ฤดูหนาวที่ผ่านมาวันนึง ตอนดึกเพื่อนบ้านนอนกันหมดแล้ว ผมกำลังเก็บล้างจานชามจากมื้อเย็น และล้างตู้เย็นแถมไปด้วย เนื่องจากมีธุระเช้าและจะไม่อยู่บ้านหลายวัน นั่งล้างอยู่นอกบ้าน อากาศเย็นสบาย ยุงก็ไม่มี มีแต่เสียงทีวีบ้านผมรอดออกมาเบาๆ ความรู้สึกเหมือนกับว่า หมู่บ้านนี้เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ฮ่าๆๆ แต่แล้วอยู่ไม่อยู่ ก็มีหมาหอนรับกันหลายตัว มันหอนไป ๒ รอบจะขึ้นรอบที่ ๓ ผมก็รู้ตัวว่า เดี๋ยวใจมันจะต้องนึกกลัวผีแน่ๆเลย ตอนนั้นก็เลยนึกถึงบุญความดีที่เคยทำมาบ้าง แล้วแผ่เมตตาไปรอบๆตัว ไกลสุดขอบฟ้า นึกในใจเบาๆ สัพเพสัพตา... เสียงหมามันเงียบทันทียังกับปิดสวิทช์ไฟเลยครับ ตอนนั้นก็นึกเอาไงดี ใจมันจะฟุ้งแล้ว มองต้นไม้เพื่อนบ้านเริ่มน่ากลัวซะแล้ว งานนี้ล้างไม่เสร็จแน่วุ้ย เลยกลั้นใจท่องในใจพุทธโธๆๆๆ มือก็ล้างๆๆๆๆ โครมๆ เก็บของเข้าบ้าน สวดนโม ๓จบ บทอื่นลืมหมด ด่าตัวเองว่าห่างวัดจริงมึ.. หลับตานอนแต่ใจก็นโมตัสสะไปเรื่อยๆ จนหลับไปเอง
พอตอนเช้าผมพิจารณาเคสนี้แล้ว เป็นเพราะ ผมจ่ายกับข้าวโอเวอร์ไปหน่อย เนื่องจากกะจะจิบเบียร์สัก ๒ ขวดพร้อมดูหนังไปด้วย แต่เนื่องจากห่างแอลกอฮอล์มานาน แถมกลางวันก็เก็บบ้านล้างรถจนเพลีย ตอนเย็นก็ทำกับข้าวอีก ผลคือ ผมมึนตั้งแต่ครึ่งขวดแรกแล้วครับ แถมไม่นึกอยากอาหารอีก เลยยอมแพ้ขอหลับสักงีบ พอตื่นมาตอนดึกเพราะปวดหลังกับปวดฉี่ ก็ต้องตัดใจทิ้งหมด สัญญาว่า คราวหน้าจะไม่ล้างอะไรดึกๆอีกแล้วครับ กับแกล้มแค่เลย์กับโก๋แก่ถุงเล็กๆหลายๆถุงก็พอแล้ว เหลือก็เก็บไว้ได้

ส่วนอีกเรื่องเป็นเรื่องของพ่อผม เมื่อเกือบ ๕๐ปีก่อน ตอนนั้นแกเป็นวัยรุ่นบ้านนอก เป็นพี่ชายคนโตที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ชอบเที่ยวเล่น และยิงนกตกปลา หาอาหารเข้าบ้านตามวิสัยคนยุคนั้น มีอยู่วันนึง แกไปหาปลาตอนมืดแล้ว แต่ไม่ดึกมาก แกไปของแกคนเดียว เพราะไม่ไกลบ้านเท่าไหร่ คุ้นเคยจนชินเลยไม่กลัว ตอนนั้นแกเล่าว่าแกไปเจอผีหมา หรือหมาผี นี่แหละ แกบอกว่าตัวมันดำๆใหญ่ๆ ตาแดงเหมือนมีหลอดไฟอยู่ข้างใน มันอยู่คนละฝั่งคลอง แกเห็นมันแต่มันคงไม่เห็นแก มันเดินอยู่ในพงไม้ริมคลอง แฮ่ๆ เรื่องนี้สั้นเท่านี้เองครับ
