เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 08, 2025, 12:48:57 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นิบิรุ...ภาคต่อวันสิ้นโลก....(ก็เเล้วเเต่ความเชื่อ ครับ)  (อ่าน 3398 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ThaiLoei
KU 53 /EE
Sr. Member
****

คะแนน 43
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 708


อันตรายที่สุด คือ ความคาดหวัง


เว็บไซต์
« เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 03:12:33 PM »

 Grin  หลังจากตั้งกะทู้ น้ำท่วมโลกเเล้ว จะมีข้อมูลของ ดาวเคราะห์ ดวงที่ 12
...ของระบบ สุริยะของเรา ...ที่จะมีผลกับโลก( เขาว่างั้น ...อีกล่ะ อ๋อย)...
...ผมก็เลยลองค้นดูได้ข้อมูลดังนี้ครับ......อ่านไว่เป็นความรู้น่ะครับ อย่า งมงาย  ไหว้

....อ่านแล้ว อย่าเพิ่งตัดสินใจเชื่อ ควรใช้พิจารณญาณในการอ่าน***

เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวปริศนา(Planet X)ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาทางพิสูจน์กันอยู่ว่า ไอ้ดาวลึกลับในตำนานบทนี้มันมีอยู่จริงหนือไม่? และถ้ามี ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?
และเนื่องด้วยมันยาวมากๆ ผมจึงต้องแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นสองส่วนคือ ภาคตำนานในอดีต และภาคข้อเท็จจริงในปัจจุบัน

เอาล่ะ..พล่ามมาซะยืดยาว ผมจะนำเสนอภาคข้อมูลเท็จจริง ณ ปัจจุบันก่อนละกันนะครับ...(ปล.ก็อปเค้ามาอีกทีและแก้ไขใหม่ ให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น)

เนื่องด้วยความสงสัยของตัวผมและใครอีกหลายๆคนว่าทำไมปี 2012 จึงมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน!!!
บางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจาเหตุโลกร้อน บางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้ากำหนดมา แต่มีสิ่งที่นึงที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมเกี่ยวปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล (นับตามแบบของชาวสุเมเรียน)
ถ้าใครได้พอดูความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆ แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)

และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า...
สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้

แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราห์ดวงใหม่ ที่อาจสำคัญมากๆๆ ทำไมผมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?

ิสิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ....


ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว
แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้

แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ

ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย

เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ มีความเป็นไปได้ที่มันจะโคจรมาทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลกเลยล่ะครับ ซึ่งนั่นก็แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกใด้!!



มันเข้าใกล้มาจริงเร้อ?

เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าถ้าเมื่อก่อนเราส่องดูดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะเห็นมัน แต่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลช่วย

แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว!!

และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ของโลกนะครับ
แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ...

แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีตหละ
นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน หลายหมื่นปีก่อน และหลายพันปีก่อน (ในช่วงพระคริสต์นั่นเอง)

หากดาวดวงนี้โคจรมาที่ระบบสุริยะของดวงอาทิตย์อีกครั้ง ซึ่งกำลังจะเกิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ มันจะทำให้เกิดมหันตภัยชนิดโหดสุดยอด
เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งมันจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนครั้งใหญ่ เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่างๆ นาๆ และอื่นๆนับไม่ถ้วน!!

และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าในปี 2012 เราสามารจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว

ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ยังปิดข่าวอยู่ แต่นักดาราศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างๆออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น

ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และบางแห่งบอกว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณดาวพฤหัส!!! (ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)

