"ขอบคุณครับ ไหว้
ขอถามเพิ่มเติมครับว่า ในชั้นจับกุมผมยอมรับข้อหาพกพาไม่ใช่พาอาวุธติดตัว
ถ้ายืนยันจะสู้คดี หมายถึงว่าให้ปฏิเสธการพาติดตัวในชั้นอัยการหรือชั้นศาลใช่หรือเปล่าครับ?"
พก ความหมายคือ อาวุธปืนนั้นแนบติดกับตัว ครบองค์ประกอบความผิดแล้วครับ
พกพา คือความหมายที่ครอบคลุม ที่นำพาอาวุธติดไปด้วยโดยสามารถหยิบฉวยเป็นอาวุธได้อย่างทันที
ฉะนั้นที่รับสารภาพไป นั้น คือรับสารภาพในข้อพา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ แล้วละครับ
กระทำได้ ครับ โดยขอให้การเพิ่้มเติมชั้นสอบสวน หรือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ เมื่อสำนวนส่งถึงชั้นอัยการ
แล้วขอให้การเพิ่มเติม เพื่อให้มีข้อเท็จจริง ปรากฎอยู่ในสำนวน และเหตุผลว่าต้ิงรับสารภาพครั้งก่อนนั้น เพราะเหตุใด
คดีไม่ยุ่งยาก และไม่เสียเวลานานเท่าใด ครับ แต่คดีนี้เื่มื่อรับสารภาพ คงมีค่าปรับ ราว ๑,๐๐๐.- สารภาพลดกึ่ง ปรับ ๕๐๐. แต่ถ้าสู้คดี ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
และผลคดีอย่างนี้ ไม่มีผลต่อการ ขอ ป.๓ ปืนกระบอกอื่นครับ ต้องชั่งใจดู นะครับ
เห็นคล้อยตามความเห็นนี้ครับ เพราะพรบ.อาวุธปืน ฯ ก็กำหนดความผิดไว้ ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง ฯลฯ มันชัดเจนอยู่แล้ว
,แต่คราวนี้ จขกท มีการแยกเครื่องกระสุนปืน และอาวุธปืนออกจากกัน ทำให้อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ยิงได้ (ในทันที)
ปกติถ้าผู้จับกุมให้การเหมือนดังที่จขกท บอก และคุณก็ให้การในชั้นสอบสวนสอดคล้องกัน ประกอบกับคุณเอาข้อมูลในกระทู้ปักหมุด เกี่ยวกับ "หลักในการ..นำพาปืน ไปนอกบ้าน ที่ควรรู้ .และอาจจะไม่ถูกจับกุม หากปฏิบัติตาม.. .. " (รวบรวมได้ดี) ยื่นประกอบขอความเป็นธรรม รวมไว้ในชั้นสอบสวน มอบให้พนักงานสอบสวนติดสำนวนไว้ (คือ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กำหนด ให้การรับฟังพยานหลักฐานนั้น ต้องรับฟังทั้งพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดและความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาด้วย) เพราะจริงการร้องขอความเป็นธรรมมีได้ทั้งชั้นตำรวจ(พนักงานสอบสวน)ระเบียบตำรวจมีอยู่ออกมานานมากแล้ว หรือหากพนักงานสอบสวนเหมือนไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่ ก็ขอความเป็นธรรมมายังอัยการ (เวลาตำรวจส่งสำนวนให้อัยการแล้ว) ก็คือ ให้แนบฎีกา ,แนวคำสั่งไมฟ้องของอัยการสูงสุด (กระทู้ปักหมุด) เพื่อให้อัยการมีข้อมูลรอบด้านในการพิจารณา
,โอกาสอัยการสั่งไม่ฟ้องก็มีสูงครับ คุณจะได้ไม่ต้องไปเสียเงินประกันตัว ,จ้างทนายความ(จริงๆขอทนายความขอแรงก็ได้ ไม่เสียเงิน) ,รอลุ้นศาลพิพากษา ,รอลุ้น อัยการจะอุทธรณ์ไหม
,แต่จริงๆกรณีท่าน จขกท ตำรวจไม่น่าจับตั้งแต่แรกนะครับ เพราะดูพฤติการณ์ ก็เทียบได้อย่างหนังสือเวียนตำรวจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ว่า มีการแยกกระสุนปืนและอาวุธปืนออกจากกันแล้ว คือ
กองวิจัยและวางแผน ส่วนราชการกรมตำรวจ ที่ 0503 ( ส ) / 27663
วันที่ 30 กันยายน 2525
เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับการตรวจค้นบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณสถาน
ผบช. , ผบก. , หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าทุกหน่วยงาน
ตามบันทึก ตร.ที่ 0501 /30476 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2517 กำหนดแนวทาง
ในการปฏิบัติของข้าราชการตำรวจ ให้ใช้ดุลพินิจในการตรวจค้น จับกุม
