หลังจากตั้งแค้มป์เสร็จ (ซึ่งเป็นบริเวณที่ดี อยู่ใกล้ลำธาร เวลาใช้น้ำอุปโภคไม่ต้องเดินไปไกล) ก็ถึงเวลาอาหารเย็นครับ
..นี่เป็นดินเนอร์กลางไพรที่มีความสุขมาก อาหารอร่อยเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนสรวลเสเฮฮา
ต่างผลัดกันเล่าถึงความรู้สึกที่เดินกันขึ้นมา เสร็จจากดินเนอร์ ก็มีผู้กล้าชวนกันไปอาบน้ำโดยเฉพาะสาว ๆ
สำหรับผม.......ขอบายครับ อยู่ในป่าไม่อาบดีกว่า....หนาว.....

ประมาณ 18.00 น.ต่างคนต่างเข้าไปพักอยู่เต็นท์ของตัวเองกันแล้ว เพื่อเตรียมตัวเข้านอน...
นี่ถ้าเป็นกรุงเทพ ฯ รถรายังติดหนึบหนับ ผู้คนคงพลุกพล่าน... สีแสงเสียงแห่งความศิวิไลซ์คงอึงมี่....
แต่ที่นี่มีเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมป่า...ผมเองก็สะบักสะบอมมาตั้งแต่บนรถแล้ว เนื่องจากนอนไม่พอ....
นอนฟังเสียงดนตรีไพรแป๊บเดียวก็เผลอหลับ
มาสะดุ้งตื่นมาอีกทีประมาณเที่ยงคืน รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ อย่างไรชอบกลจะว่าเป็นไข้ก็ไม่ใช่
สงสัยร่างกายคงปรับสภาพกระมัง เหงื่อออกทั้ง ๆ ที่อากาศรอบกายช่างเย็นยะเยือก....
เสียงสายลมพัดทิวสนดังอื้ออึง...เดี๋ยวพัดจากซ้ายไปขวา เดี๋ยวจากทิศเหนือไปทางใต้ .....สนยามต้องลมสะบัดโบกโยกโอนเอน...
หยาดน้ำค้างก็ร่วงกราวดุจฝนลงเม็ด...เสียงน้ำค้างที่เกาะอยู่บนยอดสนหยดลงมากระทบเต๊นท์ดังเปาะแปะ ๆ
สอดรับกับเสียงกบเสียงเขียดบริเวณลำธาร ผมนอนฟังซิมโฟนีแห่งราวไพรอีกสักพักก็หลับต่อ....
ตื่นอีกทีเกือบ ๆ ตีห้า...คาดไฟฉายส่องกบไว้ที่ศรีษะ...แล้วลุกมาต้มกาแฟดำร้อน ๆ เดินจิบไปรอบ ๆ แคมป์
ไม่นานนักก็เริ่มมองเห็นเส้นลายมือ...ผมเดินออกไปสำรวจบริเวณลานกางเต็นท์ด้านนอก....ยังไม่มีใครลุกจากที่นอนกันเลย...
ภาพที่ปรากฎ...เต๊นท์ของนักท่องเที่ยวบางหลัง ช่วงเย็นยังกางไว้อย่างสง่างาม แต่อนิจจา....
รัตติกาลที่ผ่านมามันไม่สามารถต้านกระแสลมที่รุนแรงได้ เต็นท์นอนปลาทูบางหลังพังฟลายชีทปลิวไป..
บ้างเสาเต็นท์หักพังยุบไปเป็นแถบ ๆ ยังนึกไม่ออกว่า หากเราเจอสภาพอย่างนี้จะเป็นเช่นไรหนอ...