เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
กรกฎาคม 29, 2025, 08:36:04 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประสบการณ์ใกล้ชิดวิญญาณ ขอเล่าสู่กันฟังนะครับ  (อ่าน 2748 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
lek
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1594
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 13942


การแบ่งปัน ทำให้เราและคนอื่นมีความสุข


« ตอบ #15 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 09:19:44 PM »

สมัยหนุ่มๆชอบพาสาวเข้าป่าช้าครับ....เงียบดีกลัวนะครับไม่ใช่ไม่กลัว
บันทึกการเข้า

มีความสุขแบบที่เรามีก็พอhttp://www.gunsandgames.com/smf/index.php?board=29.0  (รวมพลคนอีสาน)
birdwhistle...รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 218
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1293


« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 09:24:34 PM »

21 ปีผ่านมาแล้ว(ปี2532) ผมรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าเป็นอาคารชั้นที่ 4 ซึ่งเป็นชั้นที่เพิ่งต่อเติมโดยแต่เดิมมี 3 ชั้น  อาคารนี้อยู่ริมถนนวิภาวดีรังสิต ยาวขนานกับถนนวิภาวดี ตรงนั้นมีอยู่ 2 อาคารเดิมเป็น 3 ชั้นทั้งคู่ ตอนที่ผมไปรับงานมานั้นเป็นอาคารแรกที่ต่อเป็น 4 ชั้น ปัจจุบันทั้ง 2อาคารเป็น 4 ชั้นแล้ว แต่อีกอาคารหนึ่งซึ่งต่อเติมภายหลังจากนั้นผมไม่ได้รับงานระบบไฟฟ้า  

ในช่วงแรก ๆ ก็นำ นศ.ที่สอนอยู่ โดยนำ นศ.ภาคค่ำที่ยังไม่มีงานทำ ไปทำงานนี้  ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ก็ให้ นศ.ภาคเช้าไปทำงานแทน โดยมีเพื่อน ๆ อาจารย์อีก 4 คน รวมตัวผมด้วยเป็น 5 คน ร่วมกันรับงานนี้ แล้วผลัดกันไปควบคุมงานตามชั่วโมงที่ว่างเว้นจากงานสอน

เมื่อเดินสายไฟถึงห้อง ๆ หนึ่ง ตามแบบแปลนระบุว่าจะใช้เป็นห้องไมโครเวฟในอนาคต  ได้ให้ นศ.เดินท่อ EMT ที่เพดานและผนังรวมทั้งร้อยสาย THW (สายตัวนำเดี่ยวสำหรับร้อยท่อ) ใส่ในท่อตามแบบจนครบในท่อทุกเส้น แต่ยังไม่ได้เดินสายเมนเข้ามา และเนื่องจากเป็นชั้นที่ต่อเติมใหม่จึงยังไม่มีระบบไฟฟ้าใด ๆ  โดยหากจะใช้เครื่องมือไฟฟ้าจะต้องต่อสายลากมายาวไม่น้อยกว่า 30 เมตร  ซึ่งเมื่อถึงตอนเย็นก็จะกำชับให้ นศ. เก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไม่ให้หลงเหลือ แล้วพวกเราอาจารย์ที่ดูแลอยู่ก็จะเดินตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนที่จะเลิกงาน  

รุ่งขึ้นปรากฎว่า สาย THW ที่ร้อยอยู่ในท่อไหม้เกือบทุกเส้น โดยตัวท่อไม่มีรอยไหม้หรือโดยความร้อนใด ๆ รวมทั้งปลายสายก็ยังเป็นแนวตัดปล่อยปลายตามปกติของสายที่ร้อยท่อใหม่ ๆ ผนังบริเวณที่เดินท่อก็ไม่มีรอยไหม้ใด ๆ   พวกเราทุกคนหาสาเหตุที่สายในท่อไหม้เกรียมไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นทำได้เพียง ลากสายเดิมออกแล้วร้อยสายใหม่แทน

หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ก็ให้ นศ. เดินท่อสวิตช์ไฟทางเดิน  โดยที่หน้าประตูห้องไมโครเวฟได้สกัดปูนไว้ฝังสวิตช์ไฟทางเดินไว้ และ นศ.ได้เดินท่อรวมทั้งร้อยสายลงมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะสั่ง นศ.เสมอว่า ต้องม้วนปลายสายยัดไว้ใน บ๊อกซ์ ที่จะติดสวิตช์เสมอ อย่าปล่อยปลายสายออกมานอกบ๊อกซ์  เย็นวันนั้นผมไม่อยู่แต่เพื่อนผมเป็นคนเดินตรวจความเรียบร้อยก่อนจะเลิกงาน

