เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 09, 2025, 01:51:34 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อมูลสำคัญการเจ็บป่วยฉุกเฉิน  (อ่าน 768 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2015, 11:50:28 PM »

http://pantip.com/topic/33686093

 เยี่ยม ไหว้
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
แสนสุข
Hero Member
*****

คะแนน 171
ออฟไลน์

กระทู้: 1291



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2015, 03:01:59 PM »

มีประโยชน์มากเลย  ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6424
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 50462



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2015, 06:51:23 PM »

อุ๊ย...สารเคมีทั้งนั้น !!! สังคมอมโรค คนป่วยมะเร็งเต็มเมือง

Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 26 พ.ค. 2558 เวลา 13:17:59 น.
คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ โดยรัตนา จีนกลาง

สะท้านใจไม่น้อยเลยสำหรับข้อมูลผู้จากไปด้วยโรคร้ายที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ล่าสุดมีตัวเลขชัดเจนจากกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาบอกว่า ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา "โรคมะเร็ง" เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี

โดยสถิติล่าสุดในปี 2556 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิดจำนวน 67,184 คน คิดเป็น 16% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดปีละ 426,065 คน เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3,000 คน ดูกันชัด ๆ ก็คือ เฉลี่ยตายชั่วโมงละ 8 คน

จังหวัดที่มีอัตราการตายสูงที่สุดในประเทศ 5 อันดับแรกเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทุก 1 แสนคน อันดับ 1 คือ พะเยา แสนละ 157 คน อันดับ 2 แพร่ แสนละ 149 คน อันดับ 3 ลำปาง แสนละ 146 คน อันดับ 4 จันทบุรี แสนละ 144 คน และ อันดับ 5 ร้อยเอ็ด แสนละ 143 คน

เห็นตัวเลขนี้แล้วก็ไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะสร้างความสูญเสียในด้านจิตใจอย่างใหญ่หลวงต่อคนในครอบครัวแล้ว ยังส่งผลกระทบในมุมเงิน ๆ ทอง ๆ มากทีเดียว โดยได้สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจไทยปีละเกือบ 80,000 ล้านบาท

เจ้าความสูญเสียที่ว่านั้น ก็ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาลที่แพงหูฉี่ขั้นต่ำเป็นหลักล้าน คนที่มีรายได้น้อยก็หมดสิทธิ์รักษา ไม่ว่าจะเป็นค่าเอกซเรย์ ค่าเอ็มอาร์ไอ ผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายจิปาถะ รวมทั้งการขาดงานของผู้ป่วยและผู้ดูแล เป็นต้น

คุณหมอยังย้ำเตือนว่า 5 กลุ่มเสี่ยงสูงของโรคนี้ ได้แก่ คนอ้วน คอทองแดง สิงห์อมควัน คนที่ไม่ออกกำลังกาย และ "ผู้ที่ไม่กินผักผลไม้สด" ใครอยู่ในเกณฑ์นี้บ้าง ?

เรื่องนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง กับครอบครัว หรือญาติสนิทมิตรสหาย หรือถ้าไม่เจ็บ ไม่ไข้ เราก็ไม่ค่อยตระหนักกันเท่าที่ควรถึงภัยเงียบที่กำลังคุกคามเราอย่างหนักในเวลานี้

เพราะวันนี้ไปทางไหนก็ได้ยินแต่ข่าวว่า คนเป็นมะเร็งไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก ๆ

คำถามคือว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนไทย การพัฒนาประเทศในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าคนไทยมีกิน อยู่ดี กินดีขึ้นมากทีเดียว

แต่ผลลัพธ์ในวันนี้กลับกลายเป็นว่าคนไทยเป็นสังคมอมโรค มีคนป่วยเต็มบ้านเต็มเมือง

เอาเข้าจริงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การกินข้าวปลาอาหาร พืชผักผลไม้ และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษนี่แหละที่เป็นตัวสะสมก่อโรคร้าย

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ยังชื่นชอบการบริโภคผักผลไม้ที่สดใหม่ ไร้มด ไร้หนอน ไร้แมลง ผู้ผลิต/ผู้ขายก็ต้องสนองตอบความต้องการเหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสดใหม่ ไม่ให้บูดเสียง่ายด้วยวิธีการที่ไม่ถูกสุขอนามัย อาทิ การใช้สารเคมี การแช่ฟอร์มาลีน สารเร่งเนื้อแดง ดินประสิว บอแรกซ์ การใช้ยาฆ่าแมลง สารกำจัดเชื้อรา เพลี้ย เป็นต้น

และยิ่งระยะหลัง ๆ นี้ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน คนปลูกผักผลไม้เจอปัญหาโรคและแมลงมากขึ้น ก็จำเป็นต้องฉีดยาฆ่าแมลง หรือป้ายสารเคมีเร่งให้ผลไม้สุกเร็วขึ้น

เมื่อก่อนจะมีระยะห่างฉีดพ่นทิ้งไว้ 5-7 วันค่อยเก็บผลผลิตมาขาย แต่ตอนนี้ด้วยกระแสบริโภคนิยม ต้องเร่งผลิต เร่งขาย เร่งหาเงิน

บางรายฉีดยาฆ่าแมลงในตอนหัวค่ำแล้วเก็บขายตอนเช้าเลย ไม่งั้นเอาไม่อยู่ทั้งเพลี้ยทั้งแมลง คนปลูกยังไม่กล้ากินเลย เขาจะแยกมาปลูกไว้กินเองหลังบ้าน

แม้ว่าตอนนี้ผู้บริโภคจะมีทางเลือกมากขึ้น โดยหลายฝ่ายกำลังปลุกกระแสให้มีการปลูกพืชออร์แกนิก หรือเกษตรอินทรีย์

แต่ก็ถือว่ายังจำกัดวงในกลุ่มแคบ ๆ เพราะทำยากพอสมควร และราคาค่อนข้างสูง ประชาชนส่วนใหญ่จึงยังเข้าไม่ถึงผักผลไม้อินทรีย์

ฉะนั้น เราจะทำอย่างไรให้คนไทยได้กินผักผลไม้ไร้สารพิษกันเสียที เพราะเรื่องปากท้อง "มีกิน นอนอุ่น ไร้โรคภัยไข้เจ็บ" สำคัญยิ่งกว่าการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในเวลานี้กระมัง ?

การรณรงค์ให้คนไทยหันมากินผักผลไม้เพิ่มขึ้นในอาหารแต่ละมื้อนั้น จึงไม่พอที่จะหยุดยั้งโรคร้ายได้แน่

ไหน ๆ ก็คิดจะปฏิรูปประเทศไทยแล้ว ผู้นำประเทศและภาครัฐต้องเอาจริงเอาจังกับการนำสารเคมีมาใช้ในภาคเกษตร หน่วยงานใดที่มีองค์ความรู้ มีเทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ให้เข้าไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยส่งเสริมสนับสนุนการปลูกพืชผักผลไม้ปลอดสารพิษ

เพราะถึงที่สุดแล้วถ้าเรายังไม่เปลี่ยน ไม่ปรับเรื่องการกินอยู่ เราก็กำลังเดินไปหาโรคร้ายกันทุกวัน ประเทศที่เต็มไปด้วยคนป่วย คงไม่ใช่เรื่องดีต่อความมั่นคงของประเทศ

"ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ" เป็นสัจธรรมจริงแท้ ลองมาเริ่มปรับเปลี่ยน เลือกเฟ้นอาหารการกิน หรือลงมือปลูกผักทานเองบ้างก็น่าจะดีนะ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1432615647
บันทึกการเข้า

"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.072 วินาที กับ 21 คำสั่ง