
การแก้ผ้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่คนสร้างงานศิลปะเรียกร้องขออิสระที่จะใส่มันไว้ในเรื่องราวของหนัง
เพราะว่าเขาเชื่อว่าวันหนึ่งหากเขาจะต้องใส่ฉากแก้ผ้าเข้าไปในหนัง มันจะทำให้เขาถ่ายทอดธีมที่เขาอยากจะถ่ายทอดให้กับโลก ให้กับคนที่มาเสพงานเขาได้
มันจะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ให้คนซาบซึ้งกับกลวิธีการเล่าเรื่อง หรือเข้าใจ หรือสามารถถอดรหัสสิ่งที่เขาต้องการสื่อออกไปได้
คนสร้างงานศิลปะเขาจะกลัวอย่างหนึ่งครับ....เขากลัวเชย กลัวเสี่ยว
การจะยัดฉากคนแก้ผ้าเข้าไปในหนัง ยัดแบบไม่รู้ว่ายัดเข้าไปทำไม ยัดแล้วมันไม่ช่วยให้หนังบรรลุถึงธีมรวมที่เขาต้องการสื่อสาร...คนดูเขาก็จะดูแคลนคนสร้างครับ
(อันนี้ไม่เกี่ยวกับหนังลามก สร้างเพื่อความเสียวถ่ายเดียวนะครับ)
คนสร้างเขาจะอายครับ เวลาถูกวิจารณ์ว่าสิ่งที่ใส่เข้าไปในหนัง มันเป็นส่วนเกินเป็นติ่งเป็นหูด
ไม่ต้องส่งหนังไปโกอินเตอร์ ฉายแค่ในเมืองไทย ก็อายไม่ต่างกัน
เคยอ่านหนังสือเรื่อง จัน ดารา ของประมูล อุณหธูปไหมครับ
เคยมีการสร้างเป็นหนังไทยมาแล้ว
ฉากที่คุณบุญเลื่อง ขอให้จันเอาน้ำแข็งถูหลังในหนังสือน่ะงามเหลือขนาด
ให้ผมเป็นคนเขียนบทหนัง แล้วถ่ายทอดฉากนี้เป็นภาพโดยไม่เห็นหลังเปลือยของคุณบุญเลื่อง ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำได้อย่างไร
จะให้เห็นคุณบุญเลื่องดึงตัวจันเข้ามาหา แล้วตัดภาพเป็นนอนกอดกันมีผ้าห่มคลุม เพื่อสื่อว่าเสร็จสมอารมณ์หมายแล้ว
คนที่เคยอ่านหนังสือเขาคงด่าผมกันขรม...ผมอาย
แต่ผมจะไม่เขียนให้คุณบุญเลื่องพลิกตัวมาให้เห็นร่างกายด้านหน้าทั้งตัวนะครับ...มันเกินจำเป็น...มันเสี่ยว
กรุณา...อย่าถามว่า...แล้วผมสร้างหนังเรื่องนี้ทำไม...หนังที่มีเรื่องราวอย่างอื่นมีให้ทำอีกตั้งเยอะ
ถ้าถามแบบนี้....ผมเอาตังค์ทำหนังไปเปิดร้านข้าวต้มดีกว่า
จริงๆแล้ว คนทำหนังเขาขอมากกว่าฉากแก้ผ้าครับ
หนังไทย...ถ้าเห็นข้าราชการโกงแล้วตอนจบไม่ถูกตำรวจจับ ทว่าลอยนวลหนีไปได้ไม่ต้องรับผลกรรม...เขาไม่ให้ท่านฉายตามโรงนะครับ
หนังไทย...ท่านมีภาพพระภิกษุหนุ่มนั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลง...เขาก็ไม่ให้ท่านฉายตามโรงเพราะเสื่อมเสียแก่วงการสงฆ์
หนังไทย...ท่านถูกห้ามไม่ให้เห็นนายแพทย์หนุ่มเกิดอารมณ์ทางเพศกับผู้หญิงที่เขาชอบพอแล้วเห็นอวัยวะเพศแข็งตัวเป็นลำมองเห็นได้จากนอกกางเกง...เขาเกรงเสื่อมเสียกับศีลธรรมอันดีของผู้ชม (เดาว่าไม่ได้ตัดเพราะเกรงจะเสื่อมเสียแก่วงการแพทย์ เอหรือเกรงจะมีแพทย์มาประท้วงก็มิทราบได้ อิอิ) ทำไมกองเซ็นเซอร์ไม่คิดบ้างว่าผู้สร้างต้องการสื่อว่าคุณหมอที่เรากราบไหว้เวลาไปหาเขาเพื่อให้เขาวินิจฉัยรักษาโรคให้เรา ความจริงก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเหมือนกับเรานี่แหละ (แต่ถ้าหนังเรื่องนี้ถูกเอาไปฉายทางโทรทัศน์ จะเบลอฉากนี้ ผมสัญญาว่าจะไม่บ่นครับ เพราะคาดว่าพ่อแม่ที่นั่งดูกับลูกๆคงกระอักกระอ่วนเวลาลูกๆถามว่าอะไรอยู่ในกางเกง)
หนังไทย...ถ้าท่านถ่ายทอดเรื่องราวการแย่งชิงอำนาจกันในหมู่คณะราษฏร์ เอาแบบมีชื่อเสียงบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงๆ แล้วท่านทำถึงเลือดถึงเนื้อแบบที่ โอลิเวอร์ สโตน สร้าง JFK ท่านมีโอกาสสูญเงินหลายสิบล้านบาทที่ท่านลงทุนไป เพราะเขาแบนหนังท่านทั้งเรื่อง ผมก็มีข้อสงสัยอีกแหละว่า ทำไมสังคมอเมริกันเขาถึงตั้งคำถามกับประวัติศาสตร์จริงจังกันได้ แล้วสังคมไทยเรา คนไทยเรา เราเป็นชาติที่อ่อนแอขนาดทนการชำระประวัติศาสตร์ผ่านหนังกันไม่ได้เลยหรือ เรามียีนส์ด้อยกว่าคนอเมริกันหรือ ถ้าหากจะมีลูกหลานของคนที่ถูกสร้างภาพในหนังว่าเป็นคนไม่ดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ผู้สร้างก็ต้องรับผิดชอบไปขึ้นศาลล่ะครับ เรามีกฏหมายหมิ่นประมาทประกาศใช้กันอยู่แล้วนี่ครับ ไปพิสูจน์กันสิ
แถมตรงหัวข้อนี้นิดนึง ผมอยากให้มีคนสร้างหนังจากหนังสือเรื่อง "ความฝันของนักอุดมคติ" ของ มรว. นิมิตรมงคล นวรัตน จริงๆ ในนั้นมีเรื่องสั้นชื่อ "ชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง" ถ้าท่านได้อ่านท่านจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้เขียนทว่าหัวเราะอย่างขมขื่นไปพร้อมๆกัน
ขอจบด้วยถ้อยคำที่ไปจำขี้ปากฝรั่งมาหน่อยนะครับ ของ Alfred Whitney Griswold (คนในวัฒนธรรมไทยเขาไม่ค่อยเขียนอะไรแบบนี้กัน)
...In the long run of history, the censor and the inquisitor have always lost. The only sure weapon against bad ideas is better ideas. The source of better ideas is wisdom. The surest path to wisdom is a liberal education.