เมื่อเขาเดินผ่านห้องดังกล่าวโดยประตูห้องอยู่ทางด้านขวา เขารู้สึกว่าสายไฟจากบ๊อกซ์มาเกี่ยวข้อมือขวาของเขา  ตอนนั้นเขาเล่าว่าเขานึกตำหนิ นศ.ที่ไม่เก็บปลายสายให้เรียบร้อย จนเมื่อเขาเดินไปสุดตึกแล้วเดินกลับมาก็ตกใจเพราะปรากฎว่าปลายสายไฟก็ถูกม้วนไว้ในบ๊อกซ์อย่างเรียบร้อย เขาเล่าให้ฟังว่า "ขนลุกซู่" แล้วรีบเดินลงมาชั้นล่างและเก็บขนกลับโดยเร็ว

จากนั้นเย็นอีกวันหนึงเป็นเย็นวันเสาร์ นศ.ที่เก็บของเลิกงานเดินลงมาบอกเพื่อนผมว่า เขาเดินลงมาเป็นคนสุดท้าย ระหว่างเดินตามทางเดินมีเสียงคนเดินตามและใช้มือดันใบมีดคัตเตอร์เข้า ๆ ออก ๆ ตามมาด้วย แต่หันกลับไปก็ไม่มีใครอยู่

จนกระทั่งปลายเดือน ก.ย.ต่อต้นเดือน ต.ค.2532 นศ.ของพวกเราติดสอบปลายภาค ต้องให้หยุดงานประมาณ 10 วัน แต่งานต้องเดินหน้าเพราะต้องส่งงานตามงวด จึงต้องจ้างช่างไฟฟ้าจำนวน 4 คน มาทำงานแทน โดยช่างขึ้นนั่งร้านเหล็กมาตรฐานสูง 1.80 ม. เพื่อเดินท่อวงจรไฟทางเดินแบบพิเศษ ที่ตัวผมเป็นคนออกแบบไว้ แล้วตัวผมเองก็ต้องเป็นผู้ควบคุมเอง  วันนั้นช่างที่อยู่บนนั่งร้านกำลังเดินสายมาถึงหน้าห้องไมโครเวฟ และสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้นนั่นคือ ช่างไฟฟ้าตกนั่งร้าน ต้องพาไปเย็บขมับซ้าย 3 เข็ม  ทั้ง ๆ ที่บนนั่งร้านก็ปูไม้พื้นหน้ากว้าง 8 นิ้วไว้ถึง 2 แผ่น  และไม้ทั้ง 2 แผ่นก็ไม่ได้ตกลงมาแต่ประการใด

ในเวลาเพียงไม่ถึง 6 สัปดาห์ มีเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง บริษัทผู้รับเหมา(คู่สัญญากับเจ้าของตึก)ต้องนิมนต์พระมาทำบุญอุทิศส่วนกุศล

ต้นเดือน พ.ย. 2532  งานใกล้เสร็จ เหลือแต่เก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่ห้องไมโครเวฟมีสาว ๆ ที่จะต้องทำงานในห้องนั้นขึ้นมาดูห้องทำงานใหม่ ขณะนั้นผมและเพื่อนก็อยู่ในห้องนั้นด้วย สาว ๆ ถามว่าระบบไฟห้องนี้ใช้งานยังไง เพื่อนผมเป็นผู้อธิบายการใช้งานให้ ส่วนผมบอกกับคุณเธอทั้งหลายว่า ห้องนี้คงทำงานได้อย่างอบอุ่น รับรองว่าไม่เหงาครับ

ทุกวันนี้หากขับรถผ่านไปก็ยังหันมองไปที่อาคารนี้เสมอ ๆ    
 



  



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 14, 2010, 05:18:50 PM โดย birdwhistle...รักในหลวง » บันทึกการเข้า

เมื่อมั่งมี มิตรมากมาย มาหมายมอง  
เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา
ไม่มั่งมี มิตรมากมาย ไม่มีมา
แม้มอดม้วย มิตรหมูหมา ไม่มามอง
supreme
Hero Member
*****

คะแนน 127
ออฟไลน์

กระทู้: 1187



« ตอบ #17 เมื่อ: กันยายน 14, 2010, 02:12:01 AM »

