สวัสดีครับ ผมเคยสะสมเหรียญ 10 เกือบทุกรุ่นสภาพใหม่กริ๊บๆ ไว้ 4-5000 บาท ช่วงที่เงินทองขาดมือ
ทะยอยนำมาใช้ไปเกือบหมด เหลืออยู่ไม่กี่ ร้อยบาทแล้ว ตั้งแต่สะสมมาผมเองมองปีการผลิตหลังเหรียญ
ที่ได้มาทุกครั้ง ผมยังไม่เคยเจอ ปี 2533 เลยครับ ไม่แน่ใจมาในปีนั้นไม่ได้ทำออกมา หรือผลิตออกมา
น้อยครับ แต่ถ้ามีการผลิตออกมาคงหลุดออกมายากมากครับ..........
55555 ยาย " ไม่เชื่อ " ว่าจะหลุด มาถึง คน นอกวงการ อย่างชาวบ้าน อ่ะ ฮา 555
เพราะ " จำนวน ผลิต " แค่ ร้อยอัน เล็กน้อย มาก ๆ อ่ะ ฮา 5555
เหรียญ จำพวกนี้ น่าจะ " ตก " อยู่ในมือ คนเล่น คนเก็บสะสม มากกว่า อ่ะ ฮา
55555 ลองไปฟัง " คนมี คนเก็บ " เขาอธิบาย อ่ะ ฮา 55555
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1407825323นายอรรณภพ แก้วปทุมทิพย์ สถาปนิก และนักสะสมเหรียญหนึ่ง
ในผู้ถือครองเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ. 2533 ซึ่งกำลังเป็นกระแส
มีผู้รับซื้อด้วยหลักแสนในตอนนี้ เล่าถึงที่มาของเหรียญ 10 บาทว่า
ได้จากแหล่งซื้อ-ขายยอดฮิตอย่างจตุจักรเมื่อปี 2543
แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความคิดขายเหรียญหายากแม้จะมีผู้ประกาศรับซื้อเป็นเงินหลักแสนก็ตาม
กระแสการรับซื้อเหรียญ10บาทสองสีพ.ศ.2533 ทำให้ชาวไทยแทบทุกคน
กลับมาทุบกระปุกค้นเหรียญที่เก็บเอาไว้หวังว่าจะมีเหรียญหายาก
ซึ่งร้านชื่อดังรับซื้อในราคาถึง1แสนบาทสำหรับนักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่
อย่างนายอรรณพสถาปนิกและนักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่ที่เก็บสะสมเหรียญ
ไว้มากมายโดยหนึ่งในนั้นมีเหรียญ 10 บาท สองสี พ.ศ. 2533 รวมอยู่ด้วย
ล่าสุด นายอรรณพ เปิดเผยถึงที่มาและรายละเอียดของเหรียญหายากโดยยืนยันว่า
ไม่เคยคิดจะขายเหรียญที่ครอบครอง
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญ10บาท สองสี พ.ศ.2533 นายอรรณพ เปิดเผยว่า
ผู้รู้รุ่นก่อนเล่าว่า อธิบดีกรมธนารักษ์ในสมัยนั้นทำหนังสือขอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ขออนุญาตสร้างเหรียญ 10 บาท เป็นจำนวนประมาณ 100 เหรียญเพื่อเผยแพร่
ในงานจัดแสดงเหรียญในต่างประเทศ ซึ่งผู้ถ่ายทอดเรื่องราวระบุว่ามีหนังสือการจัดทำเหรียญ
ยืนยันแต่ก็ยังไม่เคยเห็นหนังสือด้วยตัวเองโดยได้ยินข้อมูลจากผู้รู้ที่ยืนยันข้อมูล
อย่างไรก็ตาม ในช่วงจัดสร้างไม่ค่อยมีผู้สนใจเหรียญนี้มากนักจนกระทั่งเวลาผ่านไป
กลุ่มพ่อค้าเหรียญซึ่งมักหาข้อมูลเรื่องการผลิตเหรียญอยู่แล้วทราบเรื่องเข้า
ก็กลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาอีกเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในวงแคบเพราะวงการเหรียญไม่เหมือนวงการพระเครื่อง
นายอรรณพเล่าต่อว่าหลังจากมีการผลิตเหรียญปี2533วงการพระเครื่องมีผู้พยายามค้นหาเหรียญนี้มากขึ้น
ตั้งแต่ปี2538 เป็นต้นไป แต่ก็ยังไม่มีใครหาได้ ส่วนใหญ่มักเป็นราคาคุย
