่วนทำร้ายทะเลไทยด้วยการซื้อ
ปลาป่นจากเรืออวนลาก เพิ่มความรับผิดชอบโดยการนำเข้าปลาป่นที่มีการควบคุมหรือเพิ่มราคาซื้อ
ปลาป่นจากธุรกิจต่อเนื่องของโรงงานปลากระป๋อง แค่นี้คงไม่ทำให้ความมั่งคั่งของท่านลดลงหรอก
ตรงกันข้ามจะได้ชื่อว่าบริษัทในเครือของท่านมีส่วนรับผิดชอบต่อทะเลและแหล่งอาหารธรรมชาติ
ของพี่น้องร่วมสังคม หรือการทำลายทะเลคือเจตนาของท่าน??? เพื่อจะให้ผู้บริโภคทุกคนตกอยู่
ในกำมือ มันจะมากไปนะครับท่านเจ้าสัว.
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=339441652838246&set=a.178805445568535.38582.178696715579408&type=1&theater