ปล. งานนี้ก็ถึงเวลาที่ธรรมชาติเลือกเราของแท้แล้วละนะครับ Grin

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Data of Nibiru

คาดหมายว่าเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ ตามการคาดหมายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9(นับตามแบบสากล โดยได้ตัดดาวเคราะห์แคระพลูโตออกไป) เนื่องจากนักดาราศาสตร์ได้ศึกษาการโคจรของดาวยูเรนัสและพบว่าวงโคจรของยูเรนัสมีลักษณะที่ผิดปกติอยู่พอสมควรจึงคาดว่าน่าจะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่สามารถส่งแรงโน้มถ่วงรบกวนการโคจรของยูเรนัส จึงได้มีการพยายามค้นหา และได้พบดาวเนปจูนแต่การค้นพบนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายความผิดปกติทั้งของยูเรนัสและเนปจูนจึงได้มีการพยายามค้นหาเพิ่มเติมและได้พบพลูโต แต่พลูโตเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กมากทำให้ยังไม่สามารถอธิบายความผิดปกติของการโคจรของยูเรนัสและเนปจูนได้จึงได้มีความพยายามที่จะค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ 9ของระบบสุริยะอีกครั้ง ความพยายามครั้งนี้ไม่เพียงแต่แค่ค้นหาโดยการสังเกตเทหวัตถุในท้องฟ้าเท่านั้น ยังมีความพยายามในการค้นหาโดยการศึกษาบันทึกโบราณที่อาจจะบันทึกถึงปรากฏการณ์ที่อาจจะสรุปได้ว่ามีการเคยพบเห็นดาวเคราะห์ลึกลับดวงนี้อีกด้วย (Planet X นี้เป็นชื่อที่ผู้คนหลงใหลเพราะนัยหนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่ 9 อีกนัยหนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ลึกลับที่ไม่เคยมีใครพบเห็น)

ขนาด: ใหญ่กว่าโลก 5 เท่า = ประมาณดาวพฤหัสบดี

มวล: ไม่ทราบ

บริวาร: ไม่ทราบ

คาบการโคจร: ประมาณ 3,600 ปี วงโคจรคล้ายดาวหาง จุดที่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ในแถบกลุ่มเฆมออร์ด จุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์น่าจะเป็นบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวพฤหัสบดีและดาวอังคาร

จุดกำเนิด: ไม่ใช่สมาชิกดั้งเดิมของระบบสุริยะ แต่ถูกดวงอาทิตย์จับไว้เป็นบริวารเมื่อ 500,000 ปีก่อน คาดว่าน่าจะหลุดมาจากระบบสุริยะของดาวซีรีอุสA

ลักษณะพิเศษ: เป็นดาวเคราะห์ที่อาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นเดียวกับโลก

ผลกระทบที่มีต่อโลก: ในอดีตมีความเป็นไปได้สูงเคยโคจรเฉียดใกล้โลกทำให้ดวงจันทร์น้อยที่เป็นดาวบริวารชนโลกทำให้เกิดเป็นมหาสมุทรแปซิฟิค ปัจจุบันน่าจะมีวีถีโคจรที่แน่นอนแล้ว คาดว่าไม่ถึงกับชนโลกแค่เฉียดๆ แต่จะสร้างหายนะให้โลกอย่างมหาศาล

***ข้อมูลเวอร์ชันเต็มจะอยู่ในเว็บของ BBC ที่จะมีการพูดถึงข้อจำกัดของการใช้วิธีการหาอายุด้วยคาร์บอน-14 ด้วยครับ




-นี่ก็คือทั้งหมด ของข้อมูลที่ผมได้มา ซึ่งมันมีความยืดหยุ่นสูง และอัพเดทได้ตลอดเวลาหากใครสนใจเพิ่มเติม สามารถค้นหาข่าวสารใหม่ๆได้จากทางอินเตอร์เน็ต!

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



      เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่า เรามาติดตามความเป็นมาของอภิมหาตำนานสะท้านโลกนี่กันนะครับ ผมคัดลอกเค้ามาอีกทีจึงไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นตำนานของชนเผ่าโบราณเผ่าไหนกันแน่ ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นของเผ่ามายันนะครับ ตำนานนี้ มีอยู่ว่า...

**คำเตือนโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านและคิด วิธีที่แนะนำควรจะลองทำใจให้เป็นกลางก่อนอ่าน เพราะมีอยู่ไม่น้อยที่หมิ่นเหม่ต่อระบบศาสนาเป็นอย่างมาก**


     

 

      เมื่อกาลครั้งหนึ่งในอดีตประมาณ 500,000 ปีล่วงมาแล้ว โลกของเราหรืออีกนามหนึ่งเทียมัตเป็นสถานที่ที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง ชื่อเทียมัตนี้เป็นชื่อดั้งเดิม ส่วนคำว่าโลกหรือไกอาเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เมื่อเร็วๆ นี้

เมื่อ 500,000 ปีก่อนเทียมัตไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้ วงโคจรของมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์คือ ณ ตำแหน่งระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้กว่าปัจจุบันนี้ซึ่งทำให้ดาวอังคารเหมาะที่จะใช้อยู่อาศัยได้เพราะมีอุณหภูมิพอเหมาะและมีน้ำในรูปของของเหลว ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทางนาซาและนักวิทยาศาสตร์ ยกเว้นก็แต่เรื่องวงโคจรที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ยอมรับเรื่องการวิวัฒนาการโดยสิ่งกระตุ้น

ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส) หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิงธนู (Sagittarius) ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางกาแลกซี่ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!!

วกกลับมาคุยถึงเรื่องประวัติของนิบิรุ และ เทียมัต โลกของเราในช่วงนั้นมีสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปัจจุบันมาก ประชากรมนุษย์ในยุคนั้นตามที่นักโบราณคดีเรียกคือมนุษย์นีแอนเดอทัลจะมีขนดกหนาและสันทัด ล่ำสันกว่าพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในโพรงถ้ำเพื่ออาศัยประโยชน์จากความอบอุ่นจากพื้นภิภพ เหล่าชาวภิภพแห่งเทียมัตนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษจากพีลอาดีสซึ่งข้อเท็จจริงนี้สามารถยืนยันได้จากตำนานและนิทานปรัมปราของหลายชนชาติ เช่นชาวมายาและชาวโพลีนิเชีย แต่ในที่นี้จะขอเว้นที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวพีลอาดีสบนเทียมัตไว้ก่อน

เมื่อ 500,000 ปีก่อนระบบสุริยะนั้นมีเสถียรภาพแต่เนื่องด้วยเหตุเหนือความคาดหมาย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระบบดาวซิริแอนได้เกิดพลัดออกนอกแนวทางโคจรและมุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะ ซึ่งดาวเคราะห์นี้ได้ถูกจับไว้เป็นบริวารของระบบสุริยะโดยที่มีวงโคจรที่รีคล้ายวงโคจรของดาวหางซึ่งมีคาบการโคจรหนึ่งรอบในเวลา 3,600 ปี และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดในบริเวณกลุ่มเฆมออร์ด โดยที่คาดกันว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดาวเนปจูน ประชากรบนดาวนี้จะมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่ปกครองโดยชนชั้นปกครองที่เรียกว่า “เนฟิลิม” (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากพระคริสต์ธรรมคำภีร์) ประชาชนทั่วไปจะเป็นที่รู้จักกันในนาม “อนูนากิ” (Anunaki ตามที่เรียกขานโดยชาวสุเมเรียน) หรือ”อนาคิม” (ในพระคัมภีร์เก่า) ในช่วงนั้นผู้ปกครองสูงสุดคือจักรพรรดิ์ อลาลู และจักรพรรดินี ลิลิตู

ภายหลังที่ถูกจับเป็นบริวารโดยดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์นิบิรุได้เริ่มประสบกับภาวะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย สภาผู้ปกครองทั้งสิบสองนำโดยจักรพรรดิ์อลาลูได้มีการประชุมฉุกเฉินและได้สรุปถึงวิธีป้องกันเพื่อความอยู่รอดของดาวเคราะห์โดยการสร้างโล่ห์ความร้อนที่ทำขึ้นมาจากทองเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศจากการสูญเสียความร้อนซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ต้องขึ้นกับแหล่งความร้อนภายนอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พวกเขาได้เริ่มทำการสำรวจระบบสุริยะใหม่นี้ทันที กองยานอวกาศได้ถูกส่งไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งเทียมัตเพื่อค้นหาทอง