ฤดูหนาวที่ผ่านมาวันนึง ตอนดึกเพื่อนบ้านนอนกันหมดแล้ว  ผมกำลังเก็บล้างจานชามจากมื้อเย็น และล้างตู้เย็นแถมไปด้วย  เนื่องจากมีธุระเช้าและจะไม่อยู่บ้านหลายวัน  นั่งล้างอยู่นอกบ้าน อากาศเย็นสบาย ยุงก็ไม่มี มีแต่เสียงทีวีบ้านผมรอดออกมาเบาๆ  ความรู้สึกเหมือนกับว่า หมู่บ้านนี้เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว ฮ่าๆๆ   แต่แล้วอยู่ไม่อยู่ ก็มีหมาหอนรับกันหลายตัว มันหอนไป ๒ รอบจะขึ้นรอบที่ ๓ ผมก็รู้ตัวว่า เดี๋ยวใจมันจะต้องนึกกลัวผีแน่ๆเลย  ตอนนั้นก็เลยนึกถึงบุญความดีที่เคยทำมาบ้าง แล้วแผ่เมตตาไปรอบๆตัว ไกลสุดขอบฟ้า นึกในใจเบาๆ สัพเพสัพตา...  เสียงหมามันเงียบทันทียังกับปิดสวิทช์ไฟเลยครับ  ตอนนั้นก็นึกเอาไงดี ใจมันจะฟุ้งแล้ว มองต้นไม้เพื่อนบ้านเริ่มน่ากลัวซะแล้ว งานนี้ล้างไม่เสร็จแน่วุ้ย  เลยกลั้นใจท่องในใจพุทธโธๆๆๆ มือก็ล้างๆๆๆๆ โครมๆ เก็บของเข้าบ้าน สวดนโม ๓จบ บทอื่นลืมหมด ด่าตัวเองว่าห่างวัดจริงมึ.. หลับตานอนแต่ใจก็นโมตัสสะไปเรื่อยๆ จนหลับไปเอง

พอตอนเช้าผมพิจารณาเคสนี้แล้ว เป็นเพราะ ผมจ่ายกับข้าวโอเวอร์ไปหน่อย  เนื่องจากกะจะจิบเบียร์สัก ๒ ขวดพร้อมดูหนังไปด้วย แต่เนื่องจากห่างแอลกอฮอล์มานาน แถมกลางวันก็เก็บบ้านล้างรถจนเพลีย ตอนเย็นก็ทำกับข้าวอีก ผลคือ ผมมึนตั้งแต่ครึ่งขวดแรกแล้วครับ แถมไม่นึกอยากอาหารอีก เลยยอมแพ้ขอหลับสักงีบ  พอตื่นมาตอนดึกเพราะปวดหลังกับปวดฉี่ ก็ต้องตัดใจทิ้งหมด  สัญญาว่า คราวหน้าจะไม่ล้างอะไรดึกๆอีกแล้วครับ กับแกล้มแค่เลย์กับโก๋แก่ถุงเล็กๆหลายๆถุงก็พอแล้ว เหลือก็เก็บไว้ได้  คิก คิก คิก คิก

ส่วนอีกเรื่องเป็นเรื่องของพ่อผม  เมื่อเกือบ ๕๐ปีก่อน  ตอนนั้นแกเป็นวัยรุ่นบ้านนอก  เป็นพี่ชายคนโตที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ  แต่ชอบเที่ยวเล่น และยิงนกตกปลา หาอาหารเข้าบ้านตามวิสัยคนยุคนั้น  มีอยู่วันนึง แกไปหาปลาตอนมืดแล้ว แต่ไม่ดึกมาก แกไปของแกคนเดียว เพราะไม่ไกลบ้านเท่าไหร่ คุ้นเคยจนชินเลยไม่กลัว  ตอนนั้นแกเล่าว่าแกไปเจอผีหมา หรือหมาผี นี่แหละ แกบอกว่าตัวมันดำๆใหญ่ๆ ตาแดงเหมือนมีหลอดไฟอยู่ข้างใน มันอยู่คนละฝั่งคลอง แกเห็นมันแต่มันคงไม่เห็นแก  มันเดินอยู่ในพงไม้ริมคลอง แฮ่ๆ เรื่องนี้สั้นเท่านี้เองครับ

