อินโดนีเซียประกาศห้ามใช้เงินตราต่างประเทศ รวมถึงสกุลดอลลาร์สหรัฐ

ภาคธุรกิจและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลอินโดนีเซียพาเหรดออกมากดดันให้ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ยกเลิกหรือผ่อนคลายกฎเกณฑ์ห้ามใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐทำธุรกรรมการเงินภายในประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลว่า มาตรการดังกล่าวจะกระทบการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบสำคัญ

จาการ์ตา โพสต์ อ้างคำพูดของ นายซอฟยัน ดีเจลลี รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจว่า มาตรการห้ามใช้เงินดอลลาร์ในการทำธุรกรรมอาจ "บิดเบือน" เศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม นายดีเจลลีระบุว่า รัฐบาลเคารพความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และการตัดสินใจในประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับการหารือภายในบอร์ดบริหารของบีไอ

นายดีเจลลี กล่าวหลังการประชุมกับรองประธานาธิบดียูซุฟ คอลลา, รองผู้ว่าการบีไอ นายโรนัลด์ วาส และรัฐมนตรีคลังนายบัมบัง บรอดโจนโกโร ว่า "ข้อสรุปก็คือ บีไอตระหนักเป็นอย่างดีถึงความกังวลที่เราหยิบยกขึ้นมาหารือ และบอร์ดบีไอจะประชุมเป็นการภายในเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้มาตรการนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ"

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บีไอประกาศกฎธนาคารกลาง ห้ามใช้เงินสกุลอื่นยกเว้นรูเปียห์ในการทำธุรกรรมภายในประเทศตั้งแต่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป หวังควบคุมความต้องการเงินดอลลาร์และสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินรูเปียห์ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีความเคลื่อนไหวย่ำแย่ที่สุดของเอเชีย โดยในปีนี้อ่อนค่าลงแล้วราว 7% เมื่อเทียบกับดอลลาร์

ทั้งนี้ ในอินโดนีเซีย ธุรกิจท้องถิ่นตั้งแต่ขายห้องพักไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างระบุราคาในสกุลดอลลาร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของราคาอันเนื่องมาจากการอ่อนค่าของรูเปียห์ ส่วนในภาคอุตสาหกรรม ผู้ผลิตจำนวนมากใช้เงินดอลลาร์ซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ

ข้อมูลจากบีไอ ระบุว่า ธุรกรรมที่ไม่ใช้เงินรูเปียห์มีมูลค่าราว 12,000 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือเท่ากับ 15% ของธุรกรรมในภาคเอกชน

แม้มาตรการห้ามใช้เงินดอลลาร์จะช่วยเพิ่มดีมานด์ต่อเงินรูเปียห์ในระยะสั้น แต่หลายภาคส่วนวิตกว่า อาจผลักดันให้ต้นทุนการทำธุรกิจของตนเพิ่มขึ้น และในระยะยาวเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน

นางสาวไอรีน เฉิง นักกลยุทธ์อาวุโสด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากเอเอ็นแซด แบงก์มองว่า มาตรการดังกล่าวของบีไอบังคับให้ภาคธุรกิจต้องเปลี่ยนจากการกู้ยืมในสกุล ดอลลาร์ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่ามาเป็นการกู้ยืมในสกุลรูเปียห์ ซึ่งในที่สุดจะกดดันให้ต้นทุนกู้ยืมในระบบเศรษฐกิจโดยรวมสูงขึ้น

ด้านนายโอเรียส เปทรุส โมดัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของบริษัทปาลินโด ทู รัฐวิสาหกิจที่ดูแลการบริหารจัดการท่าเรือในจังหวัดสุมาตราใต้ กรุงจาการ์ตาและชวาตะวันตก ยอมรับว่า มีความเสี่ยงที่กฎของบีไอจะเป็นอุปสรรคต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า โดยกฎดังกล่าวจะลดแรงจูงใจของบริษัทชิปปิ้งในการทำธุรกรรมบนท่าเรือนอกชาย ฝั่ง ซึ่งนำเงินดอลลาร์เข้ามาในอินโดนีเซียประมาณ 700 ล้านดอลลาร์ต่อปี

นายโอเรียสเสริมด้วยว่า ภาคธุรกิจในท้องถิ่นใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากการ ผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ ที่อ่อนค่าลงถึง 30% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจในอินโดนีเซียมีต้นทุนการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 7-10% ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน โดยข้อมูลจากบลูมเบิร์กชี้ว่า สัญญาฟอร์เวิร์ดเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในมาเลเซียและ ฟิลิปปินส์เฉลี่ยอยู่ที่ราว 2.5-3.5% เท่านั้น

แหล่งข่าวในบีไอ เปิดเผยว่า ยังคงมีการหารือภายในบอร์ดบีไอในการปรับเปลี่ยนมาตรการดังกล่าว ขณะที่ นายปีเตอร์ จาคอบส์ โฆษกของธนาคารกลางระบุว่า บีไอคำนวณแรงกระเพื่อมของมาตรการนี้ที่มีต่อเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ ที่ผ่านมาได้เพิ่มข้อยกเว้นให้กับธุรกรรมที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว เช่น ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณรายจ่าย โครงสร้างพื้นฐาน การค้าระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามชาติ

นายจาคอบส์ ชี้ว่า ไม่ใช่ภาคธุรกิจทั้งหมดที่คัดค้านมาตรการของบีไอ เห็นได้จากเมื่อเร็ว ๆ นี้บีไอได้เชิญผู้บริหารจากบริษัทญี่ปุ่นมาหารือ พร้อมกับทำความเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องห้ามใช้เงินดอลลาร์ ซึ่งทุกบริษัทก็เห็นด้วยและพร้อมให้ความร่วมมือ

"เราไม่ได้ออกกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาด นี่เป็นมาตรการทั่วไปที่พบได้ในหลายประเทศ กรุณาอย่าเหมารวม ถ้ามี 1-2 ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับกฎนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในระบบเศรษฐกิจจะไม่พอใจไปด้วยทั้งหมด"
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1435811548

เอางั้นเลยเหรอ ต้องแลกเงินก่อนสิ ถึงจะใช้ได้ในอินโด

ของไทยก็ไม่เบานะ หลายเดือนนี้ผัดผวนมาก บางวันแทบจะแตะ35บาทต่อดอลล่าร์ ตกใจ

	ผู้เขียน	หัวข้อ: อินโดนีเซียประกาศห้ามใช้เงินตราต่างประเทศ รวมถึงสกุลดอลลาร์สหรัฐ (อ่าน 1042 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้