ผู้บังคับการมกุฏราชกุมาร อนู พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสอง เอนกิ และ เอนลิล และราชธิดา นินคูซัคได้ร่อนลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเปอร์เซียและย่างเท้าบนฝั่งในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ในที่สุดก็ได้ก่อตั้งท่าจอดยานอวกาศในบริเวณเมโสโปเตเมียในตำแหน่งที่มีตำนานว่าเป็นสวนอีเดน โดยความช่วยเหลือชาวพื้นเมืองเทียมัตพวกเขาได้พบกับขุมทองบนเทียมัตและสามารถนำทองนี้เป็นสร้างเป็นโลห์กักความร้อนได้สำเร็จ อย่างไรก็ดีโลห์นี้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีชาวอนูนากิประจำอยู่บนเทียมัตเพื่อทำหน้าที่ขุดทองและส่งทองกลับไปยังนิบิรุอย่างสม่ำเสมอ

ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตรายร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง


ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับชาวเทียมัตเพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม” ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด”

และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย

แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตนี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่งมีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลานและเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะกระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่องจากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โคมันยองที่ครอบครองเทียมัต

ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวกเขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าในอินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษาผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)


เรื่องที่ต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของเราเอง คือครั้งหนึ่งนิริบุได้เฉียดเข้าใกล้เทียมัตและทำให้เกิดภัยภิบัติทั้งน้ำท่วมและแผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งในครั้งนี้สวนอีเดนและท่าจอดยานอวกาศได้จมไปในน้ำและถูกทำลายไปจนสิ้น เจ้าชายอูตูแห่งเนฟิลิมจึงได้รับบัญชาให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่ในบริเวณแหลมไซนาย และวิถีชีวิตบนเทียมัตก็ดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง แต่ในไม่นานก็ได้เกิดสงครามปิรามิดขึ้น

พระราชกุมารีเจ้าฟ้าหญิงอินันนาซึ่งเป็นหนึ่งในที่รักยิ่งของจักรพรรดิ์อนูได้รับพระบัญชาให้เป็นผู้ปกครองดูแลบริเวณที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน พระองค์มีพระนามอีกพระนามคือพระลักษมี ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับการสักการะนับถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่พระสวามีคือดยุคดูมูซิ (พระวิษณุหรือเปล่า)ได้มีเรื่องทะเลาะกับบารอนมาดุคจนในที่สุดได้นำไปสู่สงครามปิรามิด ในสงครามชิงอำนาจระหว่างพระราชกุมารีอินันนาและดยุคดูมูซิกับบารอนมาดุคและบารอนเนสศาพานิต ดยุคดูมูซิได้ถูกสังหาร ทำให้เจ้าชายอูตู และพระราชกุมารีอินันนาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่บังควรโดยการทำลายท่าเทียบยานอวกาศที่แหลมไซนายพร้อมทั้งศูนย์วิจัยและผักผ่อนคือเมืองบริวารโซดอมและโกโมราซด้วย (The satellite R&R cities ไม่ทราบว่า R&R แทนอะไรอาจจะเป็น Research and Development หรือ Research and Recreation) ทำให้เหมืองทองในเขตแอฟาริกาใต้เข้าสู่ความวุ่นวายด้วยเมื่อดยุคเนกอลและดัสเชสอีเรสกิกอลเข้าเป็นพันธมิตรกับบารอนมาดุค และทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะผู้ปกครองแห่งเนฟิลิม

จักรพรรดิ์อนูจึงจำต้องโปรดให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่โดยครั้งนี้พระองค์มีพระบัญชาให้เจ้าชายเอนกิและเจ้าหญิงนินกิเป็นผู้ดูแล ทั้งสองพระองค์จึงได้ย้ายสถานที่ไปเป็นบริเวณทะเลสาบติติคาคา (Titicaca Lake) ในเปรู และที่ตรงนี้ก็คือบริเวณที่ราบนาซคาซึ่งมีทองคำจำนวนมหาศาลอยู่ในเทือกเขาแอนดีส ดังนั้นศูนย์การผลิตทองที่แอฟริกาใต้จึงถูกย้ายไปที่ทะเลสาบติติคาคาด้วย

และนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมชาวนิริบุจึงดูเหมือนจะทิ้งเทียมัตไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าโลห์กักความร้อนนั้นสามารถคงรูปได้อย่างถาวรแล้วทำให้พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทองจากเทียมัตอีกต่อไป ครั้งสุดท้ายที่ดาวเคราะห์พวกเขาเฉียดใกล้เทียมัตคือในปี 687 ก่อนคริสต์กาล แต่แน่นนอนถึงแม้ดาวเคราะห์ของพวกเขาจะมุ่งหน้าไปสู่การหลับไหลที่ยาวนานในกลุ่มเฆมออร์ดพวกเขาจะยังคงการติดต่อกับเทียมัตไว้บ้างบางส่วน อาทิเช่นสิ่งก่อสร้างใต้ดินในเทือกเขาแกรนด์เททอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ภิภพที่อเมริกาใต้ ในห้องเปล่าที่ซาอุดิอาระเบีย ในภูเขาหิมาลัย หรือแม้แต่ห้องโถงใต้ดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิดแห่งอียิปต์ที่ชาวเนฟีลิมสร้างไว้เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศที่แหลมไซนาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันว่ามีไว้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาวได้ใช้หรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคำตอบสำหรับทุกปริศนาจะได้รับการเฉลยในอนาคตอันใกล้นี้

ในขณะนี้คงจะมีคนจำนวนมากถามว่าแล้วดาวเคราะห์นิริบุอยู่ที่ใด แน่นอนมันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยะเป็นแน่ บางครั้งนักดาราศาสตร์จะบังเอิญไปพบมันแต่อาจะไม่รู้และเรียกมันว่าวัตถุลึกลับ อย่างเช่นกาแลกซี่ขนาดเล็ก บางทีรัฐบาลเองก็สงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคือนิริบุเองแต่มีความเห็นว่าจำเป็นต้องปิดบังข้อมูลนี้จากการรับรู้ของสาธารณชน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้าในสมัยโบราณทั้งในตะวันออกกลาง หรือชาวมายาในเมกซิโกต่างก็ได้พูดถึงการมาของนิริบุในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมันจะมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ โดยที่ดูเหมือนว่ามันจะจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งจะมีสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีหางยาวคล้ายดาวหาง และมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และจะลอยให้เห็นดังอัญมณีที่ขั้วโลกเหนือของเทียมัตคล้ายกับการมาถึงของยุคแห่งพระเจ้า

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      พระเจ้าองค์สำคัญๆของชาวสุเมเรียนได้แก่ เอนกิ(Enki) เทพแห่งน้ำ, กิ(Ki) เทพแห่งผืนแผ่นดิน, เอนลิล(Enlil) เทพแห่งห้วงอวกาศ หรือบรรพเทพ อัน(An) ผู้ปกครองสรวงสวรรค์เป็นต้น ชาวสุเมเรียนศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และเชื่อกันว่าพระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากท้องฟ้าที่แสนไกล ท้องฟ้าที่หมายถึงท้องฟ้าเบื้องบนนะคับ หาได้หมายถึงสวรรค์แต่ประการใดไม่นะคับ

อีกอย่างนึงนะ จะเห็นได้ว่ามีการเอ่ยถึง Anunnaki อันนี้ ค่อนข้างบ่อย มาดูกันซิ มีความหมายยังงัยเอ่ย!!

Anunnaki (อ่านว่า AN.UNNA.KI) แปลให้ตรงตัวคือ who from heaven to Earth came ซึ่งในบางครั้งชาวสุเมเรียนบรรยายถึงพระเจ้าเหล่านี้ด้วยอักษรภาพ โดยคำสำคัญที่เป็นส่วนประกอบเสมอคือคำว่า GIR เช่น DIN.GIR และ KA.GIR โดยไอ่เจ้าตัว GIR เป็นอักษรภาพที่มีรูปพรรณสันฐานคล้ายจรวดในปัจจุบันมากค่ะ โดยรวมแล้วความหมายของ GIR เมื่อประกอบเข้ากับคำอื่นๆแล้วก็อาจแปลความได้ว่า The Righteous one of the blazing rockets ไปเลย วู๊... เท่ห์ไม่ใช่เล่น น่าเสียดายที่สมัยนั้นนักโบราณคดีของเราไม่รู้จักจรวด หรือต่อให้รู้จักเค้าก็อาจคิดว่าเหลวไหลที่คนโบราณจะไปรู้จักหรือจินตนาการถึงจรวดไปได้ ความหมายของคำพวกนี้เมื่อถ่ายทอดออกมาในวงการโบราณคดี จึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นเทพนิยายไปนู่นเลย (แบบที่ใครๆหลายคนแถวๆนี้คิดกันด้วยล่ะ)