จนกระทั่งประมาณปี 2543 มีพ่อค้าหยิบเหรียญ 10 บาท ปี 2533 ให้ดู
และเล่าข้อมูลต่างๆให้ฟังซึ่งในช่วงเวลานั้นราคาที่ซื้อมาก็เป็นหลักแสนแล้ว
"คิดอยู่อย่างเดียวว่าถ้าเอาเหรียญนี้ไปก็จะสามารถถ่ายทอดข้อมูลเหรียญนี้
โดยไม่ต้องไปหาข้อมูลจากที่อื่นตรงนี้คือหลักสำคัญการที่จะให้ข้อมูลคนอื่น
ถ้าไม่มีเหรียญประกอบด้วยใครจะมารู้เรื่องถ้าไม่มีรายละเอียดเหรียญประกอบ
เพราะฉะนั้นผมก็จะมีกล้องมีเหรียญ และถ่ายเองก็เลยตัดใจซื้อมา" นายอรรณพ กล่าว
นายอรรณพ กล่าวต่อว่า เมื่อซื้อเสร็จก็ยังเดินทางถามหาเหรียญนี้จากร้านอื่น
ขณะที่ร้านอื่นก็ยังคุยว่าหาเหรียญให้ได้ในราคา 4-5 หมื่นบาท
นักสะสมเหรียญรุ่นใหญ่ยอมรับว่า รู้สึกหวิวเล็กน้อยเมื่อได้ยินราคาที่ต่ำกว่าที่ซื้อมา
แต่ยังบอกว่าให้พ่อค้าหาเหรียญนี้โดยตัวเองจะให้ราคาเหรียญละ 8 หมื่นบาท
อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เจอเหรียญอื่นนอกจากที่ซื้อมาในครั้งแรก
เมื่อถามว่า เหรียญปีนี้อยู่กับมือนักสะสมคนอื่นบ้างหรือไม่
นายอรรณพ ตอบว่ามั่นใจว่าไม่มีใครรู้ข้อมูลนี้ พร้อมให้เหตุผลว่า ไม่มีใครทราบข้อมูลชัดเจน
แม้แต่จำนวนเหรียญที่ผลิตมา ถ้าสมมติว่าทำมา 100 เหรียญจริง
จะนำไปจัดแสดงทั้ง 100 เหรียญหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด
หรือถ้าสันนิษฐานว่าแจกเหรียญไม่หมดแล้วจะเหลือกลับมาเท่าไหร่ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจน
เพราะเชื่อว่าช่วงเวลานั้นไม่มีใครสนใจมากนัก
"ผมเองผมประเมินจากที่สมมติว่าถ้าเอาไปแล้วแจกสักครึ่งหนึ่ง
หรืออาจแจกให้ผู้ติดตามต่างๆก็น่าจะร่วมร้อย เชื่อว่าน่าจะเหลือกลับมาเมืองไทย
หรืออยู่ในเมืองไทยประมาณ30 เหรียญ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้
ก็ประมาณว่าน่าจะวนเวียนอยู่แถวนี้ไม่มากนัก" นักสะสมเหรียญเล่า
นายอรรณพระบุว่าแม้ว่าการปลอมเหรียญในช่วงนั้นจะทำได้ไม่เหมือนมากนัก
และสามารถมองออกว่าเป็นเหรียญจริงหรือปลอมขึ้นมาถ้ามีข้อมูลและสังเกตอย่างละเอียด
ซึ่งการซื้อเหรียญก็ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดโดยตัวเองจะพกแว่นส่อง
ทั้งขนาด1ต่อ10 และ1 ต่อ 20 สำหรับเหรียญ 10 บาทปี 2533
จุดที่นักสะสมกังวลคือจุดเลขปีพ.ศ.ผลิตซึ่งอาจมีการตัดหางเลข 7 (๗) แบบไทยให้กลายเป็นเลข 3 (๓)
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะสังเกตอย่างละเอียดแล้ว ข้อเท็จจริงคือหัวของเลข ๓ กับเลข ๗
แบบที่ถูกตัดหางไปก็แตกต่างกันอยู่ดีแม้ว่าจะตัดหางได้เนียนแค่ไหน
เมื่อถามว่าสนใจขายเหรียญหรือไม่นายอรรณพระบุว่าในชีวิตไม่เคยขายเหรียญแม้แต่เหรียญเดียว
แต่ถ้ารักกันจริงๆก็ให้ฟรีและไม่รู้จักกับร้านที่ประกาศรับซื้อเป็นการส่วนตัว
แต่เชื่อว่าอย่างน้อยก็สามารถสร้างกระแสให้คนสนใจเหรียญ
และทำให้คนเห็นว่าเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ามีค่า
อาจทำให้คนรุ่นใหม่รักการสะสมมากยิ่งขึ้น