อีกเรื่องเป็นเรื่องทวดที่เป็นยายของแม่ผมครับ  เรื่องนี้ประมาณ ๒๐กว่าปีแล้วครับ  ตอนนั้นยาย(ผมเรียกตามแม่) ป่วยมาก ทางบ้านนอกโทรมาหาแม่ผมให้ไปหาหน่อย  แม่ผมก็หยุดงานไปอยู่บ้านนอกหลายวัน สุดท้ายยายเสีย ก็จัดงานกันไปจนเสร็จแล้วกลับกรุงเทพกัน  พอผ่านมาหลายวันแม่ผมก็คุยกับพ่อแล้วก็เพื่อนๆ  แม่แกเล่าว่า ยายแกป่วยมาก แล้วอยู่ๆแกก็ดีขึ้น แกก็ขอกินโน้นกินนี่  ผิดนิสัยแก  ๓ วันหลังจากนั้น ทางญาติก็เลยไปปรึกษาหลวงปู่ที่วัดใกล้บ้าน  หลวงปู่บอกว่ายายแกไปแล้ว  ที่อยู่ไม่ใช่ยาย แล้วก็ทำน้ำมนต์มาให้ บอกเอาไปให้กิน ก็ไม่กี่ชั่วโมงยายก็เสียครับ

อีกเรื่องของพ่อผมอีกแหล่ะ  แต่น่าจะเกี่ยวกับเวรกรรมมากกว่า
เรื่องมีอยู่ว่า  เมื่อ ๒๐กว่าปีก่อน พ่อผมที่เป็นเบาหวาน และมีแผลติดเชื้อตาปลาที่นิ้วโป้งเท้า  ได้เข้าไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแถวสำเหร่  ตึกศัลยกรรมชาย ยุคนั้นเตียงว่างแยอะ  นอนกันกี่วันก็ได้ชิวๆเพราะเป็นข้าราชการ  ตอนนั้นแกตั้งใจอย่างแรง  อยากจะนอนห้องพิเศษซะเหลือเกิน ก็พยายามหาทางติดต่ออยู่  นอนห้องรวมไม่มีแอร์อยู่ ๒-๓วัน คนห้องพิเศษก็ขอย้ายออกมานอนรวมกันคนอื่น  พ่อผมที่มีนิสัยชอบพูดคุยอยู่แล้ว ก็เข้าไปคุยด้วย  ก็ได้ความว่า แกนอนไม่ได้เพราะ โดนสารพัด กระตุกขาบ้าง อำบ้าง เข้าฝันบ้าง  พ่อผมก็เลยยกเลิกความตั้งใจทันที

แต่การยกเลิกฯ  ทำให้พบเรื่องๆนึง  คือว่า ระหว่างที่นอนรักษาตัวอยู่นั้น  ก็มีคนไข้ใหม่ที่ป่วยเป็นเบาหวาน และมีแผลที่นิ้วโป้งเท้าเหมือนกันเข้ามา(แต่คนละข้าง)  ก็นอนเตียงใกล้กันเลยครับ  เกิดแรงดึงดูดให้คุยกัน  ก็อยู่กันหลายวัน คุยกันมากมาย สารพัดเรื่อง  ได้ใจความว่า  ชื่อเหมือนกัน เกิดวันเดือนปีเดียวกัน ตอนเด็กเคยเอาเชือกผูกคอแมว ดึงเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านจนแมวตายเหมือนกัน

ส่วนผลการรักษาก็คือ  คุณหมอแกบอกหายยาก ถ้าตัดแล้ว แผลจะหายเร็วทั้งคู่  ก็นอนสบตากันหลายวัน รอว่าใครจะออกตัวก่อน สุดท้ายต่างก็ตัดสินใจคือ  พ่อผมใจเด็ด  บอกกับหมอให้ตัดเลยมาถึงครึ่งหน้าแข้ง  ส่วนเพื่อนเตียงข้างๆตัดแค่นิ้วโป้ง  พ่อผมตัดแล้วไม่นาน ก็ใส่ขาเทียมไปเที่ยวไหนต่อไหนได้เหมือนคนปกติได้เป็นสิบปี  ส่วนเพื่อนใหม่อยู่ได้ไม่กี่ปีครับ  การตัดสินใจของแกครั้งนี้นับเป็นตำนานของแก  ที่แกต้องเล่าให้เด็กรุ่นน้องฟังเสมอ(ตอนกินเหล้า  ส่วนผมนั่งข้างๆคอยกินกับแกล้มข้างๆครับ ฮิฮิ)
บันทึกการเข้า

การศึกษาโดยไม่คิด ไร้ประโยชน์    การคิดโดยไม่ศึกษา เป็นอันตราย
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.101 วินาที กับ 21 คำสั่ง