อีกเรื่องเป็นเรื่องทวดที่เป็นยายของแม่ผมครับ เรื่องนี้ประมาณ ๒๐กว่าปีแล้วครับ ตอนนั้นยาย(ผมเรียกตามแม่) ป่วยมาก ทางบ้านนอกโทรมาหาแม่ผมให้ไปหาหน่อย แม่ผมก็หยุดงานไปอยู่บ้านนอกหลายวัน สุดท้ายยายเสีย ก็จัดงานกันไปจนเสร็จแล้วกลับกรุงเทพกัน พอผ่านมาหลายวันแม่ผมก็คุยกับพ่อแล้วก็เพื่อนๆ แม่แกเล่าว่า ยายแกป่วยมาก แล้วอยู่ๆแกก็ดีขึ้น แกก็ขอกินโน้นกินนี่ ผิดนิสัยแก ๓ วันหลังจากนั้น ทางญาติก็เลยไปปรึกษาหลวงปู่ที่วัดใกล้บ้าน หลวงปู่บอกว่ายายแกไปแล้ว ที่อยู่ไม่ใช่ยาย แล้วก็ทำน้ำมนต์มาให้ บอกเอาไปให้กิน ก็ไม่กี่ชั่วโมงยายก็เสียครับ
อีกเรื่องของพ่อผมอีกแหล่ะ แต่น่าจะเกี่ยวกับเวรกรรมมากกว่า
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ ๒๐กว่าปีก่อน พ่อผมที่เป็นเบาหวาน และมีแผลติดเชื้อตาปลาที่นิ้วโป้งเท้า ได้เข้าไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแถวสำเหร่ ตึกศัลยกรรมชาย ยุคนั้นเตียงว่างแยอะ นอนกันกี่วันก็ได้ชิวๆเพราะเป็นข้าราชการ ตอนนั้นแกตั้งใจอย่างแรง อยากจะนอนห้องพิเศษซะเหลือเกิน ก็พยายามหาทางติดต่ออยู่ นอนห้องรวมไม่มีแอร์อยู่ ๒-๓วัน คนห้องพิเศษก็ขอย้ายออกมานอนรวมกันคนอื่น พ่อผมที่มีนิสัยชอบพูดคุยอยู่แล้ว ก็เข้าไปคุยด้วย ก็ได้ความว่า แกนอนไม่ได้เพราะ โดนสารพัด กระตุกขาบ้าง อำบ้าง เข้าฝันบ้าง พ่อผมก็เลยยกเลิกความตั้งใจทันที
แต่การยกเลิกฯ ทำให้พบเรื่องๆนึง คือว่า ระหว่างที่นอนรักษาตัวอยู่นั้น ก็มีคนไข้ใหม่ที่ป่วยเป็นเบาหวาน และมีแผลที่นิ้วโป้งเท้าเหมือนกันเข้ามา(แต่คนละข้าง) ก็นอนเตียงใกล้กันเลยครับ เกิดแรงดึงดูดให้คุยกัน ก็อยู่กันหลายวัน คุยกันมากมาย สารพัดเรื่อง ได้ใจความว่า ชื่อเหมือนกัน เกิดวันเดือนปีเดียวกัน ตอนเด็กเคยเอาเชือกผูกคอแมว ดึงเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านจนแมวตายเหมือนกัน
ส่วนผลการรักษาก็คือ คุณหมอแกบอกหายยาก ถ้าตัดแล้ว แผลจะหายเร็วทั้งคู่ ก็นอนสบตากันหลายวัน รอว่าใครจะออกตัวก่อน สุดท้ายต่างก็ตัดสินใจคือ พ่อผมใจเด็ด บอกกับหมอให้ตัดเลยมาถึงครึ่งหน้าแข้ง ส่วนเพื่อนเตียงข้างๆตัดแค่นิ้วโป้ง พ่อผมตัดแล้วไม่นาน ก็ใส่ขาเทียมไปเที่ยวไหนต่อไหนได้เหมือนคนปกติได้เป็นสิบปี ส่วนเพื่อนใหม่อยู่ได้ไม่กี่ปีครับ การตัดสินใจของแกครั้งนี้นับเป็นตำนานของแก ที่แกต้องเล่าให้เด็กรุ่นน้องฟังเสมอ(ตอนกินเหล้า ส่วนผมนั่งข้างๆคอยกินกับแกล้มข้างๆครับ ฮิฮิ)