เรื่องการผิดเพี้ยนของศัพท์เมื่อแปลจากตำนานโบราณนั้นหาใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย บางครั้งคำที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ก็มาจากการแปลที่ผิดความหมาย หรือการตีความอย่างไม่รู้ของผู้แปล เช่นคำว่า Nefilim ในไบเบิล ซึ่งภาคภาษาไทยใช้คำว่ายักษ์ นั้น เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ Anunnaki ของชาวสุเมเรียน และคำว่าเอโลฮิมอันเป็นพระเจ้าของชาวฮีบรูว์โบราณ ปัจจุบัน พวกเรารู้จักความหมายของศัพท์พวกนี้ในคำว่า Giants ไปซะฉิบ อย่างว่าแหละนะ ภาษามันดิ้นได้นี่นายจ๋า... อ้อ แล้ว Nefilim น่ะ แปลเป็น eng. แล้วมันจะมีรูปเป็นพหูพจน์ด้วยนะ แบบว่า Gods น่ะจ่ะ (อะไร มีพระเจ้าองค์เดียวไม่ใช่เหรอ ไบเบิ้ลอะ...Huh เอาแล้วไง)



จบละครั่บ...
.....ข้อมูลจาก คุณ fernezzo เวบ สีเเดง http://seedang.com/stories/39176


บันทึกการเข้า

แผ่นดิน...มันยังไหว......กรู.......ก็ต้องไหวสิว่ะ......สู้โว้ย...T_T
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 03:19:42 PM »

ขอบคุณมากครับ คุณ ThaiLoei .. ปรากฎการณ์จากฟากฟ้า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

ไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของมนุษย์เป็นที่ซึ่ง สามารถถกกันเป็นสาระไปได้มากมาย 

ขอกลับไปติดตามต่อ.. ครับ.  Cheesy
บันทึกการเข้า

ThaiLoei
KU 53 /EE
Sr. Member
****

คะแนน 43
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 708


อันตรายที่สุด คือ ความคาดหวัง


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 03:36:14 PM »

 Grinต่อครับ ........เป็นความรู้ใหม่ มากๆๆๆๆๆ     ไหว้

ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk

ลิงค์ นี้ ให้ความรู้เเละภาพ ประกอบดีมากครับ
......http://scratchpad.wikia.com/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_12_(Planet_X)
บันทึกการเข้า

แผ่นดิน...มันยังไหว......กรู.......ก็ต้องไหวสิว่ะ......สู้โว้ย...T_T
Soraphong-รักในหลวง
คุณภาพเยาวชน คือเครื่องยืนยัน ศักยภาพของประเทศ
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 14
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 145


อย่าเนรคุณแผ่นดิน


« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 03:51:10 PM »

ทำให้รู้ว่า เราเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ เยี่ยม
บันทึกการเข้า

กูมีกูหมดอันใดกูหาใหม่กูได้  กูจนกูแก้กูเอง  กูจักก่อเกียรติกูให้กึกก้องเกรียงไกรก่อนตาย
oil
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 187
ออฟไลน์

กระทู้: 4146


ใครหนอ โกงข้าว ล้มเจ้า เผาเมือง


« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 07:40:13 PM »

อย่าเอานิ้วไปจิ้ม...มันเหม็นนนนนน
บันทึกการเข้า

Thailand must not welcome f..cking bag packer, get lost
A B A C U S รั ก ใ น ห ล ว ง
สัตว์ โลก เดิน ไป ตาม แรง กรรม ดี ชั่ว อยู่ ที่ ใจ ตน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 206
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6399


มี ศัตรู เป็น บัณฑิต ดีกว่ามี มิตร เป็น ค น พ า ล


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2009, 11:30:22 PM »

 หลงรัก
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.137 วินาที กับ 22 คำสั่ง