ผู้พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณสถานให้เป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 371 ได้บัญญัติไว้ ต่อมาได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 8 ทวิ แห่ง พรบ. อาวุธปืนฯ
พ.ศ. 2490 ขึ้นอีก ในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในปัจจุบันยังคงมีปัญหา
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจค้นพบบุคคลพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ โดยมีเพียงใบอนุญาต
ให้มีและใช้อาวุธปืน ( ป. 4 ) แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ( ป. 12 )
ก็มักจะควบคุมตัวมาดำเนินคดีทุกรายไป ทำให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกตรวจค้น
และจับกุม เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
และถูกต้อง จึงขอซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติเพิ่มเติมดังนี้ ตามบทบัญญัติ
มาตรา 8 ทวิ แห่ง พรบ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งคณะปฏิรูป
การปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3 กำหนดว่า ห้ามมิให้
ผู้ใดพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่กรณีต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควร
แก่พฤติการณ์ ไม่ว่ากรณีใด
ห้ามมิให้พกพาอาวุธปืนไปโดยเปิดเผยหรือพาไปในที่ชุมนุมชนที่ได้จัดให้มีขึ้น
เพื่อนมัสการ การรื่นเริง การมหรสพ หรือการอื่นใด
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า กฎหมายยังคงเปิดโอกาส ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์
นำเอาอาวุธปืนที่ตนมีไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้พกพา
ติดตัวไปเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สินได้ ภายในขอบเขตที่กฎหมายให้กระทำได้
ตามแนวคำชี้ขาดไม่ฟ้องคดีของอธิบดีกรมอัยการเกี่ยวกับการพกพาอาวุธปืนไปในเมือง
หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้พกพาจากเจ้าพนักงาน
ซึ่งถือว่าโดยสภาพเป็นกรณีที่ต้องมีอาวุธปืนติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน
ตามสมควรแก่พฤติการณ์ มีแนวทางพอสรุปได้ดังนี้คือ
1. ถ้าได้นำอาวุธปืนใส่กระเป๋าเก็บไว้ในช่องเก็บของท้ายรถ ซึ่งไม่สามารถหยิบใช้ได้ทันทีทันใด
2. เอาอาวุธปืนใส่กระเป๋าใส่กุญแจแล้ววางไว้ในรถซึ่งไม่สามารถหยิบใช้ได้ในทันทีทันใด
3. ไปเก็บเงินจากลูกค้าต่างจังหวัด จำนวนเป็นหมื่นๆ นำติดตัวมาแล้วมีอาวุธปืน
ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนแล้ว ใส่ช่องเก็บของหน้ารถยนต์เพื่อป้องกันตัวและทรัพย์สิน
4. ไปเก็บเงินจากลูกค้าต่างจังหวัด นำอาวุธปืนติดตัวมาด้วย โดยแยกอาวุธปืน
และเครื่องกระสุนปืนออกจากกัน ใส่กระเป๋าเอกสารไว้ที่พนักเบาะหลังรถยนต์
5. ห่ออาวุธปืน และแหนบบรรจุกระสุนปืน ( แมกกาซีน ) แยกออกคนละห่อเก็บไว้ในกระโปรง
รถยนต์ซึ่งใส่กุญแจ
จึงแจ้งมาเพื่อทราบและแจ้งให้ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อใช้เป็นดุลพินิจ
ประกอบการพิจารณาในการปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องนี้ต่อไป
ลงชื่อ พล.ต.ท.ณรงค์ มหานนท์ ( ณรงค์ มหานนท์ )
รองอ.ตร.ปป.ปร.ท.อ.ตร.
แต่หากเรื่องไปจบที่ศาล หากคุณไม่อยากสู้คดี แนวศาล ก็ปรับครับ (เน้น เป็นดุลพินิจศาลนะครับ ไม่รับประกัน)
หวังว่า ความเห็นผมพอเป็นประโยชน์แก่ผู้สุจริตชนทั้งหลายที่อ่านอยู่นะครับ